Categories
TOP STORIES

STRONG ต้านทุจริตฯ เปิดข้อมูลเชิงลึก การปั่นยอดนักเรียนเพื่อล็อกสเปกครู

ปั่นยอด–ขายตำแหน่ง” เขย่าระบบครูไทย เปิดข้อมูลเชิงลึกจากเครือข่าย STRONG ต้านทุจริตฯ พร้อมตรวจสภาพจริงโรงเรียนเล็กภาระตกสู่ชุมชน

เชียงราย, 4 ตุลาคม 2568 – กลางเสียงเรียกร้องให้ “ปฏิรูปการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ” ปัญหาอีกด้านที่เงียบและฝังลึก “การทุจริตอัตรากำลังครู” ถูกผลักขึ้นสู่หน้าสังคมอีกครั้ง เมื่อชมรม STRONG ต้านทุจริตประเทศไทย เครือข่ายภาคประชาชนที่ทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยสัญญาณเตือนเรื่อง การปั่นยอดนักเรียนเพื่อดันอัตราครู จนนำไปสู่ การล็อกสเปกและซื้อขายตำแหน่ง ในบางพื้นที่ของประเทศ ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากกลับต้องดิ้นรนหาเงินชุมชนมาจ้างครูอัตราจ้าง เพื่อให้ “ชั่วโมงเรียนยังเดินต่อ” อย่างไม่สะดุด

ข้อมูลที่เครือข่าย STRONG นำเสนอ ระบุ กระบวนการเป็นระบบ ตั้งแต่การย้ายรายชื่อนักเรียนเข้า–ออกทะเบียนในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อให้ ตัวเลขถึงเกณฑ์” ที่ใช้ประกอบการจัดสรรอัตรากำลัง ไปจนถึง การกำหนดวิชาเอกตรงกับผู้ต้องการย้ายเข้า ซึ่ง “พร้อมจ่าย” เพื่อได้ทำงานในโรงเรียนทำเลดี ภาระสุดท้ายคือ ทรัพยากรถูกดูดไปกองรวม ขณะที่โรงเรียนเล็กที่มีนักเรียนจริง “ไม่ถึงเกณฑ์” กลับ ขาดครูในชั้นเรียน และต้อง ทอดผ้าป่าจ้างครู ด้วยเงินของชุมชนเอง

ภาพแรกของเรื่อง โรงเรียนเล็กที่เงียบเกินไป

“หากไม่จ้างครูอัตราจ้างเพิ่มสองคนเด็กชั้น ป.2 และ ป.5 จะไม่มีครูประจำชั้น” นี่คือเสียงสะท้อนจากครูโรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งในภาคเหนือที่ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจ ต่อให้โรงเรียนนี้มีนักเรียนอยู่ราว ร้อยกว่าคน จริง แต่ก็ “ไม่ถึงเกณฑ์” ที่ระบบใช้นับเพื่อจัดสรรอัตราครูเพิ่ม ทว่าห่างออกไปไม่กี่อำเภอ โรงเรียนบางแห่งกลับมี จำนวนครูมากพอ โดยมีข้อสงสัยว่าตัวเลขนักเรียนที่ใช้ประกอบการขออัตรากำลัง “สูงผิดปกติในบางช่วงเวลา”

ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจุด หากนำไปเทียบกับโครงสร้างการศึกษาของไทยที่มี โรงเรียนขนาดเล็ก” อยู่เป็นจำนวนมากมานานนับทศวรรษ งานวิจัยและรายงานสาธารณะหลายชิ้นชี้ตรงกันว่า โรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า ~120 คน (เกณฑ์ที่มักถูกใช้เป็นหมุดหมายการบริหาร) ยังคงเป็นโจทย์เชิงโครงสร้างของระบบ เพราะ ต้นทุนต่อหัวสูง คุณภาพเสี่ยง และครูไม่ครบชั้น หากการจัดสรรครู “เบี่ยงเบน” ไปอยู่ที่โรงเรียนตัวเลขสวยความเหลื่อมล้ำจึงยิ่งถ่างกว้าง

 จาก “ตัวเลขบนกระดาษ” สู่อัตรากำลังในชั้นเรียน

การจัดสรรอัตรากำลังครูของการศึกษาขั้นพื้นฐานไทยอาศัย เกณฑ์ด้านจำนวนนักเรียนและกรอบอัตรากำลัง เป็นหลัก โดยมีระเบียบและหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เป็นกรอบกำกับ เช่น การโอนย้าย/บรรจุแต่งตั้งตามตำแหน่งว่าง วิชาเอก และโครงสร้างอัตรากำลังของโรงเรียน

จุดเสี่ยง คือ หากมีผู้ไม่สุจริต ปั่นยอดนักเรียนให้ถึงเกณฑ์”  เช่น ดึงนักเรียนย้ายเข้า–ย้ายออกในช่วงสั้น ๆ เพื่อให้ทะลุเส้นจำนวนที่กำหนดโรงเรียนก็อาจ ยื่นขออัตราครูเพิ่มได้ ทั้งที่จำนวนผู้เรียนจริงไม่มั่นคง เมื่ออัตราเปิดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ การล็อกคุณสมบัติ (เช่น วิชาเอก) ให้ “ตรงผู้สมัคร” ที่ต้องการย้ายเข้า และท้ายที่สุดเกิด แรงจูงใจเชิงคอร์รัปชัน ในรูปแบบ “เรียกรับผลประโยชน์เพื่อแลกตำแหน่ง”

ชมรม STRONG ซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาชนในโครงการ “STRONG–จิตพอเพียงต้านทุจริต” ภายใต้การสนับสนุนของ ป.ป.ช. ระบุว่า ชุดพฤติกรรมดังกล่าว บ่อนทำลายธรรมาภิบาลการศึกษา และควรถูกตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ทั้งเชิงข้อมูลและเชิงกระบวนการ

รอยแตกร้าวเชิงโครงสร้าง เมื่อ “โรงเรียนเล็ก” คือด่านแรกของความเหลื่อมล้ำ

แม้สังคมไทยจะรับรู้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กมาอย่างยาวนาน แต่โจทย์ใหญ่ไม่ใช่แค่จำนวนโรงเรียน หากคือ ความเป็นธรรมเชิงทรัพยากร ครูหนึ่งคนหมายถึงวิชาหลักหนึ่งวิชาที่จะ “เกิดขึ้นจริง” หรือ “หายไป” จากตารางเรียนของเด็กทั้งชั้นเรียน การเบี่ยงเบนของอัตรากำลังจึงส่งผลทันทีต่อ คุณภาพการเรียนรู้ การมีครูครบชั้น ครบวิชา และความต่อเนื่องของการนิเทศ

รายงานเชิงนโยบายหลายฉบับ รวมถึงงานศึกษาของภาควิชาการและหน่วยงานสาธารณะ สะท้อนปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง ว่าโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากมี ชั้นเรียนผสม ครูสอนไม่ตรงเอก และภาระครูสูง จนกระทบคุณภาพผู้เรียน นี่คือบริบทเชิงโครงสร้างที่ทำให้การ “โยกครูตามตัวเลข” ยิ่งซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ

เชิงปฏิบัติการของขบวนการ (ตามข้อกล่าวอ้างของเครือข่ายภาคประชาชน)

1) ปั่นยอด–ล็อกเกณฑ์
นำชื่อนักเรียน ย้ายเข้า–ย้ายออกชั่วคราว เพื่อให้จำนวนถึงเส้นเกณฑ์ที่ระบบใช้อิงจัดสรรอัตรากำลัง (เช่น ให้เกิน 120–121 คน) เมื่อ ตัวเลขผ่าน” โรงเรียนก็มีเหตุผลทางเอกสารในการของบ/ของอัตราเพิ่ม

2) สร้างอัตราล็อกคุณสมบัติ
เมื่อมีอัตราใหม่ เปิดช่องให้กำหนดคุณสมบัติหรือ “วิชาเอกเฉพาะ” ให้ตรงกับบุคลากรที่ต้องการย้ายเข้า (และพร้อม “แลกเปลี่ยนผลประโยชน์”) เกิด ห่วงโซ่แรงจูงใจ ตั้งแต่โรงเรียน–เขตพื้นที่–ผู้สมัคร

3) ความสูญเสียปลายน้ำ
อัตรากำลัง กองรวม ในโรงเรียน “ตัวเลขงาม” แต่โรงเรียนเล็กที่ “ตัวเลขจริง” ไม่ถึงเกณฑ์กลับ ขาดครู ต้อง พึ่งเงินชุมชน เช่น การทอดผ้าป่าเพื่อจ้างครูอัตราจ้าง 1–2 ตำแหน่ง เพื่อประคองชั่วโมงเรียนให้ครบถ้วน

ทั้งหมดนี้คือข้อกล่าวอ้างที่ต้องการ “กลไกตรวจสอบ”  ไม่ใช่คำพิพากษา ทีมข่าวจึงตรวจสอบกรอบนโยบายและระบบคุ้มกันความเสี่ยงที่รัฐมีอยู่ในปัจจุบัน

รัฐมีเครื่องมืออะไรและช่องโหว่อยู่ตรงไหน

  1. กรอบอัตรากำลังและการบริหารตำแหน่ง
    สพฐ. และ ก.ค.ศ. มีกติกาการโอน–ย้าย–บรรจุแต่งตั้งที่อิงตำแหน่งว่าง วิชาเอก และกรอบอัตรากำลังของสถานศึกษา เพื่อสมดุลระหว่าง “จำนวนครู” กับ “จำนวนนักเรียน” ในพื้นที่จริง
  2. ข้อมูลดิจิทัลและทะเบียนนักเรียน
    ภาคการศึกษามีระบบฐานข้อมูลโรงเรียนและนักเรียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น EMIS/ระบบทะเบียน) เพื่อบันทึกการย้ายเข้า–ย้ายออก หาก “ข้อมูลไม่สะท้อนความจริง” ก็จะบิดการจัดสรรทั้งห้องเรียน–ครู–งบประมาณลงได้ทั้งแผง (หน่วยงานจึงถูกคาดหวังให้ตรวจจับ “พฤติกรรมผิดปกติของข้อมูล” แบบเรียลไทม์)
  3. เครือข่ายเฝ้าระวังภาคประชาชน
    เครือข่าย STRONG–จิตพอเพียงต้านทุจริต ภายใต้การสนับสนุนของ ป.ป.ช. ถูกออกแบบให้เป็น “ตาข่ายพลเมือง” ในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส ยกระดับการมีส่วนร่วม และขยายพื้นที่ปลอดทุจริตในระดับจังหวัด/ชุมชน

ช่องโหว่สำคัญ คือ เมื่อกระบวนการพึ่งพา “ตัวเลข” เป็นหลัก หากไม่มีการ ตรวจยืนยันภาคสนามแบบสุ่ม (spot check) หรือการ เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายฐาน เพื่อจับความผิดปกติ เช่น จำนวนที่เพิ่ม–ลดผิดฤดูกาล สัดส่วนย้ายเข้า–ย้ายออกพุ่งเฉพาะช่วงยื่นอัตรา ระบบก็ยังเสี่ยงถูก “เล่นกับตัวเลข” ได้

เหยื่อที่มองไม่เห็น เด็ก ครู และชุมชน

  • เด็ก – เมื่อครูไม่ครบชั้น/ไม่ตรงเอก เด็กชั้นเล็กต้องเรียนรวมชั้น คุณภาพการเรียนรู้อ่าน–เขียน–คำนวณพื้นฐานอาจถดถอย ความฝันในวิชาที่สนใจ “เกิดไม่เต็มที่”
  • ครู – ครูโรงเรียนเล็กต้องสอนหลายชั้น หลายวิชา แบกภาระธุรการมากขึ้น ขณะที่การย้าย/การพัฒนาอาชีพกลับไม่ชัดเจน
  • ชุมชน – เมื่อรัฐจัดสรรครูไม่พอ โรงเรียนเล็กจำต้อง เปิดระดมทุน เช่น ผ้าป่าการศึกษา ภาระจึงตกแก่ผู้ปกครองฐานรายได้ต่ำ ผู้ที่ “ควรได้รับการช่วยเหลือ” กลับต้องช่วย “อุดช่องว่างรัฐ”

งานศึกษาด้านนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับโรงเรียนขนาดเล็กสะท้อนซ้ำ ๆ ว่าการจัดสรรทรัพยากรที่ ยุติธรรมและโปร่งใส คือกุญแจสำคัญ หากระบบปล่อยให้ ตัวเลขสวย” ชนะ “ตัวเลขจริง” โรงเรียนเล็กทั้งประเทศจะถูกบีบให้ “อยู่ด้วยแรงศรัทธาของชุมชน” มากกว่ากลไกงบประมาณที่ควรเป็นหน้าที่ของรัฐ

กรอบข้อเสนอเชิงระบบ ปิดประตู “ตัวเลขลวง” เปิดทาง “ครูถึงชั้นเรียน”

1) ทำ Data Integrity ให้เป็นวาระแห่งชาติด้านการศึกษา

  • เชื่อมโยงฐานข้อมูลนักเรียน (EMIS/ทะเบียน) กับ ฐานสิทธิ์สวัสดิการเด็ก/ดิจิทัลไอดี เพื่อยืนยันตัวตน ลดโอกาส “ชื่อซ้ำ/ย้ายหลอก”
  • กำหนด ตัวชี้วัดความผิดปกติของข้อมูล (red flags) เช่น การย้ายเข้า–ย้ายออกพุ่งผิดฤดูกาลใกล้รอบพิจารณาอัตรา, สัดส่วน “เด็กผี” เทียบกับค่าเฉลี่ยจังหวัด
  • มอบหมายทีมสุ่มตรวจภาคสนาม แบบไม่แจ้งล่วงหน้า ในโรงเรียนที่ “สัญญาณผิดปกติ” พร้อมรายงานสาธารณะรายไตรมาส

2) ปรับเกณฑ์จัดสรรอัตรากำลังให้ยืดหยุ่น–สะท้อนบริบทโรงเรียนเล็ก

  • ใช้ สูตรน้ำหนัก (weighting) เฉพาะพื้นที่กันดาร/ห่างไกล เพื่อไม่ให้ “ตกหลุมตัวเลขแข็ง”
  • เพิ่มเครื่องมือ อัตรากำลังหมุนเวียน (ครูสหวิชา/ครูเดินสอนร่วมกลุ่มโรงเรียนเล็ก) เพื่อค้ำประกันชั่วโมงวิชาหลัก
  • ปรับ “โควตาครูผู้ช่วย” ให้ตอบโจทย์ วิชาขาดแคลน ในโรงเรียนเล็กก่อนเมืองใหญ่ (ตามกรอบอัตรากำลังของ สพฐ. และก.ค.ศ.)

3) ทำให้การโอน–ย้าย–บรรจุ “ตรวจสอบได้แบบเปิดเผย”

  • เปิดระบบติดตามตำแหน่งว่าง วิชาเอก ผู้สมัคร และผลการคัดเลือก แบบเรียลไทม์ (Open Recruitment Dashboard)
  • บังคับใช้ มาตรการผลประโยชน์ทับซ้อน และการเปิดเผยทรัพย์สิน/รายได้จากงานนอกของผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการสรรหา
  • วาง บทลงโทษทางวินัย–อาญา ที่ชัดเจนสำหรับการเรียกรับผลประโยชน์ รวมทั้งช่องทางร้องเรียนที่ปกป้องผู้เปิดโปง

4) เสริมบทบาทเครือข่าย STRONG–พลเมืองต้านทุจริต

  • สนับสนุนงบประมาณและสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เป็นความลับ เพื่อการ ติดตามเชิงระบบ
  • จัด ศูนย์รับแจ้งเบาะแสระดับจังหวัด และเวิร์กช็อปความรู้เรื่อง “การอ่านข้อมูลผิดปกติ” ให้กับคณะกรรมการสถานศึกษา–ผู้นำชุมชน

คำถามใหญ่สู่ผู้กำหนดนโยบาย จะปล่อยให้ “ตัวเลขกำหนดชะตาเด็ก” ไปอีกนานเท่าใด

นโยบายด้านครูคือ หัวใจของคุณภาพการเรียนรู้ โรงเรียนเล็กจำนวนมากในภาคเหนือรวมถึงเชียงราย คือโรงเรียน “เส้นเลือดฝอย” ที่ดูแลเด็กในชนบท กระจายอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาและแนวชายแดน ดังนั้น ทุกหนึ่งอัตราที่ เบี่ยงจากข้อเท็จจริง คือหนึ่งชั้นเรียนที่ หายไป และหนึ่งชุมชนที่ ต้องระดมเงิน มาทดแทน

ประเทศไทยมีกรอบระเบียบและสถาบันที่พร้อมตั้งแต่ สพฐ./ก.ค.ศ. ที่กำหนดเกณฑ์อัตรากำลังและการสรรหา ไปจนถึงเครือข่าย STRONG–ป.ป.ช. ที่ทำงานเชิงเฝ้าระวัง หาก “ข้อมูลจริง” ถูกยกให้เป็นศูนย์กลาง และ “การเปิดเผย–ตรวจสอบได้” กลายเป็นวัฒนธรรมประจำ การปั่นยอด–ซื้อขายตำแหน่งจะ ยากขึ้นทุกวัน และ “ครูถึงชั้นเรียน” จะ ง่ายขึ้นทุกปี

มุมมองจากภาคสนาม สิ่งที่ผู้บริหารสถานศึกษาขอ (และไม่อยากขอ)

ผู้บริหารโรงเรียนเล็กหลายแห่งสะท้อนตรงกันว่า สิ่งที่ต้องการไม่ใช่ “เงินบริจาค” หากคือ ครูที่เพียงพอและตรงวิชา” พร้อมระบบสนับสนุนที่ทำให้ครูอยู่ได้มีโอกาสพัฒนาและมี ศักดิ์ศรีวิชาชีพ ไม่แพ้เมืองใหญ่ โรงเรียนเล็กไม่ต้องการ “อภิสิทธิ์” เพียงขอให้ระบบ เห็นเด็กจริง ครูจริง ตารางเรียนจริง มากกว่า “ตัวเลขบนกระดาษ”

 

สัญญาณจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง

  • ป.ป.ช. และเครือข่าย STRONG – ย้ำบทบาท “ภาคีพลเมือง” ในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริตเชิงระบบ ตั้งแต่ต้นทางนโยบายถึงปลายทางการจัดสรรทรัพยากรในโรงเรียน
  • สพฐ./ก.ค.ศ. – มีกรอบกติกาเรื่องอัตรากำลัง–วิชาเอก–การย้าย–การบรรจุที่ชัดเจน และถูกคาดหวังให้ ยกระดับการเปิดเผยข้อมูล พร้อม เพิ่มกลไกสุ่มตรวจภาคสนาม และ audit ข้อมูลดิจิทัล ร่วมกับพื้นที่
  • งานนโยบายด้านโรงเรียนขนาดเล็ก – สะท้อนความจำเป็นของการจัดสรรทรัพยากรแบบยืดหยุ่น ช่วย “ค้ำประกัน” ชั่วโมงเรียนในวิชาหลักสำหรับเด็กชนบท

ทวงคืนความเป็นธรรมจาก “ตัวเลขลวง” สู่ “ครูในชั้นเรียน”

เรื่องเล่านี้เริ่มจากโรงเรียนเล็กที่ต้องทอดผ้าป่าจ้างครู และจบลงที่คำถามใหญ่ของระบบ เราจะปล่อยให้ ข้อมูลที่บิด” ชี้นำการจัดสรรอนาคตของเด็กไทยอีกนานเท่าใด

หากประเทศไทยต้องการ “การศึกษาที่เท่าเทียม” การปิดช่องทุจริตในกระบวนการ จัดสรรอัตรากำลังครู คือ เงื่อนไขจำเป็น ความจริงเรื่อง “ปั่นยอด–ขายตำแหน่ง” ที่เครือข่าย STRONG นำขึ้นสาธารณะ ไม่ได้มีไว้เพื่อกล่าวหาใครรายบุคคล หากเพื่อ ยกธงแดง ให้สังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงมือแก้เชิงระบบ ตั้งแต่การทำความสะอาดข้อมูล ไปจนถึงการเปิดเผย–ตรวจสอบได้ และการลงโทษผู้กระทำผิด

เด็กในโรงเรียนเล็ก คือผู้รับผลลัพธ์โดยตรงของนโยบาย ถ้ารัฐ วางครูให้ถูกที่ถูกชั้น บนฐานข้อมูลจริง–โปร่งใส ความเหลื่อมล้ำก็ลดลงทันที หากปล่อยให้ “ตัวเลขสวย” นำทางต่อไป เราอาจกำลัง “ซื้อ” ความเงียบชั่วคราว ด้วย “อนาคตของทั้งรุ่น”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงม่วนคว้าแชมป์ อปท.ดีเด่น 4.23 ล้านบาท โมเดลธรรมาภิบาลล้านนา

เชียงม่วน”ขึ้นแท่นต้นแบบธรรมาภิบาลท้องถิ่นล้านนา เบื้องหลังชัยชนะอันดับ 1 เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท และบทเรียนสู่การยกระดับ อปท. ทั่วประเทศ

พะเยา, 3 ตุลาคม 2568 – แสงไฟจากเวทีแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี สะท้อนประกายความภูมิใจไปถึงชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในดินแดนล้านนา—เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา เมื่อ นายสุเมธี คำลือ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงม่วน ก้าวขึ้นรับ รางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประเภทโดดเด่น ชนะเลิศอันดับ 1 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อม เงินรางวัล 4,233,600 บาท จากมือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางสายตาผู้บริหาร อปท. จากทั่วประเทศกว่า 250 หน่วยงานที่เข้าร่วมในฐานะผู้ได้รับรางวัลปีนี้

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 พิธีมอบรางวัลครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการประกาศ “ใครทำได้ดี” หากแต่เป็นการยืนยันว่าระบบการบริหารภาครัฐระดับฐานรากของไทย เดินหน้าเข้าสู่มาตรฐานธรรมาภิบาลเชิงรูปธรรม—โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วมจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับล้านนาตะวันออกเฉียงเหนือที่มีโครงสร้างท้องถิ่นหนาแน่นและความต้องการบริการสาธารณะหลากหลาย การที่เชียงม่วน “ทะยานเป็นที่หนึ่ง” จึงมีนัยยะแห่งความหวังต่อจังหวัดรอบข้างอย่าง เชียงราย น่าน แพร่ พะเยา และต่อทั้งภูมิภาคเหนือที่ต้องการโมเดลต้นแบบสำหรับยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนผ่านงานท้องถิ่นที่มีมาตรฐาน

จากเวทีระดับชาติสู่หมู่บ้านริมโขง ทำไม “เชียงม่วน” จึงคว้าอันดับ 1

คีย์เวิร์ดสามคำ ที่ทีมงานเชียงม่วนย้ำมาตลอดคือ ธรรมาภิบาล–ร่วมมือ–วัดผลได้” ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากแคมเปญที่หวือหวา หากมาจาก “งานประจำที่ทำอย่างไม่ประมาท” ตั้งแต่ระบบงบประมาณ การบริการประชาชน ไปจนถึงงานสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และโครงสร้างพื้นฐาน โดยสรุปปัจจัยเชิงระบบที่ทำให้เชียงม่วนโดดเด่น มีอย่างน้อย 5 มิติ ดังนี้

  1. ธรรมาภิบาลและระบบการเงินการคลังเข้มแข็ง
    ก่อนมาถึงจุดนี้ อปท. ผู้ร่วมชิงรางวัลต้องผ่านกลไกคัดกรองหลายชั้น ตั้งแต่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงาน ป.ป.ท. จนถึงการประเมินจาก กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เพื่อยืนยันว่า “การใช้จ่ายและโครงการทุกชิ้น โปร่งใส–ตรวจสอบได้” เชียงม่วนจึงไม่ใช่เฉพาะ “ทำงานดี” แต่ “ทำดีอย่างมีหลักฐาน”
  2. การมีส่วนร่วมระดับชุมชน (People–Public Partnership)
    โมเดลการขับเคลื่อนนโยบายที่เชียงม่วนทำเป็นกิจวัตรคือ “ชวนประชาชนคิดตั้งแต่ต้นน้ำ” ผ่านเวทีรับฟัง แผนชุมชน และกลไกสภาเมืองเล็กๆ ที่จับต้องได้ จึงไม่ได้มีเพียงความเห็นชอบของผู้แทน แต่เป็น ฉันทมติร่วม ที่ทำให้การบริการสาธารณะไปถึง “ความทุกข์–ความสุขจริง” ของคนในพื้นที่
  3. บริหารแบบข้อมูลนำ (Data–Driven Local Government)
    ระบบติดตามความคืบหน้าโครงการ (dashboard) และตัวชี้วัดบริการสาธารณะทำให้ผู้บริหารเห็นคอขวดได้เร็ว เช่น งานถนน น้ำประปา ขยะมูลฝอย หรือการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เลือกใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยยึดหลัก “แก้ปัญหาที่มีผลต่อชีวิตประจำวันก่อน
  4. เชื่อมแผนจังหวัด–อำเภอ–ตำบล และพันธมิตรภาคประชาสังคม
    เชียงม่วนทำหน้าที่ “ฮับบูรณาการ” ประสานแผนกับจังหวัดพะเยาและอำเภอข้างเคียง รวมทั้งเครือข่ายชุมชนและภาคเอกชน เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงเรียน–วัด–สถานประกอบการในพื้นที่ ทำให้โครงการเดินหน้าเร็วด้วยต้นทุนสังคมต่ำ
  5. พัฒนาคนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง (Local Talent First)
    ลงทุนกับ “คนทำงานด่านหน้า” ทั้งพนักงานส่วนท้องถิ่น อสม. อพปร. และอาสาสมัครด้านสิ่งแวดล้อม จัดอบรมทักษะใหม่แบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ดิจิทัลเบื้องต้นจนถึงการสื่อสารความเสี่ยงภัยพิบัติ ขณะที่ประชาชนกลายเป็น “หุ้นส่วน” ของการป้องกันปัญหา มากกว่าจะเป็นเพียง “ผู้รับบริการ”

เมื่อยกเลนส์ไปส่องเกณฑ์การให้รางวัลระดับประเทศปีนี้—ที่มี 250 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลจากอนุกรรมการเฉพาะกิจ 52 รางวัล และกลุ่มที่ผ่านรอบสุดท้าย/ผ่านเกณฑ์ตามหลักเกณฑ์จัดสรรเงินอุดหนุนรวม 198 รางวัล—จะเห็นว่า เชียงม่วน ชนะในหมวดโดดเด่นของเทศบาลตำบล” ซึ่งเป็นสนามที่การแข่งขันดุเดือดที่สุด เพราะมีจำนวนหน่วยงานมากและงานบริการกระทบชีวิตผู้คนโดยตรง ตั้งแต่น้ำ ไฟ ถนน ไปจนถึงกิจกรรมผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และสิ่งแวดล้อม

นายกฯ เน้น “อปท. คือหน่วยแรกที่แตะหัวใจประชาชน” – นายกสุเมธีตอบรับ “รางวัลนี้เป็นของทุกคน”

บนเวที นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ย้ำกลางห้องประชุมว่า อปท. คือกลไกที่ ใกล้ชิดประชาชนที่สุด และเป็น “ด่านหน้า” ของรัฐในการบรรเทาความเดือดร้อน ส่งต่อปัญหา และสื่อสารนโยบาย “เพื่อให้เกิดความกินดีอยู่ดี” ข้อความสำคัญคือ รางวัลในวันนี้ต้องเป็นทั้ง แรงจูงใจและแรงบันดาลใจ ให้ท้องถิ่นทั่วประเทศรักษาความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยกระดับการทำงานอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ นายสุเมธี คำลือ กล่าวหลังรับรางวัลว่า “รางวัลนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่เป็นของชาวเชียงม่วนทั้งตำบล—คณะผู้บริหาร สมาชิกสภา พนักงาน และประชาชนที่ร่วมแรงร่วมใจ ความเชื่อมั่นที่ทุกคนมอบให้ทำให้เรากล้าปรับปรุงงานประจำให้มีมาตรฐานขึ้นทุกปี” พร้อมกันนั้น นายกสุเมธีได้รับเชิญขึ้นเวที PITCHING ถ่ายทอด “ถอดบทเรียนสู่การพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” เพื่อแบ่งปันแนวทางให้ อปท. อื่นๆ นำไปปรับใช้

คีย์เมสเสจของเชียงม่วน การบริหารจัดการที่ดี = ธรรมาภิบาล + การมีส่วนร่วม + วัดผลได้ + ทีมงานแข็งแรง + ประชาชนร่วมมือ

เงินรางวัล 4.23 ล้านบาท เงินก้อนนี้จะไม่ “นอนนิ่ง” แต่ขยับคุณภาพชีวิต

เงินรางวัล 4,233,600 บาท ที่เชียงม่วนได้รับ ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ หากเป็น “เชื้อเพลิงสาธารณะ” ที่เทศบาลตั้งใจจะผลักให้เกิดผลลัพธ์ต่อชีวิตผู้คนอย่างรวดเร็ว รายการใช้จ่ายที่อยู่ในกรอบแนวคิดเบื้องต้น (ตามหลักเกณฑ์เงินอุดหนุนและแผนพัฒนาท้องถิ่น) ได้แก่

  • ยกระดับบริการขั้นพื้นฐาน ที่สำคัญและมีคอขวด เช่น ระบบประปาชุมชน ถนนเชื่อมชุมชน และไฟส่องสว่างที่ปลอดภัย
  • เพิ่มสมรรถนะงานสิ่งแวดล้อม เช่น การคัดแยกขยะต้นทาง–รถเข็นรีไซเคิลชุมชน–สวนสาธารณะขนาดย่อมสำหรับผู้สูงอายุ
  • ลงทุนในคน ผ่านหลักสูตรทักษะใหม่สำหรับพนักงานท้องถิ่นและเครือข่ายอาสาสมัคร เช่น การรับมือภัยพิบัติ–การสื่อสารสาธารณะ–ดิจิทัลภาครัฐ
  • โครงการต้นแบบการมีส่วนร่วม เช่น เวทีวางแผนชุมชน และงบมีส่วนร่วม (participatory budgeting) ในโครงการที่กระทบจำนวนประชาชนมาก

การจัดสรรเช่นนี้สะท้อน “หลักการคุ้มค่าต่อภารกิจ (Value for Mission)” ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องการให้รางวัลนี้เป็น แรงขับต่อเนื่อง ไม่ใช่ “เช็คใบเดียวแล้วจบ”

บทเรียนสำหรับจังหวัดรอบข้าง โดยเฉพาะ “เชียงราย” จะต่อยอดอย่างไรให้เกิดผลทั้งจังหวัด

แม้รางวัลนี้จะเป็นของจังหวัดพะเยา แต่ ผลสะเทือนเชิงบวก ส่งถึงจังหวัดคู่ขนานในโครงสร้างเศรษฐกิจ–สังคม อย่าง เชียงราย ซึ่งกำลังเร่งเครื่องขับเคลื่อนท้องถิ่นด้วยแนวคิดใหม่ เช่น เมืองท่องเที่ยวคุณภาพ, เมืองฟ้ามืด (Dark Sky), Wellness/Creative City และโลจิสติกส์ชายแดน การนำบทเรียนเชียงม่วนมาจับ “โจทย์พื้นที่เชียงราย” ทำได้อย่างน้อย 4 ทาง

  1. ยกระดับธรรมาภิบาลเชิงรุก
    ตั้ง ศูนย์ข้อมูลเปิดท้องถิ่น (Open Local Data) สำหรับโครงการลงทุนหลัก—ถนน–ประปา–ขยะ–สาธารณสุข—เผยแพร่งบประมาณ ความคืบหน้า และผลลัพธ์ต่อคุณภาพชีวิต เพื่อให้ประชาชน “ร่วมติดตาม” ได้อย่างเป็นระบบ
  2. สร้างแพลตฟอร์มการมีส่วนร่วม
    ใช้กลไก “งบมีส่วนร่วม” รายตำบล/เทศบาล นำร่องในโครงการที่กระทบคนหมู่มาก เช่น พื้นที่สาธารณะปลอดภัย/ทางเท้า/ไฟทางเดิน/ลานสุขภาพ โดยให้ประชาชนร่วมออกแบบ–โหวตโครงการ–ลงแรงตั้งแต่ต้นน้ำ
  3. พัฒนาทีมอาสาสมัครท้องถิ่นเข้มแข็ง
    เชื่อม อสม.–กู้ชีพ–อาสาสมัครสิ่งแวดล้อม–อาสาป้องกันภัย เข้ากับระบบตอบสนองภัยพิบัติและสุขภาพชุมชน โดยอบรมทักษะเฉพาะ (เช่น การสื่อสารภาวะวิกฤต, การใช้แอปแจ้งเหตุ, การเก็บข้อมูลพื้นที่เสี่ยง)
  4. ตั้งเป้า “รางวัลรวมจังหวัด”
    ผลักดันให้ อปท. ในเชียงรายเข้าสู่สนามรางวัล การบริหารจัดการที่ดี” พร้อมกันหลายหน่วย เพื่อสร้าง “เอฟเฟกต์แคสเคด” ให้การยกระดับมาตรฐานเกิดขึ้นเป็นเครือข่ายทั้งจังหวัด เกิดแรงจูงใจระหว่างกัน มีการแลกเปลี่ยนคู่พี่เลี้ยง–คู่นวัตกรรม

หากเชียงรายเดินตามรอย “เชียงม่วนโมเดล” บวกกับจุดแข็งของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทุนทางวัฒนธรรม–ธรรมชาติ–ชายแดน–เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภูมิภาคเหนือจะได้เห็น กลุ่มเมืองท้องถิ่นมาตรฐานสูง” ที่ขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตได้จริงในระดับพื้นที่

เกณฑ์คัดเลือก “อปท.ดีเด่น” ปี 2568 บอกอะไรเรา

การได้รับรางวัลปีนี้สะท้อนว่า อปท. ผู้ชนะ สอดคล้องนโยบายรัฐบาลดิจิทัล–ข้อมูลเชื่อมโยงทั้งระบบ” ที่นายกรัฐมนตรีประกาศในสภาเมื่อ 30 กันยายน 2568 อย่างน้อย 3 แกนหลัก

  • ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ต้องเปิดเผยข้อมูล และผ่านการกลั่นกรองจากหน่วยงานตรวจสอบอิสระ
  • สมรรถนะการบริหารและบริการสาธารณะ มีตัวชี้วัดผลลัพธ์ (Outcome) ไม่ใช่เฉพาะตัวชี้วัดกิจกรรม (Output)
  • การมีส่วนร่วมของประชาชน โครงการต้อง “ร่วมคิด–ร่วมทำ–ร่วมติดตาม” ไม่ใช่เพียงทำเสร็จตาม TOR

นอกจากรางวัลใหญ่ที่เชียงม่วนได้รับ ยังมีการจัดสรรรางวัลรวม 250 รางวัล ครอบคลุมทั้ง หมวดดีเลิศ (เช่น เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลเมืองลำพูน และ อบจ.สตูล) และ หมวดโดดเด่น/ทั่วไป ในขนาดองค์กรต่างๆ สะท้อนว่ามาตรฐานไม่ได้ผูกติดกับ “องค์กรใหญ่เท่านั้น” หากองค์กรขนาดเล็กที่บริหารจัดการดีอย่างมีวินัยก็สามารถขึ้นแท่นได้เช่นกัน

 “ชนะแล้วทำอะไรต่อ” – จากเหรียญรางวัลสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เสียงเฮจากห้องประชุมจางลง แต่ “งานจริง” เพิ่งเริ่ม เชียงม่วนประกาศเจตนารมณ์ว่าจะใช้รางวัลเป็น คานงัด” ผลักโครงการเร่งด่วน 3 กลุ่มใน 12 เดือนข้างหน้า

  1. ปลอดภัย–เข้าถึงได้ ปรับปรุงจุดเสี่ยงทางเดิน ทางม้าลาย ไฟทางเท้า และจุดมืดหน้าสถานศึกษา–ชุมชน ให้เป็นมาตรฐานเมืองมนุษย์เดินเท้า
  2. สิ่งแวดล้อม–สุขภาวะ โครงการคัดแยกขยะต้นทางครัวเรือน/ตลาด, สวนสาธารณะขนาดย่อม (pocket park) สำหรับผู้สูงอายุ, กิจกรรมสุขภาพชุมชนต่อเนื่อง
  3. รัฐดิจิทัลท้องถิ่น ขยายบริการเอกสารออนไลน์ นัดหมายงานราชการผ่านแอป/ไลน์ออฟฟิเชียล, เปิดฐานข้อมูลโครงการ (project tracker) ให้ประชาชนติดตามสถานะได้แบบเรียลไทม์

หากทำสำเร็จ นี่จะเป็น “วงจรคุณธรรม” ของการบริหารท้องถิ่น—โปร่งใส → ประชาชนเชื่อมั่น → ร่วมมือมากขึ้น → คุณภาพบริการดีขึ้น → สร้างความไว้วางใจต่อไปไม่รู้จบ

มุมมองเชิงนโยบาย ทำอย่างไรให้รางวัล “ไม่ใช่งานปีละครั้ง” แต่เป็น “มาตรฐานทุกวัน”

รางวัลคือแรงจูงใจ แต่ มาตรฐาน ต้องกลายเป็น “กิจวัตร” 3 แนวทางที่หน่วยกลางอย่าง กระทรวงมหาดไทย–กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และพันธมิตรควรผลักต่อเนื่อง ได้แก่

  • เอสคูล (S-Cool) ท้องถิ่น สร้างเครือข่าย “โรงเรียนพัฒนาผู้นำท้องถิ่น” อบรมหลักสูตรระยะสั้นให้ผู้บริหาร–ข้าราชการท้องถิ่นมองภาพเชิงยุทธศาสตร์ ใช้ข้อมูลตัดสินใจ และสื่อสารสาธารณะอย่างมืออาชีพ
  • มาตรฐานข้อมูลกลาง (Local Gov Open Schema) บังคับใช้โครงสร้างข้อมูลเปิดมาตรฐานเดียวกันสำหรับงบประมาณ โครงการ การจัดซื้อจัดจ้าง และผลลัพธ์บริการ เพื่อให้เทียบเคียงกันข้ามจังหวัด/อปท. ได้
  • กลไกเงินอุดหนุนตามผลลัพธ์ (Outcome–Based Grant) จัดงบพิเศษให้โครงการที่พิสูจน์ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ชัด เช่น อัตราเกิดอุบัติเหตุลดลง คุณภาพน้ำ/อากาศดีขึ้น การเข้าถึงบริการสุขภาพชุมชนเพิ่มขึ้น

แนวทางเหล่านี้จะทำให้ “ความดี” ไม่ได้วัดเฉพาะวันรับรางวัล แต่เกิดขึ้น ทุกวัน ที่ประชาชนเปิดก๊อกน้ำสะอาด เดินบนทางเท้าที่ปลอดภัย และพิมพ์เอกสารราชการได้ด้วยตนเองจากโทรศัพท์มือถือ

จากเชียงม่วนถึงเชียงราย—และทั่วประเทศ

ชัยชนะของ เทศบาลตำบลเชียงม่วน คือข้อความเชิงบวกต่อทุกชุมชนล้านนา และต่อประเทศไทยว่า “ท้องถิ่นไทยทำได้” เมื่อยึดหลักธรรมาภิบาล บริหารบนข้อมูล และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมตัดสินใจ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงคือ ความเชื่อมั่น และ คุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้นอย่างจับต้องได้

สำหรับ เชียงราย เมืองใหญ่ของล้านนาตอนบนที่กำลังก้าวไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวคุณภาพ โลจิสติกส์ชายแดน และโมเดลเมืองน่าอยู่—บทเรียนเชียงม่วนคือ เข็มทิศ ให้เดินสู่มาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด ผ่านความร่วมมือของเทศบาล–อบต.–ชุมชน–ภาคธุรกิจ และสถาบันการศึกษาในพื้นที่

สุดท้าย รางวัลที่เชียงม่วนรับในปี 2568 จะมีคุณค่ามากที่สุด หากมันจุดประกายให้ทุก อปท. ทำสิ่งธรรมดาให้ไม่ธรรมดา—เดินเอกสารให้เร็วขึ้นอีกนิด เปิดข้อมูลให้มากขึ้นอีกหน่อย ฟังประชาชนให้ลึกขึ้นอีกขั้น และตรวจสอบตนเองให้เข้มขึ้นอีกทุกวัน เพราะปลายทางของงานท้องถิ่น ไม่ใช่ถ้วยรางวัล แต่คือชีวิตของผู้คนที่ ปัดเป่าความทุกข์และเพิ่มความสุข” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงมหาดไทย / กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.)
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • เทศบาลตำบลเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) / สำนักงาน ป.ป.ช. / สำนักงาน ป.ป.ท.
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี / คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ปลูกจิตสำนึกเสริมคุณธรรมบุคลากร

อบจ.เชียงราย จัดโครงการปลูกจิตสำนึก เสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากร ประจำปีงบประมาณ 2568

เชียงราย,27 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้จัดโครงการ ปลูกจิตสำนึกเพื่อเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากร ประจำปีงบประมาณ 2568″ โดยมี นางทรงศรี คมขำ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด ณ วัดพระธาตุผาเงา อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

การจัดโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ เสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกในการปฏิบัติงาน ให้กับบุคลากรทุกระดับของ อบจ.เชียงราย รวมถึงส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการให้บริการประชาชน

เป้าหมายและรูปแบบการจัดโครงการ

โครงการนี้มีเป้าหมายให้บุคลากร อบจ.เชียงราย จำนวน 500 คน ได้รับการอบรม โดยในครั้งแรกมีผู้เข้าร่วมจำนวน 300 คน แบ่งออกเป็น 2 รุ่น รุ่นละ 150 คน การอบรมจัดขึ้นในรูปแบบของ การบรรยายธรรมะ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการทำกิจกรรมกลุ่ม เพื่อให้บุคลากรได้ซึมซับหลักคุณธรรม จริยธรรม และนำไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ

วิทยากรและกิจกรรมภายในงาน

โครงการได้รับเกียรติจาก พระครูสังฆรักษ์ไพบูลย์ เป็นประธานอาราธนาศีล พร้อมด้วย พระมหาสมบัติ ปุญญสับปัตติ และ พระมหา ดร.ศรีพยัคฆ์ สิริวิญญู เป็นพระวิทยากรในการบรรยายธรรมะ ซึ่งเน้นย้ำเรื่อง การทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การมีจิตสาธารณะ และการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

นอกจากนี้ สิบเอกภายุภัคค์ เสนางาม หัวหน้าฝ่ายวินัยและส่งเสริมคุณธรรม กองการเจ้าหน้าที่ อบจ.เชียงราย ได้กล่าวรายงานและเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล ซึ่งจะช่วยให้การบริหารงานของ อบจ.เชียงรายเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของหลักธรรมาภิบาลในการปฏิบัติงาน

หลักธรรมาภิบาลเป็นแนวทางสำคัญในการบริหารงานที่ยึดหลักความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วม ซึ่งการปฏิบัติงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาลจะช่วยให้บุคลากรสามารถ ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล มีจริยธรรม และคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมโครงการ

  • ฝ่ายสนับสนุน: ผู้เข้าร่วมโครงการหลายคนแสดงความเห็นว่า การได้รับฟังธรรมะจากพระวิทยากรทำให้เข้าใจหลักคุณธรรมและจริยธรรมในการทำงานมากขึ้น และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับการนำหลักธรรมาภิบาลไปใช้ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร และความกดดันจากภารกิจที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนบุคลากร อบจ.เชียงราย ที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้: 300 คน จากเป้าหมายทั้งหมด 500 คน (ที่มา: อบจ.เชียงราย)
  • ความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมโครงการในปีที่ผ่านมา: มากกว่า 90% ระบุว่าได้รับความรู้และสามารถนำไปใช้ในงานจริง (ที่มา: กองการเจ้าหน้าที่ อบจ.เชียงราย)
  • จำนวนโครงการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในหน่วยงานภาครัฐในปี 2567: กว่า 1,200 โครงการทั่วประเทศ (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน – ก.พ.)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE