Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ยกระดับมาตรฐาน นศท.เชียงราย ฝึกกู้ชีพ-เฝ้าระวังฮีทสโตรก เพื่อสังคม

มทบ.37 ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย “นักศึกษาวิชาทหารเชียงราย” ฝึกเข้มปฐมพยาบาล–กู้ชีพ–เฝ้าระวังฮีทสโตรก สอดรับบทบาท “ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม”

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — ยามเช้าอวลเมฆฝนบนสนามฝึกของ มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) เสียงนกหวีดกับจังหวะนับก้าวถูกแทนที่ด้วยจังหวะกดหน้าอก “หนึ่ง–สอง–สาม…” จากห้องฝึกเฉพาะกิจที่จัดวางหุ่นจำลองพร้อมเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ในวันฝึกเชิงปฏิบัติการด้านการปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกันของ นักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) ชั้นปีที่ 1 กว่า 190 นาย กิจกรรมครั้งนี้จัดโดย โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช ณ หน่วยฝึก นศท. มทบ.37 จังหวัดเชียงราย ภายใต้โจทย์ใหญ่ของยุคสภาพอากาศแปรปรวนที่เสี่ยงต่อ ฮีทสโตรก” (Heat Stroke) และเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์กลางแจ้ง

หัวใจของการฝึกคือ “สร้างนักรบที่ปลอดภัยและเป็นที่พึ่งของสังคม” ไม่ใช่เพียงความแข็งแรงเชิงยุทธวิธี แต่รวมถึง ทักษะช่วยชีวิตและการดูแลสุขภาพเชิงรุก ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า “ต่างเสี้ยวนาที — ต่างผลลัพธ์” สำหรับชีวิตของเพื่อนร่วมทีมและประชาชน

ทำไม “ฮีทสโตรก” จึงเป็นหัวข้อเร่งด่วนของการฝึกภาคสนาม

ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น การฝึกภาคสนามกลางแจ้งต่อเนื่อง การสวมอุปกรณ์ การเคลื่อนที่พร้อมน้ำหนักบรรทุก รวมทั้งความชื้นสัมพัทธ์สูง ล้วนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาความเครียดจากความร้อน ความเสี่ยงไม่ได้วัดจากอุณหภูมิอย่างเดียว แต่ต้องมองผ่านดัชนีความร้อน/ค่าความเครียดความร้อนและสภาวะร่างกายรายบุคคล

การฝึกของ มทบ.37 จึงเริ่มต้นด้วย โมดูลความรู้ความเสี่ยงจากความร้อน ครบวงจร ตั้งแต่

  • การแยกแยะ กลุ่มอาการจากความร้อน” (เป็นลมแดด/ตะคริวจากความร้อน/ภาวะเพลียแดด/ฮีทสโตรก)
  • สัญญาณเตือน ที่ต้องจับตา: อ่อนแรง เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตัวร้อนจัด เหงื่อหยุดไหล สับสน พูดไม่รู้เรื่อง ชัก
  • ปัจจัยเสี่ยงเฉพาะบุคคล: ขาดน้ำ พักผ่อนไม่พอ ภาวะน้ำตาลต่ำ น้ำหนักเกิน โรคประจำตัว ยาบางชนิด/คาเฟอีน/แอลกอฮอล์
  • หลักป้องกัน 4 ข้อ: (1) ดื่มน้ำสม่ำเสมอ—ก่อน–ระหว่าง–หลังฝึก (2) ปรับตัวค่อยเป็นค่อยไป (acclimatization) (3) สลับงาน–พักตามดัชนีความร้อน (4) ใช้ระบบ buddy check คอยสังเกตกัน
  • แนวทางปฐมพยาบาลฮีทสโตรก: โทรขอความช่วยเหลือ–ย้ายผู้ป่วยเข้าร่ม–คลายอุปกรณ์–เริ่ม ลดอุณหภูมิทันที” (active cooling) เช่น ประคบเย็น จุดเลือดผ่านมาก/พัดลม/พ่นละอองน้ำ/ถ้าอุปกรณ์พร้อมให้แช่น้ำเย็นทั้งตัว (cold-water immersion) จนกว่าจะถึงมือแพทย์

การบูรณาการความรู้ลักษณะนี้ช่วยให้ นศท. รู้เร็ว–ตัดสินใจเร็ว–ลงมือเร็ว ลดโอกาสไหลลื่นจากภาวะเพลียแดดไปสู่ฮีทสโตรกซึ่งเสี่ยงต่อชีวิต โดยเน้นว่า เวลา = อวัยวะ” การลดอุณหภูมิภายในนาทีแรก ๆ คือเส้นแบ่งสำคัญระหว่างการฟื้นตัวและภาวะแทรกซ้อนระยะยาว

การกู้ชีพ “CPR + AED” ให้เป็น—ให้ไว—ให้ถูกต้อง

ในห้องฝึกกู้ชีพ นศท. รอบต่อรอบถูกจัดเข้าสถานี Basic Life Support (BLS) เรียนรู้ตาม “ห่วงโซ่การรอดชีวิต” (Chain of Survival) ตั้งแต่การประเมินความปลอดภัย การเรียกขอความช่วยเหลือ การกดหน้าอกคุณภาพ ไปจนถึงการใช้ AED ที่ตั้งวางตามจุดยุทธศาสตร์ของพื้นที่ฝึก

สิ่งที่เน้นย้ำ

  • คุณภาพการกดหน้าอก: ลึก 5–6 ซม. จังหวะ ~100–120 ครั้ง/นาที ปล่อยหน้าอกคืนตัวเต็มที่ ลดเวลาหยุดกด (no-flow time)
  • การเป่าปาก/ช่วยหายใจ: ปรับตามบริบทการฝึกและความพร้อมอุปกรณ์ (mask/BVM) โดยไม่ให้รบกวนคุณภาพการกดหน้าอก
  • การใช้ AED: เปิดเครื่อง–ติดแผ่นนำไฟฟ้าตามตำแหน่ง–ทำตามเสียงเครื่อง—ช็อกโดยเร็วเมื่อเครื่องแนะนำ และ เริ่มกดต่อทันที หลังช็อก

หลักฐานจากแนวทางสากลชี้ว่า การเริ่ม CPR ภายในไม่กี่นาทีแรก เพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้ หลายเท่าตัว และถ้าได้ ช็อกไฟฟ้าภายใน 3–5 นาทีแรก อัตรารอดชีวิตอาจสูงถึง ราว 50–70% ขึ้นกับบริบทและความพร้อมของระบบกู้ชีพ

เพื่อให้ ทำได้จริงในสนามจริง” ทีมครูฝึกจากโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชกำกับ feedback แบบทันที ผ่านหุ่นที่วัดความลึก–จังหวะ–การคืนตัว ช่วยปรับท่วงท่าให้ได้มาตรฐาน ลด “นิสัยเสีย” ตั้งแต่วันแรก และจำลองเหตุการณ์สั้น ๆ เช่น ล้มหมดสติกลางแดด หรือ ช็อกไฟดูดจากอุปกรณ์สนาม เพื่อฝึกการตัดสินใจ–การสั่งงาน–การแบ่งบทบาทของทีม

มากกว่า “วิชาพยาบาลสนาม” สกิลชีวิตสำหรับทหารและพลเมือง

โปรแกรมที่ มทบ.37 ใช้ไม่หยุดอยู่แค่ CPR/AED และฮีทสโตรก แต่ขยายไปถึง การจัดชุดปฐมพยาบาลฉบับสนาม (IFAK) การห้ามเลือดด้วย ผ้าพันห้ามเลือดแรงรัด (tourniquet) การทำแผลเปิด–ปิด การดามกระดูก การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บอย่างปลอดภัย ตลอดจน สุขาภิบาล–น้ำ–อาหาร ระหว่างค่ายฝึก เพื่อ ลดเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ภาวะขาดน้ำรุนแรง ติดเชื้อทางเดินอาหาร ผื่น–ราขาหนีบ พร้อมวินัยเรื่อง การนอนหลับ–โภชนาการ–การยืดเหยียด–การฟื้นตัว ซึ่งพิสูจน์ว่ามีผลต่อประสิทธิภาพการฝึกและการบาดเจ็บซ้ำซ้อน

ภาพรวมสะท้อน สามมิติ ของ “ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม”

  1. ทหารปลอดภัย — ปกป้องกำลังพลด้วยมาตรฐานสาธารณสุขและเวชศาสตร์การกีฬา
  2. ทหารช่วยชีวิตได้ — เป็น first responder ในชุมชนได้จริงเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
  3. ทหารสื่อสารความเสี่ยงเป็น — ถ่ายทอดความรู้ให้ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน ลดการสูญเสียเชิงป้องกัน

เมื่อสนามฝึกคือห้องเรียนด้านสาธารณสุขเชิงรุก

การลงทุนเวลาและทรัพยากรของ มทบ.37 เพื่อสร้าง สมรรถนะด้านกู้ชีพ–ปฐมพยาบาล–เวชกรรมป้องกัน ให้ นศท. ปี 1 ตั้งแต่วัยเริ่มต้น มีนัยสำคัญอย่างน้อย 4 ประการ ยกระดับความปลอดภัยการฝึก การมี ระบบเฝ้าระวังความร้อน (work–rest cycle, hydration plan) พร้อม ครูฝึกที่รู้เส้นแดง ลดเหตุร้ายแรงได้จริง ขณะเดียวกันการมี AED และคนใช้เป็นในพื้นที่ฝึกเพิ่ม buffer ความปลอดภัย ทันที

การสร้างทุนมนุษย์ด้านกู้ชีพระดับชุมชนนักศึกษาวิชาทหารปีละหลายร้อยคนที่ผ่าน BLS/AED จะกระจายกลับสู่โรงเรียน มหาวิทยาลัย และชุมชน กลายเป็น เครือข่ายผู้ช่วยชีวิต ในเหตุการณ์จริง—ตั้งแต่อุบัติเหตุจราจรจนถึงภาวะหัวใจหยุดเต้นในบ้านและสถานที่สาธารณะ เพื่อต่อท่อ “ความเชื่อมั่น” ระหว่างทหาร–ประชาชนเมื่อประชาชนเห็นทหารเข้ามาหนุน ความปลอดภัยเชิงป้องกัน ภาพจำเชิงบวกและความไว้วางใจจะเติบโต โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดนอย่างเชียงรายที่กิจกรรมกลางแจ้งมีมากตลอดปีสอดคล้องมาตรฐานและแนวโน้มสากล หลักสูตรที่เน้น Chain of Survival การใช้ AED อย่างแพร่หลาย และ active cooling ในฮีทสโตรก เป็นแนวโน้มเดียวกับคำแนะนำขององค์กรวิชาชีพทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนว่า “สนามฝึกไทย” เชื่อมโยงกับ มาตรฐานโลก มากขึ้น

เครื่องมือ–กระบวนการที่ทำให้ “แผนบนกระดาษ” กลายเป็น “สมรรถนะจริง”

เพื่อไม่ให้การฝึกจบแค่วันกิจกรรม มทบ.37 และโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชวาง วงจรคุณภาพ (Quality Loop) ดังนี้

  • มาตรฐานอุปกรณ์: ตรวจเช็ก AED รายเดือน แบตเตอรี่–แผ่นนำไฟฟ้า ชุด IFAK ครบและพร้อมใช้
  • พัฒนาครูฝึก: ครูฝึกภาคสนามต้องผ่านอบรม BLS Provider/Instructor ตามเกณฑ์ของสภาวิชาชีพในไทย
  • ซ้อมแผนฉุกเฉิน: ทำ drill สั้น ๆ รายเดือน (collapse in heat, cardiac arrest scenario) ใช้เวลา 10–15 นาที แต่คงไหวพริบ
  • บันทึกและสะท้อนผล: เก็บข้อมูล near-miss/เหตุการณ์จริง มาสรุปบทเรียนทุกไตรมาส
  • สื่อสารกับชุมชน: ร่วม รพ.สต./โรงเรียน จัดคลินิกความรู้ mini-workshop นอกค่าย (เมื่อมีโอกาสและความพร้อม)

ผลลัพธ์ที่คาดหวังไม่ใช่เพียง สถิติลดเหตุฉุกเฉิน ในสนามฝึก แต่รวมถึง ตัวชี้วัดสังคม เช่น จำนวนผู้ผ่านการรับรอง BLS, จำนวนจุดติดตั้ง AED ในพื้นที่สาธารณะรอบค่าย, และกรณีช่วยชีวิตที่รายงานโดยชุมชน

คำถามชวนคิดสำหรับนโยบายระดับจังหวัด

  1. เชียงรายพร้อมแค่ไหนกับ “โครงข่าย AED สาธารณะ” ในสถานที่คนหนาแน่น (สนามกีฬา สถานศึกษา ตลาด จุดท่องเที่ยว)? แผนที่ AED เข้าถึงง่ายหรือยัง?
  2. หลักสูตรกู้ชีพพื้นฐาน ควรขยายไปยัง ครู–ผู้นำชุมชน–อาสาสมัคร อย่างไรให้เกิดความต่อเนื่อง?
  3. ในฤดูร้อนปีหน้า จังหวัดจะมี ระบบเตือนภัยความร้อน (Heat Alert) ที่ผูกกับ แผนงาน–พัก–ดื่มน้ำ ของกิจกรรมกลางแจ้งทุกภาคส่วนหรือไม่?

คำตอบของคำถามเหล่านี้ จะชี้ว่าความพยายามของ มทบ.37 จะต่อยอดเป็น สมรรถนะด้านความปลอดภัยของทั้งจังหวัด” ได้มากเพียงใด

จาก “นักศึกษาวิชาทหาร” สู่ “พลเมืองผู้ช่วยชีวิต”

วันฝึกหนึ่งวันอาจดูสั้นเมื่อเทียบกับวินัยทหารทั้งปี แต่ ความจำของกล้ามเนื้อ (muscle memory) และ ทัศนคติ “ลงมือก่อน–ช่วยก่อน” ที่นศท. ได้รับ จะอยู่ยาวนานกว่านั้น ท่ามกลางสภาพอากาศสุดขั้วและความเสี่ยงฉุกเฉินในชีวิตประจำวัน คนที่กล้าเข้าหาเหตุ–รู้วิธีประเมิน–เริ่มกดหน้าอก–หยิบ AED—คือ “ความต่าง” ระหว่าง ข่าวร้าย กับ ข่าวดี ที่ชุมชนอยากได้ยิน

การตัดสินใจของผู้บังคับบัญชา มทบ.37 ที่ให้ความสำคัญกับภารกิจนี้ สะท้อนวิสัยทัศน์ ทหารยุคใหม่เพื่อสังคม” อย่างแท้จริง และเป็นแบบอย่างที่ขยายผลได้ในค่ายทหารและสถานศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช / มณฑลทหารบกที่ 37 (เชียงราย): ข้อมูลโครงการฝึกปฐมพยาบาล–กู้ชีพ และการอบรม นศท. ประจำปี (ข่าวประชาสัมพันธ์หน่วย)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข: แนวทางป้องกันและเฝ้าระวังภาวะเจ็บป่วยจากความร้อน (Heat-Related Illness) และเอกสารความรู้เรื่อง “ฮีทสโตรก” สำหรับประชาชนและหน่วยงาน
  • สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.): แนวทางการปฏิบัติการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (BLS) และการใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED) สำหรับบุคลากรด่านหน้าและประชาชน
  • สมาคมกู้ชีพไทย / Thai Resuscitation Council (TRC): เอกสารอบรม BLS Provider/Instructor และคำแนะนำเชิงปฏิบัติด้านกู้ชีพตามมาตรฐานสากล
  • American Heart Association (AHA): Guidelines for CPR and ECC (ฉบับปรับปรุงล่าสุด) — หลักฐานเชิงระบบเกี่ยวกับประสิทธิผลของ CPR คุณภาพสูงและการช็อกไฟฟ้าเร็วต่ออัตรารอดชีวิต
  • องค์การอนามัยโลก (WHO): แนวทาง Heat–Health Action Plans และคำแนะนำการจัดการภาวะเจ็บป่วยจากความร้อนในชุมชน
  • กรมอุตุนิยมวิทยา: บริบทสภาพอากาศร้อนชื้นของไทยและคำเตือนภัยร้อนระดับพื้นที่ (ประกอบการวางแผน work–rest และ hydration plan)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 จัดฝึกโดดร่ม นศท. พัฒนาศักยภาพกำลังพล

หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มทบ.37 ฝึกกระโดดร่มพาราเซล รุ่นที่ 46

เชียงราย, 12 กุมภาพันธ์ 2568 – หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 37 (นฝ.นศท.มทบ.37) ได้จัดการฝึกกระโดดร่มแบบพาราเซล รุ่นที่ 46 สำหรับนักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) ชั้นปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2567 โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกเชียงราย จำนวน 3 นายเข้าร่วม เพื่อเพิ่มทักษะ ความชำนาญ และขีดความสามารถทางทหาร ณ ค่ายฝึก นศท. เขาชนไก่ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

รายละเอียดการฝึก

 วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10:00 – 17:00 น.

พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) ได้มอบหมายให้หน่วยฝึกดำเนินการฝึกในหลักสูตรดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ นศท. ได้รับการพัฒนาทักษะทางการทหาร โดยเฉพาะการกระโดดร่มแบบพาราเซล ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจของนักศึกษาก่อนการฝึกภาคสนามจริง

ลำดับการฝึก

1. พิธีทางศาสนาและบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เวลา 06:29 น. – จัดพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้ารับการฝึก โดยมี พล.ต.นิธิ รัตนะวรรธนะ รอง ผอ.กอ.ฝึกฯ (4) เป็นประธานในพิธี

2. การฝึกเบื้องต้น 4 สถานี

  • สถานีที่ 1: ขึ้นร่มและบังคับร่ม

  • สถานีที่ 2: ฝึกลงพื้นระดับ 2 ฟุต

  • สถานีที่ 3: ฝึกลงพื้นระดับ 4 ฟุต

  • สถานีที่ 4: ฝึกลงพื้นจากรอกวิ่ง

3. สถานีโดดหอสูง 34 ฟุต
การฝึกกระโดดจากหอสูง 34 ฟุต เพื่อทดสอบกำลังใจของนักศึกษาวิชาทหาร และช่วยให้ปรับตัวให้คุ้นชินกับความสูงก่อนการฝึกกระโดดร่มจริง

วัตถุประสงค์ของการฝึก

การฝึกกระโดดร่มพาราเซลเป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นพัฒนาขีดความสามารถทางร่างกายและจิตใจของ นศท. ให้มีความกล้าหาญ มั่นใจ และสามารถควบคุมร่มชูชีพขณะทำการลงสู่พื้นได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างวินัยและการทำงานเป็นทีม เพื่อให้ นศท. สามารถนำทักษะที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในภารกิจทางทหารต่อไปในอนาคต

บทสรุป

การฝึกกระโดดร่มพาราเซล รุ่นที่ 46 ของ นศท. ชั้นปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2567 ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มพูนทักษะและขีดความสามารถของนักศึกษาวิชาทหารแล้ว ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพและความกล้าหาญของกำลังพลรุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการฝึกทหารให้พร้อมปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

นักศึกษาวิชาทหารนครสวรรค์ คว้ารางวัลรองชนะเลิศ SINGING CONTEST 2024

“นักศึกษาวิชาทหารนครสวรรค์คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดร้องเพลง SINGING CONTEST”

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานกว่ากองทัพบก โดยหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน จัดกิจกรรม “เติมคนดี..เสียงนี้เพื่อสังคม” ซึ่งเป็นการประกวดร้องเพลงออนไลน์เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาวิชาทหารจากทั่วประเทศได้โชว์พลังเสียง ผ่านเพลง “เติมคนดีครั้งยิ่งใหญ่ 1 ล้านคน” บนแพลตฟอร์ม TikTok เพื่อชิงรางวัลมากมาย ได้แก่ รางวัลชนะเลิศเงินรางวัล 30,000 บาท พร้อมถ้วยรางวัล, รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 20,000 บาท, รองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัล Popular Vote เงินรางวัล 10,000 บาท สำหรับคลิปที่ได้รับยอดโหวตสูงที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม 2567

ผู้ที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ 3 ทีมสุดท้ายจะได้ร่วมออกอากาศในรายการ “ชุมทางดาวทอง” ทางช่อง 7HD ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญที่ช่วยผลักดันเยาวชนให้กล้าแสดงออก และใช้ความสามารถในเชิงสร้างสรรค์เพื่อสังคม

ในครั้งนี้ กองทัพภาคที่ 3 โดยศูนย์การฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 31 ได้ส่งตัวแทนนักศึกษาวิชาทหารจากโรงเรียนนครสวรรค์เข้าร่วมการแข่งขัน และสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 มาได้สำเร็จ ตัวแทนทีมที่สร้างชื่อเสียงในครั้งนี้ ได้แก่

  1. นักศึกษาวิชาทหาร ปุณยวีร์ ทองใบ
  2. นักศึกษาวิชาทหาร กฤษณะ สิงห์สาธร
  3. นักศึกษาวิชาทหาร ณัฐพงษ์ โชติผลารัตน์

เสียงชื่นชมจากกองทัพภาคที่ 3

กองทัพภาคที่ 3 ได้กล่าวชื่นชมนักศึกษาวิชาทหารทั้ง 3 นาย และโรงเรียนนครสวรรค์ ที่ได้สร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจแก่จังหวัดนครสวรรค์ รวมถึงแสดงถึงความสามารถของเยาวชนไทยที่สามารถใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และกล้าแสดงออกในทางสร้างสรรค์

กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นแรงบันดาลใจที่ดีแก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสนับสนุนศักยภาพด้านต่าง ๆ ของเยาวชนไทย โดยกองทัพภาคที่ 3 ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันผลักดันและส่งเสริมเยาวชนให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพแก่ประเทศไทยในอนาคต

ส่งเสริมเยาวชนผ่านเวทีสร้างสรรค์

การประกวดร้องเพลง SINGING CONTEST ภายใต้โครงการ “เติมคนดี..เสียงนี้เพื่อสังคม” เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มุ่งหวังสร้างเยาวชนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม กล้าคิด กล้าทำ และนำความสามารถที่มีมาสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ เพื่อชุมชน กิจกรรมดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพบนเวทีระดับประเทศและส่งต่อแรงบันดาลใจแก่เพื่อนร่วมรุ่นในวงกว้าง

ทั้งนี้ กองทัพบกยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างเวทีสร้างสรรค์เพื่อเยาวชนและขยายผลสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยมีบุคลากรที่มีคุณภาพและพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองทัพบก โดยหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE