Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

บวช 71 รูป เฉลิมพระเกียรติ วัดพระธาตุผาเงา เชียงราย

พิธีบรรพชาอุปสมบท เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ณ วัดพระธาตุผาเงา จ.เชียงราย

ร่วมใจถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา

เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เวลา 09.00 น. ณ วัดพระธาตุผาเงา ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีบรรพชาอุปสมบท เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 70 พรรษา ในปี 2568

พิธีอุปสมบทภายใต้ความร่วมมือของหลายหน่วยงาน

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างวัดพระธาตุผาเงา คณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย ภายใต้การสนับสนุนของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

ประธานฝ่ายสงฆ์และฆราวาสร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง

พระราชวชิรคณี ดร. เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ขณะที่นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานในพิธี ท่ามกลางข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนในพื้นที่ที่มาร่วมแสดงความจงรักภักดีอย่างอบอุ่น

จำนวนผู้บวชร่วมโครงการ 71 รูป

โครงการในครั้งนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมจำนวนทั้งสิ้น 71 รูป แบ่งเป็น

  • สารเณร จำนวน 53 รูป
  • พระภิกษุ จำนวน 18 รูป

กิจกรรมต่อเนื่องตลอด 15 วัน เพื่อเสริมสร้างคุณธรรม

กิจกรรมบรรพชาอุปสมบทจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มีนาคม ถึง 12 เมษายน 2568 รวมเวลา 15 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชนได้เรียนรู้หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ผ่านหลักสูตรศาสนศึกษาสำหรับผู้บวชใหม่ ซึ่งเน้นการฝึกจิตใจ ปฏิบัติธรรม และเรียนรู้จริยธรรมพื้นฐาน

ปลูกฝังค่านิยมไทย และตระหนักถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น

โครงการนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคนให้เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมไทย โดยเน้นความสำคัญของวัฒนธรรมและค่านิยมไทย สร้างความตระหนักในคุณค่าของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

ความร่วมมือของบุคลากรจากหลายฝ่าย

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ พร้อมด้วยนางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ และเจ้าหน้าที่กลุ่มศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ได้เข้าปฏิบัติงานอำนวยความสะดวกด้านพิธีการ ตลอดจนให้การสนับสนุนทางวิชาการและการประสานงานกับคณะสงฆ์อย่างต่อเนื่อง

เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมและประชาชนในพื้นที่

หลายครอบครัวที่ส่งบุตรหลานเข้าร่วมบวช ต่างรู้สึกภาคภูมิใจในโอกาสที่ได้รับการฝึกอบรมทางจิตใจและคุณธรรม ขณะที่ประชาชนทั่วไปมองว่ากิจกรรมนี้ส่งเสริมความสามัคคีและปลูกฝังความเคารพในประเพณี

แนวทางพัฒนาโครงการในอนาคต

ผู้บริหารหลายฝ่ายเสนอว่า โครงการลักษณะนี้ควรจัดเป็นประจำทุกปี โดยอาจขยายไปยังอำเภออื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ การส่งเสริมให้เยาวชนได้เข้าร่วมก่อนเข้าสู่ช่วงวัยทำงานจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนาศีลธรรมอย่างยั่งยืน

ทัศนคติจากทั้งสองมุมมอง

จากมุมมองของผู้สนับสนุน เห็นว่าพิธีบวชเช่นนี้ช่วยรักษาวัฒนธรรมไทยอย่างมีคุณค่า อีกทั้งยังสร้างพลเมืองที่มีคุณธรรม

ในขณะเดียวกัน บางฝ่ายก็เสนอให้มีทางเลือกด้านการพัฒนาศีลธรรมในรูปแบบอื่นควบคู่กัน เช่น การอบรมคุณธรรมในสถานศึกษา เพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ที่อาจไม่สะดวกในการบวช

บทสรุปและทิศทางต่อยอดกิจกรรม

พิธีบรรพชาอุปสมบทในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติแล้ว ยังสะท้อนถึงพลังศรัทธาของประชาชนชาวเชียงรายต่อพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน ซึ่งหากสามารถพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะเป็นแบบอย่างอันดีงามให้กับชุมชนอื่น ๆ ทั่วประเทศ

สถิติและแหล่งข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนพระภิกษุสามเณรในประเทศไทย ณ ปี 2566: ประมาณ 298,580 รูป (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • เยาวชนไทยเข้าร่วมโครงการบรรพชาเฉลี่ยปีละ 60,000 คน (กระทรวงวัฒนธรรม)
  • ดัชนีความพึงพอใจของประชาชนต่อกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา: 87% (ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  • กระทรวงวัฒนธรรม
  • ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TRDI)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ดีเอสไอ เผย ‘ไชน่า เรลเวย์’ คว้างานรัฐ พบ 1 ใน 29 โครงการที่ ‘เชียงราย’

ดีเอสไอเผย 29 โครงการรัฐ “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” รับงาน 2.7 หมื่นล้าน เชียงรายร่วมตรวจสอบ

เชียงราย, 4 เมษายน 2568 – กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เปิดเผยรายชื่อ 29 โครงการภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งดำเนินการในรูปแบบกิจการร่วมค้า และได้รับงานก่อสร้างจากหน่วยงานรัฐรวมมูลค่ากว่า 27,803 ล้านบาท โดยหนึ่งในโครงการที่อยู่ในความสนใจคืออาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและได้รับการตรวจสอบหลังเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เพื่อยืนยันความปลอดภัยของโครงสร้าง

การแถลงของดีเอสไอและที่มาของคดี

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยพันตำรวจโท ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้แถลงผลการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 เกี่ยวกับกรณีการประกอบธุรกิจของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเข้าข่ายการใช้ “นอมินี” ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 คดีนี้เริ่มต้นจากเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ความสูง 30 ชั้น ย่านจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง พังถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก

ดีเอสไอได้ขยายผลการสืบสวนไปยังการประมูลงานภาครัฐของบริษัทนี้ พบว่า ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ได้ร่วมมือกับเอกชนในรูปแบบ “กิจการร่วมค้า” อย่างน้อย 11 ราย และคว้างานก่อสร้างจากหน่วยงานรัฐรวม 29 โครงการทั่วประเทศ ด้วยวงเงินงบประมาณรวม 27,803,128,433.13 บาท และเงินตามสัญญารวม 22,773,856,494.83 บาท โครงการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การก่อสร้างอาคารพักอาศัย ระบบสาธารณูปโภค ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา

รายชื่อโครงการที่เกี่ยวข้อง

รายชื่อ 29 โครงการที่ดีเอสไอเปิดเผย มีดังนี้:

  1. อาคารพักอาศัยสูง 32 ชั้น ชุมชนดินแดง การเคหะแห่งชาติ กรุงเทพฯ (807 ล้านบาท)
  2. ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาสุขภาพผู้สูงอายุ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ (563 ล้านบาท)
  3. เปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นใต้ดิน ถนนอรุณอมรินทร์-บรมราชชนนี การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพฯ (1,261 ล้านบาท)
  4. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ สน.สุทธิสาร กรุงเทพฯ (139 ล้านบาท)
  5. อาคารบ้านพักส่วนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพฯ (231 ล้านบาท)
  6. อาคารที่ทำการศาลแรงงานกลาง กรุงเทพฯ (467 ล้านบาท)
  7. ระบบรวบรวมน้ำเสียริมคลองแสนแสบ กรุงเทพฯ (541 ล้านบาท)
  8. วางท่อประปา การประปานครหลวง กรุงเทพฯ (347 ล้านบาท)
  9. อาคารศาลแพ่งและศาลอาญามีนบุรี กรุงเทพฯ (782 ล้านบาท)
  10. หอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (129 ล้านบาท)
  11. ทาวน์โฮมสองชั้น โครงการเคหะชุมชน จังหวัดภูเก็ต (343 ล้านบาท)
  12. อาคารการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดภูเก็ต (210 ล้านบาท)
  13. อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 9 จังหวัดสงขลา (386 ล้านบาท)
  14. อาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ โรงพยาบาลสงขลา (424 ล้านบาท)
  15. อาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานนราธิวาส (639 ล้านบาท)
  16. งานป้องกันน้ำท่วมคลองประปา จังหวัดปทุมธานี (194 ล้านบาท)
  17. ระบบป้องกันน้ำท่วมสถานีสูบน้ำดิบสำแล จังหวัดปทุมธานี (372 ล้านบาท)
  18. สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จังหวัดนนทบุรี (716 ล้านบาท)
  19. อาคารคลังพัสดุ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ กรุงเทพฯ (146 ล้านบาท)
  20. อาคารกองบังคับการ กรมพลาธิการทหารเรือ กรุงเทพฯ (179 ล้านบาท)
  21. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ กรุงเทพฯ (2,136 ล้านบาท)
  22. อาคารเรียนโรงเรียนวัดอัมรินทราราม กรุงเทพฯ (160 ล้านบาท)
  23. อาคารสถาบันวิชาการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดนครปฐม (606 ล้านบาท)
  24. อาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย (468 ล้านบาท)
  25. ศูนย์ราชการจังหวัดแพร่ (540 ล้านบาท)
  26. การกีฬาแห่งประเทศไทย (608 ล้านบาท)
    27-28. แขวงทางหลวงชนบทสุพรรณบุรี (10.7 ล้านบาท และ 9.9 ล้านบาท)
  27. รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา (9,348 ล้านบาท)

โครงการในเชียงรายและการตรวจสอบหลังแผ่นดินไหว

หนึ่งในโครงการที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดเชียงราย คือการก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) วงเงิน 468 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการโดย “กิจการร่วมค้า ทีพีซี” อันประกอบด้วยบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด การประมูลโครงการนี้ใช้วิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยกิจการร่วมค้า ทีพีซี เสนอราคาต่ำสุดและชนะการประมูล

หลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลกระทบถึงเชียงรายและกรุงเทพฯ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้นำทีมผู้บริหาร วิศวกรโยธา และเจ้าหน้าที่ส่วนอาคารสถานที่ เข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารทั่วทั้งมหาวิทยาลัย รวมถึงอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 29-30 มีนาคม 2568 ผลการตรวจสอบเบื้องต้นระบุว่า ไม่พบความเสียหายใด ๆ จากเหตุแผ่นดินไหว โดยมหาวิทยาลัยยืนยันว่า อาคารทุกหลังได้รับการออกแบบให้ทนต่อแรงสั่นสะเทือนตามมาตรฐาน และมีการควบคุมการก่อสร้างอย่างเข้มงวด

ความคืบหน้าการก่อสร้างและการควบคุมคุณภาพ

ปัจจุบัน การก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของ มฟล. มีความคืบหน้าโดยรวมร้อยละ 46 โดยงานโครงสร้างหลักแล้วเสร็จทั้งหมด และกำลังดำเนินการในส่วนงานสถาปัตยกรรมและงานภายนอก อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ล่าช้ากว่าแผนเดิม เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อการจัดหาวัสดุและแรงงาน

มหาวิทยาลัยระบุว่า วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก ได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก. และผ่านการทดสอบจากหน่วยงานที่ได้รับการขึ้นทะเบียน รวมถึงมีการตรวจสอบคุณภาพวัสดุโดยหน่วยงานทดสอบอิสระ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างมีความแข็งแรงตามข้อกำหนด การก่อสร้างอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทวิศวกรรมที่แยกจากกรณีอาคาร สตง. และมีการประชุมติดตามความคืบหน้าร่วมกับผู้รับเหมาทุกสัปดาห์ เพื่อให้งานเป็นไปตามแบบและมาตรฐาน

เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย มหาวิทยาลัยได้ประสานผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานกลาง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง เข้าตรวจสอบโครงสร้างเพิ่มเติมหลังเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งผลการตรวจสอบขั้นสุดท้ายจะมีการรายงานในภายหลัง

กลยุทธ์ธุรกิจของไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10

จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ พบว่า ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ใช้โมเดล “กิจการร่วมค้า” ร่วมกับเอกชนไทยอย่างน้อย 8 ราย เพื่อเข้าประมูลงานภาครัฐ โดยเริ่มจากงานรับเหมาก่อสร้าง ก่อนขยายไปสู่การวางระบบสาธารณูปโภค เช่น สายไฟฟ้าใต้ดินและท่อประปา ระหว่างปีงบประมาณ 2562-2568 บริษัทนี้เป็นคู่สัญญารัฐอย่างน้อย 18 สัญญา รวมวงเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมโครงการอื่น ๆ ที่ดีเอสไอระบุ พบว่าได้งานถึง 29 โครงการ

ในกรณีอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์เชียงราย บริษัทได้ร่วมมือกับไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2532 มีทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท และมีผู้ถือหุ้นหลักเป็นคนไทยและจีน อย่างไรก็ตาม งบการเงินล่าสุดปี 2565 แสดงผลขาดทุนสุทธิ 24.79 ล้านบาท ซึ่งอาจสะท้อนถึงความท้าทายในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

 

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนโครงการก่อสร้างภาครัฐในเชียงราย: จากข้อมูลของสำนักงานจังหวัดเชียงราย ในช่วงปี 2565-2567 มีโครงการก่อสร้างที่ได้รับงบประมาณจากภาครัฐในจังหวัดเชียงรายรวม 142 โครงการ วงเงินรวม 15,873 ล้านบาท (ที่มา: รายงานงบประมาณจังหวัดเชียงราย, 2567)
  2. เหตุแผ่นดินไหวในภาคเหนือ: กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ในรอบ 10 ปี (2558-2567) ภาคเหนือเผชิญเหตุแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบถึงโครงสร้างอาคารรวม 12 ครั้ง โดยครั้งรุนแรงที่สุดเกิดเมื่อปี 2557 ขนาด 6.3 ริกเตอร์ (ที่มา: รายงานธรณีพิบัติภัย, กรมอุตุนิยมวิทยา, 2567)
  3. มูลค่างานรับเหมาก่อสร้างของบริษัทต่างชาติในไทย: สภาวิศวกรระบุว่า ในปี 2566 บริษัทต่างชาติได้รับงานก่อสร้างจากภาครัฐไทยรวมมูลค่ากว่า 85,000 ล้านบาท คิดเป็น 22% ของงานทั้งหมด (ที่มา: รายงานประจำปีสภาวิศวกร, 2566)

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การเปิดเผยข้อมูลของดีเอสไอจุดประกายความเห็นสองฝั่งในสังคม ฝ่ายหนึ่งมองว่า การที่ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 คว้างานรัฐจำนวนมาก โดยเฉพาะในเชียงราย เป็นโอกาสในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น การที่ มฟล. ตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของอาคารหลังแผ่นดินไหว แสดงถึงความรับผิดชอบต่อคุณภาพงาน ซึ่งอาจพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ทุกโครงการของบริษัทนี้มีปัญหา

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายกังวลว่า การใช้โมเดล “นอมินี” และการชนะประมูลด้วยราคาต่ำสุดอาจนำไปสู่การลดคุณภาพงาน เพื่อประหยัดต้นทุน เหตุการณ์ที่ สตง. เป็นตัวอย่างที่ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงความโปร่งใสและมาตรฐานการก่อสร้างของบริษัทนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างเชียงราย

จากมุมมองที่เป็นกลาง การสืบสวนของดีเอสไอเป็นขั้นตอนสำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายและคุณภาพงาน ซึ่งจะช่วยคลายข้อสงสัยของประชาชนได้ ขณะที่การยืนยันของ มฟล. ถึงความปลอดภัยของโครงการในเชียงราย ก็เป็นหลักฐานที่ควรพิจารณา การหาข้อสรุปต้องรอผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยไม่ตัดสินล่วงหน้าจากกรณีใดกรณีหนึ่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
  • เว็บไซต์จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (www.gprocurement.go.th)
  • ฐานข้อมูล ACT Ai (www.actai.co)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (ข้อมูลฐานข้อมูลผู้ถือหุ้น)
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
  • พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
  • พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ท่องเที่ยวสะดุด สงกรานต์ปีนี้ ต่างชาติลดจองโรงแรมร่วง

สมาคมโรงแรมไทยเผยสงกรานต์ 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติลด 6.8 แสนคน ยอดจองห้องพักทรุด 25%

ประเทศไทย, 3 เมษายน 2568 – สมาคมโรงแรมไทยเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในช่วงวันที่ 11–17 เมษายน 2568 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปี 2567 หรือคิดเป็นตัวเลขลดลงกว่า 689,282 คน สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ท้าทายของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปีนี้

ยอดจองห้องพักลดลงทั่วประเทศ ยกเว้นภูเก็ตและเชียงราย

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยผลการสำรวจจากโรงแรมสมาชิกใน 7 จังหวัดหลักที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี รวมทั้งหมด 52 แห่ง พบว่า จำนวนยอดจองห้องพักโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 32,244 ห้อง ลดลงจากปี 2567 ที่มียอดจอง 42,761 ห้อง หรือคิดเป็นร้อยละ 24.68

ยอดจองห้องพักในแต่ละจังหวัด

  • กรุงเทพมหานคร: โรงแรม 22 แห่ง มียอดจอง 13,371 ห้อง ลดลง 31.57% จากปีก่อน
  • กระบี่: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 1,063 ห้อง ลดลง 3.68%
  • ชลบุรี: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,208 ห้อง ลดลงถึง 67.14%
  • เชียงใหม่: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,414 ห้อง ลดลง 10.92%
  • สุราษฎร์ธานี: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 552 ห้อง ลดลง 18.58%

ในขณะที่มีเพียงสองจังหวัดเท่านั้นที่มียอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น คือ

  • เชียงราย: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 77 ห้อง เพิ่มขึ้น 102.63% จาก 38 ห้องในปี 2567
  • ภูเก็ต: โรงแรม 11 แห่ง มียอดจอง 12,600 ห้อง เพิ่มขึ้น 4.87% จาก 12,015 ห้องในปี 2567

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเกือบ 7 แสนคนในเดือนเมษายน

จากสถิติของสมาคมฯ คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตลอดทั้งเดือนเมษายน 2568 จะลดลงจากปี 2567 ประมาณ 25% หรือคิดเป็น 689,282 คน เหลือเพียง 2,067,846 คน จากจำนวน 2,757,128 คนในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจโรงแรมและบริการในหลายพื้นที่

กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักยังคงเป็นเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

การสำรวจของสมาคมโรงแรมไทยยังระบุว่า นักท่องเที่ยว 3 กลุ่มหลักที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่

  1. นักท่องเที่ยวจากเอเชีย
  2. นักท่องเที่ยวจากยุโรป
  3. นักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ลดลงในปีนี้อาจสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เน้นการเลือกจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ หรือได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ

สมาคมโรงแรมไทยเรียกร้องรัฐเร่งกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ

นายเทียนประสิทธิ์ ระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้แตกต่างจากช่วงสงกรานต์ในปี 2566 และ 2567 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งเปิดประเทศหลังการระบาดของโควิด-19 และนักท่องเที่ยวมีความตื่นตัวสูง ส่งผลให้ยอดจองห้องพักพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สงกรานต์ปีนี้ไม่คึกคักเหมือนที่ผ่านมา รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายและเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยว” นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว

ภาพสะท้อนในจังหวัดเชียงราย: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

แม้ในภาพรวมตัวเลขจะลดลง แต่จังหวัดเชียงรายกลับเป็นหนึ่งในสองจังหวัดที่มีตัวเลขการจองห้องพักเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้ว สะท้อนถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้เชียงรายพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

ความเห็นจากสองมุม: มองต่างแต่ร่วมทางได้

ฝ่ายสนับสนุนการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ มองว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งและการลดภาษีธุรกิจท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ลดภาระผู้ประกอบการโรงแรมและภัตตาคาร และรักษาการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ฝ่ายระมัดระวังงบประมาณรัฐ เห็นว่าการอัดฉีดงบประมาณจำนวนมากในช่วงเวลาที่รายได้ภาครัฐลดลง อาจไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม ควรมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ระยะยาว เช่น พัฒนาคุณภาพบริการ เพิ่มความปลอดภัย และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวมากกว่าเพียงแค่กระตุ้นตัวเลขในช่วงเทศกาล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2567: 2,757,128 คน
  • คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2568: 2,067,846 คน (ลดลง 25%)
  • ยอดจองห้องพักรวมใน 7 จังหวัด: 32,244 ห้อง (ลดลงจาก 42,761 ห้องในปี 2567)
  • จังหวัดที่ยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น: เชียงราย (เพิ่ม 102.63%), ภูเก็ต (เพิ่ม 4.87%)
  • จังหวัดที่ยอดจองลดลงมากที่สุด: ชลบุรี (ลดลง 67.14%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมโรงแรมไทย (THA)
  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • รายงานการท่องเที่ยวเดือนมีนาคม 2568, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ฅนพาน” โชว์ศิลป์! นิทรรศการใจกลางเซ็นทรัลเชียงราย

เชียงรายเปิดนิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” สะท้อนพลังศิลปะท้องถิ่นสู่เวทีสาธารณะ

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 – กลุ่มศิลปินพานร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย เปิดนิทรรศการศิลปะ “ความในใจ ของ ฅนพาน” (PHAN ARTIST Art Exhibition) อย่างเป็นทางการ ณ Central Art Gallery ชั้น G โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานศิลปะจากศิลปินในอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย พร้อมเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้สนใจร่วมสัมผัสพลังความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินท้องถิ่น ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน ถึง 3 พฤษภาคม 2568

เปิดงานอย่างเป็นทางการโดยวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

พิธีเปิดนิทรรศการจัดขึ้นในวันที่ 3 เมษายน 2568 โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหารจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ได้แก่ นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย และนายพิชิต สิทธิวงศ์ ผู้อำนวยการ Central Art Gallery ร่วมให้การต้อนรับ

ภายในงานยังมีศิลปินชื่อดังร่วมจัดแสดงผลงานในฐานะศิลปินรับเชิญ ได้แก่ สุวิทย์ ใจป้อม, กำธร สีฟ้า และทนงศักดิ์ ปากหวาน ร่วมด้วยศิลปินกลุ่มพานจำนวน 19 ท่าน ที่นำเสนอผลงานรวมทั้งหมด 69 ชิ้น สะท้อนความหลากหลายทางแนวคิดและเทคนิคการสร้างสรรค์

กลุ่มศิลปินพาน: พลังสร้างสรรค์จากชุมชนสู่ศิลปะเมือง

กลุ่มศิลปินพานได้รวมตัวกันจากความตั้งใจของศิลปินในอำเภอพาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศิลปินกระจายตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์งานศิลป์ เพื่อยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่น” โดยเน้นการแสดงออกถึงรากเหง้าวัฒนธรรม วิถีชีวิต และมุมมองของคนในพื้นที่ผ่านงานจิตรกรรม ประติมากรรม และศิลปะร่วมสมัย

หนึ่งในสมาชิกกลุ่มศิลปินพาน กล่าวว่า “พวกเราต้องการให้พื้นที่ศิลปะในเชียงรายเปิดกว้าง ไม่เฉพาะแค่ศิลปินชื่อดังระดับประเทศเท่านั้น แต่ศิลปินท้องถิ่นก็มีสิทธิ์แสดงออกและมีเวทีเพื่อพูดความในใจของตนเองผ่านผลงานศิลป์”

เชียงราย: เมืองศิลปะที่เติบโตจากรากฐานวัฒนธรรม

จังหวัดเชียงรายได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองศิลปะ” มาโดยตลอด โดยมีศิลปินจำนวนมากอาศัยอยู่ในจังหวัดและมีชื่อเสียงระดับประเทศ อาทิ อ.ถวัลย์ ดัชนี, อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และศิลปินร่วมสมัยอีกมากมาย ทำให้พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และการสนับสนุนทางศิลปวัฒนธรรม

การจัดนิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” ครั้งนี้ จึงนับเป็นอีกก้าวสำคัญของการส่งเสริมให้ศิลปะกระจายตัวจากเมืองสู่ชนบท และเปิดโอกาสให้ศิลปินหน้าใหม่ได้แสดงศักยภาพต่อสายตาสาธารณะชน

สนับสนุนโดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย: พื้นที่แห่งโอกาส

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ในฐานะเจ้าภาพจัดงาน ได้จัดพื้นที่ Central Art Gallery ให้เป็นเวทีแสดงผลงานศิลปะจากท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับสังคมเมือง ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมวัฒนธรรมของจังหวัด

นายพิชิต สิทธิวงศ์ ผู้อำนวยการ Central Art Gallery กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับกลุ่มศิลปินพานเข้าสู่นิทรรศการในครั้งนี้ เพราะนี่คือศิลปะที่มีชีวิต สะท้อนความเป็นตัวตนของชาวพานได้อย่างแท้จริง”

เปิดประตูให้คนทั่วไปเข้าถึงศิลปะ

นิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตลอดช่วงเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่อาจไม่คุ้นเคยกับโลกศิลปะ ได้สัมผัสงานศิลป์คุณภาพใกล้ชิด และเรียนรู้ความหลากหลายของมุมมองที่แฝงอยู่ในผลงานแต่ละชิ้น

หนึ่งในผู้เข้าชมงานให้ความเห็นว่า “ผลงานแต่ละชิ้นบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างลึกซึ้ง แม้ไม่ใช่คนพานก็สามารถเข้าใจและสัมผัสความรู้สึกที่ศิลปินต้องการถ่ายทอดได้”

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย: มุมมองที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์

ฝ่ายสนับสนุน นิทรรศการเห็นว่าเป็นการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินท้องถิ่นได้มีเวที และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในจังหวัด อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนหันมาสนใจศิลปะมากขึ้น

ฝ่ายที่มีข้อกังวล บางส่วนแสดงความเห็นว่านิทรรศการควรมีแนวทางส่งเสริมการขายผลงาน หรือจัดอบรมศิลปะควบคู่เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจแก่ศิลปินท้องถิ่นในระยะยาว มิใช่แค่การจัดแสดงเพียงครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า การเปิดพื้นที่ศิลปะควรดำเนินต่อไป และมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับความต้องการของศิลปินและประชาชน

บทสรุป

นิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” นับเป็นอีกหนึ่งหลักฐานของความเข้มแข็งของศิลปะท้องถิ่นที่กำลังเติบโตในจังหวัดเชียงราย แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ศิลปิน และชุมชน ในการขับเคลื่อนศิลปวัฒนธรรมสู่ประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับจังหวัด และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับที่จับต้องได้ ซึ่งจะส่งผลต่อความยั่งยืนในระยะยาวของภาคศิลปะในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนศิลปินในจังหวัดเชียงราย: มากกว่า 1,200 คน (ข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, 2566)
  • มูลค่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในภาคเหนือ: กว่า 3,500 ล้านบาท/ปี (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์, 2566)
  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าชมงานนิทรรศการศิลปะในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ปี 2566: กว่า 85,000 คน (ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เซ็นทรัลเชียงราย)
  • จำนวนศิลปินในอำเภอพานที่ร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานรัฐและเอกชนในรอบ 5 ปี: 178 คน (ข้อมูลจากกลุ่มศิลปินพาน, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • กลุ่มศิลปินพาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มติที่ประชุมปิดล่องแพ 30 เมษาฯ แม่สรวยน้ำน้อย แต่นั่งซุ้มต่อได้

ประกาศปิดล่องแพแม่สรวย 30 เม.ย. 68 – เพื่อสำรองน้ำเกษตร ชี้จำเป็นตามมติคณะกรรมการฯ ร่วมมือบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 — ตามที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ได้ประกาศ ยุติการล่องแพเปียกในอ่างเก็บน้ำแม่สรวยภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 เนื่องจากระดับน้ำในเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง และจำเป็นต้องเก็บกักน้ำไว้เพื่อการเกษตรในฤดูแล้ง ภายใต้นโยบายการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน โดยเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และองค์กรผู้ใช้น้ำ

การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นตามมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ภายใต้กรอบ ข้อตกลงความร่วมมือบริหารจัดการชลประทานแบบมีส่วนร่วม (MOU for JMC) ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบกิจการแพเปียก และตัวแทนเกษตรกรผู้ใช้น้ำเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

จำเป็นต้องสำรองน้ำ – ล่องแพได้ถึง 30 เม.ย. ก่อนลดปริมาณการปล่อยน้ำเหลือเพียง 1Q

นายวรวิทย์ สุวรรณจักร หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้มีการปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สรวยอยู่ที่ 5–6 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (Q) เพื่อให้สามารถล่องแพได้อย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยจะสิ้นสุดกิจกรรมล่องแพในวันที่ 30 เมษายน 2568 หลังจากนั้นจะลดการปล่อยน้ำเหลือเพียง 1Q เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง

ถึงแม้จะมีคำถามจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ว่า หากมีฝนตกหรือพายุฤดูร้อนในเดือนเมษายนจะสามารถขยายเวลาได้หรือไม่ ทางชลประทานยังไม่ได้รับรายงานพยากรณ์อากาศที่ชัดเจนจากกรมอุตุนิยมวิทยา จึงยังคงยึดตามมติที่ประชุมไว้ก่อน

ยังเปิดให้นั่งซุ้มริมเขื่อน ชิมอาหารท้องถิ่นได้ถึง 15 พ.ค.

แม้ว่าจะไม่สามารถล่องแพได้หลังวันที่ 30 เมษายน แต่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อนุญาตให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ยังคงเปิดบริการ “ซุ้มริมน้ำ” สำหรับรับประทานอาหารและพักผ่อนริมอ่างเก็บน้ำต่อได้ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวชมในช่วงปลายฤดูร้อน

ข้อตกลง MOU for JMC – โมเดลบริหารน้ำโดยชุมชนมีส่วนร่วม

การดำเนินการครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของกรมชลประทาน ที่ส่งเสริมรูปแบบการบริหารจัดการน้ำ Participatory Irrigation Management (PIM) โดยให้เกษตรกร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานปกครอง และผู้ใช้น้ำ มีส่วนร่วมในการกำหนดแผนบริหารและจัดสรรน้ำผ่าน คณะกรรมการจัดการชลประทาน (JMC)

พื้นที่ในลุ่มน้ำแม่ลาวตอนที่ 2 ประกอบด้วย

  • อ่างเก็บน้ำแม่สรวย
  • ฝายเจ้าวรการบัญชา
  • ฝายถ้ำวอก
  • ฝายสมบัติ

โดยแต่ละแห่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับเกษตรกรในอำเภอแม่สรวยและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งต้องอาศัยการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงฤดูแล้งของปี 2567/68 นี้

เสียงสะท้อนจากภาคเกษตรและการท่องเที่ยว

ฝ่ายเกษตรกรผู้ใช้น้ำ ระบุว่า เห็นด้วยกับมาตรการเก็บกักน้ำ เนื่องจากพื้นที่การเกษตรหลายแห่งในลุ่มน้ำแม่ลาว กำลังเข้าสู่ฤดูแล้ง และปริมาณน้ำในเขื่อนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่ผ่านมา หากไม่มีการบริหารน้ำอย่างเป็นระบบ จะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ข้าวนา และพืชผักสวนครัว ซึ่งเป็นรายได้หลักของชุมชน

ในขณะที่ผู้ประกอบการล่องแพและร้านอาหารริมเขื่อน ได้แสดงความกังวลว่า การปิดให้บริการล่องแพก่อนฤดูท่องเที่ยวจะสิ้นสุด ส่งผลกระทบต่อรายได้และแรงงานในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ถือเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญของแม่สรวย

ข้อมูลสถานการณ์น้ำล่าสุดในภาคเหนือ

จากรายงานของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และกรมชลประทาน ประจำวันที่ 3 เมษายน 2568 พบว่า

  • อ่างเก็บน้ำแม่สรวยมี ปริมาณน้ำในอ่าง : 47.704 (65.350%) ของความจุ  73.000 ล้าน ลบ.ม.
  • คาดการณ์ว่าในช่วงเดือนเมษายนจะไม่มีฝนตกชุก
  • ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำแม่ลาวรวมลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 15%
  • ความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้นกว่า 10% เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
  • พื้นที่การเกษตรในอำเภอแม่สรวยและแม่ลาวกว่า 6,200 ไร่ ต้องพึ่งพาน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สรวยเป็นหลัก

(ที่มา: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, กรมชลประทาน, รายงานสถานการณ์น้ำประเทศไทย ประจำเดือนเมษายน 2568)

แนวทางและข้อเสนอแนะต่อการจัดการน้ำแบบสมดุล

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการปิดล่องแพ เห็นว่าเป็นการดำเนินการที่จำเป็นและสมเหตุสมผล ภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของแนวทาง PIM ซึ่งเป็นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารทรัพยากรสาธารณะอย่างยั่งยืน

อีกมุมหนึ่ง ของผู้ประกอบการท่องเที่ยวเสนอว่า รัฐควรมีมาตรการเยียวยา หรือจัดกิจกรรมท่องเที่ยวทางเลือกในพื้นที่แทน เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป พร้อมทั้งเสนอให้ปรับเปลี่ยนกำหนดการเปิด–ปิดล่องแพตามสถานการณ์น้ำจริงรายสัปดาห์ โดยใช้เทคโนโลยีพยากรณ์น้ำมาเป็นตัวกำหนด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทิง 113 ปี สืบสานภูมิปัญญา “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า”

อำเภอเทิงจัดยิ่งใหญ่ “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ครั้งที่ 1 ฉลอง 113 ปีแห่งการก่อตั้ง พร้อมสืบสานภูมิปัญญาลุ่มน้ำลาว หงาว อิง

เชียงราย, 2 เมษายน 2568 — อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย จัดงานสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ลุ่มน้ำลาว หงาว อิง ครั้งที่ 1 อย่างยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 113 ปี แห่งการก่อตั้งอำเภอเทิง โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชนร่วมมือกันจัดกิจกรรมอันเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรม เพื่อน้อมรำลึกถึงรากเหง้าอัตลักษณ์ของชาวเมืองเทิงและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์

พิธีเปิดสมเกียรติ – รวมพลังประชาชนสืบสานรากเหง้าเมืองเทิง

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ณ ที่ว่าการอำเภอเทิง (หลังเก่า) ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ พร้อมด้วย นายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง หน่วยงานราชการ สภาวัฒนธรรม พุทธสมาคม ชมรมผู้สูงอายุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

งานในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของการจัด “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งภูมิปัญญา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชุมชนริมลุ่มน้ำลาว หงาว และอิง ที่หล่อหลอมให้เกิดความเข้มแข็งและความภาคภูมิใจในถิ่นฐานของตน

กิจกรรมหลากหลาย สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนาแท้

ภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมที่สะท้อนถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรมของเมืองเทิง อาทิ

  • พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และสืบชะตาเมืองเทิง เพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองของชุมชน
  • พิธีทำบุญถวายผ้าป่า 10 ตำบล เพื่อความสามัคคีและการรวมพลังของท้องถิ่น
  • เขียนชื่อบนผ้าห่มพระธาตุจอมจ้อ อันเป็นพุทธบูชาสำคัญของชาวเมืองเทิง
  • บูชาชะตา ฮอมบุญขันตั้งสืบชะตา ตามประเพณีล้านนาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
  • มอบเกียรติบัตรผู้สูงอายุดีเด่นระดับหมู่บ้าน เพื่อยกย่องคุณค่าของผู้สูงวัยในสังคม
  • นิทรรศการศิลปวัฒนธรรม และของดีแต่ละตำบล
  • นิทรรศการผลงานศิลปินท้องถิ่น
  • การแสดงพื้นบ้าน 10 ตำบล ภายใต้แนวคิด “เมืองเทิงมีดีอยู่ตี้ 10 ตำบล”
  • ขันโตก “ฮอมบุญ” อาหารพื้นบ้าน 100 โตก ที่แสดงออกถึงการแบ่งปันและความเป็นหนึ่งเดียวของชุมชน

เป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์

หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการจัดงาน “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” คือการระดมทุนเพื่อ ปรับปรุงอาคารที่ว่าการอำเภอเทิง (หลังเก่า) ให้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเทิง ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ และจุดหมายด้านวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว ทั้งในระดับจังหวัดและภูมิภาค

เสียงสะท้อนจากชุมชน – เสียงจากสองมุมมอง

ฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะผู้นำชุมชนและภาควัฒนธรรมท้องถิ่น เห็นว่าการจัดกิจกรรมนี้เป็นการ “สร้างรากฐานทางวัฒนธรรม” ที่มั่นคงและยั่งยืน ถือเป็นแบบอย่างให้กับพื้นที่อื่น ๆ ในการนำทุนวัฒนธรรมมาพัฒนาเป็นทุนทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว

อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งรวมถึงกลุ่มนักพัฒนาในพื้นที่ แสดงความเห็นว่า แม้กิจกรรมจะดี แต่ควรมีการติดตามและประเมินผลเชิงประจักษ์ เช่น จำนวนผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ รายได้ที่เกิดจากกิจกรรมวัฒนธรรม หรือความต่อเนื่องของโครงการ เพื่อให้การลงทุนในด้านนี้ตอบโจทย์ด้านสังคมและเศรษฐกิจจริง

สถิติเกี่ยวกับการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่น

จากรายงานของ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2566 และข้อมูลจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม พบว่า:

  • จังหวัดเชียงรายมี หมู่บ้านวัฒนธรรมกว่า 160 แห่ง
  • มีโครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมเชิงพื้นที่มากกว่า 80 โครงการต่อปี
  • อำเภอเทิงมีแหล่งวัฒนธรรมที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 15 แห่ง และแหล่งภูมิปัญญาท้องถิ่นกว่า 30 รายการ
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเชียงรายจัดสรรงบส่งเสริมวัฒนธรรมเฉลี่ย 12 ล้านบาท/ปี
  • โครงการแปลงศูนย์ราชการเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

(ที่มา: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, สำนักงานสถิติแห่งชาติ)

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

  • ควรจัดให้มี “ฐานข้อมูลกลาง” ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละตำบล
  • ขยายผลกิจกรรม “ข่วงผญ๋า” ไปยังโรงเรียน เพื่อปลูกฝังความภาคภูมิใจตั้งแต่ระดับเยาวชน
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน ในการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์
  • พัฒนาช่องทางสื่อสารสมัยใหม่ เช่น Virtual Museum และ QR Code สำหรับนิทรรศการ
  • ประเมินผลกิจกรรมวัฒนธรรมด้วยเครื่องมือที่สามารถวัดผลด้านเศรษฐกิจและสังคมได้

สรุปภาพรวมอย่างเป็นกลาง

งาน “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ครั้งที่ 1 นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการรื้อฟื้นและสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์วัฒนธรรม พร้อมทั้งพัฒนาอาคารประวัติศาสตร์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ร่วมสมัย

ในมุมหนึ่ง ประชาชนต่างภาคภูมิใจและยินดีที่ชุมชนได้มีเวทีแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตน ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง เสนอให้มีกลไกตรวจสอบ ประเมินผล และต่อยอดโครงการให้ยั่งยืนในระยะยาว

การพัฒนาวัฒนธรรมจึงควรเป็น “งานร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ” ของทุกภาคส่วน เพื่อให้คุณค่าแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่นมิได้หยุดอยู่เพียงในงานเฉลิมฉลอง แต่ยังคงสืบทอดเป็นมรดกให้คนรุ่นหลังต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ต่อชีวิต! บริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะ ถวายความจงรักภักดี

กาชาดจังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ครบ 70 พรรษา

เชียงราย, 2 เมษายน 2568 — เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 70 พรรษา ของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อำเภอเมืองเชียงราย

โดยกิจกรรมจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย สมพระเกียรติ มีประชาชน ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา และจิตอาสา เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด

พิธีเปิดอย่างสมพระเกียรติ ผนึกพลังภาครัฐ-ประชาชน

เวลา 09.00 น. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ เดินทางเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนผู้ร่วมบริจาคโลหิต และหน่วยบริการจาก โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สำนักงานเหล่ากาชาดเชียงราย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำเปิดกิจกรรม พร้อมด้วยรองนายกเหล่ากาชาด เจ้าหน้าที่ และสมาชิกจากหลายภาคส่วน อาทิ หน่วยงานการศึกษา ภาคเอกชน และกลุ่มอาสาสมัครต่าง ๆ

บรรยากาศภายในงานอบอวลด้วยน้ำใจและความเสียสละ โดยเปิดรับบริจาคตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น. พร้อมทั้งมีการมอบของที่ระลึก ใบประกาศเกียรติคุณ และรางวัลพิเศษเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ร่วมบริจาค

เลือดคือชีวิต บริจาคหนึ่งครั้ง ช่วยได้มากกว่าสามชีวิต

การบริจาคโลหิตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดที่จะผลิตโลหิตทดแทนได้โดยสมบูรณ์ การบริจาคเพียงหนึ่งครั้ง สามารถนำไปแยกส่วนประกอบของเลือด ได้แก่

  • เกล็ดเลือด ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไข้เลือดออก
  • เม็ดเลือดแดง รักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ
  • พลาสมา ใช้รักษาผู้มีอาการช็อกจากการขาดน้ำ หรือภาวะเลือดออกมาก ตลอดจนสามารถนำไปผลิตเซรุ่มป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี และโรคพิษสุนัขบ้า

ด้วยเหตุนี้ การบริจาคเพียงครั้งเดียวสามารถ “ต่อชีวิต” ให้ผู้ป่วยได้ถึง 3 คน อย่างแท้จริง

การบริจาคดวงตาและอวัยวะคือการให้ที่ไม่สิ้นสุด

นอกจากโลหิตแล้ว ยังมีผู้ร่วมบริจาค ดวงตา และ อวัยวะ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ โดยการบริจาคอวัยวะ เช่น ไต หัวใจ ตับ ปอด หรือกระดูก สามารถช่วยรักษาชีวิตของผู้ป่วยเรื้อรังที่รอคอยความหวังจากการปลูกถ่าย

ในส่วนของดวงตา การบริจาคช่วยคืนแสงสว่างให้แก่ผู้พิการทางสายตา และช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง

เสียงสะท้อนจากผู้บริจาค

นายณัฐวุฒิ สุขสม นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง หนึ่งในผู้บริจาคโลหิตวันนี้ ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมมาบริจาคครั้งแรกครับ เพราะรู้ว่าการบริจาคสามารถช่วยชีวิตคนได้จริง และครั้งนี้ยิ่งมีความหมายมาก เพราะได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ด้วยครับ”

ขณะเดียวกัน นางจันทร์เพ็ญ อินทรีย์ อายุ 58 ปี แม่บ้านจากอำเภอแม่จัน กล่าวว่า “ดิฉันตั้งใจมาบริจาคทุกปีค่ะ โดยเฉพาะในวันสำคัญแบบนี้ รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการถวายความจงรักภักดี”

สถิติบริจาคโลหิตประเทศไทย ปี 2566

จากรายงานของ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย พบว่า:

  • ปี 2566 มีผู้บริจาคโลหิตทั่วประเทศรวม 1,748,002 ราย
  • สามารถผลิตโลหิตได้รวมกว่า 2.2 ล้านยูนิต
  • กรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ยังคงมีอัตราบริจาคสูงสุด
  • จังหวัดเชียงรายอยู่ในอันดับกลาง โดยมีผู้บริจาคเฉลี่ย 45,000 ยูนิตต่อปี
  • ปริมาณความต้องการโลหิตเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 6,500 ยูนิต/วัน
  • แต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ทำให้การบริจาคลดลงต่ำกว่าความต้องการถึง 30%

(ที่มา: ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย, รายงานปี 2566)

มุมมองสองด้านต่อการรณรงค์บริจาค

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การจัดกิจกรรมบริจาคในวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ช่วยเพิ่มความตระหนักรู้ และเชื่อมโยงความจงรักภักดีกับการให้เพื่อเพื่อนมนุษย์ เป็นวิธีรณรงค์ที่สร้างแรงจูงใจ และควรจัดต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งในระดับจังหวัด

อีกฝ่ายหนึ่ง เสนอว่า แม้กิจกรรมในวันสำคัญจะดี แต่ควรสร้างระบบบริจาคอย่างต่อเนื่อง เช่น ตั้งศูนย์เคลื่อนที่ในโรงเรียน สถานศึกษา หรือสถานที่ราชการ และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น พร้อมเสนอให้เพิ่มความรู้เรื่องการบริจาคในหลักสูตรสุขศึกษา

สรุปการให้ที่ไม่สิ้นสุดเพื่อมนุษยชาติ

กิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะในวันนี้ นับเป็นอีกหนึ่งการรวมพลังของชาวเชียงรายในการแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ในขณะเดียวกัน การบริจาคยังเป็นการ “ให้” ที่ทรงพลังที่สุด เพราะสามารถช่วยชีวิตผู้อื่นอย่างเป็นรูปธรรม และสะท้อนถึงหัวใจของความเป็นมนุษย์ที่มีต่อกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายทำบุญ ถวายพระราชกุศล วันคล้ายวันพระราชสมภพ

เชียงรายจัดพิธีถวายพระราชกุศล และกิจกรรมวันรักการอ่าน เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2568

เชียงราย – วันที่ 2 เมษายน 2568 จังหวัดเชียงรายจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร พร้อมทั้งกิจกรรมวันรักการอ่าน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติแด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน

พิธีทางศาสนาเพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

เมื่อเวลา 07.30 น. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อำเภอเมืองเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำคณะผู้บริหาร หน่วยงานราชการ ทหาร ตำรวจ ตุลาการ ข้าราชการพลเรือน และประชาชนทุกหมู่เหล่าในจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลอย่างพร้อมเพรียง

พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมพระสงฆ์ 10 รูป เจริญพระพุทธมนต์ และรับบิณฑบาตจากประชาชน โดยมีพระภิกษุและสามเณรเข้าร่วมรับบิณฑบาตรวม 70 รูป บรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความสงบงาม สมพระเกียรติ

พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจอันทรงคุณค่า

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 2 เมษายน พุทธศักราช 2498 เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น “สยามบรมราชกุมารี” และทรงดำรงตำแหน่งสำคัญในหลายองค์กร อาทิ

  • นายกสภาสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา
  • นายกสภาสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย
  • ประธานมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย
  • นายกกิตติมศักดิ์มูลนิธิชัยพัฒนา
  • องค์อุปถัมภ์มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน

พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านอักษรศาสตร์และดนตรีไทย ทรงอุทิศพระวรกายอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยอย่างไม่หยุดยั้ง จนได้รับการถวายพระสมัญญา เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” และ วิศิษฏศิลปิน”

กิจกรรม “วันรักการอ่าน” สืบสานพระราชปณิธาน ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ในเวลาเดียวกัน ที่บริเวณลานธรรม ลานศิลป์ ถิ่นพญามังราย ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม “2 เมษายน วันรักการอ่าน” ประจำปี 2568 ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานการศึกษาในพื้นที่

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ผู้ทรงให้ความสำคัญต่อการศึกษาและการอ่านในทุกระดับ โดยเน้นส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านในประชาชนทุกช่วงวัย

ภายในงานมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ กิจกรรมการเรียนรู้ การแข่งขัน และการแสดงจากกลุ่มเยาวชน เช่น

  • การประกวดร้องเพลง
  • การแข่งขันส้มตำลีลา
  • การออกร้านผลิตภัณฑ์ชุมชน
  • การสาธิตวิชาชีพและอาชีพพื้นฐาน
  • นิทรรศการกลุ่มศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ 4 กลุ่มระดับอำเภอ

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 4 เมษายน 2568 และได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

เสียงสะท้อนจากประชาชนและภาคการศึกษา

ประชาชนในจังหวัดเชียงรายต่างแสดงความปลื้มปีติในการร่วมพิธีทำบุญและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติครั้งนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมวันรักการอ่าน หลายคนกล่าวว่า กิจกรรมเช่นนี้ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและปลูกฝังความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงอุทิศพระองค์แก่การศึกษาและพัฒนาสังคม

ในอีกมุมหนึ่ง นักวิชาการด้านการศึกษาและผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่เสนอว่า รัฐควรต่อยอดกิจกรรมดังกล่าวให้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายถาวร เช่น การรณรงค์ส่งเสริมการอ่านอย่างสม่ำเสมอในโรงเรียน และจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ในชุมชนอย่างทั่วถึง เพื่อให้ผลของกิจกรรมไม่เพียงอยู่แค่ในวันสำคัญเท่านั้น

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

จากรายงาน “ดัชนีการอ่านของคนไทย” โดยสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ปี 2566 พบว่า

  • คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 18 เล่มต่อปี เพิ่มขึ้นจาก 16 เล่มในปี 2565
  • เด็กและเยาวชนช่วงอายุ 10 – 14 ปี อ่านมากที่สุด เฉลี่ย 22.1 เล่ม/ปี
  • ปัจจัยที่ส่งผลให้การอ่านลดลงคือ การใช้สื่อออนไลน์ในปริมาณสูงและขาดแหล่งหนังสือใกล้บ้าน
  • จังหวัดที่มีโครงการส่งเสริมการอ่านต่อเนื่อง เช่น เชียงราย อุบลราชธานี เชียงใหม่ พบว่าระดับความสามารถด้านการอ่านของเด็กดีขึ้นร้อยละ 17 ภายใน 3 ปี

บทสรุปทัศนคติแบบเป็นกลาง

การจัดพิธีและกิจกรรมในวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่จังหวัดเชียงราย แสดงถึงความพร้อมและความตั้งใจของภาครัฐและประชาชนในการร่วมกันเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ในรูปแบบที่ครบถ้วนทั้งด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการศึกษา

ในมุมมองของประชาชนส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นโอกาสอันสำคัญที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ในชุมชนและปลูกฝังความรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงการเรียนรู้และการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย

ในขณะเดียวกัน นักวิชาการบางส่วนเสนอแนะให้มีการออกแบบกิจกรรมที่ยั่งยืนมากขึ้น เช่น การประเมินผลลัพธ์เชิงพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมกิจกรรม การสนับสนุนงบประมาณต่อเนื่อง และการส่งเสริมการอ่านให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างทางการศึกษา

ดังนั้น การผสานความเคารพในพระมหากรุณาธิคุณควบคู่กับการดำเนินกิจกรรมเพื่อประโยชน์เชิงรูปธรรมต่อประชาชน จึงเป็นแนวทางที่ควรดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ TK Park, รายงานประจำปี 2566
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สงกรานต์เชียงราย 2025 มรดกโลก จัดเต็มทั้งเดือน

เชียงรายจัดใหญ่ “สงกรานต์ ปี๋ใหม่เมือง 2568” ดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังยูเนสโกขึ้นทะเบียนมรดกโลก

ททท. เดินหน้ายกระดับ “สงกรานต์” สู่ Soft Power สากล

เชียงราย,วันที่ 1 เมษายน 2568-การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าสนองนโยบายรัฐบาล ในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ภายใต้แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” โดยในช่วงเดือนเมษายน 2568 ซึ่งตรงกับเทศกาลสงกรานต์ หรือ “ปี๋ใหม่เมือง” ของภาคเหนือ ททท. ได้ผนึกกำลังกับภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมสู่สายตานานาชาติ

ยูเนสโกยกย่อง ‘สงกรานต์ไทย’ มรดกโลกวัฒนธรรม

การจัดงานในปีนี้มีความพิเศษยิ่งขึ้น หลังจากที่องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งนับเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลและ ททท. เร่งพัฒนาเทศกาลนี้สู่ระดับสากล โดยใช้ Soft Power ด้านวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการดึงดูดนักท่องเที่ยว

กิจกรรมหลากหลายทั่วจังหวัด สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา

นายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานเชียงราย เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้จัดกิจกรรมมากมายตลอดเดือนเมษายน – พฤษภาคม เพื่อเฉลิมฉลองประเพณีสงกรานต์และขยายผลสู่เทศกาลวัฒนธรรมอื่นๆ ได้แก่:

  • สงกรานต์ตานตุง กลางเวียงเชียงราย (1–30 เม.ย. 2568) ณ วัดกลางเวียง อ.เมือง
    • สรงน้ำพระเจ้าฝนแสนห่า
    • สรงน้ำเสาสะดือเมือง
    • ปักตุงทราย 12 นักษัตร
    • ทำบุญไหว้พระ สักการะเสาหลักเมือง
  • ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง (12–16 เม.ย.) ณ ถนนคนม่วน เทศบาลนครเชียงราย
  • สงกรานต์ถนนสันโค้งคนเล่นน้ำ ณ ถนนสันโค้งน้อย
  • Chiangrai Songkran Festival 2025 (13–15 และ 19 เม.ย.) ณ ลานกาสะลอง เซ็นทรัลพลาซ่า เชียงราย
  • มหาสงกรานต์อำเภอเชียงของ (13 เม.ย.) ณ ลานข่วงวัฒนธรรมเมืองเชียงของ
  • สงกรานต์เมืองเชียงแสน (12, 16–18 เม.ย.) ณ หน้าที่ว่าการอำเภอเชียงแสน
  • ปี๋ใหม่เมืองตำบลโฮงจ้าง (19–20 เม.ย.) ณ บ้านโป่งศรีนคร อ.ป่าแดด
  • PANGKHON-ROMYEN TO DOICHANG TRAIL (3–4 พ.ค.) ณ บ้านปางขอน
  • เดือน 8 เช้า เดือน 9 ออก (23–29 พ.ค.) ณ วัดกลางเวียง

ความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

ททท. ระบุว่า การจัดกิจกรรมเช่นนี้ นอกจากจะเป็นการสืบสานประเพณีไทย ยังเป็นการแสดงศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ในการรองรับนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศ โดยมีการประเมินว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลเข้าร่วมกิจกรรมสงกรานต์ในเชียงรายไม่น้อยกว่า 60,000 คน ตลอดเดือนเมษายน – พฤษภาคม ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และการค้าท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ

เสียงสะท้อนจากภาคประชาชนและเอกชน

ประชาชนในพื้นที่และผู้ประกอบการส่วนใหญ่แสดงความยินดีและสนับสนุนการจัดกิจกรรมอย่างเต็มที่ เพราะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในหมู่บ้านท่องเที่ยวและชุมชนเมืองเก่าที่ได้ประโยชน์จากการเดินทางของนักท่องเที่ยวโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ยังมีเสียงจากภาคประชาสังคมที่เสนอข้อห่วงใยเกี่ยวกับปริมาณขยะและมลภาวะทางเสียงจากการจัดกิจกรรม ซึ่งอาจกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน โดยเรียกร้องให้มีแนวทางควบคุมและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม

การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนคือเป้าหมายหลัก

นายวิสูตร เน้นย้ำว่า ททท. ตระหนักถึงความสำคัญของ การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) โดยจะดำเนินกิจกรรมตามหลักความรับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น และใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า

การส่งเสริม ‘ปี๋ใหม่เมือง’ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ

การจัดงานสงกรานต์ปี 2568 เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ที่เน้นการใช้วัฒนธรรมเป็นฐานเศรษฐกิจผ่าน “Soft Power” โดยรัฐบาลไทยมีเป้าหมายให้รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระจายไปยังภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีต้นทุนทางวัฒนธรรมเข้มแข็ง

ข้อมูลสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย

จากรายงานของสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย ปี 2566 ระบุว่า:

  • เชียงรายมีนักท่องเที่ยวรวม 2.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ร้อยละ 28
  • รายได้รวมจากการท่องเที่ยวประมาณ 13,200 ล้านบาท
  • นักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็นร้อยละ 17 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
  • อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมอยู่ที่ร้อยละ 52 ตลอดปี
  • งานเทศกาลสงกรานต์มีนักท่องเที่ยวเฉพาะเดือนเมษายนกว่า 58,000 คน

สรุปมุมมองเชิงนโยบายแบบเป็นกลาง

จากมุมมองของผู้สนับสนุน กิจกรรม “ปี๋ใหม่เมืองเชียงราย” เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับวัฒนธรรมไทยสู่ระดับนานาชาติ โดยสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น

ในขณะที่อีกมุมมองหนึ่งของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและชุมชนเมืองเก่า เห็นว่าการจัดกิจกรรมในบางจุดอาจต้องพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตท้องถิ่นมากขึ้น เพื่อให้การส่งเสริมการท่องเที่ยวไม่กลายเป็นภาระของชุมชน

ดังนั้น ความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น จึงเป็นหัวใจของการจัดงานสงกรานต์ในยุคใหม่ ที่ต้องใส่ใจทั้งภาพลักษณ์และความยั่งยืนอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2566
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย
  • UNESCO, Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity (2023)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ตรวจเข้มโลหะหนักตะกอนดิน ห่วงน้ำใช้เกษตรแม่น้ำกก

เชียงรายเก็บตัวอย่างตะกอนดินแม่น้ำกก ตรวจสอบโลหะหนัก-ไซยาไนด์ หวังสร้างความมั่นใจประชาชน

สำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ ลงพื้นที่ตรวจตะกอนดิน 3 จุดในแม่น้ำกก

เชียงราย,วันที่ 1 เมษายน 2568 –  เวลา 13.00 น. นางสาวปิยนุช ทรวงคำ ผู้อำนวยการส่วนการจัดการคุณภาพน้ำ อากาศ และเสียง สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ พร้อมเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเดียวกัน รวมถึงเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่เพื่อเก็บตัวอย่างตะกอนดินจากแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงราย เพื่อดำเนินการตรวจสอบการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารอันตรายที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

จุดที่มีการเก็บตัวอย่างประกอบด้วย 3 จุดหลัก ได้แก่

  1. บริเวณสะพานแม่ฟ้าหลวง หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย
  2. บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำกก ตำบลดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย
  3. พื้นที่บ้านโป่งนาคำ ตำบลดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย

ตรวจสอบโลหะหนักและสารไซยาไนด์ในตะกอนดิน

การตรวจสอบในครั้งนี้ครอบคลุมทั้งค่าพารามิเตอร์พื้นฐานของคุณภาพน้ำ เช่น ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH), ค่าออกซิเจนละลายน้ำ (DO), ค่าอุณหภูมิ และค่าความขุ่น ตลอดจนการตรวจสอบค่าปนเปื้อนของโลหะหนัก ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และสารไซยาไนด์ในตะกอนดิน โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 จะส่งตัวอย่างไปตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษ เพื่อวิเคราะห์ค่าโลหะหนักและไซยาไนด์โดยเฉพาะ

นางสาวปิยนุช ระบุว่า “การตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำกกเป็นภารกิจประจำของสำนักงาน ซึ่งจะดำเนินการปีละ 3 ครั้ง โดยมุ่งเน้นเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้ใช้น้ำในพื้นที่”

ใช้เวลาตรวจสอบ 2 สัปดาห์ รู้ผลแน่ชัด

สำหรับการเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินจากแม่น้ำกกในครั้งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 14 วัน หรือราว 2 สัปดาห์ ก่อนจะได้ผลวิเคราะห์อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการเปิดเผยผลตรวจอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างทั่วถึง

ตรวจน้ำแม่น้ำกกที่เชียงใหม่ พบค่าปกติ

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินในแม่น้ำกก พื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 3 จุด โดยผลการตรวจวิเคราะห์เบื้องต้น พบว่าค่าออกซิเจนละลายน้ำ (DO) และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกต่อคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกโดยรวม

ประชาชนหวังผลตรวจชัดเจน – นักสิ่งแวดล้อมเสนอแนะควบคุมต้นเหตุ

เสียงสะท้อนจากประชาชนในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำกก หลายรายระบุว่า ยินดีที่มีการตรวจสอบเชิงลึกในครั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำที่เปลี่ยนไปในบางฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกหนักหรือน้ำหลาก ซึ่งอาจพาสิ่งปนเปื้อนจากพื้นที่เกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรมเข้าสู่แม่น้ำ

ขณะเดียวกัน นักสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เสนอว่า นอกจากการตรวจสอบแล้ว ควรมีการติดตามและควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น ฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรม หรือการใช้สารเคมีในพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่ใกล้แม่น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมแนะนำให้มีมาตรการป้องกันการชะล้างหน้าดินเข้าสู่แหล่งน้ำสาธารณะในช่วงหน้าฝนด้วย

บทบาทของหน่วยงานรัฐในการสร้างความมั่นใจ

ภาครัฐโดยเฉพาะสำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ ได้เน้นย้ำถึงความโปร่งใสและความถี่ในการตรวจสอบ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าน้ำในแม่น้ำกกยังสามารถนำไปใช้ในการอุปโภค บริโภค และเกษตรกรรมได้อย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยังพึ่งพาแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำหลัก เช่น พื้นที่ชุมชนดอยฮางและบ้านโป่งนาคำ

นอกจากนี้ ยังมีแผนในการจัดทำรายงานผลวิเคราะห์และประชาสัมพันธ์ต่อสาธารณชนผ่านเว็บไซต์และช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างเปิดเผย

ข้อมูลสถิติคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก

จากข้อมูลรายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำของกรมควบคุมมลพิษ (รายงานประจำปี 2566) ระบุว่า

  • แม่น้ำกกอยู่ในกลุ่มลุ่มน้ำที่มีคุณภาพน้ำในระดับ “พอใช้” ถึง “ดี”
  • พื้นที่ตอนบน (จังหวัดเชียงใหม่) พบว่าค่า DO เฉลี่ยอยู่ที่ 6.3 mg/L อยู่ในเกณฑ์ดี
  • พื้นที่ตอนล่าง (เชียงราย) มีแนวโน้มค่า BOD เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในฤดูฝน
  • สารโลหะหนักในน้ำไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนดตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2560
  • ไม่พบค่าซีเอนสูงผิดปกติใน 5 ปีที่ผ่านมา

สรุปภาพรวมและทัศนคติแบบเป็นกลาง

การเก็บตัวอย่างตะกอนดินเพื่อวิเคราะห์โลหะหนักและสารพิษในแม่น้ำกก ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังในพื้นที่เชียงราย จากมุมมองภาครัฐและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม การตรวจสอบดังกล่าวเป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินและป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้า ซึ่งสามารถส่งเสริมความมั่นใจให้กับประชาชนในการใช้ทรัพยากรน้ำได้อย่างปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของภาคประชาชนและนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยังคงมีความกังวลต่อแหล่งต้นตอของมลพิษ และต้องการให้มีการควบคุมที่ต้นเหตุอย่างจริงจัง ทั้งในเชิงนโยบายและการบังคับใช้กฎหมาย

ความสมดุลระหว่างการตรวจสอบ การสื่อสารข้อมูล และการจัดการต้นเหตุของมลพิษ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างระบบนิเวศน้ำที่ยั่งยืนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำประเทศไทย ปี 2566
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำประเภทต่าง ๆ พ.ศ. 2560
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News