Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้แม่น้ำกก ปนเปื้อน สารหนูเกินมาตรฐาน!

เชียงรายเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ – จับมือทุกภาคส่วนสู้ภัยสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก วันสิ่งแวดล้อมโลกชาวบ้านแห่เรียกร้อง “ปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง”

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของสังคมต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือ “แม่น้ำกก” ซึ่งเป็นหัวใจของการดำรงชีวิตในพื้นที่เชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง กลายเป็นประเด็นร้อนบนเวทีสาธารณะอีกครั้ง หลังการตรวจพบสารหนูและสารพิษโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในน้ำอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชุมชนริมฝั่งน้ำ ทั้งยังเป็นชนวนจุดประกายให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดลุกขึ้นผนึกกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลง

นายก อบจ.เชียงราย นำทีมร่วมขบวน “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” ย้ำจุดยืนปกป้องสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 2568

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมกิจกรรมขบวนแห่ “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยมีนายจิรวัฒน์ ณ เชียงใหม่ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขตอำเภอเมืองเชียงราย เขต 1 เข้าร่วมกิจกรรมสำคัญในครั้งนี้ด้วย ท่ามกลางการรวมตัวของพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายจำนวนมากที่มาร่วมแสดงพลังและเจตนารมณ์ร่วมกันในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของจังหวัด

กิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” จัดขึ้นโดยความร่วมมือของภาคประชาสังคมและเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในจังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเรียกร้องให้มีการพิจารณาและดำเนินการ “ปิดเหมือง” อันอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคุณภาพของลุ่มน้ำกก ลำน้ำสายรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ ตลอดจนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่อาจได้รับผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในอดีตหรือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน “วันสิ่งแวดล้อมโลกในปีนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราทุกคนจะได้ทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบในการปกป้องผืนดินและแหล่งน้ำของเรา สิ่งแวดล้อมที่ดีคือรากฐานของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคนในปัจจุบันและในอนาคต องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมการพัฒนาที่สมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะสนับสนุนทุกภาคส่วนในการดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม”

เวทีรัฐ-ประชาชนร่วมสื่อสารสถานการณ์

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมจอมกิตติ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแกนกลางนำทีมหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย สำนักงานประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย และสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ร่วมชี้แจงสถานการณ์ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเผยว่า ต้นตอของปัญหาส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต่างประเทศ จังหวัดจึงมีอำนาจและขีดความสามารถแก้ไขได้เพียงปลายเหตุ เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก บ่อน้ำตื้น และแหล่งน้ำดิบของการประปา รวมถึงการเตรียมสำรองแหล่งน้ำจากที่อื่นไว้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน อย่างไรก็ดี ทางจังหวัดยังยืนยันว่าได้อยู่เคียงข้างประชาชนมาโดยตลอด

ที่ผ่านมา สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ได้ตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ มาแล้วจำนวน 4 ครั้ง พบว่าคุณภาพน้ำใต้ฝายเชียงรายในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย มีแนวโน้มดีขึ้นจากการตกตะกอนของสารปนเปื้อน ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นฐานข้อมูลสำคัญเพื่อการวิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาในอนาคต

ผลวิเคราะห์คุณภาพน้ำ  ตัวเลขที่น่ากังวล

ผลการตรวจสอบโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ในเดือนพฤษภาคม 2568 พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 11 จุดสำรวจ ในพื้นที่เชียงรายและเชียงใหม่ อาทิ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย (0.030 มก./ลิตร), บ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย (0.023 มก./ลิตร) และจุดสูงสุดอยู่บริเวณชายแดนไทย–เมียนมา ขณะที่การตรวจในแม่น้ำโขงพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานที่ต.เวียง อ.เชียงแสน (0.026 มก./ลิตร) และต.บ้านแซว อ.เชียงแสน (0.025 มก./ลิตร)

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบดังกล่าว หน่วยงานรัฐยังพบความคลาดเคลื่อนของผลตรวจน้ำระหว่างภาครัฐกับนักวิชาการอิสระในบางจุด จึงขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ประสานงานล่วงหน้ากับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการตรวจน้ำแต่ละครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกัน ลดความตื่นตระหนกและสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องในชุมชน

แผนรับมือเชิงระบบ – การตั้งคณะทำงาน 4 ชุด

ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงาน 4 ชุดเพื่อรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่

  1. ชุดประสานงานระหว่างประเทศ
  2. ชุดด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
  3. ชุดติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า

โดยมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน พร้อมจัดประชุมร่วมกับจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ในวันที่ 6 มิถุนายนนี้ ทางระบบออนไลน์ เพื่อยกระดับการแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ชาวบ้านลุกขึ้นสู้ “ปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง”

ในวันเดียวกันนี้ บรรยากาศที่สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวงคึกคักไปด้วยประชาชน นักเรียน นักศึกษา ภาคประชาสังคม และผู้นำท้องถิ่นกว่า 1,000 คน รวมพลังแสดงจุดยืนร่วมในกิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง” เพื่อเรียกร้องปกป้องทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมจากผลกระทบของเหมืองแร่ พร้อมส่งสารถึงผู้นำประเทศและนานาชาติให้ร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

การรวมพลังครั้งนี้สะท้อนถึงความตื่นตัวและความห่วงใยต่อแม่น้ำกก สาย รวก โขง ในฐานะสายชีวิตของผู้คนเชียงราย ซึ่งหากไม่มีมาตรการเชิงรุกที่ชัดเจน ปัญหาสารพิษข้ามพรมแดนจะลุกลามและกระทบวิถีชีวิตของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

เสียงประชาชนสะท้อนถึงศูนย์กลางนโยบาย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ทางจังหวัดจะดำเนินการเต็มที่และพร้อมประสานงานกับทุกฝ่ายในทุกมิติ ขณะที่ภาคประชาชนยังคงจับตาและผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยั่งยืน

สุดท้ายนี้ ความหวังของชาวเชียงรายและเครือข่ายภาคประชาชน คือ การได้เห็นแม่น้ำกกและลุ่มน้ำสำคัญกลับมาสะอาด บริสุทธิ์ เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างแท้จริง ขณะที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน และสร้างการสื่อสารที่ถูกต้องต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย
  • สำนักงานประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

สกสว. หนุนวิจัย “เชียงราย” นำร่องวิจัยโครงสร้างรับมือ ‘น้ำท่วม’

สกสว.หนุนนักวิจัยลงพื้นที่เชียงราย สำรวจความเสียหายจากน้ำท่วม มุ่งปั้นจังหวัดต้นแบบจัดการสาธารณภัย

เชียงราย, 4 มิถุนายน 2568 – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกาศเดินหน้า “โครงการสำรวจความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมในภาคเหนือ” โดยเลือก จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่นำร่อง ดึงนักวิจัยวิศวกรรมโครงสร้างและทีมวิศวกรอาสาหลายร้อยชีวิตลงพื้นที่สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายอย่างเป็นระบบ หวังยกระดับการจัดการสาธารณภัยด้วยองค์ความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ผนึกกำลังภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชนเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยอย่างยั่งยืนในอนาคต

วิกฤตน้ำท่วมซ้ำซากในเชียงราย จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

พื้นที่ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติซ้ำซาก ทั้งอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม รวมถึงแผ่นดินไหวและฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิถีชีวิตชุมชน และความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนัก เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ สกสว. ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย นำทีมสำรวจบ้านเรือน สะพาน ถนน และโครงสร้างสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของน้ำหลาก

ศ. ดร.อมร พิมานมาศ หัวหน้าโครงการ เปิดเผยว่า “เราใช้โอกาสจากเหตุการณ์ฟื้นฟูน้ำท่วมครั้งล่าสุด ระดมนักวิศวกรอาสามืออาชีพนับร้อยชีวิต สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายของโครงสร้างสำคัญอย่างเป็นระบบ นำเทคโนโลยีสำรวจสมัยใหม่มาใช้เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วน แม่นยำ รองรับการวางแผนฟื้นฟูและออกแบบมาตรการป้องกันในอนาคต”

เชียงรายสู่เมืองต้นแบบ “จัดการสาธารณภัย” บูรณาการวิจัย-นโยบาย

จุดเด่นของโครงการคือการนำองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมโครงสร้างมาผสานกับ “ระบบฐานข้อมูลดิจิทัล” จัดทำ “แผนที่ความเสียหาย” และ “แผนที่เสี่ยงภัย” เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานบริหารจัดการน้ำของรัฐ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่ต้องซ่อมแซมหรือป้องกันเป็นการเร่งด่วน

ศ.ดร.อมร ระบุอีกว่า “เชียงรายคือพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาต้นแบบงานวิจัยลักษณะนี้ ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เสี่ยงภัยพิบัติหลายรูปแบบ ข้อมูลที่เราได้จากการลงพื้นที่ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ แต่ยังต่อยอดไปสู่งานวิจัยด้านระบบแจ้งเตือนภัย ฐานข้อมูลความเสียหายที่ลงลึกในแต่ละอาคาร ไปจนถึงแนวทางประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายงบประมาณซ่อมแซม และแผนงานฟื้นฟูระยะยาว”

ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน-ภาครัฐ เพิ่มภูมิคุ้มกันสังคมไทย

นอกจากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ทางวิศวกรรมแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดองค์ความรู้ระบบป้องกันน้ำท่วมและวิธีลดความเสียหายของโครงสร้างต่อประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ สัมมนาเชิงวิชาการ และคู่มือความรู้สำหรับชุมชน

ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุว่า “ข้อมูลจากงานวิจัยครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนรับมือและฟื้นฟูภัยพิบัติทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการสร้างกำแพงกั้นน้ำ ระบบเตือนภัย การออกแบบบ้านเรือนที่ทนทานต่อน้ำหลาก และการวางแผนจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรขยายการถ่ายทอดองค์ความรู้ดังกล่าวไปยังพื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ทั่วประเทศ”

วางรากฐาน “ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่” สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

รศ. ดร.นิรมล สุธรรมกิจ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์ ววน. การยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อม สกสว. เผยว่า “สกสว.มีแผนประสานงานกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อขยายผลโครงการนี้ ทั้งด้านการสร้างฐานข้อมูลเสี่ยงภัยดิจิทัล และการผลักดันนวัตกรรมอุปกรณ์ตรวจวัดเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ในรูปแบบของสตาร์ทอัพ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดกฎ/เทศบัญญัติเพื่อยกระดับมาตรฐานโครงสร้างในพื้นที่เสี่ยง”

การทำงานแบบบูรณาการเช่นนี้จะนำไปสู่การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การจัดทำ “แผนที่เสี่ยงภัยแบบซ้อนทับ” (Overlay Risk Map) เพื่อดูจุดเสี่ยงแต่ละประเภทภัยพิบัติในพื้นที่เดียวกัน ต่อยอดสู่การวางแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเตือนภัยล่วงหน้า และการฝึกอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังให้เข้มแข็งขึ้น

ผลลัพธ์และข้อเสนอแนะ

  • เชียงรายเป็นต้นแบบการประสานความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ภาครัฐ และชุมชนในการจัดการสาธารณภัยเชิงรุก
  • องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้สามารถถ่ายทอดสู่พื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ ในประเทศได้จริง
  • ควรผลักดันข้อมูลวิจัยสู่นโยบายและกฎ/เทศบัญญัติในระดับท้องถิ่น
  • สกสว. วางแผนขยายผลสู่การสร้างมาตรฐานวิศวกรรมภัยพิบัติสำหรับประเทศไทย
“การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (โครงการต้นแบบ จังหวัดเชียงราย)” ซึ่งมี ศ. ดร.อมร พิมานมาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าโครงการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) www.tsri.or.th
  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) www.disaster.go.th
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • รายงานประชุมและข้อมูลโครงการ “การสำรวจเพื่อจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายโครงสร้างจากน้ำท่วมภาคเหนือ (เชียงราย)”
  • ข่าวที่เกี่ยวข้อง สำนักข่าวไทย, ThaiPBS, สยามรัฐ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ซ้อมแผนน้ำท่วมเชียงราย เตรียมพร้อมรับมือ 2568

เชียงรายเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยปี 2568 ผนึกกำลังทุกภาคส่วน เสริมระบบเตือนภัย-ซักซ้อมแผนรับมือ ยกระดับความปลอดภัยประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 — ท่ามกลางความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกปี จังหวัดเชียงรายในฐานะจังหวัดที่มีภูมิประเทศติดลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือ ยังคงให้ความสำคัญกับการรับมือและเตรียมความพร้อมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

การประชุมใหญ่ ผนึกกำลังหลายฝ่าย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 3 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดประชุมอบรมการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2568 โดยมี พล.ต. จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37/ผบ.ศบภ.มทบ.37) มอบหมายให้ พ.อ. สิงหนาท โลสุยะ เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 37/เสธ.ศบภ.มทบ.37 เข้าร่วมประชุม ร่วมกับ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกว่า 15 หน่วยงาน เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, ปภ., หน่วยกู้ภัย, มูลนิธิเพื่อนพึ่งพา และหน่วยงานท้องถิ่น

ปัญหาอุทกภัย บทเรียนจากอดีตสู่การวางแผนปี 2568

การประชุมในครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจน คือ การทบทวนมาตรการป้องกันน้ำท่วมในปี 2567 และเสนอแนะแนวทางป้องกันและลดความเสี่ยงในปี 2568 ซึ่งเชียงรายนับเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเกือบทุกปี สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย อำเภอเมืองเชียงราย และพื้นที่ติดแม่น้ำกก แม่น้ำโขง

ไพโรจน์ แอบยิ้ม ผู้ทรงคุณวุฒิลุ่มน้ำโขงเหนือ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้นำเสนอแนวทางป้องกันน้ำท่วมปี 2568 พร้อมข้อสังเกตว่า

  1. การวิเคราะห์หน้าตัดลำน้ำยังไม่ครอบคลุมข้อมูลขุดลอกล่าสุด จึงต้องสำรวจสภาพปัจจุบันอย่างละเอียดมากขึ้น
  2. ควรขยายขอบเขตสำรวจให้เลยฝายเชียงราย เพื่อประเมินผลกระทบต่อการท่วมในพื้นที่
  3. แนะนำให้เพิ่มการสำรวจริมตลิ่ง เพื่อประเมินขอบเขตการขยายตัวของพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม

ระบบเตือนภัยน้ำท่วมปรับปรุง-ยกระดับ

อีกประเด็นสำคัญคือการนำเสนอระบบเตือนภัยน้ำท่วมแม่น้ำกก โดย ผศ.ดร.พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ ผู้ทรงคุณวุฒิลุ่มน้ำโขงเหนือ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่ระบุว่าระยะเวลาแจ้งเตือนภัยปัจจุบัน (จากสถานีสะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน ถึงสะพานขังพญามังราย) มีเวลาประมาณ 11 ชั่วโมง ก่อนที่น้ำจะเข้าสู่เขตเมืองเชียงราย ควรเสริมระบบ Flood Mark หรือ Flood Map เพื่อแจ้งเตือนขอบเขตที่ชัดเจน พร้อมแนะนำให้เฝ้าระวังระบบอัตโนมัติในช่วงฤดูฝนเดือนสิงหาคม-กันยายน ที่อาจขัดข้องจากสภาพอากาศ

แผนฝึกอบรม-ซักซ้อมสร้างเครือข่ายปฏิบัติการจริง

จังหวัดเชียงรายได้กำหนดการฝึกอบรมการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยปี 2568 ในเดือนกรกฎาคม โดยจัดกิจกรรมครอบคลุม 3 วัน ได้แก่

  • วันแรก: ประชุมเชิงปฏิบัติการ ทบทวนแผนบรรเทาสาธารณภัย ศึกษาความรู้เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์
  • ภาคบ่าย: ฝึกจำลองสถานการณ์น้ำท่วมและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
  • วันที่สอง: อบรมพัฒนาเครือข่ายเครื่องจักรกลสาธารณภัย
  • วันที่สาม: ซักซ้อมแผนอุทกภัยอำเภอแม่สาย โดยผนวกแผนงานของ ปภ. 15 จังหวัด ร่วมกับ มทบ.37 ใช้งบประมาณจากมูลนิธิเพื่อนพึ่งพา

ความท้าทายใหม่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สถานการณ์อุทกภัยในปัจจุบันซับซ้อนมากขึ้นจากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฝนตกหนักมากกว่าค่าเฉลี่ย การละลายของหิมะบนภูเขาในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำโขงผันผวนรวดเร็ว การเตรียมพร้อมจึงต้องยึดข้อมูลจริงและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง

การบูรณาการคือคำตอบ

จากการประชุมในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าการรับมืออุทกภัยของเชียงรายไม่ได้จำกัดอยู่เพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ภาคประชาชน นักวิชาการ และมูลนิธิเอกชน เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีบทบาทและพร้อมตอบสนองสถานการณ์ได้จริง หากบูรณาการแผนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชียงรายจะสามารถลดผลกระทบจากอุทกภัยได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจของพื้นที่

เชียงรายเดินหน้าสู่เมืองปลอดภัยจากอุทกภัย

แผนเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยปี 2568 ของจังหวัดเชียงราย เป็นตัวอย่างของการวางแผนเชิงรุกและยืดหยุ่น พร้อมผสานพลังกับเทคโนโลยีและฐานข้อมูลจริง สะท้อนการเรียนรู้และปรับตัวจากอดีตสู่อนาคต เพื่อให้ประชาชนเชียงรายอุ่นใจในทุกฤดูฝน

ประชุมการฝึกอบรมการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานประชุมเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเชียงราย 3 มิ.ย. 2568
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ www.onwr.go.th
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย www.disaster.go.th
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • มูลนิธิเพื่อนพึ่งพา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มะม่วงเชียงรายวิกฤต ราคาดิ่ง เกษตรกรขาดทุนหนัก

วิกฤตราคามะม่วงตกต่ำในรอบหลายปี เกษตรกรเชียงรายขาดทุนหนัก เสียงสะท้อนจากชุมชนถึงภาครัฐ

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 — เช้าตรู่ในฤดูเก็บเกี่ยวที่ควรจะเต็มไปด้วยความหวังของชาวสวนมะม่วง อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย กลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อมีภาพมะม่วงจำนวนมากถูกนำมาทิ้งข้างทาง เผยให้เห็นอีกด้านของปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเล่นงานเกษตรกรไทยอย่างรุนแรงในปีนี้

จากสวนสู่ข้างทาง จุดเริ่มต้นของวิกฤต

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านกระแล หมู่ 7 ตำบลแม่เปา ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ได้พบกับนายปรีชา ลักษณาการ กำนันตำบลแม่เปา ซึ่งเป็นเจ้าของสวนมะม่วงกว่า 200 ไร่ ภายในสวนแห่งนี้ปลูกมะม่วงหลากหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดอกไม้สีทอง โชคอนันต์ อาร์ทูอีทู มหาชนก และแก้วขมิ้น โดยผลผลิตจะถูกส่งไปยังล้ง จุดรับซื้อกลาง มีพ่อค้าแม่ค้าตลาดไทมารับไปขายในตลาดกรุงเทพฯ บ้าง หรือส่งออกไปยังประเทศจีนและมาเลเซีย

ปีนี้กลับกลายเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ราคามะม่วงร่วงหนักสวนทางกับต้นทุนที่พุ่งสูง ทำให้เกิดภาพเศร้าใจเมื่อเกษตรกรต้องนำมะม่วงที่ตกเกรดหรือมีแมลงวันเจาะมาเททิ้งไว้ข้างถนน ภาพเหล่านี้กลายเป็นประเด็นในโลกโซเชียล สะท้อนวิกฤตการณ์ที่ชาวสวนกำลังเผชิญ

เสียงจากคนทำสวนขายก็ขาดทุน ทิ้งก็เจ็บปวด

นายปรีชาเผยว่า แม้ชาวสวนในพื้นที่จะพยายามควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดด้วยการห่อผลมะม่วงทุกลูก เพื่อป้องกันแมลงและสร้างมาตรฐาน แต่ก็ยังไม่วายประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างหนัก “ปีที่แล้ว มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเกรด A ขายได้ 80 บาท/กก. แต่ปีนี้ลดเหลือแค่ 21-22 บาท/กก. ส่วนมะม่วงแก้วขมิ้นที่กำลังได้รับความนิยม ปีที่แล้วขาย 40 บาท/กก. ปีนี้เหลือแค่ 11-12 บาท/กก. เรียกว่าราคาตกทุกสายพันธุ์” กำนันปรีชากล่าว

สำหรับมะม่วงที่ถูกนำไปทิ้งข้างทาง ส่วนใหญ่มักเป็นมะม่วงตกเกรดหรือถูกแมลงวันเจาะจนขายไม่ได้ “เราเองไม่อยากทิ้ง แต่ตลาดไม่รับซื้อ ราคาก็ตกต่ำมาก” นายปรีชาย้ำ

เศรษฐกิจโลกดิ่ง ต้นทุนสูง กระทบหนักถึงชาวสวนรายย่อย

สาเหตุที่ทำให้ราคามะม่วงตกต่ำในปีนี้ มาจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐอเมริกา รวมถึงการแข่งขันจากประเทศผู้ผลิตอื่น ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและราคาภายในประเทศโดยตรง

ขณะที่ต้นทุนการผลิต เช่น ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง และค่าจ้างแรงงานเก็บเกี่ยวยังคงสูงไม่เปลี่ยนแปลง หลายคนบ่นกับกำนันว่า ถึงทำงานหนักแค่ไหนแต่ก็แทบไม่มีเงินเหลือ “เราเองก็ต้องให้กำลังใจชาวสวน ว่าถึงปีนี้จะขาดทุนอย่างไร ก็ต้องดูแลรักษาต้นไว้ เผื่อปีหน้าราคากลับมาดีขึ้น” กำนันปรีชากล่าวอย่างมีความหวัง

วิกฤตการณ์ในโลกออนไลน์และข้อเท็จจริงในพื้นที่

ในสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ภาพมะม่วงถูกนำไปทิ้งเป็นจำนวนมาก หลายฝ่ายแสดงความห่วงใยต่อเกษตรกรในพื้นที่ นายปรีชาให้ข้อมูลว่า “ในพื้นที่ตำบลแม่เปา ยังไม่พบเห็นการนำมะม่วงไปทิ้งแบบที่แชร์กัน อาจจะเป็นมะม่วงจากพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่ผ่านมาตรฐานตลาดหรือถูกแมลงเจาะ”

ข้อเสนอจากชุมชน อยากเห็นรัฐช่วยเหลือแบบเป็นรูปธรรม

สิ่งที่ชาวสวนคาดหวังจากภาครัฐไม่ใช่เพียงนโยบายระยะสั้น แต่ต้องการมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับที่เคยทำในช่วงราคาหอมกระเทียมตกต่ำ จังหวัดให้กำนันผู้ใหญ่บ้านทั่วจังหวัดช่วยซื้อคนละ 1 ถุง (10 กก./ถุง) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร

“ปีนี้ราคามะม่วงตกต่ำสุดในรอบหลายปี อยากให้จังหวัดใช้มาตรการเดียวกันนี้กับชาวสวนมะม่วงบ้าง จะช่วยให้พวกเรามีกำลังใจและสามารถดำรงอาชีพต่อไปได้” กำนันปรีชาย้ำข้อเรียกร้อง

อนาคตเกษตรกรเชียงรายอยู่ที่ไหน?

แม้ว่าชาวสวนบางส่วนในพื้นที่อาจรอดจากวิกฤตราคาตกต่ำด้วยการรักษาคุณภาพผลผลิตเพื่อให้ได้ราคาดี แต่สำหรับชาวสวนรายย่อยที่ต้นทุนน้อย หรือประสบปัญหาผลผลิตตกเกรด กลับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักสุด หากไม่เร่งแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ อาจนำไปสู่การสูญเสียรายได้หลักของครอบครัว เกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว และท้ายที่สุดอาจต้องละทิ้งอาชีพทำสวนมะม่วงที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญถึงภาครัฐ ในการทบทวนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการสนับสนุนตลาด ผลักดันการแปรรูป และส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงอย่างเดียว

สรุป

ปัญหาราคามะม่วงตกต่ำในอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเกษตรกรไทยที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ต้นทุนการผลิตที่สูง และขาดกลไกช่วยเหลือที่เหมาะสมจากภาครัฐ เสียงจากชุมชนจึงเป็นสิ่งที่ควรได้รับการรับฟังและนำไปปรับใช้อย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องอาชีพและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สัมภาษณ์นายปรีชา ลักษณาการ กำนันตำบลแม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย
  • ข่าวช่อง 7HD “มะม่วงราคาตกต่ำหนักสุดในรอบหลายปี” เผยแพร่ 3 มิถุนายน 2568
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ www.moac.go.th
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐานทส. ชี้แม่น้ำกก-สายยังน่าห่วง

รมว.ทส. สั่งเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง จ.เชียงราย เดินหน้าประชุมมาตรการเข้มข้นเพื่อคืนคุณภาพชีวิตประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์วิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน หลังการตรวจพบค่าปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายเกินกว่าค่ามาตรฐานซ้ำซ้อนหลายจุด สร้างความวิตกกังวลต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยืนยันเดินหน้าแก้ไขปัญหาทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อเร่งคืนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตสารหนูข้ามพรมแดนในพื้นที่ลุ่มน้ำเชียงราย

ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือโดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ถูกจับตามองจากประชาชน สื่อมวลชน และนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรน้ำพบค่าการปนเปื้อนสารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตรายสูงต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์น้ำ เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกและประเทศไทยกำหนดไว้ สร้างความวิตกกังวลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งต้องใช้น้ำในชีวิตประจำวัน

สถานการณ์ดังกล่าวซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าแหล่งกำเนิดมลพิษส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากนอกประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำในเขตชายแดนเมียนมาและพื้นที่ชายแดนจีน ซึ่งควบคุมและตรวจสอบต้นเหตุโดยตรงได้ยาก รัฐบาลไทยจึงต้องดำเนินงานเชิงรุก ทั้งมาตรการเฉพาะหน้าและแผนความร่วมมือระหว่างประเทศ

รมว.ทส. สั่งประชุมเร่งรัดมาตรการ รับมือผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์หลังร่วมลงนามถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระบรมมหาราชวัง ว่าได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ตามกรอบที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานและคลายข้อห่วงใยจากประชาชนในพื้นที่

รัฐมนตรีฯ ย้ำว่า แม้มาตรการที่ทำได้ในทันทีอาจเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ เช่น การออกแบบระบบดักตะกอนเพื่อชะลอการกระจายของสารปนเปื้อนและเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ แต่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จะต้องเพิ่มจำนวนและความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำ ครอบคลุมตลอดลำน้ำและสาขา ทั้งน้ำผิวดิน ตะกอนดิน สัตว์หน้าดิน ไปจนถึงตรวจระดับสารพิษในร่างกายของประชาชนกลุ่มเสี่ยง

แม่น้ำกก-สาย ยังเกินมาตรฐานในบางจุด

รายงานจากกรมควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบค่าการปนเปื้อนของสารหนูเกินกว่าค่ามาตรฐานในการตรวจวัดทั้งน้ำผิวดินและตะกอนดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อนถึงจุดที่น้ำไหลผ่านฝายเชียงรายไปยังแม่น้ำโขง พบว่าหลังผ่านฝายดังกล่าว ค่าสารปนเปื้อนมีแนวโน้มลดลง สาเหตุจากกระแสน้ำถูกลดความเร็ว ส่งผลให้มีการตกตะกอนเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว และแม่น้ำสรวย คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะพบสารหนูในตะกอนเกินค่ามาตรฐานสำหรับการปกป้องสัตว์หน้าดิน แต่ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ในขณะนี้

ความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายที่ต้องใช้เวลา

ดร.เฉลิมชัย เน้นว่า การแก้ไขปัญหาสารหนูที่ต้นเหตุต้องอาศัยกระบวนการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งกับเมียนมาและจีนซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นประสานความร่วมมือผ่านเวทีทวิภาคีและภูมิภาค พร้อมทั้งผลักดันข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ขณะเดียวกัน มาตรการในประเทศต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนประชาชนให้งดกิจกรรมทางน้ำในพื้นที่เสี่ยง ให้ใช้น้ำเฉพาะแหล่งที่ผ่านการรับรองคุณภาพ และจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์

การสื่อสารและแจ้งเตือนประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

รมว.ทส. ฝากถึงประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงราย และใกล้เคียง ให้ติดตามข่าวสารและประกาศแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป เนื่องจากทุกหน่วยงานกำลังร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อเฝ้าระวังและเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด

วิเคราะห์และแนวโน้มผลกระทบ

กรณีปนเปื้อนสารหนูในลุ่มน้ำเชียงรายถือเป็นแบบอย่างสำคัญของวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ที่ต้องอาศัยทั้งมาตรการภายในประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ภาคประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน พร้อมแนวทางปฏิบัติอย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง หากสถานการณ์คลี่คลายได้ จะเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคสำหรับอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำกก-สาย-โขง (กรมควบคุมมลพิษ, 1 มิ.ย. 2568)
  • ค่าสารหนูเกินมาตรฐานในน้ำผิวดินและตะกอนในหลายจุด (กรมควบคุมมลพิษ)
  • การเพิ่มจุดและความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอน (กรมทรัพยากรน้ำ)
  • แนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
  • แนวทางแจ้งเตือนและเฝ้าระวังประชาชน (กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กรมประมงเฝ้าระวังน้ำกก-สาย สรุปขอเลี่ยงหรือกินปลาได้

กรมประมงเข้มตั้งทีมเฉพาะกิจเฝ้าระวังสัตว์น้ำแม่น้ำกก-สาย ชี้ผลตรวจยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ขอประชาชนเลี่ยงบริโภคชั่วคราว

เชียงราย, 2 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ต่อสถานการณ์สารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมประมงเดินหน้ายกระดับมาตรการเฝ้าระวัง ตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ” ตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำข้ามพรมแดนอย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะประชาชนเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำสองสายนี้ชั่วคราว แม้ผลตรวจเบื้องต้นยังไม่เกินค่ามาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชน

จุดเริ่มต้นของปัญหาและมาตรการรับมือ

สถานการณ์การปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกเริ่มกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ หลังมีรายงานปลาบางชนิดมีตุ่มแดงผิดปกติ รวมถึงมีประชาชนในเขตอำเภอแม่สายเกิดอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน สร้างความวิตกกังวลในวงกว้าง ทั้งด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงและชาวบ้านที่อาศัยแหล่งน้ำเป็นหลัก

กรมประมงโดยนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดี ได้เปิดเผยถึง “แผนเฉพาะกิจตรวจติดตามและเฝ้าระวังสารปนเปื้อนสัตว์น้ำ” ในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง 4 จุดหลักทั้งในเชียงรายและเชียงใหม่ ได้แก่ บ้านโป่งนาคำ, สะพานแม่ฟ้าหลวง, หลังวัดสันธาตุถึงสบกก (เชียงราย) และชายแดนไทย-เมียนมา หมู่บ้านแก่งตุ๋ม อำเภอแม่อาย (เชียงใหม่) โดยเน้นการเก็บตัวอย่างปลาสำคัญ เช่น ปลาสร้อย ปลาซ่า ปลาค้าว และปลากด ทุก 2 สัปดาห์ ตั้งแต่พฤษภาคมถึงกันยายน 2568

ข้อมูลผลการตรวจสอบล่าสุด

จากการเก็บตัวอย่างสัตว์น้ำตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่า สารพิษสำคัญ ได้แก่ สารหนู (As), ปรอท (Hg), ตะกั่ว (Pb) และแคดเมียม (Cd) รวมถึงการตรวจเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และพยาธิวิทยาในปลายังคงอยู่ในระดับที่ “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” ตามเกณฑ์สากล โดยเฉพาะในปลากินพืชมีการตกค้างของโลหะหนักในระดับต่ำ ส่วนปลากินเนื้อ พบค่าสารปรอทสูงกว่าปลากินพืชแต่ยังไม่เกินมาตรฐาน

กรณีปลามีตุ่มแดง จากการวินิจฉัยพบว่าเกิดจากปรสิตและเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ไม่พบในอวัยวะภายใน และยังไม่พบการติดเชื้อไวรัส ขณะที่ผลตรวจสารปนเปื้อนในปลาทั้ง 3 รอบที่เก็บมา ยังคงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน อันเป็นข้อมูลสำคัญยืนยันว่าสถานการณ์ยังไม่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในวงกว้าง

คำแนะนำและการสื่อสารกับสาธารณชน

ถึงแม้ผลการตรวจสอบจะยังไม่พบอันตราย กรมประมงได้แนะนำประชาชน “หลีกเลี่ยงบริโภคสัตว์น้ำที่จับได้จากแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในระยะนี้” เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูปลามีไข่ที่ควรให้ธรรมชาติฟื้นฟู และป้องกันการสะสมของโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

พร้อมกันนี้กรมประมงยังย้ำว่าสัตว์น้ำที่จำหน่ายตามท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยงในระบบปิด ไม่ใช้น้ำจากแม่น้ำทั้งสองสาย ดังนั้นประชาชนยังสามารถมั่นใจในความปลอดภัยของอาหารทะเลและสัตว์น้ำที่ซื้อบริโภคได้ตามปกติ

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและเสียงสะท้อนของชุมชน

ประมงอำเภอเชียงแสนร่วมเวทีเสวนา “ทวงคืนสายน้ำกกขอคนปลายน้ำ” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจัดโดยเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย และศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีการพูดคุยถึงมาตรการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมทั้งน้ำ พืช ดิน และสัตว์ เป็นระยะ รวมถึงแผนรับมือภัยพิบัติและการร่วมมือของรัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่

เสียงสะท้อนจากคนในชุมชนระบุว่า ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อรายได้และจิตใจของผู้ประกอบอาชีพประมง ราคาปลาตกต่ำและขายยากเนื่องจากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น แม้หน่วยงานรัฐจะเร่งชี้แจงข้อมูลและลงพื้นที่เก็บตัวอย่างเป็นระยะ แต่ความวิตกกังวลยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องการสะสมของสารพิษในปลากินเนื้อและความเป็นไปได้ที่จะเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร

มาตรการเพิ่มเติมด้านสาธารณสุขและการติดตามผู้ได้รับผลกระทบ

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันตรวจสอบกรณีประชาชนในบ้านแม่สาย ตำบลเวียงพางคำ ที่มีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อ โดยทีมแพทย์เฉพาะทางลงพื้นที่ตรวจร่างกาย เบื้องต้นพบว่าเป็นผื่นแพ้เหงื่อและยังไม่พบความผิดปกติรุนแรง พร้อมกับเก็บตัวอย่างน้ำในบ่อ 6 จุดเพื่อนำส่งตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียดเพิ่มเติม

เจ้าหน้าที่ได้เน้นย้ำประชาชนในพื้นที่เสี่ยงหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแหล่งธรรมชาติที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพ หากพบอาการผิดปกติ เช่น ผื่นคัน แสบผิวหนัง หรืออ่อนเพลีย ให้รีบพบแพทย์ทันที

แนวทางแก้ไขและผลกระทบในระยะยาว

แม้ข้อมูลทางวิชาการในขณะนี้จะระบุว่าสารปนเปื้อนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ควรดำเนินการเฝ้าระวังระยะยาว พร้อมเสริมความเข้มแข็งในการฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ พัฒนาแผนรับมือร่วมกับภาคประชาชน และสนับสนุนงานวิจัยเพื่อประเมินผลกระทบสะสมของสารโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

นอกจากนี้ ยังควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งด้านความรู้ การสื่อสารความเสี่ยง และสร้างทางเลือกในอาชีพให้แก่กลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบ

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • กรมประมงเก็บตัวอย่างปลาทุก 2 สัปดาห์ใน 4 จุดเสี่ยงหลักตั้งแต่ พ.ค.–ก.ย. 2568
  • ผลตรวจปลากินพืช-กินเนื้อ 3 รอบ ไม่พบโลหะหนักเกินมาตรฐาน (กรมประมง)
  • กลุ่มชาวบ้านผู้ประกอบอาชีพประมงในลุ่มน้ำกก-สายได้รับผลกระทบรายได้ตกต่ำ (ข้อมูลจากเครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย)
  • ประชาชนบ้านแม่สาย 1 หมู่ 1 พบอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำบ่อในครัวเรือน ตรวจสอบโดย สสจ.เชียงราย รพ.แม่สาย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมประมง
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • โรงพยาบาลแม่สาย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
  • เครือข่ายประชาชนเชียงแสน-แม่สาย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เชียงรายเปิดศึกบาส 3×3 ชิงถ้วยพระราชทาน

เชียงรายจัดศึกบาสเกตบอล 3×3 “UTCC Championship 2025” ระดับภูมิภาค คึกคัก สานฝันเยาวชนสู่เวทีระดับชาติ

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และหอการค้าไทย เปิดศึกบาสเกตบอลสามคน “3×3 UTCC Championship 2025” รอบคัดเลือกระดับภูมิภาค ณ ยิมเนเซียม 1 สนามกีฬากลางองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมี นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการกีฬาบาสเกตบอลเยาวชนไทย

เสริมสร้างโอกาสและศักยภาพเยาวชนผ่านกีฬา

งานแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 UTCC Championship 2025 ครั้งนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่มุ่งหวังจะส่งเสริมให้เยาวชนในแต่ละภูมิภาคได้มีเวทีแสดงออกถึงศักยภาพทางด้านกีฬา เสริมสร้างทักษะชีวิต ความสามัคคี น้ำใจนักกีฬา และทักษะการทำงานเป็นทีม ภายใต้ความร่วมมือระหว่างหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีโอกาสเติบโตอย่างรอบด้าน

แนวคิดและวัตถุประสงค์การจัดงาน

นายนิทัศน์ ศรีรัตนประสิทธิ์ ประธาน YEC เชียงราย ในฐานะผู้แทนคณะกรรมการจัดงาน ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์หลักของการแข่งขันในครั้งนี้ว่า ต้องการสนับสนุนให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพด้านกีฬา ส่งเสริมการออกกำลังกายอย่างสร้างสรรค์ พร้อมกับปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีงาม ผ่านกีฬาบาสเกตบอล 3×3 ซึ่งได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างรวดเร็วในกลุ่มเยาวชนทั่วประเทศ โดยการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้ ถือเป็นหนึ่งในแปดสนามที่จัดขึ้นครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย

พิธีเปิดและบรรยากาศการแข่งขัน

ในพิธีเปิดการแข่งขัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักจากกองเชียร์ ครูผู้ฝึกสอน ผู้ปกครอง และนักกีฬาที่เดินทางมาจากหลายจังหวัดในภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง ทุกคนต่างมีความมุ่งมั่นและตั้งใจในการลงสนามแข่งขันเพื่อคว้าชัยชนะและสิทธิ์เข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศต่อไป

รองนายก อบจ.เชียงราย กล่าวในพิธีเปิดว่า “องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้อย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจะส่งเสริมสุขภาพและศักยภาพเยาวชนแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเยาวชนจากหลายพื้นที่ ให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน”

รูปแบบและประเภทการแข่งขัน

การแข่งขันแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  • รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ชาย
  • รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี หญิง
  • รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ชาย

โดยทีมชายเปิดรับสมัคร 24 ทีม ส่วนทีมหญิงรับสมัคร 12 ทีม เพื่อคัดเลือกตัวแทนไปแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อันทรงเกียรติยิ่งใหญ่

บทบาทของกีฬาในการพัฒนาเยาวชน

บาสเกตบอล 3×3 นับเป็นรูปแบบกีฬาที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มเยาวชน เพราะกติกาเข้าใจง่าย ใช้พื้นที่แข่งขันน้อย เหมาะสมกับยุคสมัยที่ต้องการความคล่องตัว นอกจากนี้ ยังเป็นกีฬาที่สร้างเสริมทักษะการสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และความสามัคคีในทีมได้เป็นอย่างดี

จากสถิติของสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย พบว่า จำนวนทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 ทั่วประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงการเติบโตของความนิยมในกลุ่มเยาวชนไทย

ผลลัพธ์และแนวโน้มในอนาคต

การแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 UTCC Championship 2025 รอบคัดเลือกครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเวทีแข่งขันชิงชัยเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชน ก่อให้เกิดโอกาสในการค้นหานักกีฬาดาวรุ่งรุ่นใหม่ที่จะก้าวไปสู่ทีมชาติไทยในอนาคต ขณะเดียวกันยังมีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้เดินทางเข้าร่วมงานกว่า 600 คน ซึ่งคาดว่าตลอดการแข่งขันจะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจท้องถิ่น อาทิ โรงแรม ร้านอาหาร และการขนส่งไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท

การส่งต่อคุณค่าผ่านกิจกรรมกีฬา

การจัดการแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 ในระดับภูมิภาคครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงพลังของกีฬาในการขับเคลื่อนสังคมเยาวชนไทย ให้รู้จักการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ อยู่ร่วมกันอย่างมีน้ำใจ และกล้าที่จะแข่งขันอย่างสุจริต พร้อมเตรียมความพร้อมสู่เวทีระดับประเทศและระดับนานาชาติในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนผู้เข้าร่วมและชมการแข่งขันตลอดทั้งรอบคัดเลือกในเชียงรายประมาณ 600 คน (ข้อมูลโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย)
  • การแข่งขันระดับภูมิภาคจัดขึ้น 8 สนามทั่วประเทศ โดยมีทีมชายสมัคร 24 ทีม และทีมหญิง 12 ทีมต่อสนาม (อ้างอิง: สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย)
  • สถิติการเพิ่มขึ้นของทีมบาสเกตบอล 3×3 เฉลี่ยปีละ 15% ใน 3 ปีที่ผ่านมา (ที่มา: สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย)
  • การแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นรางวัลสูงสุดสำหรับการแข่งขันบาสเกตบอล 3×3 เยาวชนในไทย (อ้างอิง: สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • หอการค้าไทย
  • YEC เชียงราย
  • สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

นิทรรศการภาพถ่ายที่เชียงราย สะท้อนหลากหลายวัฒนธรรมไทย

เชียงรายเปิดนิทรรศการ “ภาพถ่ายพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” จุดประกายคุณค่าความหลากหลายในสังคมไทย

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เปิดงาน “นิทรรศการภาพถ่าย: พหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” หนึ่งในโครงการสำคัญที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการพัฒนาการสร้างสรรค์งานศิลปะร่วมสมัย เพื่อสร้างคุณค่าทางสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ หอแก้วพิพิธภัณฑ์ของโบราณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) โดยจัดแสดงอย่างต่อเนื่องระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2568

จุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์นิทรรศการ

พิธีเปิดนิทรรศการจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้นำจากองค์กรสำคัญทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการศึกษา อาทิ อ.นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง, ผู้แทนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย, สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคมขัวศิลปะเชียงราย, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ประธานชมรมเชียงรายโฟโต้, ศิลปินเชียงราย, ช่างภาพ, และสื่อมวลชนจำนวนมาก

คุณอภินันท์ บัวหภักดี หัวหน้าโครงการฯ อดีตบรรณาธิการอนุสาร อ.ส.ท. นักเขียนและช่างภาพผู้มากประสบการณ์ นำทีมช่างภาพมืออาชีพทั้ง 8 คน ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพถ่ายหายากกว่า 100 ภาพที่บันทึกการเดินทางบนแผ่นดินไทยตลอดกว่า 30 ปี

นิทรรศการที่หลอมรวมหลากหลายชาติพันธุ์บนผืนแผ่นดินไทย

นิทรรศการ “พหุวัฒนธรรม สยามสมัย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ไม่เพียงนำเสนอภาพถ่ายสวยงาม แต่ยังถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ภาษา และความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จากขุนเขาดอยสูงถึงผืนน้ำกว้างไกล สู่ท้องทุ่งอันอุดมทั่วประเทศไทย ภาพแต่ละภาพคือเรื่องเล่าเกี่ยวกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่หล่อหลอมความเป็นไทยอย่างลึกซึ้ง ผู้ชมจะได้สัมผัสความงดงามแห่งความร่วมมือ ความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของคนทุกกลุ่มบนผืนแผ่นดิน “ขวานทอง” แห่งนี้

ภายในพิธีเปิดยังได้รับเกียรติจากกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าจากอำเภอแม่จัน และกลุ่มชาติพันธุ์อาข่าบ้านเมืองรวง ซึ่งเป็นบุคคลในภาพถ่ายหายาก ร่วมสร้างสีสันในงาน ขณะเดียวกันมีการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ถ่ายทอดเทคนิคและประสบการณ์จากช่างภาพชื่อดัง เพื่อเปิดมุมมองใหม่ด้านศิลปะและวัฒนธรรมแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป

เสริมสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการสื่อสารให้เด็ก เยาวชน และประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรม โครงการเน้นย้ำการเคารพในความแตกต่าง รู้รักสามัคคี และเกื้อกูลกันในทุกกลุ่มชาติพันธุ์ อันเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมไทย

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีเวทีเสวนาพหุวัฒนธรรม หัวข้อ “พหุวัฒนธรรมกับการท่องเที่ยว” โดยผู้นำด้านศิลปะและการท่องเที่ยว อาทิ นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง, วิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย และอภินันท์ บัวหภักดี หัวหน้าโครงการฯ ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์

ถ่ายทอดเรื่องราวจากผู้สร้างสรรค์งานศิลป์

รายชื่อช่างภาพที่ร่วมสร้างสรรค์ผลงานประกอบด้วย อภินันท์ บัวหภักดี, นันทพัฒน์ สุรสิงห์โตทอง, อดุล ตัณฑโกศัย, จิระพงษ์ วงศ์วิวัฒน์, Taro Evolutions, ชนาธิป อินทรวิชะ, จิตติมา ผลเสวก และกิ่งทอง มหาพรไพศาล แต่ละคนมีผลงานเป็นที่ยอมรับในวงการภาพถ่ายและศิลปะร่วมสมัย

คุณอภินันท์ บัวหภักดี กล่าวว่า นิทรรศการนี้จัดแสดงขึ้นเพื่อเป็นเวทีให้ช่างภาพมืออาชีพได้เล่าความงามของชีวิตและวัฒนธรรมไทยผ่านภาพถ่าย ให้เยาวชนและประชาชนได้เปิดใจรับความหลากหลาย สร้างแรงบันดาลใจในการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว

โอกาสสำหรับเยาวชนและนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

โครงการยังมุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของเยาวชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ด้วยการจัด workshop เรื่องเล่าจากภาพถ่ายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเชิญช่างภาพทั้งสายกล้องโปรและกล้องมือถือมาแบ่งปันเทคนิคและประสบการณ์ ผู้สนใจสามารถสมัครร่วมกิจกรรมได้ผ่าน QR Code และ Facebook Page ของโครงการ

นอกจากนี้ โครงการยังเตรียมจัดทำหนังสือภาพ (Photo book) “ชุมชนวัฒนธรรมในประเทศไทย พหุวัฒนธรรมสยามสมัยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ในรูปแบบ e-book เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงเนื้อหาเชิงลึกและภาพถ่ายหายาก คาดว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้

สะท้อนผลลัพธ์และแนวโน้มเชิงวัฒนธรรมในอนาคต

การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ นับเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านวัฒนธรรมร่วมสมัยของจังหวัดเชียงรายและประเทศไทย กระตุ้นให้เกิดการรับรู้ถึงความงดงามของวัฒนธรรมหลากหลายชาติพันธุ์บนผืนแผ่นดินเดียวกัน ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ สร้างความเข้าใจอันดีในหมู่ประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้ช่วยยกระดับความตระหนักรู้เรื่อง “พหุวัฒนธรรม” ให้แก่คนไทย โดยหวังว่าประสบการณ์จากนิทรรศการจะเป็นแรงผลักดันให้สังคมไทยเปิดกว้าง รับฟัง และยอมรับความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • นิทรรศการภาพถ่าย “พหุวัฒนธรรมในประเทศไทย” เป็น 1 ใน 23 โครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ประจำปี 2568
  • มีภาพถ่ายหายากจาก 8 ช่างภาพมืออาชีพมากกว่า 100 ภาพ แสดงต่อเนื่อง 3 เดือน (31 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2568)
  • คาดว่ามีผู้เข้าร่วมงานในพิธีเปิดและกิจกรรมกว่า 500 คน (ข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเติบโตต่อเนื่องกว่า 8% ต่อปี (ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง)
  • สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • เพจ Facebook: เที่ยวไปตามใจหนุ่มพเนจร / หนุ่ม พเนจร / นิทรรศการภาพถ่ายพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันเอง น้ำ-ผัก-ปลา ปลอดสารหนู

เชียงรายยืนยัน “น้ำประปา-ผัก-ปลา” ปลอดภัย ไร้สารหนูปนเปื้อน ตรวจสอบมาตรฐานสากล พร้อมทหารเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมแม่สาย

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงยืนยันคุณภาพน้ำประปา ผัก และปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก “ปลอดภัย” หลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือมาตรฐานสากล โดยไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐาน ทั้งยังมีมาตรการเฝ้าระวังและการจัดการปัญหาน้ำท่วมต่อเนื่องเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน

การแถลงข่าวความปลอดภัยด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เฝ้าระวัง

วันนี้ (31 พฤษภาคม 2568) ณ ห้องประชุมศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ร่วมแถลงข่าวถึงสถานการณ์คุณภาพน้ำประปาหมู่บ้าน อาหารจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และการตรวจสอบความปลอดภัยต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่

นายชรินทร์ ทองสุข ระบุว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อหลักและสื่อออนไลน์เกี่ยวกับการปนเปื้อนของสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติหลายจุด แต่ผลการทดสอบโดยเครื่องมือเบื้องต้น (Test Kit) ไม่สามารถนำมาอ้างอิงอย่างเป็นทางการได้ จำเป็นต้องอาศัยผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐาน ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025:2017 สามารถตรวจวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำและเชื่อถือได้

ข้อมูลการตรวจสอบและผลการทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า หลังมีข่าวการปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานกำหนด กรมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกและแหล่งน้ำใกล้เคียงใน 6 อำเภอ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่าไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน โดยพบปริมาณน้อยกว่า 0.001 – 0.009 มิลลิกรัมต่อลิตร

ต่อมา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ได้ลงพื้นที่อีกครั้งเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้านบริเวณใกล้แม่น้ำสายและแม่น้ำรวกในอำเภอแม่สายและเชียงแสน รวม 6 ตัวอย่าง ผลการตรวจพบปริมาณสารหนูน้อยกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด

ในเดือนพฤษภาคม–สิงหาคม 2568 ได้วางแผนเก็บตัวอย่างน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก และปลา รวมชนิดละไม่น้อยกว่า 19 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์โดยวิธีมาตรฐานสากล (Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023. part 3030, 3110 : p 3-10) ด้วยเทคนิค AAS และ AOAC 2015.01 เทคนิค ICP-MS ในระบบคุณภาพ ISO/IEC 17025:2017

ผลการตรวจสอบครั้งแรกจำนวน 80 ตัวอย่าง แบ่งเป็นน้ำประปาหมู่บ้าน 36 ตัวอย่าง พืชผัก 21 ตัวอย่าง และปลาแม่น้ำ 23 ตัวอย่าง ไม่พบการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน นอกจากนี้ ผลการตรวจโลหะหนักชนิดอื่น ได้แก่ แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท และแมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐานเช่นกัน

การเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยงและการดูแลประชาชน

จากกรณีประชาชนในอำเภอแม่สายบางรายมีอาการผื่นแดงหลังใช้น้ำจากบ่อในครัวเรือน เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างน้ำตรวจสารหนูเบื้องต้นด้วย Test Kit จำนวน 3 จุด ไม่พบการปนเปื้อนแต่อย่างใด และเก็บตัวอย่างบ่อน้ำบาดาล 6 จุด ตรวจหาสารปนเปื้อนในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจยืนยันว่าไม่พบเกินค่ามาตรฐานทั้งน้ำประปา พืชผัก และปลา

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายยังคงเน้นย้ำให้ประชาชนใช้เฉพาะน้ำที่ผ่านการกรองหรือปรับปรุงคุณภาพตามมาตรฐาน พร้อมแนะนำกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที

การบริหารจัดการสถานการณ์และการสื่อสารสาธารณะ

นายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ยืนยันถึงการเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการด้านสุขภาพอย่างเข้มข้น โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใสให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งมีการเก็บตัวอย่างตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และรายงานผลการดำเนินการอย่างโปร่งใสแก่ประชาชนทุกระยะ

มาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายฝากถึงประชาชนในพื้นที่ ให้มั่นใจในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานราชการที่มีความเชี่ยวชาญ โดยจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการป้องกันเฝ้าระวังและสร้างความปลอดภัยอย่างเข้มงวดในทุกด้าน

ทหารบกเดินหน้าป้องกันน้ำท่วมพื้นที่แม่สาย

ในวันเดียวกัน พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยมการก่อสร้างพนังคอนกรีตและคันดินริมแม่น้ำสาย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อป้องกันน้ำท่วมซ้ำรอยจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีข้าราชการทหารและฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้การต้อนรับ

การดำเนินงานของทหารช่างในพื้นที่แม่สาย มุ่งเน้นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาวเพื่อป้องกันน้ำท่วมทะลักเข้าชุมชน ในพื้นที่ที่มีอาคารติดแม่น้ำสาย ได้มีการเชื่อมเหล็กปิดช่องประตูหน้าต่างอย่างเข้มงวด ขณะที่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมปีที่ผ่านมา ได้มอบดอกไม้และป้ายขอบคุณแก่เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาช่วยเหลือในทุกมิติ

สถานการณ์ปัจจุบันและข้อเสนอแนะต่อสาธารณชน

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่า สถานการณ์สารหนูปนเปื้อนในแหล่งน้ำจังหวัดเชียงรายขณะนี้ ยังไม่พบข้อมูลที่บ่งชี้ความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าเฝ้าระวังต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพและใช้เฉพาะน้ำประปาที่ผ่านการรับรอง พร้อมติดตามข่าวสารจากราชการอย่างใกล้ชิด

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

  • ผลตรวจน้ำประปาหมู่บ้าน พืชผัก ปลา จำนวนรวม 80 ตัวอย่าง ไม่พบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน
  • ปริมาณสารหนูในน้ำประปาเฉลี่ยน้อยกว่า 0.001–0.009 มก./ลิตร ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด (อ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์)
  • ผลตรวจโลหะหนักอื่นๆ เช่น แคดเมียม ตะกั่ว เหล็ก ฟลูออไรด์ คลอไรด์ ไนเตรท แมงกานีส ทุกตัวอย่างผ่านเกณฑ์มาตรฐาน (อ้างอิง: ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย)
  • ข้อมูลอ้างอิง: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร, Standard Methods For the Examination of Water and Wastewater. 24TH Edition. Washington DC: APHA Press; 2023, ISO/IEC 17025:2017

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“อบต.แม่อ้อ” จ่อขึ้นยกระดับ เป็น ‘เทศบาลตำบล’ ปลายปี 68

อบต.แม่อ้อ จ.เชียงราย เตรียมยกระดับเป็นเทศบาลตำบลปลายปี 2568 พร้อมเดินหน้าพัฒนาเมืองรองรับภารกิจใหม่

เชียงราย, 31 พฤษภาคม 2568 – การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกำลังจะเกิดขึ้นกับตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เมื่อองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่อ้อ เตรียมยกฐานะเป็น “เทศบาลตำบลแม่อ้อ” อย่างเป็นทางการภายในปลายปี 2568 นี้ นับเป็นเทศบาลตำบลแห่งที่ 3 ในพื้นที่อำเภอพาน ต่อจากเทศบาลตำบลเมืองพาน และเทศบาลตำบลสันมะเค็ด

เดินหน้ายื่นเรื่องกระทรวงมหาดไทย เตรียมเปลี่ยนผ่านโครงสร้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายธีระพงษ์ เผ่ากา นายก อบต.แม่อ้อ พร้อมคณะผู้บริหาร ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เพื่อขอยกฐานะจาก อบต. เป็นเทศบาลตำบลตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด โดยกระบวนการเปลี่ยนผ่านจะนับถอยหลังภายในระยะเวลา 180 วัน ก่อนครบวาระบริหารของชุดปัจจุบันในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568

จาก “พ่อแคว่น” ถึงเทศบาลตำบล: พัฒนาการของตำบลแม่อ้อ

แม่อ้อมีประวัติการปกครองยาวนาน โดยมีการกล่าวถึงในตำนานปากเปล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในพื้นที่ว่าเคยอยู่ภายใต้การปกครองแบบ “พ่อเมือง” ก่อนที่รัฐไทยจะปรับรูปแบบการปกครองเป็น “กิ่งอำเภอพาน” เมื่อปี 2450 และพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลในปี 2539 ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537

หลักเกณฑ์สำคัญในการยกฐานะ อบต. เป็นเทศบาลตำบล

การยกฐานะครั้งนี้ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. เทศบาล พ.ศ. 2496 (แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 14 พ.ศ. 2562) และ พ.ร.บ. สภาตำบลและ อบต. พ.ศ. 2537 (แก้ไขถึงฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562) โดยต้องผ่านเกณฑ์ต่อไปนี้:

  1. มีประชากรไม่น้อยกว่า 5,000 คน
  2. มีรายได้ไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท/ปี (ไม่รวมเงินอุดหนุน)
  3. พื้นที่ต้องมีลักษณะเป็นชุมชนเมือง มีสาธารณูปโภคพื้นฐานครบถ้วน
  4. ต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 20% เห็นชอบผ่านการสำรวจประชามติ
  5. ได้รับมติเห็นชอบจากสภา อบต. และผ่านการกลั่นกรองจากอำเภอ จังหวัด และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
  6. ประกาศจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษาโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ผลกระทบและโอกาสจากการยกฐานะ

การยกฐานะส่งผลให้โครงสร้างบริหารทั้งหมดเปลี่ยนแปลง โดยสมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. จะพ้นจากตำแหน่ง และต้องมีการเลือกตั้งเทศบาลชุดใหม่ นอกจากนี้ งบประมาณ ทรัพย์สิน เจ้าหน้าที่ และภารกิจต่าง ๆ ของ อบต. จะถูกโอนเข้าสู่เทศบาลใหม่โดยอัตโนมัติ

ข้อเปรียบเทียบ เทศบาลตำบล vs อบต.

  • เทศบาลตำบลจะมีอำนาจบริหารที่ครอบคลุมมากกว่า อบต. โดยเฉพาะด้านผังเมือง ขนส่ง ขยะ และระบบสาธารณูปโภค
  • รายได้และงบประมาณของเทศบาลจะเพิ่มขึ้นจากภาษีท้องถิ่นและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
  • ภาพลักษณ์การพัฒนาเมืองที่ชัดเจนขึ้นจะช่วยดึงดูดการลงทุนและนักท่องเที่ยว
  • อย่างไรก็ตาม การเป็นเทศบาลหมายถึงภาระงานที่มากขึ้น คาดหวังจากประชาชนที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายบริหารที่เพิ่มขึ้นด้วย

แม่อ้อพร้อมหรือยังกับการเป็นเทศบาล?

จากข้อมูลประชากรและรายได้ที่สอดคล้องกับเกณฑ์ของกระทรวงมหาดไทย ตำบลแม่อ้อถือว่ามีศักยภาพในการเป็นเทศบาลอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่มีการเติบโตของประชากร มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และมีรายได้จากภาษีท้องถิ่นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ความร่วมมือจากประชาชนและผู้นำท้องถิ่นก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่เทศบาลตำบลแม่อ้อให้เป็นไปอย่างราบรื่น หากสามารถรักษาเอกลักษณ์ชุมชนควบคู่กับการยกระดับบริการสาธารณะ ก็จะช่วยให้เทศบาลแห่งใหม่นี้สามารถเติบโตอย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนประชากร ต.แม่อ้อ: ประมาณ 6,800 คน (ที่มา: สนง.ทะเบียนราษฎร์ อ.พาน)
  • รายได้รวม อบต.แม่อ้อ ปีงบประมาณ 2567: ประมาณ 34.2 ล้านบาท (ที่มา: สนง.การคลัง อบต.แม่อ้อ)
  • จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่: ประมาณ 4,100 คน (ที่มา: กกต.จังหวัดเชียงราย)
  • ผลสำรวจความเห็นประชาชนในการเปลี่ยนฐานะ: เห็นชอบ 83% จากการสำรวจประชาคมหมู่บ้าน 12 หมู่บ้าน (ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย (dla.go.th)
  • สำนักงานทะเบียนราษฎร์ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ
  • กกต. จังหวัดเชียงราย
  • หนังสือแนวทางยกฐานะ อบต. เป็นเทศบาลตำบล สำนักบริหารการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE