Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

“อวดเมือง 2568” เจาะกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power เชียงรายสู้ต่อ

เปิดม่าน “อวดเมือง 2568”  เจาะลึกกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power พร้อมถอดบทเรียน “เชียงราย” สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กรุงเทพมหานคร, 10 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักของงาน SPLASH – Soft Power Forum 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กิจกรรมไฮไลต์ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามคือการนำเสนอ City Showcase ในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ซึ่งเฟ้นหา 2 จังหวัดต้นแบบที่จะได้รับการยกระดับเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” จากผู้เข้าร่วม 51 จังหวัดทั่วประเทศ และในรอบ 12 จังหวัดสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ กาญจนบุรี, ขอนแก่น, จันทบุรี, เชียงราย, นครราชสีมา, พิษณุโลก, เพชรบุรี, แพร่, เลย, ศรีสะเกษ, สุโขทัย และอุบลราชธานี มี 3 จังหวัดจากภาคอีสานอย่าง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ที่สามารถตีตั๋วเข้าสู่รอบสุดท้ายได้อย่างน่าจับตา ขณะที่เชียงราย แม้จะไม่ได้ไปต่อในรอบนี้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและแนวทางในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความท้าทายด้านทรัพยากรน้ำที่จังหวัดต้องเผชิญ

การที่ 3 จังหวัดอีสานอย่างขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ สามารถก้าวเข้าสู่รอบสุดท้ายของโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความบันเทิงหรือเทศกาลดนตรีเท่านั้น หากแต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในการนำ Soft Power มาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองในมิติที่หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นให้ดียิ่งขึ้น

ถอดรหัสความสำเร็จของ 3 จังหวัดอีสาน เมื่อ Soft Power สร้างมูลค่าที่จับต้องได้

การวิเคราะห์โครงการของทั้ง 3 จังหวัดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่เฉียบคมในการนำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น ผสมผสานกับแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อสร้างความน่าสนใจและโอกาสในการลงทุนอย่างยั่งยืน

  1. ขอนแก่น “เทศกาลม่วน เมื่อผืนไหมขับร้อง และหัวใจเต้นไปกับจังหวะหมอลำ”

ขอนแก่นนำเสนอ “เทศกาลม่วน” ที่ถักทออัตลักษณ์สองสายเข้าด้วยกันอย่างลงตัว คือ “ม่วนไหม” ที่ยกระดับผ้าไหมมัดหมี่จากผืนผ้าสู่ภาษาแห่งอีสานและนวัตกรรม และ “ม่วนหมอลำ” ที่ขับขานเรื่องราวชีวิตผ่านเสียงดนตรีและบทกลอน สิ่งที่ทำให้ขอนแก่นโดดเด่นคือการมองไปข้างหน้าด้วยแนวคิด MICE และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน โดยเน้นกระบวนการทอผ้าแบบลดขยะ (Zero-Waste Weaving) เทศกาลไร้กระดาษ (Paperless Festival) และการร่วมสร้างจากชุมชนอย่างแท้จริง

ผศ.ดร.ดลฤทัย โกวรรธนะกุล ผู้อำนวยการโครงการ กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราไม่ได้แค่แสดงวัฒนธรรม แต่เรากำลังออกแบบอนาคตของมัน” นี่คือหัวใจสำคัญที่คณะกรรมการมองเห็น ขอนแก่นไม่ได้หยุดอยู่แค่การอนุรักษ์ แต่ต่อยอดด้วยนวัตกรรม มีเวิร์กช็อปสำหรับคนรุ่นใหม่ในการแปลงลายผ้าท้องถิ่นเป็นดิจิทัล ดีไซเนอร์รุ่นใหม่สร้างแฟชั่นจากไหมพื้นบ้าน และวงหมอลำร่วมสมัยเตรียมออกสู่เวทีนานาชาติ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ครบวงจร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความสนุกสนาน แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน การนำเสนอที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทำให้ขอนแก่นมีศักยภาพที่จะเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริง

  1. นครราชสีมา “K-BATTLE International HIPHOP Festival” เทศกาลที่จะอวดเมืองโคราชให้โลกรู้ ด้วยการเต้น เสียงดนตรี และศิลปะ

โคราชเลือกหยิบยกวัฒนธรรมฮิปฮอปที่หยั่งรากลึกในพื้นที่มานานกว่าสิบปี มายกระดับเป็นเทศกาลระดับนานาชาติ “K-BATTLE International HIPHOP Festival” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของผู้คนที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย ทั้งการเต้น ดนตรี กราฟฟิตี้ และสตรีทอาร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือการเชื่อมโยง Soft Power นี้เข้ากับปรากฏการณ์ระดับโลก เช่น MILLI บนเวที Coachella หรือ LISA กับมิวสิกวิดีโอที่เยาวราช

เทศกาลนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงความบันเทิง แต่ตั้งใจที่จะสร้างและผลักดันบุคลากรที่มีศักยภาพในการเป็นตัวแทน Soft Power ไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านดนตรี ศิลปะ และวัฒนธรรม มีกิจกรรมที่เสริมสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชน ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อป งานดีไซน์ ไปจนถึงการแข่งขันในศิลปะหลากหลายแขนง การผนึกกำลังกันของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกด้วยความสุขและความสนุกในศิลปะที่เป็นสากล แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็น Destination ระดับโลกที่น่าลงทุน น่าเที่ยว และน่าอยู่ การนำเสนอที่จับกระแสความนิยมของคนรุ่นใหม่และมีแผนการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้โคราชมีจุดแข็งที่ชัดเจนในการดึงดูดการลงทุนและสร้างภาพลักษณ์เมืองที่ทันสมัย

  1. ศรีสะเกษ “Sound of Sisaket: ซาวสีเกด” มากกว่าเทศกาลดนตรี เพราะที่นี่ทุกท่วงทำนองคือพลัง

ศรีสะเกษนำเสนอ “Sound Of Siaket” ซึ่งไม่ใช่แค่เทศกาลดนตรี แต่เป็นเทศกาลประจำเมืองที่รวบรวมความหลากหลายของท่วงทำนอง ทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ความโดดเด่นอยู่ที่ไอเดียการเปลี่ยนย่านเมืองเก่าให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ มีเวทีร้อง เต้น เล่นดนตรี สนามประลองความยิ่งใหญ่ของวงโยธวาทิตระดับโลก โดยมีหมุดหมายในการเข้าสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก

สิ่งที่ทำให้ “ซาวสีเกด” แตกต่างคือการที่ทุกตรอก ซอก ซอย บ้านเก่า หรือแม้แต่ธุรกิจคาเฟ่ และร้านอาหารในย่าน ยังกลายเป็นสตูดิโอมีชีวิต อัดแน่นด้วยกิจกรรม อาทิ เวิร์กช็อป เสวนา พื้นที่แสดงผลงานของคนในพื้นที่ การรวมพลังสร้างสรรค์จากหลากหลายกลุ่มคน ตั้งแต่ผู้บริหารท้องถิ่น ศิลปิน ครูอาจารย์ ไปจนถึงชาวบ้านทุกวัยที่ร่วมมือร่วมใจกันสร้างบทบาท แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง เทศกาลนี้ไม่ได้มีดีแค่ “เรื่องเที่ยว” แต่เป็นงานที่ชวนทุกคนมาร่วมสร้างเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าภาคภูมิใจไปด้วยกัน การที่ศรีสะเกษมีเป้าหมายชัดเจนในการเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก และมีการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วนในท้องถิ่น ทำให้โครงการมีความแข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ระยะยาว

จากการวิเคราะห์ทั้งสามจังหวัด จะเห็นได้ว่า แม้หัวข้อหลักจะเป็นเรื่องของ “ดนตรี” หรือ “เทศกาล” แต่เนื้อหาและเป้าหมายของแต่ละโครงการล้วนเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การยกระดับคุณภาพชีวิต การสร้างโอกาสในการลงทุน และการดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว ไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิงฉาบฉวยอย่างที่บางคนอาจเข้าใจผิด

เมื่อความท้าทายกลายเป็นโอกาสด้วยพลังแห่งความร่วมมือ

สำหรับจังหวัดเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ด้วยเทศกาล “Chiang Rai BREW Festival” แต่การเดินทางมาได้ไกลถึงรอบ 12 จังหวัดสุดท้าย ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพยายามและการทำการบ้านอย่างหนักของทีมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจังหวัดต้องประสบกับปัญหาด้านน้ำ ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญ

“Chiang Rai BREW Festival” นำเสนอจุดแข็งของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งชาและกาแฟคุณภาพระดับโลก ที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศักยภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน กำลังผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพจาก 3 มหาวิทยาลัยเลื่องชื่อ และทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย เทศกาลนี้ออกแบบมาเพื่อต่อยอดมูลค่าของชาและกาแฟจากผลผลิตท้องถิ่น สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเชื่อมโยงเส้นทางจากแหล่งผลิตถึงปลายน้ำผ่านกิจกรรมตลอดปี เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่และเปิดโอกาสในการลงทุนบนเส้นทางชา-กาแฟ

สิ่งที่เชียงรายเน้นย้ำคือการไม่เพียงมุ่งเน้นด้านการบริโภค แต่ขยายไปสู่การจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่น นักวิชาการ นักเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กับนักลงทุนรุ่นใหม่ เพื่อการยกระดับ Local Business to International Business และการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยว การพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม Specialty ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืน เทศกาลนี้สะท้อนพลังของทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา และประชาชน ที่มาร่วมกันออกแบบอนาคตของเมืองด้วยเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังผ่านเครื่องดื่มอัตลักษณ์ของเมือง

แม้ปัญหาด้านน้ำจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมชา-กาแฟของเชียงรายได้ แต่การที่ทีมงานยังคงมุ่งมั่นนำเสนอศักยภาพของจังหวัดผ่านเทศกาลนี้ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในแก่นแท้ของ Soft Power นั่นคือการสร้างมูลค่าจากสิ่งที่มีอยู่ และการสร้างความร่วมมือเพื่อก้าวข้ามความท้าทาย

จุดวิเคราะห์ผลลัพธ์ของ การที่เชียงรายสามารถมาได้ไกลขนาดนี้ แม้จะมีปัญหาเรื่องน้ำ แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของจังหวัดในด้าน Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นมีสูงมาก และปัญหาเรื่องน้ำไม่ได้บั่นทอนความพยายามของทีมงาน การที่จังหวัดไม่ผ่านเข้ารอบ ไม่ได้หมายความว่าโครงการนี้ล้มเหลว แต่เป็นโอกาสให้เชียงรายได้กลับมาทบทวนและปรับปรุงแผนงานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผนึกกำลังกันทั้งจังหวัดเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน และนำจุดแข็งด้านชา-กาแฟมาเป็นหัวหอกในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อไป

การร่วมมือกันทั้งจังหวัดกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของเชียงราย

แนวคิดที่ว่า “เชียงรายต่อให้ไม่เข้ารอบแต่เราสามารถทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” เป็นประเด็นที่สำคัญและเป็นไปได้จริง ปัญหาด้านน้ำในเชียงรายเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างบูรณาการ การนำเสนอ “Chiang Rai BREW Festival” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการแสดงศักยภาพ แต่การจะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น

  • ภาครัฐ: กำหนดนโยบายและแผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
  • ภาคเอกชน: ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับชา-กาแฟ
  • ภาคการศึกษา: วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ชา-กาแฟที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการบริหารจัดการน้ำและพัฒนาคุณภาพสินค้า
  • ภาคประชาชนและชุมชน: มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำ และร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากชา-กาแฟ

การที่เชียงรายมี “Chiang Rai BREW Festival” เป็นธงนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากฐานทุนทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสัญญาณที่ดีว่าจังหวัดมีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อด้วยตัวเอง การเรียนรู้จากประสบการณ์ในโครงการ “อวดเมือง 2568” จะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่ช่วยให้เชียงรายสามารถพัฒนาแผนงานให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสาน Soft Power เข้ากับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งหากทำได้สำเร็จ เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแท้จริง

สรุปและก้าวต่อไป

โครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ได้เปิดโอกาสให้จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศได้นำเสนอศักยภาพและ Soft Power ของตนเอง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาต่อยอดเป็นเทศกาลและกิจกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ความบันเทิง แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของเมือง

สำหรับเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่การเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้พร้อมกับความท้าทายด้านสถานการณ์น้ำ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพอันมหาศาล การที่จังหวัดสามารถ “ทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” คือบทสรุปที่สำคัญที่สุด การใช้ Soft Power อย่างชาและกาแฟเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการบริหารจัดการน้ำ จะทำให้เชียงรายก้าวขึ้นเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้ เทศกาลนี้ไม่ใช่แค่กิจกรรมเฉพาะฤดูกาล แต่มีเป้าหมายในการยกระดับ SME และเศรษฐกิจท้องถิ่น เชื่อมโยงสายการผลิต–โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–วัฒนธรรม โดยมีมหาวิทยาลัย 3 แห่งรองรับองค์ความรู้ พร้อมทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แม้ในปีนี้จังหวัดจะประสบปัญหาด้านน้ำ แต่ทีมงานได้ลงมือทำการบ้านกันอย่างหนัก สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกับทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

  • สมาคมส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA)

  • งาน SPLASH – Soft Power Forum 2025

  • ข้อมูลสรุปโครงการอวดเมือง 2568 The Pitching

  • Facebook : Narumon Namsom Nilmanon

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

‘อนุทิน’ ยินดี ‘อสม.’ นักรบชุดเทาได้ค่าป่วยการ 2 พันบาทต่อเดือน

 
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 ที่จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะผู้บริหาร ได้เดินทางมาปฏิบัติราชการ และได้มีโอกาสพบปะกับอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. ที่มาต้อนรับ โดยนายอนุทิน ได้กล่าวทักทาย ใจความตอนหนึ่งว่า 
 
 
ผมขอแสดงความยินดีที่ทุกท่านได้ค่าป่วยการเพิ่มเป็น 2 พันบาทต่อเดือน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จ อยู่ที่นั่น แน่นอนว่า ทุกท่านทำงานไม่ได้หวังเรื่องเงินเรื่องทอง แต่ท่าน พยายามอย่างยิ่งในการดูแลคนไทย ในช่วงโควิด 19 ระบาด ถ้าไมได้พวกท่าน กระทรวงสาธารณสุขไฟไหม้ไปแล้ว ท่านช่วยประคองระบบสาธารณสุขของไทย กระนั้น ถึงท่านจะทำด้วยใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่เรามองว่า เราต้องตอบแทนท่านบ้าง เป็นที่มาของค่าป่วยการที่เพิ่มขึ้น เลยมีการผลักดันมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน จนมาสำเร็จในรัฐบาลนี้ วันนี้ ไม่มีโควิด 19 แต่งานของพวกท่าน ไม่ได้ลดไปเลย ท่านเป็นหมอคนแรก ท่านเป็นมดงาน ในระบบสุขภาพ ตอนนี้ ถ้าเทียบอัตราส่วน อสม.หนึ่งคนต้องดูแลคนไทย หลายสิบคน ค่าป่วยการ 2 พันบาท ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม”
 

โดยเงินค่าป่วยการรายเดือนให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. จากเดือนละ 1,000 บาท เป็นเดือนละ 2,000 บาท ว่า นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้อนุมัติตั้งงบประมาณประจำปี 2567 ให้กับกระทรวงสาธารณสุข สำหรับจ่ายเป็นค่าป่วยการให้กับ อสม. 1.07 ล้านคน ทั่วประเทศ ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราค่าป่วยการที่เพิ่มจากเดิมเดือนละ 1,000 บาท เป็นเดือนละ 2,000 บาท มีผลตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ 2567 คือ เดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ดังนั้น ในเดือนพฤษภาคมนี้พี่น้อง อสม.จะได้รับเงินค่าป่วยการในอัตราใหม่ 2,000 บาท และตกเบิกย้อนหลังตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 – เมษายน 2567 อีก 7,000 บาท รวม 9,000 บาท จากนั้นจะได้รับค่าป่วยการเดือนละ 2,000 บาททุกเดือน

 

สำหรับค่าป่วยการ อสม. มีการปรับขึ้น 4 ครั้งในรอบ 15 ปี ตั้งแต่ปี 2552 ที่เริ่มมีการให้ค่าป่วยการ อสม. ครั้งแรก จากเดิมที่เป็นการทำงานในลักษณะของจิตอาสา เพราะเป็นช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยรัฐบาลเวลานั้นเห็นชอบให้มีการจ่ายค่าป่วยการอสม. เดือนละ 600 บาท ปี 2562 เพิ่มค่าป่วยการอสม.เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่เป็น เดือนละ 1,000 บาท ปี 2565 มีการระบาดของโรคโควิด 19 มีการเพิ่มค่าป่วยการ อสม. เป็นกรณีพิเศษระยะเวลา 30 เดือน เดือนละ 500 บาท ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 – กันยายน 2565 รวม 1,500 บาทต่อคนต่อเดือน และล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2567 เพิ่มค่าป่วยการ อสม. เป็นเดือนละ 2,000 บาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News