
รัฐบาลใหม่กับการแก้โจทย์เศรษฐกิจไทย ปี 2568 สู่การเติบโตที่ยั่งยืนหรือแค่พยุงระยะสั้น?
ประเทศไทย, 7 กรกฎาคม 2568 – ปี 2568 กลายเป็นปีแห่งการจับตา “บทพิสูจน์ศักยภาพรัฐบาลใหม่” ที่ต้องเผชิญกับคลื่นเศรษฐกิจโลก ปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน และโจทย์หนี้ครัวเรือนที่สั่งสมมานาน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” รัฐบาลประกาศเดินหน้าด้วยนโยบายเชิงรุก และงบประมาณลงทุนสูงสุดในรอบ 17 ปี หวังปลุกเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นกับดักการเติบโตต่ำ แต่นโยบายเหล่านี้จะนำไทยสู่ความยั่งยืน หรือเพียงแค่สร้างคลื่นกระเพื่อมชั่วคราวในระบบเศรษฐกิจ?
เปิดฉากปีแห่งบททดสอบ เศรษฐกิจไทยในพายุความไม่แน่นอน
แม้รัฐบาลจะจุดพลุสร้างความหวังด้วยนโยบายขับเคลื่อนการลงทุนและมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางจากปัจจัยภายนอกที่ยากคาดเดา ขณะที่ในประเทศเองก็เผชิญปัญหาโครงสร้างเช่น หนี้ครัวเรือนสูง สังคมสูงวัย และผลิตภาพแรงงานที่ถดถอย ด้านสถาบันวิจัยและนักวิเคราะห์ชั้นนำสะท้อนภาพเศรษฐกิจปี 2568 ด้วยคาดการณ์ GDP ที่ “แตกต่างสุดขั้ว” ตั้งแต่ 1.4% ถึง 2.6% โดยมองปัจจัยเสี่ยงหลักทั้งการส่งออก อุปสงค์ในประเทศ และแรงกระแทกจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
ตารางที่ 1การคาดการณ์ GDP ไทย ปี 2568 (หน่วย: %)
หน่วยงาน | คาดการณ์ (%) | ข้อสังเกต |
สศค. | 2.5 | เสถียรภาพในประเทศ, เงินเฟ้อต่ำ |
ธปท. | 2.3 | Q1 ดีกว่าคาด, Q2 ดีขึ้น |
KResearch | 1.4 – 2.4 | ส่งออก-ท่องเที่ยวต่ำ, หนี้เสียสูง |
World Bank/IMF | 1.8 | ผลกระทบสงครามการค้า, หนี้สูง |
SCB EIC | 1.5 | การค้าโลก, ข้อจำกัดการคลัง |
TDRI | 2.5-3.0 | FDI/ลงทุนรัฐ, สินค้าจีนเข้า |
กกร. | 2.4-2.9 | ท่องเที่ยว, รัฐอัดมาตรการ |
ขณะที่ “เงินเฟ้อทั่วไป” ยังคงต่ำ (0.8%) อันเป็นผลจากพลังงานราคาตกและอุปสงค์อ่อนแรง มิได้สะท้อนเศรษฐกิจแข็งแรง แต่กลับชี้ถึงกำลังซื้อที่ถดถอย
เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสัญญาณเปราะบางใต้ตัวเลขบวก
- การท่องเที่ยว คือความหวังหลัก คาดนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน แต่การใช้จ่ายต่อหัวต่ำกว่าระดับก่อนโควิด สะท้อนโครงสร้างรายได้ประเทศที่เปราะบาง
- การลงทุนภาคเอกชน ได้แรงหนุนจาก FDI ย้ายฐานหนีสงครามการค้า แต่หนี้ครัวเรือนและเกณฑ์สินเชื่อเข้มข้นยังฉุดกำลังซื้อและศักยภาพลงทุน
- การบริโภคในประเทศ โต 2-3% จากรายได้และเงินโอนภาครัฐผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทว่า “หนี้ครัวเรือน” 16.2 ล้านล้านบาท (เกือบ 90% ของ GDP) กลับเป็นเงาทะมึนที่กัดกินกำลังซื้อ
- การส่งออก ไตรมาส 1 โตจากการเร่งระบายสินค้าก่อนภาษีใหม่สหรัฐฯ ทว่าระยะยาวอ่อนแรงจากสงครามการค้าและสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดไทย
ความท้าทายเชิงโครงสร้างหนี้ครัวเรือนสูง-สังคมสูงวัย-ขีดจำกัดการคลัง
รัฐบาลต้องเผชิญโจทย์ “หนี้ครัวเรือนสูงสุดประวัติการณ์” ที่กัดกินศักยภาพการบริโภคและสร้าง NPL เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าทำให้สินค้าจีนเบี่ยงเบนเข้าไทย-กดดันตลาดในประเทศให้แข่งขันรุนแรง สังคมไทยเองก็เร่งเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” แรงงานขาดแคลน ผลิตภาพตกต่ำ ทุนมนุษย์ด้อยประสิทธิภาพ ระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ดิจิทัล หนี้สาธารณะ 63.3% ของ GDP ขยับขึ้นทุกปีจนพื้นที่การคลังเหลือน้อยลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคุกคามความเชื่อมั่นนักลงทุน
รัฐบาลใหม่ภายใต้ ‘แพทองธาร’ปรับยุทธศาสตร์-ตั้งทัพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
การตั้งคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยมี “นายพิชัย ชุณหวชิร” เป็นแม่ทัพคลัง ประสานกับนายกรัฐมนตรี มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” โดยเน้น 5 ยุทธศาสตร์หลักที่รวมการลงทุนภาครัฐ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และสร้างสังคมเสมอภาค
จุดเปลี่ยนสำคัญธนาคารแห่งประเทศไทยกับทิศทางดอกเบี้ยและเสถียรภาพ
ปี 2568 ยังเป็น “จุดเปลี่ยนผู้นำ” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่การเลือกผู้ว่าฯ คนใหม่ระหว่าง “ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส” (เน้นเสถียรภาพการเงิน) และ “นายวิทัย รัตนากร” (แก้ปัญหาฐานราก) จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสถูกปรับลดอย่างน้อย 1-2 ครั้ง เพื่อประคองเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือน แม้จะกังวลความเสี่ยงเงินเฟ้อและคุณภาพสินเชื่อ
งบประมาณ 2568การลงทุนภาครัฐสูงสุดในรอบ 17 ปี – หวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจ
งบประมาณปี 2568 อยู่ที่ 3.75 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุนสูงถึง 24.2% หรือ 908,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน เน้นยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และพัฒนาโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกัน “งบกู้ขาดดุล” กว่า 865,000 ล้านบาท ก็เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ
มาตรการเรือธงดิจิทัลวอลเล็ตกับข้อกังขาเรื่องความยั่งยืน
- ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นมาตรการเรือธง เติมเงินให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคนในระยะแรก และเตรียมขยายไปยังผู้สูงวัย 4 ล้านคน รวมถึงประชาชนทั่วไปต่อไป คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น
- บ้านเพื่อคนไทย – โครงการคอนโดมิเนียมรัฐให้ผ่อนต่ำยาว 30 ปี หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยในเมือง
- มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน – เดินหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” “จ่ายตรง คงทรัพย์” และ “จ่ายตัดต้น” ช่วยกลุ่มหนี้ไม่มีหลักประกันและสินเชื่อบ้าน/รถ
แต่เสียงสะท้อนจากสื่อและนักวิชาการ เตือนถึง “วินัยการคลัง” ที่อาจถูกกระทบจากการกู้เงินอัดฉีด โดยเฉพาะเมื่อภาระหนี้สาธารณะและหนี้รัฐวิสาหกิจยังสูง หากการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเพียงการ “ดึงกำลังซื้ออนาคต” มาใช้ปัจจุบัน อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในภายหลัง
นโยบายโครงสร้างจุดเปลี่ยนแท้จริงของเศรษฐกิจไทย
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การเติบโตยั่งยืนต้องมาจากการ “ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” ไม่ใช่แค่กระตุ้นระยะสั้น รัฐบาลใหม่ต้องเร่งยกระดับทุนมนุษย์ แก้ช่องว่างทักษะดิจิทัล ส่งเสริมอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ขยายตลาดการส่งออกและสร้างความสามารถแข่งขันใหม่ รวมถึงปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย โปร่งใส และลดทุจริต
เส้นทางเศรษฐกิจไทยระหว่างโอกาสและกับดัก
ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2568 เปรียบเสมือนการขับเรือกลางมรสุม แม้มี “คลื่นบวก” จากนโยบายรัฐและมาตรการลงทุน แต่รากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก และแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลกยังคงสร้างความเปราะบางสูง นโยบายรัฐจะยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเด็ดขาด-รอบคอบในการปฏิรูป สร้างโอกาสใหม่ และรักษาวินัยการคลังในระยะยาว
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
- เน้นลงทุนที่สร้างผลิตภาพระยะยาว เช่น ดิจิทัล-โครงสร้างพื้นฐาน-ทุนมนุษย์ มากกว่าการอัดฉีดชั่วคราว
- รักษาวินัยการคลัง พร้อมบริหารหนี้สาธารณะอย่างยั่งยืน วางแผนงบประมาณระยะปานกลางชัดเจน
- ส่งเสริมการปฏิรูปโครงสร้าง เร่งพัฒนาทุนมนุษย์ ระบบการศึกษา และอุตสาหกรรมใหม่ สร้างความสามารถแข่งขัน
- ลดอุปสรรคการลงทุน-เพิ่มความโปร่งใส สร้างกลไกติดตาม-ประเมินผลนโยบายแบบเรียลไทม์
- พัฒนานโยบายการเงินและบริหารหนี้เชิงรุก ประสานระหว่างธปท.และรัฐบาลเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงิน
บทสรุป
รัฐบาลใหม่ปี 2568 เผชิญความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย แม้นโยบายลงทุนและมาตรการกระตุ้นจะสร้างคลื่นหวังในระยะสั้น แต่โจทย์หลักคือการเร่งปฏิรูปโครงสร้างให้สำเร็จ สร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโตอย่างแท้จริง ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพิ่มศักยภาพมนุษย์และความสามารถแข่งขันของประเทศ ไทยจะพลิกวิกฤตนี้ได้หรือไม่ ยังต้องติดตามบทพิสูจน์ต่อไปในอีก 1 ปีข้างหน้า
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
- กระทรวงการคลัง (สศค.)
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
- ธนาคารโลก (World Bank)
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ SCB EIC
- สถาบันวิจัย TDRI