Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ยกระดับสื่อไทย! SONP-Google จัดอบรม AI เข้มข้น หวังสร้างข่าวคุณภาพ

SONP จับมือ Google พลิกโฉมกองบรรณาธิการไทย สู่ยุค AI ขับเคลื่อนสื่อคุณภาพ

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – การอบรมเชิงลึก เสริมพลังบรรณาธิการทั่วประเทศ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ร่วมกับ Google News AI Lab จัดอบรมเข้มภายใต้โครงการ “News AI Lab Train-the-Trainer รุ่นที่ 1” เมื่อวันที่ 2–3 สิงหาคม 2568 ณ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารจากสำนักข่าวทั่วประเทศ รวมถึงผู้บริหารสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ นำโดยคุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร และคุณกันณพงศ์ ก.บัวเกษร เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

การอบรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับทักษะของกองบรรณาธิการข่าวในการใช้เครื่องมือ AI อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการสืบค้นข้อมูล การตรวจสอบข่าวปลอม และการปรับกระบวนการผลิตเนื้อหาให้ทันต่อยุคสื่อดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญ ถ่ายทอดความรู้ด้าน AI เพื่อข่าวคุณภาพ

การอบรมประกอบด้วยการบรรยายเชิงลึกโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากวงการสื่อ ได้แก่

  • คุณธนภณ เรามานะชัย – Media Consultant
  • คุณณัฐกร ปลอดดี – Southeast Asia Digital Verification Editor จาก AFP
  • คุณระวี ตะวันธรงค์ – ที่ปรึกษา SONP และกรรมการด้านจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
  • คุณชุตินธรา วัฒนกุล – บรรณาธิการบริหารด้านข่าวออนไลน์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส

วิทยากรได้ถ่ายทอดวิธีการใช้เครื่องมือ AI จาก Google ได้แก่ Gemini, NotebookLM, Google Trends, Google Lens และเทคนิคการตรวจสอบข่าวปลอม (Fake News Verification) ทั้งในรูปแบบข่าว บทความ ภาพ และวิดีโอปลอม

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมยังได้ฝึกภาคปฏิบัติเพื่อเรียนรู้การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในบริบทของงานข่าวจริง พร้อมแนะแนววิธีนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในกองบรรณาธิการ ทั้งด้านความเร็ว ความแม่นยำ และการวางแผนเชิงกลยุทธ์

สร้างระบบนิเวศข่าวด้วย AI จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ

หลังการอบรม ผู้เข้าอบรมจะต้องนำความรู้ไปทดลองใช้จริงในกองบรรณาธิการของตน โดย SONP และทีมจาก Google จะให้คำปรึกษารายหน่วยงาน เพื่อให้การปรับใช้ AI มีความเหมาะสมและเกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ กองบรรณาธิการที่เข้าร่วมจะได้รับการรับรองผ่านใบประกาศนียบัตรจาก SONP หากสามารถส่ง Case Study ที่แสดงการประยุกต์ใช้เครื่องมือ AI ในการทำข่าว พร้อมข้อเสนอในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมและสร้างสรรค์

การใช้ AI กับกองบรรณาธิการไทย

การจัดอบรมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการสื่อไทย ในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่ AI กลายเป็นเครื่องมือหลักในหลากหลายอุตสาหกรรม สำหรับสื่อมวลชน AI ไม่เพียงช่วยย่นระยะเวลาการผลิตเนื้อหา แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการ “ตรวจสอบความจริง” และ “เพิ่มความลึกของข้อมูลข่าวสาร”

ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นต่อประชาชนทั่วไป:

  • ข้อมูลเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น: ผู้บริโภคสื่อจะได้รับข่าวที่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด ช่วยลดการรับข่าวปลอม
  • เนื้อหาที่ตรงความสนใจและตอบโจทย์: ด้วยระบบ AI อย่าง Google Trends และ Gemini กองบรรณาธิการสามารถออกแบบเนื้อหาตามพฤติกรรมผู้ใช้งาน
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางข้อมูล: สื่อที่ใช้ AI อย่างถูกวิธีสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างความตระหนักเรื่องข่าวปลอมแก่สังคม

ในภาพรวม AI จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้มาแทนที่นักข่าว หากแต่ยกระดับการทำงานให้มีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

เดินหน้าสู่รุ่นที่ 2 ขยายผลสู่วงกว้าง

จากผลตอบรับที่ดีในรุ่นแรก สมาคมฯ ได้ประกาศเตรียมจัด “News AI Lab Train-the-Trainer รุ่นที่ 2” ในวันที่ 6–7 กันยายน 2568 โดยจะเปิดรับผู้บริหารและบรรณาธิการจากหน่วยงานข่าวทั่วประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อขยายผลการเรียนรู้ และสร้างเครือข่ายสื่อที่เข้าใจและใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์

AI คือเครื่องมือ ไม่ใช่ศัตรูของนักข่าว

ความร่วมมือระหว่าง SONP และ Google ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าในยุคสื่อเปลี่ยนผ่าน การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ “ความจำเป็น” สำหรับนักข่าวและองค์กรสื่อที่ต้องการอยู่รอดและเติบโต

ด้วยทิศทางนี้ ผู้บริโภคสื่อจะได้รับข่าวที่มีคุณภาพ ตรวจสอบได้ และนำไปสู่สังคมแห่งการรู้เท่าทันข้อมูลอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP)
  • Google News AI Lab
  • สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • AFP Southeast Asia Fact-Check Editor
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

องค์กรวิชาชีพสื่อไทยตัดสัมพันธ์ CCJ โต้ข้อกล่าวหาหมิ่นสื่อไทย-ข่าวเท็จชายแดน

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยประกาศ “ระงับสัมพันธ์” CCJ ปมหมิ่นสื่อไทย-ข้อมูลเท็จชายแดน

ประเทศไทย, 31 กรกฎาคม 2568 – จุดเริ่มต้นไฟขัดแย้งชายแดน จุดไฟศรัทธาสื่อระหว่างประเทศ
ในห้วงเวลาที่ปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ได้ออกแถลงการณ์สำคัญในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ประกาศ “ระงับความสัมพันธ์” กับ สมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists: CCJ) อย่างเป็นทางการ หลัง CCJ ออกแถลงการณ์กล่าวหาสื่อไทยขาดจริยธรรม และมีการดูหมิ่นต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพฝั่งไทย

จุดแตกหัก สื่อไทยลุกขึ้นสู้เพื่อศักดิ์ศรี – CCJ แค่กระบอกเสียงรัฐบาลกัมพูชา

แกนหลักของแถลงการณ์ฝ่ายไทย มีใจความสำคัญคือการปฏิเสธข้อกล่าวหาจาก CCJ ที่ระบุว่าสื่อไทยขาดจริยธรรมในการนำเสนอข่าวสถานการณ์ชายแดน พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าสื่อไทย “ยึดมั่นในจริยธรรม ความเป็นกลาง ไม่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง” และให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสันติภาพโดยไม่ตกเป็นเครื่องมือปลุกปั่นระหว่างชาติ อีกทั้งยังเรียกร้องให้ CCJ หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย และกลับไปเข้มงวดกับการตรวจสอบข้อมูลข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนที่มีต้นตอมาจากฝั่งกัมพูชาเอง

ในแถลงการณ์ยังยกตัวอย่างข้อมูลเท็จที่ถูกเผยแพร่จากกัมพูชา เช่น

  • การกล่าวหาว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา
  • ข่าวลือไทยใช้ระเบิด MK ที่มีอานุภาพร้ายแรง
  • ข่าวปลอมเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
    ซึ่งล้วนเป็น “ข่าวบิดเบือน” ที่สร้างความเข้าใจผิดและบ่อนทำลายบรรยากาศสันติภาพระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ

ประกาศตัดสัมพันธ์ – ส่งสารถึง CCJ ให้ทบทวนจรรยาบรรณตนเอง

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในฐานะผู้มีข้อตกลงความร่วมมือกับ CCJ ได้ประกาศระงับความสัมพันธ์นี้เป็นการชั่วคราวโดยทันที พร้อมย้ำถึงความตั้งใจดั้งเดิมที่ต้องการให้กลไกความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนมีบทบาทสร้างสรรค์ต่อประชาชนสองประเทศ และขอให้ CCJ กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์กรวิชาชีพที่มีความเป็นอิสระและยึดถือจรรยาบรรณ

ท่าที CCJ โต้กลับ – สื่อไทยรายงานเท็จ ทำลายศรัทธา

ขณะเดียวกัน ฝ่าย CCJ จากพนมเปญ ได้ออกแถลงการณ์โต้กลับ โดยกล่าวหาสื่อไทยบางสำนัก เช่น Khaosod และ The Nation Thailand ว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จและขาดจรรยาบรรณวิชาชีพ อันส่งผลต่อสถานการณ์ชายแดนในช่วงเวลาวิกฤต พร้อมทั้งเรียกร้องให้สื่อไทยปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนอย่างเข้มงวดและช่วยกันลดความตึงเครียดด้วยการนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์
นอกจากนี้ CCJ ยังเน้นย้ำเจตนารมณ์ปกป้องเสรีภาพสื่อ พร้อมร่วมต้านข่าวปลอมในทุกมิติ

วิกฤตการณ์ศรัทธาสื่อ – ศึกปากกาและข้อมูลบนเวทีอาเซียน

การปะทะกันทาง “แถลงการณ์” ในครั้งนี้ ไม่ได้สะท้อนเพียงปัญหาข้อเท็จจริงตามแนวชายแดน แต่คือ “วิกฤตความเชื่อมั่น” ระหว่างวิชาชีพสื่อสองประเทศที่เคยร่วมมือกันมาอย่างใกล้ชิด จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อ CCJ ถูกมองว่าไม่อิสระจากรัฐบาลกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันความเป็นกลางและการตรวจสอบกันเองอย่างเข้มงวด

ประเด็นที่ต้องจับตา:

  • บทบาทของสื่อในการส่งเสริมสันติภาพหรือยั่วยุความขัดแย้ง
  • การต่อสู้กับข่าวปลอมที่ข้ามพรมแดนและส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • อนาคตความร่วมมือขององค์กรวิชาชีพสื่อไทย-กัมพูชา ที่อาจส่งผลกระทบต่อการรายงานข่าวและภาพลักษณ์ของทั้งสองประเทศในประชาคมอาเซียน
  • การรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพสื่อ ความรับผิดชอบ และจรรยาบรรณ ในยุคที่ข้อมูลเคลื่อนที่รวดเร็วและสามารถบิดเบือนในวงกว้าง

ในท้ายที่สุด เหตุการณ์นี้อาจกลายเป็น “บทเรียนสำคัญ” สำหรับองค์กรสื่อทั่วทั้งภูมิภาค ในการยึดมั่นต่อจริยธรรมวิชาชีพ เคารพเสรีภาพ และใช้บทบาทของสื่อสร้างสรรค์สันติภาพ ไม่ตกเป็นเครื่องมือให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • แถลงการณ์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • แถลงการณ์สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
  • แถลงการณ์สมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists)
  • สำรวจข่าวสารจาก Khaosod, The Nation, ช่องทางสื่อไทยและกัมพูชา
  • วิเคราะห์แนวโน้มจากนักวิชาการอาเซียน (อ้างอิง: [Press Freedom Index, RSF 2025], สำนักข่าวอาเซียน, กระทรวงการต่างประเทศ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เกาะกูด สยบข่าวลวง ยืนยันดินแดนไทย ไร้ข้อสงสัย

เจาะลึกปัญหาข่าวลวงเกาะกูด: ความจริงที่ต้องรู้เพื่อรักษาความสมานฉันท์

ตราด,วันที่ 18 มิถุนายน 2568 – โรงแรมตราดซิตี้ ในงานครบรอบ 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด การเสวนาในหัวข้อ “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” ได้นำเสนอประเด็นร้อนที่ครองความสนใจของทั้งสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป เกาะกูด ดินแดนแห่งท้องทะเลบูรพาที่งดงามด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรม กลับถูกพูดถึงในฐานะประเด็นข้อพิพาทด้านเขตแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา โดยมีข่าวลือและข้อมูลที่บิดเบือนทำให้เกิดความสับสนและความกังวลในหมู่ประชาชน

การเสวนาครั้งนี้มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จันทบุรี, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเว็บไซต์ตราดออนไลน์ และ นายเดชาธร จันทร์อบ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เกาะกูด ร่วมกันถกประเด็นอย่างเข้มข้นเพื่อคลายปมปัญหาข่าวลวงและนำเสนอข้อเท็จจริงในมิติต่างๆ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการบริหาร 'The Nation'

ปฐมบทแห่งความขัดแย้ง เกาะกูดกับประเด็นเขตแดน

เรื่องราวของเกาะกูดเริ่มต้นจากความซับซ้อนของเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งนายสุภลักษณ์ได้อธิบายอย่างละเอียดถึงที่มาของปัญหา เขากล่าวว่า ประเทศไทยและกัมพูชามีการอ้างสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Claims Area – OCA) ในอ่าวไทยตั้งแต่ปี 2516 โดยพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมราว 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีศักยภาพสูง อย่างไรก็ตาม การเจรจาเพื่อแบ่งเขตและพัฒนาทรัพยากรร่วมกันยังไม่บรรลุผล โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเกาะกูด ซึ่งกัมพูชาเคยอ้างสิทธิในอดีต แต่ในทางนิตินัย เกาะกูดได้รับการยืนยันว่าเป็นของประเทศไทยตามสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศสในปี 2450 และการอยู่อาศัยของประชากรไทยในพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง

นายสุภลักษณ์ย้ำว่า “ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ เกาะกูดเป็นของไทยอย่างชัดเจนทั้งในแง่นิตินัยและพฤตินัย ไม่มีเอกสารใดจากกัมพูชาที่สามารถยืนยันการอ้างสิทธิได้อย่างถูกต้อง” เขายังชี้ว่า การเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไม่ได้หมายถึงการยอมจำนนหรือเสียดินแดน แต่เป็นการหาทางออกเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงการพัฒนาร่วม (Joint Development Area) คล้ายกรณีของไทยและมาเลเซีย

นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ แอดมินตราดทีวีและเวปไซด์ตราดออนไลน์

ข่าวลวง ภัยเงียบที่บั่นทอนความมั่นใจ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดกลายเป็นประเด็นที่สร้างความตื่นตระหนก โดยเฉพาะเมื่อมีการปล่อยข้อมูลที่บิดเบือน เช่น การอ้างว่าเกาะกูดกำลังจะถูกยกให้กัมพูชา หรือมีการสู้รบในพื้นที่ นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์ จากตราดทีวี ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นที่มีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน เปิดเผยว่า “ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการนำประเด็นเกาะกูดมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่กระแสการเมืองร้อนแรง บางครั้งสื่อบางแห่งหรือกลุ่มบุคคลพยายามสร้างความตื่นตระหนกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

เขายังเล่าถึงความท้าทายในการนำเสนอข่าวสารในฐานะสื่อท้องถิ่นว่า “เราไม่สามารถนำเสนอข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะมันอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและความมั่นใจของประชาชน เราเช็คข้อมูลจากหลายแหล่ง โดยเฉพาะจากนายก อบต. เกาะกูด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่เผยแพร่มีความถูกต้องและไม่สร้างความเสียหาย”

ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ รำไพพรรณี จันทบุรี

ด้าน ผศ.ดร.เสาวนีย์ เน้นย้ำถึงบทบาทของนักวิชาการและการสอนนิเทศศาสตร์ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อมูล “ในฐานะนักวิชาการ เราเน้นให้นักศึกษาเรียนรู้การตรวจสอบแหล่งข่าว โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวลวงแพร่กระจายง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย การเช็คข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและการวิเคราะห์อย่างรอบด้านเป็นสิ่งสำคัญ” เธอยังแนะนำว่า การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรง เช่น การละเมิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งกำหนดโทษสำหรับการแชร์ข้อมูลเท็จ

เสียงจากเกาะกูดความจริงจากคนในพื้นที่

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต. เกาะกูด ตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ ยืนยันว่า ชีวิตของชาวเกาะกูดยังคงดำเนินไปอย่างปกติ แม้จะเผชิญกระแสข่าวลวง “ชาวเกาะกูดไม่ได้ตื่นตระหนก เรายังใช้ชีวิตตามปกติ การท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่นอาจลดลงบ้าง แต่เมื่อเทียบกับช่วงที่มีข่าวลือหนักๆ ปีที่แล้ว การท่องเที่ยวลดลงถึง 30% เพราะนักท่องเที่ยวบางส่วนกลัวว่าจะมีสู้รบหรือสถานการณ์ไม่ปลอดภัย แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่รู้จักเกาะกูดผ่านโซเชียลมีเดีย

นายเดชาธร จันทร์อบ นายก อบต.เกาะกูด

นายเดชาธรยังย้ำว่า “เกาะกูดคือหัวใจของคนไทยและเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดตราดอย่างชัดเจน เราไม่กังวลเรื่องการสูญเสียดินแดน เพราะมีหลักฐานทั้งทางประวัติศาสตร์และการอยู่อาศัยที่ยืนยันความเป็นไทย” เขายังเรียกร้องให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

สื่อมวลชน ผู้กำหนดทิศทางความเข้าใจ

นายสุภลักษณ์ ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการสื่อมวลชนมากว่า 30 ปี กล่าวถึงหลักการสำคัญของการรายงานข่าวว่า “สื่อมวลชนต้องรายงานตามความเป็นจริง โดยไม่เลือกข้างหรือสร้างวาทกรรมที่บิดเบือน การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอาจสร้างความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความรู้สึกของประชาชน” เขายังเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยกตัวอย่างกรณีเขาพระวิหาร ซึ่งเคยเกิดความขัดแย้งจากการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สร้างความเสียหายต่อชุมชนท้องถิ่นที่หวังพึ่งพาการท่องเที่ยว

“การเจรจาคือทางออกที่ดีที่สุด” นายสุภลักษณ์กล่าว “ในยุโรปมีตัวอย่างมากมายที่ชุมชนในเขตแดนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องขีดเส้นแบ่งแยกอย่างเข้มงวด เราไม่ควรปล่อยให้วาทกรรมชาตินิยมหรือผลประโยชน์ทางการเมืองมากำหนดทิศทางของสื่อ”

งาน 34 ปีประชามติตราด และ 28 ปี สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด ที่โรงแรมตราดชิตี้ อ.เมือง จ.ตราด

ทางออกของปัญหาข่าวลวง

การเสวนาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูดไม่ได้เป็นเพียงปัญหาของการสื่อสาร แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว วิทยากรทั้งสี่ท่านเห็นพ้องกันว่า การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่ การนำเสนอข่าวในเชิงสร้างสรรค์ และการส่งเสริมความเข้าใจในบริบทของพื้นที่ทับซ้อน

ผศ.ดร.เสาวนีย์ เสนอว่า “การศึกษาและการอบรมเยาวชนให้รู้เท่าทันสื่อเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในโรงเรียนและชุมชนท้องถิ่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวง” ขณะที่นายกฤษฎาพงษ์เน้นย้ำถึงบทบาทของสื่อท้องถิ่นในการเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ “เราต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น อบต. และกองทัพเรือ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน”

นายเดชาธรทิ้งท้ายด้วยข้อความที่สร้างความมั่นใจว่า “เกาะกูดคือบ้านของเรา และเราจะปกป้องมันด้วยความสมานฉันท์ ไม่ใช่ด้วยความขัดแย้ง ทุกคนที่มาเกาะกูดจะได้สัมผัสกับความสวยงามและความสงบสุขที่เรามี”

ร่วมสร้างความจริงเพื่ออนาคต

การเสวนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยคลายปมปัญหาข่าวลวงเกี่ยวกับเกาะกูด แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงความรับผิดชอบของสื่อมวลชน นักวิชาการ และผู้นำชุมชนในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ เกาะกูดไม่ใช่แค่ดินแดนแห่งความงามทางธรรมชาติ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์ระหว่างพี่น้องไทยและกัมพูชา การรักษาความสงบสุขและความมั่นใจของประชาชนจึงเป็นภารกิจร่วมกันของทุกฝ่าย

ในยุคที่ข่าวลวงสามารถจุดกระแสได้ในพริบตา การยึดมั่นในความจริงและการเจรจาด้วยเหตุผลคือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหา เกาะกูดจะยังคงเป็นอัญมณีแห่งท้องทะเลบูรพา และเป็นบ้านของคนไทยที่พร้อมต้อนรับทุกคนด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การเสวนา “เจาะปัญหาข่าวลวง ข่าวปลอม กรณีเกาะกูด จังหวัดตราด” จัดโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติส่วนภูมิภาคจังหวัดตราด
  • ข้อมูลจาก ผศ.ดร.เสาวนีย์ วรรณประภา, นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี, นายกฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงษ์, และนายเดชาธร จันทร์อบ
  • เอกสารสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศส (2450) และบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2544
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

สมาคมนักข่าวไทย-กัมพูชา วอนสื่อหยุดข่าวลือชายแดน

เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี – สื่อสองชาติร่วมเรียกร้องหยุดข่าวลวง หวังความสงบและสันติวิธี

ประเทศไทย, 28 พฤษภาคม 2568 –ได้เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังจากที่ทหารไทยซึ่งลาดตระเวนพื้นที่บริเวณดังกล่าว พบว่ามีกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลตหรือสนามเพลาะ พร้อมสร้างจุดที่ตั้งบริเวณแนวชายแดนดังกล่าว จนต้องมีการเข้าไปเจรจาให้ถอนกำลังและยุติกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากถือเป็นการละเมิดบันทึกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2543 เป็นครั้งที่สองในรอบปีนี้

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สถานการณ์บริเวณชายแดนตึงเครียดขึ้นในทันที แม้จะยังไม่มีรายงานการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตแน่ชัด แต่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่การปะทะหรือความขัดแย้งขยายวงกว้าง หากไม่มีการจัดการด้วยความรอบคอบและร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย

จุดเริ่มต้นของเหตุปะทะความเคลื่อนไหวในพื้นที่สีเทา

เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ทหารไทยปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนตามปกติ เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาความสงบในพื้นที่ ต่อมาได้ตรวจพบว่ามีกำลังทหารจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาขุดคูสนามเพลาะ ซึ่งเป็นกิจกรรมต้องห้ามภายใต้ MOU2543 ซึ่งเป็นบันทึกข้อตกลงว่าด้วยมาตรการรักษาความสงบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สองประเทศได้ร่วมลงนามและยึดถือปฏิบัติมายาวนาน

เมื่อทหารไทยได้เข้าไปเจรจาขอให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยินยอมโดยทันที ทำให้บรรยากาศในพื้นที่ชายแดนตึงเครียดมากขึ้น อย่างไรก็ดี จากการปฏิบัติการของทั้งสองฝ่าย ยังไม่มีรายงานการใช้กำลังรุนแรงหรือเกิดความเสียหายใดๆ แต่สถานการณ์ยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ปมปัญหา MOU2543 เส้นแบ่งที่ยังคลุมเครือ

MOU2543 เป็นบันทึกข้อตกลงสำคัญซึ่งรัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2543 ว่าด้วยการห้ามดำเนินการใดๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ตามแนวชายแดนที่ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ (Pending Boundary) โดยเฉพาะในพื้นที่พิพาทหรือยังไม่ได้ตกลงเขตแดนที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การตีความขอบเขตพื้นที่และเจตนาของ MOU2543 ในแต่ละฝ่ายยังคงแตกต่างกันอยู่บ้าง ทำให้เกิดจุดอ่อนไหวและการกระทบกระทั่งเป็นระยะๆ ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะยุติได้ด้วยกลไกการเจรจาและการควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศ

บทบาทของสื่อมวลชนจุดเปลี่ยนแห่งความเข้าใจ หรือซ้ำเติมปัญหา

ภายหลังเหตุการณ์ปะทะดังกล่าว ทั้งสโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ) และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมอย่างเร่งด่วน สืบเนื่องจากการสังเกตการณ์ว่ามีสื่อบางแห่ง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ได้นำเสนอข้อมูลที่ขาดแหล่งอ้างอิงชัดเจน หรือข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งสร้างความสับสนและความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวางในทั้งสองประเทศ

ทั้ง CCJ และ TJA แสดงความกังวลอย่างมากต่อการเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่มีที่มาที่ไป หรือมีเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะนอกจากจะเพิ่มความตึงเครียดในพื้นที่แล้ว ยังบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองชาติที่สะสมความไว้เนื้อเชื่อใจมาอย่างยาวนาน

ข้อเรียกร้องจากสององค์กรสื่อความรับผิดชอบต่อสังคมต้องมาก่อนยอดแชร์

CCJ และ TJA ได้จัดประชุมออนไลน์ฉุกเฉินในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เพื่อกำหนดแนวทางรับมือสถานการณ์ข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดน และได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. เรียกร้องให้สื่อมวลชนในทั้งสองประเทศใช้ความระมัดระวังสูงสุด หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลที่ไม่มีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ หรือข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือสร้างความแตกแยก
  2. ขอความร่วมมือจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียในทั้งสองประเทศให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแชร์ข่าวสารใดๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในวงกว้าง และยากต่อการควบคุมผลกระทบ

การแก้ไขปัญหาการทูตยังเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ทั้งสององค์กรย้ำความหวังว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะได้รับการคลี่คลายผ่านกลไกทางการทูต และการหารืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามจนกระทบต่อความสัมพันธ์อันยาวนานทั้งในระดับประชาชนและรัฐชาติ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาสามารถผ่านพ้นจุดวิกฤตลักษณะนี้ได้ด้วยสันติวิธี และการเปิดพื้นที่ให้เจรจาอย่างตรงไปตรงมา

ความเปราะบางของพรมแดนกับโอกาสในการป้องกันวิกฤต

สถานการณ์ปะทะที่ช่องบกในครั้งนี้สะท้อนถึง “ความเปราะบาง” ของเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นเส้นแบ่งที่ทั้งสองประเทศยังต้องตกลงรายละเอียดกันอีกมาก ขณะที่โซเชียลมีเดียและการสื่อสารยุคใหม่ กลายเป็นทั้งโอกาสในการแจ้งเตือนและ “ดาบสองคม” ที่อาจเร่งให้เกิดความตึงเครียดหากขาดการกลั่นกรองข้อเท็จจริง

ในขณะที่กระแสข่าวสารบนโซเชียลมีเดียเคลื่อนไหวรวดเร็ว สื่อกระแสหลักและองค์กรวิชาชีพสื่อจึงต้องมีบทบาทคัดกรอง ปกป้องประโยชน์สาธารณะ และไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังเปราะบาง การเปิดพื้นที่พูดคุย แลกเปลี่ยน และใช้กลไกการทูตจึงยังเป็นวิธีที่ทั้งสองประเทศควรยึดถืออย่างมั่นคง

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • สถิติการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา: จากข้อมูลกระทรวงกลาโหมไทย รายงานว่าในช่วงปี 2566-2568 มีเหตุการณ์ความตึงเครียดชายแดนรวม 6 ครั้ง โดย 2 ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี (ที่มา: กระทรวงกลาโหม)
  • มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2567 อยู่ที่ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • จำนวนการแชร์ข้อมูลข่าวปลอมเกี่ยวกับชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่ามีกว่า 3,500 ครั้งบนโซเชียลมีเดีย (ที่มา: กองตรวจสอบข่าวปลอม สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ)
  • ข้อมูลความร่วมมือด้านสื่อ: สโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ) และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA)
  • รายละเอียดบันทึกข้อตกลง MOU2543: กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงกลาโหม
  • กระทรวงพาณิชย์
  • กองตรวจสอบข่าวปลอม สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • สโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ)
  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA)
  • กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

มิติใหม่สื่ออาเซียน ไทย-ลาว ร่วมมือพัฒนาศักยภาพ

กรมประชาสัมพันธ์ผนึกกำลังสมาคมนักข่าวไทย-ลาว เสริมศักยภาพสื่อมวลชนรับมือยุคดิจิทัล

กรุงเทพมหานคร,10 กุมภาพันธ์ 2568 –  กรมประชาสัมพันธ์ โดยสถาบันการประชาสัมพันธ์ ร่วมมือกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าวแห่ง สปป. ลาว จัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับสื่อมวลชนจาก สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 10 – 21 กุมภาพันธ์ 2568 ณ กรุงเทพมหานคร

พิธีเปิดและการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)

พิธีเปิดจัดขึ้นในวันนี้ โดยมีนายคเชนทร์ กรรณิกา นางสาวอรัญญา เกตุแก้ว รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมด้วยนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ นายสะหวันคอน ราชมนตรี ประธานสมาคมนักข่าวแห่ง สปป.ลาว และคณะกรรมการสมาคมฯ เข้าร่วมเป็นเกียรติ

ในโอกาสนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าวแห่ง สปป. ลาว ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจฯ ที่ปรับปรุงให้สอดรับกับยุคสมัยมากขึ้น โดยจะเพิ่มการป้องกันแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (Fake news) การรับมือกับข่าวสารในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาภัยจากการหลอกลวงทางออนไลน์ และเพิ่มกิจกรรมพัฒนาศักยภาพและทักษะของบุคลากรสื่อ

วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม

การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มุ่งสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างภาคสื่อมวลชนไทยและ สปป. ลาว อีกทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสนับสนุนการทำงานด้านข่าวระหว่างกัน โดยตัวแทนสื่อมวลชนทั้ง 7 คน มาจากหน่วยสื่อชั้นนำทั้งสื่อหลักและสื่อออนไลน์ทั่วประเทศลาว จะเข้ารับการฝึกอบรมและฝึกงานในหน่วยสื่อชั้นนำของไทย รวมทั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)

เนื้อหาของการฝึกอบรมที่ครอบคลุมและทันสมัย

การฝึกอบรมครั้งนี้ครอบคลุมเนื้อหาที่หลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนในยุคปัจจุบัน อาทิ

  • หลักการพื้นฐานและจริยธรรมของสื่อมวลชน: เน้นย้ำความสำคัญของความถูกต้อง แม่นยำ เป็นกลาง และเป็นธรรมในการนำเสนอข่าวสาร
  • การผลิตข่าวคุณภาพในยุคดิจิทัล: สอนเทคนิคการเขียนข่าว การถ่ายภาพ การตัดต่อวิดีโอ และการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเผยแพร่ข่าวสาร
  • การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ๆ ในการสื่อสาร: แนะนำการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มต่างๆ ในการผลิตและเผยแพร่ข่าวสารอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การตรวจสอบข่าวสารและต่อต้านข่าวปลอม: สอนทักษะการตรวจสอบข่าวสารจากแหล่งต่างๆ และการแยกแยะข่าวจริงออกจากข่าวปลอม
  • การรับมือกับภัยคุกคามทางออนไลน์: สอนแนวทางการป้องกันตนเองจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ การถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์ และการหลอกลวงทางออนไลน์
  • การมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม: ส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีบทบาทในการสะท้อนปัญหาและนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาของสังคม

ความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างสื่อมวลชนไทย-ลาว

การจัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออันดีระหว่างสื่อมวลชนไทยและ สปป. ลาว ในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและยกระดับมาตรฐานของวงการสื่อมวลชนในภูมิภาค

ความคาดหวังและผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ผู้จัดงานคาดหวังว่า สื่อมวลชนลาวที่เข้าร่วมการฝึกอบรมในครั้งนี้ จะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาการทำงานของตนเอง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนของ สปป. ลาว ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ศปช. ย้ำข่าวน้ำท่วมแม่สายซ้ำไม่จริง เตือนเฝ้าระวังฝนใต้

ศปช.ย้ำข่าวลือ “ฝนหนักต้นน้ำแม่สายอาจท่วมซ้ำ” ไม่จริง ยืนยันสภาพอากาศแห้งแล้ว

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปช.) ย้ำว่า ข่าวลือเรื่องฝนหนักต้นน้ำแม่สายจะทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำในพื้นที่นั้นไม่เป็นความจริง แม้ว่าจะมีฝนตกบ้างตามสภาพอากาศที่แปรปรวน แต่เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวและปริมาณน้ำในลำน้ำต่าง ๆ อยู่ในระดับต่ำ จึงไม่ส่งผลกระทบหนัก นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนอากาศแปรปรวนในประเทศไทยตอนบนไปจนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน โดยในภาคเหนืออาจมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส พร้อมเตือนประชาชนในพื้นที่ดูแลสุขภาพและระวังอัคคีภัยที่อาจเกิดจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง

ข่าวลือฝนตกหนักที่แม่สาย ยืนยันไม่มีผลกระทบน้ำท่วมซ้ำ

ข่าวลือที่ว่าลมฝ่ายตะวันตกจะทำให้เกิดฝนตกหนักในต้นน้ำของอำเภอแม่สาย และอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำรอยนั้น กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า แม้ในช่วงนี้จะยังคงได้รับอิทธิพลจากลมตะวันตกอยู่บ้าง แต่มีลมตะวันออกเฉียงเหนือเข้ามาปกคลุม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดฝนหนักถึงขั้นน้ำท่วม การทดสอบแบบจำลองสภาพอากาศพบว่าโอกาสที่จะเกิดฝนตกหนักนั้นน้อยมากและไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในลุ่มน้ำต้นน้ำแม่สาย

ฝนตกหนักในภาคใต้ เฝ้าระวังดินถล่มและน้ำป่าใน 13 จังหวัด

ขณะที่สถานการณ์ในภาคใต้ยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักในหลายพื้นที่ เช่น จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และอื่น ๆ รวม 13 จังหวัด โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่พร้อมติดตั้งป้ายเตือนประชาชนที่สัญจรในเส้นทางที่มีความเสี่ยง

แผนช่วยเหลือและโอนเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำ ศปช. ระบุว่า การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำหนดโอนเงินเยียวยาผ่านระบบพร้อมเพย์ในวันพุธที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมกว่า 3 หมื่นครัวเรือน รวมเป็นเงินช่วยเหลือที่ได้รับอนุมัติแล้ว 1,695,653,000 บาท

เตรียมรับมือภัยแล้งตั้งแต่เนิ่นๆ รัฐบาลเร่งแผนการจัดการน้ำ

ในด้านการรับมือกับภัยแล้ง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อวางแผนการเตรียมพร้อมรับมือฤดูแล้งปี 2567/68 ในจังหวัดนครราชสีมา โดยรัฐบาลได้วาง 8 มาตรการเพื่อเฝ้าระวังและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อาทิ การสำรวจแหล่งน้ำสำรอง การจัดการน้ำในอ่างลำตะคอง และการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการใช้น้ำอย่างมีคุณค่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

ตำรายาแก้โรค มะเร็งหายใน 6 วัน ไม่เป็นความจริง

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567  ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยข่าวปลอม อย่าแชร์! ตามที่มีข้อมูลเรื่องตำรายาแก้โรคมะเร็งหายใน 6 วัน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีที่มีการแนะนำตำรายาแก้โรคมะเร็งหายใน 6 วัน ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า จากการสืบค้นตามหลักองค์ความรู้ทางศาสตร์การแพทย์แผนจีนแล้วพบว่า
1.สมุนไพร “ปั่วกี่ไน๊” คือ สมุนไพรจีนที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scutellaria borboto D. Don เป็นตัวยาที่มีรสขมเย็น ช่วยแก้ร้อนใน ดับพิษร้อน แก้อักเสบ ช่วยห้ามเลือด รักษาอาการเจ็บคอ
2.สมุนไพร “แป๊ะฮ่วยจั่วจิเฉ่า” คือ สมุนไพรจีนที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sclerommitnion diffusum (Wild) R. J. Wang เป็นตัวยาที่มีรสขมเย็น ช่วยดับร้อน ถอนพิษ ขับปัสสาวะ ขับเลือด ระงับปวด ขับเสมหะ

ซึ่งในปัจจุบันสมุนไพรทั้งสองชนิดดังกล่าว เป็นสมุนไพรจีนใช้ในการเข้าตำรับยาแก้ร้อนในทั่วไป ซึ่งยังไม่พบงานวิจัยในการนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1556

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ในปัจจุบันสมุนไพรทั้งสองชนิดดังกล่าว เป็นสมุนไพรจีนใช้ในการเข้าตำรับยาแก้ร้อนในทั่วไป ซึ่งยังไม่พบงานวิจัยในการนำมาใช้รักษาโรคมะเร็งตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

อย่าแชร์! ภูมิแพ้ขึ้นตา คัน เกิดจากลมขึ้นเบื้องสูง

 
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2024  หน่วยงานที่ตรวจสอบ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจตามที่มีข้อมูลในสื่อต่าง ๆ ในประเด็นเรื่องภูมิแพ้ขึ้นตา คัน เกิดจากลมขึ้นเบื้องสูง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 

ตามที่มีผู้ส่งต่อข้อมูลถึงเรื่องภูมิแพ้ขึ้นตา คัน เกิดจากลมขึ้นเบื้องสูง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

จากที่มีการโพสต์และแชร์ข้อมูลด้านสุขภาพว่า ภูมิแพ้ขึ้นตา คัน เกิดจากลมขึ้นเบื้องสูง ทางโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ไม่มีข้อมูลทางวิชาการแพทย์แผนปัจจุบันใดที่อธิบายความสัมพันธ์ของอาการภูมิแพ้ขึ้นตาว่า เป็นสาเหตุจากลมขึ้นเบื้องสูง

(ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน : อาการที่ลมดันออกจากร่างกายทำให้หาวเรอ หรือให้เกิดอาการวิงเวียนหน้ามืดและอาเจียน ในกรณีหลังบางที่ก็เรียกว่า ลมขึ้นเบื้องสูง)

โดยอาการภูมิแพ้ขึ้นตา คัน ไม่ได้เกิดจากลมดันและไม่ได้ทำให้มีอาการวิงเวียน หน้ามืด อาเจียนแต่อย่างใด

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.rajavithi.go.th หรือโทร. 02 206 2900

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไม่มีข้อมูลทางวิชาการแพทย์แผนปัจจุบันใดที่อธิบายความสัมพันธ์ของอาการภูมิแพ้ขึ้นตาว่า เป็นสาเหตุจากลมขึ้นเบื้องสูง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

อย่าแชร์! วางโทรศัพท์มือถือไว้หัวนอน ทำให้เป็นมะเร็งสมอง

 
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2024 เวลา 13:30 น. หน่วยงานที่ตรวจสอบ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจตามที่มีข้อมูลในสื่อต่าง ๆ ในประเด็นเรื่องวางโทรศัพท์มือถือไว้หัวนอน ทำให้เป็นมะเร็งสมอง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
 
จากกรณีที่มีการส่งต่อข้อมูลเตือนให้ระวังสำหรับผู้ที่ชอบวางโทรศัพท์มือถือไว้ตรงหัวนอน เพราะโทรศัพท์มือถือมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นตัวการหลัก ทำให้เกิดมะเร็งสมอง ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ปัจจุบันมีการศึกษาในหลายงานวิจัย แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการวางโทรศัพท์มือถือใกล้บริเวณศีรษะ จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสมองทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ยังคงต้องมีการศึกษาต่อเนื่อง และติดตามในระยะยาวในอนาคต
 
 

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ หรือ www.nci.go.th หรือโทร. 02-202-6800

 

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่า การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการวางโทรศัพท์มือถือใกล้บริเวณศีรษะ จะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสมองทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อย่าหลงเชื่อ! มิจฉาชีพ อ้างกฟภ. ส่ง SMS แจ้งมิเตอร์ไฟฟ้าเสี่ยงชำรุดเปลี่ยนฟรี

 
นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ กล่าวถึงผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 16 – 22 กุมภาพันธ์  2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 1,203,939 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 186 ข้อความ ทั้งนี้ช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 180 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 6 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 138 เรื่อง และจากการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลการตรวจสอบกลับมาแล้ว 81 เรื่อง

ทั้งนี้ ดีอี ได้แบ่งข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 : นโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ ความสงบเรียบร้อยของสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ จำนวน 81 เรื่อง อาทิ กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครตัวแทน งานฝีมือ เพื่อสร้างรายได้เสริมในครอบครัว เป็นต้น

กลุ่มที่ 2 : ผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมาย จำนวน 32 เรื่อง อาทิ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดบริการแจ้งความออนไลน์ ติดต่อผ่านเพจ กรมป้องกันและบรรเทา Cyber Crime เป็นต้น

กลุ่มที่ 3 : ภัยพิบัติ จำนวน 10 เรื่อง อาทิ NOAA วิเคราะห์ผล ENSO ทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีโอกาสเจอซุปเปอร์ลานีญ่าอุณหภูมิน้ำทะเล ต่ำกว่า -2.0 องศาฯ ทำให้เกิดอุทกภัยรุนแรงได้ เป็นต้น

กลุ่มที่ 4 : เศรษฐกิจ จำนวน 15 เรื่อง อาทิ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้ลงทุน สำหรับมือใหม่ 2024 เริ่มต้นเปิดพอร์ต 1,000 บาท เป็นต้น

ทั้งนี้ แบ่งเป็นเรื่องการหลอกลวงธุรกรรมทางการเงิน จำนวน 10 เรื่อง

นายเวทางค์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่ได้รับความสนใจในลำดับต้นๆ ในสัปดาห์ล่าสุดนี้ พบว่าส่วนใหญ่เป็นข่าวด้านกลุ่มนโยบายรัฐบาล ข่าวสารทางราชการ รองลงมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และกลุ่มเศรษฐกิจ ตามลำดับ โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชน มากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง กฟภ. ส่ง SMS แจ้งมิเตอร์ไฟฟ้าเสี่ยงชำรุด คิดค่าไฟเกินจริง ให้ติดต่อเปลี่ยนมิเตอร์ฟรี พร้อมรับเงินคืน

อันดับที่ 2 : เรื่อง กรมการขนส่งเปิดทำใบขับขี่ออนไลน์ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Pages DTL Noline

อันดับที่ 3 : เรื่อง กรมการจัดหางาน เปิดรับสมัครงาน handmade สร้างรายได้เสริม สมัครผ่านเพจ เฟซบุ๊ก กู๊ดไอเดียไทย

อันดับที่ 4 : เรื่อง เปิดให้ลงทุนกับกองทุนหุ้นเครือ CP ราคาเปิดพอร์ต 1,000 บาท รับปันผล 220 ต่อวัน และ 5,000 บาท รับปันผล 1,200 ต่อวัน

อันดับที่ 5 : เรื่อง หากสัมผัสโดนสารกันบูดในปลาทูนึ่งจะเป็นมะเร็งผิวหนัง

อันดับที่ 6 : เรื่อง ธนาคารกรุงไทยปล่อยสินเชื่อเงินด่วน กรุงไทยใจป้ำ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก สินเชื่อส่วนบุคคล

อันดับที่ 7 : เรื่อง ภัยร้ายที่มาพร้อมกับความหอม 5 สารเคมีอันตรายในน้ำยาปรับผ้านุ่ม

อันดับที่ 8 : เรื่อง รักษาโรคมะเร็งตับ ด้วยสมุนไพรฉัตรพระอินทร์

อันดับที่ 9 : เรื่อง เพจเฟซบุ๊กกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดรับสมัครพนักงานใหม่ ทำงานที่บ้านได้เลย

อันดับที่ 10 : เรื่อง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดโอกาสให้ลงทุนในกองทุนผู้สูงอายุ เริ่มต้น 13,000 บาท กำไร 1-3% ต่อสัปดาห์

กระทรวงดีอี ขอให้ประชาชนตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอมที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์/โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน และมีการส่งต่อข้อมูลข่าวปลอมเหล่านี้ ก็จะทำให้ได้รับข้อมูลผิดๆ และส่งผลกระทบกับประชาชนที่หลงเชื่อข่าวปลอม ดังกล่าว โดยสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ที่ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ตลอด 24 ชั่วโมง
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News