Categories
NEWS UPDATE

เตรียมตัวให้พร้อม กฎหมายใหม่ “ห้ามดื่มหลังร้านปิด” มีผลบังคับใช้ 8 พ.ย. 68

กฎหมายใหม่ “ห้ามดื่มหลังเวลาขาย” เริ่มใช้ 8 พ.ย. 2568 ปรับเป็นพินัยสูงสุด 10,000 บาท—ธุรกิจ-ผู้บริโภคปรับตัวอย่างไร

ประเทศไทย, 16 กันยายน 2568 – หลังถกเถียงยืดเยื้อเรื่องการ “ปลดล็อกเวลา” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเทศไทยก้าวสู่หมุดหมายกฎหมายครั้งสำคัญเมื่อ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลบังคับใช้เมื่อครบ 60 วัน นับแต่ 9 กันยายน 2568 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 โดยสาระใหม่ที่จับตาคือ ห้ามผู้บริโภคดื่มในสถานที่เชิงพาณิชย์ระหว่างเวลาห้ามขาย” ฝ่าฝืน ปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท สะท้อนทิศทางการคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มขึ้นและไปกระทบพฤติกรรม “นั่งแช่” โดยตรง.

เส้นเวลาและภาพรวมกฎหมาย “รีเซ็ต” โครงสร้างกำกับ แต่ยังคงช่วงเวลาห้ามขาย

กฎหมายฉบับใหม่ปรับโครงสร้างอำนาจกำกับหลายส่วน ยืนยันกรอบเวลาห้ามขายตามกฎหมายแม่ปี 2551 และกฎรองที่ออกตามอำนาจเดิม ขณะเดียวกันยัง ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 (พ.ศ. 2515) ที่เคยเป็นฐานเวลาห้ามขายยุคแรก เพื่อทำให้กฎหมายเป็นเอกภาพและทันสมัยขึ้น แต่ “แกนเวลา” ไม่ได้คลายอัตโนมัติ เพราะภาครัฐยืนยันว่า ยังคงใช้ข้อกำหนดเวลาห้ามขายเดิม ตามประกาศนายกรัฐมนตรีและคำสั่งกฎหมายลูกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน.

ประเด็น “ปลดล็อกขายเวลา 14.00–17.00 น.” ที่แพร่ในสื่อสังคม ได้รับการยืนยันว่าเป็นข้อมูลบิดเบือน โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ชี้ชัดว่าไทยยังห้ามขายในช่วงเวลาดังกล่าว (ยกเว้นพื้นที่/กิจการที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย) ภายใต้อำนาจตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ. ปี 2551 และประกาศนายกรัฐมนตรีฉบับล่าสุด.

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวของรัฐบาลสรุปสาระสำคัญของประกาศนายกรัฐมนตรีเรื่องเวลาห้ามขายและ กลุ่มกิจการ/พื้นที่ที่ “ได้รับยกเว้น” รวม 18 ประเภท เช่น เขตปลอดอากร ร้านปลอดภาษีในสนามบิน หรือพื้นที่ที่กฎหมายเฉพาะอนุญาต—ข้อมูลนี้ยังคงมีผลหลัง 8 พ.ย. 2568 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง.

หัวใจฉบับใหม่ “ห้ามดื่มในเวลาห้ามขาย” โฟกัสที่ผู้บริโภค

มาตรา 32 (ใหม่) กำหนดชัดว่า “ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขาย/จัดบริการเพื่อประโยชน์ทางการค้า ในเวลาห้ามขาย” จากเดิมที่กฎหมายเน้นควบคุม “ผู้ขาย” เป็นหลัก จึงอุดช่องว่างสถานการณ์ “ร้านปิด แต่ลูกค้ายังนั่งดื่มต่อ” ให้กลายเป็นความผิดโดยตรงในฝั่งผู้บริโภค.

ในแง่บทลงโทษ มาตรา 37/1 (ชุดบทบัญญัติใหม่) ระบุให้ฝ่าฝืน ปรับเป็นพินัย” ไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งเป็นมาตรการทางปกครอง ไม่ใช่คดีอาญา จุดมุ่งหมายคือสร้างวินัยและยับยั้งพฤติกรรมรวดเร็ว ลดภาระกระบวนการยุติธรรม แต่ยังคงน้ำหนักทางกฎหมายเพียงพอให้เกิดการปฏิบัติตาม

สรุปให้ชัด: หลังร้านหยุด “ขาย” ตามเวลาห้ามขายแล้ว ลูกค้า ก็ห้าม “ดื่ม” ในพื้นที่ร้านด้วย การ “นั่งแช่” จึงเสี่ยงถูกเปรียบเทียบปรับทันทีเมื่อกฎหมายมีผลใช้.

ทำไมต้องเข้มขึ้น บทเรียนจากโซเชียลคอสต์และความเสี่ยงสาธารณสุข

หลายงานวิชาการชี้ว่า การจำกัดเวลาขายและลดการบริโภคในช่วงดึกสัมพันธ์กับการลดอุบัติเหตุ อาชญากรรม และภาระสาธารณสุข ตลอดจนความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากแอลกอฮอล์ โดยแนวโน้มการปฏิรูปในต่างประเทศก็เดินในทิศทางเดียวกัน นี่จึงเป็นเหตุผลเชิงนโยบายที่ไทยเลือก “ย้ายแรงกดดัน” มาฝั่งพฤติกรรมผู้ดื่มในช่วงเวลาเสี่ยง แทนที่จะรับภาระไว้กับผู้ประกอบการเพียงด้านเดียว.

บทสะท้อนจากพื้นที่ท่องเที่ยว ช่วงไฮซีซันต้องจัดระเบียบใหม่

ในเมืองท่องเที่ยวหลัก ร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ที่พึ่งพายอดขายช่วงหัวค่ำถึงดึก ต้องปรับกระบวนการ ตั้งแต่กำหนด “Last order” ให้ชัด, ปิดบิลก่อนเวลาห้ามขาย, และ ยุติการดื่มในพื้นที่ร้าน ให้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้ลูกค้าเผลอทำผิดโดยไม่เจตนา การชี้แจงหน้าร้าน/ในเมนู รวมถึงการฝึกพนักงานจึงเป็น “เส้นเลือดฝอย” สำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่.

ภาคธุรกิจบางส่วนมองว่า รายได้จากลูกค้ากลุ่ม “นั่งยาว” อาจหายไปบ้าง แต่หากสื่อสารและออกแบบประสบการณ์การรับประทานอาหาร เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ หรือกิจกรรมทางเลือกในชั่วโมงท้าย ๆ ก็อาจ แปลงความเสี่ยงเป็นโอกาส โดยเฉพาะร้านที่มีจุดขายเรื่องอาหาร บริการ และดนตรีสดคุณภาพ

กลไกการบังคับใช้ “พนักงานเจ้าหน้าที่” เดินคู่สื่อสารสาธารณะ

การบังคับใช้หลักยังอยู่กับ พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้กรมควบคุมโรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกฎหมายใหม่ เพิ่มเครื่องมือทางปกครอง (เช่น การสั่งปรับเป็นพินัย) ควบคู่กับมาตรการด้านโฆษณา/การสื่อสารการตลาดที่เข้มขึ้น ทั้งหมดนี้อาศัยการสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน เพื่อลดความสับสนจากข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อสังคม—กรณี “ปลดล็อก 14.00–17.00 น.” คือบทเรียนล่าสุดที่รัฐต้องชี้แจงอย่างเป็นระบบ.

ผลกระทบเป็นวงกว้าง ผู้บริโภครับภาระ “ความรับผิดชอบส่วนบุคคล” มากขึ้น

สำหรับผู้ดื่ม กฎหมายใหม่ เลื่อนจุดรับผิดชอบ มาอยู่กับพฤติกรรมบุคคลอย่างชัดเจน ต่อไปนี้การ “นั่งดื่มต่อ” หลังร้านหยุดขาย ไม่ใช่เพียงเรื่องมารยาทหรือระเบียบภายใน แต่เป็น ความผิดตามกฎหมาย ที่มีค่าปรับชัดเจน ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรู้เวลาและ หยุดดื่มให้ทัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย ขณะที่สำหรับผู้ค้าปลีก การวางระบบหน้าร้าน และการประชาสัมพันธ์ คือกุญแจ ให้ลูกค้าเข้าใจและร่วมมือ

“10 คำถามยอดฮิต” ที่ควรรู้ก่อนกฎหมายมีผล

  1. เริ่มบังคับใช้เมื่อใด8 พ.ย. 2568 (ครบ 60 วันจาก 9 ก.ย. 2568).
  2. ห้ามอะไรเพิ่ม – ห้าม “ดื่มในเวลาห้ามขาย” ในสถานที่เชิงพาณิชย์ เช่น ร้านอาหาร บาร์ ผับ คาราโอเกะ ฯลฯ.
  3. ถ้าฝ่าฝืนปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้บริโภคตามมาตรา 37/1. Multi DOPA
  4. ช่วงเวลา 14.00–17.00 น. ขายได้หรือไม่ – โดยหลัก ยังห้ามขาย ยกเว้นพื้นที่/กิจการที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมายและประกาศนายกรัฐมนตรี.
  5. ร้านปิดบิลทันเวลา แต่ลูกค้ายังจิบ – เมื่อเข้า “เวลาห้ามขาย” แล้ว ห้ามดื่มต่อในพื้นที่ร้าน เพื่อไม่ให้เข้าข่ายความผิดของผู้บริโภค.
  6. สนามบิน/ดิวตี้ฟรี/เขตปลอดอากร – อยู่ในกลุ่ม “ได้รับยกเว้น” ตามเงื่อนไขประกาศที่ยังมีผล.
  7. มีการยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ 253 จริงหรือไม่ – จริง แต่โครงสร้างเวลาห้ามขายยังอยู่ผ่านกฎหมาย/ประกาศที่ใช้บังคับปัจจุบัน.
  8. โฆษณา/การตลาดเข้มขึ้นอย่างไร – ฉบับใหม่เพิ่มข้อห้ามและอำนาจกำกับด้านสื่อสารการตลาดมากขึ้น รายละเอียดจะตามกฎหมายลูก.
  9. ใครบังคับใช้ – พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ปี 2551–2568 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานตำรวจในทางปฏิบัติเมื่อจำเป็น.
  10. ธุรกิจควรทำอะไรทันที – ปรับ SOP เวลา “Last order/เคลียร์โต๊ะ”, ป้ายแจ้งลูกค้า, อบรมพนักงาน,

คืนสุดท้ายก่อนยุคใหม่

ลองนึกภาพเย็นศุกร์ย่านท่องเที่ยวเหนือสุด—เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ ก่อนพนักงานเดินมาบอกรอบสุดท้าย “อีกสิบนาทีเข้าช่วงห้ามขายนะคะ” ลูกค้าบางโต๊ะยกมือขอเช็กบิล ขณะอีกโต๊ะเปลี่ยนเป็นม็อกเทลและของหวาน ร้านเปิดเพลงช้าลง แต่บรรยากาศยังคลอด้วยบทสนทนา กฎหมายไม่ได้ปิดไฟเมือง แต่ชวนทุกฝ่าย ขยับจังหวะ ให้พอดีกับกรอบกติกาใหม่ เมืองยังสนุกได้—อย่างรับผิดชอบ

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์

  • ผู้ประกอบการ: ทำ “คู่มือ 1 หน้า” ติดหน้าร้าน อธิบายเวลาห้ามขาย/ห้ามดื่ม และขั้นตอนเคลียร์โต๊ะ ฝึกทีมงานให้สื่อสารสุภาพแต่ชัดเจน
  • ผู้บริโภค: วางแผนการดื่มตามเวลา แปลง “ชั่วโมงท้าย” เป็นของหวาน/เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย
  • ภาครัฐ: สื่อสารสม่ำเสมอ ลดความสับสน และจัดทำ FAQ กลางหลายภาษาในพื้นที่ท่องเที่ยว พร้อมประเมินผลหลังบังคับใช้ 3–6 เดือน

 

นี่ไม่ใช่เพียงการขยับถ้อยคำในกฎหมาย แต่คือการ ย้ายสมดุลความรับผิดชอบ จากผู้ขายมาสู่ผู้บริโภคในชั่วโมงเสี่ยง เป็นการ “รีเซ็ตมารยาทสังคม” เชื่อมเศรษฐกิจท่องเที่ยวกับสาธารณสุขให้เดินไปด้วยกัน เมื่อ 8 พ.ย. 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ราชกิจจานุเบกษา: พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 – ประกาศ 9 ก.ย. 2568, มีผลหลัง 60 วัน.
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (สำนักนายกรัฐมนตรี/กระทรวงดิจิทัลฯ)
  • iLaw
  • สำนักงานกฎหมาย/ราชการที่เผยแพร่สรุปกฎหมาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News