Categories
NEWS UPDATE

เพื่อไทยปะทะภูมิใจไทย ปชช.เชื่อสุดท้ายจบลงดี

นิด้าโพลเผย ปชช. เชื่อเพื่อไทยและภูมิใจไทยจะยุติความขัดแย้งได้

ประเทศไทย, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,310 คน

จากตัวเลขผลสำรวจของ นิด้าโพล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้มองว่าเป็นความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นแตกหัก โดยมีเพียง ร้อยละ 10.38 ที่เห็นว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องจริงจังมาก ขณะที่ ร้อยละ 38.85 มองว่าเป็นเพียงความขัดแย้งที่ไม่รุนแรงมากนัก

ในแง่ของ แนวโน้มการยุติความขัดแย้ง พบว่า ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และ ร้อยละ 37.40 มองว่าแม้จะมีความขัดแย้ง แต่ทั้งสองพรรคจะยังคงร่วมรัฐบาลกันต่อไป ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าวิกฤตครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตาม มีประชาชน ร้อยละ 17.40 ที่มองว่าอาจมีการ ยุบสภา และ ร้อยละ 10.31 เชื่อว่าอาจมีการ ปรับคณะรัฐมนตรี โดยดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายในรัฐบาล

ในภาพรวม ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าความขัดแย้งนี้จะได้รับการแก้ไขในที่สุด และไม่ได้คาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ เช่น การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยหรือการยุบสภา ซึ่งมีผู้สนับสนุนเพียง ร้อยละ 2.52 และ 7.10 ตามลำดับ

ในแง่ของประชากรกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มอายุที่มีสัดส่วนมากที่สุดคือ 46-59 ปี (26.64%) และ กลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท (34.50%) ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มประชากรวัยกลางคนที่มีรายได้ปานกลางให้ความสนใจและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เป็นอย่างมาก

โดยสรุป ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าความขัดแย้งระหว่างสองพรรคจะรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าทั้งสองพรรคจะสามารถหาทางออกร่วมกันได้ในที่สุด

การรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมือง

จากการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างสองพรรค โดย:

  • ร้อยละ 38.85 ระบุว่า มีความขัดแย้งกันแต่ไม่รุนแรงมาก
  • ร้อยละ 32.91 เชื่อว่า มีความขัดแย้งกันอย่างจริงจังพอสมควร
  • ร้อยละ 17.40 มองว่า ไม่มีความขัดแย้งกันเลย
  • ร้อยละ 10.38 เห็นว่า มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
  • ร้อยละ 0.46 ไม่สนใจหรือไม่ตอบคำถาม

บทสรุปที่เป็นไปได้ของความขัดแย้ง

เมื่อถามถึงบทสรุปของความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ประชาชนให้ความเห็นดังนี้:

  • ร้อยละ 38.09 เชื่อว่า ทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 37.40 เชื่อว่า ความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาลกัน
  • ร้อยละ 10.31 คาดว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีและดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 7.10 เชื่อว่านายกรัฐมนตรีอาจ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 2.52 มองว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 2.21 เชื่อว่า พรรคภูมิใจไทยจะยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.30 คิดว่า พรรคเพื่อไทยจะยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 1.07 เห็นว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถูกปรับออกจากรัฐบาล

ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทางออกของปัญหา

เมื่อถามถึง ความต้องการของประชาชน เกี่ยวกับบทสรุปของความขัดแย้ง ผลสำรวจระบุว่า:

  • ร้อยละ 44.73 ต้องการให้ ทั้งสองพรรคตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 21.60 เห็นว่าความขัดแย้งควรดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  • ร้อยละ 17.40 สนับสนุนให้ นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 9.24 ต้องการให้ มีการปรับคณะรัฐมนตรี
  • ร้อยละ 2.82 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.68 คิดว่าพรรคภูมิใจไทยควรยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.53 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถูกปรับออกจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.00 มองว่าพรรคเพื่อไทยควรยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย

ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

  • เพศ: ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
  • อายุ:
    • ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี
    • ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี
    • ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี
    • ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี
    • ร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป
  • ภูมิลำเนา:
    • กรุงเทพฯ 8.55%
    • ภาคกลาง 18.63%
    • ภาคเหนือ 17.86%
    • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 33.35%
    • ภาคใต้ 13.82%
    • ภาคตะวันออก 7.79%

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนกลุ่มตัวอย่าง: 1,310 ราย (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ค่าความเชื่อมั่นของการสำรวจ: 97.0% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราส่วนเพศของกลุ่มตัวอย่าง: ชาย 48.09% หญิง 51.91% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราการรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้ง: ร้อยละ 71.76 เชื่อว่ามีความขัดแย้งกันในระดับหนึ่ง (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการตกลงกันได้: ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะยุติความขัดแย้ง (ที่มา: นิด้าโพล)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การสำรวจนี้เชื่อถือได้หรือไม่?
    การสำรวจนี้มีค่าความเชื่อมั่น 97.0% และดำเนินการโดย นิด้าโพล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ
  2. ประชาชนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตของพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย?
    ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และร้อยละ 37.40 มองว่าความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  3. ผลสำรวจนี้มีผลต่อการเมืองไทยหรือไม่?
    แม้ว่าผลสำรวจนี้สะท้อนความคิดเห็นของประชาชน แต่ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองและรัฐบาลว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไร
  4. การสำรวจนี้จัดทำขึ้นอย่างไร?
    ใช้การสุ่มตัวอย่างจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลหลัก (Master Sample) และเก็บข้อมูลทางโทรศัพท์
  5. ผลสำรวจนี้มีการเปรียบเทียบกับการสำรวจก่อนหน้าหรือไม่?
    ผลสำรวจนี้เป็นการสำรวจล่าสุดและแสดงแนวโน้มของความคิดเห็นของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กองบัญชาการตำรวจสั่งย้ายข้าราชการเอี่ยวบ่อนชายแดนเมียนมา

ผบ.ตร. สั่งช่วยราชการนายพลตำรวจ 2 นาย เซ่นปมเชื่อมโยงธุรกิจผิดกฎหมายชายแดน

กรุงเทพฯ, วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ปมร้อน! นายพลตำรวจพัวพันธุรกิจสีเทา-ค้ามนุษย์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 63/2568 และ 64/2568 ให้ข้าราชการตำรวจระดับนายพล 2 นาย ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

พล.ต.ต. เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ

คำสั่งที่ 63/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ว่า พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนคาสิโน รวมถึงเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีดังกล่าว และเพื่อความโปร่งใสจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือประการใด เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้างซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าการกระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

พล.ต.ต. สัมฤทธิ์ เอมกมล

คำสั่งที่ 64/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนประเทศเมียนมาร์ อีกทั้งมีการลักลอบข้ามชายแดนช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก กรณีดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของสถานีตำรวจภูธรแม่สอด สถานีตำรวจภูธรแม่ระมาดและสถานีตำรวจภูธรพบพระ จังหวัดตาก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล

เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีที่เป็นสงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดวินัยหรืออาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบกับระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

การรักษาราชการแทน

ในส่วนของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.วีรพรรษ อมรมุนีพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตากอีกหนึ่งหน้าที่

คำสั่งมีผลบังคับใช้ทันที

คำสั่งทั้งสองฉบับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ความโปร่งใสและการตรวจสอบ

การดำเนินการในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรักษาความโปร่งใสและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

สื่อจีนมอง ‘กลยุทธ์ตัดไฟ-ตัดเน็ต’ ของขวัญไทยก่อนเยือน ‘รัฐบาลจีน’

ไทยใช้มาตรการเข้ม ปราบอาชญากรรมข้ามพรมแดน ได้ใจจีน รัฐบาลจีนชื่นชมมาตรการไทยในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน

กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน, 6 กุมภาพันธ์ 2568 jeenthainews รายงานว่านายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เดินทางเยือนจีนเป็นวันที่สอง โดยพบปะกับผู้นำจีน ณ อาคารมหาศาลาประชาชน ทั้งสองฝ่ายได้หารือเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน และความร่วมมือระดับภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจจากทั้งสองฝ่าย คือมาตรการของรัฐบาลไทยที่ใช้จัดการกับอาชญากรรมข้ามพรมแดน อาทิ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์และการพนันออนไลน์

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จีน หลิวชิ่งปิน ได้ให้ข้อมูลในเว็บไซต์ news.qq.com ของจีน ระบุว่าท่าทีของรัฐบาลจีนที่ชื่นชมมาตรการดังกล่าวของไทย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้รัฐบาลไทยว่ามาตรการที่ดำเนินอยู่นั้นเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ การได้รับการยอมรับจากรัฐบาลจีนอาจส่งผลให้ไทยได้รับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติการด้านความมั่นคงเพิ่มเติมในอนาคต

มาตรการตัดไฟ-ตัดเน็ตชายแดนไทย-เมียนมา: ข้อพิสูจน์ความจริงจังของไทย

ก่อนเดินทางมายังกรุงปักกิ่ง นายกรัฐมนตรีแพทองธารได้ออกคำสั่งให้ตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งน้ำมันไปยังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกระบุว่ามีการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายสูงมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการดังกล่าวเป็น “ของขวัญ” ที่รัฐบาลไทยมอบให้แก่จีน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการจัดการปัญหาที่จีนให้ความกังวลมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการในการฉ้อโกงประชาชนจีนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การดำเนินการครั้งนี้ไม่เพียงแต่ได้รับเสียงชื่นชมจากรัฐบาลจีนเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยว่าให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรมและความปลอดภัยในระดับภูมิภาค

กลยุทธ์ของแพทองธาร ได้รับแรงสนับสนุนจากอดีตนายกฯ ทักษิณ

มีข้อสังเกตจากนักวิเคราะห์ว่า แนวทางของนายกรัฐมนตรีแพทองธารอาจได้รับการแนะนำจากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ซึ่งเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไทยควรเร่งให้ความร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน รวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจและการค้า

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชื่อว่าทักษิณมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของไทยมาอย่างยาวนาน นโยบายของแพทองธารในครั้งนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องในแนวทางของพรรคเพื่อไทย ที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว

การดำเนินมาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาลไทยก่อนการเยือนจีน มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางหลักที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนหลังจากเกิดเหตุการณ์อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนชาวจีนในไทย ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเดินทางเยือนจีนของแพทองธารในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนให้กลับคืนมา

ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในอนาคต

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการเยือนจีนครั้งนี้ คือการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) อย่างน้อย 14 ฉบับ ระหว่างไทยและจีน ในด้านต่างๆ อาทิ

  • โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน
  • การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับรถไฟจีน-ลาว
  • การขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน

นักวิเคราะห์มองว่า ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของไทยในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนจากจีนให้เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้ว่าการดำเนินนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลไทยจะได้รับการตอบรับที่ดีจากจีน แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการบริหารจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน นักวิเคราะห์เตือนว่าหากไทยไม่สามารถรักษาความเข้มงวดของมาตรการเหล่านี้ได้ ก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ การที่ไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของกลุ่ม BRICS ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากจะส่งผลต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงของไทยในอนาคต

บทสรุป

การเดินทางเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามของไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับจีน ไม่เพียงแต่ในด้านความมั่นคงและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวผ่านข้อตกลงระดับทวิภาคีที่มีนัยสำคัญ

แม้ว่ามาตรการที่เข้มงวดของไทยจะได้รับการสนับสนุนจากจีน แต่รัฐบาลไทยยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : jeenthainews / 刘庆彬

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ภาพแรก ‘นายกนก’ หลังคว้าชัย อบจ.เชียงราย พร้อมขอบคุณชาวเชียงราย

ผลการเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงราย 2568: อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ คว้าชัยด้วยคะแนนเสียงที่มั่นคง

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (นายกอบจ.) ประจำปี 2568 ปรากฏว่า นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ผู้สมัครอิสระหมายเลข 1 คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างไม่เป็นทางการ โดยการเคลื่อนไหวแรกของนางอทิตาธรหลังจากได้รับชัยชนะคือการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยโพสต์ภาพขณะทำบุญในตอนเช้า พร้อมข้อความว่า “ตื่นเช้าใส่บาตรทำบุญตามปรกติของชีวิต อนุโมทนาบุญกับประชาชนชาวเชียงรายทุกท่านด้วยค่ะ ขอบคุณพี่น้องประชาชนเชียงรายทุกท่านที่ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ เพราะแสดงถึงพลังสำคัญที่ผลักดันให้เชียงรายก้าวไปข้างหน้าในระบอบประชาธิปไตย”

นอกจากนี้ นางอทิตาธรยังได้โพสต์ข้อความขอบคุณทุกกำลังใจและการสนับสนุนที่ได้รับระหว่างการหาเสียงครั้งนี้ โดยกล่าวว่า “ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกแรงสนับสนุนที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้มีความหมาย เส้นทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยโอกาส และภารกิจสำคัญที่เราต้องมาร่วมกันสร้างเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งความสุข สุขทั้งผู้อยู่ สุขทั้งผู้มาเยือน และเตรียมบ้านหลังนี้เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป ได้อยู่อย่างภาคภูมิใจ เชียงรายต้องไปต่อ และนกจะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ให้ทุกนโยบายเกิดขึ้นจริงเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงให้เชียงราย”

จากผลการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นางอทิตาธร ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในจังหวัดเชียงราย และแม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่สัญญาณแห่งความมั่นคงในการได้เป็นนายกอบจ.เชียงรายในครั้งนี้ก็ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดี

การเคลื่อนไหวของผู้สมัครและบทบาทของทายาทการเมือง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ในฐานะผู้สมัครอิสระ ได้รับการสนับสนุนจากทายาทการเมืองหลายคนในจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือและสนับสนุนการหาเสียงของเธออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจากลูกๆ ของตระกูลวันไชยธนวงค์ที่ร่วมเดินสายหาเสียงและเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ การมีส่วนร่วมของทายาทการเมืองทำให้การหาเสียงครั้งนี้มีพลังและความเชื่อมโยงระหว่างผู้สมัครและประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเข้ามามีบทบาทของลูกๆ ของตระกูลการเมืองไม่เพียงแต่ช่วยเหลือในด้านการหาเสียงเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างกำลังใจให้กับนางอทิตาธรในการต่อสู้ในศึกการเมืองท้องถิ่นครั้งนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่การหาเสียงเป็นไปอย่างหนักหน่วงและท้าทายที่สุด

การมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกตั้งท้องถิ่น

ผลการเลือกตั้งที่แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่สูงจากประชาชนในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความสนใจในเรื่องของการเมืองท้องถิ่นที่มีผลต่อการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเลือกผู้นำท้องถิ่น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของจังหวัดเชียงราย

ความเคลื่อนไหวในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังทำให้เห็นถึงความสำคัญของการมีตัวแทนที่มาจากการสนับสนุนจากประชาชน โดยเฉพาะเมื่อผู้สมัครต้องเข้าใจปัญหาของชาวบ้านและสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

การเตรียมตัวเพื่อการพัฒนาเชียงรายในอนาคต

หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวถึงแผนการทำงานของเธอในอนาคตว่า “เราจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองที่มีความสุข สำหรับผู้อยู่และผู้มาเยือน การพัฒนาในทุกๆ ด้านจะต้องมุ่งไปสู่การสร้างสรรค์และเป็นเมืองที่ทุกคนสามารถอยู่อาศัยได้อย่างภาคภูมิใจ เราจะทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่เพื่อให้ทุกนโยบายเกิดขึ้นจริง”

นางอทิตาธรยังกล่าวเสริมว่า การพัฒนาเชียงรายจะต้องทำให้จังหวัดนี้เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับประชาชนทุกคน และจะมีการส่งเสริมการท่องเที่ยว การพัฒนาเศรษฐกิจ และการดูแลสังคมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน

บทสรุป

การเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงราย 2568 ที่ผ่านมา นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลามและสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างไม่เป็นทางการ แม้ผลการเลือกตั้งยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ประชาชนเชียงรายแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความหวังในการพัฒนาท้องถิ่นที่ดีขึ้น ผ่านการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งและการสนับสนุนผู้สมัครที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ทักษิณชูการเมืองท้องถิ่นฟื้นเศรษฐกิจเชียงราย ดึงพลังเพื่อไทยสู้ปี 2568

นายทักษิณปราศรัยเชียงราย ย้ำความสำคัญของการเมืองท้องถิ่น ฟื้นเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชน

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่ปราศรัยช่วยหาเสียงในจังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนให้การต้อนรับอย่างล้นหลาม บรรยากาศที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงเต็มไปด้วยผู้สนับสนุนที่สวมใส่เสื้อแดง ร่วมแสดงความยินดีและฟังการปราศรัยอย่างคึกคัก

เวทีปราศรัยแน่น 3 จุด

นายทักษิณขึ้นปราศรัยที่โรงเรียนปล้องวิทยาคม อำเภอเทิง, โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม อำเภอเชียงของ และโรงเรียนแม่จันวิทยาคม อำเภอแม่จัน โดยมีประชาชนจากหลายพื้นที่มาร่วมรับฟังนับหมื่นคน นายทักษิณกล่าวถึงเหตุผลที่มาช่วยหาเสียงครั้งนี้ว่า ตนคิดถึงประชาชนชาวเชียงรายหลังไม่ได้พบปะกันกว่า 20 ปี อีกทั้งยังต้องการสนับสนุนนายยงยุทธ ติยะไพรัช น้องรักที่ร่วมสร้างพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ต้น และเพื่อสนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของตน เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค

ย้ำการเมืองท้องถิ่นสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

นายทักษิณกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมองว่าการเมืองท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มี ส.ส. มากกว่า 200 คนเหมือนในอดีต และระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูโดยด่วน พร้อมระบุว่า หากเศรษฐกิจในต่างจังหวัดฟื้นตัว กรุงเทพฯ จะได้รับผลดีไปด้วย

นอกจากนี้ นายทักษิณยังเผยว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันทรุดหนัก แต่เขามั่นใจว่าสามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาไม่นาน หากมีการบริหารจัดการที่ดี เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และกระตุ้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ

ความคาดหวังจากการบริหารรัฐบาลเพื่อไทย

นายทักษิณกล่าวถึงการลดค่าไฟฟ้าให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยภายในปีนี้ รวมถึงการลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ย และยารักษาโรคเพื่อช่วยประชาชน นอกจากนี้ยังชี้แจงว่ารัฐบาลเพื่อไทยกำลังเร่งดำเนินการปราบปรามยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ประชาชนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย มีประชาชนตะโกนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่เขากล่าวว่า ตนแก่แล้วและขอสนับสนุนลูกสาวแทน พร้อมระบุว่าเคยมีทรัพย์สินมากถึง 60,000 ล้านบาท แต่หลังจากเผชิญปัญหาทางการเมือง ทำให้ทรัพย์สินลดลงจนเทียบเท่าประชาชนในเชียงราย

มุ่งหน้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายทักษิณกล่าวถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการพัฒนาคนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจใหม่ เช่น การผลักดันคนไทยไปเป็นนางแบบระดับโลก หรือการสนับสนุนบุคลากรที่มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ผ่านการฝึกฝนและส่งเสริมศักยภาพ

สรุป

นายทักษิณ ชินวัตร แสดงจุดยืนสนับสนุนการเมืองท้องถิ่น พรรคเพื่อไทย และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกด้าน พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาที่สะสมมาหลายปี และสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนไทยทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / เพจสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News