Categories
NEWS UPDATE

ยอดใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” วันแรก 1.9 พันล้าน! รัฐย้ำห้ามทอนเงินสด-ซื้อสินค้าต้องห้ามเด็ดขาด

รัฐบาลย้ำกฎ “คนละครึ่งพลัส” หลังยอดใช้สิทธิวันแรก 1.9 พันล้าน—ตำรวจสอบสวนกลางเปิดปฏิบัติการ “ปิดเกม รับ–แลก–ลวง” จับ 3 ผู้ต้องหา ระดมแพลตฟอร์มออนไลน์สกัดโกง–ขึ้นราคา เอื้อผู้บริโภคและร้านรายย่อย

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 30 ตุลาคม 2568 — เริ่มใช้สิทธิ 29 ต.ค. 2568 เงินสะพัดเกือบ 2,000 ล้านบาท หมวด “ร้านธงฟ้า–อาหาร/เครื่องดื่ม” นำโด่ง ขณะที่รัฐบาลเตือนเข้ม “ห้ามซื้อสินค้าต้องห้าม–ห้ามทอนเงินสด” ลุยกวาดล้างโพสต์ชวนแลกเงินสดบนโซเชียล เพิ่มคู่สาย 1166 รับร้องเรียน และผนึก 5 แพลตฟอร์มปิดช่องเอาเปรียบผู้บริโภค ด้านพาณิชย์ฯ เชียงรายลงพื้นที่ตรวจป้ายราคา–กำกับการเข้าร่วมโครงการ

เพียงหนึ่งวันหลังโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิ (29 ต.ค. 2568) กระทรวง–หน่วยงานกำกับ–ฝ่ายความมั่นคงทางเศรษฐกิจขยับพร้อมกันทั้ง “เร่งเครื่องเศรษฐกิจฐานราก” และ “ล็อกกติกาป้องกันการบิดเบือน” โดยยอดใช้จ่ายวันแรกพุ่งแตะ 1,900 ล้านบาท นำโดยหมวดร้านธงฟ้าและอาหาร/เครื่องดื่ม ทว่าในอีกด้าน หน่วยงานรัฐต้องเร่ง “ปิดเกม รับ–แลก–ลวง” บนโซเชียลมีเดีย จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ในหลายจังหวัด พร้อมย้ำบทลงโทษ “ฉ้อโกง” และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลดึง Shopee, Lazada, TikTok Shop, Grab และ LINE MAN ร่วมสกัดพฤติกรรมฉวยโอกาสขึ้นราคา–ทอนเงินสด–จำหน่ายสินค้าต้องห้าม เสริมกลไกคุ้มครองผู้บริโภคผ่านสายด่วน สคบ. 1166 ที่เพิ่มอีก 10 คู่สาย

ภาพรวมการใช้สิทธิ เงินสะพัด–หมวดอุปโภคบริโภคมาแรง

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” วันแรก (29 ต.ค. 2568) ว่า มียอดจับจ่ายรวม 1,900 ล้านบาท โดยแบ่งตามประเภทร้านค้า ดังนี้

  1. ร้านธงฟ้า 709 ล้านบาท
  2. ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 697 ล้านบาท
  3. ร้านทั่วไปและอื่น ๆ 474 ล้านบาท
  4. ร้านค้าบริการ 10 ล้านบาท
  5. ร้านโอทอป 8 ล้านบาท
  6. กิจการขนส่งมวลชนสาธารณะ 3 ล้านบาท

สำหรับจังหวัด/พื้นที่ที่มีการใช้สิทธิสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, นครราชสีมา, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, นนทบุรี, สงขลา, นครศรีธรรมราช, เชียงใหม่ และขอนแก่น สะท้อนลักษณะเศรษฐกิจเมืองใหญ่/ปริมณฑลและหัวเมืองภูมิภาคที่มีฐานการบริโภคเข้มข้น

รัฐบาลยังเชิญชวนร้านค้า–ผู้ประกอบการที่ยังไม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ โดยยืนยันว่า จะไม่มีการส่งข้อมูลยอดขายให้กรมสรรพากร” พร้อมสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่อำนวยความสะดวกการลงทะเบียน/ยืนยันตัวตน เพื่อขยายฐานร้านค้าให้รองรับความต้องการของประชาชนได้ทั่วถึง

ข้อกำหนดสำคัญ สินค้าต้องห้าม–ห้ามทอนเป็นเงินสด

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำ “วัตถุประสงค์หลัก” ของโครงการคือ บรรเทาภาระค่าครองชีพ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ผ่านการช่วยซื้อ สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น–เพื่อการศึกษา–วัตถุดิบเกษตร จาก “ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น” และร้านอื่นตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 29 ต.ค.–31 ธ.ค. 2568

เพื่อป้องกันการเบี่ยงเบน วางเงื่อนไข “สินค้าต้องห้าม” ไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด, ผลิตภัณฑ์ยาสูบ, บัตรกำนัล (Gift Voucher), บัตรเงินสด รวมถึงการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า นอกจากนี้ ห้ามผู้ประกอบการรับหรือเรียกรับ–ทอนเป็นเงินสด หรือให้ประโยชน์รูปแบบอื่นจากการขายอาหาร/เครื่องดื่มผ่านบริการ Food Delivery ไม่ว่ากรณีใด เพื่อ “ตัดวงจร” การแปลงสิทธิเป็นเงินสดโดยไม่เกิดการซื้อขายสินค้าจริง

ปฏิบัติการ “ปิดเกม รับ–แลก–ลวง” เอาผิด 3 ผู้ต้องหา–อายัดของกลาง

วันที่ 29 ต.ค. 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ประสาน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ในหลายพื้นที่ ได้แก่ สมุทรปราการ–อุดรธานี–นครสวรรค์ ในความผิดเกี่ยวกับการ นำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ/บิดเบือน อันน่าจะก่อผลเสียหายต่อสาธารณะ และพฤติการณ์ ชักชวนแลกเงินสดแทนการใช้สิทธิ ผ่าน Facebook ซึ่งเข้าข่าย “ฉ้อโกง” และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสามารถแปลงวงเงินโครงการเป็นเงินสดได้โดยไม่ซื้อสินค้า

ผลการตรวจค้น ยึดโน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ เอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหลักฐานการติดตั้งแอป “เป๋าตัง” และการติดต่อช่องทางต่าง ๆ ส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ. ดำเนินคดี โดยปฏิบัติการอยู่ภายใต้การอำนวยการของผู้บังคับบัญชาตำรวจสอบสวนกลางและผู้บริหาร สศค.

บทลงโทษ การกระทำลักษณะ รับ–แลก–ลวง” ตามที่รัฐบาลเตือน มีความผิดฐาน ฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้กระทำผิดจะถูก ระงับสิทธิ เข้าร่วมโครงการรัฐอื่น พร้อม เรียกคืนเงิน ที่รัฐเสียหาย เพิ่มเติมจากความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีเผยแพร่ข้อมูลเท็จ/บิดเบือนบนสื่อออนไลน์

มาตรการ “Quick Big Win” ผนึกแพลตฟอร์มออนไลน์–อาวุธ AI–เพิ่มคู่สายร้องเรียน

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 30 ต.ค. 2568 นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อม นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ประชุมร่วม 5 แพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ (Shopee, Lazada, TikTok Shop, Grab, LINE MAN) โฟกัส 2 วาระ

  1. ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าและสินค้าผิดกฎหมาย บนแพลตฟอร์ม โดยนำ AI ตรวจจับ/ระงับบัญชีผู้ขายทันทีเมื่อพบฝ่าฝืน และแจ้งเงื่อนไขสินค้าควบคุมให้ร้านค้าทราบชัดเจน
  2. คุ้มครองผู้บริโภคภายใต้ “คนละครึ่งพลัส” ด้วย 3 มาตรการหลัก
    • ปิดระบบแก้ไขเมนู ของร้านค้าเมื่อพบความผิดปกติด้านราคา/รายการสินค้า เพื่อป้องกัน “อัพราคา–ซ่อนราคา”
    • มอบโค้ดส่วนลดอาหาร ให้ผู้บริโภค สนับสนุนการใช้สิทธิอย่างเป็นธรรม
    • ลดค่าธรรมเนียมให้ร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการ ช่วยบรรเทาภาระผู้ประกอบการรายย่อย

เพื่อเสริมการคุ้มครองผู้บริโภค สคบ. เพิ่มคู่สาย 1166 อีก 10 คู่สาย รองรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการ และเปิดช่องร้องเรียนออนไลน์ของ สคบ. ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสได้สะดวกขึ้น

ภาคสนามจังหวัด พาณิชย์ฯ เชียงรายเช็กป้ายราคา–กำกับร่วมโครงการ

ในระดับจังหวัด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย (30 ต.ค. 2568) มอบหมายทีมลงพื้นที่ งาน Chiang Rai Premium Market และ Street Food Festival หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อ.แม่สาย เพื่อตรวจการปิดป้ายแสดงราคาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และ ประกาศ กกร. ฉบับที่ 68 พ.ศ. 2568 ผลการตรวจพบว่าผู้ประกอบการ ปิดป้ายราคาอย่างชัดเจน และ ร้านค้าส่วนใหญ่เข้าร่วม “คนละครึ่งพลัส” ทำให้บรรยากาศการซื้อขายคึกคัก ช่วยลดค่าครองชีพได้จริง พร้อมเปิดช่องร้องเรียน สายด่วน 1569 (กรมการค้าภายใน) และเบอร์ติดต่อสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อจัดการข้อพิพาท/เอาเปรียบผู้บริโภค

มุมนี้สะท้อน “มือหน้าด่าน” ของภาครัฐในจังหวัดชายแดนที่มีพลวัตการค้า–ท่องเที่ยวสูง การกำกับป้ายราคาช่วย ป้องกันการอัพราคาโดยไม่ชอบ และทำให้ผู้ใช้สิทธิรับรู้ “ราคาจริง–สิทธิจริง” ก่อนกดจ่าย

ผลกระทบและประเด็นท้าทาย ระหว่าง “เร่งเครื่องใช้จ่าย” กับ “ล็อกกติกา”

โครงการเริ่มต้นด้วยแรงซื้อที่ชัดเจน (1,900 ล้านบาทวันแรก) โดยหมวดที่ตอบโจทย์ค่าครองชีพเด่นชัด เช่น ร้านธงฟ้า–อาหาร/เครื่องดื่ม ชี้ว่ามาตรการ ช่วยลดภาระครัวเรือนรายย่อย และ เพิ่มสภาพคล่องให้ร้านเล็ก–รายย่อย ในระยะสั้น อย่างไรก็ดี การกระจายตัวระดับพื้นที่สะท้อน “ความพร้อมโครงสร้างร้านค้า–แพลตฟอร์ม–การยืนยันตัวตน” เมืองใหญ่มีความพร้อมสูงกว่า จำเป็นต้องเร่ง ขยายฐานร้าน ในอำเภอ/ตำบล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิได้เท่าเทียม

ฟากธรรมาภิบาล ต้อง “ตัดไฟแต่ต้นลม” กับวงจร แปลงสิทธิเป็นเงินสด และ รายการเทียม ซึ่งบิดเบือนวัตถุประสงค์ จุดแข็งของรัฐในรอบนี้คือการทำงานเชิงรุก CIB–สศค. ที่บูรณาการข่าวกรองออนไลน์–ลงมือจับกุมรวดเร็ว และการประสาน สคบ.–แพลตฟอร์ม เพื่อปิดช่องกลไก “อัพราคา/ปั่นราคา” ได้ทันที อย่างไรก็ตาม ความต่อเนื่องและความเร็วของการตอบสนองยังเป็น “ตัวชี้ผลลัพธ์” ที่ต้องจับตา เพราะพฤติกรรมเลี่ยงกฎจะพลิกแพลงตามมาตรการเสมอ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค–ร้านรายย่อย การ เพิ่มคู่สาย 1166 และ “ลดค่าธรรมเนียม/โค้ดส่วนลด” ช่วยสร้างแรงจูงใจ สองข้างทาง คือ ทำให้ผู้บริโภคอยากใช้สิทธิ และทำให้ร้านรายย่อย “ยอมรับ–พร้อมเข้าร่วม” มากขึ้น ขณะเดียวกัน “การสื่อสาร” ต้องย้ำเงื่อนไข สินค้าต้องห้าม–ห้ามทอนเงินสด อย่างเข้าใจง่ายในทุกช่องทาง รวมทั้งทำ FAQ–Infographic เพื่อลดความสับสน ณ จุดขาย/แอป

สี่ มาตรการระดับจังหวัดอย่าง พาณิชย์ฯ เชียงราย เป็นต้นแบบที่ชัดเจนของ “กำกับเชิงบวก” คือ ไม่ใช่เพียงตรวจ–ลงโทษ แต่ อำนวยความสะดวก–ปรับความเข้าใจ–ชี้ช่องทางร้องเรียน ทำให้ผู้ประกอบการ “เล่นตามกติกา” และประชาชน “มั่นใจใช้สิทธิ” ในพื้นที่กิจกรรมคึกคัก เช่น งานเทศกาล–แนวชายแดน

ข้อเสนอเชิงระบบและตัวชี้วัดที่ควรติดตาม

  1. แดชบอร์ดสาธารณะรายวัน: แสดงยอดการใช้สิทธิแยกจังหวัด/หมวด/ร้านธงฟ้า–ร้านอาหาร–ร้านทั่วไป เพื่อติดตามประสิทธิผลด้านเศรษฐกิจฐานรากแบบโปร่งใส
  2. อัตราความผิดปกติ: รายงานจำนวนกรณีต้องสงสัย–เวลาตอบสนอง–ผลลัพธ์การระงับสิทธิ/ดำเนินคดี เพื่อ “กดพฤติกรรมเลี่ยงกฎ” ด้วยความแน่นอนของบทลงโทษ
  3. ดัชนีความพึงพอใจผู้บริโภค–ร้านค้า: วัดประสบการณ์ใช้สิทธิ/ขั้นตอนยืนยันตัวตน/ต้นทุนธุรกรรม ช่วยชี้เป้าการปรับปรุงแอป–ระบบหน้างาน
  4. การกระจายตัวเชิงพื้นที่: ติดตามจำนวนร้านเข้าร่วมต่อประชากร/อำเภอ เพื่อสั่งการ “ปูพรมลงพื้นที่” โดย มท.–พณ.–อปท. ในจังหวัดที่เข้าถึงสิทธิต่ำ
  5. ระบบเตือนภัยราคา: ประสานข้อมูล สคบ.–พาณิชย์จังหวัด–แพลตฟอร์ม ตั้ง threshold ตรวจขึ้นราคาผิดปกติแบบ near real-time โดยเฉพาะหมวดอาหารยอดนิยม

เสียงจากฝ่ายนโยบาย

  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี (ผ่านโฆษกรัฐบาล) เชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการ พร้อมย้ำว่า ไม่มีการส่งข้อมูลยอดขายให้กรมสรรพากร และสั่งการ กระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่อำนวยความสะดวกการลงทะเบียน–ยืนยันตัวตน
  • นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุผลการหารือแพลตฟอร์มว่า หากพบพฤติกรรมผิดปกติจะ ปิดระบบตรวจสอบทันที พร้อม เพิ่มคู่สาย 1166 และใช้ AI ตรวจจับสินค้าผิดกฎหมาย อาทิ บุหรี่ไฟฟ้า
  • นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกรัฐบาล ย้ำเจตนารมณ์โครงการเพื่อ บรรเทาค่าครองชีพ และทบทวนข้อห้าม สลากฯ–แอลกอฮอล์–ยาสูบ–บัตรกำนัล/เงินสด–จ่ายล่วงหน้า–ทอนเงินสด อย่างเคร่งครัด

วันแรกของ “คนละครึ่งพลัส” สะท้อน แรงซื้อจริง ของครัวเรือนและร้านรายย่อย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอ จุดแข็งของรอบนี้คือ “นโยบายเศรษฐกิจ–กติกาคุ้มครอง–การบังคับใช้กฎหมาย–ความร่วมมือแพลตฟอร์ม” ที่ขยับพร้อมกัน ทำให้ภาพรวม “เดินหน้า–ปิดช่อง” ไปพร้อมกัน อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนของประสิทธิผลยังขึ้นกับ ความต่อเนื่องในการสกัดโกง–ความรวดเร็วในการตอบสนอง–และการกระจายโอกาสเข้าถึงสิทธิในทุกพื้นที่ หากทำได้ครบ โครงการจะไม่เพียง ช่วยค่าครองชีพ แต่ยัง คืนความเชื่อมั่น ว่ามาตรการรัฐสามารถ เข้าถึง–เป็นธรรม–ตรวจสอบได้ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)
  • กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
  • คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เปิด 3 ปัจจัยหลักทำ “ตึกแถว” หายจากตลาด 50% นายกสมาคมฯ ชี้ไทยเสี่ยงเผชิญปัญหาทรัพย์ร้าง

หมดอายุขัยทางเศรษฐกิจ? เมื่อ “ตึกแถวไทย” ถูกดิสรัปต์—เจ้าของแห่ขาย ไร้คนซื้อ เสี่ยงกลายเป็นทรัพย์ร้างทั่วประเทศ

กรุงเทพฯ, 21 ตุลาคม 2568 — ยามเช้าบนถนนสายเก่าในเมืองรองของภาคเหนือ ประตูเหล็กบานม้วนของตึกแถวเรียงยาวยังคงถูกเปิด–ปิดเป็นจังหวะคุ้นตา แต่ป้าย “ขาย/ให้เช่า” กลับปรากฏถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และค้างอยู่นานกว่าที่เคย สำหรับคนไทยหลายรุ่น “ตึกแถว” คือภาพจำของพลังเศรษฐกิจฐานราก—ค้าขายชั้นล่าง อยู่ชั้นบน เชื่อมบ้าน–ร้าน–ชุมชนเข้าไว้ด้วยกัน ทว่าในโลกธุรกิจที่เคลื่อนไปด้วยอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ดิจิทัล และความต้องการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ทรัพย์สินรูปแบบนี้กำลังเผชิญการทดสอบครั้งใหญ่

รายงานของ สำนักข่าวมติชนออนไลน์ เมื่อ 20 ตุลาคม 2568 อ้างคำให้สัมภาษณ์ของ นายวสันต์ คงจันทร์ นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ ระบุชัดว่า ตึกแถวคืออสังหาริมทรัพย์ที่ถูกดิสรัปต์เพราะหมดประโยชน์ใช้สอย” และ “ปัจจุบันมีตึกแถวหายไปจากตลาดแล้ว 50%” พร้อมย้ำว่าตึกแถวมือสอง “ขายยากมาก” โดยเฉพาะต่างจังหวัดที่ไม่ใช่โซนท่องเที่ยวหรือย่านการค้า แม้บางทรัพย์ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์และธนาคารนำออกขายจะ ลดราคาถึง 50% ก็ยัง “ขายออกยาก” เหตุผลสำคัญ—คนไม่รู้จะซื้อไปทำอะไร

3 แรงดิสรัปต์ เมื่อ “หน้าร้าน” แพ้ “หน้าจอ”

  1. อีคอมเมิร์ซแทนหน้าร้าน
    พฤติกรรมซื้อขายเคลื่อนไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์อย่างรวดเร็ว ต้นทุนการเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มและสื่อสังคมต่ำกว่าการเช่าหรือซื้ออาคารพาณิชย์ ขณะที่ระบบโลจิสติกส์–ชำระเงิน–โฆษณาดิจิทัลครบวงจร ทำให้ SMEs จำนวนมาก “ไม่จำเป็น” ต้องมีหน้าร้านอีกต่อไป ส่งผลตรงต่ออุปสงค์ตึกแถวที่เคยรองรับร้านโชห่วย ร้านอะไหล่ ร้านอาหารแบบคลาสสิก
  2. ข้อจำกัดด้านการอยู่อาศัย–ทำเล–ที่จอดรถ
    ตึกแถวจำนวนมากอยู่ในย่านดั้งเดิมที่ ที่จอดรถขาดแคลน และแวดล้อมด้วยผังเมืองที่ไม่ได้รองรับรถยนต์ส่วนบุคคลอย่างปัจจุบัน ประกอบกับคุณภาพชีวิตสมัยใหม่ที่ผู้ซื้อรุ่นใหม่มักเลือกบ้านแนวราบในชานเมืองหรือคอนโดที่มีส่วนกลาง–ที่จอดครบ ทำให้ “อยู่ชั้นบน–ค้าชั้นล่าง” ไม่ตอบโจทย์ครัวเรือนยุคใหม่
  3. ความคาดหวังราคาจากการเก็งกำไร
    ทำเลที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จาก โครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ถนนลาดพร้าว) ทำให้เจ้าของบางราย “ตั้งราคาเผื่ออนาคต” แต่เมื่อตลาดจริง ไม่มีผู้ซื้อใช้งาน (end-user) ที่ชัดเจน ราคาเสนอขายจึง “ลอย” และทรัพย์แขวนยาว เกิดภาพ “ป้ายขายเรียงถี่” ที่เห็นทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง

สัญญาณตลาด ลด 50% ยังขายยาก–บางทำเลแปลงเป็นโรงแรมเล็ก–คอนโด

จากรายงานเดียวกัน ตลาดกำลัง แตกขั้ว ชัดเจน

  • ต่างจังหวัด/ทำเลไม่ท่องเที่ยว ขายยากมาก แม้ลดราคาครึ่งหนึ่ง
  • ทำเลท่องเที่ยว (เช่น เยาวราช) มีการปรับโฉมเป็น โรงแรมขนาดเล็ก รับนักท่องเที่ยว ห้องพักคืนละหลัก 1,000 บาทบวกลบ
  • แนวรถไฟฟ้า บางช่วง ดีเวลลอปเปอร์ กว้านซื้อ เพื่อ พัฒนาเป็นคอนโด
  • ราคาคงที่ในบางย่าน เช่น เยาวราช คูหาละ 40–50 ล้านบาท อยู่ระดับนี้มาหลายปี หรือแยกรัชดา–ลาดพร้าว คูหาละ 9–10 ล้านบาท ประกาศขายค้างนาน สะท้อนอุปสงค์จริงที่จำกัด

ภาพนี้ทำให้ผู้เล่นในตลาดรองอย่าง บริษัทบริหารสินทรัพย์ เองยัง “ไม่รีบรับตึกแถวเข้าพอร์ต” เพราะ ระบายช้า เสี่ยง ทรัพย์ร้าง สะสมกว้างขึ้น—คำเตือนที่ทำให้หลายคนย้อนนึกถึงโจทย์ “บ้านว่าง–ตึกว่าง” ในญี่ปุ่น

จากสัญลักษณ์การค้า…สู่โจทย์ “ใช้การอย่างไรในโลกใหม่”

“ตึกแถว” ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์อสังหาฯ แต่คือ โครงสร้างสังคม–เศรษฐกิจ ของเมืองไทยหลายทศวรรษ—แถวเดียวรองรับทั้ง ธุรกิจครอบครัว–ห้องเก็บของ–ห้องเช่า ในยุคที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการค้าปลีกออฟไลน์ แต่เมื่อ ซัพพลายเชน ของการค้าเปลี่ยน—สินค้าถูกเก็บใน คลังสินค้าชานเมือง, “หน้าร้าน” ย้ายไปอยู่บนจอ, “คอนเทนต์” กลายเป็นพนักงานขาย 24 ชั่วโมง—บทบาทของอาคารพาณิชย์ในเมืองจึงถูกท้าทายโดยตรง
สิ่งที่ตามมาคือ ต้นทุนโครงสร้าง ของตึกแถว—หน้ากว้าง 4 เมตร ลึก 12–16 เมตร, บันไดชัน, ระบบสาธารณูปโภคที่ไม่ได้ออกแบบสำหรับ ครัวสมัยใหม่/ระบบดับเพลิง/ลิฟต์โดยสาร—ทำให้การ “รีโนเวตเพื่ออยู่อาศัย” หรือ “ดัดแปลงเป็นธุรกิจใหม่” มีต้นทุน–ข้อจำกัดทางกฎหมาย สูงกว่าที่คิด โดยเฉพาะถ้าต้องยื่นขอเปลี่ยนการใช้ประโยชน์อาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายควบคุมอาคาร มาตรฐานอัคคีภัย และผังเมืองรวม

ทำไมต่างจังหวัดเจ็บกว่า? 5 เหตุผลเชิงโครงสร้าง

  1. ทราฟฟิกคนเดินต่ำลง เมื่อศูนย์การค้า–ไฮเปอร์มาร์เก็ต–ไลฟ์สไตล์มอลล์กลายเป็นแหล่งจับจ่ายหลัก
  2. การย้ายฐานที่อยู่อาศัย จากใจเมืองสู่ชานเมือง/แนวถนนสายหลักที่มีที่จอดและพื้นที่ใช้สอยมากกว่า
  3. รายได้ท่องเที่ยวกระจุก ในเมืองท่องเที่ยวหลัก ทำให้ตึกแถวในเมืองที่พึ่งพานักท่องเที่ยวน้อย “ไม่มีดีมานด์ใหม่”
  4. ค่าขนส่ง–เดลิเวอรีที่ถูกลง ทำให้ร้านออนไลน์ “ข้ามทำเล” ไปขายทั่วเมืองโดยไม่ต้องมีหน้าร้าน
  5. การเข้าถึงแหล่งทุน–ความรู้ปรับโฉม ของผู้ถือครองรายย่อยยังจำกัด เมื่อเทียบกับดีเวลลอปเปอร์ในเมืองใหญ่

ทางเลือก “ปรับโฉม” มีจริง แต่ต้องจับคู่กับเงื่อนไขที่ถูกต้อง

  • บูทีคโฮเทล/โฮสเทล เหมาะในย่านท่องเที่ยว–วัฒนธรรมที่ “เดินได้” แต่ต้องลงทุนระบบความปลอดภัย–ช่องทางหนีไฟ–เสียง–สุขาภิบาล
  • คีตชัน/โกสต์คิทเช่น ใช้จุดแข็งของทำเลกลางเมืองเชื่อมเดลิเวอรี แต่ต้องลงทุนระบบครัว–จัดการกลิ่น–ข้อกำหนดเทศบัญญัติ
  • โคเวิร์กกิง/สตูดิโอครีเอทีฟ เหมาะย่านศิลปะ–สตาร์ทอัพ–มหาวิทยาลัย แต่ต้องแก้ข้อจำกัดที่จอด–การสัญจร
  • ไมโครฟูลฟิลเมนต์/พิกอัปพอยต์ จับตลาดอีคอมเมิร์ซท้องถิ่น แต่ต้องประเมินทราฟฟิก–ค่าเช่า–ผลตอบแทนต่อ ตร.ม.
  • โค–ลิฟวิง/เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ ต้องตีความรหัสอาคาร–มาตรฐานที่อยู่อาศัยใหม่–การระบายอากาศ–แสงธรรมชาติ–เสียงรบกวน

ข้อเท็จจริงสำคัญ คือการปรับโฉม “คูหาเดียว” มัก ไม่คุ้มทุน เท่าการ รวบแปลงหลายคูหา เพื่อเพิ่มหน้ากว้าง–พื้นที่ใช้สอย–ทางหนีไฟ และวางผังใหม่ให้รองรับการใช้งานสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัย การรวมเจ้าของ ที่อาจใช้เวลาและการเจรจาซับซ้อน

คำเตือนจากตัวเลข “ลดครึ่งหนึ่งยังขายยาก” และเงาสะท้อน “บ้านว่าง” แบบญี่ปุ่น

คำกล่าวของนายวสันต์ว่าบางสินทรัพย์ “ต้องลด 50% จากราคาปกติก็ยังขายยาก” ไม่เพียงชี้ ความเครียดด้านราคา แต่ยังชี้ว่า ผู้ซื้อปลายทาง (end-user) ในหลายทำเล “แทบไม่มี” เทียบกับญี่ปุ่นที่มี บ้านว่าง (Akiya) กระจายตัวสูงในเมืองรอง ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่อง “ความสวยงามของอาคารเก่า” แต่คือ ความสามารถในการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ของทรัพย์สินที่ต้องการ นโยบาย–แรงจูงใจ–ความร่วมมือ มากกว่าปล่อยให้ตลาดแก้เอง

7 แนวทางเชิงระบบ จาก “ทรัพย์แขวน” สู่ “ทรัพย์หมุนเวียน”

  1. อินเซนทีฟภาษีเพื่อการรีโนเวตเชิงอนุรักษ์
    ลดหย่อนภาษีที่ดิน–สิ่งปลูกสร้างชั่วคราวสำหรับผู้รีโนเวตอาคารพาณิชย์เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ในกิจการที่ผังเมืองสนับสนุน
  2. กองทุน/สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษเพื่อการปรับปรุงตึกแถว
    สินเชื่อยืดหยุ่นสำหรับ “รวมคูหา–ติดตั้งระบบความปลอดภัย–ปรับโครงสร้าง” โดยร่วมมือธนาคารพาณิชย์–กองทุนท้องถิ่น
  3. การรวมกลุ่มเจ้าของ (Block Assembly)
    เทศบาล/จังหวัดเป็น “ตัวกลาง” ให้เจ้าของคูหาติดกันหารือแนวทางการรวม–รีโนเวต–ร่วมลงทุน เพื่อให้เกิดขนาดเศรษฐกิจ (economies of scale)
  4. ผังเมือง “โซนประสบการณ์”
    อนุญาตการใช้ประโยชน์ผสม (mixed-use) และผ่อนผันจอดรถ–ทางเท้า ในย่านที่กำหนดให้เป็น ย่านเดินได้ (walkable district) พร้อมพื้นที่สีเขียว–ทางจักรยาน
  5. มาตรฐานความปลอดภัย–อัคคีภัย “ทางลัดที่ปลอดภัย”
    จัดทำคู่มือ–แบบมาตรฐานสำหรับอาคารพาณิชย์รีโนเวต เพื่อลดเวลา–ความไม่แน่นอนในการยื่นขออนุญาต แต่ยังคงความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
  6. ตลาดชั่วคราว–อีเวนต์ครีเอทีฟ ดึงทราฟฟิก
    เมืองสามารถปล่อยใช้ชั่วคราว (temporary use) กับคูหาว่าง เป็นป๊อปอัปโชว์รูม–อาร์ตสเปซ–งานคราฟต์–สตรีทฟู้ดคุณภาพ เพื่อทดสอบดีมานด์จริง
  7. ฐานข้อมูล “ทรัพย์ว่างโปร่งใส”
    สร้างแพลตฟอร์มเผยแพร่ข้อมูลตึกแถวว่าง–สภาพอาคาร–เงื่อนไขการใช้ เพื่อลด ต้นทุนการค้นหา (search cost) ของนักลงทุน–ผู้ประกอบการรุ่นใหม่

สำหรับเจ้าของ เช็กลิสต์ 90–180 วันเพื่อตัดสินใจด้วยข้อมูล

  • ประเมินศักยภาพเชิงพาณิชย์ ทราฟฟิกคนเดิน/ระยะถึงขนส่งสาธารณะ/ความหนาแน่นประชากร–สถานศึกษา–สำนักงาน
  • วิเคราะห์โครงสร้าง–ต้นทุนรีโนเวต ระบบไฟ–น้ำ–บันได–พื้น–หลังคา–ผนังรับแรง, ปรับช่องเปิด–แสง–ระบายอากาศ
  • เช็กกฎหมาย–ผังเมือง–อัคคีภัย การใช้ประโยชน์ที่อนุญาต/ที่จอด/จำนวนทางหนีไฟ/ระบบแจ้งเหตุ–สปริงเกลอร์
  • สำรวจทางเลือกการใช้ โรงแรมเล็ก–โกสต์คิทเช่น–โคเวิร์กกิง–สตูดิโอ–ไมโครฟูลฟิลเมนต์–โค–ลิฟวิง (เทียบผลตอบแทน–ความเสี่ยง)
  • ตัดสินใจ “ขาย/ถือ/รีโนเวต” ด้วยตัวเลข ทำ DCF งบลงทุน–ค่าเช่าเป้าหมาย–ระยะเวลาคืนทุน หาก “ขาย” อาจพิจารณา ขายยกแถว ให้ดีเวลลอปเปอร์เพื่อเพิ่มโอกาสปิดดีล

สำหรับท้องถิ่น ทำให้ “เดินได้–ลงทุนได้–อยู่ได้”

เมืองที่อยากเห็นย่านเก่าฟื้น ต้องทำงาน “สามชั้น” พร้อมกัน—โครงสร้างพื้นฐาน (ฟุตปาธ–ไฟ–ถังขยะ–ต้นไม้), กติกายืดหยุ่น (mixed-use–ที่จอดแบบรวมศูนย์–มาตรฐานปรับใช้), และ กิจกรรมสร้างชีวิต (มาร์เก็ต–เทศกาล–งานศิลปะ) เมืองที่ทำสามชั้นได้พร้อม จะเปลี่ยน “ตึกแถวว่าง” เป็น “ตึกแถวมีชีวิต” ได้เร็วกว่าการรอให้ตลาดทำเอง

จากตึกแถวสู่ทรัพยากรเมืองยุคใหม่

บทวิเคราะห์ของนายวสันต์—ที่ชี้ว่าตึกแถว ครึ่งหนึ่งหายไปจากตลาด และ ต้องลดราคา 50% ยังขายยาก—ไม่ใช่ “ข่าวร้าย” หากมองอีกด้าน มันคือ “สัญญาณเตือน” ให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝั่ง ยอมรับความจริง ว่าฟังก์ชันเดิมของอาคารพาณิชย์กำลังหมดอายุในหลายทำเล แล้วหันมาร่วมกันออกแบบ ฟังก์ชันใหม่ ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานบริการ–ดิจิทัล–ท่องเที่ยวคุณภาพ—ด้วยกติกาที่ชัด ระบบที่ช่วยได้ และการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยง

ในบางย่าน—เยาวราช–เมืองเก่า–โครงการรถไฟฟ้า—เรามีตัวอย่าง การปรับโฉมที่เวิร์ก อยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อคือขยายบทเรียนเหล่านั้นให้ ไปไกลกว่าศูนย์กลาง สู่เมืองรอง–อำเภอ–ย่านรอบนอก เพื่อไม่ให้ “ตึกแถว” กลายเป็น ทรัพย์ร้าง ที่ค่อย ๆ ดับไฟชุมชน แต่กลายเป็น ทรัพยากรเมือง ที่ช่วยสร้างงาน–สร้างกิจกรรม–สร้างตัวตนของย่านในยุคใหม่

สรุปตัวเลข–ข้อความชวนคิด

  • ตึกแถวหายไปจากตลาด ~50% (ตามคำให้สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ)
  • ตึกแถวมืสองขายยาก แม้ลดราคา ~50% โดยเฉพาะต่างจังหวัด–ย่านไม่ท่องเที่ยว
  • บางย่านท่องเที่ยว แปลงเป็น โรงแรมเล็ก (ค่าห้อง ~1,000 บาท/คืน)
  • แนวรถไฟฟ้าบางช่วง ถูกกว้านซื้อพัฒนาเป็น คอนโด
  • ราคาบางย่านทรงตัวหลายปี เยาวราช คูหาละ 40–50 ล้าน, แยกรัชดา–ลาดพร้าว คูหาละ 9–10 ล้าน
  • บทเรียนญี่ปุ่น บ้าน–ตึกว่างเพิ่ม หากไม่เร่งหาฟังก์ชันใหม่–สร้างแรงจูงใจรีโนเวต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News