Categories
WORLD PULSE

‘ไทย’ กดดัน ‘เมียนมา’ เริ่มเห็นผล หลังมีเจ้าหน้าที่ท่าขี้เหล็กกวาดล้างหลายพื้นที่

ไทยกดดันเมียนมา ตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมียนมา, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – burmese.shannews และ tachileik NEWS รายงานว่า หลังจากที่ประเทศไทยเริ่ม ตัดกระแสไฟฟ้า งดขายน้ำมัน และตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งไปยังสหภาพเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อสกัดกลุ่มขบวนการ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้พื้นที่ชายแดนเมียนมาเป็นฐานในการหลอกลวงประชาชนในหลายประเทศ ส่งผลให้สถานการณ์ในเมืองท่าขี้เหล็กได้รับผลกระทบอย่างหนัก

เมืองท่าขี้เหล็กมืดสนิท คาสิโนขาดพลังงาน

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า โรงแรมและสถานบันเทิงหลายแห่งที่เป็นศูนย์กลางของคาสิโนในเมืองท่าขี้เหล็ก ต้องลดไฟส่องสว่างลง เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้า หลังจากที่ลาวจำกัดการส่งไฟจาก 30 เมกะวัตต์ เหลือเพียง 13 เมกะวัตต์ ทำให้เมืองทั้งเมืองมืดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงกลางคืน

นอกจากนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารท่าขี้เหล็ก ได้ระดมกำลังกวาดล้างบ่อนการพนันและเว็บพนันออนไลน์ ที่ลักลอบเปิดอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำสาย และเขตป่าเขาลึก ส่งผลให้มีการจับกุมเจ้าของบ่อน พนักงาน และผู้เกี่ยวข้องได้จำนวนมาก

แก๊งคอลเซ็นเตอร์-เว็บพนันเริ่มทยอยปิดตัว

จากแหล่งข่าวในท่าขี้เหล็ก พบว่าปัจจุบัน กลุ่มเว็บพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทยอยปลดพนักงานออกกว่า 100 คน เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ นายจ้างชาวจีนจึงจำเป็นต้อง ปลดพนักงานออก ทำให้แรงงานต่างชาติรวมถึงคนไทยจำนวนมากต้องเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

คาดการณ์ว่า หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มเหล่านี้อาจพยายามย้ายฐานปฏิบัติการเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลไทยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

รัฐบาลเมียนมาเร่งกวาดล้าง ขยายผลจับกุม

สื่อท้องถิ่นของเมียนมารายงานว่า ระหว่างวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจของท่าขี้เหล็ก ได้ดำเนินการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในหลายพื้นที่ ทั้งการทลายบ่อนการพนัน สแกมเมอร์ และฐานปฏิบัติการหลอกลวงทางออนไลน์ ส่งผลให้มีผู้ต้องหาถูกจับกุมหลายสิบคน รวมถึงชาวจีนและเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเหล่านี้

ขณะเดียวกัน กองทัพเมียนมายัง ดำเนินการบุกเข้าพื้นที่ควบคุมของกองกำลังติดอาวุธบางกลุ่ม ที่ให้การสนับสนุนธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ และมีการปะทะกันในบางพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและถูกจับกุมเพิ่มเติม

บีจีเอฟ-รัฐบาลเมียนมาขอไทยทบทวนมาตรการ

พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) รัฐกะเหรี่ยง เปิดเผยว่า กองกำลังบีจีเอฟและรัฐบาลเมียนมาต้องการให้ไทยทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและจำกัดน้ำมัน เนื่องจากประชาชนเมียนมาได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน และขอให้รัฐบาลไทยพิจารณามาตรการที่เหมาะสมมากขึ้น

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า บีจีเอฟได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด และกำลังดำเนินการช่วยเหลือแรงงานชาวอินโดนีเซียกว่า 100 คน ที่ตกเป็นเหยื่อให้เดินทางกลับประเทศ โดยใช้เส้นทางผ่านไทย

สรุปสถานการณ์ชายแดนเมียนมา-ไทย

การดำเนินมาตรการของไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และทำให้เมืองท่าขี้เหล็กที่เคยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจผิดกฎหมายต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพลังงานและแรงงานอย่างหนัก ขณะที่รัฐบาลเมียนมาได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดและเร่งขยายผลจับกุมอาชญากรข้ามชาติ โดยมีความร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดูว่าการย้ายฐานของกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ และไทยจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไรในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : tachileik / burmese.shannews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
WORLD PULSE

บีจีเอฟรับจีนเทาหลอกใช้พื้นที่ สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์

บีจีเอฟเมียนมารับเสียรู้จีนเทา แปลงพื้นที่สู่ศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่งเหยื่อกว่า 2,000 รายกลับไทย พร้อมช่วยเหลือชาวอินโดนีเซียอีก 100 คน

เมียนมา, 8 กุมภาพันธ์ 2568  – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับเป็นครั้งแรกที่ พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) ประจำจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ได้กล่าวยอมรับถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จีนเทา ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเมียวดี ตรงข้ามอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย

บีจีเอฟรับ ‘เสียรู้’ จีนเทา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้พื้นที่โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

พันโทหน่ายหม่อง โซ เปิดเผยว่า กลุ่มทุนจีนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตอิทธิพลของกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ ในช่วงแรกระบุว่า จะใช้พื้นที่ทำ คาสิโนและสถานบันเทิง เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีเศรษฐกิจดีขึ้นและให้ประชาชนมีงานทำ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป พบว่ามีปัญหาการดำเนินกิจกรรมของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งกองกำลังบีจีเอฟไม่สามารถจัดการได้โดยลำพัง เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

พันโทหน่ายหม่อง โซ ระบุว่า รายได้ที่ได้รับจากนักลงทุนจีนนั้นถูกนำไปพัฒนา ถนนและสะพาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เมื่อมีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้ามา ฝ่ายบีจีเอฟต้องพยายามแก้ไขร่วมกับทางการเมียนมา รวมถึงได้รับความร่วมมือจากสถานทูตและรัฐบาลไทย โดยปัจจุบันได้ดำเนินการ ส่งตัวเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศแล้วกว่า 2,000 คน ส่วนใหญ่ถูกส่งไปทางประเทศไทย เนื่องจากสะดวกและใกล้กว่าส่งไปยังเมืองย่างกุ้ง

เตรียมส่งตัวเหยื่อต่างชาติอีก 100 คน ส่วนใหญ่อินโดนีเซีย

ล่าสุด บีจีเอฟช่วยเหลือชาวต่างชาติจำนวนกว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินโดนีเซีย ซึ่งตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีแผนส่งตัวพวกเขาไปให้ทางการไทยในเร็วๆ นี้ โดยใช้ด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 เป็นจุดส่งตัว

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยืนยันว่า กองกำลังบีจีเอฟได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด โดยมีการประสานกับฝ่ายรัฐบาลเมียนมา รวมถึงรัฐบาลไทย และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหานี้ให้หมดไป

บีจีเอฟวอนไทยทบทวนมาตรการตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน

นอกจากนี้ พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยพิจารณา ทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้า และการจำกัดน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ส่งเข้าพื้นที่ชายแดนเมียนมา เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก พร้อมย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน ชาวกะเหรี่ยงและประชาชนชาวเมียนมามีความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ไทย และต้องการให้รัฐบาลไทยช่วยพิจารณาผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

Nvidia เปิดเผยแผนลงทุนใหญ่ในไทย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งเศรษฐกิจ

Nvidia เตรียมลงทุนในไทย เสริมศักยภาพอุตสาหกรรม AI

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า Nvidia (NVDA.O) บริษัทผู้ผลิตชิปชั้นนำของโลก เตรียมประกาศแผนการลงทุนในประเทศไทยในช่วงการเยือนของ Jensen Huang ซีอีโอของบริษัทในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทยและเป็นการร่วมสร้างคลัสเตอร์เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การลงทุนครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมประเทศไทย

Nvidia ไม่ใช่บริษัทเดียวที่แสดงความสนใจลงทุนในประเทศไทย ยังมีบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Alphabet Inc และ Microsoft Corp ที่ได้เข้ามาแล้ว การเข้ามาของ Nvidia จะช่วยเร่งให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมการผลิตและศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง

การเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในประเทศไทย

การลงทุนจาก Nvidia เป็นโอกาสที่ดีที่จะดึงดูดนักลงทุนรายอื่นๆ เข้ามาในอุตสาหกรรม AI และการผลิตชิป ในอดีตประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ แต่ปัจจุบันต้องเร่งพัฒนาศักยภาพด้าน AI เพื่อทันกับประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

การสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในการขยายตัวของอุตสาหกรรม

นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปี 2557 การลงทุนในไทยได้ลดลง แต่การที่ Nvidia แสดงความสนใจลงทุนในไทยครั้งนี้เป็นการแสดงถึงศักยภาพที่กลับมา การขยายตัวของอุตสาหกรรม AI จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย และมีส่วนในการเร่งการเติบโตของ GDP ในทศวรรษหน้า

การเจรจาการค้าระหว่างประเทศและแผนอนาคต

นอกจากการดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีแล้ว ประเทศไทยยังมุ่งมั่นที่จะสรุปข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในปีหน้า เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศ การขยายความร่วมมือในด้านความมั่นคงทางอาหารกับประเทศในตะวันออกกลางจะช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรที่เป็นจุดแข็งของไทย

การเติบโตของการลงทุนจากต่างชาติในปี 2567

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่าการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 42% เป็นมูลค่า 722.5 พันล้านบาท โดยมีแนวโน้มที่จะถึง 1 ล้านล้านบาทในปีนี้ การเข้ามาของ Nvidia ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคส่วนอื่นๆ เช่น ศูนย์ข้อมูลและการผลิตวงจรพิมพ์

การขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทย

ในปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น แม้เงินบาทจะแข็งตัวก็ตาม การเติบโตของการส่งออกจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตเกินกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรอย่างน้ำตาล ไก่แช่แข็ง และข้าว ซึ่งถือเป็นสินค้าหลักที่ไทยส่งออก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

โลกผลิตขยะพลาสติกปีละ 57 ล้านตัน ส่วนใหญ่เกิดจากประเทศกำลังพัฒนา

จากรายงานล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 โดยวารสาร “เนเจอร์” ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติกที่สร้างขึ้นทั่วโลกมากถึง 57 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับ 52 ล้านเมตริกตัน ต่อปี โดยกว่า 2 ใน 3 ของมลพิษนี้มาจากประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์

การศึกษานี้ได้รับการวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลีดส์ ในสหราชอาณาจักร โดยนักวิจัยได้ตรวจสอบการผลิตขยะพลาสติกในเมืองและเทศบาลมากกว่า 50,000 แห่งทั่วโลก พบว่าปริมาณขยะที่ถูกทิ้งลงในสภาพแวดล้อมที่เปิดโล่งนั้น สามารถเติมเต็มพื้นที่ของสวนสาธารณะ เซ็นทรัลพาร์ค ในนครนิวยอร์กด้วยขยะพลาสติกสูงเท่ากับตึกเอ็มไพร์สเตทได้เลยทีเดียว

 

มลพิษจากพลาสติกในประเทศกำลังพัฒนา

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดมลพิษพลาสติกจำนวนมากคือ การที่รัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถรวบรวมและกำจัดขยะได้อย่างเหมาะสมสำหรับประชากรราว 15% ของโลก การศึกษาพบว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาใต้สะฮาราเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตขยะพลาสติกมากที่สุด โดยเฉพาะในประเทศอินเดียที่มีประชากรจำนวนมากถึง 255 ล้านคนที่เผชิญกับปัญหานี้

ประเทศอินเดียเป็นผู้นำโลกในการผลิตมลพิษจากพลาสติก โดยสร้างมลพิษมากถึง 10.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งมากกว่าประเทศไนจีเรียและอินโดนีเซียถึงสองเท่า เมืองใหญ่ที่ปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลก ได้แก่ ลากอส ประเทศไนจีเรีย ตามมาด้วย นิวเดลี ประเทศอินเดีย, ลูอันดา ประเทศแองโกลา, การาจี ประเทศปากีสถาน และ อัลกาฮิราห์ ประเทศอียิปต์

แม้ประเทศจีนมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อมลพิษมากที่สุดในโลก แต่จากข้อมูลของการศึกษาครั้งนี้ จีนอยู่อันดับสี่ในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก แต่จีนได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการลดปริมาณขยะพลาสติกในประเทศ

 

สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในด้านมลพิษจากพลาสติก

ประเทศสหรัฐฯ อยู่ในอันดับที่ 90 ของโลกในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก โดยมีปริมาณขยะมากกว่า 52,500 ตันต่อปี ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่อันดับที่ 135 โดยมีปริมาณขยะเกือบ 5,100 ตัน แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีระบบการจัดการขยะที่ดี แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหามลพิษจากพลาสติกได้

 

ข้อตกลงสากลเพื่อลดมลพิษพลาสติก

ในปี 2565 ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ตกลงที่จะทำ ข้อตกลงทางกฎหมาย เพื่อจัดการกับปัญหามลพิษจากพลาสติกอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงการกำจัดขยะพลาสติกในมหาสมุทร ข้อตกลงสุดท้ายคาดว่าจะถูกเจรจาในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ประเทศเกาหลีใต้ การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจนในการลดมลพิษและควบคุมการผลิตพลาสติกอย่างยั่งยืน

 

ผลกระทบของไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

จากข้อมูลการศึกษานี้ พบว่า 57% ของมลพิษจากพลาสติกทั่วโลก มาจากพลาสติกที่ถูกเผาอย่างไม่ถูกต้อง หรือถูกทิ้งลงในสิ่งแวดล้อมเปิดโล่ง สิ่งนี้ส่งผลให้เกิด ไมโครพลาสติก และ นาโนพลาสติก ซึ่งแพร่กระจายเข้าสู่ทุกมุมของโลก ตั้งแต่ยอดเขาเอเวอเรสต์ ไปจนถึงร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาในมหาสมุทรแปซิฟิก

ไมโครพลาสติกได้เข้าสู่ระบบนิเวศน์ รวมถึงเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านน้ำดื่ม อาหาร และอากาศที่เราหายใจ นักวิทยาศาสตร์ได้พบไมโครพลาสติกในเนื้อเยื่อต่างๆ ของมนุษย์ เช่น หัวใจ สมอง และอวัยวะอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องการเวลาในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงของไมโครพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

 

โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลาสติก

องค์การสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่า การผลิตพลาสติกจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 440 ล้านตันต่อปี ไปจนถึงมากกว่า 1,200 ล้านตัน ในอนาคต ซึ่งหมายความว่า โลกของเรากำลังจมอยู่กับพลาสติก” ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AP

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News