Categories
ECONOMY

ค้าชายแดนดิ่ง! แต่ส่งออกผ่านแดนฟื้นตัวแรงดันยอดรวมเกินดุลการค้า

 “เส้นเลือดหน้าด่าน” สะดุด ส่งออกชายแดนไทยหดรอบ 7 เดือน ขณะ “การค้าผ่านแดน” แรงไม่หยุด รัฐถูกจี้ปลดล็อกการเมืองชายแดน–กระจายความเสี่ยงสินค้า

กรุงเทพฯ, 29 สิงหาคม 2568 — รถบรรทุกคันยาวจอดรอคิวแน่นหน้าด่านในหลายจังหวัดชายแดน ภาพที่คุ้นตาของผู้ประกอบการท้องถิ่นกลับแฝงความกังวลมากกว่าความคึกคัก เพราะ “ยอดส่งออกชายแดน” ที่เคยเป็นเสาหลักเศรษฐกิจชุมชน กำลังอ่อนแรงสวนทางกับ “การค้าผ่านแดน” ที่ทะยานขึ้นแรง เมื่อผนวกกับความตึงเครียดทางการเมืองชายแดนที่ยังไม่นิ่ง ทำให้ครึ่งหลังปี 2568 เป็นช่วงชี้ชะตาของเศรษฐกิจชายแดนไทยโดยแท้

ข้อมูลล่าสุดที่หน่วยงานรัฐเปิดเผยสะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจนแม้มูลค่าการค้ารวม “ชายแดน+ผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 จะยังขยายตัว 5% แต่วงเล็บสำคัญคือ หากตัด “ผ่านแดน” ออก แล้วดูเฉพาะ “ชายแดน” จะเห็นการหดตัวแรงทั้งรายเดือนและสะสม 7 เดือน โดยมีปัจจัยชี้นำหลักจากทิศกัมพูชา ขณะที่ “ผ่านแดนสู่จีน” กลับแข็งแกร่ง ผลักโดยความต้องการสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะ “ทุเรียนสด” ที่ยังครองใจผู้บริโภคแดนมังกร (ตัวเลขตามที่สื่อเศรษฐกิจอ้างจากกรมการค้าต่างประเทศดูได้ในแหล่งอ้างอิง)

โครงเรื่องของวิกฤต เมื่อ “ด่านชายแดน” สะดุด แต่ “ทางผ่านแดน” กลับเร่งเครื่อง

1) การค้าชายแดนหดตัวหนัก
เดือนกรกฎาคม 2568 มูลค่าการค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 66,220 ล้านบาท ลดลง 20% โดยฝั่งส่งออกหดถึง 29.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดสะสม 7 เดือนแรก การค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 572,241 ล้านบาท ติดลบ 0.8% ฝั่งส่งออกติดลบ 3.5% สัญญาณที่กดดันผู้ประกอบการรายย่อยตามเมืองด่านอย่างปฏิเสธไม่ได้

ปัจจัยฉุดหลัก: ด้านกัมพูชา
รายงานเดียวกันระบุว่า ความไม่สงบและข้อพิพาทหน้าด่านทำให้ จุดผ่านแดนกัมพูชาถูกปิดถึง 18 แห่ง ส่งผลให้ มูลค่าการค้ากับกัมพูชาในเดือนกรกฎาคมร่วงเกือบ 100% เหลือราว 376 ล้านบาท หรือแทบชะงักงัน ข้อมูลนี้ชี้ว่าการเมืองชายแดนแปรเปลี่ยนเป็นต้นทุนธุรกิจโดยตรงรถบรรทุกที่เคยวิ่งเป็นพาหนะรายได้กลายเป็น “สินทรัพย์ว่างงาน” ในพริบตา

คู่ค้าอื่นก็เปราะบาง

  • มาเลเซีย: ส่งออกช่วง 7 เดือนแรก ลดลง 3.2% แม้ภาพรวมการค้ายังบวกเล็กน้อย
  • สปป.ลาว: ส่งออกช่วงเดียวกันหด 4%
  • เมียนมา: เดือนกรกฎาคมดีขึ้น แต่ยอด 7 เดือนแรก ฝั่งส่งออกแทบไม่ขยับ โตเพียง 0.1% สะท้อนการเติบโตที่เปราะบางท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองและโลจิสติกส์ข้ามแดน

2) การค้าผ่านแดนแข็งแกร่งจีนคือตัวขับเคลื่อนสำคัญ
คนในแวดวงโลจิสติกส์พูดตรงกันว่า “ทางผ่านแดน” คือ จุดสว่างกลางพายุ เดือนกรกฎาคม 2568 การค้าผ่านแดนมีมูลค่า 99,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.5% ฝั่งส่งออกพุ่ง 55% ส่วนยอดสะสม 7 เดือนแรก โต 24.6% ฝั่งส่งออกโตเกือบ 30% โดยมี จีน เป็นแกนกลางมูลค่าผ่านแดนไปจีนในเดือนกรกฎาคมโต 44% ฝั่งส่งออกทะยาน 72.4% สินค้าวิ่งแรงที่สุดคือ ทุเรียนสด มูลค่า 22,949 ล้านบาท โต 135.6% ทำสถิติเด่นจนแทบกลบข่าวร้ายฝั่งชายแดนไปชั่วขณะ

เสียงจากตัวเลข อ่านเศรษฐกิจชายแดนผ่าน “ผู้คน”

เชียงราย เป็นหนึ่งในจังหวัดแนวหน้า ทั้งในบทบาท “ด่านเมียนมา–ท่าขี้เหล็ก/แม่สาย” และ “ประตูสู่จีนตอนบน” ผ่านโครงข่าย R3A–R3B ที่ต่อเชื่อมลาวและจีน จังหวะเศรษฐกิจของเมืองจึงขึ้นกับ “จราจรหน้าด่าน” อย่างยากหลีกเลี่ยง ตัวเลขที่สะท้อนการหดของ “การค้าชายแดน” จึงหมายถึงร้านอาหารที่ขายได้น้อยลง แคชโฟลว์ของผู้รับเหมาขนส่งตึงขึ้น สินเชื่อรถบรรทุกของผู้ประกอบการ SMEs ต้องยืดหยุ่นมากขึ้น และตลาดงานขนส่งที่รับแรงสั่นไหวโดยตรง

ขณะเดียวกัน การค้าผ่านแดน ที่ยังโตแรง กลับอุ้ม “ซัพพลายเชนผลไม้” ไว้ได้โดยเฉพาะฤดูกาลทุเรียนที่ยังเป็นพระเอกของปี อย่างไรก็ดี ความสำเร็จที่ผูกกับสินค้าไม่กี่ชนิดก็คือ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง: ถ้าความต้องการจีนสะดุดจากภาวะเศรษฐกิจหรือมาตรการศุลกากรเข้มขึ้น โซ่รายได้ของชาวสวน–ล้ง–ขนส่ง–หน้าด่านจะสะดุดทั้งเส้น

ปมซ่อนเร้นในสถิติ การเมืองชายแดน–กฎระเบียบ–โครงสร้างพื้นฐาน

หนึ่ง, การเมืองชายแดนคือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
กรณีกัมพูชาที่ปิดจุดผ่านแดนจำนวนมากทำให้เห็นชัดว่า “ความมั่นคง” และ “การค้า” พันผูกกันแนบแน่นเพียงใด การลดทอนความตึงเครียด การสร้างกลไกเจรจาระดับพื้นที่ และการยกระดับศูนย์ประสานงานชายแดนให้แก้ปัญหาเชิงรุก จึงเป็น นโยบายเร่งด่วน ไม่ใช่ทางเลือก

สอง, กฎระเบียบหน้าด่านและมาตรฐานเอกสาร
ผู้ประกอบการร้องขอ “ความแน่นอน” มากกว่าทุกสิ่ง ทั้งเรื่องเวลาทำการด่าน มาตรฐานตรวจสอบสินค้า และช่องทางด่วนสำหรับสินค้าสด หากกฎระเบียบ คาดเดาไม่ได้ ต้นทุน “เวลารอ” จะลามเป็นต้นทุนสินค้าทั้งห่วงโซ่โดยทันที

สาม, โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ
แม้ทางผ่านแดนไปจีนจะเติบโต แต่การเชื่อมต่อระหว่างด่าน–จุดพัก–คลังสินค้า–รางรถไฟ ยังเป็นโจทย์ที่ต้องอุดช่องโหว่ โดยเฉพาะจุดคอขวดที่ทำให้การเคลื่อนย้ายผลไม้สดต้องแข่งกับ “นาฬิกาความสด” ทุกนาทีที่เสียไปคือมูลค่าที่หายไป

พลิกเกมอย่างไร ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ “ทำได้เลย” และ “ต้องทำต่อเนื่อง”

เร่งด่วน (0–3 เดือน)

  • เจรจาคลี่คลายจุดเสี่ยงกัมพูชา ตั้ง “โต๊ะทำงานร่วม” ระดับผู้ว่าฯ–ผู้ว่าฯ/ฝ่ายความมั่นคง และ ช่องทางสื่อสารฉุกเฉิน ระหว่างด่านคู่ขนานทุกคู่ เพื่อเปิด–ปิดด่านอย่างมีแผน ลดช็อกซัพพลาย (ตัวเลขเดือน ก.ค. ชี้ความเสียหายชัดเจน)
  • ยืดหยุ่นกฎหน้าด่านช่วงฤดูกาลผลไม้ ขยายเวลาทำการเป็นกรณี/เพิ่มช่องตรวจเฉพาะกิจ ลดเวลารอของตู้คอนเทนเนอร์เย็น
  • บรรเทาภาระต้นทุน SMEs ชายแดน ใช้เครื่องมือการเงินระยะสั้น (working capital/พักหนี้ที่ตรงจุด) ผูกกับหลักฐานคำสั่งซื้อจริง ลดการตัดตอนห่วงโซ่

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • ยกระดับมาตรฐาน “ด่านบริการ” (Single Stop/Single Window) สำหรับสินค้าสด โดยทดสอบในด่านหลัก เช่น แม่สาย–เชียงของ–หนองคาย แล้วขยายผล
  • กระจายพอร์ตสินค้า ดัน “ผลไม้รอง/เกษตรแปรรูป–ของใช้จำเป็น–สินค้าเขียว” ไปตลาดจีนและ CLM ผ่านแพลตฟอร์มเจาะกลุ่ม (เช่น โอทอป–ฮาลาล–เวชสำอาง) ลดความเสี่ยงจาก “ทุเรียนตัวเดียว”
  • เชื่อมราง–ถนน–คลัง เร่งโครงการ “คลังเย็นใกล้ด่าน/ศูนย์รวบรวมผลไม้” และจุดเปลี่ยนถ่ายสู่ราง เพื่อให้สินค้าสดไปได้ไกล–เร็ว–คงคุณภาพ

ระยะยาว (มากกว่า 1 ปี)

  • ออกแบบความร่วมมือชายแดนแบบ “เศรษฐกิจเพื่อชุมชน” ให้รายได้จากหน้าด่านไหลย้อนกลับสู่พื้นที่ (กองทุนพัฒนาท้องถิ่น–ท่องเที่ยวเชิงโลจิสติกส์)
  • ยกเครื่องข้อมูลด่านแบบเรียลไทม์ เปิดแดชบอร์ดสาธารณะเรื่องปริมาณรถ–เวลารอ–สถานะด่าน เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนและลดต้นทุนแบบเชิงระบบ

 

ด่านปิดวันเดียว เท่ากับเราขาดรายได้ทั้งสัปดาห์” ประโยคเรียบง่ายที่ผู้ประกอบการขนส่งรายหนึ่งเอ่ยกับผู้สื่อข่าวในภาคเหนือ สะท้อนความจริงที่ตัวเลขทางการยืนยัน—เดือนกรกฎาคมเดียว การค้ากับกัมพูชาดิ่งเกือบ 100% เหลือเพียง 376 ล้านบาท จากปกติที่คึกคักกว่านั้นหลายเท่า เมื่อรถไม่วิ่ง ร้านอะไหล่–ปั๊มน้ำมัน–ร้านข้าวตามสั่งในเมืองด่านก็ซบเซาตามกันไปเป็นลูกโซ่

ในอีกภาพหนึ่ง รถห้องเย็นเรียงยาวตามเส้นทางผ่านลาวไปจีน ผลผลิตทุเรียนจากตะวันออก–ใต้ไหลรวมขึ้นเหนือแข่งกับเวลา ฤดูกาลนี้ “ผลไม้ไทย” ยังทำคะแนนในตลาดจีนได้ดีจนยอดผ่านแดนพุ่ง ตัวเลขบอกชัด—ทุเรียนสดเพียงชนิดเดียวมีมูลค่าเกือบ 2.3 หมื่นล้านบาท ในเดือนเดียว โต สามหลัก แต่คำถามสำคัญคือ พึ่ง “พระเอก” ได้นานแค่ไหน หากวันหนึ่งรสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยน หรือระเบียบสุขอนามัยปลายทางเข้มขึ้น

ถอดบทเรียนให้เชียงรายและจังหวัดชายแดน

สำหรับ เชียงราย เมืองยุทธศาสตร์ที่เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีน การหดตัวของ “การค้าชายแดน” และความไม่แน่นอนที่ด่าน ไม่ใช่แค่ข่าวเศรษฐกิจ แต่คือความเป็นอยู่ของผู้คน—ตั้งแต่ชาวสวน–แรงงานขนถ่าย–คนขับรถ ไปจนถึงผู้ค้าในตลาดชายแดน ฝั่งหนึ่ง จังหวัดควรเร่งบทบาท “แม่งานประสานด่าน” สร้าง ศูนย์บัญชาการข้อมูล รวบรวมสถานะด่าน–คิวรถ–แนวโน้มสินค้าสด ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแบบเรียลไทม์ อีกฝั่งหนึ่ง ภาคเอกชนควรรวมกลุ่มต่อรองบริการโลจิสติกส์ (เช่น ค่าตู้เย็น/ค่ารอคิว) เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ย และร่วมมือกับสถาบันการเงินในพื้นที่ออกแบบเงินทุนหมุนเวียนที่ ผูกกับข้อมูลการขนส่งจริง แทนการประเมินความเสี่ยงแบบเหมารวม

เปลี่ยน “จุดเสี่ยงชายแดน” เป็น “จุดแข็งภูมิภาค”

ตัวเลขกรกฎาคม–สะสม 7 เดือนแรกปี 2568 ให้ภาพสองด้าน—ด้านมืดคือการส่งออกชายแดนที่หดแรงโดยเฉพาะทิศกัมพูชา ด้านสว่างคือการค้าผ่านแดนที่ทะยานสู่จีนหนุนด้วยทุเรียนสด หากมองเชิงระบบ นี่ไม่ใช่ภาพที่ขัดแย้ง แต่เป็นสัญญาณเตือนให้ไทย จัดการความเสี่ยงชายแดน และ ยกระดับโครงสร้างผ่านแดน พร้อมกัน

โจทย์ของรัฐจึงไม่ใช่เพียง “อัดมาตรการระยะสั้น” แต่คือการ ทำให้ด่านคาดการณ์ได้–กฎระเบียบโปร่งใส–โลจิสติกส์ไร้คอขวด และที่สำคัญที่สุดคือ กระจายพอร์ตสินค้า ให้เศรษฐกิจหน้าด่านไม่ต้องฝากอนาคตไว้กับสินค้าไม่กี่ชนิดหรือความสัมพันธ์การเมืองชายแดนที่ผันผวน การทำให้ “ชายแดนไทย” เป็นทั้ง ประตูการค้า และ กันชนความเสี่ยง จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะพาเศรษฐกิจท้องถิ่น—ตั้งแต่เชียงรายถึงเบตง—ก้าวผ่านความไม่แน่นอนในช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

ตัวเลขสำคัญ

  • การค้ารวม “ชายแดน+ผ่านแดน” ก.ค. 2568: 166,025 ล้านบาท (+5% YoY)
  • การค้าชายแดน ก.ค. 2568: 66,220 ล้านบาท (-20% YoY) / ส่งออก -29.5% | สะสม 7 เดือน: 572,241 ล้านบาท (-0.8%), ส่งออก -3.5%
  • กัมพูชา: ปิดจุดผ่านแดน 18 แห่ง / มูลค่าก.ค. เหลือราว 376 ล้านบาท (เกือบ -100%)
  • การค้าผ่านแดน ก.ค. 2568: 99,805 ล้านบาท (+32.5%) / ส่งออก +55% | สะสม 7 เดือน: +24.6%, ส่งออกเกือบ +30%
  • จีน (ผ่านแดน): ก.ค. 2568 การค้ารวม +44% / ส่งออก +72.4% | ทุเรียนสด ก.ค. 22,949 ล้านบาท (+135.6%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการค้าต่างประเทศ (กระทรวงพาณิชย์)
  • ชายแดน–ผ่านแดน’ ก.ค. 68 / กัมพูชาดิ่ง ทุเรียนสดพาจีนพุ่ง” (เผยแพร่ 26 ส.ค. 2568).
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตผลไม้ไทย ทุเรียนราคาดิ่ง มะม่วงหลุดผู้นำ ผวาเวียดนามครองตลาดจีน

ไทยเสียแชมป์ผลไม้ส่งออก สัญญาณวิกฤตศักยภาพเกษตรไทยในตลาดโลก

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – ประเทศไทยซึ่งเคยได้รับการยอมรับว่าเป็น “เจ้าตลาดผลไม้เมืองร้อน” โดยเฉพาะในตลาดจีน ซึ่งถือเป็นผู้นำด้านการส่งออกทุเรียน มังคุด และมะม่วง กลับต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2568 เมื่อเวียดนามก้าวขึ้นมาครองพื้นที่ทางการตลาดอย่างน่าเกรงขาม ด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดปลายทาง

จากอดีตที่ผลไม้ไทยแทบไม่มีคู่แข่งในตลาดจีน วันนี้สถานการณ์กลับพลิกผันในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

จุดเริ่มต้นของการเสียความเป็นผู้นำทุเรียนไทยถูกแทนที่

ต้นปีที่ผ่านมา ทุเรียนไทยซึ่งเคยเป็นผลไม้เรือธงในการส่งออก ถูกเวียดนามแซงหน้าขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในตลาดจีน ด้วยสัดส่วนการนำเข้าทุเรียนเวียดนามกว่า 64% ขณะที่ทุเรียนไทยหดตัวเหลือเพียงราว 30% เท่านั้น

สาเหตุหลักเกิดจากความสามารถในการจัดการด้านโลจิสติกส์ของเวียดนามที่มีประสิทธิภาพกว่า ต้นทุนต่ำกว่า และการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับรัฐบาลจีนในด้านการเปิดจุดผ่านแดนและการเร่งพิธีการศุลกากร ซึ่งช่วยให้ผลไม้เวียดนามเข้าเมืองจีนได้เร็วขึ้นและสดใหม่กว่า

ราคาตกต่ำ – ความเชื่อมั่นสั่นคลอน

ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า ราคาทุเรียนหน้าสวนไทยในปี 2568 ตกต่ำสุดในรอบ 5 ปี เหลือเพียงกิโลกรัมละ 80-95 บาท จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 120-150 บาท ส่วนหนึ่งมาจากภาวะล้นตลาด ขาดการวางแผนการผลิต และการกระจายสินค้าที่ไร้เอกภาพ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าขบวนการในเวียดนามบางกลุ่มพยายาม “สวมสิทธิ์” ทุเรียนไทยเพื่อหลอกตลาดจีน โดยอ้างว่าเป็นผลไม้ที่ผ่านการรับรองจากประเทศไทย สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของผลไม้ไทยอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการสืบสวนข้อเท็จจริง

มะม่วงไทยร่วงพ้น Top 5 – เวียดนามครองตลาด 97%

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ มะม่วงไทยที่เคยติด Top 3 ผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของจีน กลับมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือไม่ถึง 3% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่เวียดนามกลับขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 97% ด้วยคุณภาพที่คงเส้นคงวา ราคาสมเหตุสมผล และการส่งออกอย่างมีระบบ

นักวิเคราะห์ตลาดระบุว่า จุดแข็งของเวียดนามอยู่ที่การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว การควบคุมคุณภาพ และการพัฒนามาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผลไม้เวียดนามผ่านด่านการตรวจสอบของจีนได้รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ไทยกำลังสูญเสียข้อได้เปรียบดั้งเดิมในเวทีโลก

การเสียตำแหน่งในตลาดจีนของทุเรียนและมะม่วงไม่ใช่แค่เรื่องการแข่งขันด้านผลไม้เท่านั้น แต่เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมถอยในความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรไทยในภาพรวม ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทยมาช้านาน

หลายปัจจัยสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการที่ล่าช้า การขาดความเป็นเอกภาพระหว่างหน่วยงาน ความล่าช้าในการปรับตัวต่อมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศ และการพึ่งพาตลาดส่งออกแบบกระจุกตัว

หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการปรับยุทธศาสตร์ ไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกผลไม้ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูงกว่า 144,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลปี 2566 จากกรมศุลกากร) และจะกระทบตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยไปจนถึงห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจมหภาค

ทางออกไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ทั้งระบบ

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไทยควรปรับทิศทางนโยบายการเกษตรใหม่ใน 3 ด้าน ได้แก่:

  1. ยกระดับมาตรฐานการผลิต: พัฒนาคุณภาพตั้งแต่ต้นทางด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบ Smart Farming การจัดการดิน น้ำ และปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. พัฒนาการตลาดเชิงรุก: เร่งสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยผ่านการตลาดดิจิทัล และการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐที่มีเป้าหมายชัดเจน
  3. สร้างเครือข่ายความร่วมมือภูมิภาค: เปิดตลาดใหม่ในอาเซียน ตะวันออกกลาง และยุโรปเพื่อลดการพึ่งพาตลาดจีนเพียงช่องทางเดียว

บทสรุป

สถานการณ์ในปี 2568 ไม่ได้สะท้อนแค่การเปลี่ยนแปลงในตลาดผลไม้ แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทุกประเทศต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรมอันดับต้น ๆ ของโลก จำเป็นต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” อย่างจริงจัง หากไม่อยากถูกผลักให้กลายเป็นผู้เล่นรายรองในเวทีที่เคยเป็นเจ้าภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมศุลกากร (www.customs.go.th)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • Vietnam Trade Promotion Agency (VIETRADE)
  • สำนักข่าว Xinhua (China)
  • ข้อมูลรายงานการค้าผลไม้ไทย-จีน ประจำไตรมาส 1 ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ทุเรียนแชมป์ส่งออกรถไฟเร็วสูงจีน – สปป.ลาว ลดเวลาขนส่งเหลือ 15 ชั่วโมง

 

วันที่ 20 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปจีนผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน – สปป.ลาว เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม – พฤษภาคม) ของปี 2566 มี มูลค่ารวม 2,848.41 ล้านบาท ขยายตัวกว่าร้อยละ 260 จากปี 2565 โดยผลไม้ไทยได้รับความนิยมในตลาดจีนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งการใช้รถไฟจีน-ลาว สามารถช่วยลดระยะเวลาการขนส่ง จากที่เคยใช้เวลาผ่านถนนเส้นทาง R3A ประมาณ 2 วัน เหลือใช้เวลาบนรถไฟไม่เกิน 15 ชั่วโมง ทั้งนี้ รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบราง ไทย-สปป.ลาว-จีน เพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทย ปูทางสู่การเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งของภูมิภาคในอนาคต
 
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ พบว่า 10 อันดับแรกของสินค้าที่ส่งออกทางด่านหนองคายผ่านแดน สปป.ลาว ไปจีนมีมูลค่าการส่งออกและขยายตัวสูงที่สุด ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ได้แก่ 1) ทุเรียนสด อยู่ที่ 2,073.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 364 เมื่อเทียบกับช่วงกันของปี 2565 2) มังคุดสด 378.65 ล้านบาท 3) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 315.21 ล้านบาท 4) ลำไยสด 37.40 ล้านบาท 5) สินค้าแร่ และเชื้อเพลิงอื่น ๆ 17.89 ล้านบาท 6) สับปะรดแปรรูป 11.43 ล้านบาท 7) ส้มโอสด 2.99 ล้านบาท 8) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 2.72 ล้านบาท 9) มะม่วงสด 1.79 ล้านบาท และ 10) ผลไม้อื่น ๆ 1.52 ล้านบาท ตามลำดับ 
 
ทั้งนี้ รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบราง ไทย-สปป.ลาว-จีน อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (กรุงเทพฯ – หนองคาย) เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค สำหรับระยะที่ 1 (กรุงเทพฯ – นครราชสีมา) มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพระบบคมนาคมขนส่งทางรางของไทย เชื่อมโยงภูมิภาค ตลอดจนเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกสินค้าไปตลาดจีนได้มากขึ้น โดยใช้ระยะเวลาการขนส่งน้อยลง และยังสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี ในการส่งออกสินค้าไปจีนได้อีกด้วย
 
“รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางราง ซึ่งเป็นการขนส่งที่สามารถลดต้นทุน เวลา และค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ส่งออกไทย พร้อมเชื่อมั่นว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้อย่างครอบคลุมตามที่รัฐบาลได้ดำเนินการ จะมีส่วนสำคัญ ส่งต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคได้” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News