Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“มฟล.” ยันอาคารปลอดภัยแม้พบ ผู้รับเหมาที่อยู่เกี่ยว ‘อาคาร สตง.’

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยืนยันอาคารปลอดภัยหลังแผ่นดินไหว ขณะที่ข้อสงสัยเรื่องผู้รับเหมาก่อสร้างหอพักบุคลากรทางการแพทย์ยังคงถูกตั้งคำถาม

เชียงราย, 1 เมษายน 2568 – มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ออกแถลงการณ์ยืนยันความปลอดภัยของอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดภายในมหาวิทยาลัย หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนถึงจังหวัดเชียงราย โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้เร่งดำเนินการตรวจสอบความเสียหายอย่างละเอียดทันทีหลังเกิดเหตุ และผลการตรวจสอบระบุว่าไม่พบความเสียหายใด ๆ ต่อโครงสร้างอาคาร โดยยืนยันว่าทุกอาคารได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐานที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้

การตรวจสอบความเสียหายและการยืนยันความปลอดภัย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำทีมผู้บริหาร วิศวกรโยธา และช่างจากส่วนอาคารสถานที่ ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบสภาพอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั่วทั้งมหาวิทยาลัย รวมถึงศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง การตรวจสอบดำเนินการระหว่างวันที่ 29-30 มีนาคม 2568 โดยครอบคลุมทั้งโครงสร้างหลัก ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ

ผลการตรวจสอบเบื้องต้นระบุว่า ไม่พบร่องรอยความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากเหตุแผ่นดินไหวในทุกอาคารของมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยเน้นย้ำว่า อาคารทุกหลังได้รับการออกแบบและก่อสร้างให้สอดคล้องกับมาตรฐานวิศวกรรมที่คำนึงถึงความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว โดยมีการดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง การก่อสร้าง การควบคุมงาน และการตรวจรับงานอย่างถูกต้องตามสัญญา รวมถึงมีการทดสอบวัสดุทุกชนิดที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งผลการทดสอบยืนยันว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

นอกจากนี้ โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (MFU MCH) ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเพจอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยระบุว่า ทีมวิศวกรโยธาผู้เชี่ยวชาญจากส่วนอาคารสถานที่ของมหาวิทยาลัย ร่วมกับทีมวิศวกรของโรงพยาบาล ได้เข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารและระบบความปลอดภัยอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงโครงสร้างทั้งภายในและภายนอก ระบบไฟฟ้า ระบบสัญญาณเตือนภัย ระบบป้องกันอัคคีภัย และเส้นทางอพยพ ผลการตรวจสอบยืนยันว่า โครงสร้างอาคารมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่พบความเสียหายที่ส่งผลต่อความปลอดภัย และระบบสำคัญทั้งหมดยังคงทำงานได้ตามปกติ โรงพยาบาลจึงเปิดให้บริการตามปกติ และพร้อมให้การดูแลผู้ป่วยด้วยประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด

เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วน ทางมหาวิทยาลัยได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานกลาง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง หรือสภาวิศวกร เพื่อเข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติมในขั้นตอนต่อไป โดยคาดว่าการตรวจสอบนี้จะช่วยยืนยันความปลอดภัยของอาคารอย่างเป็นทางการ และลดข้อกังวลที่อาจเกิดขึ้นในหมู่นักศึกษา บุคลากร และประชาชนในพื้นที่

โครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์และข้อสงสัยที่เกิดขึ้น

หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ โครงการก่อสร้าง “หอพักบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมระบบสาธารณูปการ” ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการภายในบริเวณมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โครงการนี้มีราคากลาง 468 ล้านบาท และผู้รับเหมาก่อสร้างคือ กิจการร่วมค้า TPC ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด การจัดหาผู้รับเหมาเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ผ่านวิธีการประมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-bidding) ซึ่งเป็นกระบวนการที่โปร่งใสและเปิดเผย

ปัจจุบัน โครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์มีความคืบหน้าโดยรวมแล้วเสร็จ 46% โดยงานโครงสร้างหลักทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานในส่วนของงานสถาปัตยกรรมและงานตกแต่งภายนอก อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เผชิญกับความล่าช้าจากแผนเดิมที่กำหนดไว้ เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้การจัดหาวัสดุและการทำงานในบางช่วงหยุดชะงัก

ทางมหาวิทยาลัยระบุว่า การก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ได้ดำเนินการตามแบบและมาตรฐานที่กำหนด โดยเฉพาะการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เช่น เหล็กที่ต้องได้รับมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และผ่านการทดสอบจากหน่วยงานที่ขึ้นทะเบียนให้ทดสอบวัสดุอย่างถูกต้อง วัสดุทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของโครงสร้างได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานบริการทดสอบวัสดุที่ได้มาตรฐาน ซึ่งผลการทดสอบยืนยันว่าเป็นไปตามข้อกำหนดในแบบและมาตรฐานการก่อสร้าง

สำหรับการควบคุมงานก่อสร้าง ทางมหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้บริษัทควบคุมงานที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาดูแล รวมถึงตั้งคณะกรรมการควบคุมการทำงานเพื่อติดตามความคืบหน้า โดยมีการประชุมร่วมกับผู้รับจ้างทุกสัปดาห์ และมีการเข้าไปสังเกตการณ์ในขั้นตอนสำคัญของการก่อสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่างานทุกส่วนเป็นไปตามหลักการออกแบบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารสูงในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว โดยมีการคำนวณโครงสร้างให้สอดคล้องกับประเภทและขนาดของอาคาร

ข้อสงสัยจากสาธารณชนและการเชื่อมโยงกับกรณีอาคาร สตง.

หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มลงมาในกรุงเทพมหานคร ข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารต่าง ๆ ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อพบว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างอาคาร สตง. มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะสมาชิกของกิจการร่วมค้า TPC ที่รับผิดชอบการก่อสร้างหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

เพจ “China Story” ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2568 ระบุว่า “บริษัทที่เกี่ยวข้องกับตึก สตง. ถล่ม ยังมีชื่อปรากฏในโครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง…” ซึ่งจุดกระแสให้เกิดการตั้งคำถามในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชนถึงความน่าเชื่อถือของผู้รับเหมาในโครงการนี้ ขณะที่เพจ “บิ๊กเกรียน” ได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า บริษัทจีนที่มีส่วนในกรณีอาคาร สตง. ยังได้รับงานก่อสร้างหอพักและโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัดเชียงราย ซึ่งยิ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพการก่อสร้าง

สื่อออนไลน์ภาคเหนือ “Lanner” รายงานว่า ในเดือนสิงหาคม 2565 กิจการร่วมค้า TPC ได้ลงประกาศรับสมัครวิศวกรโครงการเพื่อประจำงานที่ “โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” โดยระบุที่อยู่สำนักงานของผู้รับเหมาที่เลขที่ 493 ซอยพุทธบูชา 44 แยก 11 ถนนพุทธบูชา แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดียวกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด นอกจากนี้ เอกสารการซื้ออิฐมอญจำนวน 3.9 ล้านก้อนจากจังหวัดลำปาง ซึ่งใช้ในโครงการนี้ ยังระบุชื่อผู้ซื้อว่า “กิจการร่วมค้า ทีพีซี (สำหรับโครงการอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย)” และระบุที่อยู่สำนักงานเดียวกันนี้ โดยเชื่อมโยงกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด อย่างชัดเจน

การค้นพบนี้ทำให้เกิดคำถามว่า กิจการร่วมค้า TPC และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีความสัมพันธ์กันอย่างไร และการที่บริษัทนี้มีส่วนในกรณีอาคาร สตง. ถล่ม จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในโครงการของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ทางมหาวิทยาลัยได้ชี้แจงว่า บริษัทควบคุมงานก่อสร้างของโครงการหอพักบุคลากรทางการแพทย์ไม่ใช่รายเดียวกับที่ควบคุมงานก่อสร้างอาคาร สตง. และวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างไม่มีรายการใดที่เกี่ยวข้องกับเหล็กยี่ห้อที่ปรากฏในข่าวเกี่ยวกับกรณี สตง.

การตอบสนองของมหาวิทยาลัยต่อข้อกังวล

เพื่อคลายความกังวลของสาธารณชน ทางมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า การดำเนินงานก่อสร้างหอพักบุคลากรทางการแพทย์ได้ผ่านการควบคุมและตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดยย้ำว่า งานโครงสร้างที่เสร็จสิ้นไปแล้วได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และไม่พบปัญหาใด ๆ ที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัย แม้จะเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด นอกจากนี้ การที่โครงการล่าช้ามาจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และไม่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของงานก่อสร้าง

มหาวิทยาลัยยังระบุว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกในการตรวจสอบเพิ่มเติม หากมีข้อสงสัยจากสาธารณชนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะนักศึกษา บุคลากร และประชาชนในจังหวัดเชียงรายที่อาจได้รับผลกระทบทางจิตใจจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กรณีนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในสองมุมมองหลัก ฝ่ายหนึ่งมองว่า การที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีอาคาร สตง. ถล่ม ปรากฏชื่อในโครงการของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นสัญญาณที่น่ากังวลเกี่ยวกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือของผู้รับเหมา โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความเสียหายรุนแรงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความบกพร่องในกระบวนการก่อสร้างหรือการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดถึงความสัมพันธ์ของบริษัทนี้กับโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทย

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่า การที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยืนยันว่าอาคารทุกหลัง รวมถึงหอพักบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ไม่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว แสดงถึงความแข็งแรงและคุณภาพของงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งการจัดหาผู้รับเหมาผ่านระบบ E-bidding เป็นกระบวนการที่โปร่งใสตามกฎหมาย และการล่าช้าของโครงการเกิดจากสถานการณ์โควิด-19 ไม่ใช่ปัญหาด้านคุณภาพ การเชื่อมโยงกับกรณีอาคาร สตง. อาจเป็นเพียงการตีความที่มากเกินไป โดยขาดหลักฐานที่ชัดเจนว่าเหตุการณ์ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันในแง่ของความบกพร่อง

จากมุมมองที่เป็นกลาง การตั้งข้อสงสัยของสาธารณชนต่อบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีเหตุผลในแง่ที่เกิดจากความกังวลต่อความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่ม อย่างไรก็ตาม การยืนยันของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่ระบุถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานและผลการตรวจสอบที่ไม่พบความเสียหาย ก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลดความกังวลในเบื้องต้น การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจำเป็นต้องรอผลการตรวจสอบเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยไม่ควรรีบตัดสินหรือกล่าวโทษผู้รับเหมาหรือมหาวิทยาลัยเพียงฝ่ายเดียวในขณะนี้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. เหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า ตั้งแต่ปี 2550-2567 ประเทศไทยเผชิญแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศ 12 ครั้ง โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ขนาด 6.3 ริกเตอร์ ในจังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ ปภ., 2567)
  2. โครงการก่อสร้างภาครัฐที่ล่าช้า: สำนักงบประมาณระบุว่า ในช่วงปี 2558-2567 โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีมูลค่าเกิน 400 ล้านบาท มีจำนวน 120 โครงการ โดยร้อยละ 25 เผชิญปัญหาความล่าช้าจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น โควิด-19 และการขาดแคลนวัสดุ (ที่มา: รายงานงบประมาณแผ่นดิน, 2567)
  3. การใช้ E-bidding ในประเทศไทย: การกีฬาแห่งประเทศไทยรายงานว่า ในปี 2566 การจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบ E-bidding คิดเป็นร้อยละ 85 ของโครงการภาครัฐทั้งหมด ช่วยลดการทุจริตและเพิ่มความโปร่งใสในการประมูล (ที่มา: การกีฬาแห่งประเทศไทย, สถิติการจัดซื้อจัดจ้าง 2566)

สรุป

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ยืนยันถึงความปลอดภัยของอาคารทุกหลัง รวมถึงหอพักบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง หลังเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยย้ำถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานและการตรวจสอบที่รัดกุม อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเชื่อมโยงกับกรณีอาคาร สตง. ถล่ม ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความมั่นใจแก่ทุกฝ่ายในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

แม่ฮ่องสอนผวา พบ 6 หลุมยุบ เร่งตรวจสอบด่วน

แม่ฮ่องสอนพบหลุมยุบในพื้นที่เกษตรบ้านแม่สุริน ปภ.เร่งตรวจสอบและปิดกั้นเพื่อความปลอดภัย

แม่ฮ่องสอน, 1 เมษายน 2568 – สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดแม่ฮ่องสอน (ปภ.แม่ฮ่องสอน) รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 10:00 น. ได้รับแจ้งเหตุจากนายณรงค์พัชญ์ นาคทรัพย์ นายอำเภอขุนยวม เกี่ยวกับการพบหลุมยุบหลายขนาดในพื้นที่การเกษตร บริเวณบ้านแม่สุริน หมู่ที่ 3 ตำบลขุนยวม อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความกังวลให้กับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่

จากการแจ้งเตือนดังกล่าว อำเภอขุนยวมได้ประสานงานกับองค์การบริหารส่วนตำบลขุนยวม (อบต.ขุนยวม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ทันที การสำรวจเบื้องต้นพบหลุมยุบในพื้นที่การเกษตรจำนวน 6 หลุม โดยแบ่งเป็นหลุมขนาดใหญ่ 2 หลุม และหลุมขนาดเล็ก 4 หลุม ซึ่งหลุมเหล่านี้เกิดขึ้นในบริเวณที่เป็นที่นาของเกษตรกรในหมู่บ้านแม่สุริน เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการปิดกั้นพื้นที่ดังกล่าวทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรและประชาชนเข้าไปใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ อันอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

เกิดหลุมยุบยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม

นายณรงค์พัชญ์ นาคทรัพย์ นายอำเภอขุนยวม เปิดเผยว่า การพบหลุมยุบครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพื้นที่ดังกล่าว และอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่มีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอน อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดหลุมยุบยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยจะมีการประสานงานกับหน่วยงานผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกต่อไป

เจ้าหน้าที่จาก ปภ.แม่ฮ่องสอน ระบุว่า หลุมยุบที่พบมีลักษณะแตกต่างกัน โดยหลุมขนาดใหญ่ 2 หลุม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เมตร และมีความลึกที่ยังไม่สามารถวัดได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทางในการสำรวจ ส่วนหลุมขนาดเล็ก 4 หลุม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เมตร ซึ่งการเกิดหลุมยุบในครั้งนี้ยังไม่พบรายงานความเสียหายต่อบ้านเรือนหรือทรัพย์สินของประชาชน แต่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรในบริเวณนั้น

ติดตั้งป้ายเตือนและกั้นแนวเขตห้ามเข้าในรัศมี

เพื่อความปลอดภัยของประชาชน อำเภอขุนยวมและ อบต.ขุนยวม ได้ติดตั้งป้ายเตือนและกั้นแนวเขตห้ามเข้าในรัศมีที่กำหนด พร้อมแจ้งเตือนให้เกษตรกรและชาวบ้านในหมู่บ้านแม่สุรินหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณหลุมยุบ จนกว่าการสำรวจและประเมินสถานการณ์จะเสร็จสิ้น นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดทีมเฝ้าระวังในพื้นที่ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวและป้องกันเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม

ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสาเหตุ

สำนักงาน ปภ.แม่ฮ่องสอน ได้ออกแถลงการณ์ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับกรมทรัพยากรธรณี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบสาเหตุของหลุมยุบอย่างละเอียด โดยคาดว่าการสำรวจเพิ่มเติมจะสามารถระบุได้ว่าหลุมยุบเกิดจากปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น การเคลื่อนตัวของชั้นดินจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว หรืออาจมีสาเหตุอื่น เช่น การทรุดตัวของชั้นน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ในบางพื้นที่

นายณรงค์พัชญ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราได้แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่เฝ้าสังเกตความผิดปกติของพื้นดินในบริเวณใกล้เคียง และแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีหากพบหลุมยุบเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดหลุมยุบเพิ่มหรือไม่ แต่เราจะดำเนินการทุกขั้นตอนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นอันดับแรก”

เกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วกว่า 169 ครั้ง

เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตื่นตัวให้กับหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในช่วงที่ยังคงมีการเฝ้าระวังอาฟเตอร์ช็อกจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเมียนมา ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีการเกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วกว่า 169 ครั้ง แม้ว่าความรุนแรงจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงส่งผลให้เกิดความกังวลในพื้นที่ใกล้เคียงจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว

สำนักงาน ปภ.แม่ฮ่องสอน ยังได้แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน ได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านบุคลากรและเครื่องมือ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากเหตุการณ์นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดแม่ฮ่องสอน (ปภ.แม่ฮ่องสอน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายพร้อม ตรวจเขื่อน รับมือแล้ง-ฝน-เตือนภัยน้ำท่วม

เชียงรายตรวจเข้มเขื่อน! รับมือแล้ง-ฝน, ติดตั้งระบบเตือนภัยน้ำท่วม

เชียงราย, 31 มีนาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเขื่อนเชียงราย เพื่อติดตามความพร้อมในการรับมือภัยแล้งและฤดูฝนปี 2568 พร้อมเน้นย้ำมาตรการป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

การตรวจเยี่ยมเขื่อนเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากโครงการชลประทานเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเขื่อนเชียงราย ฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 1 โครงการชลประทานเชียงราย ซึ่งเป็นเขื่อนสำคัญของจังหวัดเชียงราย โดยมีนายสมชาย บุญอนันต์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่ชลประทานให้การต้อนรับ พร้อมนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและสถานะความมั่นคงของเขื่อน

เขื่อนเชียงรายทำหน้าที่กักเก็บน้ำจากแม่น้ำกก เพื่อใช้ในการเกษตรในพื้นที่ชลประทานกว่า 50,000 ไร่ รวมถึงเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาสำหรับประชาชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน และเสริมความมั่นคงทางน้ำให้กับพื้นที่โดยรอบ

การตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อน หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม นายสมชาย บุญอนันต์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ได้รายงานว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พบว่าเขื่อนเชียงรายยังคงมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่มีรอยร้าวหรือความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างหลัก

การบริหารจัดการน้ำเพื่อรับมือภัยแล้ง

นอกจากการตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังได้รับฟังรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในเขื่อนเชียงราย โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ระบุว่า ปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ที่ 65% ของความจุอ่าง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติและเพียงพอสำหรับการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง

นายชรินทร์ ทองสุข ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการใช้น้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ พร้อมกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง รวมถึงส่งเสริมการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ

การเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน

สำหรับการรับมือกับฤดูฝนปี 2568 ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้สั่งการให้โครงการชลประทานเชียงรายดำเนินการขุดลอกและซ่อมแซมแนวกั้นน้ำในพื้นที่เสี่ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม นอกจากนี้ยังได้กำชับให้มีการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำและระบบเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกก และแม่น้ำสาย-รวก เพื่อให้ประชาชนสามารถรับทราบข้อมูลสถานการณ์น้ำได้อย่างรวดเร็วและเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที

การมีส่วนร่วมของชุมชน

นอกจากการดำเนินมาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่ โดยขอความร่วมมือจากผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการดูแลรักษาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ความจุของเขื่อนเชียงราย: 120 ล้านลูกบาศก์เมตร
  • พื้นที่ชลประทานที่ได้รับประโยชน์: กว่า 50,000 ไร่
  • จำนวนประชาชนที่ได้รับน้ำประปา: มากกว่า 80,000 คนในเขตเทศบาลนครเชียงราย
  • สถิติการเกิดแผ่นดินไหว: แผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือ
  • ระบบเตือนภัยน้ำท่วม: มีการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำอัตโนมัติใน 10 จุดเสี่ยงภัยตามลำน้ำกก และแม่น้ำสาย-รวก

ความเห็น

จากการตรวจสอบและการรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าเขื่อนเชียงรายยังคงมีความมั่นคงแข็งแรง และมีการวางแผนจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งในด้านการซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐาน การติดตั้งระบบเตือนภัย และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อการจัดการน้ำที่ยั่งยืน

การติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด รวมถึงการใช้ข้อมูลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้ประชาชนสามารถรับมือกับภัยแล้งและน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมชลประทาน, โครงการชลประทานเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา, รายงานสถานการณ์แผ่นดินไหว
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, รายงานสถานการณ์น้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาไหวซ้ำ 169 อาฟเตอร์ช็อก ภาพดาวเทียมเสียหาย

แผ่นดินไหวเมียนมาเผยความเสียหายหนัก GISTDA เปิดภาพดาวเทียม THEOS-2 อาฟเตอร์ช็อกพุ่ง 169 ครั้ง

ประเทศไทย, 30 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้เผยแพร่ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งบันทึกเมื่อเวลา 10:05 น. ของวันที่ 29 มีนาคม 2568 โดยเปรียบเทียบกับภาพถ่ายก่อนเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศเมียนมา ผลการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงความเสียหายรุนแรงในหลายพื้นที่ของเมืองมัณฑะเลย์ เมืองสำคัญอันดับสองของเมียนมา โดยพบรอยแยกบนถนน สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์พังถล่ม สะพานอังวะ (Ava Bridge) ซึ่งเป็นสะพานประวัติศาสตร์พังทลายลง รวมถึงการทรุดตัวของสิ่งปลูกสร้าง และรอยแยกตามพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำสายหลักอย่างแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา ด้วยขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่ระดับความลึกเพียง 10 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความรุนแรงของแผ่นดินไหวส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่ในเมียนมาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ที่สามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

สถานการณ์อาฟเตอร์ช็อกและการติดตาม

กรมอุตุนิยมวิทยาของประเทศไทยรายงานว่า หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวหลัก เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2568 มีรายงานการเกิดอาฟเตอร์ช็อกแล้วถึง 169 ครั้ง แม้ว่าขนาดของอาฟเตอร์ช็อกจะค่อย ๆ ลดระดับความรุนแรงลงจนถึงจุดที่ไม่สามารถรับรู้ถึงการสั่นไหวได้ในหลายพื้นที่ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อเวลา 14:08 น. ตามเวลาประเทศไทย เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์ บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวหลักประมาณ 332 กิโลเมตร ซึ่งบางจุดในประเทศไทยยังคงรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้

กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวและอาฟเตอร์ช็อกจะเริ่มคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์นับจากนี้ โดยได้มีการเฝ้าติดตามข้อมูลจากเครื่องมือวัดแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินความเสี่ยงและแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงพัฒนาการของสถานการณ์

ความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์จากภาพถ่ายดาวเทียม

ภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของประเทศไทยที่มีความละเอียดสูง ได้บันทึกภาพความเสียหายในเมืองมัณฑะเลย์อย่างชัดเจน โดย GISTDA ระบุว่า ความเสียหายที่ปรากฏในภาพประกอบด้วยรอยแยกขนาดใหญ่บนถนนสายหลักที่เชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ สะพานเส้นทางด่วนสายย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการคมนาคมของเมียนมา พังถล่มลงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ สะพานอังวะ ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยอาณานิคมและมีอายุกว่า 90 ปี ก็พังทลายลงจากแรงสั่นสะเทือน ส่งผลให้การสัญจรข้ามแม่น้ำอิรวดีหยุดชะงัก

นอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐาน ภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นการพังทลายของอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ รวมถึงรอยแยกขนาดใหญ่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำอิรวดีและแม่น้ำมิตเงะ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองมัณฑะเลย์ ความเสียหายในบริเวณนี้บ่งชี้ถึงผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนที่อยู่อาศัยริมน้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการอพยพและความต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในระยะยาว

การตอบสนองของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับรายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยมีถึง 57 จังหวัดที่รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน หน่วยงานได้ประสานงานกับจังหวัดต่าง ๆ เพื่อสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในจังหวัดภาคเหนือ เช่น แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวมากที่สุด

ในส่วนของเมียนมา รัฐบาลทหารของประเทศได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายพื้นที่ รวมถึงเมืองมัณฑะเลย์ และเมืองเนปยีดอ ซึ่งเป็นเมืองหลวง และได้ร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) และหน่วยงานบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศได้เริ่มส่งทีมกู้ภัยและสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าไปยังพื้นที่ประสบภัยแล้ว อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงบางพื้นที่ยังคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากถนนและสะพานที่เสียหาย รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศที่ยังคงดำเนินอยู่นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2564

ผลกระทบต่อประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน

จากรายงานเบื้องต้นในเมียนมา ความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ครอบคลุมทั้งบ้านเรือนประชาชน วัด โรงพยาบาล และอาคารราชการ โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของเมียนมา ความสูญเสียทางชีวิตยังคงอยู่ในระหว่างการประเมิน แต่คาดว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เนื่องจากความหนาแน่นของประชากรและสภาพอาคารที่ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่

ในประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงเทียบเท่ากับในเมียนมา แต่ประชาชนในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือและกรุงเทพมหานคร รายงานว่ารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน บางพื้นที่ เช่น เขตจตุจักร กรุงเทพฯ มีรายงานอาคารสูงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มลงมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหาย ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นกำลังเร่งดำเนินการกู้ภัยและประเมินความปลอดภัยของอาคารต่าง ๆ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ได้นำไปสู่การถกเถียงในสองมุมมองหลัก ฝ่ายหนึ่งมองว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในเมียนมา อาจมีสาเหตุมาจากการขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างที่ไม่เพียงพอต่อการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพานและอาคารต่าง ๆ ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาการบริหารจัดการและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทหารเมียนมา

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายหนึ่งให้เหตุผลว่า แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงเกินกว่าที่โครงสร้างส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้จะรับไหวได้ ไม่ว่าจะมีการเตรียมพร้อมดีเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยในบริเวณนี้ และความลึกของจุดศูนย์กลางที่เพียง 10 กิโลเมตรยิ่งเพิ่มความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือน

จากมุมมองที่เป็นกลาง ข้อสังเกตของทั้งสองฝ่ายมีน้ำหนักในตัวเอง การขาดการเตรียมพร้อมและมาตรฐานการก่อสร้างอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ความเสียหายทวีความรุนแรงขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ความใหญ่ของแผ่นดินไหวครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจเกินขีดความสามารถของโครงสร้างทั่วไปในภูมิภาคนี้ การหาข้อสรุปที่ชัดเจนจึงต้องรอผลการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาและวิศวกรรม เพื่อชี้ชัดถึงสาเหตุและแนวทางป้องกันในอนาคต โดยไม่ควรตัดสินว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงด้านเดียวในขณะนี้

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนครั้งของแผ่นดินไหวในเมียนมา: จากข้อมูลของ United States Geological Survey (USGS) ตั้งแต่ปี 2550-2567 มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดเกิน 5.0 ริกเตอร์ ในเมียนมาและบริเวณใกล้เคียงรวม 45 ครั้ง โดยครั้งนี้ (2568) เป็นเหตุการณ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรอบเกือบศตวรรษ (ที่มา: USGS Earthquake Catalog, 2567)
  2. ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า แผ่นดินไหวที่มีผลกระทบในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2550-2567 เกิดขึ้น 12 ครั้ง โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนหน้านี้คือแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2557 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน 1,200 หลัง (ที่มา: รายงานภัยพิบัติ ปภ., 2567)
  3. โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายในเมียนมา: ตามรายงานของ UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs (OCHA) ณ ปี 2566 โครงสร้างพื้นฐานในเมียนมามีความเปราะบางจากความขัดแย้งภายใน โดยร้อยละ 30 ของถนนและสะพานอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรับภัยพิบัติ (ที่มา: OCHA Myanmar Humanitarian Update, 2566)

สรุป

เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเมืองมัณฑะเลย์ ซึ่งภาพถ่ายจากดาวเทียม THEOS-2 ของ GISTDA ได้เผยให้เห็นถึงความรุนแรงของผลกระทบ ขณะที่อาฟเตอร์ช็อกยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องถึง 169 ครั้ง หน่วยงานทั้งในเมียนมาและประเทศไทยกำลังเร่งดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย การค้นหาความจริงและแนวทางป้องกันในอนาคตจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความสูญเสียจากภัยพิบัติครั้งต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • GISTDA
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • USGS
  • UN OCHA
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ถ้ำหลวงไม่กระทบแผ่นดินไหว พร้อมเปิดที่ใหม่ “เลียงผา-พญานาค

อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ยืนยันไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว พร้อมเตรียมเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่

เชียงราย, 30 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยและความพร้อมของอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบโดยละเอียดทั้งโครงสร้างอาคาร สิ่งปลูกสร้าง และเส้นทางท่องเที่ยวภายในอุทยานฯ พบว่าไม่มีความเสียหายหรือผลกระทบใด ๆ ต่อพื้นที่ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าเยี่ยมชมอุทยานฯ ได้ตามปกติ นอกจากนี้ยังมีการยืนยันจากทีมวิศวกรที่ได้ร่วมตรวจสอบแล้วว่า โครงสร้างต่าง ๆ ยังคงมีความแข็งแรงปลอดภัย

เตรียมเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ “ถ้ำเลียงผา-ถ้ำพญานาค”

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายอรรถพล ยังได้ติดตามความคืบหน้าการเตรียมเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ภายในอุทยานฯ ได้แก่ เส้นทาง “ถ้ำเลียงผา-ถ้ำพญานาค” ซึ่งเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับตำนานท้องถิ่นของเจ้าแม่นางนอน โดยเส้นทางดังกล่าวได้รับการปรับปรุงให้มีความปลอดภัย พร้อมติดตั้งป้ายสื่อความหมายเพื่อให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว

อธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวว่า การเปิดเส้นทางใหม่นี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย และเพิ่มทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติและเรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น

มาตรการความปลอดภัยและการเฝ้าระวังแผ่นดินไหว

แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ แต่กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ถ้ำหลวงที่เคยเป็นจุดสำคัญของภารกิจกู้ภัยในอดีต นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยของเส้นทางท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ

เยี่ยมชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ป้องกันไฟป่าดอยตุง

หลังจากตรวจสอบอุทยานฯ นายอรรถพล ได้เดินทางต่อไปยังสถานีควบคุมไฟป่าพื้นที่ทรงงานดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง เพื่อติดตามการปฏิบัติงานและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โดยเน้นย้ำให้มีการลาดตระเวนและเฝ้าระวังไฟป่าอย่างเข้มข้น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญทั้งในเชิงสิ่งแวดล้อมและเป็นพื้นที่ทรงงาน

ข้อมูลสถิติและการเฝ้าระวังแผ่นดินไหว

จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา และสามารถรับรู้แรงสั่นสะเทือนได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบล่าสุดยังไม่มีรายงานความเสียหายที่รุนแรงในพื้นที่ประเทศไทย

สถิติย้อนหลังระบุว่า จังหวัดเชียงรายตั้งอยู่ในเขตที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว เนื่องจากใกล้กับแนวรอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ของเมียนมา ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่มีพลังสูง การเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

  • ฝ่ายที่เห็นด้วยกับการเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่: นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการในพื้นที่เห็นว่าการเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่จะเป็นโอกาสที่ดีในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน
  • ฝ่ายที่มีความกังวล: บางฝ่ายกังวลว่าการเปิดเส้นทางใหม่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นอีก จึงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและบำรุงรักษาเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เตือนภัยในพื้นที่เสี่ยง

สรุป

อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ โดยไม่มีความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งล่าสุด นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้อย่างปลอดภัย ขณะเดียวกัน การเปิดเส้นทางใหม่ “ถ้ำเลียงผา-ถ้ำพญานาค” จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมอุตุนิยมวิทยา (www.tmd.go.th)
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (www.dnp.go.th)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ม.แม่ฟ้าหลวง จุดเทียนรำลึก ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว

นักศึกษาเมียนมาร์ ม.แม่ฟ้าหลวง จัดพิธีจุดเทียนรำลึกผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวเมียนมาร์-ไทย

เชียงราย, 29 มีนาคม 2568 – ชมรมนักศึกษาเมียนมาร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย จัดพิธีจุดเทียนรำลึกเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ขนาด 7.7 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นในเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงก่อให้เกิดความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนในทั้งสองประเทศ

พิธีจุดเทียนรำลึก แสดงออกถึงความห่วงใยและกำลังใจ

พิธีจุดเทียนรำลึกจัดขึ้นในเวลา 18.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง ภายในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยมีนักศึกษา คณาจารย์ ผู้บริหาร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมแสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์ครั้งนี้

ในพิธีมีการกล่าวคำรำลึกโดย ศาสตราจารย์ ดร.สุจิตรา วงศ์เกษมจิตต์ รองศาสตราจารย์ นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร ซึ่งได้กล่าวถึงความสำคัญของการร่วมมือและการให้กำลังใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ นอกจากนี้ยังมีการอ่านบทกวีเพื่อแสดงความอาลัย รวมถึงการร้องเพลงปลอบขวัญเพื่อส่งต่อกำลังใจแก่ผู้ประสบภัยทั้งในเมียนมาร์และไทย

นักศึกษาเมียนมาร์ร่วมไว้อาลัยและให้กำลังใจ

นักศึกษาเมียนมาร์ที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ร่วมกันจุดเทียนและยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต ขณะที่บางส่วนได้แบ่งปันเรื่องราวและความรู้สึกเกี่ยวกับครอบครัวและบ้านเกิดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว

หนึ่งในนักศึกษากล่าวว่า

เหตุการณ์นี้สร้างความเจ็บปวดอย่างมากต่อพวกเรา ครอบครัวและเพื่อนบ้านที่อยู่ในเมียนมาร์กำลังเผชิญกับความยากลำบาก แต่การที่ทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง”

การระดมความช่วยเหลือเพื่อผู้ประสบภัย

นอกเหนือจากการจัดพิธีจุดเทียนรำลึกแล้ว มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยังได้จัดตั้ง ศูนย์รับบริจาค เพื่อรวบรวมสิ่งของจำเป็นและเงินบริจาคสำหรับส่งไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยมีการประสานงานกับองค์กรด้านมนุษยธรรมและหน่วยงานในพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เบื้องต้นมีการจัดเตรียมสิ่งของจำเป็น เช่น

  • อาหารแห้ง
  • น้ำดื่ม
  • ยารักษาโรค
  • เสื้อผ้า
  • ผ้าห่ม และอุปกรณ์ยังชีพ

ประชาชนที่ต้องการร่วมบริจาคสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย หรือผ่านทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ความเสียหายจากแผ่นดินไหวในเมียนมาร์และไทย

จากรายงานของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) ระบุว่า แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ครั้งนี้ มีศูนย์กลางอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองสกาย (Sagaing) ใกล้กับเมืองมัณฑะเลย์ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ของเมียนมาร์ รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

  • เมียนมาร์: มีรายงานผู้เสียชีวิตกว่า 150 ราย และบาดเจ็บหลายร้อยราย บ้านเรือนและโบราณสถานหลายแห่งได้รับความเสียหาย
  • ไทย: ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ อาคารสูงบางแห่งได้รับความเสียหายเล็กน้อย และมีรายงานแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ในหลายจังหวัด

ความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติ

ในส่วนของการรับมือภัยพิบัติ มีความคิดเห็นที่หลากหลายจากทั้งนักวิชาการและประชาชน

  • ฝ่ายที่เห็นด้วย ระบุว่าการจัดงานรำลึกเช่นนี้ช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน การรวบรวมความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ฝ่ายที่เห็นต่าง ให้ความเห็นว่า ควรมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดความเสียหายและการสูญเสียในอนาคต รวมถึงการส่งเสริมการศึกษาด้านการป้องกันภัยพิบัติให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวและแหล่งอ้างอิง

  • สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS): รายงานแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์ ความลึก 16 กิโลเมตร
  • ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ: รายงานแรงสั่นสะเทือนที่รับรู้ได้ใน 57 จังหวัดของประเทศไทย
  • กระทรวงมหาดไทยเมียนมาร์: รายงานผู้เสียชีวิตกว่า 150 ราย และผู้บาดเจ็บมากกว่า 300 ราย
  • ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย: รวบรวมข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบในกลุ่มนักศึกษาเมียนมาร์ในไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS)
  • ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
  • กระทรวงมหาดไทยเมียนมาร์
  • ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายมั่นใจ ตรวจโรงแรม ปลอดภัยบ้านร้าวไม่ใช่แผ่นดินไหว

ผู้ว่าฯ เชียงราย มอบหมายหน่วยงานตรวจสอบโครงสร้างโรงแรม หลังแผ่นดินไหว สร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว

เชียงราย, 29 มีนาคม 2568 – จากสถานการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา และส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย ล่าสุด นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารโรงแรม และสถานที่สำคัญในจังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว

การตรวจสอบความปลอดภัยของโรงแรมสำคัญ

นายสุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และผู้แทนจากโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย ได้นำคณะลงพื้นที่ตรวจสอบโรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น และโรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าพักจำนวนมาก

จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบความเสียหายในโครงสร้างหลักของอาคาร รวมถึงระบบความปลอดภัยภายในอาคารยังคงใช้งานได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำให้โรงแรมทุกแห่งตรวจสอบระบบป้องกันภัยภายในอาคารอย่างสม่ำเสมอ

การลงพื้นที่สำรวจบ้านเรือนประชาชน

ในส่วนของประชาชน นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย ได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่กองช่างเทศบาลตำบลสันทราย ลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านเรือนที่ได้รับรายงานความเสียหายจากแผ่นดินไหวในพื้นที่หมู่ที่ 8 ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย

โดยหลังการตรวจสอบพบว่า รอยแตกร้าวที่ได้รับแจ้งผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นรอยเดิมที่ไม่ได้เกิดจากแผ่นดินไหวล่าสุด นอกจากนี้ยังพบร่องรอยการเข้าทำลายของปลวกและการซ่อมแซมก่อนหน้านี้ด้วยพียูโฟม ซึ่งมีการเปลี่ยนสีตามระยะเวลา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ประสานเจ้าของบ้านเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งในวันที่ 30 มีนาคม 2568 เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

การสั่งการและติดตามสถานการณ์

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และให้รายงานผลการตรวจสอบอาคารที่มีความเสี่ยงภายในวันนี้ รวมถึงเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในกรณีที่พบความเสียหายเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ยังมีการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสำรวจอาคารโรงพยาบาล โรงเรียน วัด และสถานที่ราชการที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะอาคารเก่าที่มีโครงสร้างเสี่ยงต่อการเสียหาย

สถิติและผลกระทบจากแผ่นดินไหว

จากรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีขนาด 8.2 ตามมาตราแมกนิจูด และมีจุดศูนย์กลางลึกลงไปประมาณ 10 กิโลเมตรในประเทศเมียนมา ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึงหลายจังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย รวมถึงจังหวัดเชียงราย

เบื้องต้นมีการรายงานความเสียหายเล็กน้อยในพื้นที่ 11 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ทั้งในส่วนของอาคารบ้านเรือน โรงพยาบาล วัด และสถานที่ก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้

ความเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการการตรวจสอบ:

  • ประชาชนและผู้ประกอบการโรงแรมหลายรายชื่นชมการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงราย

ฝ่ายที่มีข้อกังวล:

  • อย่างไรก็ตาม ยังมีประชาชนบางส่วนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมของอาคารเก่าในพื้นที่เสี่ยง โดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดและจัดทำแผนป้องกันภัยพิบัติที่ชัดเจนมากขึ้น

สรุป

จังหวัดเชียงรายยังคงติดตามสถานการณ์และผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างใกล้ชิด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการสำรวจและตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับความมั่นใจในความปลอดภัย ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นความเสียหายเพิ่มเติม สามารถแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือได้ทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ข้อมูลภัยพิบัติแห่งชาติ
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายสั่งเร่งสำรวจตึกเสี่ยงแผ่นดินไหว 11 อำเภอ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สั่งการทุกหน่วยงานเร่งสำรวจอาคารที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว พร้อมรายงานผลภายในวันนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

เชียงราย, 29 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (28 มีนาคม 2568) อย่างละเอียด โดยเน้นย้ำให้เร่งสำรวจอาคารที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงพยาบาล วัด โรงเรียน และอาคารของหน่วยงานราชการ เพื่อประเมินความปลอดภัยและรายงานผลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบภายในวันนี้

รายงานสถานการณ์ล่าสุด

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ. เชียงราย) ได้รายงานสถานการณ์แผ่นดินไหวในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พบว่ามีพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น 11 อำเภอ 12 ตำบล 12 หมู่บ้าน รวมถึงวัด 1 แห่ง โรงพยาบาล 9 แห่ง และสถานที่ก่อสร้าง 1 แห่ง มีรถยนต์และรถจักรยานยนต์เสียหายรวม 7 คัน ส่วนบ้านเรือนราษฎรได้รับความเสียหายบางส่วน 1 หลัง ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติมเพื่อรวบรวมข้อมูลอย่างครบถ้วน

อำเภอที่ได้รับผลกระทบหลัก

  • อำเภอเชียงของ: วัดท่าข้ามศรีดอนชัย ตำบลศรีดอนชัย หมู่ 7 ได้รับความเสียหายจากการพังถล่มของหลังคาอาคารวัฒนธรรม ซึ่งเป็นโครงสร้างไม้เก่า อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
  • อำเภอป่าแดด: เกิดเหตุคานถล่มบริเวณจุดก่อสร้างทางรถไฟ บ้านโป่งศรีนคร หมู่ 11 ตำบลโรงช้าง คานคอนกรีตขนาด 10 ตัน จำนวน 20 ท่อน ถล่มลงมาทับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 7 คัน โดยโชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
  • อำเภอเมืองเชียงราย: โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พบรอยร้าวเล็กน้อยที่ผนังอาคาร แต่ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างหลัก เครื่องมือแพทย์ และผู้ป่วย ยังคงสามารถให้บริการได้ตามปกติ
  • อำเภอดอยหลวง: บ้านเรือนประชาชนที่ตำบลโป่งน้อย หมู่ 8 และตำบลโชคชัย หมู่ 5 ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ส่งผลให้ผนังบ้านแตกร้าว 1 หลัง โรงพยาบาลดอยหลวงเกิดรอยร้าวที่ผนังอาคาร แต่โครงสร้างหลักยังคงปลอดภัยและเปิดให้บริการได้ตามปกติ

มาตรการและการสั่งการเพิ่มเติม

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจและตรวจสอบอาคารที่มีความเสี่ยงโดยละเอียด ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล วัด และอาคารที่สูง พร้อมรายงานผลการตรวจสอบให้ทราบภายในวันเดียวกัน นอกจากนี้ยังได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และวิศวกรโยธา เพื่อเข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารและให้คำแนะนำในการซ่อมแซม

ด้านสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบวัดวาอารามที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างละเอียด ขณะที่สำนักงานการศึกษา ได้เร่งตรวจสอบสภาพอาคารเรียนของโรงเรียนทุกแห่งในจังหวัด เพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา

การให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำแก่ประชาชน

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในแต่ละอำเภอ เพื่อรับแจ้งเหตุและให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที พร้อมจัดส่งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยประชาชนสามารถติดต่อแจ้งเหตุหรือขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

ในกรณีที่ได้รับข้อความแจ้งเตือนภัยจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ขอให้ประชาชนตรวจสอบว่าข้อความดังกล่าวส่งจากชื่อผู้ส่ง “DDPM” ซึ่งเป็นชื่อทางการ และหากพบว่ามีการส่งลิงก์แนบมากับข้อความ ขอให้ระมัดระวัง เนื่องจากอาจเป็นกลลวงจากมิจฉาชีพ

ข้อเสนอแนะในการป้องกันและรับมือแผ่นดินไหว

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ยังได้แนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันและรับมือแผ่นดินไหว ดังนี้:

  1. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผนัง หน้าต่าง หรือสิ่งของที่อาจตกหล่น
  2. หากอยู่ภายในอาคารให้หมอบลงและใช้มือป้องกันศีรษะ
  3. หากอยู่ภายนอกอาคาร ให้หลีกเลี่ยงเสาไฟฟ้าและอาคารสูง
  4. ติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหว

จากสถิติของกรมอุตุนิยมวิทยา ประเทศไทยมีแผ่นดินไหวขนาด 4.0 ขึ้นไปเฉลี่ยปีละ 15-20 ครั้ง และแผ่นดินไหวที่มีขนาด 6.0 ขึ้นไปที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงเกิดขึ้นเฉลี่ยทุกๆ 10-15 ปี โดยครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)

  • กรมอุตุนิยมวิทยา

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

  • สำนักข่าวไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ปภ.รายงานผลกระทบแผ่นดินไหว เร่งช่วยเหลือทั่วประเทศ

ปภ. รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แผ่นดินไหวและการให้ความช่วยเหลือประชาชน ย้ำทุกหน่วยงานร่วมเป็นกลไกการทำงานภายใต้ บกปภ.ช. เพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ประเทศไทย, 29 มีนาคม 2568 – กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานความคืบหน้าสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 โดยมีศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา ขนาด 8.2 แมกนิจูด ลึก 10 กิโลเมตร ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ประชาชนใน 57 จังหวัดสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ และเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายครั้ง

สรุปสถานการณ์และพื้นที่ได้รับผลกระทบ

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า แผ่นดินไหวดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย ผู้บาดเจ็บ 9 ราย และผู้สูญหาย 101 ราย โดยในปัจจุบันได้มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินในจังหวัดปทุมธานี แพร่ และกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

ในส่วนของอาคารและสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ เช่น

  • เชียงใหม่: อาคารคอนโดมิเนียม ศุภาลัย มอนเต้ 1 และ 2 และดวงตะวันคอนโดมิเนียมได้รับความเสียหายอย่างหนัก วัดสันทรายต้นกอกและวัดน้ำล้อมเกิดรอยร้าวในโครงสร้างเจดีย์และวิหาร
  • เชียงราย: หลังคาอาคารวัฒนธรรมวัดท่าข้ามศรีดอนชัยพังถล่ม และมีเหตุคานถล่มในจุดก่อสร้างทางรถไฟที่อำเภอป่าแดด
  • กรุงเทพมหานคร: อาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเขตจตุจักรถล่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายหลายราย
  • ลำพูน: ซุ้มประตูวัดพาณิชน์สิทธิการามและหอระฆังวัดดอนตองได้รับความเสียหาย รวมถึงบ้านเรือนประชาชนในหลายพื้นที่

การให้ความช่วยเหลือและมาตรการเร่งด่วน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่ออำนวยการในการค้นหาและช่วยเหลือผู้สูญหาย รวมถึงให้การเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ ปภ. ได้ส่งทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) พร้อมอุปกรณ์ค้นหาสัญญาณชีพเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานคร และร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อรองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ

ความคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ

ฝ่ายรัฐบาลและภาคประชาชนได้แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์ดังกล่าวอย่างหลากหลาย

  • ฝ่ายสนับสนุน: เห็นว่าการตอบสนองของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
  • ฝ่ายกังวล: มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคารเก่าและโครงสร้างพื้นฐานที่อาจไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนเกิดเหตุ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบและซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหายโดยเร็ว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า แผ่นดินไหวที่มีขนาด 8.2 แมกนิจูดครั้งนี้ ถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูงสุดในรอบ 100 ปีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • มีรายงานอาฟเตอร์ช็อกมากกว่า 56 ครั้งในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังแผ่นดินไหว
  • กรุงเทพมหานครได้รับแรงสั่นสะเทือนถึงระดับ 4 ตามมาตราริกเตอร์ ทำให้เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงในหลายอาคารสูง

ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสายด่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โทร. 1784 หรือแจ้งผ่านไลน์ไอดี @1784DDPM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักข่าวรอยเตอร์
  • สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียนมาวิปโยค แผ่นดินไหว 8.2 แรงสุดรอบศตวรรษ

สรุปเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในเมียนมา แรงสั่นสะเทือนที่สุดในรอบ 100 ปี

เมียนมา,29 มีนาคม 2568 – เมื่อเวลา 13.21 น. ของวันที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ในประเทศเมียนมา ซึ่งถือเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ของประเทศ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งในเมียนมาและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงส่งแรงสั่นสะเทือนถึง เวียดนาม และ ประเทศไทย จนทำให้อาคารในกรุงเทพฯ พังถล่มลงมาอย่างน้อย 1 แห่ง

ศูนย์กลางและข้อมูลทางเทคนิค

กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยรายงานว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้มีขนาด 8.2 และมีความลึกประมาณ 10 กิโลเมตร ขณะที่ สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (USGS) ระบุว่ามีขนาด 7.7 และความลึก 16 กิโลเมตร โดยศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ทาง ตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองสกาย (Sagaing) ใกล้กับ เมืองมัณฑะเลย์ (Mandalay) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเมียนมา

ผลกระทบและความเสียหาย

  • สะพานเอวา (Ava Bridge) ข้ามแม่น้ำอิระวดีในเมืองมัณฑะเลย์ พังถล่มลงมาบางส่วน ซึ่งเป็นภาพที่ได้รับการยืนยันจากสำนักข่าวรอยเตอร์ผ่านการตรวจสอบทางภูมิศาสตร์
  • วัดในเมืองมัณฑะเลย์ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยมีพระสงฆ์หลายรูปที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่
  • กรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของเมียนมา มีอาคารหลายแห่งได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะเพดานที่พังถล่มลงมา ทำให้เจ้าหน้าที่และประชาชนต้องอพยพออกจากอาคารอย่างเร่งด่วน
  • เมืองตองอู วัด Wailuwun พังถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย โดย 5 ราย เป็นเด็กไร้บ้าน และยังมีเด็กอีกกว่า 20 คน ที่อาจติดอยู่ในอาคารเรียนที่ถล่มลงมา

มาตรการรับมือและการประกาศภาวะฉุกเฉิน

กองทัพเมียนมา ได้ประกาศ ภาวะฉุกเฉิน ในหลายภูมิภาค พร้อมแถลงการณ์ผ่านแอปพลิเคชัน Telegram ว่าจะเร่งดำเนินการสอบสวนสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: เห็นว่าการประกาศภาวะฉุกเฉินและการเร่งดำเนินการช่วยเหลือเป็นการตอบสนองที่รวดเร็วและจำเป็นในสถานการณ์วิกฤต ขณะเดียวกัน การประกาศใช้มาตรการกู้ภัยโดยทันทีถือเป็นการลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม
  • ฝ่ายกังวล: ตั้งข้อสังเกตว่าการเข้าถึงข้อมูลที่จำกัดจากทางการเมียนมา และการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวดหลังการรัฐประหาร อาจทำให้การรายงานข้อมูลไม่ครบถ้วนและขาดความโปร่งใส ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ขนาดแผ่นดินไหว: 8.2 แมกนิจูด (ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา)
  • ขนาดแผ่นดินไหวจาก USGS: 7.7 แมกนิจูด และลึก 16 กิโลเมตร (ที่มา: USGS)
  • ผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวในตองอู: 6 ราย (ที่มา: Save The Trees Foundation)
  • เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาในอดีต: มากกว่า 6 ครั้ง ขนาด 7.0 ขึ้นไป ระหว่างปี 1930 – 1956 (ที่มา: USGS)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : apnews 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News