Categories
ECONOMY

10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2568 ส่องเทรนด์เศรษฐกิจไทย

10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 2568 เผยเทรนด์เศรษฐกิจไทย สะท้อนโอกาสและความท้าทาย

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจการจัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ประจำปี 2568 โดยมีการวิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุนและบั่นทอนเศรษฐกิจไทย พร้อมประเมินทิศทางการฟื้นตัวในปีหน้า

10 ธุรกิจดาวร่วง ปี 2568

  1. ธุรกิจจำหน่ายและให้เช่า CD หรือ VDO
  2. ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่มีแพลตฟอร์มออนไลน์
  3. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล เช่น CD, DVD, Thumb Drive
  4. บริการส่งหนังสือพิมพ์
  5. ธุรกิจผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
  6. ธุรกิจถ่ายเอกสาร
  7. ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบดั้งเดิมที่ไม่มีการออกแบบใหม่
  8. ธุรกิจรถยนต์มือสอง
  9. ร้านขายเครื่องเล่นเกม
  10. ธุรกิจผลิตกระดาษและร้านโชห่วย

10 ธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2568

  1. ธุรกิจแพทย์และความงาม, Cloud Service, Cyber Security
  2. ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ยูทูบเบอร์ รีวิวสินค้า อินฟลูเอนเซอร์
  3. ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และซอฟต์พาวเวอร์ไทย เช่น ซีรีส์, ภาพยนตร์, สื่อออนไลน์
  4. งานคอนเสิร์ต, มหกรรมแสดงสินค้า, ธุรกิจจัดอีเวนต์ และธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  5. ธุรกิจสายมู, เงินด่วน, ประกันภัย, ประกันชีวิต
  6. บริการแพลตฟอร์ม เช่น แม่บ้านรายวัน และสถานบันเทิง
  7. คลินิกกายภาพบำบัด, บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า, รถยนต์อีวี, ธุรกิจสัตว์เลี้ยง
  8. ธนาคาร, ธุรกิจตู้หยอดเหรียญ, ธุรกิจท่องเที่ยว
  9. ธุรกิจโลจิสติกส์, เดลิเวอรี, ทนายความ, ตลาดนัดกลางคืน
  10. ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์, พลังงานทดแทน

ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2568

  1. การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
    • แรงหนุนจากฟรีวีซ่า
    • แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism Year 2025”
  2. การลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก
    • Amazon, Google, Microsoft
  3. ความร่วมมือระหว่างประเทศ
    • ไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตร BRICS ยกระดับบทบาทบนเวทีโลก
  4. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
    • ช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่าย

ปัจจัยบั่นทอนเศรษฐกิจ

  • ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน
  • ราคาพลังงานโลกที่ผันผวน
  • การเมืองภายในประเทศที่ไม่แน่นอน
  • ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังสูง

หนี้ครัวเรือนปี 2568

นายธนวรรธน์ คาดการณ์ว่า หนี้ครัวเรือนจะลดลงจาก 89% เป็น 85% ต่อ GDP เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของรัฐบาลผ่านโครงการ “คุณสู้เราช่วย”

สรุปภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568

เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี โดยเติบโตในกรอบ 2.8-3.2% มีโอกาสจากธุรกิจดาวรุ่งที่สอดคล้องกับแนวโน้มตลาดโลก ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

งานสำรวจนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างทันท่วงที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
ECONOMY

ต่างชาติลงทุนในไทย 9 เดือน พุ่ง 1.3 แสนล้าน

9 เดือนแรกปี 67 ต่างชาติลงทุนในไทยกว่า 1.3 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นยังคงอันดับหนึ่ง

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 134,805 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าการลงทุนต่างชาติทั้งหมด

การลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในปี 2567

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า ในปี 2567 จำนวนการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 โดยมีนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตจำนวน 636 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 493 ราย ส่วนการลงทุนที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50,792 ล้านบาท หรือ 60%

ในขณะเดียวกัน การจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนต่างชาติในปีนี้มีแนวโน้มลดลง โดยในปี 2567 มีการจ้างงานคนไทยจำนวน 2,505 ตำแหน่ง ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีจำนวนการจ้างงานถึง 5,703 ตำแหน่ง

5 อันดับประเทศที่ลงทุนสูงสุดในไทย

นักลงทุนต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น มีจำนวน 157 ราย คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท
  2. สิงคโปร์ มีจำนวน 96 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 12,222 ล้านบาท
  3. จีน มีจำนวน 89 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 11,981 ล้านบาท
  4. สหรัฐอเมริกา มีจำนวน 86 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 4,147 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง มีจำนวน 46 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 14,116 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้น

ในปี 2567 นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพิ่มขึ้นถึง 109% จากปีก่อน โดยในปีนี้มีนักลงทุนต่างชาติใน EEC จำนวน 207 ราย คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 39,830 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม ออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ซ่อมแซมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาซอฟต์แวร์

นักลงทุนใน EEC ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดยังคงเป็นญี่ปุ่นด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 13,191 ล้านบาท ตามด้วยจีนที่ลงทุน 7,227 ล้านบาท และฮ่องกงที่ลงทุน 5,219 ล้านบาท

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ดึงดูดนักลงทุนจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ของไทยยังคงเป็นจุดสนใจสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยมูลค่าการลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์มอยู่ที่ 11,721 ล้านบาท และซอฟต์แวร์ 16,675 ล้านบาท โดยนักลงทุนชั้นนำในธุรกิจนี้มาจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

แนวโน้มและเป้าหมายการลงทุนของประเทศไทยในอนาคต

การลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและสิทธิประโยชน์ที่ประเทศไทยมอบให้แก่นักลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ และภาคอุตสาหกรรมที่พร้อมรองรับการลงทุน รัฐบาลมีเป้าหมายในการขยายตลาดการลงทุนใหม่ รักษาตลาดเดิม และกระตุ้นการลงทุนในประเทศให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

Nvidia เปิดเผยแผนลงทุนใหญ่ในไทย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งเศรษฐกิจ

Nvidia เตรียมลงทุนในไทย เสริมศักยภาพอุตสาหกรรม AI

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า Nvidia (NVDA.O) บริษัทผู้ผลิตชิปชั้นนำของโลก เตรียมประกาศแผนการลงทุนในประเทศไทยในช่วงการเยือนของ Jensen Huang ซีอีโอของบริษัทในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทยและเป็นการร่วมสร้างคลัสเตอร์เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การลงทุนครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมประเทศไทย

Nvidia ไม่ใช่บริษัทเดียวที่แสดงความสนใจลงทุนในประเทศไทย ยังมีบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Alphabet Inc และ Microsoft Corp ที่ได้เข้ามาแล้ว การเข้ามาของ Nvidia จะช่วยเร่งให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมการผลิตและศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง

การเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในประเทศไทย

การลงทุนจาก Nvidia เป็นโอกาสที่ดีที่จะดึงดูดนักลงทุนรายอื่นๆ เข้ามาในอุตสาหกรรม AI และการผลิตชิป ในอดีตประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ แต่ปัจจุบันต้องเร่งพัฒนาศักยภาพด้าน AI เพื่อทันกับประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

การสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในการขยายตัวของอุตสาหกรรม

นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปี 2557 การลงทุนในไทยได้ลดลง แต่การที่ Nvidia แสดงความสนใจลงทุนในไทยครั้งนี้เป็นการแสดงถึงศักยภาพที่กลับมา การขยายตัวของอุตสาหกรรม AI จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย และมีส่วนในการเร่งการเติบโตของ GDP ในทศวรรษหน้า

การเจรจาการค้าระหว่างประเทศและแผนอนาคต

นอกจากการดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีแล้ว ประเทศไทยยังมุ่งมั่นที่จะสรุปข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในปีหน้า เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศ การขยายความร่วมมือในด้านความมั่นคงทางอาหารกับประเทศในตะวันออกกลางจะช่วยเพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรที่เป็นจุดแข็งของไทย

การเติบโตของการลงทุนจากต่างชาติในปี 2567

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่าการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 42% เป็นมูลค่า 722.5 พันล้านบาท โดยมีแนวโน้มที่จะถึง 1 ล้านล้านบาทในปีนี้ การเข้ามาของ Nvidia ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคส่วนอื่นๆ เช่น ศูนย์ข้อมูลและการผลิตวงจรพิมพ์

การขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทย

ในปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น แม้เงินบาทจะแข็งตัวก็ตาม การเติบโตของการส่งออกจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตเกินกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรอย่างน้ำตาล ไก่แช่แข็ง และข้าว ซึ่งถือเป็นสินค้าหลักที่ไทยส่งออก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทยประสบความสำเร็จในการประชุมอาเซียนครั้งที่ 44-45

ความสำเร็จในการประชุมอาเซียนครั้งที่ 44 และ 45 ของประเทศไทย

ในวันที่ 12 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวถึงความสำเร็จของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 44 และ 45 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2567 ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การประชุมครั้งนี้เป็นการแสดงถึงความสำคัญและบทบาทของประเทศไทยบนเวทีโลก

การประชุมอาเซียนที่ประสบความสำเร็จ

การประชุมอาเซียนครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย โดยมีนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมอย่างแข็งขัน ตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้มีส่วนร่วมในกว่า 20 วาระสำคัญ ตั้งแต่พิธีเปิดการประชุมจนถึงการกล่าวถ้อยแถลงที่แสดงถึงวิสัยทัศน์และนโยบายของประเทศไทยในการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจร่วมกัน

การเจรจาทางเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า

นายกรัฐมนตรีแพทองธารฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาทางการค้าและการลงทุนกับประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ การประชุมครั้งนี้เปิดโอกาสให้เกิดการเจรจาการค้าการลงทุนที่ดีเยี่ยม และได้รับความสนใจจากผู้นำประเทศต่างๆ นอกจากการประชุมสุดยอดอาเซียนแล้ว ยังมีการประชุมอาเซียน-จีน อาเซียน-เกาหลี และอาเซียน-ญี่ปุ่น ซึ่งทุกครั้งที่มีการกล่าวแถลง นายกรัฐมนตรีได้แสดงถึงความตั้งใจในการร่วมมือแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก

การประชุมทวิภาคีและการลงทุนใหม่

หลังจากการประชุมอาเซียน นายกรัฐมนตรีแพทองธารฯ ได้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมทวิภาคีกับ 12 ประเทศ รวมถึงญี่ปุ่น สิงคโปร์ กัมพูชา และอื่นๆ ซึ่งมีการลงนามข้อตกลงการลงทุนใหม่ ๆ เช่น กลุ่มทุนในตะวันออกกลางที่ประกาศแผนลงทุนในศูนย์ข้อมูลดาต้าเซนเตอร์ในไทยกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท การลงทุนนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

การแสดงถึง Soft Power ของไทย

นอกจากด้านเศรษฐกิจแล้ว นายกรัฐมนตรียังได้แสดงถึง Soft Power ของไทยอย่างเด่นชัด ด้วยการแต่งกายผ้าไทยที่สวยงามและการต้อนรับจากสื่อและประชาชนลาวที่เป็นกันเอง การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในสายตาชาวต่างชาติ

อนาคตที่สดใสสำหรับประเทศไทย

หลังการประชุมอาเซียนครั้งนี้ คาดว่าจะมีข่าวดีเพิ่มเติมสำหรับประเทศไทย ทั้งการลงทุนจากต่างประเทศและการขยายโอกาสทางการค้าอย่างต่อเนื่อง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ได้ให้ความเห็นว่า ความสำเร็จในการประชุมครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับประเทศคู่ค้าทั่วโลก

การทำงานหนักของคณะผู้แทนไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธารฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสามารถในการเจรจาและสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในทุกด้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News