Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อย่าทุบถ้าไม่ปรึกษา! บทเรียนจากวัดป่าอ้อร่มเย็น เมื่อความเจริญปะทะงานศิลป์ระดับศิลปินแห่งชาติ

สะเทือนใจเมืองศิลปะเชียงราย กรณีทุบทำลายงานศิลป์วัดป่าอ้อร่มเย็น ศิลปินแห่งชาติ–ศิลปินท้องถิ่นรุดลงพื้นที่ เจรจายุติการรื้อถอน ชูเป็นกรณีศึกษา “อย่าทำลายงานศิลปะโดยไม่ปรึกษา”

เชียงราย, 26 ธันวาคม 2568 – เหตุการณ์ทุบทำลายงานศิลปะภายในวัดป่าอ้อร่มเย็น ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กลายเป็นประเด็นร้อนที่ส่งแรงสะเทือนไปทั้งวงการศิลปะและสังคมออนไลน์ในช่วงปลายปี 2568 หลังมีการเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอการรื้อถอนกำแพงดินและจิตรกรรมฝาผนังซึ่งสร้างสรรค์โดยศิลปินชื่อดังของจังหวัดเชียงราย จนเกิดคำถามสำคัญต่อแนวทางการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมในเมืองที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น “เมืองศิลปะ” ของภาคเหนือ

กรณีนี้เริ่มต้นจากการตัดสินใจของทางวัดที่ต้องการขยายพื้นที่และปรับปรุงอาคารเดิมให้รองรับการใช้ประโยชน์มากขึ้น นำไปสู่การสั่งรื้อถอนบางส่วนของอาคารและผลงานศิลปะโดยไม่ได้มีการหารือกับศิลปินเจ้าของผลงานล่วงหน้า ก่อนที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์จะปะทุขึ้นในโลกออนไลน์ และท้ายที่สุดทำให้ศิลปินระดับแถวหน้าของเชียงรายต้องลงพื้นที่ด้วยตนเอง เพื่อยุติความเสียหายที่อาจลุกลามไปมากกว่านี้

ผลงาน “แรไอเทม” กลางวัดของเมืองศิลปะ

ผลงานที่ได้รับความเสียหายภายในวัดป่าอ้อร่มเย็นครั้งนี้ประกอบด้วยผลงานสถาปัตยกรรมกำแพงดินและจิตรกรรมไทยฝาผนังซึ่งถูกระบุจากคนในพื้นที่ว่าเป็น “แรไอเทม” (Rare Item) ของตำบลนางแล ทั้งในแง่คุณค่าทางศิลปะและในฐานะหมุดหมายทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณของศิลปินกับชุมชน

กำแพงดินและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมถูกออกแบบและปั้นโดยอาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ ศิลปินแห่งชาติ ปี 2567–2568 สาขาประติมากรรมเซรามิก ผู้ก่อตั้ง “บ้านดอยดินแดง” แหล่งเรียนรู้ศิลปะเซรามิกที่เป็นที่รู้จักทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ขณะที่งานจิตรกรรมไทยฝาผนังภายในอาคารเป็นผลงานของอาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง อดีตนายกสมาคมขัวศิลปะ หนึ่งในศิลปินสำคัญที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเชียงรายสู่การเป็นเมืองศิลปะร่วมสมัย

ที่สำคัญคือ ผลงานทั้งสองส่วนนี้ ศิลปินสร้างให้ “โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” ถือเป็นการอุทิศแรงงานและศักยภาพเชิงศิลป์ให้แก่วัดและชุมชนในฐานะศรัทธาและการทำบุญรูปแบบหนึ่ง จึงไม่ใช่เพียงงานตกแต่งอาคาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่างศิลปินและสถาบันศาสนาในการยกระดับพื้นที่วัดให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ด้านศิลปะและจิตวิญญาณควบคู่กัน

การตัดสินใจรื้อถอน “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” จุดชนวนคำถามใหญ่เรื่องการอนุรักษ์

ต้นตอของเหตุการณ์มาจากความต้องการขยายและปรับปรุงพื้นที่ของวัดเพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าอ้อร่มเย็นยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการตัดสินใจที่ “รวดเร็วเกินไป” และเป็นผลมาจาก “ความคิดแว้บเดียว” ที่มุ่งเน้นไปที่ประโยชน์ใช้สอยของอาคาร โดยไม่ได้หยุดคิดให้รอบด้านถึงคุณค่าทางศิลปะที่ถูกสร้างไว้

ในคลิปคำชี้แจงต่อหน้าศิลปินและสาธารณชน รักษาการเจ้าอาวาสกล่าวในทำนองว่า ตน “ลืมนึกถึงความงามของศิลปะ” และคิดเพียงว่าเมื่อรื้อถอนแล้ว ต่อไปสามารถ “ขอความเมตตา” จากอาจารย์สมลักษณ์และอาจารย์ทรงเดชให้กลับมาสร้างผลงานใหม่ได้อีก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปจึงตระหนักว่า แนวคิดเช่นนี้ทำให้ “ศิลปะเสียหาย” และเป็นสิ่งที่ “คิดไม่ถึงจริง ๆ” ว่าจะนำมาซึ่งผลกระทบทางจิตใจต่อผู้คนจำนวนมากในสังคม

คำยอมรับว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” จากผู้นำทางศาสนาในครั้งนี้จึงสะท้อนช่องว่างที่ยังมีอยู่มากในเรื่องการจัดการและอนุรักษ์งานศิลปะในวัด ซึ่งมักถูกมองเป็นเพียงองค์ประกอบประกอบอาคาร ไม่ใช่มรดกวัฒนธรรมร่วมสมัยที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ

ศิลปินลงพื้นที่แต่เช้ามืด “เบรกทัน” ก่อนความเสียหายลุกลาม

กระแสความไม่พอใจในสังคมเริ่มปะทุขึ้นหลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กเผยแพร่ภาพการทุบกำแพงดินและงานจิตรกรรม พร้อมข้อความสะท้อนความตกใจและสะเทือนใจว่า “ตกใจ ใจหายมาก ร้อนขอบตาหมดเลย มันเป็นเรื่องจริงเหรอ” ภาพเหล่านี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสื่อออนไลน์ จนดึงดูดความสนใจของคนในวงการศิลปะและประชาชนทั่วไป

อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดังชาวเชียงราย เจ้าของวัดร่องขุ่น และบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพจำ “เชียงรายเมืองศิลปะ” เปิดเผยผ่านคลิปวิดีโอว่า เมื่อทราบข่าวในคืนวันที่ 25 ธันวาคม 2568 ตนรู้สึก “ร้อนรน” และคิดในใจว่าผลงานทั้งหมดอาจถูกทุบทำลายไปแล้ว จึงรีบโทรศัพท์หาอาจารย์ทรงเดชและอาจารย์สมลักษณ์ตั้งแต่เวลาประมาณตีสี่ ก่อนจะนัดหมายกันเดินทางมา “เบรก” เหตุการณ์ที่วัดแต่เช้ามืดในวันถัดมา

เมื่อมาถึงพื้นที่ อาจารย์เฉลิมชัยพบว่า งานจิตรกรรมของอาจารย์ทรงเดชบางส่วนถูกทุบไปแล้ว แต่ตัวอาคาร ระเบียง และองค์ประกอบภายนอกจำนวนมากยังคงอยู่ในสภาพเดิม เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยกับรักษาการเจ้าอาวาสต่อหน้าศิลปินทั้งสอง และขอให้ “ยุติการทุบและการรื้อถอนทุกอย่างไว้เพียงเท่านี้” พร้อมเสนอให้ใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ “ปรึกษาหารือร่วมกัน” ว่าจะปรับปรุงอาคารอย่างไรโดยยังคงรักษาคุณค่าทางศิลปะให้มากที่สุด

อาจารย์เฉลิมชัยยังกล่าวต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ควรถูกใช้เป็น “กรณีศึกษา” หรือ “ตัวอย่างเตือนใจ” ต่อวัดและผู้ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศว่า

“อย่าทำ ถ้าจะปรับปรุงหรือรื้ออะไรที่มีงานศิลปะอยู่ ต้องปรึกษาศิลปินเขาก่อน…ความคิดง่าย ๆ ของเรา ถ้าไม่คิดให้รอบด้าน มันนำมาซึ่งความเสียหายที่เอาคืนไม่ได้”

ภาพก่อนถูกรื้อ

จากโบสถ์หนึ่งหลัง สู่คำถามใหญ่ของ “เมืองศิลปะ”

เหตุการณ์ที่วัดป่าอ้อร่มเย็นสะท้อนให้เห็นข้อขัดแย้งที่พบได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย นั่นคือ ความตึงเครียดระหว่าง “ความต้องการใช้ประโยชน์พื้นที่ของวัดและชุมชน” กับ “ความจำเป็นในการอนุรักษ์งานศิลปะและมรดกวัฒนธรรม” โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายที่แบรนด์ “เมืองศิลปะ” ถูกสร้างขึ้นจากการทำงานของศิลปินและเครือข่ายศิลปะอย่างยาวนาน

ผลงานของอาจารย์สมลักษณ์ ปันติบุญ และอาจารย์ทรงเดช ทิพย์ทอง ไม่ได้มีมูลค่าเฉพาะในตลาดศิลปะ หากแต่มีคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ในฐานะงานของศิลปินที่เติบโตจากแผ่นดินเชียงราย และย้อนกลับมาสร้างสรรค์ให้กับวัดในท้องถิ่นของตนเอง การทุบทำลายโดยไม่ปรึกษาศิลปินจึงถูกมองว่าเป็นการ “ตัดขาดสายใย” ระหว่างศิลปิน ชุมชน และศาสนสถานอย่างน่าเสียดาย

ในมุมมองเชิงโครงสร้าง เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนข้อจำกัดด้านระบบการคุ้มครองงานศิลปะร่วมสมัยในวัด ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานหรือมรดกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการ ทำให้ไม่มีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน วัดจำนวนมากจึงใช้ดุลยพินิจภายในตัดสินใจปรับปรุงอาคารตามความจำเป็น โดยไม่ได้มีที่ปรึกษาด้านศิลปะหรือสถาปัตยกรรมเข้ามาร่วมพิจารณาอย่างเป็นระบบ

เสียงสะท้อนและการยอมรับผิด จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความเชื่อมั่น

แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะสร้างความสะเทือนใจต่อผู้คนในวงกว้าง แต่การออกมายอมรับอย่างตรงไปตรงมาของรักษาการเจ้าอาวาสว่า “คิดไม่รอบด้าน” และ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” รวมถึงการยอมยุติการรื้อถอนทันทีเมื่อศิลปินเดินทางมาพูดคุย ถือเป็นก้าวแรกของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นระหว่างวัด ศิลปิน และชุมชน

อาจารย์เฉลิมชัยยืนยันต่อสาธารณชนว่า จากนี้ไปจะไม่มีการทุบหรือรื้อถอนเพิ่มเติม และจะให้ศิลปินเจ้าของผลงานคืออาจารย์สมลักษณ์และอาจารย์ทรงเดช เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบแนวทางปรับปรุงอาคาร เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของวัด ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาและฟื้นฟูคุณค่าทางศิลปะเท่าที่จะทำได้

ท่าทีดังกล่าวส่งสัญญาณสำคัญไปยังวงการศิลปะและสาธารณชนว่า แม้ความเสียหายบางส่วนจะไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่กระบวนการ “รับผิด–ปรับแก้–ร่วมคิด” ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ อาจกลายเป็นต้นแบบใหม่ของการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างการใช้ประโยชน์พื้นที่และการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในอนาคต

บทเรียนเชิงนโยบาย จากกรณีศึกษาหนึ่งวัด สู่แนวคิดอนุรักษ์งานศิลป์ระดับจังหวัด

เมื่อพิจารณาในระดับกว้าง เหตุการณ์วัดป่าอ้อร่มเย็นไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของวัดหนึ่งแห่ง แต่เป็น “กระจกสะท้อน” ระบบนิเวศศิลปวัฒนธรรมของเชียงรายและประเทศไทยในภาพรวม

ประการแรก กรณีนี้ชี้ให้เห็นความจำเป็นในการมี “กลไกปรึกษาหารือ” ระหว่างวัด ศิลปิน หน่วยงานท้องถิ่น และผู้เชี่ยวชาญด้านอนุรักษ์ ก่อนจะมีการรื้อถอนหรือปรับปรุงพื้นที่ที่มีงานศิลปะคุณค่า ในจังหวัดเชียงรายซึ่งมีวัดและสถานที่สำคัญที่ศิลปินร่วมสมัยสร้างผลงานไว้จำนวนมาก การจัดทำ “ฐานข้อมูลผลงานศิลป์ในวัด” อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถประเมินผลกระทบและวางแผนการปรับปรุงอาคารได้อย่างรอบคอบมากขึ้น

ประการที่สอง เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นของการสร้าง “ความรู้เท่าทันด้านศิลปะ” ให้แก่ผู้บริหารวัดและคณะกรรมการศาสนสถาน โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีแบรนด์ด้านศิลปะชัดเจน เช่น เชียงราย การอบรมหรือเวิร์กช็อประหว่างศิลปิน ผู้นำศาสนา และหน่วยงานรัฐ อาจช่วยลดโอกาสเกิดเหตุการณ์ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” แบบเดียวกันนี้ในอนาคต

ประการที่สาม ในมิติของนโยบายวัฒนธรรมระดับจังหวัด กรณีนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนแนวทาง “เชียงรายเมืองศิลปะ” ว่าจะก้าวต่อไปอย่างไรให้สมดุลระหว่างการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และการดูแลมรดกทางศิลปะที่กระจายอยู่ในวัดและชุมชนต่าง ๆ ทั่วจังหวัด

ปิดฉากด้วยคำเตือน “อย่าทำ” และคำชวน “มาดูด้วยตาตัวเอง”

ท้ายที่สุด อาจารย์เฉลิมชัยใช้เหตุการณ์นี้สื่อสารไปถึงพุทธศาสนิกชนและผู้สนใจงานศิลปะว่า ใครที่เดินทางมาเชียงรายและตั้งใจไปเยือนบ้านดอยดินแดง บ้านของอาจารย์สมลักษณ์ ควรแวะไปชมวัดป่าอ้อร่มเย็นที่ตำบลนางแล ซึ่งอยู่ก่อนถึงดอยดินแดง เพื่อสัมผัสผลงานที่ยังหลงเหลืออยู่ด้วยสายตาตนเอง พร้อมทั้งตระหนักถึงความเปราะบางของงานศิลปะที่อาจหายไปได้ในพริบตาหากขาดการดูแลอย่างเหมาะสม

ในขณะเดียวกัน เขาย้ำอย่างชัดเจนว่ากรณีนี้ควรเป็น “คลิปตัวอย่าง” ให้ทุกวัดและทุกหน่วยงานจำไว้ว่า

“อย่าทำ…อย่าทุบ อย่ารื้อ งานศิลปะทิ้ง โดยไม่คิดและไม่ปรึกษา เพราะความคิดง่าย ๆ แค่ขยายอาคาร หรืออยากให้ใช้ประโยชน์มากขึ้น หากไม่มองถึงคุณค่าทางศิลปะ มันอาจแลกมาด้วยการสูญเสียที่ไม่มีวันย้อนคืน”

เหตุการณ์ที่วัดป่าอ้อร่มเย็นจึงมิได้เป็นเพียงข่าวเศร้าของวงการศิลป์เชียงราย แต่เป็น “บทเรียนร่วมกัน” ของทั้งวัด ศิลปิน ชุมชน และหน่วยงานรัฐ ว่าการรักษามรดกทางศิลปะให้คงอยู่คู่สังคมไทยนั้น ต้องเริ่มจากการมองเห็นคุณค่าบนผืนดินของตนเอง ก่อนที่ผลงานอันล้ำค่าจะกลายเป็นเพียง “ภาพในความทรงจำ” ของผู้ที่เคยได้มีโอกาสเห็นมาก่อนเท่านั้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จากห้องเรียนสู่เวทีโลก! อาชีวะเชียงรายใช้เทคนิคแกะโฟมจำลองสนามจริง ก่อนลุยชิงแชมป์หิมะที่จีน

อาชีวะเชียงรายปั้น “ช่างฝีมือระดับสูง” ลุยศึกแกะสลักหิมะโลก ณ ฮาร์บิน ใช้ “โฟม” จำลองสมรภูมิหนาว – จากห้องเรียนสู่เวทีนานาชาติ

เชียงราย, 21 ธันวาคม 2568 – เมื่อพูดถึง “หิมะ” เมืองเชียงรายอาจไม่มีเกล็ดหิมะโปรยปรายเหมือนในภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่ในห้องปฏิบัติการของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย เยาวชนอาชีวะกำลังฝึกฝนทักษะเฉพาะทางที่ต้องใช้ในสภาพอากาศติดลบหลายสิบองศาเซลเซียส ห่างออกไปกว่าพันกิโลเมตร ณ เมืองฮาร์บิน สาธารณรัฐประชาชนจีน

วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย ภายใต้การนำของ ดร.อรพิน ดวงแก้ว ผู้อำนวยการฯ กำลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ช่างฝีมือระดับสูงสู่เวทีโลก” ด้วยการจัดโครงการฝึกอบรม “การแกะสลักโฟม–น้ำแข็ง จำลองสถานการณ์การแกะสลักน้ำแข็งจากหิมะ” ระหว่างวันที่ 12–14 ธันวาคม 2568 เพื่อเตรียมทีม “Fighting frost TH” ตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันแกะสลักหิมะนานาชาติระดับมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 18 (International Collegiate Snow Sculpture Contest: ICSSC 2026) ณ เมืองฮาร์บิน ช่วงต้นเดือนมกราคม 2569

เบื้องหลังการฝึกอบรม 3 วันไม่ใช่เพียงคาบเรียนเสริมทักษะ แต่คือกระบวนการ “จำลองสนามจริง” ตั้งแต่การออกแบบ การบริหารเวลา ไปจนถึงการทำงานภายใต้แรงกดดันทั้งทางกายภาพและจิตใจ เพื่อให้เยาวชนอาชีวะไทยพร้อมเผชิญสมรภูมิหิมะที่แท้จริง

จากเมืองร้อนสู่เมืองหิมะ ทำอย่างไรให้เด็กไทยแกะสลักหิมะได้

ข้อจำกัดสำคัญของประเทศไทยคือ เป็นประเทศเขตร้อน ไม่มีหิมะธรรมชาติให้ฝึกซ้อม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงรายจึงใช้ “โฟมอุตสาหกรรมความหนาแน่นสูง” เป็นสื่อกลางในการเรียนการสอน ผ่านรายวิชา “การแกะสลักโฟม” (รหัสวิชา 2307 9012) ปรับรูปแบบการเรียนให้ตอบโจทย์การแข่งขันแกะสลักหิมะโดยตรง

โฟมแต่ละก้อนถูกออกแบบให้มีขนาดและปริมาตรใกล้เคียงกับบล็อกหิมะอัดแน่นที่ใช้จริงในสนามฮาร์บิน นักศึกษาเรียนรู้เทคนิคการลบเนื้อวัสดุ (Subtractive Sculpture) การคำนวณสัดส่วน และการคุมสมดุลน้ำหนัก เพื่อหลีกเลี่ยงการแตกร้าวหรือพังถล่มของชิ้นงาน ซึ่งในสนามจริงอาจหมายถึงการ “ตกรอบ” ทั้งทีมภายในเวลาไม่กี่นาที

เพื่อให้การฝึกมีความใกล้เคียงกับสภาพจริงมากที่สุด วิทยาลัยฯ เชิญ นายสุพัฒน์ ปักกาโต ผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะสลักโฟม–น้ำแข็ง และ นายศิวาวุธ แสงสวาสดิ์ นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษจากสำนักบริหารการอาชีวศึกษาเอกชน มาร่วมเป็นวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์ตรง ทั้งเรื่องเทคนิคเครื่องมือ การวางโครงสร้างภายในชิ้นงาน ตลอดจนสภาวะการทำงานในอุณหภูมิติดลบ ที่ต้องสลับการทำงานและพักร่างกายอย่างมีวินัย

โครงการทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ดร.อรพิน ดวงแก้ว ที่วางแนวทางชัดเจนว่า การพัฒนาทักษะต้อง “เริ่มจากสถานศึกษาท้องถิ่นแต่ไปจบที่เวทีโลก” ผ่านการบูรณาการระหว่างสองแผนกหลัก ได้แก่

  • แผนกวิชาการออกแบบ นำโดย นางสาวศุภรัตน์ หาญศึก ดูแลโครงสร้าง รูปทรง และมิติทางศิลปะ
  • แผนกวิชาวิจิตรศิลป์ นำโดย นายพงษ์พิสิฐ ขันจันทร์แสง รับผิดชอบด้านองค์ประกอบทัศนศิลป์และความละเอียดของผลงาน พร้อมทำหน้าที่ผู้ควบคุมทีมแข่งขัน

การทำงานข้ามสาขาเช่นนี้ ทำให้ผลงานที่ออกมาไม่ใช่แค่ “สวยงาม” แต่ยังมีความแข็งแรงทางวิศวกรรม รองรับสภาพการแกะสลักบนก้อนหิมะจริงขนาดประมาณ 3×3×3 เมตร ที่มีน้ำหนักหลายตัน

รู้จัก “Fighting frost TH” – เยาวชนเชียงรายที่แบกธงไทยขึ้นสู่สนามโลก

ทีม Fighting frost TH ประกอบด้วยนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 (ปวช.3) แผนกวิชาวิจิตรศิลป์ จำนวน 4 คน ซึ่งล้วนเติบโตมาจากภูมิหลังที่แตกต่างแต่เชื่อมโยงกันด้วยศิลปะและเมืองเชียงราย ได้แก่

  1. นางสาวฐิรกาญจน์ สิริพิบูลธรรม (น้องหยวย) จากบ้านถ้ำ อำเภอแม่สาย พื้นที่ชายแดนที่ผสมผสานความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม
  2. นางสาวมริสา แบแจกู่ (น้องเฟิร์น) จากบ้านปางขอน อำเภอเมืองเชียงราย แหล่งปลูกกาแฟชื่อดังบนพื้นที่สูงของจังหวัด
  3. นางสาวกัลยาภรณ์ ไชยชมพู (น้องมิ้ว) จากตำบลดอยลาน อำเภอเมืองเชียงราย
  4. นางสาวจิรปรียา ยานะนวล (น้องการ์ตูน) จากตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย

เชียงรายในฐานะ “เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” ของยูเนสโก เป็นฉากหลังสำคัญของการเติบโตทางศิลปะให้กับเยาวชนทั้งสี่คน พื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยแกลเลอรี ศิลปินร่วมสมัย และประเพณีท้องถิ่น ได้กลายเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ ที่หล่อหลอมให้พวกเขากล้าที่จะฝันไกลออกไปนอกเหนือจากขอบเขตจังหวัด

นายพงษ์พิสิฐ ขันจันทร์แสง ครูผู้ควบคุมทีม บอกเล่าผ่านเวทีอบรมว่า จุดแข็งของทีมนี้ไม่ใช่แค่ “ฝีมือ” แต่คือความรับผิดชอบและวินัยในการฝึกซ้อมต่อเนื่อง แม้จะต้องฝึกในเวลาหลังเลิกเรียนหรือวันหยุด นักศึกษายังพร้อมเต็มที่ เพราะรู้ว่าบนเวทีฮาร์บิน ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจทำให้ทีมไทยเสียโอกาสสำคัญ

ปลากัดและบัวสี่เหล่า” – ศิลปะบนหิมะที่เล่าเรื่องอาชีวะไทย

ผลงานที่ทีม Fighting frost TH เลือกนำเสนอในการแข่งขัน ใช้แนวคิดหลักว่า
สร้างฝันด้วยหิมะ จุดประกายอนาคตด้วยสติปัญญา”

รูปแบบชิ้นงานเป็น ปลากัดไทย ว่ายวนอยู่บนลูกโลก ประดับด้วย ดอกบัวสี่เหล่า ที่ค่อย ๆ ผุดขึ้นจากผืนน้ำ แนวคิดนี้มีชั้นเชิงทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงศิลปะ

  • ปลากัด สื่อถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีทั้งความงดงามและความแข็งแกร่ง เป็นภาพแทนเยาวชนอาชีวะที่ต้อง “สู้ไม่ถอย” ในสนามแข่งขันต่างแดน
  • ลูกโลก สะท้อนเวทีโลกและยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความรู้และทักษะแพร่กระจายอย่างไร้พรมแดน เยาวชนจากเมืองชายขอบอย่างเชียงรายสามารถก้าวขึ้นไปเล่นบนเวทีเดียวกับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก
  • บัวสี่เหล่า ใช้สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาอธิบาย “ลำดับขั้นของการเรียนรู้” ตั้งแต่ผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ไปจนถึงผู้ที่พร้อมเบ่งบานเหนือผืนน้ำ เปรียบเทียบกับเส้นทางการศึกษาของนักเรียนอาชีวะที่ค่อย ๆ สั่งสมทักษะ จากห้องเรียนสู่การเป็น “ฝีมือชน”

ในเชิงเทคนิค การแกะสลักปลากัดให้มีครีบพลิ้วไหว และบัวที่ซ้อนชั้นกันอย่างประณีต ถือเป็นโจทย์ยากบนวัสดุหิมะที่เปราะและแตกหักได้ง่าย ทีมจึงต้องออกแบบโครงสร้างภายในอย่างรอบคอบ เพื่อให้สัดส่วนทุกส่วนรองรับน้ำหนักกันได้จริง ไม่เพียงแต่สวยในภาพสเก็ตช์

 

อาชีวะไทยบนเวทีฮาร์บิน: ความต่อเนื่องของ “มาตรฐานแชมป์”

การแข่งขันแกะสลักหิมะนานาชาติที่เมืองฮาร์บิน เป็นหนึ่งในเวทีที่สำคัญที่สุดของโลกในสาขาศิลปะหิมะและน้ำแข็ง ทีมจากประเทศไทย โดยเฉพาะจากสายอาชีวศึกษา เคยสร้างชื่อเสียงมาแล้วหลายครั้ง ทั้งจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และเสาวภา ที่คว้ารางวัลระดับสูงอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

เมื่อเดือนมกราคม 2567 ทีมจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันแกะสลักน้ำแข็งที่ฮาร์บินได้สำเร็จอีกครั้ง สะท้อนศักยภาพของนักศึกษาอาชีวะไทยที่ยืนอยู่แถวหน้าบนเวทีโลก แม้ประเทศไทยจะไม่มีทรัพยากรหิมะตามธรรมชาติเลยก็ตาม

ปูมหลังความสำเร็จเหล่านี้กลายเป็น “แรงกดดันเชิงบวก” ให้กับวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงรายในฐานะผู้เล่นรายใหม่ ทีม Fighting frost TH จึงไม่ได้เพียงไปเพื่อ “เข้าร่วม” แต่ต้องการ “รักษามาตรฐาน” ที่รุ่นพี่เคยสร้างไว้ พร้อมกับใส่ลายเซ็นของเชียงรายลงบนผลงานชุดใหม่

จากการพัฒนาทักษะสู่ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ–สังคมเชียงราย

มิติที่น่าสนใจของโครงการฝึกอบรมครั้งนี้ คือ ผลลัพธ์ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การแข่งขัน หากมองในระยะยาว การสร้าง “ช่างฝีมือระดับสูง” ด้านประติมากรรมน้ำแข็งและโฟม มีนัยสำคัญต่อทั้งตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของเชียงราย

  1. เพิ่มมูลค่าแรงงานอาชีวะ
    ทักษะการแกะสลักสามารถต่อยอดสู่งานบริการระดับพรีเมียม เช่น การจัดงานอีเวนต์ โรงแรมหรู งานเทศกาลฤดูหนาว หรืองานศิลปะเชิงพาณิชย์ นักศึกษาที่ผ่านการฝึกอบรมสามารถรับงานเสริมระหว่างเรียนหรือเปิดสตูดิโอของตนเองได้ในอนาคต
  2. เสริมภาพลักษณ์เมืองสร้างสรรค์
    เชียงรายซึ่งมีชื่อเสียงด้านศิลปะอยู่แล้ว หากสามารถจัดกิจกรรมหรือเทศกาล “หิมะจำลอง–น้ำแข็งจำลอง” ในช่วงฤดูหนาว โดยใช้ทักษะของนักศึกษาอาชีวะ จะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เชื่อมโยงกับแลนด์มาร์กเดิมอย่างศูนย์ศิลปะ วัด และพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ
  3. สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน
    การที่เยาวชนระดับ ปวช. จากจังหวัดชายแดนสามารถขึ้นแข่งขันในเวทีเดียวกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เป็นตัวอย่างจับต้องได้ว่า “เส้นทางสายอาชีพ” ก็สามารถพาคนหนุ่มสาวไปสู่เวทีโลกได้เช่นเดียวกับสายสามัญ

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มองว่าการส่งทีมเข้าร่วม ICSSC 2026 เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ยกระดับทักษะช่างฝีมือไทยให้เทียบเท่าสากล และเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์อาชีวศึกษาไทยให้สังคมเห็นคุณค่ามากขึ้น ทั้งในมิติวิชาชีพและมิติศิลปะร่วมสมัย

กำหนดการสู่สมรภูมิฮาร์บิน และเสียงเชียร์จากเชียงราย

ตามกำหนดการ ทีม Fighting frost TH จะเดินทางจากประเทศไทยไปยังเมืองฮาร์บิน ระหว่างวันที่ 4–7 มกราคม 2569 เข้าร่วมการแข่งขันแกะสลักหิมะในกรอบงานเทศกาลน้ำแข็งและหิมะนานาชาติประจำปีของเมือง ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลายล้านคนในแต่ละฤดูกาล

สวท.เชียงราย สังกัดกรมประชาสัมพันธ์ ได้เชิญชวนประชาชนชาวเชียงรายและคนไทยทั่วประเทศร่วมส่งแรงใจให้กับทีมตัวแทนอาชีวะเชียงรายในการแข่งขันครั้งนี้ ทั้งผ่านสื่อกระจายเสียง และช่องทางออนไลน์ของหน่วยงาน เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเบื้องหลังการเดินทางของเยาวชนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง มีพลังใจจากคนทั้งจังหวัดคอยหนุนอยู่ข้างหลัง

ในมุมของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย โครงการฝึกอบรมครั้งนี้ถือเป็นเพียง “ก้าวแรก” หากผลการแข่งขันออกมาเป็นที่น่าพอใจ สถาบันมีแนวคิดจะจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เฉพาะทางด้านประติมากรรมน้ำแข็งและโฟมในอนาคต เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ต่อไปยังรุ่นน้อง และเปิดโอกาสให้เยาวชนจากจังหวัดอื่น ๆ เข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากเวทีโลกกลับมาสู่ชุมชนฐานรากอย่างแท้จริง

หมายเหตุสำคัญต่อผู้อ่าน

ข่าวเชิงลึกชิ้นนี้ ไม่ใช่งานวิจัยหรืองานวิชาการ แต่เป็นการรวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข่าวจากสื่อมวลชน และข้อมูลเปิดเผยบนอินเทอร์เน็ต รวมถึงคำบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่บางส่วน ผู้เขียนข่าวยินดีอย่างยิ่งหากนักวิชาการด้านอาชีวศึกษา ศิลปกรรม หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง จะช่วยเพิ่มเติม แก้ไข หรือขยายความข้อมูลเชิงลึกในประเด็นที่ยังไม่ครบถ้วน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะและต่อการพัฒนานโยบายด้านการศึกษาในระยะยาว

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
  • สำนักบริหารการอาชีวศึกษาเอกชน
  • สวท.เชียงราย กรมประชาสัมพันธ์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME