Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ลาบเมืองเหนือใครสุด เชียงรายแข่งครั้งแรก ชวนกินสุกปลอดภัย

วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568”

เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2568 เวลา 17.00 น. ณ ลานกิจกรรม ล้านเมืองไนท์มาร์เก็ต จังหวัดเชียงราย ตลาดล้านเมืองได้จัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568” โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยนายไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไปตลาดล้านเมือง กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งประกอบด้วยส่วนราชการ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

การแข่งขันครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมทั้งสิ้น 10 ทีม ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น “สุดยอดทีมลาบ” เพื่อชิงตำแหน่งแชมป์สล่าลาบคนแรกของตลาดล้านเมือง โดยรางวัลสูงสุดเป็นถ้วยรางวัลชนะเลิศจากนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมเงินรางวัล 5,000 บาท รายชื่อทีมที่เข้าร่วมแข่งขันประกอบด้วย 1. ทีมลาบตาลตะวัน 2. ทีมลาบโสภี 3. ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย) 4. ทีมเสน่ห์ลาบ 5. ทีมแจ๊คคาราบาว 6. ทีมลาบลุงพันธ์ 7. ทีมดาขันข้าว 8. ทีมป้อหลวงตั้ม 9. ทีมลาบไว้ลาย และ 10. ทีมลาบป่าบงหลวง

คณะกรรมการและผลการแข่งขัน

การตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยว ดังรายนามต่อไปนี้:

  1. คุณนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  2. คุณพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  3. คุณเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  4. คุณณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  5. คุณไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไป (ตลาดล้านเมือง)
  6. ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  7. คุณกิตติ โชติชินสิริ ผู้จัดการร้านลาบลุงน้อย
  8. คุณพรศักดิ์ นันตะรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ (ตลาดล้านเมือง)
  9. คุณภัทราพร พวงมาลา หัวหน้าฝ่ายล้านเมืองไนท์วิลเลจและการตลาดประชาสัมพันธ์

ผลการแข่งขันมีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบตาลตะวัน
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมเสน่ห์ลาบ
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมแจ๊คคาราบาว
  • รางวัลลาบลีลา: ทีมดาขันข้าว
  • รางวัลชมเชย: ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย)
  • รางวัลประกาศนียบัตร: ทีมป้อหลวงตั้ม, ทีมลาบลุงพันธ์, ทีมลาบไว้ลาย, ทีมลาบป่าบงหลวง และทีมลาบโสภี

วัตถุประสงค์และความสำคัญของงาน

การจัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของล้านนา โดยเฉพาะเมนูลาบที่มีความเป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ยังเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมอันดีงามให้คงอยู่สืบไป รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวในพื้นที่ นอกพื้นที่ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยทีมงานนักวิชาการวัฒนธรรม ได้แก่ นายสุพจน์ ทนทาน, นายอภิชาต กันธิยะเขียว และนางสาวสุทธิดา ตราชื่นต้อง ได้เข้าร่วมงานเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้าน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาสุขภาพของชุมชน

วัฒนธรรมการกินดิบ ความนิยมที่แพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมการบริโภคอาหารดิบ โดยเฉพาะเมนูลาบดิบ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ซึ่งมองว่าการกินดิบเป็นทั้งประสบการณ์ที่แปลกใหม่และเป็นการเชื่อมโยงกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมของล้านนา ความเผ็ดร้อนและรสชาติที่เข้มข้นของลาบดิบ รวมถึงความรู้สึกถึงความดั้งเดิม ทำให้เมนูนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นบ้าน

อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารดิบอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ หรือการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซาลโมเนลลา และอีโคไล ซึ่งพบได้บ่อยในเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ดังนั้น การรักษาความสวยงามของวัฒนธรรมการทำลาบพื้นบ้านไว้ โดยปรับเปลี่ยนให้ปลายทางเป็นเมนูที่ปรุงสุก จึงเป็นทางเลือกที่สามารถคงเอกลักษณ์ของรสชาติและวิธีการปรุงแบบดั้งเดิมไว้ได้ พร้อมทั้งยกระดับความปลอดภัยด้านสุขภาพในเวลาเดียวกัน

กิ๋นสุก เป๋นสุข” ชวนเปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก อร่อยและปลอดภัย

ภายในงานนี้ยังมีการรณรงค์แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชิญชวนให้ประชาชนหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร จากเมนูดิบสู่เมนูที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านไว้ แคมเปญนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อห้ามการกินดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ทุกคนลองลดการบริโภคอาหารดิบ และทดลองนำเมนูดิบที่คุ้นเคยมาปรุงให้สุก เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลาบดิบที่ปกติใช้เนื้อดิบเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถปรับเป็นลาบสุกโดยนำเนื้อไปย่างหรือต้มให้สุกก่อน แล้วปรุงรสด้วยเครื่องเทศตามสูตรดั้งเดิม ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านและกลิ่นหอมของสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงความสวยงามของวัฒนธรรมการปรุงอาหารล้านนาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่า การกินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบไป การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสมสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนคุณค่าทางโภชนาการหรือความอร่อยของเมนูพื้นบ้าน เมนูอย่างแหนมหมกไข่ หรือก้อยดิบ ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเมนูสุกได้ เช่น การนึ่งหรืออบ ซึ่งยังคงรสชาติที่เข้มข้นและถูกปากคนไทยไว้เช่นเดิม

“เราต้องการให้ทุกคนเห็นว่าการกินอาหารสุกเป็นเรื่องง่าย และยังคงความอร่อยแบบที่คุ้นเคยไว้ได้ แคมเปญนี้จะช่วยจุดประกายให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจสุขภาพ โดยไม่ต้องละทิ้งวัฒนธรรมการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา” ตัวแทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายกล่าว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2567 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงทั่วประเทศกว่า 800,000 ราย โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก นอกจากนี้ โรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งพบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้ป่วยสะสมกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถานการณ์โรคประจำปี 2567)

รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยทั่วโลกกว่า 600 ล้านรายต่อปี โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีผู้ป่วยจากอาหารไม่ปลอดภัยถึง 150 ล้านรายต่อปี (ที่มา: WHO, Food Safety Factsheet, 2020)

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป็นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ผสานทั้งการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการส่งเสริมสุขภาพอย่างลงตัว เพื่อให้คนไทยทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่เริ่มหันมาสนใจอาหารพื้นบ้าน ได้รับประโยชน์ทั้งจากรสชาติที่คุ้นเคยและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

กิ๋นสุก เป๋นสุข : “กาดละอ่อนเชียงราย” แข่งลาบเมือง สุกอร่อย สไตล์ล้านนา

ลาบเมืองชิงแชมป์รสเด็ด! กินสุกก็อร่อย ปลอดภัย สไตล์ล้านนา

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 – การแข่งขัน “ลาบเมือง” ศิลปะแห่งรสชาติล้านนา ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.), สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, สมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์เชียงราย, ศูนย์เยาวชนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และเชียงรายเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ จัดงาน “กาดละอ่อนเชียงราย” พร้อมจัดการแข่งขัน “ลาบเมือง – ส้มตำลีลา” ศิลปะแห่งรสชาติล้านนา เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย โดยงานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-2 เมษายน 2568 ณ ชั้น G โซนทางเชื่อมจริงใจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

การแข่งขันครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การแข่งขันลาบเมือง และส้มตำลีลา โดยมีรางวัลที่น่าสนใจ ได้แก่ โล่รางวัล, มีดทองคำ, ครกทองคำ, เกียรติบัตร และเงินรางวัล เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้แสดงความสามารถด้านการปรุงอาหารพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์ของล้านนา การแข่งขันลาบเมืองแบ่งเป็น 2 รุ่น คือ รุ่นอายุไม่เกิน 25 ปี และรุ่นอายุ 25 ปีขึ้นไป

โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมและอาหารตัดสินผลงานอย่างเป็นธรรม ดังรายนามต่อไปนี้:

  1. คุณฐิติวัชร ไลสรรพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำนักงานการศึกษา อบจ. เชียงราย
  2. คุณอดิศักดิ์ เทพวงค์ ประธานสภาเยาวชน อบจ. เชียงราย
  3. คุณสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย
  4. คุณพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  5. คุณโชติศิริ ดารายน นายกสมาคมสื่อมวลชนและนักประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

งานนี้ได้รับเกียรติจากนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. เชียงราย พร้อมด้วยนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ., นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ., และนางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการ อบจ. ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดและมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะการแข่งขัน

ผลการแข่งขัน: ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ในรสชาติล้านนา

ผลการแข่งขันในรุ่นอายุไม่เกิน 25 ปี มีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบ 65
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมตำลาบห้าดาว
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมสล่าเริงปอย

ผลการแข่งขันในรุ่นอายุ 25 ปีขึ้นไป มีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบเฒ่าลีลา
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมลาบลุงเป็ง ฝั่งหมิ่น
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมลาบเริงปอย
  • รางวัลชมเชย: ทีมไส้อั่วแม่อุ้ยเขียว และทีมดาขันข้าว

การแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีแสดงฝีมือการปรุงอาหาร แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมการทำอาหารพื้นบ้านของล้านนาให้คงอยู่ต่อไป รวมถึงสร้างความรักและความสามัคคีในชุมชนผ่านกิจกรรมที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้

กิ๋นสุก เป๋นสุข”: ชวนเปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก อร่อยและปลอดภัย

นอกเหนือจากการแข่งขันแล้ว งานนี้ยังร่วมรณรงค์แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อสุขภาพที่ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของอาหารพื้นบ้านล้านนาที่บางเมนู เช่น ลาบดิบ หรือแหนมหมกไข่ มักนิยมรับประทานแบบดิบ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพหากไม่มีการควบคุมความสะอาดอย่างเหมาะสม

แคมเปญนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก ซึ่งพบได้บ่อยในหลายภูมิภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือที่เมนูลาบดิบเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย แม้ว่าจะมีรสชาติที่ถูกปากและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกิน แต่เมนูเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น พยาธิ แบคทีเรีย และไวรัส ซึ่งอาจนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคพยาธิใบไม้ในตับ หรือแม้แต่โรคติดเชื้อรุนแรง

“กิ๋นสุก เป๋นสุข” ไม่ได้ห้ามการรับประทานอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่ต้องการชวนให้ทุกคนลองปรับเปลี่ยนเมนูดิบที่คุ้นเคยมาปรุงให้สุก เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยยังคงรักษารสชาติที่อร่อยและเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านไว้ได้ แคมเปญนี้เน้นแนวคิด “สุกก็อร่อยได้” เพื่อให้ทุกครัวเรือนได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและดีต่อร่างกาย

ความเสี่ยงจากอาหารดิบและประโยชน์ของอาหารสุก

ข้อมูลจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุกเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยในประเทศไทย โดยเฉพาะเมนูที่ทำจากเนื้อสัตว์ดิบ ปลาน้ำจืดดิบ หรือผักหมักที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม โรคที่พบได้บ่อยจากการบริโภคอาหารเหล่านี้ เช่น โรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งพบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และโรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซาลโมเนลลา และอีโคไล

ในทางกลับกัน การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสมสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนคุณค่าทางโภชนาการหรือรสชาติของอาหาร การเปลี่ยนมาใช้เมนูสุกจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคภัย และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ยังเน้นย้ำว่า การกินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่จำเป็นต้องเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบไป ตัวอย่างเช่น ลาบดิบที่ปกติใช้เนื้อดิบเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถปรับเปลี่ยนเป็นลาบสุกโดยการนำเนื้อไปปรุงให้สุกก่อน แล้วปรุงรสตามสูตรดั้งเดิม ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านและกลิ่นหอมของเครื่องเทศไว้ได้อย่างครบถ้วน หรือแหนมหมกไข่ที่สามารถอบหรือนึ่งให้สุก ก็ยังคงความอร่อยแบบดั้งเดิมได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย

“เราต้องการให้ทุกคนเห็นว่าการกินอาหารสุกเป็นเรื่องง่าย และยังคงรักษาความอร่อยที่คุ้นเคยไว้ได้ แคมเปญนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการลดความเสี่ยงจากโรคภัย และส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทยทุกคน” ผู้แทนจากกรมอนามัยกล่าว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในปี 2567 มีผู้ป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงทั่วประเทศกว่า 800,000 ราย และมีผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ตับสะสมกว่า 6 ล้านคน โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก (ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถานการณ์โรคประจำปี 2567)

นอกจากนี้ รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยทั่วโลกกว่า 600 ล้านรายต่อปี และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีผู้ป่วยจากอาหารไม่ปลอดภัยถึง 150 ล้านรายต่อปี (ที่มา: WHO, Food Safety Factsheet, 2020)

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของคนไทย ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News