Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ดันวิทยาลัยไทย-เอเชีย จับมือเซ็นทรัลรีเทล มีงาน มีเงิน มีวุฒิ

เชียงรายหนุน “โครงการ 3 ม.” วิทยาลัยไทย-เอเชีย จับมือเซ็นทรัลรีเทล สร้างแรงงานฝีมือคุณภาพ เสริมโอกาสศึกษา-ทำงานให้เยาวชนด้อยโอกาส

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นำโดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ประกาศสนับสนุน โครงการ 3 ม.” (มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม) ของ วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย ซึ่งจับมือกับ เซ็นทรัลรีเทล เพื่อยกระดับโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ พร้อมปูทางสู่การสร้างแรงงานฝีมือรองรับตลาดธุรกิจสมัยใหม่ในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง

ไต่ระดับปัญหา เยาวชนเชียงรายหลุดออกจากระบบการศึกษาเพิ่มขึ้น

ดร.สำรวย มหาพราหมณ์ ผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ออกจากระบบการศึกษาโดยยังไม่จบชั้นมัธยมปลาย หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช./ปวส.) โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญคือภาระทางเศรษฐกิจในครัวเรือน ทำให้ต้องเร่งเข้าสู่ตลาดแรงงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นการตัดโอกาสในการพัฒนาอนาคตของตนเองและประเทศโดยรวม

“เด็กบางคนมีศักยภาพ แต่ขาดโอกาสเพราะไม่มีเงิน ไม่มีเวลา ไม่มีคนสนับสนุน โครงการ 3 ม. จึงเป็นคำตอบที่มุ่งเน้นการสร้าง ‘โอกาสที่จับต้องได้’ ให้กับเด็กเหล่านี้” ดร.สำรวย กล่าว

รูปแบบโครงการ 3 ม. บูรณาการเรียนรู้-ทำงาน-สร้างรายได้

โครงการ 3 ม. มีชื่อเต็มว่า มีงาน มีเงิน มีวุฒิการศึกษาเพิ่ม” เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของ 3 ภาคส่วน ได้แก่

  • สถาบันการศึกษา (เช่น วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย)
  • กลุ่มธุรกิจภาคเอกชน (โดยเฉพาะเซ็นทรัลรีเทล)
  • หน่วยงานภาครัฐ (เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย)

หลักการของโครงการคือการเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้เรียนหนังสือควบคู่กับการทำงานจริงในสถานประกอบการในเครือเซ็นทรัล เช่น ห้าง Tops, Power Buy, Robinson, Central, GO! เป็นต้น

ระหว่างเรียน นักศึกษาจะได้รับสิทธิพิเศษ ดังนี้

  • เงินค่าตอบแทนรายเดือน
  • สวัสดิการค่าที่พัก
  • ประกันอุบัติเหตุ
  • ชุดยูนิฟอร์ม
  • โอกาสได้งานทันทีเมื่อจบหลักสูตร

โครงการนี้ไม่เพียงลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว แต่ยังเป็นการพัฒนาทักษะสายอาชีพควบคู่กับการศึกษาที่เป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการสร้าง แรงงานฝีมือพร้อมใช้” ที่สามารถเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ทันที

นายก อบจ.เชียงรายหนุนเต็มที่ ชี้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำ

ด้าน นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวในที่ประชุมว่า โครงการนี้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของจังหวัดคือ อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ เรียนที่ไหนก็สำเร็จได้ สำเร็จได้ก็เลี้ยงชีพได้” ซึ่งเป็นแนวทางที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและขยายโอกาสให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดี

“ถ้ารัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาชนร่วมมือกันจริงจัง จะเปลี่ยนชีวิตเด็กจำนวนมากจากความเสี่ยง สู่ความมั่นคง” นายก อบจ. ระบุ

การเชื่อมโยงสู่ระบบเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายและประเทศ

ความร่วมมือดังกล่าวยังสอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาแรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการลงทุนใหม่ ๆ ในเชียงราย ทั้งในภาคค้าปลีก ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการบริการ ซึ่งต้องการแรงงานฝีมือที่มีคุณภาพและสามารถปรับตัวเข้ากับโลกของงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เชียงราย ถือเป็นหนึ่งในจังหวัดเป้าหมายในการพัฒนาแรงงานคุณภาพ เนื่องจากเป็นประตูเศรษฐกิจเหนือของประเทศ เชื่อมโยงสู่ ลาว เมียนมา และจีนตอนใต้

วิเคราะห์ประสิทธิผลและแนวโน้มในอนาคต

การเปิดทางเลือกให้นักเรียนที่ขาดโอกาสได้ศึกษาและทำงานควบคู่กัน เป็นนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะข้อ 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ) และข้อ 8 (การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ)

หากโครงการ 3 ม. ได้รับการขยายผลในวงกว้าง มีการสนับสนุนต่อเนื่อง และมีการติดตามผลลัพธ์อย่างเป็นระบบ จะสามารถลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษา และสร้างกลุ่มแรงงานที่ตอบโจทย์โลกอนาคตอย่างแท้จริง

สถิติที่เกี่ยวข้องและข้อมูลอ้างอิง

  • จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายประมาณ 38,000 คน โดยในแต่ละปีมีนักเรียนกว่า 4,500 คน (11.8%) ที่ไม่ได้ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา
  • ข้อมูลจาก กระทรวงแรงงาน (2567) พบว่า กลุ่มแรงงานอายุ 15-24 ปี ในเชียงรายมีอัตราการว่างงานสูงสุดในกลุ่มวัยแรงงาน อยู่ที่ 8.3%
  • การศึกษาเชิงเปรียบเทียบโดย สถาบันพัฒนาแรงงานและอาชีพ (2566) ระบุว่า ผู้ที่จบการศึกษาในระบบควบคู่กับฝึกงาน (Work-integrated Learning) มีแนวโน้มได้งานภายใน 6 เดือนสูงถึง 92%
  • รายงานของกลุ่มเซ็นทรัล ระบุว่า เครือข่ายของบริษัทมีความต้องการแรงงานใหม่ต่อปีมากกว่า 10,000 ตำแหน่ง ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคค้าปลีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ: www.nso.go.th
  • กระทรวงแรงงาน: www.mol.go.th
  • วิทยาลัยเทคโนโลยี ไทย-เอเชีย
  • กลุ่มเซ็นทรัลรีเทล: www.centralretail.com
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สสน. หนุน อบจ.เชียงราย! วางแผนรับมือน้ำท่วม-ภัยแล้งแบบมืออาชีพ

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เข้าหารือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำแบบรอบด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน-ระหว่าง-หลังเกิดภัยพิบัติ

การหารือระดับจังหวัดสู่การวางรากฐานระบบจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 7 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องรับรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดประชุมหารือสำคัญระหว่างผู้แทนจาก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กับ คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิด และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัยพิบัติ

การประชุมครั้งนี้มี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานให้การต้อนรับพร้อมด้วย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายกฯ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านภัยพิบัติ เข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้โดยละเอียดกับคณะจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกและระบบภูมิสารสนเทศที่แม่นยำสำหรับการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่

PDOSS กลไกสำคัญสู่การบริหารภัยพิบัติแบบเบ็ดเสร็จ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรได้กล่าวถึงนโยบายหลักขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายที่ให้ความสำคัญกับการใช้ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster One Stop Service: PDOSS) ซึ่งเป็นระบบที่นำมาใช้ในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ

PDOSS ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านภัยพิบัติและสาธารณภัยทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์
  • การจัดการเครือข่ายน้ำและการระบายน้ำ
  • การบริหารไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
  • การแจ้งเหตุและรับเรื่องร้องเรียนภัยพิบัติแบบจุดเดียว
  • ระบบเยียวยาผู้ประสบภัยแบบเบ็ดเสร็จ

ระบบดังกล่าวช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัย และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย

แผนบริหารจัดการน้ำกลยุทธ์ตั้งรับภัยพิบัติยุคใหม่

หนึ่งในหัวข้อหลักที่ถูกหยิบยกในการหารือครั้งนี้ คือการบริหารจัดการน้ำเชิงป้องกัน ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการลดความรุนแรงของผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม หรือภัยแล้ง

การวางแผนล่วงหน้าครอบคลุมตั้งแต่

  • การวิเคราะห์แหล่งน้ำต้นทุน
  • การก่อสร้างเขื่อน ฝาย และอ่างเก็บน้ำ
  • การจัดการเส้นทางระบายน้ำในเขตเมืองและชนบท
  • การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการใช้ระบบ แบบจำลองน้ำหลาก (Flood Simulation) ร่วมกับแบบจำลองภูมิอากาศ เพื่อให้สามารถเตือนภัยล่วงหน้าและจัดการพื้นที่เสี่ยงได้ล่วงหน้า 3 – 7 วัน

การสร้างความร่วมมือระดับนโยบายและภาคปฏิบัติ

ตัวแทนจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนองค์ความรู้ ฐานข้อมูล และระบบเทคโนโลยีสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำในระดับท้องถิ่น โดยเน้นการส่งเสริมการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และการเชื่อมโยงข้อมูลกับแผนปฏิบัติการระดับจังหวัด

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐระดับชาติ ระดับจังหวัด และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการจัดการอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความสำคัญของการเตรียมพร้อมในทุกระดับ

การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัยพิบัติ ไม่เพียงเป็นภารกิจของหน่วยงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่งการจัดทำ แผนรับมือภัยพิบัติรายตำบลและรายหมู่บ้าน กำลังถูกขยายผลอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งตนเองเบื้องต้น ก่อนการเข้าช่วยเหลือจากหน่วยงานหลัก

ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้ผลักดันโครงการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำแบบเรียลไทม์ (Real-time water level sensors) ในพื้นที่เสี่ยง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจแบบทันสถานการณ์ และการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวโน้มและทิศทางอนาคต

จากข้อมูลด้านการบริหารน้ำและภัยพิบัติของจังหวัดเชียงราย พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่จังหวัดเชียงรายเผชิญกับภัยธรรมชาติต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูฝนและฤดูแล้งที่แปรปรวนอย่างรุนแรงจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีแนวโน้มของ ความถี่ของน้ำท่วมฉับพลันเพิ่มขึ้น 12% และ อัตราฝนเฉลี่ยต่อปีสูงขึ้นกว่า 20% จากค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี

ข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้สะท้อนความจำเป็นในการเร่งพัฒนาระบบจัดการน้ำให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะการปรับตัวเชิงโครงสร้างและการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาท้องถิ่นและแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายประสบเหตุอุทกภัย รวม 9 ครั้ง กระจายทุกอำเภอหลัก
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติในปีเดียวสูงถึง 3,200 ล้านบาท
  • พื้นที่ที่อยู่ในโซนเสี่ยงน้ำท่วมตามแผนที่ GIS ของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน 147 หมู่บ้าน
  • อัตราฝนเฉลี่ยในฤดูฝนปี 2567 อยู่ที่ 1,698 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 17%
    (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ, สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน), สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

สรุป

การหารือระหว่างสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย ไม่เพียงเสริมสร้างการป้องกันภัยพิบัติอย่างยั่งยืน แต่ยังช่วยส่งเสริมความมั่นคงของชีวิตประชาชนในพื้นที่ ผ่านความร่วมมือระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสู้ฝุ่น! อบจ. ผนึกกำลังแก้วิกฤต PM 2.5

อบจ.เชียงรายระดมสมองแก้วิกฤติไฟป่า-หมอกควัน ผุดแผนจัดการวัสดุเกษตรยั่งยืน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จัดประชุมครั้งใหญ่ หารือแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันนโยบายศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster Operation and Support System: PDOSS) มุ่งบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดอย่างจริงจัง

เชียงรายเผชิญวิกฤตหมอกควันต่อเนื่องยาวนาน

ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ในจังหวัดเชียงรายเป็นวิกฤตสำคัญที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าและการเผาวัสดุทางการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เชียงรายต้องเผชิญกับวิกฤตหมอกควันทุกปี กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน

เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว อบจ.เชียงราย นำโดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย และนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนและงบประมาณ ได้เปิดเวทีประชุมหารืออย่างเป็นทางการขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมธรรมรับอรุณ ชั้น 2 สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานสำคัญทั้งจากภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างคับคั่ง เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม

บูรณาการหน่วยงานรัฐ เน้นการจัดการวัสดุเกษตรอย่างยั่งยืน

ประเด็นสำคัญที่ถูกยกมาหารือในที่ประชุมครั้งนี้คือ การบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ โดยจังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักของประชากรส่วนใหญ่ ทำให้ในแต่ละปีเกิดการเผาวัสดุการเกษตร เช่น ซังข้าวโพด เศษใบอ้อย ตอซังข้าว และวัสดุเหลือใช้อื่นๆ เป็นจำนวนมาก หากไม่มีการจัดการที่ถูกต้อง วัสดุเหล่านี้จะถูกเผาและกลายเป็นแหล่งกำเนิดควันพิษที่กระทบสุขภาพของประชาชนโดยตรง

ในการประชุมมีหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย และสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย โดยมีการเสนอแนวทางบริหารจัดการวัสดุการเกษตรอย่างครบวงจรและยั่งยืน เพื่อลดปัญหาการเผาและส่งเสริมการนำวัสดุเกษตรเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ในทางอื่น เช่น การทำปุ๋ยหมัก หรือเชื้อเพลิงชีวมวล

ผลักดันศูนย์ PDOSS บริหารจัดการภัยแบบเบ็ดเสร็จ

อบจ.เชียงราย ยังได้เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) เพื่อเป็นศูนย์กลางการบูรณาการทุกภาคส่วนในการจัดการภัยพิบัติทั้งด้านการป้องกัน เตรียมพร้อม และรับมือกับภัยต่างๆ รวมถึงการจัดการปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 โดยศูนย์นี้จะเน้นการบริหารข้อมูลแบบครบวงจร มีระบบแจ้งเตือนภัยและจัดการเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้จังหวัดเชียงรายมีศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

จากการหารือครั้งนี้ที่ประชุมได้เสนอแนวทางสำคัญในการแก้ปัญหาในระยะยาว ดังนี้

  1. การส่งเสริมความรู้และการสร้างจิตสำนึก โดยรณรงค์ให้เกษตรกรเลิกเผาวัสดุเกษตรและหันมานำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ
  2. การจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยี สนับสนุนให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการแปรรูปวัสดุเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม
  3. การบูรณาการการทำงานของหน่วยงานทุกระดับ เพื่อให้การจัดการปัญหาเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
  4. การผลักดันเชิงนโยบายอย่างเข้มข้น เช่น การสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ เพื่อให้เกิดการลงทุนและดำเนินงานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องสะท้อนความรุนแรงของปัญหา

จากรายงานของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) จังหวัดเชียงราย ปี 2567 พบว่า ค่าฝุ่น PM 2.5 ในจังหวัดเชียงรายสูงเกินค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร มากถึง 65 วันต่อปี โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่สาย และอำเภอเชียงของ ซึ่งมีจำนวนวันที่ค่า PM 2.5 สูงเกินมาตรฐานคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 35 ของทั้งปี นอกจากนี้กรมควบคุมมลพิษยังรายงานว่า ในปีที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายมีจุดความร้อน (Hotspot) จากการเผาป่าและวัสดุการเกษตรรวมสูงถึง 3,678 จุด สูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ, 2567)

จากข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และ PM 2.5 ในจังหวัดเชียงราย จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ เพื่อให้จังหวัดเชียงรายสามารถกลับมาเป็นพื้นที่ที่มีอากาศสะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชน และยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) จังหวัดเชียงราย (2567)
  • รายงานกรมควบคุมมลพิษ (2567)
  •  องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่ยาว-แม่สลองนอก อบจ. เร่งแก้ภัยแล้ง น้ำมีใช้

อบจ.เชียงรายเร่งเดินหน้าโครงการป้องกันและแก้ไขภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่จังหวัด

เปิดโครงการสร้างฝายชะลอน้ำพื้นที่แม่ยาว เสริมแกร่งระบบจัดการน้ำชุมชน

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – ที่บ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อชุมชนแม่ยาว ตามนโยบาย 7 เรือธงของจังหวัดเชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมพร้อมหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้อยู่ภายใต้การดำเนินการของกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีนางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองฯ เป็นผู้ควบคุมดูแลและดำเนินการร่วมกับจิตอาสาผู้ก้าวพลาดจากเรือนจำกลางเชียงรายตามโครงการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งนับเป็นตัวอย่างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและภาคสังคมอย่างแท้จริง

วัตถุประสงค์ของโครงการ: ป้องกันภัยแล้ง – ฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำ

โครงการฝายชะลอน้ำเพื่อชุมชนแม่ยาว มีจุดประสงค์หลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ ส่งเสริมระบบนิเวศน้ำ และช่วยลดความรุนแรงของภัยแล้งในพื้นที่เสี่ยง โดยฝายที่สร้างขึ้นนี้เป็นฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร ใช้วัสดุจากธรรมชาติร่วมกับวัสดุพื้นบ้านซึ่งสามารถก่อสร้างได้รวดเร็วในงบประมาณจำกัด ทั้งยังสามารถพัฒนาเป็นระบบฝายถาวรได้ในอนาคต

ในระยะยาว ฝายชะลอน้ำจะทำหน้าที่เพิ่มระดับน้ำใต้ดิน ส่งผลดีต่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคของชุมชน ทั้งยังช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน และสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบลุ่มน้ำแม่ยาวอีกด้วย

สำรวจแหล่งน้ำใต้ดินเสริมระบบการจัดการน้ำในพื้นที่สูง

ต่อมาเวลา 12.00 น. นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ อบจ. ลงพื้นที่ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบสภาพแหล่งน้ำและความเหมาะสมในการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่สูงที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง

จากการสำรวจเบื้องต้น พบแหล่งน้ำใต้ดินที่มีศักยภาพในการขุดเจาะจำนวน 2 จุด ซึ่งจะถูกบรรจุไว้ในแผนการดำเนินการตามโครงการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อบรรเทาภัยแล้งระยะที่ 2 ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายในปีงบประมาณ 2568

บูรณาการความร่วมมือภาครัฐและประชาชนเพื่อความยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำ

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย อบจ. เชียงรายมีเป้าหมายที่จะสร้างฝายชะลอน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำใน 18 อำเภอ และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพิ่มเติมกว่า 60 จุดภายในปี 2568

สถิติและแหล่งข้อมูลสนับสนุน

ข้อมูลจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล (2567) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับรุนแรงจำนวน 34 ตำบล ครอบคลุมประชากรประมาณ 126,000 คน โดยเฉพาะในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่สรวย และเวียงป่าเป้า

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) รายงานว่า การจัดการน้ำในพื้นที่สูงผ่านระบบฝายชะลอน้ำสามารถเพิ่มระดับน้ำใต้ดินเฉลี่ย 30-50 เซนติเมตรต่อปี และช่วยฟื้นคืนความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ลุ่มน้ำระดับตำบลได้ภายใน 1-2 ปี

ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า ภัยแล้งในจังหวัดเชียงรายทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงเฉลี่ยปีละ 7-10% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1,400 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง และผลไม้ในพื้นที่สูง

โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งของ อบจ.เชียงราย ภายใต้การดำเนินการของศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) จึงนับเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางน้ำ ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนในการรับมือกับวิกฤติภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

  •  

    สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO)

  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ.เชียงราย มอบนโยบาย พร้อมรดน้ำดำหัวปี๋ใหม่

นายก อบจ.เชียงราย มอบนโยบายราชการ พร้อมรดน้ำดำหัวผู้บริหาร สืบสานประเพณีสงกรานต์ล้านนา

เชียงรายจัดประชุมบุคลากร อบจ. พร้อมมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ

เชียงราย, 21 เมษายน 2568 – ที่อาคารคชสาร สนามกีฬากลาง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมบุคลากรประจำเดือนมีนาคมและเมษายน 2568 เพื่อมอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่บุคลากรในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมีนายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ และบุคลากรขององค์กร เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ภายในที่ประชุม นางอทิตาธร ได้กล่าวเน้นย้ำถึงแนวทางการบริหารราชการที่ยึดหลักธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส ซื่อสัตย์สุจริต และเน้นการให้บริการประชาชนอย่างเต็มความสามารถ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ของ อบจ.เชียงราย ในการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ความรับผิดชอบ และประสิทธิภาพในการทำงาน เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการสาธารณะและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้มีการมอบโล่เชิดชูเกียรติและเกียรติบัตรแก่บุคลากรที่มีคุณธรรม จริยธรรม และมีผลงานดีเด่นประจำปี 2568 โดยคัดเลือกจากการเสนอชื่อของแต่ละหน่วยงานภายในองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อเป็นแบบอย่างแก่บุคลากรอื่นและส่งเสริมบรรยากาศการทำงานที่ดีภายในองค์กร

พิธีรดน้ำดำหัว คณะผู้บริหารและผู้อาวุโส สืบสานประเพณีปี๋ใหม่เมือง

หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ได้มีการจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัวคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาฯ และผู้อาวุโส ประจำปี 2568 โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำหัวหน้าส่วนราชการ และบุคลากรในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรม

พิธีรดน้ำดำหัวจัดขึ้นตามประเพณีล้านนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือปี๋ใหม่เมือง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงความเคารพนบน้อมต่อผู้มีพระคุณ แสดงความกตัญญูกตเวที และขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง การจัดพิธีครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความอบอุ่น แสดงถึงความรักความสามัคคีในองค์กร และเป็นสัญลักษณ์แห่งความผูกพันของบุคลากรทุกระดับ

การบริหารที่ยึดหลักคุณธรรมและการสืบสานวัฒนธรรมในองค์กรท้องถิ่น

กิจกรรมในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ในการยกระดับคุณภาพการบริหารงานในทุกมิติ โดยเน้นให้บุคลากรทุกระดับตระหนักในบทบาทหน้าที่และร่วมกันผลักดันนโยบายสาธารณะให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อประชาชนในพื้นที่

การมอบรางวัลแก่บุคลากรที่มีคุณธรรมและจริยธรรมดีเด่นยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ และสร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากรในองค์กรเกิดความภาคภูมิใจในบทบาทของตน ส่วนกิจกรรมรดน้ำดำหัวนั้น ถือเป็นการเชื่อมโยงมิติทางวัฒนธรรมเข้ากับภารกิจราชการได้อย่างเหมาะสม สร้างสมดุลระหว่างความเป็นไทยกับการบริหารงานภาครัฐยุคใหม่

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในปี 2567 พบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินงานด้านคุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมองค์กร มีแนวโน้มสร้างความพึงพอใจของประชาชนในระดับสูงขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเพิ่มขึ้นจาก 76.5% เป็น 81.2% ภายในระยะเวลา 1 ปี (ที่มา: สำนักงาน ก.พ.ร., 2567)

ดังนั้น การจัดประชุมและกิจกรรมในครั้งนี้ จึงถือเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กรภาครัฐให้มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านประสิทธิภาพและคุณธรรมควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เวียงชัยอิ่มบุญ อบจ.เชียงราย ร่วมสืบชะตา บรรจุพระธาตุ

อบจ.เชียงราย ร่วมพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เสริมสร้างสิริมงคลแก่ชุมชนท้องถิ่น

จุดเริ่มต้นแห่งศรัทธาของชุมชนเวียงชัย

เชียงราย, 18 เมษายน 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) โดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และนางสาวธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขต 1 อำเภอเวียงชัย ร่วมพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพิธีเจริญพระพุทธมนต์สืบชะตาหลวงเสริมสิริมงคล ประจำปี 2568 ณ วัดพนาลัยเกษม ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย โดยมีผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

ความสำคัญของพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุถือเป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากพระบรมสารีริกธาตุเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ที่ผ่านการบำเพ็ญบุญบารมีมาอย่างยิ่งใหญ่ ชาวบ้านจึงมีความเชื่อมั่นว่าการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจะนำความสุข สงบ และความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ชุมชน อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมศรัทธาและจิตใจของชาวบ้าน ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีในชุมชนอีกด้วย

พิธีเจริญพระพุทธมนต์สืบชะตาหลวง เสริมบุญบารมี

ภายในพิธีนอกจากจะมีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ยังมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์สืบชะตาหลวง โดยคณะสงฆ์ในพื้นที่ได้ร่วมกันสวดมนต์เจริญพระพุทธมนต์ เพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งไม่ดี และเสริมสร้างสิริมงคลแก่ผู้เข้าร่วมพิธี โดยพิธีสืบชะตาหลวงนี้ถือเป็นประเพณีสำคัญที่ชุมชนภาคเหนือปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีที่ทรงคุณค่าให้ดำรงอยู่สืบไป

บทบาทของอบจ.เชียงรายในการสนับสนุนกิจกรรมท้องถิ่น

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกอบจ.เชียงราย กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญกับการสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่นมาโดยตลอด เพื่อเสริมสร้างความรักสามัคคีและการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งยังส่งเสริมให้ชุมชนมีการศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสังคมให้มีความสงบสุขและมั่นคง

การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

การจัดพิธีในครั้งนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของจังหวัดเชียงราย “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น สร้างรายได้ให้กับประชาชนและชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมและศาสนาที่หลากหลาย โดยสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาสัมผัสกับเอกลักษณ์วัฒนธรรมที่มีคุณค่าของจังหวัดเชียงราย

การวิเคราะห์และแนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืน

พิธีกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และหน่วยงานท้องถิ่นในการส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี ซึ่งการดำเนินงานเช่นนี้ควรได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องและขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างจริงจังและยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชียงราย

จากรายงานของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในปี 2567 พบว่า จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนในกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมเพิ่มขึ้นประมาณ 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่า 18% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท (ที่มา: รายงานสถิติการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2567) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปี 2567
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย เร่งเคลียร์แม่กก สกัดภัยป้องกันน้ำท่วมซ้ำ

อบจ.เชียงรายเร่งสำรวจ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำแม่กก ป้องกันน้ำท่วมซ้ำรอย

อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ตรวจสอบเร่งด่วน

เชียงราย,วันที่ 18 เมษายน 2568 – เวลา 09.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายวสันต์ วงศ์ดี ผู้อำนวยการสำนักช่าง และนางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่สำรวจจุดสนับสนุนการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำบริเวณแม่น้ำกก อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อเตรียมการป้องกันปัญหาอุทกภัยอย่างเร่งด่วน

ต้นเหตุการเร่งสำรวจและดำเนินการ

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สำรวจสิ่งกีดขวางทางน้ำแม่กก โดยพบสิ่งกีดขวางจำนวน 20 จุด ตั้งแต่สะพานถนนเลี่ยงเมืองตะวันตก ถึงสะพานเฉลิมพระเกียรติ (โรงเรียนเทศบาล 6)

จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขอย่างเร่งด่วนเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 โดยมอบหมายให้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายดำเนินการกำจัดสิ่งกีดขวางใน 3 จุดหลัก ได้แก่ โรงแรมเดอะเลเจนด์ ร้านลีลาวดี และเกาะกลางน้ำชุมชนป่าแดง

การดำเนินงานสำรวจและประเมินปัญหาอย่างรอบคอบ

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้นำทีมวิศวกรและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณภัย ลงสำรวจและเก็บข้อมูลรายละเอียดสภาพพื้นที่อย่างรอบคอบ เพื่อวางแผนและออกแบบการดำเนินงานที่เหมาะสม โดยเฉพาะการใช้เครื่องจักรกลหนักขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อการกำจัดสิ่งกีดขวางให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและรวดเร็ว

บูรณาการความร่วมมือท้องถิ่น แก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้มีการประสานความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และช่วยกันดูแลรักษาสภาพลำน้ำในระยะยาว รวมทั้งให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันอุทกภัย

ความเชื่อมั่นและการดำเนินงานตามนโยบายจังหวัด

การที่จังหวัดเชียงรายมอบหมายภารกิจสำคัญนี้ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายดำเนินการ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของหน่วยงานจังหวัดที่มีต่อการบริหารงานของ อบจ.เชียงราย ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ซึ่งมีนโยบายหลักในการ “กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

จุดวิเคราะห์แนวทางการแก้ไขในระยะยาว

จากข้อมูลการสำรวจพบว่าสิ่งกีดขวางทางน้ำส่วนใหญ่เกิดจากเศษวัสดุธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างที่ไม่เหมาะสมในพื้นที่ลำน้ำ การแก้ไขในระยะยาวจึงต้องเน้นที่การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น และการสร้างจิตสำนึกของชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมของลำน้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการลำน้ำแม่กก

จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมบ่อยครั้งในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะลุ่มน้ำกกมีประวัติการเกิดอุทกภัยมากกว่า 3 ครั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 10,000 ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรกว่า 20,000 ไร่ (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2567)

ดังนั้น การดำเนินการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยบรรเทาความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยแล้ว ยังเป็นมาตรการป้องกันที่จำเป็นต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวเชียงรายในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ลุยแก้ปัญหาที่ดิน สอน. รพ.สต. ปลดล็อกบริการ

อบจ.เชียงรายเร่งปลดล็อกปัญหาที่ดิน “รพ.สต.-สอน.” หวังยกระดับบริการสุขภาพสู่ประชาชน

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยการนำของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เดินหน้าแก้ปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ อบจ.เชียงราย หลังได้รับการถ่ายโอนภารกิจจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สามารถดำเนินภารกิจด้านการให้บริการสุขภาพต่อประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และถูกต้องตามกฎหมาย

เริ่มต้นด้วยความตั้งใจจริง สู่การระดมแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ

ในการประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา อบจ.เชียงราย ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิม อาทิ สำนักงานธนารักษ์ กรมป่าไม้ กรมที่ดิน และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดินสาธารณะ ซึ่ง รพ.สต. และ สอน. ตั้งอยู่ เพื่อให้การขออนุญาตใช้พื้นที่เป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบ

สถานการณ์ปัจจุบันของที่ดิน “รพ.สต. – สอน.” ในพื้นที่เชียงราย

จากข้อมูลเบื้องต้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายมีสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาฯ และ รพ.สต. อยู่ในความรับผิดชอบทั้งสิ้น 211 แห่ง ซึ่งล้วนแต่ประสบปัญหาที่ดินยังไม่ได้รับการจัดการด้านเอกสารสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ โดยในจำนวนนี้ มีหลายแห่งตั้งอยู่บนที่ดินของหน่วยงานรัฐหลากหลายประเภท เช่น

  • ที่ราชพัสดุ (สำนักงานธนารักษ์)
  • ที่ดินป่าสงวน (กรมป่าไม้)
  • พื้นที่ ส.ป.ก. (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม)
  • ที่ดินศาสนสมบัติ (สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • ที่ดินของโรงเรียน หรือการไฟฟ้าฯ
  • ที่ดินเอกชนที่ชาวบ้านบริจาค

แต่ละกรณีล้วนมีข้อจำกัดเฉพาะ ซึ่งส่งผลต่อความล่าช้าในการขออนุญาตใช้พื้นที่ รวมถึงกระบวนการถ่ายโอนสิ่งปลูกสร้าง

ปัญหาเชิงระบบจากการถ่ายโอนภารกิจ

การถ่ายโอนภารกิจของ รพ.สต. และ สอน. จากกระทรวงสาธารณสุขมายังองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามนโยบายกระจายอำนาจ เป็นแนวทางที่รัฐมุ่งหวังให้เกิดความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้นในระดับพื้นที่

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) พบว่า ภายหลังการถ่ายโอน มีสถานพยาบาลทั้งประเทศกว่า 4,452 แห่ง ที่ อบจ. ได้รับผิดชอบ โดยมีปัญหาด้านกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมากถึง กว่า 90%

อบจ.เชียงรายเอง กำลังเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน โดยพบว่า หน่วยงานเจ้าของภารกิจเดิมยังไม่จัดทำเอกสารสิทธิ์ให้ครบถ้วน เช่น ยังไม่ขึ้นทะเบียนสิ่งปลูกสร้าง ส่งคืนสำนักงานธนารักษ์ หรือยังไม่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ในพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวน

สาเหตุหลักของอุปสรรคในการอนุญาตใช้ที่ดิน

  1. การไม่มีเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่เดิม: อาคารบางแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้ออกเอกสารสิทธิ์ หรือยังไม่มีการรังวัดเขตแน่นอน เช่น พื้นที่บริจาคจากชาวบ้าน หรือที่ราชพัสดุที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน
  2. หน่วยงานเดิมยังไม่ส่งมอบข้อมูลครบถ้วน: บางกรณีสิ่งปลูกสร้างยังไม่มีการขึ้นทะเบียนตามแบบฟอร์ม ทบ.6 หรือไม่มีหนังสือรื้อถอนจากเจ้าของเดิม ส่งผลให้หน่วยงานรับโอนอย่าง อบจ. ไม่สามารถดำเนินการต่อได้
  3. ขั้นตอนการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนมีความซับซ้อน: การดำเนินการต้องได้รับอนุมัติจากกรมป่าไม้ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาหลายชั้น ตั้งแต่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ จนถึงกรมส่วนกลาง

ความมุ่งมั่นของนายก อบจ.เชียงราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ย้ำในที่ประชุมว่า “อบจ.เชียงรายจะเร่งประสานและบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การขออนุญาตใช้ที่ดินสถานพยาบาลเหล่านี้ เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเร็วที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องเอกสาร แต่คือคุณภาพชีวิตของประชาชน”

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย เร่งจัดทำผังบริเวณ รังวัดที่ดิน และจัดเตรียมเอกสารประกอบคำขออย่างครบถ้วน พร้อมประสานงานกับสำนักงานธนารักษ์ และสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้จังหวัด เพื่อเร่งรัดขั้นตอนการอนุญาต

ความสำคัญของ รพ.สต. และ สอน. ต่อระบบสุขภาพไทย

โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาฯ (สอน.) เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่ประชาชนพึ่งพาเป็นด่านหน้าในการดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพแม่และเด็ก ดูแลผู้สูงอายุ ตลอดจนการส่งต่อผู้ป่วยในระบบสาธารณสุข

หากสถานพยาบาลเหล่านี้ไม่สามารถใช้อาคารหรือที่ดินได้อย่างถูกต้อง ย่อมกระทบต่อคุณภาพบริการและความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง

ข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนในอนาคต

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีแนวทางดังนี้

  • สร้างระบบฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงกันระหว่าง สถ. – สธ. – ธนารักษ์ – ป่าไม้ เพื่อให้การดำเนินงานโปร่งใสและไม่ซ้ำซ้อน
  • เร่งจัดทำร่างระเบียบกลางว่าด้วยการถ่ายโอนและการใช้ประโยชน์ในที่ราชการร่วมกัน เพื่อลดภาระการขออนุญาตรายกรณี
  • เสนอแก้ไขกฎหมายบางประการที่เป็นอุปสรรค เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้, พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ เพื่อให้เอื้อต่อภารกิจด้านสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ข้อมูลจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ณ ต้นปี 2568 ระบุว่า มีสถานพยาบาล (รพ.สต. – สอน.) ที่ได้รับการถ่ายโอนจากกระทรวงสาธารณสุข จำนวนทั้งสิ้น 4,452 แห่ง ทั่วประเทศ
  • จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า มากกว่า 90% ของสถานพยาบาลที่ถ่ายโอน ยังไม่ได้รับการจัดการเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างให้ถูกต้อง
  • ในจังหวัดเชียงราย อบจ.มีความรับผิดชอบดูแลสถานพยาบาลที่ถ่ายโอนแล้วถึง 211 แห่ง ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขปัญหาในลักษณะเดียวกัน
  • รายงานจาก กรมป่าไม้ ระบุว่า พื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติครอบคลุมกว่า 38% ของพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปสรรคหลักของการใช้ประโยชน์พื้นที่ในหลายจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.), หนังสือด่วนมาก ลงวันที่ 6 มกราคม 2568
  • กรมป่าไม้, รายงานพื้นที่ป่าประเทศไทย ปี 2566
  • สำนักงานธนารักษ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (การประชุมวันที่ 8 เมษายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายก อบจ. ลุยบ้านดู่ แก้ปัญหาน้ำเน่าเสียด่วน

นายก อบจ.เชียงราย เร่งแก้น้ำเน่าบ้านดู่ หลังชาวบ้านร้องเรียนเดือดร้อน

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – ปัญหาน้ำเน่าเสียในเขต ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย กลายเป็นวาระเร่งด่วน หลังประชาชนร้องเรียนต่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ถึงความเดือดร้อนที่ทวีความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง

ประชาชนร้องเรียนปัญหาเน่ารุนแรง ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

เมื่อเวลา 11.50 น. ของวันอังคารที่ 8 เมษายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ตำบลบ้านดู่โดยด่วน หลังได้รับรายงานจากประชาชนเรื่อง น้ำขังรอการระบายจนเกิดน้ำเน่า ส่งกลิ่นเหม็นตลอดทั้งวัน

หลายครัวเรือนในพื้นที่ต้องประสบปัญหาไม่สามารถเปิดหน้าต่างบ้านได้ และบางพื้นที่เริ่มพบสัตว์พาหะ เช่น ยุง และแมลงวัน เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติ

นายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่จริง รับฟังประชาชนโดยตรง

ทันทีที่เดินทางถึงพื้นที่ นายก อบจ.เชียงราย ได้พบกับกลุ่มชาวบ้าน พร้อมรับฟังผลกระทบและข้อเสนอแนะต่าง ๆ โดยได้เน้นย้ำว่า ทุกปัญหาที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน จะได้รับการดำเนินการอย่างเร่งด่วน

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีหลายจุดในเขตชุมชนที่น้ำท่วมขังมานาน และไม่มีการระบายน้ำออกจากระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของน้ำเสียและขยะอินทรีย์

สั่งการหน่วยงานภายในทันที บูรณาการแก้ปัญหากับท้องถิ่น

นางอทิตาธร ได้สั่งการให้ สำนักช่างของ อบจ.เชียงราย เร่งสำรวจพื้นที่ที่มีปัญหาโดยละเอียด พร้อมทั้งประสานงานกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นอย่างเร่งด่วนที่สุด

การดำเนินการครั้งนี้จะครอบคลุมทั้งการขุดลอกทางระบายน้ำที่ตื้นเขิน การติดตั้งระบบท่อระบายน้ำเพิ่มเติมในจุดที่จำเป็น และการจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการดูแลความสะอาดและความปลอดภัยของพื้นที่เสี่ยง

วางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

ในระยะยาว อบจ.เชียงราย มีแผนร่วมมือกับหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและผังเมือง เพื่อ วางระบบระบายน้ำใหม่ ที่สามารถรองรับน้ำฝนในฤดูมรสุม รวมถึงปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมผ่านโครงการ บ้านดู่ร่วมใจดูแลสิ่งแวดล้อม” โดยสร้างเครือข่ายอาสาสมัครตรวจสอบและรายงานจุดเสี่ยงน้ำเน่าเสียในพื้นที่

ปัญหาน้ำเสียส่งผลกระทบกว้างทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ

ข้อมูลจาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานการเจ็บป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสียเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็ก

ด้านภาคธุรกิจ โดยเฉพาะร้านอาหารในพื้นที่ตำบลบ้านดู่ ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน เนื่องจากกลิ่นเหม็นรบกวนลูกค้าและทำให้ยอดขายลดลงอย่างชัดเจน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตเมืองขยายตัว ต้องการการจัดการที่เป็นระบบ

เหตุการณ์ในตำบลบ้านดู่ สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เพียงพอ ย่อมนำไปสู่ปัญหาสะสมทั้งในด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของประชาชน

การบูรณาการระหว่างท้องถิ่นกับจังหวัด และการมีส่วนร่วมของประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ (2567) พบว่า พื้นที่เขตเมืองในภาคเหนือกว่า 43% มีปัญหาน้ำเน่าเสียจากการระบายน้ำไม่เพียงพอ
  • เชียงรายมีอัตราการร้องเรียนเกี่ยวกับกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าในปี 2567 สูงเป็นอันดับ 5 ของประเทศ (กรมอนามัย)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า 61% ของประชาชนในเขตเมืองต้องการให้มีการลงทุนในระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2567
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานการสำรวจความคิดเห็นประชาชน 2567
  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, รายงานภาวะสุขภาพประชาชนจากมลภาวะ 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เทควันโดเชียงรายพร้อม ชิงแชมป์ประเทศไทยที่พัทยา

นายก อบจ.เชียงราย พบปะให้กำลังใจนักกีฬาเทควันโดตัวแทนจังหวัด ก่อนลุยศึก G H Bank 2568

เชียงราย, 31 มีนาคม 2568 – นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้ให้การต้อนรับและพบปะเพื่อให้กำลังใจแก่นักกีฬาเทควันโดตัวแทนจังหวัดเชียงราย ซึ่งเตรียมเข้าร่วมการแข่งขันกีฬา “G H Bank เทควันโดชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568” ประเภทต่อสู้ โดยพิธีดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 10:00 น. ณ ห้องรับรองนายก อบจ.เชียงราย โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และตัวแทนจากสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยเข้าร่วม

การแข่งขัน “G H Bank เทควันโดชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-8 เมษายน 2568 ณ อาคารกรีฑาในร่ม ศูนย์กีฬาแห่งชาติภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี เป็นรายการสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักกีฬาเทควันโดทั่วประเทศได้แสดงศักยภาพและพัฒนาทักษะด้านกีฬา โดยนางอทิตาธรได้กล่าวชื่นชมน้อง ๆ นักกีฬาที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแข่งขันครั้งนี้ที่ไม่เพียงเป็นเวทีในการชิงชัย แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดและพัฒนานักกีฬาเยาวชนสู่ระดับชาติในอนาคต

ความสำคัญของการแข่งขันและการเตรียมความพร้อม

การแข่งขันกีฬาเทควันโดชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ จัดขึ้นโดยเมืองพัทยา ร่วมกับสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของ G H Bank (ธนาคารอาคารสงเคราะห์) โดยมุ่งเน้นประเภทการแข่งขันแบบ “ต่อสู้” หรือ “เคียวรูกิ” ซึ่งเป็นรูปแบบที่เน้นทักษะการเคลื่อนไหว ความแข็งแกร่ง และกลยุทธ์ในการต่อสู้ ซึ่งเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในวงการกีฬาเทควันโด

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวในพิธีว่า “การที่นักกีฬาเยาวชนจากจังหวัดเชียงรายได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติครั้งนี้ เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ และแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเททั้งของตัวน้อง ๆ เองและทีมผู้ฝึกสอน อบจ.เชียงรายพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้นักกีฬาของเรามีขวัญกำลังใจและความพร้อมในการแข่งขัน รวมถึงหวังว่าน้อง ๆ จะสามารถคว้าชัยชนะกลับมาเป็นเกียรติยศให้กับจังหวัดของเรา”

การแข่งขันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้นักกีฬาเทควันโดทั่วประเทศได้มีเวทีในการแสดงความสามารถ พัฒนาทักษะกีฬาของตนเอง และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการคัดเลือกนักกีฬาที่มีศักยภาพเพื่อก้าวสู่การเป็นตัวแทนทีมชาติไทยในอนาคต นอกจากนี้ การจัดการแข่งขันยังมีเป้าหมายเพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของเมืองพัทยาให้เป็น “เมืองแห่งกีฬา” และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ซึ่งคาดว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดชลบุรี

ในการเตรียมความพร้อม ตัวแทนจากสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยได้นำเสนอรูปแบบการจัดการแข่งขันในที่ประชุม ณ ศาลาว่าการจังหวัดชลบุรี โดยระบุว่า การแข่งขันครั้งนี้จะมีนักกีฬาและผู้ติดตามเข้าร่วมมากกว่า 3,000 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูง สะท้อนถึงความนิยมและความสำคัญของรายการนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้วางแผนจัดการในด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน ที่พัก ความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้การแข่งขันดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้

การสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ยังได้กล่าวถึงบทบาทของ อบจ.เชียงรายในการสนับสนุนกีฬาเยาวชน โดยระบุว่า อบจ.ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนากีฬาในระดับท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการจัดสรรงบประมาณสำหรับการฝึกซ้อม อุปกรณ์กีฬา และการเดินทางไปแข่งขันในรายการต่าง ๆ ซึ่งการแข่งขัน G H Bank เทควันโดชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทยครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในเวทีที่ อบจ.เชียงรายให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้นักกีฬามีโอกาสพัฒนาศักยภาพและสร้างผลงานในระดับชาติ

“น้อง ๆ นักกีฬาเทควันโดเหล่านี้คืออนาคตของวงการกีฬาไทย และเป็นความหวังของจังหวัดเชียงราย เราเชื่อมั่นในความสามารถของน้อง ๆ และหวังว่าการแข่งขันครั้งนี้จะเป็นบันไดก้าวแรกสู่ความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นต่อไป” นายก อบจ.เชียงรายกล่าว

รายละเอียดการแข่งขัน

การแข่งขัน G H Bank เทควันโดชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 จะจัดขึ้น ณ อาคารกรีฑาในร่ม ศูนย์กีฬาแห่งชาติภาคตะวันออก เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 4-8 เมษายน 2568 โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็นรุ่นต่าง ๆ ตามน้ำหนักและเพศ ซึ่งนักกีฬาจากจังหวัดเชียงรายจะเข้าร่วมในประเภทต่อสู้ (เคียวรูกิ) ที่เน้นการใช้ทักษะการโจมตีและป้องกันตัวอย่างแม่นยำ

การแข่งขันครั้งนี้จะมีทั้งนักกีฬาเยาวชนและนักกีฬาทั่วไปจากทั่วประเทศเข้าร่วม ซึ่งคาดว่าจะเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันดุเดือดและน่าติดตาม โดยสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยได้กำหนดมาตรฐานการตัดสินและกฎกติกาให้สอดคล้องกับการแข่งขันระดับสากล เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักกีฬาที่มีโอกาสก้าวไปสู่การแข่งขันในระดับนานาชาติต่อไป

ผลกระทบต่อเมืองพัทยาและชลบุรี

การจัดการแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อนักกีฬาเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อเมืองพัทยาและจังหวัดชลบุรีในภาพรวม ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน ซึ่งรวมถึงนักกีฬา ทีมผู้ฝึกสอน ผู้ปกครอง และผู้ชม คาดว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการใช้จ่ายในด้านที่พัก อาหาร และการท่องเที่ยว โดยเมืองพัทยาได้ตั้งเป้าหมายให้การแข่งขันครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพลักษณ์ให้เป็น “เมืองแห่งกีฬา” ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักกีฬาจากทั่วประเทศให้เข้ามาเยี่ยมชมและใช้บริการในอนาคต

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การแข่งขันครั้งนี้ได้เกิดการถกเถียงในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในแง่ของการสนับสนุนนักกีฬาเยาวชน ฝ่ายหนึ่งมองว่า การที่ อบจ.เชียงรายและหน่วยงานท้องถิ่นให้การสนับสนุนนักกีฬาเทควันโดอย่างเต็มที่ เป็นสิ่งที่น่ายกย่องและช่วยสร้างโอกาสให้เยาวชนในจังหวัดได้พัฒนาทักษะและมีเวทีแสดงความสามารถ ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นนักกีฬามืออาชีพในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนหันมาใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แทนการหมกมุ่นกับสิ่งที่ไม่เหมาะสม

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า การให้ความสำคัญกับกีฬาเทควันโดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการพัฒนากีฬาในภาพรวมของจังหวัดเชียงราย โดยชี้ว่า งบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนควรกระจายไปยังกีฬาชนิดอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและครอบคลุมเยาวชนที่มีความสนใจหลากหลาย รวมถึงมองว่าการแข่งขันระดับชาติอาจสร้างความกดดันให้กับนักกีฬาเยาวชนมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

จากมุมมองที่เป็นกลาง การสนับสนุนของ อบจ.เชียงรายมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมกีฬาและสร้างโอกาสให้เยาวชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนากีฬาของชาติ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะที่ให้มีการกระจายงบประมาณไปยังกีฬาชนิดอื่น ๆ ก็มีความสมเหตุสมผล เพื่อให้เกิดความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของเยาวชนในวงกว้าง การตัดสินใจในเรื่องนี้ควรพิจารณาจากความพร้อมของทรัพยากรและความสนใจของเยาวชนในจังหวัด โดยไม่ควรตัดสินว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด แต่ควรมองหาความสมดุลที่เหมาะสมในการพัฒนากีฬาทั้งระบบ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักกีฬาเทควันโดในประเทศไทย: จากข้อมูลของสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ในปี 2566 มีนักกีฬาเทควันโดที่ลงทะเบียนทั่วประเทศประมาณ 15,000 คน โดยร้อยละ 60 เป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี (ที่มา: สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย, รายงานประจำปี 2566)
  2. การจัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ: สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทยระบุว่า ในช่วงปี 2565-2567 มีการจัดการแข่งขันกีฬาระดับชาติ 85 รายการ โดยร้อยละ 40 จัดในจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว เช่น ชลบุรี (ที่มา: การกีฬาแห่งประเทศไทย, สถิติการแข่งขัน 2567)
  3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวเชิงกีฬา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ในปี 2566 การท่องเที่ยวเชิงกีฬาสร้างรายได้ให้จังหวัดชลบุรีกว่า 2,500 ล้านบาท จากการจัดการแข่งขันและกิจกรรมกีฬาต่าง ๆ (ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, รายงานเศรษฐกิจกีฬา 2566)

สรุป

การพบปะและให้กำลังใจนักกีฬาเทควันโดตัวแทนจังหวัดเชียงรายของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนเยาวชนให้พัฒนาทักษะกีฬาและสร้างชื่อเสียงให้จังหวัด การแข่งขัน G H Bank เทควันโดชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย 2568 จะเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักกีฬาได้แสดงศักยภาพ ขณะเดียวกันก็ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์เมืองพัทยาในฐานะเมืองแห่งกีฬาและการท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • อบจ.เชียงราย
  • สมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย
  • การกีฬาแห่งประเทศไทย
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News