Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ราคาทรุด! ปลาเศรษฐกิจแม่น้ำกกดิ่งเหว ชุมชนปากน้ำร้องรัฐวางแผนน้ำสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

วิกฤต “สารพิษแม่น้ำกก” เขย่าเศรษฐกิจริมฝั่งน้ำ—ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ยื่น 4 ข้อเสนอเยียวยา–หยุดต้นเหตุ ขณะที่จังหวัดเร่งวาง Flood Mark-สำรวจน้ำบาดาลสำรอง สกัดความเสี่ยงระยะยาว

เชียงราย, 16 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นริมปากแม่น้ำกก ลมเหนือพัดแรงพอจะทำให้ผืนแหตาข่ายปลิวกระทบกันเป็นจังหวะ แต่เสียงหัวเราะของชาวประมงไม่คึกคักดังเช่นเดิม แผงขายปลาที่เคยคึกครื้นเงียบลงอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ “ข่าวสารพิษในแม่น้ำกก” ขึ้นหน้าสื่อเมื่อต้นฤดูร้อนปีนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหดหาย ราคาปลาท้องถิ่นทรุดลงต่อเนื่อง และรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำเกือบหยุดชะงัก

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ชาวประมงจาก บ้านเชียงแสนน้อย–บ้านสบคำ ต.เวียง และบ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน รวม 30 คน เปิด “เวทีระดมข้อมูลผลกระทบ” ที่ศาลาตลาดปลาบ้านเชียงแสนน้อย โดยมี ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ลงบันทึกข้อเท็จจริง–เสียงสะท้อน และ “ข้อเสนอ 4 ข้อ” ส่งถึงหน่วยงานรัฐ ระบุชัดเป็นทางออกทั้งระยะสั้นและยาว หลังชุมชนรับผลกระทบจาก การปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองต้นน้ำฝั่งพม่า ซึ่งไหลลงสู่ลุ่มน้ำกก

 “ความเสี่ยงไม่แน่ชัด” จนกลายเป็น “ความกลัวแน่ชัด”

จุดหักเหเกิดขึ้นราว 9 เมษายน 2568 เมื่อมีประกาศให้งดการลงเล่นแม่น้ำกกจากการตรวจพบ “สารปนเปื้อน” ต่อมา 22 เมษายน 2568 ข่าว “ปลาป่วยเป็นตุ่ม” ถูกเผยแพร่กว้างขวาง อันเป็นภาพที่สะเทือนความรู้สึกของชุมชนผู้ผูกพันกับสายน้ำ กระทั่งช่วงปลายเดือนเมษายน รายงานการตรวจคุณภาพน้ำที่พบ “สารหนู” โดยหน่วยงานสิ่งแวดล้อมกลาง ถูกตีความในสังคมอย่างแตกต่าง—แม้ กรมประมง จะย้ำว่า สารตกค้างในตัวปลา “ไม่เกินมาตรฐาน” และยังบริโภคได้ แต่ในเชิงพฤติกรรม ผู้บริโภคจำนวนมากเลือก “เลี่ยง” มากกว่า “เสี่ยง”

ในเวลาต่อมา คลื่นข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่สะท้อนภาพที่น่ากังวลยิ่งขึ้น การตรวจรอบที่ 4 ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย ชี้ว่า น้ำประปาหมู่บ้าน 18 แห่งมีการปนเปื้อนสารตะกั่ว (บางแห่งพบทั้งตะกั่วและสารหนู) พร้อมสัญญาณ “สารโลหะหนัก” ใน ผักบุ้ง–ผักกาด และในปลาบางชนิด (เช่น ปลาตะเพียน ปลานวลจันทร์ ปลากระดี่ ปลานิล) แม้ส่วนใหญ่ ยังไม่เกินค่าอ้างอิง แต่การบริโภคซ้ำอย่างต่อเนื่องในชุมชนพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ ย่อมสร้าง “ความเสี่ยงสะสม” โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

เสียงเตือนจากนักวิชาการสะท้อนชัด ดร.สืบสกุล กิจนุกร เรียกร้องรัฐ “สื่อสารให้ตรงไปตรงมา” เลิกใช้คำกำกวมอย่าง “ไม่เกินมาตรฐาน” แล้วเปลี่ยนเป็น “พบสารโลหะหนักแต่ไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจความเสี่ยงจริง นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าการตรวจครั้งล่าสุด ไม่มีการตรวจ “ปรอท” ในตัวปลา ทั้งที่จังหวัดใกล้เคียงอย่างเชียงใหม่ตรวจและรายงาน พร้อมเผยข้อมูล ผลตรวจปัสสาวะประชาชน 7 รายมี “สารหนูเกินมาตรฐาน” ซึ่งควรถูกสื่อสารและติดตามซ้ำอย่างโปร่งใส

ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ จาก CHIA Platform เสนอให้ หยุดจ่ายน้ำ” ที่โรงเรียน ที่ตรวจพบการปนเปื้อนทันที จัดหาน้ำสะอาดจากแหล่งอื่นใช้ชั่วคราว ตรวจสอบและยกระดับระบบบำบัด พร้อมประเมินภาวะสุขภาพกลุ่มเสี่ยง (หญิงตั้งครรภ์–เด็กเล็ก) อย่างใกล้ชิด ขณะที่ ผศ.เสถียร ฉันทะ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มรภ.เชียงราย เตือนว่าตะกั่วกระทบระบบประสาทอย่างรุนแรง โดย WHO และการประปาส่วนภูมิภาคกำหนดค่าสูงสุดในน้ำดื่มที่ 0.01 มก./ล. จึงย้ำให้รัฐเปิดเผยข้อมูลและเร่งหา “แหล่งน้ำดิบใหม่” สำหรับผลิตประปาชุมชนโดยเร็ว

ชีวิตชาวประมงปากน้ำกก เมื่อฤดูกาลยังมา แต่รายได้ไม่กลับ

เศรษฐกิจของ 3 ชุมชนปลายน้ำกกผูกกับ “จังหวะน้ำ–วงจรปลา” อย่างแยกไม่ออก

  • ฤดูน้ำหลาก (พฤษภาคม–กันยายน) ปลาแม่น้ำโขงอพยพเข้าแม่น้ำกก จับได้มากที่สุด รายได้สูงสุดของปี
  • ฤดูน้ำลง/ปลาล่อง (ตุลาคม–พฤศจิกายน) ปลาไหลกลับสู่โขง ยังจับได้ต่อ
  • ฤดูแล้ง (ธันวาคม–เมษายน) จับปลาได้น้อย ชาวประมงซ่อมอุปกรณ์–หาเลี้ยงจากแหล่งน้ำย่อย

ภาวะปกติ 6 เดือนของน้ำหลาก+น้ำลง คือ “ห้วงทำเงิน” เฉลี่ย 52,000 บาท/คน/ฤดูกาล สำหรับชาวประมงรายย่อย แต่วงจรปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม

  • เมษายน 2568 ข่าวปนเปื้อนเริ่มกระจาย
  • พฤษภาคม เริ่มขายปลายาก–ราคาตก
  • มิถุนายน–กันยายน แทบ ขายไม่ได้เลย จับได้ก็บริโภคเอง
  • ตุลาคม เริ่มขายได้บ้าง แต่ ทั้งราคา–ปริมาณไม่กลับเท่าเดิม

ราคาปลาเศรษฐกิจ “หักหัวทิ่ม” ในเวลาอันสั้น

  • ปลาเค้า จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก.
  • ปลาแข้ จาก 250 เหลือ 150 บาท/กก. (ยังขายยาก)
  • ปลาคางเบือน จาก 350 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลากา (เพี้ย) จาก 150 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลาโจก จาก 250 เหลือ 240 บาท/กก.
  • ปลากด จาก 120 เหลือ 100 บาท/กก.
  • ปลากดคัง จาก 250 เหลือ 200 บาท/กก.
  • ปลาสะงั่ว จาก 400 เหลือ 300 บาท/กก.

ขณะเดียวกัน ต้นทุนคงที่ ของอาชีพประมงพื้นบ้านกลับ “ไม่ลดตาม” ค่าเรือและเครื่องเรือราว 25,000 บาท ค่าน้ำมันเฉพาะฤดูทำการ 18,000 บาท “มองไหล” (อวนตาถี่) 10 ผืน คนละ 45,000 บาท และ ไซลั่น 10 อัน 5,000 บาท รวม เฉลี่ย 83,000 บาท/คน/ปี เมื่อนำมาคูณกับ ชาวประมง 41 ราย ในสามชุมชน (สบคำ 22, สบกก 12, เชียงแสนน้อย 7) เฉพาะ “ทุนอุปกรณ์” ที่สูญเสียไปในปีนี้พุ่งถึง 3,403,000 บาท—ยังไม่รวม ค่าเสียโอกาส จากรายได้ที่หายไปทั้งฤดูกาล

“จับได้ก็ต้องกินเอง จะให้ทิ้งก็ไม่ได้ แต่ขายก็ไม่มีคนซื้อ” — เสียงเล่าซ้ำ ๆ บนเวทีสะท้อน “วิกฤตความเชื่อมั่น” มากกว่าปัญหา “ปริมาณปลา”

4 ข้อเสนอจากชุมชน เยียวยา–สื่อสารตรง–หยุดสารพิษ–ดูแลสุขภาพ

ข้อเสนอร่วมของ ชาวประมงปากน้ำกก 3 ชุมชน ต่อภาครัฐ ได้แก่

  1. เยียวยา–ชดเชยรายได้ ที่ขาดหายไปจากอาชีพประมง และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายคงที่ด้านอุปกรณ์/ซ่อมบำรุง
  2. สื่อสารตรงไปตรงมา ชัดเจน และปฏิบัติได้จริง ลดความกำกวมที่ทำให้ชาวบ้าน–ผู้บริโภคสับสน
  3. แก้ที่ต้นเหตุ ให้รัฐบาล เจรจา–กดดัน ฝั่งต้นน้ำให้ หยุดปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ ตามกรอบความร่วมมือข้ามพรมแดน
  4. ตรวจสุขภาพต่อเนื่อง เปิดเผยผล ตรวจย้ำแยกแยะ สารหนูอินทรีย์–อนินทรีย์ พร้อมคำแนะนำป้องกันที่ปฏิบัติได้จริง

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากชุมชนในลุ่มน้ำกก “ตั้งแต่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ถึงปากน้ำกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย” เพื่อยื่นข้อเสนออย่างเป็นระบบต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ

ด้านจังหวัด–ส่วนกลาง เร่งแผนคู่ขนาน น้ำสำรอง–ข้อมูลน้ำท่วม–แผนที่เสี่ยง

วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้มีเพียง “สารพิษ” แต่ยังทับซ้อนกับ “ความเสี่ยงน้ำหลาก” ที่ลุ่มน้ำกกเผชิญเป็นระยะ 15 ตุลาคม 2568 จังหวัดเชียงรายเปิดประชุมที่ ปภ.จังหวัด โดย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน ขับเคลื่อนโครงการ ติดตั้งเครื่องหมายระดับคราบน้ำท่วม (Flood Mark) เป็น “ความทรงจำของน้ำ” บนพื้นที่จริง เพื่อนำไปสู่ แผนที่เสี่ยง (Flood Map) และ แผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี Mobile Mapping System (MMS) สำรวจความสูงภูมิประเทศ กว่า 120 กม. ตั้ง หมุด Flood Mark ไม่น้อยกว่า 500 จุด เชื่อมความร่วมมือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย–เทศบาลนครเชียงราย–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภายใต้งบสนับสนุนจาก สสน. (สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, องค์การมหาชน) และโครงการ CDP ร่วมประสาน TNDR

ในมิติ “น้ำกินน้ำใช้” ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติเดินเกม แผนน้ำสำรอง นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี/รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมาย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล สำรวจ–คัดเลือก บ่อบาดาลสำรอง สำหรับระบบประปาหมู่บ้านใน ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย โดย สำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 1 (ลำปาง) ลงพื้นที่ร่วมกับ สนง.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ เทศบาลตำบลแม่ยาว ใน 3 หมู่บ้าน (รวมมิตร–ห้วยทรายขาว–ผาสุก) รวมแล้ว ราว 20 จุด พร้อมเปิดรับจุดสำรวจเพิ่มเติม เพื่อทดแทนการใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกในพื้นที่เสี่ยง

มาตรการเชิงรุกดังกล่าวสื่อสาร “แนวทางแก้ปัญหาที่จับต้องได้” ระหว่างที่ผลตรวจสารปนเปื้อนยังต้องเฝ้าระวังและสื่อสารต่อเนื่อง

นโยบาย–ธรรมาภิบาลน้ำแบบข้ามพรมแดน ช่องว่างที่ควรปิด

แม่น้ำกกเป็นสายน้ำที่มี มิติข้ามพรมแดน เชื่อมพื้นที่ต้นน้ำฝั่งพม่าเข้าสู่ไทย ความเสี่ยงจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ—ซึ่งถูกระบุโดยชุมชนว่าเป็นต้นตอการปนเปื้อน—สะท้อนความจำเป็นของ กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G2G) และระดับหน่วยงานวิชาการ (S2S Science-to-Science) เพื่อตกลง มาตรฐานการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–เยียวยา ที่เท่าทัน หากไม่ปิดช่องว่างนี้ ปลายน้ำอย่างเชียงรายจะต้องเผชิญ “ความไม่แน่นอน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตีวงกว้างตั้งแต่ สุขภาพ–เศรษฐกิจฐานราก–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ไปจนถึง ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว

ในเชิงสื่อสารสาธารณะ บทเรียนสำคัญคือ ความชัดเจนมาก่อนความสบายใจ” ภาษาราชการที่ไม่ตรงประเด็นอาจทำให้ประชาชน “สบายใจชั่วครู่” แต่ “ไม่ปลอดภัยในระยะยาว” แนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอ—บอกความจริงตามข้อมูลล่าสุด แยกแยะสารแต่ละชนิด ระบุพื้นที่เสี่ยง–กลุ่มเสี่ยง พร้อมมาตรการปฏิบัติ—คือสิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ชุมชนตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ เข้าใจง่าย–ตรวจสอบได้

จาก “ความกลัว” สู่ “แผนที่–น้ำสำรอง–ตัวชี้วัดสุขภาพ”

แม้สถานการณ์ยังไม่นิ่ง แต่ “เส้นทางคลี่คลาย” เริ่มมีองค์ประกอบชัดเจนมากขึ้น

  1. สตอรีไลน์ของน้ำ — เมื่อ Flood Mark ถูกปักไว้เป็นร้อยจุด และ MMS แปลงความสูงภูมิประเทศเป็นข้อมูลดิจิทัล พื้นที่ปลายน้ำกกจะมี “แผนที่เสี่ยงน้ำท่วม” ที่อ้างอิงเหตุการณ์จริง ลดความไม่แน่นอนของฤดูน้ำหลาก สร้าง “ปฏิทินน้ำ” ที่วางแผนล่วงหน้าได้
  2. น้ำดื่มน้ำใช้ที่มั่นคง — เมื่อ “น้ำบาดาลสำรอง” ถูกพัฒนาเป็นเครือข่ายจ่ายน้ำให้ประปาชุมชน พื้นที่เสี่ยงสามารถ “สลับแหล่งน้ำดิบ” ได้ทันทีเมื่อตรวจพบสารปนเปื้อน ลดการพึ่งพาแม่น้ำหลักในช่วงวิกฤต
  3. สุขภาพที่ติดตามได้ — เมื่อตัวชี้วัดสุขภาพ (เช่น การตรวจปัสสาวะสารหนู, คัดกรองภาวะโลหะหนักในกลุ่มเสี่ยง, แนวทางโภชนาการช่วงเฝ้าระวัง) ถูก ประกาศ–อัปเดต–อธิบาย อย่างสม่ำเสมอ ความสามารถของประชาชนในการป้องกันตนเองจะสูงขึ้นทันที
  4. เยียวยาที่เป็นธรรม — หากมาตรการเยียวยารายได้–ช่วยค่าอุปกรณ์–ค้ำประกันสินเชื่ออาชีพ (ชั่วคราว) ของชาวประมงเกิดขึ้นจริง พร้อม “ตลาดทางเลือก” สำหรับช่วงฟื้นความเชื่อมั่น (เช่น อุดหนุนปลาจากแหล่งน้ำที่ปลอดภัย–โปรแกรมรับซื้อประกันราคา) วงจรรายได้ของครัวเรือนริมฝั่งน้ำจะเริ่มหายใจได้อีกครั้ง

หยุดสารพิษที่ต้นน้ำ–เยียวยาปลายน้ำ–ทำให้ข้อมูลไหลเหมือนน้ำ

สิ่งที่ชุมชนขอไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม—เยียวยาทันที, ข้อมูลตรงไปตรงมา, เจรจากับต้นน้ำให้หยุดปล่อยสารพิษ, และ ตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดคือ “มาตรการมนุษย์พื้นฐาน” ในวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่การจะเดินทางไปถึงจุดนั้น ต้องมี “ระบบข้อมูล” ที่ โปร่งใส–ต่อเนื่อง–สื่อสารเป็น และ “ระบบน้ำ” ที่ ยืดหยุ่น–มีทางเลือก–สำรองได้

เชียงรายกำลังวางรากฐานผ่าน Flood Mark–MMS–บ่อบาดาลสำรอง ขณะที่นักวิชาการและภาคประชาชนกำลังช่วยกัน “ทำให้ข้อมูลไม่กำกวม” บทบาทต่อจากนี้ของรัฐ—ทั้งส่วนกลาง–ส่วนท้องถิ่น—คือ เชื่อมทุกเส้นให้ทำงานพร้อมกัน ตั้งแต่โต๊ะเจรจาข้ามพรมแดน ไปจนถึงโต๊ะกินข้าวของครัวเรือนชาวประมง ถ้าทำได้ “ความกลัว” จะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วย “ความเชื่อมั่นใหม่” ที่วัดผลได้ทั้งใน ตัวเลขสุขภาพ–กระเป๋าสตางค์–ราคาปลา และ เสียงหัวเราะริมฝั่งน้ำ ที่จะกลับมาอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ ดร.สืบสกุล กิจนุกร (มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง)
  • รายงานสาธารณสุข/ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1 เชียงราย (กระทรวงสาธารณสุข)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตโขง! ชาวประมงหาปลาได้แต่ขายไม่ได้ วุฒิสภาชี้เร่งหาแม่งาน

เงาทมิฬใต้สายน้ำโขง เมื่อ ‘สร้อยมุกแห่งเอเชีย’ กลายเป็น ‘กับดักพิษ’ ข้ามแดน

เชียงราย, 20 กันยายน 2568 – สะเทือนใจ! ชาวประมงโขงเดือดร้อน ‘หาปลาได้แต่ขายไม่ได้’ ส่องภัยเขื่อนปากแบงเสี่ยงกลายเป็นอ่างกักพิษยักษ์ วุฒิสภาชี้วิกฤตข้ามพรมแดนต้องมี ‘แม่งาน’ ชาติแก้ปัญหาเร่งด่วน

ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้โลกเชื่อมต่อกันได้ในชั่วพริบตา แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อมต่อกันโดยไม่ได้รับเชิญก็คือ “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่กำลังคุกคามวิถีชีวิตของประชาชนไทยอย่างเงียบเสียงแต่รุนแรง

เมื่อสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นที่พึ่งของมหาอำนาจในอดีตและแหล่งอาหารของล้านชีวิตในปัจจุบัน กลับกลายเป็นตัวนำพาความตายและโรคภัยไข้เจ็บ แม่น้ำโขงและลูกน้ำกกที่เคยเป็น “สร้อยมุกแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” วันนี้หน้าตาเหมือนหนังสยองขวัญมากกว่าเรื่องเล่าในตำนาน

ล่าสุด วันที่ 20 กันยายน 2568 คณะกรรมการวุฒิสภาได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตนี้ ซึ่งเผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจทั้งในระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับภูมิภาค

สุสานน้ำ” ที่เคยเป็นสวรรค์ชาวประมง

นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานกรรมการธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา พร้อมด้วย น.ส.มณีรัฐ เขมะวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา และคณะทำงาน ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เมื่อเวลา 15.30 น. ในวันเดียวกัน

การพบปะในครั้งนี้มีชาวบ้านกว่า 20 คนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งสะท้อนความจริงที่เจ็บปวดเกี่ยวกับชุมชนที่เคยมีชีวิตติดแน่นกับแม่น้ำมาร่วมศตวรรษ

ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชนชาวประมงริมโขงเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ชาวบ้านบอกกับคณะกรรมการว่า ทุกวันนี้พวกเขายังคงสามารถลงเรือออกไปหาปลาในแม่น้ำได้เหมือนเดิม ปลายืนยังคงมี แต่ “ขายไม่ได้” เพราะไม่มีใครในท้องถิ่นกล้าซื้อปลาจากแหล่งน้ำที่ทุกคนรู้ดีว่าปนเปื้อนสารพิษ

สถานการณ์ประหลาดนี้ทำให้เรือประมงจำนวนมากต้องจอดเทียบท่าเป็นเวลานาน ชาวประมงหลายครอบครัวสูญเสียรายได้หลักที่พึ่งพาได้มาตลอดชีวิต ในขณะเดียวกัน ครอบครัวบางส่วนที่มีฐานะยากจนมากก็ต้องยอมเสี่ยงภัย โดยการนำปลาที่จับได้ไปขายให้กับพ่อค้าจากสปป.ลาวที่ยังคงเต็มใจซื้อ

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ดูแปลกประหลาดและสับสนยิ่งขึ้น คือการประชาสัมพันธ์จากหน่วยงานราชการจังหวัดที่เคยระบุว่า “ปลาในแม่น้ำสามารถนำไปประกอบอาหารได้ แต่ห้ามใช้น้ำในแม่น้ำ” ข้อความดังกล่าวสร้างความสับสนและลดความเชื่อมั่นของชาวบ้านต่อข้อมูลจากภาครัฐอย่างรุนแรง

การค้นหาต้นตอ เส้นทางสารพิษจากเมียนมา

ความจริงที่ชาวบ้านและหน่วยงานไทยต้องเผชิญคือ ต้นเหตุของปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงไม่ได้เกิดขึ้นในดินแดนไทย แต่มาจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในเขตต้นน้ำของประเทศเมียนมา

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ได้ให้ข้อมูลสำคัญแก่คณะกรรมการวุฒิสภาว่า การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเป็นทางการเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแม่น้ำโขงบริเวณชายแดนไทย-ลาวมีการปนเปื้อนของสารหนู (อาร์เซนิก) และตัวอย่างน้ำที่เก็บได้ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมาพบความขุ่นผิดปกติและโลหะหนักที่มีความเข้มข้นสูง โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนของมลพิษจากการทำเหมืองแร่ต้นน้ำในรัฐฉานของเมียนมา

ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมยังเผยให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของกิจกรรมการทำเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในพื้นที่ที่ควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา ซึ่งตัวอย่างที่เก็บได้ใกล้ชายแดนเมียนมามากที่สุดแสดงระดับโลหะหนักสูงสุดและยืนยันว่าแหล่งปนเปื้อนมาจากต้นน้ำในรัฐฉาน

ตั้งแต่การรัฐประหารทหารในเมียนมาปี 2564 เหมืองแร่จำนวนมากได้เปิดขึ้นเพื่อทำเหมืองโลหะหายากที่ใช้ในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ของเสียเคมีไหลเข้าสู่ไทยโดยไม่ผ่านการกรอง ทำให้เกิดปัญหาผิวหนังและอาการเจ็บป่วยต่างๆ

สถิติที่น่าตกใจคือ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ประชาชนประมาณ 1,500 คนได้รวมตัวกันที่จังหวัดเชียงรายเพื่อเรียกร้องให้ปิดเหมืองผิดกฎหมายในเมียนมา ผู้ประท้วงได้ส่งจดหมายไปยังนายกรัฐมนตรีไทย ประธานาธิบดีจีน หัวหน้าคณะรัฐประหารเมียนมา และหัวหน้ากลุ่มติดอาวุธที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังกิจกรรมการทำเหมือง

เขื่อนปากแบง อ่างกักเก็บพิษแห่งอนาคต?

หากว่าปัญหามลพิษจากการทำเหมืองในเมียนมายังไม่เพียงพอ ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้คือ โครงการก่อสร้าง “เขื่อนปากแบง” ในแขวงอุดมไซ สปป.ลาว ที่อาจจะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคมนี้

เขื่อนปากแบงเป็นโครงการพลังงานไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายหลักในดินแดนทางเหนือของลาว โครงการ run-of-river นี้มีกำลังการผลิต 912 เมกะวัตต์ และผลิตพลังงานเฉลี่ยปีละ 4,775 กิกะวัตต์ชั่วโมง ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 90 กิโลเมตร เขื่อนจะมีความสูงสูงสุด 64 เมตรและความยาวสันเขื่อน 896.70 เมตร

น.ส.เพียรพร ได้เตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการนี้ว่า หากมีการก่อสร้างเขื่อนแล้วเสร็จ เขื่อนปากแบงอาจกลายเป็น “อ่างกักเก็บสารพิษขนาดใหญ่” เนื่องจากจะทำให้สารปนเปื้อนที่ไหลมาจากต้นน้ำตกตะกอนและสะสมอยู่ในอ่างเก็บน้ำ กลายเป็นกับดักสารพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในวงกว้างกว่าเดิม

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า เขื่อนปากแบงคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2572 ในขณะที่เขื่อนหลวงพระบางคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2570

ตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ เขื่อนปากแบงจะส่งผลกระทบต่อหมู่บ้านทั้งหมด 26 หมู่บ้านใน 3 จังหวัด โดย 17 หมู่บ้านอยู่ในจังหวัดบ่อแก้ว ครอบครัวทั้งหมด 923 ครอบครัว หรือประมาณ 4,700 คนจะต้องย้ายถิ่นฐาน

น.ส.เพียรพรได้ยื่นหนังสือคัดค้านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ขอให้พิจารณาชะลอการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากโครงการนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่อาจประเมินค่าความเสียหายไม่ได้ในอนาคต

วิกฤตการจัดการ เมื่อปัญหาใหญ่ไร้ “แม่งาน”

นายภานุวัฒน์ ศรีสุข ตัวแทนภาคประชาชนจากเชียงแสนได้ให้มุมมองที่สำคัญแก่คณะกรรมการวุฒิสภาว่า ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่เป็น “ปัญหาความมั่นคงชายแดน” ที่มีระดับความสำคัญไม่แพ้กับปัญหาความไม่สงบในภาคอีสานหรือภาคใต้

ปัญหาสำคัญที่นายภานุวัฒน์ชี้ให้เห็นคือ ความล้มเหลวในการจัดการระบบราชการที่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาเป็น “แม่งาน” ในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ซึ่งสร้างความกังวลอย่างมากว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล คณะทำงานที่เคยตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาอาจจะถูกยุบไปพร้อมกับรัฐบาลชุดเก่า ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ข้อเรียกร้องของนายภานุวัฒน์จึงมุ่งไปที่การขอให้ “รัฐบาลใหม่” ยกระดับปัญหานี้ให้เป็นวาระเร่งด่วนระดับชาติ โดยขอให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับประชาชนชายแดนเข้ามากำกับดูแลอย่างจริงจัง และแต่งตั้ง “แม่งาน” ที่มีอำนาจและศักยภาพในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาดและยั่งยืน

มิติระหว่างประเทศ เมื่อปัญหาใหญ่กว่าที่คิด

ปัญหามลพิษในแม่น้ำโขงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับไทยเท่านั้น การตรวจพบสารหนูตามแนวชายแดนลาว-เมียนมา ยิ่งบ่งชี้ถึงแหล่งมลพิษข้ามพรมแดนที่ส่งผลกระทบต่อระบบแม่น้ำทั้งหมด คณะกรรมการแม่น้ำโขง (MRC) กำลังประสานงานกับหน่วยงานชาติต่างๆ เพื่อเสริมสร้างการติดตามตรวจสอบร่วมกันและการแบ่งปันข้อมูลในประเทศที่ได้รับผลกระทบ

ข้อมูลจากการประมงมากเกินไป การขุดทรายอย่างหนัก และมลพิษจากพลาสติกได้เพิ่มความเครียดให้กับแม่น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้นำมาซึ่งภัยแล้งที่ยาวนานและรุนแรงขึ้น รวมถึงน้ำท่วมที่คาดการณ์ไม่ได้ ระบบการประมงที่เคยพึ่งพาได้ เช่น อวนไดของกัมพูชา ปัจจุบันล้มเหลวในบางปี

บทบาทวุฒิสภา สู่การขับเคลื่อนระดับนโยบาย

การลงพื้นที่ของคณะกรรมการวุฒิสภาในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญหาในระดับชุมชนกำลังถูกยกระดับขึ้นสู่การพิจารณาในระดับนโยบายชาติ ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทหลักของวุฒิสภาในการเป็นตัวแทนของประชาชนในการตรวจสอบและผลักดันการแก้ไขปัญหา

จากข้อมูลที่คณะกรรมการวุฒิสภาได้รับจากชาวบ้าน ผู้เชี่ยวชาญ และตัวแทนภาคประชาชน แสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนตามกลไกของคณะกรรมการเพื่อให้ปัญหาที่ซับซ้อนนี้ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

การดำเนินการจะต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ตั้งแต่การปราบปรามการลักลอบนำเข้าสารเคมีและอุปกรณ์ทำเหมืองแร่หายากที่ชายแดน (ซึ่งมีรายงานว่ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ อ.เวียงแหง และ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่) ไปจนถึงการยกระดับการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการทำเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ และการพิจารณาผลกระทบจากโครงการเขื่อนในแม่น้ำโขง

ผลกระทับในวงกว้าง ไม่ใช่แค่ปลาตัวเดียว

ปัญหาที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงและลูกน้ำกกไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะกับชาวประมงเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่หลายมิติ ได้แก่:

  • มิติเศรษฐกิจ: การสูญเสียรายได้จากการประมง การท่องเที่ยวลดลง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนโดยรวม
  • มิติสุขภาพ: ความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน และการใช้น้ำที่ไม่ปลอดภัย
  • มิติสังคม: การสูญเสียวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างชุมชน
  • มิติสิ่งแวดล้อม: ความเสียหายต่อระบบนิเวศแม่น้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ
  • มิติความมั่นคง: ปัญหาความตึงเครียดระหว่างประเทศและความไม่มั่นคงของชุมชนชายแดน

สู่อนาคตที่ยั่งยืน

การต่อสู้กับวิกฤตมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงจึงไม่ใช่เพียงการหาทางออกให้กับชาวประมงในวันนี้ แต่เป็นการวางรากฐานที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม อาชีพ และสุขภาพของประชาชนในภูมิภาคนี้อย่างยั่งยืนในอนาคต

คำถามสำคัญที่ต้องได้รับการตอบในไม่ช้าคือ รัฐบาลไทยจะสามารถกำหนด “แม่งาน” ที่มีประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหานี้ได้หรือไม่ และจะสามารถผลักดันให้เกิดการร่วมมือระหว่างประเทศที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นอย่างไร

เสียงของชาวบ้านสบกกที่ได้รับการรับฟังโดยวุฒิสภาในวันที่ 20 กันยายนนี้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางยาวไกลที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนนี้ การประสบความสำเร็จในภารกิจนี้จะไม่ใช่เพียงชัยชนะของคนไทยเท่านั้น แต่จะเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในศตวรรษที่ 21

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Al Jazeera – “Dangerous Mekong River pollution blamed on lawless mining in Myanmar”, August 2, 2025
  • Laotian Times – “Toxic Arsenic Contamination Spreads from Northern Thailand into the Mekong River”, June 12, 2025
  • Al Jazeera – “Satellite images show surge in rare earth mining in rebel-held Myanmar”, August 7,
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สารหนูแม่น้ำกกยังสูง เชียงรายเร่งตรวจน้ำ-ปลา ประชาชนวอนขอผลชัดเจน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำและพร้อมรับมืออุทกภัย บูรณาการหน่วยงานรัฐ-ชุมชนสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งด้านคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญและความเสี่ยงต่ออุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน

ประชุมเร่งด่วนบูรณาการทุกภาคส่วน


วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่าน VDO Conference กับจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน เพื่อรายงานและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ และการป้องกันอุทกภัย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในช่วงหลังฝายเชียงรายที่ค่าความเข้มข้นของสารหนูเกินมาตรฐานในระยะนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดประตูน้ำช่วงน้ำหลากและการขุดลอกลำน้ำที่ทำให้ตะกอนสารหนูลอยขึ้นปะปนในน้ำ อย่างไรก็ตาม ระดับสารหนูหลังฝายยังต่ำกว่าช่วงต้นน้ำกก

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง-ลงพื้นที่ตรวจเข้ม


จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3 จุดหลัก คือ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และสามเหลี่ยมทองคำ พร้อมเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทีมตรวจสอบเคลื่อนที่เข้าสู่หมู่บ้าน/ชุมชน และเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปา โดยผลตรวจล่าสุดพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ขณะเดียวกัน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย เพื่อตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในตัวปลาอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่างพืชผักที่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย ซึ่งยังไม่พบว่ามีค่าปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

ด้านสุขภาพประชาชน สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเร่งดำเนินการเชิงรุก ทั้งตรวจร่างกาย เฝ้าระวังอาการผิดปกติ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิด รพ.สต. ให้เป็นจุดเฝ้าระวังและรับแจ้งอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการบริโภคน้ำหรือสัตว์น้ำปนเปื้อน

แผนรับมืออุทกภัย เครื่องมือ-เครื่องจักรพร้อมรับสถานการณ์


ในด้านการรับมืออุทกภัย จังหวัดได้ทบทวนแผนและพื้นที่เสี่ยงทั่วลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง และแม่น้ำรวก โดยติดตั้งโทรมาตร (อุปกรณ์วัดระดับน้ำ) กว่า 21 จุดตลอดแม่น้ำกก และพร้อมจัดซ้อมแผนรับมือภัยในเดือนมิถุนายน 2568 มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เสี่ยง เช่น แม่สาย เทิง แม่จัน พร้อมทั้งบริหารจัดการข้อมูล 24 ชั่วโมงผ่านศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด

หน่วยงานกรมการทหารช่างได้สร้างแนวป้องกันน้ำในแม่สายและขุดลอกแม่น้ำรวก รวมถึงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการขุดลอกแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำท่วมข้ามพรมแดน นอกจากนี้ ยังวางแผนสำรองเผชิญเหตุในระดับหมู่บ้านเพื่อดูแลพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สนามบิน และสถานีผลิตน้ำประปา

ภาคประชาชน-ชุมชนร่วมมือ สร้างความมั่นใจในแหล่งอาหาร


เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมหาวัน ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน สะท้อนถึงความห่วงใยของชาวบ้านต่อแหล่งอาหารหลัก ซึ่งมีรายได้เสริมจากการจับปลาขาย แต่ต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่งจากกระแสข่าวสารปนเปื้อนในน้ำ โดยชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานเร่งประกาศผลตรวจอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของชุมชน

วิเคราะห์แนวโน้ม-สร้างเสถียรภาพระยะยาว


การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในจังหวัดเชียงรายในขณะนี้ สะท้อนถึงความพยายามของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน ในการสร้างระบบเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง คือการสื่อสารสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับประชาชนให้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ อาศัยกลไกวิทยาศาสตร์การแพทย์และการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนและความมั่นคงด้านอาหารในจังหวัด

สรุป


แม้สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำกกจะยังคงน่าห่วง แต่จากการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และการสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า จ.เชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เริ่มวิกฤต หลัง ‘น้ำกก’ ปนเปื้อน พบชาวบ้านแสบตา ปลาผิดปกติ

เชียงรายเผชิญวิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำสาขาโขง เรียกร้องรัฐบาลเร่งเจรจาระหว่างประเทศแก้ปัญหาเหมืองต้นน้ำ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 –  เพจ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานว่า จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่กำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอันเนื่องจากการปนเปื้อนของสารหนู (Arsenic) ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาสำคัญของแม่น้ำโขง ผลการตรวจสอบโดยหน่วยงานในพื้นที่และนักวิชาการยืนยันว่าสารหนูมีระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยสาเหตุหลักเชื่อว่ามาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเหล่านี้ วิกฤตดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อน้ำอุปโภคบริโภค การประมง และการเกษตรของชุมชนในพื้นที่ สร้างความหวาดกลัวและความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำ

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการเจรจา 4 ฝ่าย (ไทย เมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง และจีน) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ พร้อมนำเสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 เพื่อจัดการมลพิษอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างประเทศยังคงเป็นศูนย์ ส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญกับผลกระทบที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำกก

แม่น้ำกกเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาที่สำคัญของแม่น้ำโขง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ภาคตะวันออกของเมียนมา ด้วยความยาวรวมประมาณ 285 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่บ้านท่าตอน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และไหลผ่านอำเภอเมือง เวียงชัย ดอยหลวง แม่จัน และเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน รวมความยาวในประเทศไทยประมาณ 145 กิโลเมตร แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งมีต้นน้ำในพื้นที่เดียวกัน ก็เป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ชุมชนในอำเภอแม่สายและเชียงแสนพึ่งพา

ลุ่มน้ำกกมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตบันทึกว่ามีพันธุ์ปลา 71 ชนิด รวมถึงปลาท้องถิ่น 64 ชนิดและปลาต่างถิ่น 7 ชนิด ปลาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปลากดคัง ปลาแข้ ปลาคางเบือน และปลาดังแดง เป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชน นอกจากนี้ ยังพบปลาที่อยู่ในบัญชีแดงของ IUCN เช่น ปลากระเบนลาวและปลายี่สกไทย รวมถึงนากใหญ่ธรรมดาที่อาศัยอยู่ชุกชุมริมฝั่งแม่น้ำกก ลุ่มน้ำกกยังประกอบด้วยลำห้วยสาขา 24 แห่ง และมีลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย เช่น เกาะดอน แก่งหิน หาดทราย และหนองน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยน้ำมีลักษณะขุ่นขาวและเปลี่ยนสีผิดปกติ แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใส การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงรายรายงานว่าน้ำดิบจากแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในปี 2567 และพุ่งสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568 ความผิดปกติเหล่านี้เริ่มสร้างความกังวลในหมู่ชุมชน โดยเฉพาะเมื่อน้ำที่เก็บในขวดยังคงขุ่นขาวและตกตะกอนช้า แม้วางทิ้งไว้นานถึงหนึ่งสัปดาห์

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จากอิทธิพลของพายุยางิเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล ส่งผลให้หน่วยงานในพื้นที่และภาคประชาชนเริ่มตื่นตัวและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างละเอียด

การปนเปื้อนสารหนูและผลกระทบต่อชุมชน

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ผลการตรวจสอบยืนยันว่าแม่น้ำกกอยู่ในสภาพพอใช้ถึงเสื่อมโทรม และมีการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า ตะกอนดินในแม่น้ำกกก็พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานเช่นกัน แต่ยังไม่ถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสัตว์หน้าดินอย่างรุนแรง

ผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูส่งผลต่อชุมชนในหลายมิติ:

  1. น้ำอุปโภคบริโภค เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิสยามเชียงราย จุดริมกก ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย ว่ามีอาการปวดแสบและตาบวมหลังลงงมหาของในคลองที่ผันน้ำจากแม่น้ำกก เหตุการณ์นี้ทำให้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายออกประกาศเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายโดยตรง และแนะนำให้ล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดหากจำเป็นต้องสัมผัสน้ำ
  2. การประมง ชาวประมงในพื้นที่ เช่น ที่บ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน และใต้ฝายป่ายางมน ตำบลริมกก อำเภอเมือง รายงานว่าปลาที่จับได้มีลักษณะผิดปกติ เช่น มีผื่นหรือสีผิวผิดปกติ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ส่งตัวอย่างปลา 5 ตัวที่จับได้ระหว่างวันที่ 28 เมษายน ถึง 4 พฤษภาคม 2568 ไปตรวจหาสารปนเปื้อนที่สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย โดยผลคาดว่าจะทราบภายใน 3 สัปดาห์ ชาวบ้านหลายคนไม่กล้าบริโภคหรือจำหน่ายปลา ส่งผลให้รายได้จากการประมงลดลงอย่างมาก
  3. การเกษตร ดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เจริญเติบโต ชาวบ้านในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ไทใหญ่และลาหู่ รายงานว่าดินโคลนมีลักษณะเหนียวแน่นและแห้งแข็ง ซึ่งแตกต่างจากดินร่วนที่เคยอุดมสมบูรณ์หลังน้ำท่วมในอดีต
  4. สุขภาพประชาชน การสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนสารหนูอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาในระยะสั้น และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งหรือโรคผิวหนังในระยะยาวหากมีการสะสมในร่างกาย กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กและผู้สูงอายุ มีความเปราะบางต่อผลกระทบเหล่านี้มากที่สุด

นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าวว่า “แม่น้ำกกเคยเป็นแหล่งชีวิตของชุมชน แต่ตอนนี้กำลังกลายเป็นแหล่งภัยคุกคาม การปนเปื้อนสารหนูไม่เพียงกระทบต่อน้ำและปลา แต่ยังคุกคามวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์ที่พึ่งพาแม่น้ำมาแต่โบราณ รัฐบาลต้องเร่งเจรจา 4 ฝ่ายเพื่อหยุดการปล่อยสารพิษจากเหมืองในรัฐฉาน”

มาตรการรับมือและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤต หน่วยงานและภาคประชาชนได้ดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำและปลา: คพ.1 และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงรายกำลังเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเพื่อวิเคราะห์สารโลหะหนักอย่างละเอียด สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ส่งตัวอย่างปลา 5 ตัวไปตรวจหาสารปนเปื้อน โดยผลการตรวจจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดแนวทางการบริโภคและการจัดการมลพิษ
  2. การแจ้งเตือนประชาชน: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายออกประกาศเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย และล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดหากจำเป็นต้องสัมผัสน้ำ ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาการทางประสาท ควรพบแพทย์ทันที การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
  3. ข้อเสนอจากภาคประชาชน สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง เสนอแผนรับมือ 3 ระยะ:
    • ระยะเร่งด่วน: ตรวจสอบสารปนเปื้อนในน้ำ ปลา และสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำมะ
    • ระยะกลาง: ขยายการตรวจสอบไปยังแม่น้ำโขงและลำห้วยสาขา 28 แห่งในลุ่มน้ำกก ตั้งแต่อำเภอท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ ถึงปากแม่น้ำกก
    • ระยะยาว: ตรวจสอบแม่น้ำคำ แม่น้ำอิง และแม่น้ำงาว ในระยะ 10 กิโลเมตรจากปากแม่น้ำ เพื่อสร้างฐานข้อมูลสำหรับการจัดการมลพิษ
  4. ข้อเรียกร้อง 7 ข้อ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้:
    • แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขมลพิษข้ามพรมแดน โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ
    • จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและเชียงใหม่ภายใน 30 วัน
    • เปิดเผยและซักซ้อมมาตรการรับมืออุทกภัยในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย
    • สร้างความร่วมมือกับเมียนมาและกลุ่มกองกำลังว้าเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ
    • พัฒนาระบบสื่อสารสาธารณะที่โปร่งใสเพื่อแจ้งข้อมูลคุณภาพน้ำ
    • ขยายการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
    • เปิดเจรจา 4 ฝ่าย (ไทย เมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ และจีน) โดยใช้กลไกระดับอาเซียนบวกจีน
  5. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนไปยังฝั่งเมียนมา แต่การเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นและขาดความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและสาขาจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง การผลักดันให้ปัญหานี้เข้าสู่เวทีอาเซียนและกลไกระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มแรงกดดันต่อการควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน

การวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขาเป็นปัญหาที่มีมิติซับซ้อน ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

แม่น้ำกกและสาขามีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยเฉพาะพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศของแม่น้ำโขง การปนเปื้อนสารหนูอาจรบกวนห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งสัตว์น้ำและมนุษย์ การจัดการมลพิษต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดในรัฐฉาน และพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่ครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำ

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง โรคผิวหนัง และความผิดปกติของระบบประสาทหากสะสมในร่างกายในระยะยาว การสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาในระยะสั้น กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเปราะบางต่อผลกระทบเหล่านี้ การแจ้งเตือนและให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับวิธีป้องกันการสัมผัสสารหนูเป็นสิ่งสำคัญ

  • มิติด้านเศรษฐกิจ

การปนเปื้อนสารหนูส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการประมงและการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของชุมชนชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำกก การลดลงของผลผลิตทางการเกษตรและรายได้จากการประมงทำให้ชุมชนเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

การทำเหมืองในรัฐฉานอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น กองกำลังว้า และได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศ ทำให้การเจรจาเพื่อควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองเป็นเรื่องซับซ้อน ความขัดแย้งทางการเมืองภายในเมียนมาทำให้การประสานงานข้ามพรมแดนเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม การผลักดันปัญหานี้สู่เวทีอาเซียนหรือกลไกระดับภูมิภาคอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการแก้ไข

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุม การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและเชียงใหม่ รวมถึงการสนับสนุนชุดตรวจสารปนเปื้อนราคาประหยัด จะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำ นอกจากนี้ การยกระดับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนสู่เวทีระหว่างประเทศจะช่วยสร้างความตระหนักและความร่วมมือในระดับภูมิภาค

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กิจกรรมเหมืองแร่เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการวิกฤตนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้มาตรฐาน และการแจ้งเตือนประชาชนเป็นการป้องกันที่เหมาะสมในระยะสั้น การเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้สามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด

  • ภาคประชาชนและนักวิชาการ

ภาคประชาชนและนักวิชาการเห็นว่าการจัดการที่ต้นตอ เช่น การยุติการทำเหมืองในรัฐฉาน เป็นสิ่งจำเป็น การตรวจสอบน้ำและปลาเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวที่ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้ พวกเขาต้องการให้มีการเจรจาระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจ รวมถึงการพัฒนาระบบสื่อสารที่โปร่งใสเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคุณภาพน้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำกกและสาขา: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พบสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) สูงสุดที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่, รายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำ, 2568
  2. ความหลากหลายทางชีวภาพในแม่น้ำกก: พบพันธุ์ปลา 71 ชนิดในแม่น้ำกก รวมถึงปลาในบัญชีแดงของ IUCN อย่างน้อย 2 ชนิด (ปลากระเบนลาวและปลายี่สกไทย) และนากใหญ่ธรรมดาที่กระจายตัวชุกชุมริมฝั่งแม่น้ำ
    ที่มา: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, รายงานการสำรวจสัตว์น้ำในแม่น้ำกก, 2567
  3. ผลกระทบต่อการประมง: รายได้จากการประมงในลุ่มน้ำกกและโขงในจังหวัดเชียงรายลดลง 25% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน จากเดิมที่มีมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  4. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในลุ่มน้ำกกในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ที่พึ่งพาแม่น้ำในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 200,000 คน โดยรวม 9 กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ไทใหญ่ ลาหู่ และปกาเกอะญอ
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่, ข้อมูลประชากร, 2567
  5. ความยาวและลักษณะของแม่น้ำกก: แม่น้ำกกมีความยาวในประเทศไทย 145 กิโลเมตร แบ่งเป็นตอนบน 62 กิโลเมตร ตอนกลาง 21 กิโลเมตร และตอนปลาย 62 กิโลเมตร มีลำห้วยสาขา 24 แห่ง
    ที่มา: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, รายงานลักษณะทางกายภาพของแม่น้ำกก, 2567
  6. ปริมาณตะกอนดินจากน้ำท่วม: การน้ำท่วมเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 นำตะกอนดินโคลนที่มีสารหนูในระดับสูงถึง 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมในบางจุด ซึ่งเกินค่ามาตรฐานสำหรับการอยู่อาศัย
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่), 5 พฤษภาคม 2568

  • ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเครือข่ายแม่น้ำเพื่อชีวิต, เมษายน – พฤษภาคม 2568

  • การศึกษาพันธุ์ปลาของสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, 2567–2568

  • ประกาศเตือนประชาชนจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, 5 พฤษภาคม 2568

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • มูลนิธิสยามเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE