Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชุมชนเกาะทองพลิกฟื้น! ใช้โซลาร์ปั๊ม-น้ำหมุนเวียน สร้างคลองแห่งความสุขแบบยั่งยืน

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส นครเชียงรายเนรมิต ‘คลองบำบัดน้ำเสีย’ สู่แลนด์มาร์คสีเขียว ติดตั้งโซลาร์เซลล์–ระบบน้ำหมุนเวียน ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนเกาะทอง

เชียงราย, 12 ตุลาคม 2568 — พื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็น “รอยแผลของเมือง” กำลังถูกเยียวยาด้วยมือของคนในชุมชนและเทศบาล เมื่อ เทศบาลนครเชียงราย เดินหน้าโครงการปรับภูมิทัศน์ “คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทอง” เปลี่ยนเส้นทางนำน้ำเสียสู่บ่อบำบัดให้กลับมามีความสวยงาม สะอาด เป็นระเบียบ พร้อมพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็น สวนสาธารณะ–ลานกีฬากลางแจ้ง และเตรียม ติดตั้งเครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อสร้าง “ระบบน้ำหมุนเวียน” ให้น้ำไหลตลอดเวลา ลดการค้างเน่า สร้างสภาวะเหมาะสมแก่พืชน้ำ–สัตว์น้ำ และดึงชุมชนเข้ามาเป็น เจ้าของพื้นที่ร่วม อย่างแท้จริง

“เราเริ่มจากการลงพื้นที่ ฟังเสียงคนริมคลอง ไม่ใช่เดินเข้าไปด้วยคำตอบสำเร็จรูป” แนวทางของโครงการถูกสรุปสั้น ๆ ผ่าน ไทม์ไลน์ ที่จับต้องได้ 26 มิถุนายน 2568 นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะและสมาชิกสภาเทศบาล ลงพื้นที่ ชุมชนเกาะทอง–ชุมชนวังดิน–ชุมชนร่องปลาค้าว เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการ ก่อนจะขยับจากแผนสู่การปฏิบัติ 10 ตุลาคม 2568 ด้วยกิจกรรม “ปลูกดอกไม้ริมคลอง พุทธรักษา และ ยี่โถสีม่วง เพื่อสร้างสีสันและความรู้สึกเป็นเจ้าบ้านร่วมกัน

จาก “คลองน้ำเสีย” สู่ “คลองแห่งความสุข” ภาพจำใหม่ของเมือง

หากเดินเท้าตามแนวคลองวันนี้ ภาพแรกที่เปลี่ยนไปคือ ความเป็นระเบียบและความสะอาด ริมตลิ่งถูกจัดรูปใหม่ ลดเศษวัชพืช–ขยะลอยน้ำ จุดคอขวดที่น้ำเคยค้างเน่าได้รับการแก้ไขเชิงกายภาพ พื้นที่เปิดโล่งกลายเป็น เส้นทางเดิน–วิ่ง–ปั่นจักรยาน ที่เชื่อมย่านที่อยู่อาศัยกับ ลานออกกำลังกายกลางแจ้ง เด็ก ๆ ได้พื้นที่วิ่งเล่น ผู้สูงวัยมีพื้นที่ยืดเหยียดร่มรื่น ผู้ค้าชุมชนเริ่มวางแผงกิจกรรมยามเย็นแบบไม่รุกล้ำทางน้ำ

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญไม่ใช่เพียงภูมิทัศน์ภายนอก คือ ระบบน้ำหมุนเวียน ที่เทศบาลเตรียมติดตั้งผ่าน เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Pump) เติม “น้ำดี” ไล่ “น้ำเสีย” ลงสู่บ่อบำบัดให้เร็วขึ้น ลดการตกค้าง–หมักหมม ของสารอินทรีย์และตะกอน ช่วยให้น้ำในคลอง เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นหัวใจของการฟื้นฟูคุณภาพน้ำเบื้องต้นในพื้นที่เปิดโล่งของเมือง ทั้งหมดใช้ พลังงานสะอาด ลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว และทำงานประจำได้แม้ในวันที่ภารกิจของเทศบาลหนาแน่น

ฟัง–ร่วมคิด–ร่วมทำ เครื่องมือทางสังคมที่ซ่อมทั้งคลองและความรู้สึกเป็นเจ้าของ

โครงการนี้ไม่ใช่ “งานโครงสร้าง” อย่างเดียว หากแต่ย้ำ กระบวนการสังคม ที่สำคัญ ตั้งแต่การลงพื้นที่ 26 มิถุนายน 2568 เพื่อรับฟังความเห็นชุมชน 3 ย่าน ไปจนถึงกิจกรรม 10 ตุลาคม 2568 ที่ชักชวนคนทุกวัยมาปลูกดอกไม้ริมคลอง การมีส่วนร่วมทำให้ “คลอง” เปลี่ยนจาก “พื้นที่ของเทศบาล” เป็น “พื้นที่ของเรา” และเมื่อคนรู้สึกเป็นเจ้าของ พฤติกรรมการทิ้งขยะ การดูแลความสะอาด การเฝ้าระวังน้ำผิดปกติ ก็เปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ

เทศบาลยังจับมือกับ กรมโยธาธิการ เพื่อวางรูปแบบ ทางเท้า เขื่อน พื้นที่ชะลอน้ำ ให้รองรับทั้งการใช้งานและการระบายน้ำยามฝน รวมถึง จุดทางเชื่อม ที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัยและคนใช้วีลแชร์ ซึ่งล้วนเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ เพิ่มคะแนนคุณภาพชีวิต ของเมืองได้จริง

นวัตกรรมที่พอดีเมือง ทำไมต้อง “เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ + น้ำหมุนเวียน”?

หัวใจของคลองบำบัดน้ำเสีย คือ “อย่าให้น้ำหยุดนิ่ง” เพราะเมื่อน้ำหยุด สารอินทรีย์สะสม เกิด กลิ่น สีน้ำ ความขุ่น ที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนรอบคลอง การใช้ Solar Pump จึงเหมาะกับเมืองที่มี แดดจัด ฝนสลับ อย่างเชียงราย สามารถเดินเครื่องกลางวันด้วยไฟแสงอาทิตย์ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากโครงข่าย ช่วย “ปั่นระบบ” ให้ น้ำไหล ต่อเนื่อง พร้อมกับการ “ปล่อยน้ำดี” เป็นช่วง ๆ เพื่อเร่งให้น้ำเสียในคลองเลื่อนไหลลงสู่บ่อบำบัดได้เร็วขึ้น เมื่อน้ำหมุนเวียน ออกซิเจนละลายน้ำ (DO) มีแนวโน้มดีขึ้น ระบบนิเวศริมคลองจะฟื้นตัวได้ง่ายกว่า เด็ก ๆ มีพื้นที่ชุมชนที่ รับกลิ่น รับลม ได้โดยไม่ต้องเบือนหน้าหนี

แม้กระนั้น เทศบาลย้ำว่าคุณภาพน้ำที่ดี “ต้องวัด ต้องติดตาม” ไม่ใช่แค่ มองด้วยตา จึงมีแผนเฝ้าระวัง ตัวชี้วัดพื้นฐาน เช่น BOD (ค่าความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี), COD, DO, ความขุ่น, สี, กลิ่น และ ชีวภาพเบื้องต้น เช่น พืชน้ำ/สัตว์น้ำที่ทน ไม่ทนมลพิษ เพื่อดู เทรนด์การฟื้นตัว มากกว่าการตัดสินจากภาพช่วงเปิดงานเพียงครั้งเดียว

พื้นที่สาธารณะคือวัคซีนใจ ฟังก์ชันสุขภาพ เศรษฐกิจ การเรียนรู้

เมื่อริมคลองสะอาดและปลอดภัยขึ้น เมืองก็ได้ วัคซีนป้องกันโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ไปพร้อมกันคนเดินมากขึ้น หัวใจแข็งแรงขึ้น ระดับน้ำตาล ไขมันดีขึ้น ค่าใช้จ่ายสาธารณสุขในระยะยาวก็ผ่อนเบา นอกจากนั้น พื้นที่สาธารณะยังเชื่อม เศรษฐกิจชุมชน ร้านน้ำสมุนไพร รถเข็นอาหาร สินค้าทำมือสามารถตั้งขายแบบ ไม่รุกล้ำทางเท้าและตลิ่ง ตามหลักเกณฑ์เทศบาลที่ชัดเจน กลายเป็น “เศรษฐกิจริมทาง” ที่สุภาพและปลอดภัย

ด้านการเรียนรู้ โรงเรียน มหาวิทยาลัยท้องถิ่นสามารถใช้คลองเป็น “ห้องทดลองมีชีวิต” สอนวงจรน้ำ เมือง สิ่งแวดล้อม พลังงานสะอาด ให้นักเรียนเก็บตัวอย่างน้ำเบื้องต้น สังเกตการเปลี่ยนแปลง ระหว่างก่อน หลังเปิดระบบน้ำหมุนเวียน ฝึกตั้งคำถามและสะท้อนผลด้วยภาษาเข้าใจง่ายนี่คือ ทุนสังคม ที่จะทำให้โครงการอยู่ยาว ไม่ใช่ “สวยเฉพาะวันเปิด”

ความท้าทายที่ต้องบอกกันตรง ๆ เมืองจะรักษาคุณภาพอย่างไรเมื่อปีงบฯ เปลี่ยน?

ทุกโครงการสาธารณะมี วัฏจักรงบประมาณ การบำรุงรักษา เป็นเงื่อนไขความยั่งยืน จุดแข็งของการใช้ Solar Pump คือ ต้นทุนพลังงานต่ำ ระยะยาว แต่ยังต้อง ดูแลอุปกรณ์–ทำความสะอาดตะแกรง–ตรวจมอเตอร์/อินเวอร์เตอร์–ไล่ตะกอน เป็นประจำ ด้านภูมิทัศน์ก็ต้อง ตัดหญ้า–ตัดแต่งพืช ต่อเนื่อง หนึ่งความเสี่ยงที่เทศบาลและชุมชนรับรู้ตรงกันคือ “เมื่อปีงบฯ เปลี่ยน คนเปลี่ยน งานจะตกหล่นไหม?” คำตอบของโครงการนี้คือ กำหนด “บทบาทชุมชน” ให้ชัด ชุดจิตอาสา/คณะกรรมการคลองทำหน้าที่ แจ้งเตือน–ร่วมดูแลเบื้องต้น–เป็นหูเป็นตา ให้เทศบาล และช่วย สื่อสารมารยาทการใช้พื้นที่ (เช่น ห้ามทิ้งเศษอาหารลงคลอง, พื้นที่ใดตั้งร้านได้ ไม่ได้) ลดแรงเสียดทานและค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงที่ไม่จำเป็น

เมืองแห่งความสุขแบบยั่งยืน นโยบายใหญ่ต้องลงบน “งานเล็กที่ทำจริง”

วิสัยทัศน์ “นครแห่งความสุขแบบยั่งยืน” จะเป็นเพียงคำสวยหากไม่ถูก แปลงเป็นงานพื้นที่ โครงการคลองเกาะทองจึงทำหน้าที่เป็น Prototype ของงานสิ่งแวดล้อมเมืองที่ จับต้องได้ จุดเล็ก ๆ แต่ต่อท่อไปสู่ สุขภาพ–เศรษฐกิจ–การเรียนรู้ และ ความภูมิใจร่วม ของคนเชียงราย

เพื่อให้เป้าหมายไม่หลุดกรอบ ข่าวนี้สรุป “สมการความสำเร็จ” ของคลองบำบัดน้ำเสียเกาะทองไว้ 4 ข้อ

  1. โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะกับบริบท  แก้คอขวดทางกายภาพ + Solar Pump + ระบบน้ำหมุนเวียน
  2. การมีส่วนร่วมของชุมชน  ตั้งแต่ร่วมคิด, ลงมือปลูก, ดูแลประจำวัน
  3. ตัวชี้วัด–การสื่อสารข้อมูล  เฝ้าระวังคุณภาพน้ำและรายงานผลเป็นระยะ ด้วยภาษาที่ประชาชนอ่านเข้าใจ
  4. ระเบียบพื้นที่สาธารณะชัดเจน  เปิดโอกาสเศรษฐกิจริมคลองอย่างปลอดภัย ไม่รบกวนการระบายน้ำและการสัญจร

ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ติดตามได้ (ไม่ใช่ความรู้สึก)

เพื่อให้สังคมตรวจสอบได้ โครงการควรกำหนด “ตัวเลขเป้าหมายเชิงผลลัพธ์” ที่สอดคล้องกับมาตรฐานงานเมือง/สิ่งแวดล้อม เช่น

  • ความถี่การสูบ–แลกเปลี่ยนน้ำ (ครั้ง/วัน) และ ชั่วโมงเดินเครื่อง Solar Pump (ชม./วัน)
  • แนวโน้ม ค่า DO–BOD–COD–ความขุ่น สี กลิ่น (รายเดือน/รายไตรมาส)
  • ปริมาณขยะที่เก็บได้ ริมคลอง (กก./เดือน) และ สัดส่วนขยะที่คัดแยกสำเร็จ
  • อัตราการใช้งานพื้นที่สาธารณะ (คน–ครั้ง/วันหยุด, วันธรรมดา) และ กิจกรรมชุมชน (ครั้ง/เดือน)
  • เหตุร้องเรียน/แจ้งเหตุ ที่เกี่ยวกับกลิ่น–น้ำค้างเน่า–การทิ้งขยะ (ครั้ง/เดือน) ที่ลดลง

ตัวชี้วัดเหล่านี้จะทำให้การสื่อสารต่อสาธารณะ ตรงไปตรงมา ถ้าดีขึ้นเห็นจากตัวเลข ถ้ายังไม่ดีกำหนด แผนแก้ไขรอบถัดไป และเปิดข้อมูลให้ตรวจสอบได้

เศรษฐกิจริมคลองกับ “เงื่อนไขสุขาภิบาลที่ไม่ต่อรอง”

การเปิดพื้นที่สาธารณะให้เกิดกิจกรรมเศรษฐกิจย่อมตามมาด้วย ความรับผิดชอบด้านสุขาภิบาล เทศบาลควรกำหนด เงื่อนไขไม่ต่อรอง น้ำทิ้งจากร้านต้องไม่ลงคลองโดยตรง มี จุดล้าง ดักไขมัน ที่ถูกสุขลักษณะ พื้นที่ขายต้อง ไม่ล้ำเขตน้ำ และ ไม่กีดขวางเส้นทางหนีไฟ/การสัญจรผู้ใช้รถเข็น มี ถังขยะคัดแยก เพียงพอ และกำหนด ช่วงเวลาขายเก็บร้าน ชัดเจน พร้อมกลไก เตือน ปรับ งดใช้พื้นที่ชั่วคราว เมื่อฝ่าฝืนซ้ำ เพื่อคงสมดุลระหว่าง “สง่าราศีของคลองใหม่” กับ “ความคึกคักของเศรษฐกิจชุมชน”

บทเรียนสำหรับเมืองอื่น เริ่มจาก “ปมเล็ก” ที่คนแตะได้ทุกวัน

หลายเมืองมี “คลองน้ำเสีย” หรือ “คูระบาย” เป็นจุดอับของภาพลักษณ์ แต่บทเรียนเชียงรายชี้ว่า ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการใหญ่ราคาแพง เสมอไป การเลือก “ปมเล็ก” ที่คนเห็นทุกวัน และใช้ เทคโนโลยีพอดี พลังงานสะอาด–การมีส่วนร่วม สามารถสร้าง วงจรไว้วางใจ ระหว่างเมืองกับประชาชนได้เร็วกว่า เมื่อความเชื่อมั่นเกิดขึ้น เมืองจะขยายโครงข่าย คลองดี–ทางเท้าดี–สวนดี ไปย่านอื่นได้ง่ายขึ้น

คลองบำบัดน้ำเสียชุมชนเกาะทองจากปัญหาสุขาภิบาลและภาพลักษณ์สู่ “แลนด์มาร์คสีเขียว” ด้วยเครื่องมือสามอย่าง ปรับภูมิทัศน์, ระบบน้ำหมุนเวียนพลังงานแสงอาทิตย์, และ การมีส่วนร่วมของชุมชน เมืองไม่ได้หวังภาพสวยชั่วคราว แต่กำลังวางกรอบ ตัวชี้วัด, การบำรุงรักษา, และ บทบาทชุมชน ให้คลองอยู่ได้ยาวคนใช้จริง สุขภาพดีขึ้น เศรษฐกิจริมคลองเดินไปกับกติกาที่ชัดเจน นี่คือภาพจำใหม่ของนครเชียงรายในฐานะ “นครแห่งความสุขแบบยั่งยืน” ที่ลงมือทำจริงในระดับคลองหนึ่งเส้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กรมโยธาธิการ (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
  • ชุมชนเกาะทอง–ชุมชนวังดิน–ชุมชนร่องปลาค้าว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

จีนคุมแร่หายากเขย่าโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือด่วน

วิกฤตแร่หายากเขย่าอุตสาหกรรมโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือ หวั่นกระทบทั้งรถยนต์-พลังงานสะอาด

ประเทศไทย, 8 มิถุนายน 2568 –ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ขาดแคลนแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) กำลังทวีความรุนแรงในระดับโลก จากการที่ประเทศจีนในฐานะผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มใช้มาตรการควบคุมการส่งออกอย่างเข้มข้นในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นมาตรการตอบโต้ต่อสงครามภาษีที่สหรัฐอเมริกานำมาใช้กับสินค้าจีน

ส่งผลให้หลายภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแร่หายากอย่างสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงานสะอาด และอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับผลกระทบถ้วนหน้า ทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย

ยุโรปเผชิญปัญหาชะงักซัพพลายเชน

จากรายงานของสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยุโรป (CLEPA) พบว่าหลายโรงงานในเยอรมนีและยุโรปต้องหยุดสายการผลิต เนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตส่งออกแร่จากจีนเพียงพอ แม้จะมีการยื่นคำขอมากกว่า 200 ฉบับ แต่ได้รับการอนุมัติเพียง 25% เท่านั้น

ฮิลเดการ์ด มุลเลอร์ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนี (VDA) เตือนว่าข้อจำกัดของจีนอาจส่งผลให้การผลิตในยุโรปหยุดชะงัก และเรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมันและสหภาพยุโรปเจรจากับจีนเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน

ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้รับมือด้วยยุทธศาสตร์เชิงรุก

นิสสันออกมายอมรับว่ากำลังหาทางลดผลกระทบจากจีนร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น ขณะซูซูกิระงับการผลิตรถรุ่น Swift ชั่วคราว ส่วนเกาหลีใต้เร่งลงทุนในการพัฒนาแหล่งแร่ภายในประเทศและพิจารณาจัดตั้งกลไกนำเข้าแบบร่วมมือกับชาติพันธมิตร

ไทยในฐานะฐานการผลิตโลกต้องเร่งปรับตัว

แม้ไทยมีปริมาณแร่หายากสำรองประมาณ 4,500 ตันเท่านั้น (จากข้อมูล USGS ปี 2024) ซึ่งน้อยกว่าจีนที่มีถึง 44 ล้านตัน แต่การที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ EV ในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าอย่างสูง โดยเฉพาะจากจีนซึ่งครองส่วนแบ่ง 60% ของการผลิตแร่หายากและ 85% ของการแปรรูปทั่วโลก

การจำกัดการส่งออกของจีนอาจทำให้ไทยเผชิญปัญหาชะงักของซัพพลายเชนในอนาคตอันใกล้

อาเซียนมีศักยภาพแต่อยู่ในวงจรต้นน้ำ

เวียดนามและมาเลเซียมีปริมาณแร่สำรองที่สูง แต่ยังขาดศักยภาพการแปรรูป แม้มาเลเซียจะมีโรงแยกแร่ของ Lynas ซึ่งรับวัตถุดิบจากออสเตรเลีย แต่ก็ผลิตได้เพียง 12-15% ของตลาดโลก ขณะที่ประเทศอื่นในอาเซียนรวมถึงไทยยังไม่มีความสามารถด้านการแปรรูปขั้นกลางและปลายน้ำ

ยุทธศาสตร์ที่ไทยควรเดินหน้า

  1. ผลักดันการลงทุนใน upstream-midstream เช่น การสกัดและแปรรูปเบื้องต้น เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
  2. พัฒนา REE recycling technology เพื่อให้สามารถหมุนเวียนแร่หายากจากผลิตภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่
  3. สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น อาเซียน+3 หรือกรอบความร่วมมือด้านพลังงาน เพื่อร่วมกันจัดหาและสำรองแร่หายากอย่างยั่งยืน
  4. เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทดแทน เช่น วัสดุแม่เหล็กชนิดใหม่ที่ไม่ต้องใช้ REE ซึ่ง Mercedes-Benz และ Toyota เริ่มดำเนินการแล้ว

ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคง

ด้วยแร่หายากเป็นวัตถุดิบสำคัญต่อระบบพลังงานสะอาด อาวุธยุทโธปกรณ์ และเศรษฐกิจดิจิทัล การผูกขาดของจีนจึงกลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในเวทีโลก การที่ประเทศผู้ผลิตอย่างไทยยังไม่พร้อมในห่วงโซ่ REE ทั้งระบบ อาจทำให้สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต และตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้

สรุป

ประเทศไทยซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ระดับภูมิภาค จำเป็นต้องเร่งวางแผนรองรับวิกฤตแร่หายากอย่างเป็นระบบ โดยไม่เพียงแต่เพิ่มปริมาณการสำรอง แต่ต้องยกระดับขีดความสามารถตลอดสายโซ่คุณค่า (value chain) เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความมั่นคงของประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • US Geological Survey, Mineral Commodity Summaries 2024
  • CLEPA (European Association of Automotive Suppliers)
  • VDA (German Association of the Automotive Industry)
  • ISEAS – Yusof Ishak Institute
  • Reuters, CNBC, Asia Financial
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กระทรวงพลังงาน-กฟผ. ส่งพลังงานสะอาด ฟื้นฟูเวียงป่าเป้า หลังน้ำท่วม

กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. ลงพื้นที่เวียงป่าเป้า มอบความช่วยเหลือหลังอุทกภัย พร้อมส่งต่อพลังงานสะอาดสู่ชุมชน

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงพลังงาน นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยทีมงานจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และจิตอาสา ลงพื้นที่ บ้านห้วยหินลาดใน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย พร้อมมอบสิ่งของช่วยเหลือและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตน้ำท่วมเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ช่วยเหลือชุมชนด้วยโครงการพลังงานสะอาด

ในกิจกรรมครั้งนี้ กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ได้ส่งมอบ เตามหาเศรษฐี (แบบปากยื่น) จำนวน 40 ชุด เพื่อใช้ในครัวเรือน พร้อมทั้งติดตั้ง ระบบโซล่าเซลล์ (Solar Cell) ขนาด 7.84 กิโลวัตต์ พร้อมแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานสำหรับใช้งานในพื้นที่โรงเรียนบ้านห้วยหินลาดใน รวมถึง โคมไฟถนน LED พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Street Light) จำนวน 17 ชุด ที่ติดตั้งบริเวณทางเข้าโรงเรียน เพื่อให้ประชาชนและนักเรียนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีไฟฟ้าใช้อย่างยั่งยืน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กล่าวในระหว่างกิจกรรมว่า “การฟื้นฟูพื้นที่ครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเยียวยาผลกระทบจากน้ำท่วม แต่ยังเน้นการส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ระบบไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง การติดตั้งโซล่าเซลล์และโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน”

อาคารเรียนชั่วคราวเพื่อการศึกษาต่อเนื่อง

นอกจากการช่วยเหลือในด้านพลังงาน กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ยังได้ร่วมมือกับ มูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้าง อาคารเรียนชั่วคราว เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถกลับมาเรียนได้ตามปกติ โดยอาคารดังกล่าวได้รับการออกแบบให้ใช้งานร่วมกับระบบโซล่าเซลล์ ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาว

การฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด

หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ได้เร่งดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในหลายด้าน เช่น:

  • กำจัดโคลน และเศษขยะในพื้นที่อยู่อาศัยและเส้นทางสัญจร
  • ซ่อมแซมระบบไฟฟ้าและแสงสว่างในพื้นที่ชุมชน
  • ส่งมอบถุงยังชีพ รวมกว่า 15,000 ชุด ซึ่งประกอบด้วยสิ่งของจำเป็น เช่น เตาปิกนิก 1,500 ชุด แก๊สกระป๋อง 3,000 แพ็ค อุปกรณ์จานชาม 1,500 ชุด และชุดไฟนอนนาโซล่าเซลล์ 200 ชุด

นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. กล่าวว่า “กฟผ. พร้อมสนับสนุนทรัพยากรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อช่วยเหลือชุมชนให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติและปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการนำพลังงานสะอาดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูชุมชนหลังวิกฤต”

ร่วมส่งต่อกำลังใจสู่ชุมชน

การลงพื้นที่ในครั้งนี้มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนร่วมกันส่งมอบความช่วยเหลือ อาทิ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, ดร.กมล ตรรกบุตร ประธานมูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา, นายวิภู พิวัฒน์ รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า กฟผ., และจิตอาสาจากกระทรวงพลังงานและ กฟผ.

พลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืนในชุมชนชนบท

กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการช่วยเหลือและฟื้นฟูชุมชนที่ประสบภัยพิบัติ โดยไม่เพียงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสร้างความยั่งยืนในระยะยาวผ่านการใช้พลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย กระทรวงพลังงานและ กฟผ. ยังยืนยันว่าการช่วยเหลือประชาชนจะดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกครัวเรือนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE