Categories
TOP STORIES

ไทย-เมียนมาตั้งคณะทำงานร่วม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม-คุณภาพน้ำแม่น้ำชายแดน

ไทย-เมียนมาตั้งคณะทำงานร่วม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม–คุณภาพน้ำแม่น้ำชายแดน “กก–สาย” เดินหน้าเชื่อมฐานข้อมูล–ติดตามร่วม หวังคลี่คลายวิกฤตปนเปื้อนข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน

เนปยีดอ ประเทศเมียนมา, 21 สิงหาคม 2568 — ท่ามกลางแรงกดดันจากวิกฤตคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำชายแดนภาคเหนือ รัฐบาลไทยยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาด้วยการ “ตั้งคณะทำงานวิชาการร่วม” (Joint Technical Working Group) เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–แม่น้ำสายอย่างเป็นระบบ เป้าหมายคือเร่งเชื่อมโยงข้อมูล ตรวจติดตามร่วม และออกมาตรการจัดการที่ยึดหลักวิทยาศาสตร์และสิทธิประชาชนในพื้นที่ชายแดน

คณะไทยนำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อม นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ นายขิ่น ม่อง ยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา ณ กรุงเนปยีดอ โดยเห็นพ้อง 3 แกนหลัก ได้แก่ (1) แสดงเจตนารมณ์ร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการคุณภาพน้ำ (2) ยกระดับการประสาน–แลกเปลี่ยนข้อมูลบ่อยครั้งยิ่งขึ้น และ (3) จัดตั้งคณะทำงานวิชาการร่วมเพื่อขับเคลื่อนมาตรการเชิงปฏิบัติที่จับต้องได้ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและการจัดการกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำ

“รัฐบาลมุ่งมั่นจะแก้ปัญหานี้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ…การดำเนินการต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมและแก้ได้จริง” — นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือของคณะผู้แทนไทย)

เล่าความก่อนถึง “โต๊ะเจรจา” ตัวเลขที่กดดันให้ต้องเปลี่ยนเกมจาก “แก้เฉพาะหน้า” สู่ “ความร่วมมือถาวร”

สองปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือนเรื่องสารปนเปื้อนในลุ่มน้ำกก–สายทวีความเข้มข้น ข้อมูลภาครัฐสะท้อนภาพเดียวกันว่า “สารหนู” ในบางช่วง–บางจุดของแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงตอนบน “เกินเกณฑ์ปลอดภัยสำหรับน้ำดื่ม” (0.01 มิลลิกรัม/ลิตร) หลายครั้งติดต่อกัน โดยผลตรวจที่เผยแพร่เมื่อปลายพฤษภาคม 2568 ระบุค่าอยู่ช่วงประมาณ 0.011–0.037 มก./ล. ในจุดตรวจหลายตำบลของเชียงรายและชายแดนแม่สาย ทำให้หน่วยงานท้องถิ่นต้องยกระดับการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนทันที

นอกจากนั้น แผนที่–สรุปสถานการณ์น้ำแม่น้ำกกของ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เองก็ชี้ว่าช่วงที่มีน้ำหลาก น้ำแรง อนุภาคตะกอนและโลหะหนักจะกระจายตัวสูงขึ้น ส่วนหน้าแล้งมีแนวโน้มตกตะกอนสะสมในชั้นดินตื้นของลำน้ำและตลิ่งทั้งหมดคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายว่าทำไม “บางวันค่าขึ้น–บางวันค่าลง” แต่ภาพรวมความเสี่ยงยังคงอยู่ โดย คพ.ชี้ชัดถึงเกณฑ์อ้างอิง 0.01 มก./ล. สำหรับน้ำดื่มที่สาธารณชนใช้เทียบเคียงในการตัดสินใจบริโภค

ในระดับภูมิภาค คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวทีความร่วมมือระหว่างลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ก็มีกรอบหลักด้านการแบ่งปันข้อมูล (Procedures for Data and Information Exchange and Sharing: PDIES) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ประเทศสมาชิกและคู่เจรจาใช้ข้อมูลชุดเดียวกันในการจัดการประเด็นน้ำข้ามพรมแดน ตั้งแต่คุณภาพน้ำจนถึงอุทกภัย–ภัยแล้ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนมองเห็นปัญหาจากข้อมูลจริงร่วมกัน ขณะที่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy) ก็ย้ำเป้าประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่เศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการติดตามคุณภาพน้ำและการมีส่วนร่วมของชุมชนแนวทางเหล่านี้กำลังถูกนำมาผูกโยงกับบริบทลุ่มน้ำกกสายปัจจุบัน

แรงกดดันทางสังคม–การเมืองยิ่งเด่นชัดเมื่อระดับชาติเริ่มหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา สื่อสาธารณะรายงานความคืบหน้าจากฝ่ายไทย ทั้งการประชุมติดตามปัญหาและการเตรียมหารือกับฝ่ายเมียนมาในระดับนโยบาย สะท้อนว่าประเด็น “น้ำชายแดน” กำลังถูกยกระดับเป็นวาระทวิภาคีที่ต้องหาข้อยุติบนฐานข้อมูลเดียวกันและมาตรการร่วมที่ตรวจได้–วัดผลได้

3 รอยต่อที่ทำให้ “วิชาการ–นโยบาย–ชุมชน” ขยับไปด้วยกัน

1) คำมั่นร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำ
ทั้งสองฝ่ายยืนยันเจตนารมณ์ร่วมในการปกป้องลำน้ำชายแดนที่ประชาชนสองประเทศพึ่งพา โดยยึดหลักการไม่ทำให้เกิดความเสียหายข้ามพรมแดน (no significant harm) และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเป็นธรรม–ยั่งยืน อาศัยกลไกระหว่างประเทศอย่าง MRC สนับสนุนกรอบการร่วมมือเชิงเทคนิค

2) สื่อสาร–แลกข้อมูลถี่ขึ้นจาก “รายไตรมาส” สู่ “รายเดือน/กรณีเร่งด่วน”
ภาพปัญหาช่วงที่ผ่านมาเกิดจาก “ข้อมูลไม่พร้อมใช้” หรือเข้าถึงช้า—ยิ่งในหน้าฝนที่ค่าความชื้นในดินสูง มวลน้ำหลากและมลพิษเคลื่อนตัวเร็ว การหรี่–เร่งมาตรการต้องพึ่งข้อมูลทันการณ์ การหารือจึงตกผลึกว่าจะผลักดัน “ช่องทางสื่อสารทางการ” ระหว่างห้องปฏิบัติการจังหวัด–ศูนย์วิจัยของรัฐ และหน่วยงานกลางให้เชื่อมกันแบบกำหนดเวลาได้ชัดเจนขึ้น (เช่น รายเดือน/กรณีเฝ้าระวังพิเศษรายสัปดาห์)

3) ตั้ง “คณะทำงานวิชาการร่วม” เป็นกลไกกลาง
นี่คือหัวใจที่คาดว่าจะเปลี่ยนเกมจาก “คำรับปาก” เป็น “ผลลัพธ์วัดได้” เพราะคณะทำงานจะมีอำนาจภารกิจในการ

  • ออกแบบแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำร่วม (ตำแหน่ง–ความถี่–พารามิเตอร์ เช่น สารหนู ตะกั่ว แมงกานีส ตะกอนแขวนลอย)
  • ใช้มาตรฐานวิธีวิเคราะห์เดียวกันและตรวจสอบไขว้ (inter-lab comparison)
  • จัดทำ แดชบอร์ดสาธารณะ เปิดเผยผลตรวจเป็นระยะ ปรับระดับคำเตือนตาม “ประเภทการใช้น้ำ” เพื่อการตัดสินใจที่ปลอดภัยของประชาชนและผู้ประกอบการ
  • ประเมินกิจกรรมเสี่ยงต้นน้ำ (เช่น การทำเหมือง–การชะละลายแร่) แล้วเสนอทางเลือกเทคโนโลยี/มาตรการป้องกัน–ฟื้นฟูตามหลักวิทยาศาสตร์

“ประเด็นคุณภาพน้ำก่อความกังวลโดยตรงต่อวิถีชีวิตของประชาชน…ความร่วมมือไทย–เมียนมามีความสำคัญยิ่ง เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่รอบด้าน” — นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือ)

จาก “รายงานปัญหา” สู่ “นโยบายเชิงรุกที่วัดผลได้”

  1. เชื่อมฐานข้อมูลกับกรอบ MRC/PDIES — เมื่อปัญหาเกิดในลำน้ำข้ามพรมแดน การยึด PDIES เป็น “ภาษากลางด้านข้อมูล” จะลดข้อถกเถียงเรื่องแหล่งที่มาและเพิ่มความน่าเชื่อถือของการสื่อสารสาธารณะ ทั้งยังวางรากฐานให้คู่เจรจาอื่นในลุ่มน้ำโขงรับรู้ร่วมกันตามกรอบยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำ (BDS 2021–2030) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำและสุขภาวะของประชาชน
  2. การสื่อสารความเสี่ยงแบบ “ตามประเภทการใช้น้ำ” — บทเรียนจากพื้นที่พบว่า สังคมมักเทียบค่ากับ “มาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ล.” โดยตรง ขณะที่น้ำนอกระบบประปาอาจมีเกณฑ์ชี้นำการใช้งานที่ต่างกัน (เช่น ไม่แนะนำเพื่อดื่ม แต่ใช้เพื่อการเกษตรบางชนิดได้ภายใต้เงื่อนไข) การแยกป้ายเตือน–คำแนะนำเป็น “น้ำเพื่อการดื่ม/บริโภค” กับ “น้ำเพื่อการเกษตร–เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” อย่างชัดเจน จะช่วยลดความสับสน และช่วยให้ครัวเรือน/ชุมชนตัดสินใจได้ปลอดภัยขึ้น โดยอ้างอิงค่าที่ คพ.ใช้สื่อสารต่อสาธารณะในห้วงวิกฤตที่ผ่านมา
  3. สร้าง “ระบบเตือนภัยเชิงปฏิบัติการ” ในฤดูฝน — พอเข้าปลายฝนต้นหนาว มวลน้ำหลาก–ตะกอนพุ่งสูง การวัดถี่–ประกาศเตือนเร็วช่วยประคับความเสี่ยงในช่วงวิกฤต การกำหนด “ธงสี” ระดับความเสี่ยงตามพารามิเตอร์สำคัญ (เช่น สารหนู–ตะกั่ว–แบคทีเรีย) บนแดชบอร์ดสาธารณะ ช่วยให้โรงเรียน–โรงพยาบาล–ระบบประปาหมู่บ้านปรับแผนใช้น้ำล่วงหน้าได้
  4. ผสานงาน “ชุมชน–หน่วยงานท้องถิ่น–แล็บกลาง” — ชุมชนอยู่กับน้ำทุกวัน หากมีกลไกสนับสนุนการเก็บตัวอย่างเบื้องต้นและรายงานเหตุผิดปกติ (ปลาเกย ตุ่มพุพอง ฯลฯ) เข้าระบบอย่างเป็นขั้นตอน จะทำให้การตอบสนองเร็วขึ้น สื่อสาธารณะไทยก็เคยรายงานการติดเชื้อ/ความผิดปกติของสัตว์น้ำควบคู่การรอผลตรวจโลหะหนัก ซึ่งชี้ว่าช่องทางสื่อสาร–รับแจ้งเหตุในชุมชนสำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์แล็บ
  5. สื่อสาร “ที่มา–ข้อจำกัดของข้อมูล” อย่างซื่อสัตย์ — ผลตรวจคุณภาพน้ำเป็นภาพชั่วขณะ; ค่าอาจเปลี่ยนตามเวลา/สภาพอากาศ การระบุชัดว่า “จุด–วัน–เวลาตรวจ” และ “ช่วงความเชื่อมั่น” จะทำให้ประชาชนเข้าใจภาพรวม ไม่ตื่นตระหนกหรือชะล่าใจเกินไป

เศรษฐกิจท้องถิ่น–สุขภาวะ–ความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน

ปัญหาคุณภาพน้ำไม่ได้หยุดที่ก๊อกน้ำในบ้าน ประมงพื้นบ้าน–เกษตรน้ำจืด–การท่องเที่ยวทางน้ำในเชียงราย–เชียงใหม่–ชายแดนแม่สาย ต่างผูกพันกับภาพลักษณ์–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาและกรอบ MRC จึงไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็น “นโยบายเศรษฐกิจฐานราก” และ “นโยบายต่างประเทศเชิงมนุษยธรรม” ที่ต้องเดินคู่กัน

ที่สำคัญ ผลตรวจของ คพ.ในห้วงปี 2567–2568 ไม่ได้ชี้เฉพาะค่าปนเปื้อนในน้ำเท่านั้น แต่ยังชี้ถึง “ตะกอนดินปนเปื้อน” หลายสาขาลุ่มน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บมลพิษที่อาจถูกพายุ–น้ำหลากพาออกมาได้ซ้ำ จึงจำเป็นต้องวางแผนฟื้นฟูตะกอนอย่างระมัดระวัง ไม่สร้าง “เขื่อนกักมลพิษ” ที่กลายเป็นระเบิดเวลาลงสู่ท้ายน้ำในฤดูฝนครั้งต่อไป

แผนจากวันนี้ถึง 12 เดือนหน้า: ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการที่ “ทำได้เลย”

  1. 90 วันแรก — คณะทำงานวิชาการร่วมจัดทำ protocol เก็บตัวอย่าง–วิเคราะห์–รายงานผลเดียวกัน กำหนดจุดตรวจ “หน้าด่านชายแดน” อย่างน้อย 6 จุด (กก–สาย–รวก) ความถี่รายเดือน/รายสัปดาห์ในฤดูฝน เปิด แดชบอร์ดสาธารณะสองภาษา (ไทย–พม่า) ระบุค่าปัจจุบัน+แนวโน้ม พร้อม ธงสีคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำ
  2. 180 วัน — เปิด “แผนที่เชิงปฏิบัติการ” พื้นที่เสี่ยงต้นน้ำ (เหมือง–บ่อกักเก็บ–แนวทางน้ำหลาก) พร้อม shortlist มาตรการลดผลกระทบทันที (เช่น คันกั้นชั่วคราว–ระบบบำบัดเฉพาะจุด–ปรับโหมดการทำเหมืองช่วงฝน)
  3. 12 เดือน — เผยแพร่ “รายงานสถานะน้ำชายแดนฉบับร่วม” ฉบับแรก ครอบคลุมข้อมูลคุณภาพน้ำ–ตะกอน–ชีวภาพ พร้อมกรณีศึกษา best practice หมู่บ้านเข้มแข็งด้านน้ำ 3–5 แห่งที่ปรับตัวสำเร็จ

น้ำเสียงจากพื้นที่ ความหวัง–ความคาดหวัง

ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–คณะกรรมการลุ่มน้ำ–เครือข่ายภาคประชาชนในเชียงราย–เชียงใหม่ ให้ข้อมูลตรงกันว่า สิ่งที่ชุมชนต้องการมากที่สุดคือ “ข้อมูลที่เชื่อถือได้และทันเวลา” เพราะทุกการตัดสินใจมีต้นทุน—ชาวประมงต้องรู้ว่าจะลงอวนวันไหน โรงเรียนต้องรู้ว่าจะปิด–เปิดกิจกรรมทางน้ำหรือไม่ ระบบประปาหมู่บ้านต้องรู้ว่าจะเปลี่ยนแหล่งน้ำดิบชั่วคราวเมื่อไหร่ ยิ่งมีแดชบอร์ดข้อมูลและคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำที่เข้าใจง่าย ความตื่นตระหนกก็ยิ่งลดลง

ในมุมภาครัฐ ความร่วมมือแบบคณะทำงานวิชาการร่วมถือเป็น “โครงสร้าง” ที่จะพาเรื่องนี้พ้นวงจร “ตั้งโต๊ะแก้เฉพาะหน้า–รอผลตรวจ–เกิดเหตุซ้ำ” ไปสู่ ระบบจัดการความเสี่ยง ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมเศรษฐกิจต้นน้ำได้จริง

จากเนปยีดอถึงริมกก–สาย—ก้าวย่างแรกของความไว้เนื้อเชื่อใจบนฐานข้อมูลเดียวกัน

การพบกันของผู้นำฝ่ายบริหารและหน่วยงานเทคนิคของสองประเทศครั้งนี้ ไม่ได้ปิดปัญหาข้ามพรมแดนในชั่วข้ามคืน แต่คือก้าวแรกที่จำเป็นของ “ความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงสถาบัน” (institutional trust) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อทั้งสองฝ่าย “ดูข้อมูลชุดเดียวกัน” และ “ยอมรับผลทางวิทยาศาสตร์ชุดเดียวกัน” แล้วเปลี่ยนเป็นมาตรการที่ประชาชนสัมผัสได้—น้ำสะอาดขึ้น คำเตือนชัดขึ้น ความเสียหายลดลง

ในฤดูฝนที่น้ำหลากเร็วและสารปนเปื้อนเคลื่อนตัวไว “หนึ่งวัน” ที่ประสานงานช้าอาจหมายถึง “หนึ่งชุมชน” ที่ต้องหยุดใช้แหล่งน้ำโดยไม่จำเป็น ในทางกลับกัน “หนึ่งแดชบอร์ด–หนึ่งคณะทำงาน” ที่เดินเครื่องได้จริง อาจหมายถึง “หนึ่งลุ่มน้ำ” ที่กำลังได้โอกาสเริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง 

  • ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
  • ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
  • ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
  • ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
  • ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
  • ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
  • ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สองวิกฤตซ้ำ! เชียงรายน้ำท่วมกว่า 8 พันครัวเรือน ปัญหาสารหนูยังไม่คลี่คลาย

เชียงรายอ่วม! น้ำท่วม 9 อำเภอ ปภ.เร่งช่วยเหลือประชาชน ขณะที่วิกฤต “สารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกก” ยังรุนแรง ระดับชาติต้องเร่งแก้ไข

ประเทศไทย, 31 กรกฎาคม 2568 – “สองวิกฤต” ถล่มเชียงราย จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 28-29 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดอุทกภัยฉับพลันและดินถล่มในพื้นที่ 9 อำเภอของจังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชนกว่า 8,300 ครัวเรือน ขณะเดียวกัน ปัญหาเก่าที่ยังคงเป็นระเบิดเวลาของพื้นที่คือ “สารหนูและโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก” ที่ส่งผลต่อทั้งสุขภาพประชาชนและความมั่นคงของแหล่งน้ำในอนาคต

มวลน้ำถล่มหนัก – 8,363 ครัวเรือนวิกฤต

ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย) เปิดเผยว่าสถานการณ์น้ำท่วมและดินถล่มเกิดขึ้นใน 9 อำเภอ 32 ตำบล 189 หมู่บ้าน รวมถึง 4 ชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย นับตั้งแต่ฝนสะสมสูงสุดที่ 127 มิลลิเมตร ในตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนกว่า 8,363 ครัวเรือน โครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ได้แก่

  • ถนน 22 จุดได้รับความเสียหาย
  • พื้นที่เกษตร 23,850 ไร่จมน้ำ
  • บ่อปลา 100 บ่อเสียหาย
  • สัตว์เลี้ยงตายหลายร้อยชีวิต
    อย่างไรก็ตาม ปภ. ยังคงสำรวจความเสียหายเพิ่มเติมและจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

ทุกหน่วยงานระดมเครื่องจักร-เจ้าหน้าที่ 24 ชั่วโมง

ตลอดช่วงวิกฤตนี้ ปภ.เชียงราย ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ก็ได้นำเทคโนโลยีดาวเทียม Pléiades วิเคราะห์ภาพถ่ายบริเวณน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำกกและแม่น้ำยม รวมพื้นที่น้ำท่วมขังในเชียงรายและแพร่กว่า 1,000 ไร่ ส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้วางแผนบริหารจัดการในระยะเร่งด่วน

สารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกก – ปมร้อนวาระแห่งชาติ

ในขณะที่ปัญหาอุทกภัยยังคงต้องเร่งช่วยเหลือ ในอีกด้านหนึ่ง เชียงรายยังต้องเผชิญกับปัญหามลพิษสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักของประชาชน โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2566 พบว่ามีสารหนูเกินมาตรฐานในแหล่งน้ำผิวดินบริเวณสบกก อ.เชียงแสน ก่อนขยายวงกว้างสู่แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขงต่อมา

ล่าสุด ที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ครั้งที่ 2/2568 โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน มีหน่วยงานระดับสูงทุกฝ่ายเข้าร่วมถกหาทางออก ทั้งกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย (นายชรินทร์ ทองสุข) นักวิจัยและองค์กรที่เกี่ยวข้อง

ต้นตอสารพิษ – หลายปัจจัยเชื่อมโยงข้ามประเทศ

การประชุมระบุว่า สาเหตุของการปนเปื้อนอาจเกิดได้จาก 3 ปัจจัยหลัก

  1. การเปิดหน้าดินและการชะล้างจากธรรมชาติ
  2. กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การใช้สารเคมีทางเกษตร การเผาในที่โล่ง
  3. ปัญหาจากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา-จีน) เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำนานาชาติ
    ที่ประชุมได้เน้นย้ำให้ “ตรวจสอบแหล่งกำเนิด” อย่างจริงจัง พร้อมเดินหน้าเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไก MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) อย่างต่อเนื่อง

แผนบูรณาการแก้ปัญหา – ตั้งเป้ายั่งยืน

มาตรการแก้ไขระยะเร่งด่วนที่ประชุมกำหนดประกอบด้วย

  • การศึกษา/วิจัย สัดส่วนสารพิษโดยกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ฯ
  • ตรวจสอบกิจกรรมต้นเหตุโดยกรมเหมืองแร่ กรมวิชาการเกษตร และองค์กรท้องถิ่น
  • การติดตั้งอุปกรณ์ดักตะกอนในแหล่งน้ำ
  • เจรจาต่างประเทศและความร่วมมือกับ MRC
  • แผนบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

ขณะที่ภาคประชาชนและกลุ่มอนุรักษ์แสดงความห่วงใยอย่างมาก เนื่องจากผลกระทบของสารพิษในแหล่งน้ำอาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและยาว รวมถึงระบบนิเวศและการเกษตร โดยเฉพาะเมื่อแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบผลิตประปาหลักของเชียงรายและชุมชนริมฝั่ง

เชียงรายในห้วงเปราะบาง – เมื่อวิกฤตธรรมชาติ-สิ่งแวดล้อมทวีคูณ

การรับมืออุทกภัยอย่างทันท่วงทีเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องอาศัยการประสานทุกฝ่าย แต่ปัญหาคุณภาพน้ำและสารพิษในแม่น้ำกก คือภัยเงียบที่ต้องได้รับการจัดการเชิงระบบ โดยเฉพาะการตรวจสอบแหล่งกำเนิด การควบคุมกิจกรรมมนุษย์ และการเจรจาต่างประเทศให้เกิดการจัดการร่วมกันอย่างแท้จริง
ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาขึ้นอยู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และการสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใสให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อลดความวิตกกังวลและสร้างความมั่นใจต่อแหล่งน้ำที่ปลอดภัยในระยะยาว
เชียงรายจึงอยู่ในจุดทดสอบความสามารถของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อมของไทย – วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการปฏิรูปเชิงนโยบายและสร้างต้นแบบการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการในระดับประเทศและภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สวนนงนุชพัทยาสร้างประวัติศาสตร์โลก เพาะมะพร้าวทะเลผลแฝดสำเร็จ มูลค่าทะลุล้าน!

สวนนงนุชพัทยา สร้างประวัติศาสตร์โลก เพาะ “มะพร้าวทะเล” ผลแฝดสำเร็จ มูลค่าทะลุล้าน สะท้อนภารกิจอนุรักษ์พืชหายากระดับสากล

ชลบุรี, 21 กรกฎาคม 2568 – เมื่อแสงแรกของวันที่ 17 กรกฎาคม ส่องผ่านใบปาล์มใหญ่ในบริเวณสวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนแห่งนี้ ยืนเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การอนุรักษ์พืชหายากของโลก ในมือเขาถือเครื่องมือสำหรับการปลอกเปลือกที่ละเอียดอ่อน เพื่อเปิดเผยความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในผล “มะพร้าวทะเล” อันล้ำค่า

สิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการเก็บเกี่ยวผลผลิตธรรมดา แต่เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของวงการพฤกษศาสตร์โลก เมื่อทีมผู้เชี่ยวชาญดำเนินการปลอกเปลือกมะพร้าวทะเลจำนวน 9 ลูกอย่างพิถีพิถัน พวกเขาได้พบกับสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในธรรมชาติ – เมล็ดแฝดจากผลหนึ่งในจำนวนนั้น ทำให้ได้เมล็ดพันธุ์รวมทั้งสิ้น 10 เมล็ด แทนที่จะได้เพียง 9 เมล็ดตามธรรมชาติ

ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เมื่อเมล็ดมะพร้าวทะเลแต่ละเมล็ดมีมูลค่าสูงถึงกว่า 100,000 บาท การได้เมล็ดเพิ่มจากเมล็ดแฝดทำให้มูลค่ารวมของการเก็บเมล็ดในครั้งนี้พุ่งทะลุ 1 ล้านบาท กลายเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การอนุรักษ์พืชหายากของประเทศไทย

จากความฝันสู่ความจริงเส้นทางแห่งการอนุรักษ์ที่ยาวนาน

เรื่องราวของความสำเร็จครั้งนี้เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์อันยาวไกลของสวนนงนุชพัทยา ในฐานะสวนพฤกษศาสตร์ระดับนานาชาติที่ได้รวบรวมพันธุ์ไม้จากทั่วโลกมากกว่า 18,000 ชนิด สวนแห่งนี้ได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ “มะพร้าวทะเล” หรือ “มะพร้าวแฝด” (Lodoicea maldivica) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นปาล์มพันธุ์พิเศษที่หายากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

มะพร้าวทะเลมีถิ่นกำเนิดเฉพาะบนหมู่เกาะเซเชลส์ในมหาสมุทรอินเดีย และได้รับการบันทึกในกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดว่าเป็นพืชที่มีเมล็ดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเมล็ดที่สามารถมีน้ำหนักได้มากถึง 30 กิโลกรัม และผลที่สามารถหนักได้ถึง 42 กิโลกรัม ทำให้มันเป็นผลไม้ที่หนักที่สุดและใหญ่ที่สุดในอาณาจักรพืช

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการอนุรักษ์มะพร้าวทะเลคือวงจรชีวิตที่ช้าเป็นพิเศษ โดยธรรมชาติแล้ว พืชชนิดนี้ต้องใช้เวลานานถึง 60 ปี จึงจะเริ่มออกผล และต้องรออีก 7 ปี ให้ผลสุกเต็มที่ ก่อนเพาะต่ออีก 2 ปี จึงจะเห็นต้นอ่อน หากนับรวมแล้ว การได้เห็นต้นมะพร้าวทะเลแต่ละต้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตของมนุษย์

นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก ย่นเวลาจากธรรมชาติลงครึ่ง

แต่ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญและการดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมงานสวนนงนุชพัทยา ภายใต้การนำของนายกัมพล ตันสัจจา สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นเป็นไปได้ พวกเขาสามารถเร่งวงจรชีวิตของมะพร้าวทะเลให้ออกผลได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 ปี ซึ่งเป็นการย่นระยะเวลาจากธรรมชาติลงได้มากกว่าครึ่ง

“สิ่งที่เราทำได้วันนี้ ไม่ใช่แค่การเก็บเกี่ยวผล แต่เป็นการพิสูจน์ว่าประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์พืชหายากระดับโลกได้” นายกัมพลกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “การที่เราพบเมล็ดแฝดในครั้งนี้ ถือเป็น ‘ปรากฏการณ์อันน่าทึ่ง’ ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของการดูแลและฟื้นฟูพันธุ์พืชหายากอย่างแท้จริง”

ปัจจุบันสวนนงนุชพัทยาสามารถขยายพันธุ์มะพร้าวทะเลรวมทั้งต้นกล้าได้แล้วกว่า 229 ต้น ตอกย้ำถึงความสำเร็จและก้าวยิ่งใหญ่ของวงการพฤกษศาสตร์ไทยที่ก้าวสู่เวทีโลกได้อย่างภาคภูมิ

อัญมณีแห่งเซเชลส์ ความมหัศจรรย์ทางชีวภาพที่ต้องอนุรักษ์

เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของความสำเร็จครั้งนี้ จำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับ “อัญมณีแห่งเซเชลส์” อย่างใกล้ชิด มะพร้าวทะเล หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Lodoicea maldivica เป็นปาล์มสายพันธุ์เฉพาะถิ่นที่พบได้เฉพาะบนเกาะปราสลินและเกาะคูริเยอส์ในหมู่เกาะเซเชลส์เท่านั้น

ความโดดเด่นของปาล์มชนิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงความหายาก แต่ยังรวมถึงรูปทรงที่แปลกตาและมักถูกมองว่าคล้ายมนุษย์ โดยเฉพาะด้านหนึ่งที่คล้ายบั้นท้ายของผู้หญิง ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ชื่อทางพฤกษศาสตร์โบราณว่า Lodoicea callipyge ซึ่งหมายถึง “บั้นท้ายที่สวยงาม”

ลักษณะเฉพาะที่น่าทึ่งประการหนึ่งคือกลไก “การดูแลจากพ่อแม่” (parental care mechanism) โดยใบขนาดใหญ่รูปกรวยของปาล์มจะทำหน้าที่ดักจับน้ำฝนและของเสียอินทรีย์ต่างๆ นำพาทรัพยากรเหล่านี้ลงสู่ฐานของลำต้นเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่อุดมด้วยสารอาหาร ซึ่งช่วยรับประกันการเจริญเติบโตของลูกปาล์ม

บทบาทในระบบนิเวศ มากกว่าความสวยงาม

มะพร้าวทะเลไม่ได้เป็นเพียงสิ่งมหัศจรรย์ทางพฤกษศาสตร์ แต่ยังเป็นชนิดพันธุ์หลัก (keystone species) ที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศบนเกาะเซเชลส์ ป่าปาล์มที่เป็นเอกลักษณ์ของมะพร้าวทะเลเป็นที่อยู่อาศัยและสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพของสายพันธุ์เฉพาะถิ่นที่อุดมสมบูรณ์

นกหายากอย่างนกแก้วดำเซเชลส์และนกปรอดเซเชลส์ใช้ป่าแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัย ขณะที่สัตว์เลื้อยคลานอย่างจิ้งจก Phelsuma sundbergi กินละอองเกสรของปาล์มมะพร้าวทะเลเป็นอาหารหลัก รวมถึงหอยทากเฉพาะถิ่นอย่างหอยทากมะพร้าวทะเล (Stylodonta studeriana) การอนุรักษ์มะพร้าวทะเลจึงไม่ใช่เพียงการรักษาชนิดพันธุ์เดียว แต่เป็นการปกป้องระบบนิเวศบนเกาะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งระบบ

เส้นทางประวัติศาสตร์ จากตำนานสู่การอนุรักษ์

ในอดีต มะพร้าวทะเลถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับและตำนานเล่าขาน การค้นพบเมล็ดของมันลอยไปติดชายฝั่งห่างไกลทำให้เกิดความเชื่อว่ามันเติบโตบนต้นไม้ใต้น้ำใน “ป่าที่ก้นมหาสมุทรอินเดีย” รูปทรงที่แปลกประหลาดของมันได้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดตำนานต่างๆ รวมถึงความเชื่อว่าต้นไม้เพศผู้และเพศเมีย “ร่วมรักกันอย่างเร่าร้อนในคืนพายุ”

นายพลชาร์ลส์ จอร์จ กอร์ดอน เคยเชื่อว่าวัลเล เดอ แม ในเซเชลส์คือ “สวนเอเดนดั้งเดิม” และมะพร้าวทะเลคือ “ผลไม้ต้องห้าม” ในอดีต เมล็ดของมะพร้าวทะเลมีค่าสูงมากในฐานะของหายากและมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์ จนปรากฏในราชสำนักทั่วเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ตาม เมื่อแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของมันถูกเปิดเผยในปี 1768 ความต้องการที่จะแสวงหาผลประโยชน์อย่างรวดเร็วได้นำไปสู่การเก็บเกี่ยวมากเกินไปและการทำลายป่าอย่างมหาศาล ทำให้มูลค่าของเมล็ดลดลงอย่างรวดเร็ว

ความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ จากเซเชลส์สู่ไทย

เซเชลส์มีความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์มะพร้าวทะเลมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ โดยรัฐบาลเซเชลส์ได้ซื้อฟง เฟอร์ดินานด์ (Fond Ferdinand) ซึ่งเป็นเขตรักษาพันธุ์ขนาด 122 เฮกตาร์ในปี 1895 เพื่อปกป้องประชากรปาล์มมะพร้าวทะเล และในปี 1979 ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาการจัดการมะพร้าวทะเล เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองทางกฎหมายเพิ่มเติม

ปัจจุบันมะพร้าวทะเลได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายการอนุรักษ์ระดับชาติที่เข้มงวด และถูกจัดอยู่ในสถานะ “เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์” (Vulnerable) โดยสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) มูลนิธิหมู่เกาะเซเชลส์ (SIF) มีบทบาทสำคัญในการจัดการถิ่นที่อยู่สำคัญของมะพร้าวทะเล รวมถึงวัลเล เดอ แม (Vallée de Mai) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก

ผลกระทบต่ออนาคต บทเรียนและความหวัง

ความสำเร็จของสวนนงนุชพัทยาในการขยายพันธุ์มะพร้าวทะเล รวมถึงการค้นพบเมล็ดแฝดในครั้งนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความก้าวหน้าอย่างยิ่งในการอนุรักษ์นอกถิ่นกำเนิด (ex-situ conservation) และสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระดับโลกในการปกป้องและฟื้นฟูพันธุ์พืชหายาก

การที่สวนนงนุชพัทยาสามารถย่นระยะเวลาการออกผลของมะพร้าวทะเลจากธรรมชาติได้อย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านพฤกษศาสตร์และการจัดการที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างความมั่นคงทางชีวภาพให้กับพืชพรรณที่เปราะบาง

ความสำเร็จครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนลogy การอนุรักษ์พืชหายากกับนานาชาติ โดยเฉพาะกับเซเชลส์และประเทศอื่นๆ ที่มีความท้าทายคล้ายกัน

ความยั่งยืน

เพื่อสานต่อความสำเร็จและยกระดับการอนุรักษ์พันธุ์พืชหายากให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะแนวทางดังนี้

การวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: สวนพฤกษศาสตร์และสถาบันวิจัยในประเทศไทยควรได้รับการสนับสนุนให้ทำการวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับชีววิทยาการสืบพันธุ์ของมะพร้าวทะเลและพืชหายากอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายพันธุ์และการอนุรักษ์

การแลกเปลี่ยนความรู้ระดับนานาชาติ: ควรส่งเสริมการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และข้อมูลองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์พืชหายากระหว่างประเทศไทยกับเซเชลส์และประเทศอื่นๆ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่ง

การให้ความรู้แก่สาธารณะ: ควรมีการจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของมะพร้าวทะเลและพืชหายากอื่นๆ ให้กับสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความตระหนักและปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การสนับสนุนแหล่งทุน: ภาครัฐและเอกชนควรพิจารณาสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรเพิ่มเติมให้กับโครงการอนุรักษ์พืชหายาก เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

มรดกสำหรับอนาคต

เมื่อแสงแดดยามบ่ายส่องลงมาบนใบปาล์มมะพร้าวทะเลที่สวนนงนุชพัทยา เมล็ดแฝดที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่วันก่อนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเพาะงอกที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างคุณค่าทางวิชาการและบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้ร่วมอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของโลก

มะพร้าวทะเลที่เติบโตในสวนนงนุชพัทยาวันนี้ อาจเป็นความหวังสำคัญในการรักษาสายพันธุ์หายากนี้ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการอนุรักษ์ที่มาพร้อมกับความรู้และความมุ่งมั่น สามารถสร้างความมหัศจรรย์ที่เปลี่ยนโลกได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การให้สัมภาษณ์ของ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา (วันที่ 17 กรกฎาคม 2568)
  • กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records): การบันทึกมะพร้าวทะเลเป็นพืชที่มีเมล็ดใหญ่ที่สุดในโลก
  • Seychelles Tourist Office: “The Mysterious Coco de Mer – The Jewel of Seychelles”
  • สหภาพระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN): สถานะการอนุรักษ์ Lodoicea maldivica
  • มูลนิธิหมู่เกาะเซเชลส์ (Seychelles Islands Foundation): ข้อมูลการอนุรักษ์และจัดการถิ่นที่อยู่ของมะพร้าวทะเล
  • องค์การยูเนสโก (UNESCO): ข้อมูลแหล่งมรดกโลก วัลเล เดอ แม (Vallée de Mai)
  • สวนนงนุชพัทยา: เอกสารและข้อมูลประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำเร็จในการขยายพันธุ์พืชและบทบาทในฐานะสวนพฤกษศาสตร์นานาชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สาธารณสุขเชียงรายลุย เร่งตรวจคัดกรองสารหนู แม่น้ำกก-แม่น้ำสาย หลังพบปนเปื้อน

เชียงรายเดินหน้าเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยงสารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย วางระบบเชิงรุก–บูรณาการเครือข่าย เตรียมตรวจคัดกรองกว่า 1,600 ราย ย้ำมาตรฐานปลอดภัยต่อชีวิต

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์ปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงราย สร้างความห่วงกังวลต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ผนึกกำลังกับภาคีเครือข่ายทั้งในระดับท้องถิ่นและส่วนกลาง จัดระบบเฝ้าระวังเชิงรุก ตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ตั้งเป้าครอบคลุม 1,600 รายใน 7 อำเภอสำคัญ

จุดเริ่มต้นของมาตรการเชิงรุก

ความตื่นตัวของหน่วยงานภาครัฐต่อภัยสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานการตรวจพบสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ ส่งผลให้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กรมควบคุมโรค และองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้ระดมกำลังประชุมหารือวางแผนร่วมกัน เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 โดยนายณรงค์ ลือชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมคณะทำงานจากกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ และสาธารณสุขอำเภอทั่วพื้นที่

การตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยง

การดำเนินการระยะแรก ลงพื้นที่บ้านรวมมิตร ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ตรวจคัดกรองประชาชนกลุ่มแรก 30 ราย ที่อาศัยในรัศมี 1 กิโลเมตรจากแม่น้ำ พบว่า มีความเสี่ยงสัมผัสสารหนูสูง 2 ราย (6.67%) เสี่ยงปานกลาง 10 ราย (33.33%) และเสี่ยงต่ำ 18 ราย (60%) โดยการตรวจเน้นที่การสัมภัสและอุปนิสัยการใช้น้ำในครัวเรือน

สำหรับแผนงานต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 1 – 10 กรกฎาคม 2568 จะขยายการคัดกรองไปยัง 7 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองเชียงราย, เวียงชัย, เวียงเชียงรุ้ง, แม่สาย, แม่จัน, เชียงแสน และดอยหลวง ครอบคลุม 40 หมู่บ้าน ๆ ละ 40 ราย รวมทั้งสิ้น 1,600 ราย พร้อมเก็บข้อมูลแบบสอบถามประเมินความเสี่ยง หลังจากนั้น วันที่ 22 – 24 กรกฎาคม 2568 จะมีการตรวจปัสสาวะของประชาชนกลุ่มเสี่ยงสูงและปานกลางจำนวน 400 ราย เพื่อวิเคราะห์ค่าความเข้มข้นของสารหนูและใช้ประเมินแนวโน้มสุขภาพในระยะยาว

ผลตรวจเชิงวิชาการและมาตรฐานความปลอดภัย

ข้อมูลผลตรวจปัสสาวะกลุ่มเสี่ยง ในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย เมื่อวันที่ 5 – 6 มิถุนายน 2568 ระบุว่า

  • กลุ่มประชาชนที่อยู่ใกล้แม่น้ำกก จำนวน 5 ราย พบค่าความเข้มข้นของสารหนูระหว่าง 45.7 – 93.2 มิลลิกรัม/ลิตร อยู่ในระดับไม่เกินมาตรฐาน (ค่ามาตรฐาน 100 มิลลิกรัม/ลิตร)
  • กลุ่มประชาชนที่อยู่ใกล้แม่น้ำสาย 5 ราย พบค่าความเข้มข้นของสารหนูระหว่าง 27.1 – 43.6 มิลลิกรัม/ลิตร อยู่ในระดับปลอดภัย
    ทั้งนี้ ผลดังกล่าวช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเบื้องต้นต่อประชาชนในพื้นที่ว่าระบบเฝ้าระวังสามารถตรวจจับความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางต่อไป

การบูรณาการหน่วยงานระดับพื้นที่และส่วนกลางร่วมกันขับเคลื่อนการเฝ้าระวังเชิงรุก นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ยั่งยืน ข้อมูลการตรวจวิเคราะห์จะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายและปรับปรุงแผนป้องกันในระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมในชุมชนลุ่มน้ำที่มีความเสี่ยงสูงสุดของจังหวัดเชียงราย

นอกจากมาตรการคัดกรองและวินิจฉัยโรคในประชาชนกลุ่มเสี่ยงแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเดินหน้าทำงานเชิงรุกด้านการสื่อสาร ให้ความรู้ สร้างความตระหนักรู้ในประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงการประเมินข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต

สรุป

วิกฤตการณ์สารหนูในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย เป็นบททดสอบสำคัญของระบบสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายในการสร้างมาตรการป้องกันเชิงรุกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ การบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ประชาชาติธุรกิจ: รายงานสถานการณ์สุขภาพจากสารหนูปนเปื้อน
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปากแบง HPP ชี้แจง โครงการลาวเดินหน้า ชี้ผลกระทบข้ามพรมแดน

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง เดินหน้าสื่อสาร-รับฟังชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมโขง เชียงราย แจงผลศึกษา TbEIA–CIA ย้ำมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก สปป.ลาว จัดประชุมชี้แจงความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Beng HPP) กับชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง กลุ่มรักษ์เชียงของ กลุ่มนักวิชาการอิสระในพื้นที่ ตัวแทนโรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น และสื่อมวลชนกว่า 500 คน จากอำเภอเวียงแก่นและเชียงของ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 18-21 มิถุนายน 2568 เพื่ออัปเดตสถานะการก่อสร้าง กำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน พร้อมสร้างความเข้าใจ กระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่

สาระสำคัญของโครงการ

ดร.วรวิทย์ ผดุงบวรศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงเป็นเขื่อนแบบทดน้ำ (run off river) มีจุดเด่นที่ควบคุมปริมาณน้ำท้ายน้ำอย่างสมดุล (Inflow = Outflow) เพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนในลุ่มน้ำโขงตอนล่างทั้งลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม โดยเน้นย้ำถึงการดำเนินงานตามมาตรการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (TbEIA) และผลกระทบสะสม (CIA) อย่างรอบคอบ รวมถึงมีแผนช่องทางเดินเรือ ทางผ่านปลา ระบบระบายตะกอน และกำหนดแผนก่อสร้างในหน้าแล้ง ตุลาคม 2568

การศึกษา TbEIA–CIA และข้อกังวลชุมชน

คุณเยาวภา ชูวงศ์ จากบริษัทที่ปรึกษา ระบุว่า การศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนเน้นความโปร่งใสตามแนวทาง MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) มีการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ครอบคลุมระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และชุมชน ก่อนกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ยังมีการดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการ PNPCA อย่างครบถ้วน โดยผลการจำลองคณิตศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ระดับน้ำจะเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ผาไดถึงบ้านดอนมหาวัน 10 กม.) จากนั้นระดับน้ำจะคงที่

รับฟังเสียงชุมชน–เยียวยาอย่างต่อเนื่อง

ในเวทีรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้านแสดงความกังวลเรื่องระดับน้ำโขงที่อาจส่งผลต่อพื้นที่ทำกิน น้ำเท้อเข้าลำน้ำสาขา เกษตรกรสวนส้มโอ และประมง พร้อมสอบถามมาตรการเยียวยา การฟื้นฟูอาชีพ และกลไกพิจารณาการชดเชย ด้านผู้พัฒนาโครงการยืนยันจะเร่งสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจ-สังคม เจรจาแนวทางเยียวยา พร้อมเปิดเวทีชี้แจงปีละ 2 ครั้ง ตลอด 29 ปีของโครงการ โดยลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลร่วมกับเกษตรกรในลำน้ำงาวหลังประชุม เพื่อคลายความกังวลของชุมชน

โอกาส–ความท้าทาย

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงสะท้อนการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนและความรับผิดชอบข้ามพรมแดน ทั้งในมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และความโปร่งใส แม้โครงการจะวางแผนบรรเทาผลกระทบและเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม แต่การรับฟังและแก้ไขข้อห่วงใยของชุมชนยังต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมจริงของชาวบ้านจะเป็นตัวชี้ขาดความสำเร็จของโครงการนี้

สรุปและทิศทางต่อไป

ผู้พัฒนาโครงการยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการรับฟังความเห็นและเดินหน้าโครงการด้วยความรับผิดชอบ เปิดกว้างต่อข้อเสนอแนะ พร้อมสัญญาจะรายงานความคืบหน้าและมาตรการเพิ่มเติมแก่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด
  • ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่งแอนด์แมนเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน)
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
  • ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“สารพิษแม่น้ำกก ไทย-เมียนมาผนึกกำลัง รัฐบาลย้ำความปลอดภัยประชาชน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันนายกรัฐมนตรีสั่งเร่งแก้ปัญหาน้ำกกปนเปื้อนสารพิษ เตรียมส่งทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมถกเมียนมา-จีนและหน่วยงานระหว่างประเทศ ดันแนวทางจัดการต้นเหตุเหมืองทองฝั่งเมียนมา ยกระดับความร่วมมือข้ามพรมแดนสู่ความยั่งยืน

การขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนจากรัฐบาลกลาง


เชียงราย, 29 มิถุนายน 2568 – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า พล.อ.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายด้วยตนเองและติดตามปัญหาคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกกอย่างใกล้ชิด หลังมีรายงานการปนเปื้อนสารพิษจากกิจกรรมเหมืองในประเทศเมียนมา โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชนในทุกมิติ ทั้งด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

“นายกรัฐมนตรีได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง รวมถึงประสานขอความร่วมมือจากจีนและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำอย่างเร่งด่วนและยั่งยืน” นายมาริษกล่าว

เร่งเดินหน้าเจรจาเชิงเทคนิคกับเมียนมา-จีน

ในสัปดาห์หน้า ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะนำคณะผู้เชี่ยวชาญไทยเข้าหารือกับผู้เชี่ยวชาญเมียนมาที่กรุงเนปิดอว์ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและออกแบบแนวทางแก้ไขเชิงระบบ ตั้งแต่การป้องกันต้นทาง การพัฒนาเครื่องมือเฝ้าระวัง การควบคุมไม่ให้สารพิษไหลลงสู่แม่น้ำกก โดยมีเป้าหมายในการยุติผลกระทบระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดทางขอรับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNEP, UNDP และ GEF

ศูนย์อำนวยการคุณภาพน้ำส่วนหน้า สื่อสารใกล้ชิดประชาชน

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เปิดเผยถึงการเร่งขับเคลื่อนมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาในพื้นที่จริง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณภาพน้ำทุกมิติทั้งประปา สัตว์น้ำ พืชผล เกษตรกรรม ตลอดจนสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ พร้อมจัดเวทีสาธารณะรับฟังข้อเสนอแนะ เปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำหนดแนวทางแก้ไข และสื่อสารความคืบหน้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น เพจ “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย (AIM)”, วิทยุชุมชน, เสียงตามสาย และหอกระจายข่าว

ความร่วมมือข้ามพรมแดน สู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ เนื่องจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นทรัพยากรร่วมระหว่างไทย-เมียนมา การแก้ไขจึงต้องเน้นความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด ล่าสุดกรมกิจการชายแดนทหารได้หารือกับกองทัพเมียนมาเกี่ยวกับปัญหาสารหนู โดยเมียนมามอบหมายให้กรมทรัพยากรสิ่งแวดล้อมส่งทีมลงพื้นที่สำรวจเพื่อเตรียมพร้อมร่วมประชุม Regional Border Committee (RBC) 2–3 กรกฎาคมนี้ ซึ่งฝ่ายไทยจะเสนอแนวทางความร่วมมืออย่างยั่งยืน และเตรียมการเจรจาระดับรัฐบาลในอนาคต

วิเคราะห์และแนวโน้มผลลัพธ์

การเดินหน้าเชิงรุกของรัฐบาล ทั้งในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การมีส่วนร่วมของประชาชน การตรวจสอบคุณภาพน้ำ และการขอความร่วมมือจากนานาชาติ สะท้อนความตั้งใจที่จะปกป้องสุขภาพประชาชนและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำกกอย่างยั่งยืน หากสามารถบรรลุข้อตกลงที่เป็นรูปธรรมจากทุกฝ่าย จะช่วยสร้างความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาและสร้างแบบอย่างความร่วมมือชายแดนเพื่อปกป้องทรัพยากรน้ำของภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศ
  • กระทรวงมหาดไทย
  • ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย (AIM)
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สารหนูแม่น้ำกกยังสูง เชียงรายเร่งตรวจน้ำ-ปลา ประชาชนวอนขอผลชัดเจน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำและพร้อมรับมืออุทกภัย บูรณาการหน่วยงานรัฐ-ชุมชนสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งด้านคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญและความเสี่ยงต่ออุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน

ประชุมเร่งด่วนบูรณาการทุกภาคส่วน


วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่าน VDO Conference กับจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน เพื่อรายงานและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ และการป้องกันอุทกภัย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในช่วงหลังฝายเชียงรายที่ค่าความเข้มข้นของสารหนูเกินมาตรฐานในระยะนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดประตูน้ำช่วงน้ำหลากและการขุดลอกลำน้ำที่ทำให้ตะกอนสารหนูลอยขึ้นปะปนในน้ำ อย่างไรก็ตาม ระดับสารหนูหลังฝายยังต่ำกว่าช่วงต้นน้ำกก

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง-ลงพื้นที่ตรวจเข้ม


จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3 จุดหลัก คือ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และสามเหลี่ยมทองคำ พร้อมเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทีมตรวจสอบเคลื่อนที่เข้าสู่หมู่บ้าน/ชุมชน และเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปา โดยผลตรวจล่าสุดพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ขณะเดียวกัน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย เพื่อตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในตัวปลาอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่างพืชผักที่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย ซึ่งยังไม่พบว่ามีค่าปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

ด้านสุขภาพประชาชน สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเร่งดำเนินการเชิงรุก ทั้งตรวจร่างกาย เฝ้าระวังอาการผิดปกติ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิด รพ.สต. ให้เป็นจุดเฝ้าระวังและรับแจ้งอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการบริโภคน้ำหรือสัตว์น้ำปนเปื้อน

แผนรับมืออุทกภัย เครื่องมือ-เครื่องจักรพร้อมรับสถานการณ์


ในด้านการรับมืออุทกภัย จังหวัดได้ทบทวนแผนและพื้นที่เสี่ยงทั่วลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง และแม่น้ำรวก โดยติดตั้งโทรมาตร (อุปกรณ์วัดระดับน้ำ) กว่า 21 จุดตลอดแม่น้ำกก และพร้อมจัดซ้อมแผนรับมือภัยในเดือนมิถุนายน 2568 มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เสี่ยง เช่น แม่สาย เทิง แม่จัน พร้อมทั้งบริหารจัดการข้อมูล 24 ชั่วโมงผ่านศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด

หน่วยงานกรมการทหารช่างได้สร้างแนวป้องกันน้ำในแม่สายและขุดลอกแม่น้ำรวก รวมถึงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการขุดลอกแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำท่วมข้ามพรมแดน นอกจากนี้ ยังวางแผนสำรองเผชิญเหตุในระดับหมู่บ้านเพื่อดูแลพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สนามบิน และสถานีผลิตน้ำประปา

ภาคประชาชน-ชุมชนร่วมมือ สร้างความมั่นใจในแหล่งอาหาร


เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมหาวัน ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน สะท้อนถึงความห่วงใยของชาวบ้านต่อแหล่งอาหารหลัก ซึ่งมีรายได้เสริมจากการจับปลาขาย แต่ต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่งจากกระแสข่าวสารปนเปื้อนในน้ำ โดยชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานเร่งประกาศผลตรวจอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของชุมชน

วิเคราะห์แนวโน้ม-สร้างเสถียรภาพระยะยาว


การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในจังหวัดเชียงรายในขณะนี้ สะท้อนถึงความพยายามของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน ในการสร้างระบบเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง คือการสื่อสารสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับประชาชนให้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ อาศัยกลไกวิทยาศาสตร์การแพทย์และการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนและความมั่นคงด้านอาหารในจังหวัด

สรุป


แม้สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำกกจะยังคงน่าห่วง แต่จากการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และการสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า จ.เชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเฝ้าระวังเข้ม ประมง-PCD ลุยตรวจสารหนูในแม่น้ำ ชี้อันตรายต่อสุขภาพ

ประมงเชียงรายจับปลาตรวจโลหะหนักในแม่น้ำกก-สาย ชลประทานสนับสนุนปรับระดับน้ำ – กรมควบคุมมลพิษเผยพบสารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง แนะประชาชนเลี่ยงใช้น้ำโดยตรงในพื้นที่เสี่ยง

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ยังคงได้รับการจับตามองอย่างเข้มข้น หลังพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายหลักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่

จับปลาตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในแม่น้ำสายหลัก

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักวิจัยจากกรมประมง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย ได้ลงพื้นที่จับปลาจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บตัวอย่างปลานำไปตรวจสอบทั้งด้านโรคและสารโลหะหนัก โดยดำเนินการคัดแยก ชั่ง-วัด และจำแนกชนิดปลาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะส่งมอบตัวอย่างให้กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ และกองตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำ ดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป

ภารกิจสำคัญนี้มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์คุณภาพสัตว์น้ำในระบบนิเวศลุ่มน้ำกก-สาย ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนเกินเกณฑ์อันตรายหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้บริโภค และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

ชลประทานเชียงรายหนุนภารกิจด้วยการปรับระดับน้ำชั่วคราว

ขณะที่โครงการชลประทานเชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยการปรับลดระดับเก็บกักน้ำหน้าเขื่อนเชียงรายลงราว 50 เซนติเมตร ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยแก่ทีมปฏิบัติงานที่ต้องจับปลาบริเวณท้ายเขื่อน หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บตัวอย่างปลาตามแผนแล้ว ทางชลประทานจะปรับระดับน้ำกลับสู่สภาวะปกติทันที โดยยืนยันว่า การปรับระดับน้ำครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งน้ำเพื่อการเกษตรหรือกระบวนการผลิตน้ำประปาในพื้นที่แต่อย่างใด

ผลตรวจสารโลหะหนักในน้ำยังเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

ด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 โดยเน้นแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ตลอดจนแม่น้ำสาขาต่าง ๆ โดยผลตรวจพบว่า

  • แม่น้ำกก ตรวจวัด 15 จุด พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 15 จุด ค่าสูงสุด 0.023 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.)
  • แม่น้ำสาย ตรวจวัด 3 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทุกจุด ค่าสูงสุด 0.038 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำโขง ตรวจวัด 2 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทั้ง 2 จุด ค่าสูงสุด 0.018 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำสาขา (ฝาง, กรณ์, ลาว, สรวย) คุณภาพน้ำยังเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ แผนติดตามคุณภาพน้ำปี 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง (มีนาคม-กันยายน 2568) และเก็บตัวอย่างตะกอนเดือนละ 1 ครั้ง (พฤษภาคม-กันยายน 2568) การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 5 ดำเนินการระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ

สถานการณ์ล่าสุดยังพบว่าค่าความขุ่นและสารหนูในแม่น้ำหลายพื้นที่สูงกว่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเวศ และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากประชาชนใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง

ข้อแนะนำประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง กรมควบคุมมลพิษแนะนำให้

  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ทั้งการอุปโภคและบริโภค
  • หากจำเป็นต้องใช้น้ำ ควรผ่านกระบวนการบำบัดและตรวจสอบคุณภาพก่อนทุกครั้ง
  • งดเว้นกิจกรรมทางน้ำ เช่น การลงเล่นน้ำ หรือจับสัตว์น้ำโดยตรงในจุดที่เสี่ยงสูง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลตรวจของปลาต่อเนื่อง พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าและแจ้งเตือนประชาชนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเต็มที่

บทวิเคราะห์และแนวโน้มสถานการณ์

การตรวจสอบและติดตามคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกก-สายอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานระดับจังหวัดและส่วนกลาง ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ประมงและงานวิจัยสิ่งแวดล้อม เพื่อคลี่คลายปมปัญหาด้านสุขภาพ สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ แม้จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังคงต้องการการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและระบบแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพในชุมชนริมน้ำ

สถานการณ์นี้จึงเป็นจุดทดสอบการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะ การเสริมสร้างความมั่นใจต่อมาตรฐานความปลอดภัยของแหล่งอาหารและน้ำ รวมถึงการเร่งรัดผลักดันนโยบายป้องกันมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • รายงานคุณภาพน้ำประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐบาลคุมเข้ม! ตั้งคณะทำงานพิเศษจัดการสารพิษแม่น้ำกก ขจัดความกังวล

นายกรัฐมนตรีติดตามสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกกอย่างใกล้ชิด สั่งหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนเร่งดูแลความปลอดภัยประชาชน-ตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจ

เชียงราย, 13 มิถุนายน 2568 –นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกซึ่งเป็นสายธารหลักเชื่อมต่อระหว่างเมียนมากับภาคเหนือของไทยเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ สถานการณ์นี้นำมาซึ่งความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการปนเปื้อนของสารบางชนิดที่อาจมากับกระแสน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลายน้ำของแม่น้ำสายสำคัญดังกล่าว

ล่าสุด นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ส่วนตัว ยืนยันว่ารัฐบาลติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนทุกเรื่อง
“ดิฉันขอยืนยันว่ารัฐบาลติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เรารวบรวมข้อมูลจากรายงานของทุกภาคส่วนทั้งในไทยและเมียนมา รวมถึงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA และการลงพื้นที่จริงของเจ้าหน้าที่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับกองทัพ เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” นายกรัฐมนตรีระบุ

ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ-เดินหน้าเจรจาระดับทวิภาคีและพหุภาคี

ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาความมั่นคงแห่งชาติ และเหล่าทัพ เพื่อวางแผนรับมือในทุกมิติ พร้อมแต่งตั้ง “คณะทำงานด้านเทคนิค” นำโดยรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง โดยมี GISTDA กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรฯ และกองทัพ ร่วมเป็นคณะกรรมการหลัก

หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการเร่งประเมินสถานการณ์สารปนเปื้อน และเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงด้านน้ำสะอาดของประชาชน และการขับเคลื่อนการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เพื่อสร้างมาตรการรับมือร่วมกัน

นายกรัฐมนตรีระบุว่า “กระบวนการเจรจาอาจใช้เวลา แต่เราต้องรีบแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพพี่น้องประชาชนในระยะสั้นควบคู่กันไป”

ลงพื้นที่ตรวจสอบ-ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานเฉพาะกิจ

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังประสานงานส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค และรับมือสถานการณ์อย่างรัดกุม เบื้องต้นได้มีการประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มงวด ทั้งการสุ่มตรวจสารปนเปื้อน ตลอดจนการเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนรองรับสถานการณ์หากมวลน้ำจากฝนตกหนักในเมียนมาไหลเข้ามาเพิ่มเติม โดยพิจารณาการสร้างฝายหรือเขื่อนดักตะกอนในระยะยาว ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการลดการแพร่กระจายของสารปนเปื้อนและควบคุมคุณภาพน้ำในอนาคต

ย้ำมาตรฐานความปลอดภัยน้ำประปา-แจกเครื่องกรองน้ำครัวเรือน

แม้จะมีความเสี่ยงจากน้ำดิบในลำน้ำกก แต่รัฐบาลยืนยันว่ามาตรการด้านสาธารณูปโภคเพื่อประชาชนจะต้องเข้มงวดสูงสุด น้ำประปาทั้งจากการประปาภูมิภาคและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
รวมถึงการกระจายเครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) ระดับครัวเรือนไปยังพื้นที่เสี่ยงอย่างทั่วถึง ขณะที่ในพื้นที่ห่างไกล การประปาได้เตรียมจุดจ่ายน้ำประปาเคลื่อนที่และติดตั้งแทงค์สำรองน้ำ เพื่อรับประกันว่าประชาชนจะไม่ขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภค

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า “ประชาชนจะต้องได้รับความมั่นใจว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปลอดภัยในสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกคน”

การบริหารจัดการวิกฤตการณ์และแนวโน้มข้ามพรมแดน

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดนและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขงที่มีความเชื่อมโยงทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การรับมือในระยะสั้นผ่านศูนย์เฝ้าระวัง และการจัดการน้ำสะอาดนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน ขณะเดียวกัน การดำเนินงานในระยะยาว เช่น การเจรจาระหว่างประเทศและการพัฒนามาตรการโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

กรณีแม่น้ำกกนี้จึงนับเป็นบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและรักษาความมั่นคงของสิ่งแวดล้อมไทยต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐานทส. ชี้แม่น้ำกก-สายยังน่าห่วง

รมว.ทส. สั่งเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง จ.เชียงราย เดินหน้าประชุมมาตรการเข้มข้นเพื่อคืนคุณภาพชีวิตประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์วิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน หลังการตรวจพบค่าปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายเกินกว่าค่ามาตรฐานซ้ำซ้อนหลายจุด สร้างความวิตกกังวลต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยืนยันเดินหน้าแก้ไขปัญหาทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อเร่งคืนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตสารหนูข้ามพรมแดนในพื้นที่ลุ่มน้ำเชียงราย

ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือโดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ถูกจับตามองจากประชาชน สื่อมวลชน และนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรน้ำพบค่าการปนเปื้อนสารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตรายสูงต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์น้ำ เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกและประเทศไทยกำหนดไว้ สร้างความวิตกกังวลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งต้องใช้น้ำในชีวิตประจำวัน

สถานการณ์ดังกล่าวซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าแหล่งกำเนิดมลพิษส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากนอกประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำในเขตชายแดนเมียนมาและพื้นที่ชายแดนจีน ซึ่งควบคุมและตรวจสอบต้นเหตุโดยตรงได้ยาก รัฐบาลไทยจึงต้องดำเนินงานเชิงรุก ทั้งมาตรการเฉพาะหน้าและแผนความร่วมมือระหว่างประเทศ

รมว.ทส. สั่งประชุมเร่งรัดมาตรการ รับมือผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์หลังร่วมลงนามถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระบรมมหาราชวัง ว่าได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ตามกรอบที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานและคลายข้อห่วงใยจากประชาชนในพื้นที่

รัฐมนตรีฯ ย้ำว่า แม้มาตรการที่ทำได้ในทันทีอาจเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ เช่น การออกแบบระบบดักตะกอนเพื่อชะลอการกระจายของสารปนเปื้อนและเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ แต่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จะต้องเพิ่มจำนวนและความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำ ครอบคลุมตลอดลำน้ำและสาขา ทั้งน้ำผิวดิน ตะกอนดิน สัตว์หน้าดิน ไปจนถึงตรวจระดับสารพิษในร่างกายของประชาชนกลุ่มเสี่ยง

แม่น้ำกก-สาย ยังเกินมาตรฐานในบางจุด

รายงานจากกรมควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบค่าการปนเปื้อนของสารหนูเกินกว่าค่ามาตรฐานในการตรวจวัดทั้งน้ำผิวดินและตะกอนดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อนถึงจุดที่น้ำไหลผ่านฝายเชียงรายไปยังแม่น้ำโขง พบว่าหลังผ่านฝายดังกล่าว ค่าสารปนเปื้อนมีแนวโน้มลดลง สาเหตุจากกระแสน้ำถูกลดความเร็ว ส่งผลให้มีการตกตะกอนเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว และแม่น้ำสรวย คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะพบสารหนูในตะกอนเกินค่ามาตรฐานสำหรับการปกป้องสัตว์หน้าดิน แต่ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ในขณะนี้

ความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายที่ต้องใช้เวลา

ดร.เฉลิมชัย เน้นว่า การแก้ไขปัญหาสารหนูที่ต้นเหตุต้องอาศัยกระบวนการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งกับเมียนมาและจีนซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นประสานความร่วมมือผ่านเวทีทวิภาคีและภูมิภาค พร้อมทั้งผลักดันข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ขณะเดียวกัน มาตรการในประเทศต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนประชาชนให้งดกิจกรรมทางน้ำในพื้นที่เสี่ยง ให้ใช้น้ำเฉพาะแหล่งที่ผ่านการรับรองคุณภาพ และจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์

การสื่อสารและแจ้งเตือนประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

รมว.ทส. ฝากถึงประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงราย และใกล้เคียง ให้ติดตามข่าวสารและประกาศแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป เนื่องจากทุกหน่วยงานกำลังร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อเฝ้าระวังและเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด

วิเคราะห์และแนวโน้มผลกระทบ

กรณีปนเปื้อนสารหนูในลุ่มน้ำเชียงรายถือเป็นแบบอย่างสำคัญของวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ที่ต้องอาศัยทั้งมาตรการภายในประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ภาคประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน พร้อมแนวทางปฏิบัติอย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง หากสถานการณ์คลี่คลายได้ จะเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคสำหรับอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำกก-สาย-โขง (กรมควบคุมมลพิษ, 1 มิ.ย. 2568)
  • ค่าสารหนูเกินมาตรฐานในน้ำผิวดินและตะกอนในหลายจุด (กรมควบคุมมลพิษ)
  • การเพิ่มจุดและความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอน (กรมทรัพยากรน้ำ)
  • แนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
  • แนวทางแจ้งเตือนและเฝ้าระวังประชาชน (กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE