Categories
FEATURED NEWS

ACT จี้ ปปง. ทวงคืน PEP สกัดโกง นักการเมือง

ACT ทวงคืน “มาตรการ PEP” ป้องกันฟอกเงินบุคคลการเมือง

ความเคลื่อนไหวล่าสุด ACT ร้อง กมธ.เร่งตรวจสอบ

เชียงราย, 17 เมษายน 2568 – องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกมาทวงถามถึงมาตรการ PEP (Politically Exposed Persons) ที่ถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยกเลิกตั้งแต่ปี 2563 ACT ย้ำชัดให้รีบนำกลับมาบังคับใช้โดยเร็วที่สุดภายในกลางปีนี้ เพื่อป้องกันการฟอกเงินของนักการเมืองและบุคคลระดับสูง

จุดเริ่มต้นของปัญหาการยกเลิกมาตรการ PEP

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT เปิดเผยว่า มาตรการ PEP เคยถูกบังคับใช้เมื่อปี 2556 เพื่อป้องกันการฟอกเงินของบุคคลสำคัญ เช่น นักการเมือง เจ้าหน้าที่ระดับสูง ศาล และทหาร ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่พำนักในไทย แต่มาตรการนี้กลับถูกยกเลิกโดย ปปง. ในปี 2563 ส่งผลให้การตรวจสอบทางการเงินของบุคคลกลุ่มนี้ลดประสิทธิภาพลง

ACT เรียกร้อง กมธ.ฯ ให้เร่งตรวจสอบ ปปง.

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันได้ยื่นเรื่องไปยัง กมธ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด หลังจากที่ กมธ.ฯ ติดต่อกับ ปปง. ได้รับคำยืนยันว่า มาตรการ PEP ถูกยกเลิกไปจริงตั้งแต่ปี 2563 โดย ปปง. รับปากว่าจะนำกลับมาบังคับใช้ภายในกลางปี 2568 อย่างแน่นอน

ผลกระทบจากการขาดมาตรการตรวจสอบ

การที่มาตรการ PEP หายไป ส่งผลให้ธนาคารและธุรกิจต่างๆ ไม่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบธุรกรรมการเงินของบุคคลสำคัญชาวไทย เหลือเพียงการตรวจสอบบุคคลต่างชาติเท่านั้น ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ในการควบคุมการฟอกเงินและลดความโปร่งใสในการตรวจสอบการคอร์รัปชัน

ช่องโหว่ของมาตรการ PEP ในอดีต

ในช่วงปี 2556-2563 มาตรการ PEP ถูกใช้งานแต่กลับไม่สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ สาเหตุสำคัญมาจากการขาดการนิยามบุคคลเป้าหมายอย่างชัดเจน รวมถึงเจ้าหน้าที่เกรงกลัวอำนาจทางการเมือง จนไม่กล้าตรวจสอบอย่างจริงจัง ส่งผลให้บุคคลระดับสูงหลุดพ้นจากการตรวจสอบอย่างง่ายดาย

การปรับปรุงมาตรการใหม่ของ ปปง.

นายมานะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ACT มั่นใจว่าการนำมาตรการ PEP กลับมาใช้ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินโดย ป.ป.ช. และการเสียภาษีของกรมสรรพากร จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับและป้องกันการฟอกเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการคอร์รัปชันในกลุ่มนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง

สถิติการฟอกเงินและอาชญากรรมทางการเงินของไทย

รายงานล่าสุดจากบริษัท Secretariat เผยแพร่ดัชนีความเสี่ยงด้านอาชญากรรมทางการเงิน ประจำปี 2567 พบว่า ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 127 จาก 177 ประเทศ ได้คะแนนเพียง 2.53 คะแนน อยู่ในกลุ่มประเทศที่เรียกว่า Reactive Reformers ซึ่งมีจุดอ่อนสำคัญ คือ

  1. การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ
  2. กรอบการกำกับดูแลที่ไม่ชัดเจน
  3. ความโปร่งใสทางการเงินต่ำ
  4. มาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่ล้าสมัย

รายงานฉบับนี้ย้ำถึงความจำเป็นที่ไทยต้องเร่งดำเนินการปฏิรูปและฟื้นมาตรการที่เข้มงวดโดยเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาการคอร์รัปชันและการฟอกเงินอย่างมีประสิทธิภาพ

จุดวิเคราะห์สำคัญที่ต้องดำเนินการต่อ

การนำมาตรการ PEP กลับมาใช้อย่างจริงจัง จำเป็นต้องมีการนิยามกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ธนาคารและธุรกิจที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามมาตรการนี้อย่างเคร่งครัด ACT ยืนยันว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณแต่อย่างใด แต่ต้องใช้ความจริงจังในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะ ปปง. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อขจัดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในอดีตให้หมดไปโดยเร็วที่สุด

มาตรการ PEP ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความโปร่งใสและการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ หากดำเนินการได้สำเร็จ จะช่วยยกระดับการป้องกันการฟอกเงินของไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากลต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
  • รายงานของบริษัท Secretariat เรื่องดัชนีความเสี่ยงด้านอาชญากรรมทางการเงินและเศรษฐกิจ ปี 2567
  • สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

จับหนุ่ม ‘แม่สลอง’ ฟอกเงินแก๊งคอลฯ วันละ 30 ล้านบาท ได้ส่วนแบ่งอื้อ

ตำรวจ ปอท. จับกุมตัวการสำคัญฟอกเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 70 เครือข่าย หลอกคนไทยวันละ 30 ล้านบาท

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติบนดอยแม่สลอง

เชียงราย – วันที่ 8 มีนาคม 2568 ตำรวจ ปอท. เข้าจับกุม นายบุรพล อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินให้เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ โดยสามารถจับกุมได้ที่บ้านพักใน หมู่ 6 ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1842/2567 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567 ในข้อหา มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและโดยทุจริตหรือหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ข้อมูลอันเป็นเท็จที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

การจับกุมครั้งนี้เป็นผลมาจากปฏิบัติการ “Lockdown the Cat” ซึ่งดำเนินการโดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อกวาดล้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ที่มีการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ตำรวจสามารถจับกุม บัญชีม้า คนจัดหาบัญชีม้า พนักงานคอลเซ็นเตอร์ และล่ามแปลภาษาของหัวหน้าเครือข่ายชาวจีน ก่อนขยายผลไปถึงนายบุรพล ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการฟอกเงินให้แก๊งดังกล่าว

เผยพฤติกรรมการฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จากการสอบสวน นายบุรพล ให้การรับสารภาพว่า ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศฟอกเงินในปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยมีเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ หลอกลวงคนไทยกว่า 70 เครือข่าย ใช้บริการฟอกเงินของตนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบทางการเงิน โดยมีบอสชาวจีนเป็นผู้ควบคุมระบบ

เงินที่ถูกหลอกจากเหยื่อวันละ 30 ล้านบาท จะถูกโอนผ่านบัญชีม้า ก่อนเข้าสู่กระบวนการฟอกเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจเทรดเงินดิจิทัล และโอนผ่านบัญชีต่างประเทศ โดยนายบุรพลจะได้รับส่วนแบ่ง 8-12% ของเงินที่ฟอกได้ คิดเป็นรายได้ต่อเดือนจำนวนมหาศาล

ปฏิบัติการจับกุมและผลกระทบต่ออาชญากรรมทางการเงิน

ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็น ความก้าวหน้าสำคัญในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย โดยตำรวจ ปอท. ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้วกว่า 500 ราย และสามารถยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินได้มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผู้บัญชาการตำรวจ ปอท. เปิดเผยว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอาชญากรรมที่สร้างความเสียหายต่อประชาชนอย่างมาก การจับกุมครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปฏิบัติการต่อเนื่องในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ” พร้อมย้ำว่า ตำรวจยังคงเดินหน้าตรวจสอบและติดตามเส้นทางการเงินของเครือข่ายเหล่านี้อย่างเข้มข้น

สถิติเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และแนวทางป้องกัน

จากข้อมูลของ ศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ (CCIB) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า:

  • มูลค่าความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปี 2567 สูงถึง 10,000 ล้านบาท
  • กว่า 85% ของเหยื่อเป็นผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ ที่ตกเป็นเป้าหมายของการหลอกลวง
  • ช่องทางหลักที่ใช้ในการหลอกลวงคือการโทรศัพท์ผ่าน VoIP และการส่ง SMS ปลอม
  • บัญชีม้าในประเทศไทยมีมากกว่า 50,000 บัญชี ที่ถูกใช้ในการโอนเงินผิดกฎหมาย

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการปราบปรามมองว่า การที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวการฟอกเงินครั้งนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์” นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การใช้เทคโนโลยีและปฏิบัติการเชิงรุกจะช่วยลดจำนวนเหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่มีมุมมองแตกต่างระบุว่า ถึงแม้การจับกุมครั้งนี้เป็นเรื่องดี แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้” เนื่องจากเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์มีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายประเทศในการสืบสวนและปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย

บทสรุป: ก้าวต่อไปในการปราบปรามเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์

การจับกุม นายบุรพล และการขยายผลสู่เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญของ ตำรวจ ปอท. ในการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของอาชญากรรมไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม การป้องกันปัญหานี้ยังต้องอาศัย ความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการเฝ้าระวัง และแจ้งเบาะแส เพื่อให้สามารถดำเนินคดีและยับยั้งการกระทำผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประชาชนควรเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ต้องสงสัย และตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน หากพบเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน ปอท. โทร 1441 หรือ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์แห่งชาติ โทร 1599

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News