![](https://nakornchiangrainews.com/wp-content/uploads/2025/02/photo-web-42.jpg)
ผบ.ตร. สั่งช่วยราชการนายพลตำรวจ 2 นาย เซ่นปมเชื่อมโยงธุรกิจผิดกฎหมายชายแดน
กรุงเทพฯ, วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ปมร้อน! นายพลตำรวจพัวพันธุรกิจสีเทา-ค้ามนุษย์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 63/2568 และ 64/2568 ให้ข้าราชการตำรวจระดับนายพล 2 นาย ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
พล.ต.ต. เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ
คำสั่งที่ 63/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ว่า พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนคาสิโน รวมถึงเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีดังกล่าว และเพื่อความโปร่งใสจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือประการใด เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้างซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าการกระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
พล.ต.ต. สัมฤทธิ์ เอมกมล
คำสั่งที่ 64/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนประเทศเมียนมาร์ อีกทั้งมีการลักลอบข้ามชายแดนช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก กรณีดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของสถานีตำรวจภูธรแม่สอด สถานีตำรวจภูธรแม่ระมาดและสถานีตำรวจภูธรพบพระ จังหวัดตาก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล
เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีที่เป็นสงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดวินัยหรืออาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบกับระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
การรักษาราชการแทน
ในส่วนของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.วีรพรรษ อมรมุนีพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตากอีกหนึ่งหน้าที่
คำสั่งมีผลบังคับใช้ทันที
คำสั่งทั้งสองฉบับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
ความโปร่งใสและการตรวจสอบ
การดำเนินการในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรักษาความโปร่งใสและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ