Categories
VIDEO WORLD PULSE

จากการแบนโซเชียลสู่การลุกฮือของ Gen Z นายกฯ เนปาลลาออก ตั้งผู้นำชั่วคราว

เนปาลบนเส้นขอบวิกฤต จาก “การแบนโซเชียล” สู่การลุกฮือของ Gen Z การลาออกของนายกฯ โอลี และการตั้ง “สุชิลา คาร์กี” เป็นผู้นำชั่วคราว — บทเรียนว่าด้วยความโปร่งใสและศรัทธาทางการเมือง

เนปาล, 13 กันยายน 2568 — กลิ่นควันไฟหน้ารัฐสภาและรั้วลวดหนามรอบย่านกลางกรุงกาฐมาณฑุยังไม่ทันจาง เมื่อเสียงประกาศเคอร์ฟิวและฝีเท้าทหารย้ำให้ทั้งโลกตระหนักว่า ประเทศเล็กๆ บนหลังคาโลกกำลังยืนอยู่ตรงทางแยกประวัติศาสตร์อีกครั้ง การประท้วงต่อต้านการทุจริตและความเหลื่อมล้ำที่หมักหมมนานนับทศวรรษปะทุรุนแรง ภายหลังรัฐบาลตัดสินใจ “แบนโซเชียลมีเดีย” ครั้งใหญ่ จนลุกลามเป็นกระแสของคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเชิงโครงสร้าง ผลเชิงรูปธรรมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว—นายกรัฐมนตรี เค.พี. ชาร์มา โอลี ประกาศลาออก กองทัพลงพื้นที่ควบคุมสถานการณ์ และล่าสุดมีการแต่งตั้ง นางสุชิลา คาร์กี อดีตประธานศาลฎีกา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ พร้อมกำหนดจัดการเลือกตั้งในเดือนมีนาคมปีหน้า ท่ามกลางยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากซึ่งตอกหมุดจำให้โลกต้องหันกลับมาถามว่า เนปาลจะเดินไปทางใดต่อจากนี้

ปมเริ่มจากปลายนิ้ว “แบน 26 แพลตฟอร์ม” – ฟางเส้นสุดท้ายของคนรุ่นใหม่

ชนวนไฟเริ่มจากวันที่ 4 กันยายน เมื่อทางการเนปาลประกาศห้ามใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อดังรวม กว่า 26 แพลตฟอร์ม โดยให้เหตุผลเรื่องการสกัด “ข่าวปลอม คำพูดสร้างความเกลียดชัง และอาชญากรรมไซเบอร์” กระทรวงที่เกี่ยวข้องย้ำว่าเป็นมาตรการเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่กับ Gen Z—ที่เติบโตมาพร้อม “หน้าจอคือโลก บ้าน และหน้าร้าน”—การแบนถูกมองว่าเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกและช่องทางทำมาหากิน ผลกระทบทางสังคมจึงไม่ได้หยุดเพียงพฤติกรรมออนไลน์ แต่กระแทกลงสู่ตัวตนและศักดิ์ศรีของคนรุ่นใหม่โดยตรง แม้ต่อมารัฐบาลจะ “ยกเลิกคำสั่งแบน” หลังมีผู้เสียชีวิตจากการปะทะ แต่วิกฤตศรัทธาที่ถูกจุดติดแล้วกลับยากจะดับลงง่ายๆ

จากถนนสู่รัฐสภาการปะทุ ความสูญเสีย และสัญลักษณ์ที่ถูกเผา

เพียง 4 วันถัดมา (8 กันยายน) การชุมนุมขยายวงอย่างรวดเร็วจากย่านกลางกรุงไปยังเมืองใหญ่อื่นๆ สถานที่เชิงสัญลักษณ์อย่างอาคารรัฐสภาถูกจุดไฟเผา สนามบินนานาชาติตรีภูวัน (TIA) ต้องปิดให้บริการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ความรุนแรงพุ่งขึ้นเป็นลำดับ—รายงานข่าวจากหลายสำนักระบุผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ กระทั่งวันที่ 12 กันยายน ตัวเลขผู้เสียชีวิต “ทะลุ 50 ราย” และผู้บาดเจ็บมากกว่า 1,300 คน เหตุสะเทือนใจ อาทิ การเสียชีวิตของภริยาอดีตนายกรัฐมนตรีรายหนึ่งภายหลังถูกกักในบ้านที่ถูกวางเพลิง สะท้อนโศกนาฏกรรมที่ไม่มีฝ่ายใดควรเผชิญ

ขณะที่ฝุ่นควันยังตลบ นายกรัฐมนตรี โอลี ประกาศลาออกเมื่อ 9 กันยายน โดยยอมรับสถานการณ์ “ไม่ปกติ” และอ้างถึงการแทรกซึมของกลุ่มผลประโยชน์ ขณะเดียวกันกองทัพประกาศใช้มาตรการเข้ม ฝากฝังให้ทุกฝ่ายหันหน้าเจรจา แม้ย้ำว่า “ทหารจะอยู่ไม่นาน” และไม่ต้องการแทนที่รัฐบาลพลเรือน แต่ภาพทหารตรึงกำลังหน้าอาคารรัฐสภาก็เป็นสัญญะว่าประเทศกำลังเดินอยู่บนเชือกเส้นบางเรื่องเสถียรภาพ

The first world leader elected via Discord, Sushila Karki, has been sworn in as Nepal’s interim prime minister after Gen Z overthrew the government

รัฐสภาอยู่ใน Discord” และการถือกำเนิดของพื้นที่สาธารณะใหม่

ท่ามกลางสุญญากาศ คนหนุ่มสาวกว่าหลายหมื่นคนหันไปใช้ Discord เป็น “ห้องประชุมออนไลน์ของชาติ” เพื่อถกเถียงและออกแบบอนาคต มีการเสนอชื่อ นางสุชิลา คาร์กี อดีตประธานศาลฎีกา ผู้ได้รับการยอมรับด้านความซื่อสัตย์ ให้เป็นผู้นำชั่วคราวเพื่อกอบกู้ศรัทธา และในที่สุดเธอได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศยุบสภาและกำหนดเลือกตั้งในเดือนมีนาคม ซึ่งนักสังเกตการณ์ตีความว่าเป็น “ทางออกทางสถาบัน” เพื่อลดแรงเสียดทานบนถนนและดึงความขัดแย้งกลับเข้าสู่กติกา

รากลึกของความคับข้องใจ ทุจริต เหลื่อมล้ำ และเศรษฐกิจเปราะบาง

การแบนโซเชียลอาจเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” แต่แรงสะสมมาจากปัญหาโครงสร้างที่เรื้อรังยาวนาน

  • ทุจริตเชิงระบบ: ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) ปีล่าสุด เนปาลได้ 34/100 คะแนน ใกล้เคียงอันดับร้อยต้นๆ ของโลก สะท้อนศรัทธาต่อสถาบันรัฐที่สึกกร่อนยืดเยื้อ และเป็นเชื้อเพลิงให้ความไม่พอใจขยายตัวรวดเร็วเมื่อรัฐใช้อำนาจจำกัดสิทธิประชาชน
  • ความเหลื่อมล้ำและโอกาสที่ไม่เท่าเทียม: ขณะที่ชนชั้นนำบางส่วนถูกมองว่ามีชีวิตหรูหรานอกความจริงของคนส่วนใหญ่ เศรษฐกิจมหภาคของเนปาล พึ่งพาเงินโอนกลับ (remittances) ในสัดส่วนสูง—ข้อมูลองค์กรระหว่างประเทศชี้ว่าเฉพาะปี 2566 เงินโอนกลับคิดเป็น ราว 1 ใน 4 ของ GDP สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งแรงงานนอกประเทศ และฐานงานคุณภาพในประเทศที่ยังมีจำกัด โดยเฉพาะสำหรับคนหนุ่มสาว

ถอดบทเรียนเชิงโครงสร้าง: เมื่อ “ศรัทธาเชิงสถาบัน” ตกต่ำ การตัดสินใจเชิงนโยบายที่กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานย่อมจุดชนวนการต่อต้านได้รวดเร็วกว่าเดิม ความเหลื่อมล้ำที่เห็นชัดด้วยสายตา (ผ่านโลกออนไลน์) ผสานกับการรับรู้ว่ากติกาไม่เป็นธรรม คือแรงผลักชั้นดีให้คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นจัดระเบียบวาระของประเทศด้วยตนเอง—และครั้งนี้พวกเขาไม่ได้รวมตัวเฉพาะบน “ถนน” แต่อยู่ใน “ห้องแชต” ที่สามารถเรียกประชุม “สภาประชาชน” ได้เกือบตลอดเวลา.

ใครได้อะไร ใครเสี่ยงอะไร ผู้เล่นหลักและสมดุลใหม่อำนาจ

  1. กลุ่มผู้ชุมนุม (Gen Z และพันธมิตร) – ได้ “พื้นที่ทางการเมือง” และความ正当 (legitimacy) ในฐานะผู้กำหนดวาระการเปลี่ยนผ่าน เมื่อข้อเสนอชัดเจน (ผู้นำชั่วคราวที่น่าเชื่อถือ/เลือกตั้งใหม่) และได้รับการตอบรับผ่านสถาบันทางการ (แต่งตั้งผู้นำรักษาการ) โอกาสยกระดับข้อเรียกร้องเชิงโครงสร้าง—เช่น กติกาต่อต้านทุจริต การคานอำนาจผู้บริหาร—จึงเปิดกว้างขึ้น
  2. รัฐบาลและชนชั้นการเมืองเดิม – เผชิญ “แรงกดดันคู่ขนาน” ทั้งจากถนนและประชาคมโลก การลาออกของนายกฯ โอลีและคำมั่นเลือกตั้งใหม่เป็นการถอยเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรักษาเสถียรภาพขั้นต่ำ แต่อาจไม่พอ หากการเยียวยาผู้สูญเสียและการสอบสวนใช้อำนาจเกินกว่าเหตุไม่ชัดเจนโปร่งใส
  3. กองทัพ – กลับเข้า “พื้นที่สีเทา” ระหว่างความมั่นคงและการเมือง การย้ำว่าไม่หวังอยู่ยาวช่วยลดแรงเสียดทานในระยะสั้น แต่ผลลัพธ์จริงขึ้นกับความเร็วของกระบวนการสถาบัน (ตั้งรัฐบาลรักษาการ–จัดเลือกตั้ง) ว่าเดินได้ตามกรอบเวลาจริงเพียงใด

มิติสิทธิมนุษยชนและแรงกดดันภายนอก เสียงเตือนให้สอบสวนโปร่งใส

องค์กรสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติและโครงการเพื่อการสื่อเสรีหลายแห่งแสดงความกังวลต่อการใช้กำลังสลายการชุมนุม พร้อมเรียกร้องให้สอบสวนการเสียชีวิตและการบาดเจ็บอย่างเป็นอิสระ โปร่งใส ขณะที่สื่อมวลชนต่างชาติรายงานคำเตือนและคำแนะนำพลเมืองของหลายประเทศให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม รวมถึงการปิดและยกเลิกเที่ยวบินบางส่วนในช่วงที่ความรุนแรงพุ่งสูง—ดัชนีความเสี่ยงประเทศจึงถูกตลาดและผู้ประกอบการประเมินใหม่ชั่วคราว

 “ผู้นำชั่วคราวที่น่าเชื่อถือ + ปฏิรูปที่จับต้องได้ + ปิดบัญชีความยุติธรรม”

สัญญาณบวกเริ่มปรากฏ หลัง สุชิลา คาร์กี รับตำแหน่งรักษาการนายกฯ และกำหนดเลือกตั้ง มีนาคมปีหน้า กุญแจสำคัญสู่การคลี่คลายมีอย่างน้อย 3 ประการ

  • ความน่าเชื่อถือของคณะรักษาการ: ทีมบริหารที่สะอาด โปร่งใส และสื่อสารต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วย “พักศึก” บนท้องถนนดึงพลังคนรุ่นใหม่กลับมาสู่เวทีสถาบันได้
  • แพ็กเกจปฏิรูปเร่งด่วน: ปรับปรุงกฎหมายคอร์รัปชัน ระบบเปิดเผยทรัพย์สินนักการเมือง การคานอำนาจหน่วยงานตรวจสอบ และกลไกคุ้มครองเสรีภาพการแสดงออกในยุคดิจิทัล (เรียนรู้จากบทเรียน “แบนโซเชียล”) เพื่อยืนยันว่ารัฐไม่ตั้งธงจำกัดสิทธิเป็นด่านแรกอีก
  • ความยุติธรรมต่อผู้เสียหาย: การสอบสวนเหตุปะทะ การชดเชยเยียวยา และการดำเนินคดีต่อผู้สั่งการที่เกินกว่าเหตุอย่างจริงจัง คือ “สะพานศรัทธา” ที่ต้องสร้างก่อนถึงคูหาเลือกตั้ง

ทั้งหมดนี้จะเกิดผลได้ ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายยอมส่งสัญญาณถอยเพื่อเดินหน้า—ถอยจากความรุนแรง ถอยจากการผูกขาดวาระ และยอมรับ “การกลับเข้ากรอบสถาบัน” เป็นทางออกหลักของชาติ

ผลสะเทือนต่อภูมิภาค บทเรียนสำหรับประเทศกำลังพัฒนา

กรณีเนปาลให้บทเรียนร่วมสมัยอย่างน้อย 4 ข้อแก่รัฐบาลในภูมิภาคเอเชียใต้–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

  1. อย่าประเมินพลัง “พื้นที่สาธารณะดิจิทัล” ต่ำเกินจริง — การจำกัดสิทธิเสรีภาพบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมในยุคที่ชีวิต–งาน–การเมืองเชื่อมติดกัน อาจเร่งปฏิกิริยาทางสังคมมากกว่าลดแรงปะทุ เพราะวันนี้ “สภาประชาชน” ตั้งได้บนมือถือ.
  2. ศรัทธาสาธารณะคือทุนการเมืองที่สำคัญที่สุด — ดัชนีทุจริตที่ต่ำคือสัญญาณเตือนระยะยาว หากไม่มีความคืบหน้าเชิงโครงสร้าง ความไม่พอใจจะสะสมและลามรวดเร็วเมื่อเกิด “เหตุลัดวงจร”
  3. เศรษฐกิจที่พึ่งเงินโอนกลับสูง = เปราะบางทางสังคม — ช่องว่าง “งานดี–รายได้ดี” ในประเทศทำให้คนหนุ่มสาวรู้สึกอนาคตถูกบีบแคบ เมื่อการเมืองไม่เสนอคำตอบ ความโกรธย่อมถามหาทางออกของตนเอง.
  4. การเมืองยุคใหม่ต้อง “ร่วมออกแบบ” กับคนรุ่นใหม่ — ไม่ใช่แค่ดึงมาร่วมเวที แต่ต้องแบ่งอำนาจกำหนดวาระ และยอมรับข้อเสนอจากเวทีพลเมือง/ห้องแชต เป็นเมล็ดพันธุ์นโยบาย

สถานการณ์ล่าสุดและภาพข้างหน้า

หลังการแต่งตั้งผู้นำรักษาการและกำหนดกรอบเลือกตั้ง ความตึงเครียดในบางพื้นที่เริ่มคลาย ร้านค้าในเมืองใหญ่ทยอยเปิด ข้อจำกัดเคอร์ฟิวผ่อนคลายเป็นช่วงๆ แต่ทหารยังคงลาดตระเวนจุดเสี่ยงเพื่อป้องกันการซ้ำรอย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เนปาลต้องเผชิญโจทย์ใหญ่—เปลี่ยนพลังโกรธให้เป็นพลังนโยบาย และ แปลงความสูญเสียให้เป็นระบบยุติธรรมที่จับต้องได้ หากทำได้ การเลือกตั้งต้นปีหน้าจะไม่ใช่เพียง “การรีเซ็ตอำนาจ” แต่คือโอกาสก่อร่างสัญญาประชาคมใหม่ที่วางอยู่บนเสรีภาพ ความรับผิด และความหวังร่วมกันของคนทั้งรุ่น

เรื่องเล่าของเนปาลในเดือนกันยายน 2568 คือพลังของรุ่นสู่รุ่นที่ปะทะกันบนสนามการเมืองจริง—ระหว่างความคุ้นชินกับโครงสร้างเดิม และแรงปรารถนาต่อสังคมที่ยุติธรรมกว่า เมื่อวัสดุดิบคือความเหลื่อมล้ำและการทุจริต “นโยบายสื่อสาร-ความมั่นคง” ที่แข็งเกินไปจึงทำหน้าที่เหมือนไม้ขีด—จุดเชื้อเพลิงให้ติดไฟเร็วขึ้น การตั้ง สุชิลา คาร์กี คือจังหวะหายใจเพื่อชะลอเพลิง แต่ไฟจะดับลงหรือแค่ซุกใต้ขี้เถ้า อยู่ที่ว่าสังคมเนปาลจะได้เห็น “ความจริง ความยุติธรรม และแผนปฏิรูปที่เดินได้จริง” มากน้อยเพียงไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Reuters — “Nepal PM Oli resigns as soldiers guard parliament after unrest; social media ban rolled back”
  • Al Jazeera / CPJ roundup — “As it happened: Nepal unrest…”
  • BBC — “Dozens killed in Nepal political unrest”
  • ABC News (Australia) — “Discord becomes Nepal’s ‘parliament’ for Gen Z protests; calls for Sushila Karki”
  • IOM / UN Migration — “Remittances fuel Nepal’s economy”
  • Transparency International / TradingEconomics — “Corruption Perceptions Index 2024: Nepal scores 34/100”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

PETA แฉ! ลิงไทยถูกทรมานเก็บมะพร้าว ผลิตกะทิ จี้บอยคอตสินค้าไทย

PETA ประท้วงหน้าสถานทูตไทยในลอนดอน เรียกร้องให้ยุติการใช้ลิงเก็บมะพร้าว

กรุงลอนดอน, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ PETA (People for the Ethical Treatment of Animals) จัดการประท้วงด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน เพื่อเรียกร้องให้ยุติการใช้ลิงในอุตสาหกรรมผลิตกะทิไทย โดยผู้ประท้วงได้ ราดน้ำกะทิ ใส่ตัวเองและใส่ชุดลายตารางขาวดำเหมือนนักโทษ พร้อมถือป้ายรูปทรงลูกมะพร้าวที่มีข้อความว่า ลิงถูกทรมานเพื่อผลิตกะทิไทย”

การเปิดโปงอุตสาหกรรมกะทิไทย

PETA เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กขององค์กรที่มีผู้ติดตามกว่า 5 ล้านคนว่า จากการสืบสวนในเอเชีย พบว่าลิงที่ถูกบังคับให้เก็บมะพร้าวในประเทศไทยต้องทนทุกข์ทรมาน โดยมีการ มัดลิงด้วยเชือกที่สั้นมากจนแทบขยับตัวไม่ได้ ถูกขังในกรงแคบ และถูกฝึกให้ทำงานตลอดชีวิต

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดโปงโรงเรียนฝึกลิง ซึ่งมีภาพลูกลิงถูกล่ามโซ่และขังอยู่ในกรงโดยไม่มีที่พักอาศัยที่เหมาะสม PETA ระบุว่าลิงเหล่านี้ ควรจะอยู่ในธรรมชาติ ไม่ใช่ถูกแยกออกจากครอบครัวและถูกบังคับให้ทำงานจนหมดแรง

การตอบโต้จากคนไทยและมุมมองที่แตกต่าง

เรื่องราวดังกล่าวกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมออนไลน์ โดยมีทั้งผู้ที่สนับสนุนและคัดค้านการประท้วง หลายคนตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศไทยจะผลิตกะทิได้เป็นล้านกล่องต่อวันโดยอาศัยลิง? ในขณะที่คนไทยบางส่วนมองว่าการใช้แรงงานลิงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด พร้อมกล่าวว่า ถ้าชาวต่างชาติรู้ว่าคนไทยใช้กระต่ายขูดมะพร้าวจะคิดอย่างไร”

ผลกระทบและคำกล่าวอ้างจาก PETA

PETA Asia อ้างว่ารัฐบาลไทยอนุญาตให้มีการจับลิงตั้งแต่ยังเป็นทารกเพื่อฝึกให้เป็นเครื่องมือเก็บมะพร้าว ลูกลิงเหล่านี้ถูกแยกจากแม่และถูกล่ามโซ่ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้พวกมันต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทรมานและถูกใช้งานจนหมดแรง

ดร. Rally นักวิชาการด้านสัตวแพทย์จาก PETA Asia ได้ให้ความเห็นว่า ลิงที่ถูกขังในกรงเหล่านี้ต้องทนทุกข์จากความเครียด การขาดน้ำ อุณหภูมิที่ร้อนจัด และสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ” ซึ่งลิงบางตัวต้องถูกขังในกรงที่ไม่สามารถป้องกันตนเองจากแสงแดดและฝนได้

มาตรการของรัฐบาลไทยและแนวทางแก้ไข

รัฐบาลไทยได้ออกมาแถลงว่า อุตสาหกรรมกะทิของไทยไม่ได้พึ่งพาลิงในการผลิตเป็นหลัก และมีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมการใช้แรงงานสัตว์ พร้อมทั้งแนะนำให้เกษตรกรใช้วิธีการเก็บเกี่ยวแบบเครื่องจักรหรือแรงงานมนุษย์แทน

ในขณะเดียวกัน สมาคมผู้ผลิตกะทิไทยได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของ PETA โดยยืนยันว่า ไม่มีการใช้ลิงในกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ และได้มีการตรวจสอบกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองจากสากล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนผู้ติดตาม PETA บนเฟซบุ๊ก: มากกว่า 5 ล้านคน
  • มูลค่าการส่งออกกะทิไทยในปี 2567: มากกว่า 20,000 ล้านบาท
  • จำนวนบริษัทผลิตกะทิที่ได้รับมาตรฐานสากล: มากกว่า 50 แห่ง
  • อัตราการใช้แรงงานมนุษย์แทนลิงในอุตสาหกรรมกะทิไทย: มากกว่า 90%
  • จำนวนลิงที่ PETA ระบุว่าได้รับผลกระทบ: ประมาณ 1,000 ตัว ในภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็ก

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. PETA กล่าวหาว่าประเทศไทยใช้ลิงในอุตสาหกรรมกะทิจริงหรือไม่?
    PETA อ้างว่ามีหลักฐานจากการสืบสวนในเอเชียเกี่ยวกับการใช้ลิงเก็บมะพร้าวในบางพื้นที่ของไทย แต่รัฐบาลไทยและผู้ผลิตกะทิปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
  2. ประเทศไทยใช้ลิงเก็บมะพร้าวในอุตสาหกรรมกะทิจริงหรือไม่?
    ในอุตสาหกรรมกะทิเชิงพาณิชย์หลักของไทย ใช้เครื่องจักรและแรงงานมนุษย์เป็นหลัก แต่ในบางพื้นที่ยังมีการใช้ลิงในฟาร์มขนาดเล็ก
  3. ประเทศอื่นมีการใช้แรงงานสัตว์ในการเกษตรหรือไม่?
    มีหลายประเทศที่เคยใช้แรงงานสัตว์ในการเกษตร เช่น ช้างในการลากซุง ม้าในการไถนา แต่ส่วนใหญ่ได้ลดลงเนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
  4. การรณรงค์ของ PETA มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกะทิของไทยหรือไม่?
    มีผลกระทบในระดับหนึ่ง โดยบางแบรนด์ในยุโรปและอเมริกาได้นำกะทิไทยออกจากชั้นวางสินค้า แต่ตลาดในเอเชียและในประเทศยังคงแข็งแกร่ง
  5. คนไทยสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อตอบสนองต่อข้อกล่าวหานี้?
    สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการผลิตกะทิของไทย และสนับสนุนผู้ผลิตที่มีมาตรฐานสากลในการไม่ใช้แรงงานสัตว์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : peta

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE