Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

สวนแม่ฟ้าหลวงคว้าตำแหน่ง “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด” แห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย

ดอยตุงสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ สวนแม่ฟ้าหลวงคว้าตำแหน่ง “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด” แห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ปัญหามลภาวะทางแสงที่ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสูญเสียความงาม สวนแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย กลับสามารถสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล” (Dark Sky Conservation Area in a Private Area) อย่างเป็นทางการ ถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเภทนี้ของประเทศไทย

ความสำเร็จครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งไม่เพียงแต่ตอกย้ำคุณค่าทางธรรมชาติของดอยตุงที่มีมาช้านาน แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ดาราศาสตร์ที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน

เส้นทางสู่ความสำเร็จที่ไม่ง่ายดาย

การได้รับการรับรองในครั้งนี้ผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 คุณวิสิษฐ์อร รัชตะนาวิน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ ในฐานะตัวแทนมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้เข้ารับมอบโล่รับรองอย่างเป็นทางการในโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND #Season 4 ซึ่งเป็นผลงานร่วมกันระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT)

ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการที่พื้นที่สวนแม่ฟ้าหลวงมีแนวทางการจัดการแสงสว่างที่เหมาะสมและเป็นมาตรฐาน โดยไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางแสง (Light Pollution) ทำให้ผู้มาเยือนสามารถชื่นชมความงดงามของท้องฟ้ายามค่ำคืนและดวงดาวนับล้านดวงได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบัน

เกณฑ์มาตรฐานระดับโลกที่ท้าทาย

สำหรับการได้รับการรับรองเป็น “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล” นั้น NARIT ได้กำหนดเกณฑ์และกระบวนการรับรองที่เข้มงวดตามมาตรฐานสากล ซึ่งประกอบด้วยข้อกำหนดหลักที่ท้าทายดังนี้

ด้วยพื้นที่โล่งที่เหมาะสม สวนแม่ฟ้าหลวงมีพื้นที่โล่งสำหรับจัดกิจกรรมทางดาราศาสตร์ที่สามารถสังเกตการณ์ท้องฟ้าโดยรอบได้มากกว่า 70% ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดขั้นต่ำที่กำหนดไว้

คุณภาพท้องฟ้าของพื้นที่นี้มีค่าความมืดท้องฟ้าสูงถึง 19 magnitude ต่อตารางฟิลิปดา และสามารถสังเกตเห็นวัตถุท้องฟ้าต่างๆ ด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นทางช้างเผือก กาแล็กซีอันดรอมีดา และกลุ่มดาวต่างๆ ที่สวยงาม

ในด้านการบริหารจัดการแสงสว่าง สวนแม่ฟ้าหลวงมีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพใน 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การควบคุมทิศทางแสงให้ส่องลงพื้นเท่านั้น การเลือกใช้อุณหภูมิแสงสว่างที่เหมาะสม และการมีระบบควบคุมเวลาเปิด-ปิดที่เข้มงวด รวมถึงการจำกัดความสว่างของแหล่งกำเนิดแสงภายนอกอาคารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดแสงรบกวน

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพื้นที่โดยรอบปราศจากแสงรบกวนจากภายนอก และมีการศึกษาและอธิบายถึงสถานการณ์มลภาวะทางแสงโดยรอบพื้นที่จัดกิจกรรมอย่างละเอียด

มิติใหม่ของการอนุรักษ์ที่ครอบคลุมทุกชีวิต

การเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียงจุดชมดาว เพราะการอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดมีผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์อย่างมหาศาล วัฏจักรธรรมชาติของแสงและความมืดเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่อการทำงานของระบบนิเวศโลก

สำหรับสัตว์ป่า แสงประดิษฐ์ในเวลากลางคืนสร้างความเสียหายอย่างมากต่อพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น การหากิน การอพยพตามฤดูกาล และกระบวนการสืบพันธุ์ที่สำคัญ นกอพยพหลงทางจากเส้นทางการบินที่ใช้มานานนับพันปี แมลงกลางคืนสูญเสียการนำทางจากแสงดวงจันทร์และดวงดาว ส่งผลให้ห่วงโซ่อาหารเกิดความเสียหาย

สำหรับพืชพรรณ กระบวนการสำคัญต่างๆ เช่น การออกดอก การเจริญเติบโต และการสังเคราะห์แสงในเวลากลางคืนก็ได้รับผลกระทบจากแสงประดิษฐ์เช่นกัน

ในส่วนของมนุษย์ แสงประดิษฐ์ที่มากเกินไปในเวลากลางคืนรบกวนการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่จำเป็นต่อการนอนหลับที่มีคุณภาพ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น ความเครียด โรคซึมเศร้า และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ

การลดมลภาวะทางแสงจึงเป็นมาตรการอนุรักษ์ที่ให้ประโยชน์หลายมิติ ทั้งการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การปกป้องสุขภาพของมนุษย์ การประหยัดพลังงาน และการลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว

ประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

การขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดครั้งนี้ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้สัมผัสกับประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์รูปแบบใหม่ที่พิเศษและหาได้ยากในภูมิภาคนี้ ภายในพื้นที่สวนแม่ฟ้าหลวงมีการออกแบบกิจกรรมกลางคืนที่ผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างลงตัว

กิจกรรมเดินสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพยามค่ำคืนจะให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสกับชีวิตสัตว์ป่ากลางคืนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้ฟังเสียงธรรมชาติยามค่ำคืนที่แตกต่างจากกลางวัน และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการปรับตัวของสรรพสิ่งเพื่อความอยู่รอดในความมืด

การบรรยายเรื่องดวงดาวโดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการเปิดหน้าต่างสู่จักรวาล ให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้เกี่ยวกับดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ กาแล็กซี และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ต่างๆ ที่สามารถสังเกตได้จากท้องฟ้าดอยตุง พร้อมทั้งเข้าใจถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ท้องฟ้ายามราตรี

เพื่อรักษาคุณภาพของสิ่งแวดล้อมและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้าร่วม กิจกรรมทั้งหมดจะมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเป็นระยะ และเปิดให้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้าเท่านั้น เพื่อควบคุมจำนวนผู้เข้าชมให้เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศ

โอกาสและความท้าทายในอนาคต

ความสำเร็จของสวนแม่ฟ้าหลวงในการกลายเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดแห่งแรกในพื้นที่เอกชนของไทย เป็นต้นแบบที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม การขยายผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาวยังต้องการการดำเนินการในหลายมิติ

การพัฒนากฎหมายและข้อบังคับระดับชาติเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน รัฐบาลควรพิจารณาการออกกฎหมายเฉพาะด้านมลภาวะทางแสงที่มีฟันเขี้ยวในการบังคับใช้ เพื่อให้มีกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนและครอบคลุมทั่วประเทศ

การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเป็นอีกปัจจัยสำคัญ NARIT และ ททท. ควรขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมการลงทุนในการปรับปรุงระบบแสงสว่างให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาแพ็กเกจการท่องเที่ยวเชิงดาราศาสตร์ที่หลากหลายและน่าสนใจ

การให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเป็นรากฐานสำคัญของการอนุรักษ์ ควรมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลกระทบของมลภาวะทางแสงต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และมรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจให้กับชุมชนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพื้นที่เหล่านี้มากที่สุด

การบูรณาการกับการวางแผนการใช้ที่ดินและการพัฒนาเมืองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาการรวมข้อกำหนดและมาตรฐานด้านมลภาวะทางแสงเข้ากับแผนการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและชนบท เพื่อป้องกันการเกิดมลภาวะทางแสงใหม่และรักษาคุณภาพของท้องฟ้ายามค่ำคืนไว้สำหรับอนุชนคนรุ่นหลัง

มรดกอันล้ำค่าสำหรับคนไทยทุกคน

การขึ้นทะเบียนสวนแม่ฟ้าหลวงเป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดไม่ใช่เพียงความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพียงหน่วยงานเดียว แต่เป็นความภาคภูมิใจและมรดกอันล้ำค่าที่มอบให้กับธรรมชาติและคนไทยทุกคน ความสำเร็จนี้เป็นสัญลักษณ์ของการที่ประเทศไทยสามารถนำแนวคิดการอนุรักษ์ในมิติใหม่มาปฏิบัติได้จริง และเป็นต้นแบบให้กับภูมิภาคอาเซียนและนานาประเทศ

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมลภาวะทุกรูปแบบกำลังคุกคามวิถีชีวิตของมนุษย์และสรรพสิ่ง การที่เรายังคงสามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้เหมือนที่บรรพบุรุษของเราเคยมองเห็น ถือเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างล้ำลึก

สวนแม่ฟ้าหลวงแห่งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่สวนสาธารณะหรือแหล่งท่องเที่ยวธรรมดา แต่เป็นหน้าต่างสู่จักรวาลที่เปิดให้เราได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เป็นห้องเรียนกลางแจ้งที่สอนให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม และเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เตือนใจเราให้ตระหนักถึงหน้าที่ในการรักษาและปกป้องความงามของโลกใบนี้ให้คงอยู่ตลอดไป

การที่เราจะร่วมกันปกป้องความมืดแห่งท้องฟ้ายามค่ำคืน และแสงแห่งดวงดาวนับล้านดวงให้คงอยู่สำหรับลูกหลานของเราในอนาคต นั่นคือภารกิจสำคัญที่สวนแม่ฟ้าหลวงได้เปิดทางไว้ให้เราทุกคนได้เดินตาม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์: ข่าวสารและข้อมูลการขึ้นทะเบียนเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): ข้อมูลโครงการ AMAZING DARK SKY IN THAILAND
  • สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NARIT): ข้อมูลการรับรองเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดและเกณฑ์การพิจารณา
  • โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ: ข้อมูลพื้นฐานและปรัชญาการดำเนินงาน
  • International Dark-Sky Association (IDA): ข้อมูลการรับรองเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดประเภทต่างๆ และมาตรฐานสากล
  • เอกสาร “เขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดในพื้นที่ส่วนบุคคล: แนวทางปฏิบัติ ประโยชน์ และโอกาสในประเทศไทย”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่สายเร่งสอบนายทุน บุกรุกที่ราชพัสดุ ป่าสงวน

นายทุนแฝงรุกป่าสงวนเชียงราย จัดสรรขายที่ดินรัฐหวั่นกระทบมั่นคงชาติ

เชียงรายตรวจเข้ม! แฉพฤติกรรมจัดสรรที่ดินรัฐอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย

เชียงราย, 30 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายกลายเป็นจุดสนใจระดับชาติอีกครั้ง หลังมีรายงานผ่านช่องยูทูปชื่อดังเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เขตโครงการพัฒนาดอยตุง (คพต.) และที่ราชพัสดุในอำเภอแม่สาย โดยมีการจัดสรรแบ่งขายอย่างเปิดเผยผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งสร้างความกังวลต่อทั้งภาครัฐและประชาชนในพื้นที่

ลงพื้นที่ตรวจสอบด่วนหลังมีรายงานการขายที่ดินผ่านไลฟ์เฟซบุ๊ก

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 จังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่สำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงราย และผู้นำชุมชน ได้ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบ 3 จุดหลักในตำบลเวียงพางคำ

  • บ้านผาแตก หมู่ 10 (ซอยผาคำ 11) พื้นที่ประมาณ 11 ไร่
  • บ้านป่ายางใหม่ หมู่ 4 พื้นที่ประมาณ 7 ไร่
  • บ้านป่าเมือดรุ่งเจริญ หมู่ 5 พื้นที่ประมาณ 23 ไร่

พื้นที่ทั้งหมดถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีการบุกรุกโดยกลุ่มนายทุนบางกลุ่ม ซึ่งมีเป้าหมายรองรับการย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์เมียนมาและชาวจีนเทา ด้วยวิธีการเปิดขายผ่านป้ายและการไลฟ์สดทางโซเชียลมีเดีย

ตั้งโต๊ะแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

ในที่ประชุม ณ ชั้น 4 ที่ว่าการอำเภอแม่สาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมติร่วมกัน 3 ข้อสำคัญ

  1. สั่งระงับกิจกรรมในพื้นที่ทั้งหมดทันที พร้อมรื้อถอนป้ายประกาศและโพสต์ขายทางออนไลน์
  2. ให้หน่วยงานที่ดูแลพื้นที่ร่วมตรวจสอบสถานะกรรมสิทธิ์ของแต่ละแปลง
  3. มอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านและผู้นำชุมชน 8 ตำบลในแม่สายเฝ้าระวัง หากพบความผิดปกติให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที

ที่ดินรัฐกลายเป็นสินค้าราคาสูงในตลาดลับ

การรายงานข่าวโดยสื่อออนไลน์ได้นำเสนออย่างชัดเจนว่ามีการแสดงเจตนาขายที่ดินของรัฐอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์ของพื้นที่ซึ่งจัดสรรไว้สำหรับการอยู่อาศัยของประชาชนผู้ยากไร้ หรือการใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์ หรือมีเจ้าหน้าที่รัฐบางรายรู้เห็นเป็นใจ ซึ่งทางฝ่ายปกครองกำลังเร่งสืบสวน

ความเสี่ยงระยะยาวต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน

หนึ่งในประเด็นที่เจ้าหน้าที่แสดงความกังวลคือ หากไม่รีบจัดการและปล่อยให้กระบวนการซื้อขายแบบผิดกฎหมายดำเนินไป อาจส่งผลให้พื้นที่ในอำเภอแม่สายตกอยู่ภายใต้การครอบครองของกลุ่มชาติพันธุ์จากประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต

นอกจากนี้ การตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่ปัญหาด้านอาชญากรรม เศรษฐกิจสีเทา และการบิดเบือนโครงสร้างประชากรในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา

เสียงเรียกร้องต่อหน่วยงานรัฐตรวจสอบ-ลงโทษ-ปกป้องประชาชน

ประชาชนในพื้นที่ต่างเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ เช่น กรมธนารักษ์ กรมป่าไม้ และสำนักงานที่ดิน เร่งตรวจสอบข้อมูลเอกสารสิทธิ์ของพื้นที่ที่ถูกบุกรุก พร้อมดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด

เสียงสะท้อนจากชุมชนยืนยันว่า พื้นที่เหล่านี้ควรสงวนไว้ให้กับผู้มีสิทธิ์โดยชอบตามกฎหมาย ไม่ใช่เปิดโอกาสให้ทุนต่างถิ่นเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในลักษณะที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐ

ปัญหาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนายทุนแฝง

หากวิเคราะห์ในเชิงลึก ปัญหานี้สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบกำกับดูแลที่ดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนซึ่งมีจุดอ่อนในการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย อีกทั้งยังเปิดช่องให้มีการใช้เทคโนโลยีสื่อสารใหม่ เช่น ไลฟ์เฟซบุ๊ก มาเป็นเครื่องมือขายที่ผิดกฎหมาย

การตรวจสอบที่แม่นยำและการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดการปัญหาเชิงระบบ

การบุกรุกพื้นที่ป่าและที่ดินรัฐในประเทศไทย

จากรายงานของกรมป่าไม้ พบว่าในปี 2566 มีการบุกรุกพื้นที่ป่าทั่วประเทศกว่า 279,000 ไร่ โดยในภาคเหนือมีสัดส่วนการบุกรุกสูงสุดถึง 36% ของทั้งหมด

ในขณะเดียวกัน สำนักงานที่ดินระบุว่ามีกรณีฟ้องร้องเรื่องสิทธิ์ครอบครองที่ดินของรัฐมากกว่า 4,500 คดี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน เช่น เชียงราย ตาก และแม่ฮ่องสอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย
  • กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
  • รายงานสถานการณ์การบุกรุกพื้นที่ป่า ปี 2566
  • รายงานข่าวจาก YouTube ช่อง “เจาะลึกจริง” และเฟซบุ๊กไลฟ์กลุ่มขายที่ดินแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

“สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 10” โฉมใหม่! เนรมิตดอกไม้แสนต้น กับแนวคิด “ดอกไม้ระบายดอย”

 

วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2566 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัดพิธีเปิดงาน “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 10” อย่างเป็นทางการแล้ว ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติมาร่วมงานมากมาย อาทิ พุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย วิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย ปวิณ ชำนิประศาสน์ และ ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ ที่ปรึกษากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ ศุภาดา ชัยวงษ์ ผู้แทนการตลาด สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการภาคเหนือ 

 

ซึ่งบรรยากาศลมหนาวปลายปีกลับมาอีกครั้ง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ชวนสัมผัสความสุขกับธรรมชาติบริสุทธิ์บนดอยตุงกับงาน “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 10” เทศกาลแห่งความสุขที่สูงที่สุดในประเทศไทย ปีนี้มาพร้อมกับสวนแม่ฟ้าหลวงโฉมใหม่ ตื่นตาตื่นใจกว่าทุกปีภายใต้แนวคิด “ดอกไม้ระบายดอย” เนรมิตดอกไม้ที่ชาวดอยตุงปลูกเองกว่า 100,000 ต้น ผสานภูมิทัศน์รูปแบบใหม่ โดยภูมิสถาปนิกชื่อดังระดับประเทศ พร้อมกาดชุมชนบนถนนคนเดินกว่า 80 ร้านมาให้ช็อปท้าลมหนาว ในระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 28 มกราคม 2567 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ณ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย 

 

โดยนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า กระผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นทุกฝ่ายร่วมกันจัดงานสีสันแห่งดอยตุงขึ้นในครั้งนี้  ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย อีกทั้งยังเป็นการสืบสานวิถีวัฒนธรรมที่หลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ และพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการชุมชนไปสู่นักออกแบบรุ่นใหม่ อันจะเป็นการสร้างรายได้และความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ต่อไป

 

ในส่วนนายประเสริฐ ตรงเจริญเกียรติ ประธานสายปฏิบัติการธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ 
กล่าวถึงความพิเศษของการจัดงานในปีนี้ว่า งานสีสันแห่งดอยตุงจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 แล้ว เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการชุมชนและสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ไฮไลต์ของปีนี้ คือ การปรับภูมิทัศน์ของสวนแม่ฟ้าหลวงโฉมใหม่ ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เชิญ ธัชพล สุนทราจารย์ ภูมิสถาปนิกชื่อดังระดับประเทศ มาออกแบบใหม่ เป็นทุ่งดอกไม้ไล่สีพาสเทล โดยใช้ดอกไม้เมืองหนาวกว่า 100,000 ต้นจากดอกไม้ 10 สายพันธุ์ อาทิ ดอกบลูซัลเวีย ดอกแวววิเชียร ดอกดาวกระจายโซนาต้า ดอกรองเท้านารี และดอกกล้วยไม้พันธุ์ฟาแลนนอปซิส เป็นต้น กลายเป็นอีกจุดถ่ายรูปเช็คอินแห่งใหม่ท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อม และเบื้องหลังดอกไม้อันสวยงาม คือ การจ้างงานเกษตรกรบนดอยตุงนับร้อยชีวิตที่ปลูก ฟูมฟัก และรังสรรค์สวนใหม่นี้ขึ้นมาเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน

 

นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนผ่านงานหัตถกรรม อาหารพื้นถิ่น ไม้ดอกไม้ประดับ และการแสดงของเด็กรอบโครงการพัฒนาดอยตุงฯ แล้ว ยังมีกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวทุกคนในครอบครัวมากมาย อาทิ 

 

สายคาเฟ่ ห้ามพลาดมุมระเบียงดอย และ Slow Bar กลางสวนดอกไม้สำหรับดื่มด่ำกาแฟดริปสุดพิเศษเฉพาะงานสีสันแห่งดอยตุงครั้งนี้ พร้อมฟินกับไอศกรีมดอยตุง 3 ลายออกใหม่ ไอศกรีมดอกไม้ระบายดอย รสอัญชันน้ำผึ้งมะนาว ไอศกรีมน้องหมี่ก่า รสนมชมพู และไอศกรีมน้องโต รสชาไทย อร่อยท้าลมหนาว แถมนำไปถ่ายรูปกับสวนสวยได้อีก และฟินสุดกับของที่ระลึกงานสีสันแห่งดอยตุงครั้งที่ 10 ของที่ระลึกโปรเจกต์พิเศษระหว่าง DoiTung x WHITE HAT. ออกแบบโดย ชะเอม-ปัณรสี ศะศินิล นักวาดภาพประกอบรุ่นใหม่ที่ถ่ายทอดดอกไม้ 7 สายพันธุ์ในสวนแม่ฟ้าหลวงออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ อาทิ เสื้อยืด กระเป๋าผ้า สมุดกระดาษสา แก้วเซรามิก และกระเป๋าใส่เหรียญ 

 

ส่วนสายชิม เชิญอิ่มอร่อยกับอาหารเหนือและอาหารชนเผ่าสุดลำ ขนมพื้นบ้าน และเครื่องดื่มสูตรพิเศษ จากร้านค้าชุมชนกว่า 80 ร้าน อาทิ พิซซ่าหน้าหมูดำบาร์บีคิวเข้ากันดีกับซอสบาร์บีคิวเข้มข้น ซูชิดอย หมูย่างอาข่า และข้าวปุ๊กปิ้ง ขนมมงคลของชาวไทยใหญ่ ยำหัวบุกเส้นรสเจ็บ แซ่บสะเด็ดไปทั้งดอย แยมคราฟต์ช็อกโกแลต ชาดาวอินคา ชาอินทรีย์อู่หลง สูตรบำรุงหัวใจจากสวนชาออร์แกนิกดอยตุง และแฟนๆ อาหารครัวตำหนักไม่ควรพลาด ข้าวเหลืองดอกปุดอุ๊บเนื้อไก่ เมนูใหม่! ประยุกต์จากอาหารชาวไทใหญ่ จับคู่ข้าวสีเหลืองจากดอกปุด กินกับ อุ๊บไก่ หรือ ไก่อบกับพริกแกงสูตรเฉพาะของครัวตำหนัก เฟตตูชินีแกงฮังเลหมู ดอกไม้ มูสดอกอัญชัน และครัมเบิลแมคคาเดเมีย เสิร์ฟพร้อมตะลิงปลิง เป็นต้น 

 

สายช็อปพบกับร้านดอยตุง ไลฟ์สไตล์ นำเสนองานคราฟต์ชนเผ่าทรงคุณค่า ทั้งเสื้อผ้า ของตกแต่งบ้าน ดีไซน์รวมสมัยแต่ยังคงเอกลักษณ์ของชนเผ่าชาวดอยตุง พร้อมชมการแสดงเชิงวัฒนธรรมที่หาชมได้ยากของ 6 ชนเผ่าบนดอยตุง อาทิ ชาติพันธุ์นานาไหว้สาแม่ฟ้าหลวง กระทุ้งไม้ไผ่อาข่าประยุกต์ เมาธ์ออแกน เต้นจะคึ และนารีศรีชาติพันธุ์ เป็นต้น  

 

นอกจากนี้ยังเอาใจสายศิลปะและรักธรรมชาติกับการเวิร์กช็อป Tattoo ดอกไม้ดอยตุง เวิร์กช็อปยิงพรม เพ้นท์เซรามิก ฯลฯ สามารถนำกลับบ้านเป็นของฝากได้อีกด้วย และที่ขาดไม่ได้กับกิจกรรมรักษ์โลก CARBON NEUTRAL EVENT เทศกาลสีสันแห่งดอยตุงเป็นงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น “ศูนย์” เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายในงานเน้นการใช้บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ และทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น กระบอกไม้ไผ่ และใบตอง เป็นต้น

 

เชิญพบความสนุกแบบเต็มอิ่มในเทศกาลสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 10 ในระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2566 ถึงวันที่ 28 มกราคม 2567 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น. ณ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของเทศกาลสีสันแห่งดอยตุงครั้งที่10 ได้ที่ www.facebook.com/DoiTungClub หรือโทร 053-767-015-7

 

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News