Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ตามรอยรสชาติที่หายไป! เชียงรายนำ แกงแคไก่เมือง ขึ้นเวทีใหญ่ลำพูน พลิกภูมิปัญญาอาหารสู่รายได้

แกงแคไก่เมือง” จุดพลุ Soft Power เชียงราย จาก “รสชาติที่หายไป” สู่งานมหกรรม 10 จังหวัดภาคเหนือขายหมดเกลี้ยงที่ลำพูน เชื่อมเศรษฐกิจวัฒนธรรม–ท่องเที่ยว

ลำพูน/เชียงราย, 16 พฤศจิกายน 2568 — ยามเย็นที่ “ข่วงพันปี ถนนรถแก้ว” เมืองลำพูน กลิ่นสมุนไพรพื้นบ้านคละคลุ้งอยู่เหนือแถวผู้คนที่ทอดยาวไปตามถนนสายวัฒนธรรม เสียงครกตำพริกแกงกระทบสากเป็นจังหวะ ก่อนควันบาง ๆ จากหม้อแกงขนาดใหญ่จะลอยสูงขึ้น ชวนให้ผู้คนที่เดินผ่านต้องหยุดสูดกลิ่นและหันตามสายตาไปยังป้าย “เชียงราย แกงแคไก่เมือง” เมนูที่ผู้จัดงานนิยามไว้ว่าเป็นหนึ่งใน “รสชาติที่หายไป” ของภาคเหนือ และในค่ำคืนนี้ มันกำลังกลับมาอย่างสง่างาม พร้อม “ยอดขายที่หมดเกลี้ยง” และเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับพลังของอาหารพื้นถิ่นต่อเศรษฐกิจวัฒนธรรม

งานมหกรรม “ตามรอยรสชาติอาหารที่หายไป The Lost Taste 10 จังหวัดภาคเหนือ” จัดขึ้นภายใต้ โครงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยทุนทางวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายอนุรักษ์–ฟื้นคืน–และเผยแพร่ “มรดกภูมิปัญญาอาหาร” ที่วันนี้เริ่มหาทานยาก จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมโดย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำทีมโดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยมี นายอนุสร เทพปินตา เป็นตัวแทนสาธิตและจำหน่ายอาหารจากเชียงราย 3 เมนู ได้แก่ แกงแคไก่เมือง (เมนูไฮไลต์), คั่วแห้มไก่เมือง, และ แกงจิ๊น (แกงเนื้อ)

บรรยากาศ “ถนนสายวัฒนธรรม”  กลิ่นสมุนไพรที่พาคนทั้งถนนหยุดเดิน

ภาพแรกที่เตะตาคือ “งานครัวกลางแจ้ง” ที่เปิดหน้าบ้านให้ผู้คนเห็นทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดผักป่า–ยอดผักพื้นบ้าน ไปจนถึงการผัดเครื่องแกงให้หอมขึ้นน้ำมัน ก่อนเติมไก่เมืองลงหม้อและเคี่ยวด้วยไฟพอดี บูธเชียงรายรายล้อมด้วยผู้คนอย่างรวดเร็ว หลายคนตั้งใจว่าจะแวะ “ชิมนิดหน่อย” แต่กลับกลายเป็นการเข้าคิวต่อเนื่อง เพราะ “กลิ่นแกง” ที่หอมฟุ้งไปไกลเกินกว่าจะปฏิเสธได้

แกงแคไก่เมือง” ไม่ใช่แกงเผ็ดธรรมดา หากเป็น “สารานุกรมกินได้” ของป่าและสวนหลังบ้าน ชื่อ “แค” ในที่นี้ มิได้หมายถึงดอกแคเสมอไป ทว่าเป็นรหัสของ “พืชผักหลายอย่าง” ที่ชุมชนเลือกมาใส่ตามฤดูกาล ความงามของแกงแคจึงอยู่ที่ “ความหลากหลาย” และ “ความสด” พริก ข่า ตะไคร้ ผักชีลาว ยอดมะม่วงหิมพานต์ (ในบางฤดู) ชะอม ปูนาแห้งเล็กน้อย (ในสูตรโบราณบางถิ่น) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่เล่าเรื่องภูมิปัญญาการกินของคนเหนือ ซึ่ง “หยิบของใกล้ตัวมาใช้” อย่างรู้คุณค่า และรู้จักสร้างสมดุลระหว่างโปรตีนจากไก่บ้านกับเส้นใย–สารต้านอนุมูลอิสระจากผักพื้นบ้าน

ผู้ร่วมงานจำนวนมากเลือกซื้อทั้ง 3 เมนูกลับบ้าน ท่ามกลางเสียงชื่นชมที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ บูธคล้ายกันว่า “หอมมาก กินแล้วคิดถึงบ้าน” และไม่นานนัก แกงทั้งสามชนิดก็จำหน่าย “หมดเกลี้ยง” ซึ่งไม่เพียงเป็นสัญญาณเชิงพาณิชย์ของ “รสชาติที่ยังมีคนโหยหา” หากยังสะท้อนความพร้อมของอาหารพื้นถิ่นเชียงรายในการขยับขึ้นสู่ “Soft Power” ที่จับต้องได้

จากครัวบ้านสู่ครัวมหกรรม  เหตุใด “แกงแคไก่เมือง” จึงทรงพลัง

  1. ตัวแทนชีวภาพของภูมิภาค   แกงแคผูกติดกับ “ฤดูกาล–ภูมิประเทศ” โดยตรง ผักแต่ละชนิดบอกพื้นที่ปลูกและป่าที่หากิน เมื่อยกหม้อแกงขึ้นโต๊ะ เท่ากับยกภูมิประเทศขึ้นมาด้วย
  2. โภชนาการในครัวเรือน   แกงแคเป็นเมนูที่ผสาน “โปรตีนเนื้อสัตว์ + ผักพื้นบ้านหลากชนิด” ได้ในจานเดียว สอดคล้องแนวคิดอาหารสุขภาวะร่วมสมัย
  3. เรื่องเล่า–ความคิดถึง–อัตลักษณ์   สำหรับชาวเชียงราย–ล้านนา แกงแคคือ “รสมือแม่–รสชุมชน” เมื่อถูกจัดวางในงานมหกรรม จึงกระตุ้นความผูกพันทางอารมณ์และความทรงจำร่วม

ผลลัพธ์คือ การขายหมดอย่างรวดเร็วของทั้ง 3 เมนู และ “แถวคอย” ที่ยังไม่สลาย แม้ป้าย “สินค้าหมด” จะถูกตั้งไว้แล้วก็ตาม

Soft Power ที่มีราก  เมื่อ “ทุนทางวัฒนธรรม” กลายเป็น “รายได้”

งานครั้งนี้เน้นชัดว่า อาหารพื้นถิ่นไม่ใช่เพียงวัตถุแห่งความทรงจำ แต่คือ “ทุน” ที่ต่อยอดเป็น “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ได้จริงในสามระดับ

  • ระดับผู้ประกอบการรายย่อย  ผู้ค้าย่อมมียอดจำหน่ายทันทีจากการเข้าร่วมงาน ขณะเดียวกันยังได้ “ฐานแฟน” ใหม่ ๆ ซึ่งติดตามไปสู่การสั่งจอง–พรีออเดอร์ในอนาคต
  • ระดับชุมชนและห่วงโซ่วัตถุดิบ  เมื่อเมนูได้รับความนิยม ความต้องการวัตถุดิบพื้นบ้านเพิ่มขึ้น เกิดการเชื่อมโยงกับเกษตรกรรายเล็ก–ผู้รวบรวมผักป่า–ผู้เลี้ยงไก่พื้นเมือง
  • ระดับเมืองและการท่องเที่ยว  เมนูเด่นกลายเป็น “เหตุผลในการเดินทาง” นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งตั้งใจ “มากินที่ต้นทาง” สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนแก่ร้านอาหารชุมชน–โฮมสเตย์–ตลาดวัฒนธรรม

กล่าวได้ว่า “แกงแคไก่เมือง” ในบูธเชียงรายไม่ใช่หม้อแกงใบเดียว แต่คือ “แบบจำลองเศรษฐกิจวัฒนธรรม” ที่จุดติดได้จริงในพื้นที่สาธารณะ

บทบาทของหน่วยงานรัฐ  ทำอย่างไรให้ “รสชาติที่หายไป” อยู่ยาว

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน ทำหน้าที่ “ยกเวที–จัดแสง–เปิดพื้นที่” ให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้นำเสนอเมนูที่เสี่ยงจะเลือนหายต่อหน้าสาธารณะ พร้อมสื่อสาร “คุณค่าทางวัฒนธรรม” ให้สาธารณชนเข้าใจว่า อาหารพื้นถิ่นคือองค์ความรู้รวมหมู่ ไม่ใช่เพียงสูตรลับส่วนตัว

ในทางปฏิบัติ บทบาทรัฐที่เห็นผลได้จริงในงานครั้งนี้มีอย่างน้อยสี่ประการ

  1. คัดเลือกเมนูเชิดชูอัตลักษณ์   เลือกเมนูที่สื่อความเป็นเชียงรายชัดเจน มีเรื่องเล่า มีวัตถุดิบเฉพาะถิ่น
  2. ยกระดับมาตรฐานการสาธิต   การทำครัวกลางแจ้งแบบเปิด เพื่อให้คนดู “เรียนรู้ผ่านสายตา” เข้าใจเครื่องแกง–ขั้นตอน–เหตุผลของวัตถุดิบ
  3. เชื่อมเครือข่ายผู้ประกอบการ   ดึงผู้ประกอบการที่มีความรู้และรสมือเป็นที่ยอมรับ เช่น นายอนุสร เทพปินตา มาเป็น “ครูภาคสนาม” ให้ผู้ชมได้ซักถาม
  4. เก็บข้อมูล–ต่อยอดเชิงนโยบาย   สำรวจความนิยมของเมนู–ความพร้อมของวัตถุดิบ–ศักยภาพขยายตลาด เพื่อนำไปออกแบบโครงการต่อเนื่อง

สูตรที่เล่าเรื่อง  เคล็ดลับของความ “หอมกรุ่น”

แกงแคไก่เมืองที่ขายหมดเกลี้ยงในคืนนี้ ไม่ได้โดดเด่นที่ “ความเผ็ด” หากโดดเด่นที่ “ความหอม” ซึ่งมาจากสามชั้นสำคัญ

  • ชั้นเครื่องแกง  พริก–ข่า–ตะไคร้–ผิวมะกรูด–กะปิ–กระเทียมตำสด ผัดให้หอมขึ้นน้ำมันก่อนเติมน้ำซุป
  • ชั้นผักพื้นบ้าน  ชะอม–ผักชีลาว–ยอดฟักทอง–ถั่วฝักยาว–ใบชะพลู (ขึ้นกับฤดูกาล) ที่ให้กลิ่นเฉพาะ
  • ชั้นเนื้อไก่เมือง  เนื้อแน่น–ไขมันน้อย เคี้ยวได้รสและกลิ่นควันไฟอ่อน ๆ เมื่อเคี่ยวพอดี

การเลือกไก่เมืองแทนไก่เนื้อทั่วไปทำให้ “น้ำแกงไม่เลี่ยน” และ “กลิ่นสมุนไพรชัด” ซึ่งสอดรับกับรสนิยมร่วมสมัยที่เน้นรสสมุนไพร–ผักพื้นบ้าน และการกินอย่างรู้แหล่งที่มา (origin)

คำถามสำคัญหลังหม้อแกง  จะทำอย่างไรให้ “ความนิยมวันนี้” กลายเป็น “เศรษฐกิจยั่งยืน”

การขายหมดในงานมหกรรมคือสัญญาณเริ่มต้น ไม่ใช่เส้นชัย หากต้องการให้ “แกงแคไก่เมือง” เป็น Soft Power เชิงระบบ ที่พาเชียงรายไปต่อ มีข้อเสนอเชิงปฏิบัติการ 4 ด้านดังนี้

(1) มาตรฐาน–ถ่ายทอด–สร้างคนทำแกงรุ่นใหม่

  • จัดทำ “ชุดตำรับมาตรฐาน” (Standardized Recipe) ที่ยังยืดหยุ่นต่อฤดูกาล
  • เปิดคลาสสาธิตต่อเนื่องในจังหวัด เชื่อมครัวโรงเรียน–วิทยาลัยอาชีวศึกษา–มหาวิทยาลัย
  • สร้าง “ช่างทำแกงแคประจำชุมชน” ที่รับงานจัดเลี้ยง–ครัวเทศกาลได้

(2) วัตถุดิบ–ห่วงโซ่–การรับรองแหล่งที่มา

  • พัฒนาเครือข่ายผู้ปลูกผักพื้นบ้าน–ผู้เลี้ยงไก่เมือง พร้อม “ป้ายบอกแหล่งที่มา” ในงาน/ร้าน
  • ส่งเสริม “ตลาดนัดผักพื้นบ้าน” รายสัปดาห์ในเชียงราย เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงของสดง่ายและคงคุณภาพ

(3) เมนูต่อยอด–แพ็กเกจท่องเที่ยว–เส้นทางอาหาร

  • สร้างเมนูคู่ขวัญ (เช่น คั่วแห้ม–แกงจิ๊น) ให้เป็น “ชุดประสบการณ์ล้านนา”
  • ทำ “เส้นทางแกงแค” เชื่อมชุมชน–ครัวบ้าน–ร้านอาหาร–ตลาดวัฒนธรรม
  • ผนวกกิจกรรม “ครัวสาธิต” ในแพ็กเกจทัวร์เรียนรู้ เพื่อเพิ่มเวลาใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในเชียงราย

(4) การสื่อสาร–แบรนด์–ตลาดออนไลน์

  • สร้างแบรนด์ “Lost Taste Chiang Rai” ทำโลโก้–เรื่องเล่า–วิดีโอสั้น
  • เปิดพรีออเดอร์ชุดแกง (ชุดเครื่องแกง–ผัก–คู่มือ) จัดส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ
  • ใช้คอนเทนต์คู่ความรู้ เช่น สรรพคุณสมุนไพร–เรื่องเล่าฤดูกาล ช่วยสร้างการจดจำ

เสียงสะท้อนจากพื้นที่จัดงาน  “กินแล้วนึกถึงบ้าน”

แม้ในงานไม่ได้มีการจัดเวทีเสวนาเฉพาะของเชียงราย แต่ “สนามจริง” หน้าเตา–หน้าหม้อคือพื้นที่พูดคุยที่ดีที่สุด หลายครอบครัวเล่าให้กันฟังว่ารสนี้ “ทำให้คิดถึงแม่” บางคู่พาผู้สูงอายุมาชิม พร้อมอธิบายว่าครั้งหนึ่งเคยกินจากฝีมือคุณยายในงานบุญ สิ่งเหล่านี้คือ “ทุนทางความทรงจำ” ที่เงินโฆษณาซื้อไม่ได้ และเป็นแรงส่งให้เมนูพื้นถิ่นมีชีวิตอยู่ต่อในเศรษฐกิจร่วมสมัย

ก้าวถัดไปของเชียงราย  จากบูธมหกรรมสู่ “เมืองรสชาติ”

ความสำเร็จที่ลำพูนทำให้เห็นว่า เชียงรายมีศักยภาพจะประกาศตัวเองในฐานะ “เมืองแห่งรสชาติพื้นถิ่นล้านนา” ได้อย่างไม่ขัดเขิน และหากขยับอย่างเป็นระบบ เมืองสามารถมี “ปฏิทินอาหารพื้นถิ่น” รายไตรมาส จัดหมุนเวียนในอำเภอต่าง ๆ (เมือง–แม่สาย–เชียงแสน–เวียงชัย–เวียงเชียงรุ้ง ฯลฯ) เพื่อสร้างเศรษฐกิจท่องเที่ยวในมิติใหม่ที่ผสานตลาดชุมชน–งานวัฒนธรรม–และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น

สำหรับหน่วยงานรัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษาในพื้นที่ การจับมือกันทำ “ห้องทดลองอาหารพื้นถิ่น” (Living Lab) จะช่วยรวบรวมสูตร–เครื่องมือ–และความรู้การแปรรูป เช่น ชุดเครื่องแกงพร้อมปรุง–น้ำพริกแกงแคพร้อมใช้–ชุดผักแห้งอบกรอบเสริมใย–แคริ่งแพ็กเกจเพื่อคนเมืองที่อยากทำแกงแคเองในคอนโด แกนกลางของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ “ขายได้” แต่คือ “รักษาได้” รักษาสูตร–รักษาฤดูกาล–รักษาผู้ประกอบการรายเล็ก ให้เดินไปพร้อมเศรษฐกิจเมืองท่องเที่ยว

ประโยคชวนคิด  ถ้าหม้อแกงหนึ่งใบทำให้คนหันกลับมามองผักพื้นบ้านและไก่เมืองทั้งห่วงโซ่ได้ นั่นไม่ใช่แค่ยอดขายที่หมดเกลี้ยง หากคือ “ระบบคุณค่าที่กลับมามีชีวิต”

สรุปแกนความสำเร็จในลำพูน 

  • เมนูเชิดชูอัตลักษณ์  แกงแคไก่เมือง สื่อเรื่องฤดูกาล–ภูมิประเทศ–โภชนาการ
  • รูปแบบนำเสนอ  ครัวสาธิตกลางแจ้ง เห็นทุกขั้นตอน–ถามตอบได้จริง
  • ผลตอบรับ  ผู้คนต่อคิวยาว ยอดจำหน่าย 3 เมนู “หมดเกลี้ยง” ภายในงาน
  • โอกาสต่อยอด  สร้างแบรนด์รสชาติ–เส้นทางท่องเที่ยว–ชุดเครื่องแกงพร้อมปรุง–ตลาดผักพื้นบ้าน
  • หัวใจเชิงนโยบาย  รัฐเป็น “ผู้เปิดพื้นที่–เชื่อมเครือข่าย–คุ้มคุณค่า” เอกชน–ชุมชน–คนรุ่นใหม่เป็น “ผู้ทำให้เกิดจริง”

รายละเอียดภาคปฏิบัติ  ใคร–ทำอะไร–ที่ไหน

  • เวทีจัดงาน  ข่วงพันปี ถนนรถแก้ว (ถนนสายวัฒนธรรม) อำเภอเมืองลำพูน
  • กรอบงาน  มหกรรม “ตามรอยรสชาติอาหารที่หายไป The Lost Taste 10 จังหวัดภาคเหนือ” ภายใต้โครงการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยทุนทางวัฒนธรรม
  • ผู้ร่วมดำเนินงานจากเชียงราย  สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำโดย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ และคณะเจ้าหน้าที่
  • ผู้สาธิต/จำหน่าย (เชียงราย)  นายอนุสร เทพปินตา ผู้ประกอบการเชียงราย พร้อมเมนู แกงแคไก่เมือง, คั่วแห้มไก่เมือง, แกงจิ๊น
  • ผลตอบรับในงาน  ความสนใจล้นหลาม กลิ่นแกงโดดเด่น ทำให้สินค้าทั้ง 3 เมนูจำหน่ายหมดภายในงาน

 “รสชาติที่หายไป” กำลังกลับมาด้วยความภูมิใจร่วม

ค่ำคืนที่ลำพูนคือภาพจำว่า “รสชาติ” ไม่เคยหายไปจากผู้คน เพียงรอเวทีเหมาะสมให้กลับมาดังอีกครั้ง เชียงรายใช้โอกาสนี้อย่างงดงาม ยกเมนูพื้นบ้านขึ้นสู่พื้นที่สาธารณะ พูดภาษาเศรษฐกิจได้ชัดขึ้น และเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวแบบลึกซึ้งในระดับชุมชน หากแรงส่งนี้ถูกต่อยอดด้วยโครงสร้างรองรับที่ดี มาตรฐานสูตร การถ่ายทอดทักษะ ห่วงโซ่วัตถุดิบ และการสื่อสารที่ร่วมสมัย แกงแคไก่เมือง” จะไม่เป็นเพียงเมนูที่ขายหมดในงานหนึ่งครั้ง แต่จะกลายเป็น “สัญลักษณ์รสชาติของเชียงราย” ที่เดินได้ไกลทั้งในตลาดไทยและสายตานานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำพูน
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นโยบาย “วัฒนธรรมสร้างอนาคต” ขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติทั่วประเทศ

 

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 เวลา 13.00 น. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้จัดประชุมถ่ายทอดนโยบายของ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และ ดร.ยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิด “วัฒนธรรมสร้างอนาคต” (Culture For The Future) ณ ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยมี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วยผู้บริหารระดับสูงและข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรมจากทุกหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อระดมความคิดเห็นและนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายในปีงบประมาณ 2568 อย่างเป็นรูปธรรม

วัฒนธรรม: กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ในการประชุมครั้งนี้ เน้นการวางนโยบายภายใต้ 4 นโยบายหลัก ได้แก่

  1. การอนุรักษ์และฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิม
  2. การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากวัฒนธรรม
  3. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ
  4. การยกระดับและสร้างสรรค์กิจกรรมทางวัฒนธรรมใหม่ ๆ

โดยมุ่งเน้นแนวทางการทำงานแบบ “รักษาสิ่งเดิม เพิ่มเติมสิ่งใหม่” เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจวัฒนธรรมให้เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

วัฒนธรรม: พลังแห่งอนาคตเพื่อสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

นโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมในปีงบประมาณ 2568 ได้รับการถ่ายทอดผ่านแนวคิด “วัฒนธรรม คือ พลังแห่งอนาคต” โดยยึดหลักการขับเคลื่อน 4 นโยบาย 3 แนวทาง 2 รูปแบบการปฏิบัติ และ 1 เป้าหมายหลัก คือการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยนางสาวสุดาวรรณกล่าวว่า “เศรษฐกิจวัฒนธรรม คือ กุญแจสำคัญที่ปลดล็อกประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน”

การประชุมถ่ายทอดนโยบายและระดมความคิด

การประชุมในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักในการ สร้างความเข้าใจและแนวทางปฏิบัติร่วมกัน ให้กับข้าราชการและบุคลากรสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดยมีการแบ่งกลุ่มย่อยตามสายงานเพื่อระดมความคิดเห็น และสรุปนโยบายจากไฟล์เอกสารและสื่อที่ได้รับจากสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ทั้งนี้ ข้าราชการทุกคนได้นำเสนอแนวทางการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2568 และปีต่อไป เพื่อผลักดันนโยบายวัฒนธรรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ในทุกพื้นที่

ผู้เข้าร่วมประชุมจากทุกภาคส่วนร่วมระดมความคิด

ผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย นางพรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม, นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม, นางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ รักษาการแทนผู้อำนวยการกลุ่มกิจการพิเศษ, นายภัทรพงษ์ มะโนวัน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ หัวหน้ากลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน, นางสาวมธุรส เมืองเสริม นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ หัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป พร้อมข้าราชการและบุคลากรของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายกว่า 47 คน ที่เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง

เป้าหมายการขับเคลื่อน: เศรษฐกิจวัฒนธรรม สู่การพัฒนาประเทศ

ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวนอกจากจะเป็นการถ่ายทอดนโยบายจากส่วนกลางแล้ว ยังเป็นการ สร้างแนวทางปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในแต่ละจังหวัด การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกคนได้รับความรู้และความเข้าใจที่ชัดเจน นำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงวัฒนธรรมให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายหลักของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

บทสรุป: วัฒนธรรมสร้างเศรษฐกิจ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

การประชุมถ่ายทอดนโยบายครั้งนี้เป็นการวางรากฐานในการพัฒนาวัฒนธรรมให้เป็นพลังสำคัญในการสร้างสังคมและเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน โดยมีการวางแนวทางการปฏิบัติอย่างชัดเจน เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘พิสันต์’ รับโล่ประกาศเกียรติคุณ ชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชนยลวิถี” 4 ปีติดต่อกัน

 

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 เวลา 09.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานมอบนโยบายการขับเคลื่อน “เศรษฐกิจวัฒนธรรม เพื่อการพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืน” ภายใต้โครงการ “22 ปี กระทรวงวัฒนธรรม นำคุณค่า พัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมให้กับบุคลากรในหน่วยงานด้านวัฒนธรรมทั่วประเทศ พร้อมยกระดับการขับเคลื่อนวัฒนธรรมไปสู่การพัฒนาชุมชนและประเทศชาติอย่างยั่งยืน โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าส่วนราชการ และองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงวัฒนธรรมจังหวัด 76 จังหวัด และสภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วมรับฟังอย่างพร้อมเพรียง

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวในพิธีเปิดว่า การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจวัฒนธรรมเป็นก้าวสำคัญที่จะนำคุณค่าของศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคเอกชน รวมถึงการสานต่อโครงการต่าง ๆ ที่กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

ในงานดังกล่าว นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้บรรยายในหัวข้อ “การขับเคลื่อนวัฒนธรรมสู่พลังแห่งอนาคต” ซึ่งเน้นย้ำถึงบทบาทของวัฒนธรรมในฐานะเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม พร้อมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของวัฒนธรรมในชุมชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้แก่ กรมการศาสนา กรมศิลปากร กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้ร่วมบรรยาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News