Categories
ECONOMY

วิกฤตลำไยภาคเหนือปี 68 ผลผลิตพุ่ง 1.69 ล้านตัน ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 11 ปี

วิกฤตลำไยภาคเหนือส่อรุนแรง ผลผลิตพุ่งแตะ 1.69 ล้านตัน ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 11 ปี กระทรวงพาณิชย์เดินหน้ามาตรการเร่งด่วน หวังประคองรายได้เกษตรกร

เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในปี 2568 ภาคเหนือของไทยกำลังเผชิญกับ “พายุผลผลิตลำไย” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งปริมาณที่ล้นตลาดและราคาที่ร่วงต่ำสุดในรอบกว่าทศวรรษ ทำให้ชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกว่า 210,000 ครัวเรือนในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และพื้นที่ใกล้เคียงเผชิญภาวะวิกฤตหนัก ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า ราคาลำไยเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมปีนี้ตกลงมาอยู่ที่เพียง 14 บาทต่อกิโลกรัม ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 11 เดือน นำไปสู่การเร่งออกมาตรการฉุกเฉินของกระทรวงพาณิชย์และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

วิกฤตผลผลิตล้นตลาด จาก “ปีทอง” สู่ “ปีหนักใจ” เกษตรกร

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ถึงปัจจัยเบื้องหลังการดิ่งของราคาลำไยในปีนี้ พบว่า “สภาพอากาศเอื้ออำนวย” ตลอดช่วงต้นปีทำให้ต้นลำไยออกดอกและติดผลดีมากกว่าทุกปี ส่งผลให้ผลผลิตพุ่งสูงถึง 1.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 19% จากปีก่อนหน้า และมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังถึง 1.2 เท่า

นอกจากนี้ เกษตรกรยังเพิ่มการใช้สารกระตุ้นและบำรุงต้นจากแรงจูงใจของราคาที่ดีในปี 2566-67 ผลที่ตามมาคือ ปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น 17.2% (จาก 856 เป็น 1,012 กิโลกรัม/ไร่) กลายเป็น “ผลไม้ล้นสวน” ในทุกหมู่บ้าน

แต่ในด้านเศรษฐกิจ กลับพบว่ารายได้เกษตรกรลดลงเฉลี่ย 23.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะราคาขายตกต่ำสวนทางกับต้นทุนที่สูงขึ้น อีกทั้งการส่งออกลำไยสดของไทยที่เคยเติบโตสูงถึง 20.5% กลับชะลอตัวเหลือเพียง 4.7% เท่านั้นในปีนี้

ภาครัฐอัดฉีดมาตรการ “อุ้มลำไย” ทั่วภาคเหนือ

ท่ามกลางสัญญาณเตือนจากตลาด กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในได้เร่งประชุมวอร์รูมและออกมาตรการเชิงรุกโดยทันที นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายในเปิดเผยว่า หน่วยงานรัฐได้จับมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เปิดจุดรับซื้อลำไยเพิ่มในพื้นที่วิกฤต เช่น เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย (โดยเฉพาะอำเภอสันป่าตอง จอมทอง ลี้ ป่าซาง พาน เทิง) พร้อมตั้งเป้าเพิ่มจุดรับซื้อให้ได้ 200 จุดใน 7 จังหวัดภาคเหนือ

มาตรการเด่นประกอบด้วย

  • เปิดจุดรับซื้อและร่อนลำไยเพื่อระบายผลผลิตด่วน
  • จัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคลำไย และเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ซื้อรายใหญ่ (เช่น CSR กับบริษัทเอกชน โรงงานแปรรูป ฯลฯ)
  • สนับสนุนกล่องบรรจุภัณฑ์ไปรษณีย์ฟรี ส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์-ออฟไลน์
  • ประสานขายผ่านช่องทางใหม่ทั้งปั๊มน้ำมัน ตู้เต่าบิน สายการบินไทยแอร์เอเชีย และพันธมิตรค้าปลีก
  • วางเครือข่ายวอร์รูมเพื่อรายงานสถานการณ์และประสานการช่วยเหลือแบบเรียลไทม์

นายกรนิจเน้นย้ำว่า เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรที่ประสบปัญหาการระบายผลผลิต สามารถแจ้งได้โดยตรงที่กรมการค้าภายในหรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อให้เข้าถึงมาตรการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด

ความท้าทายและบทเรียน “เกษตรไทย” สู่อนาคต

แม้มาตรการฉุกเฉินของภาครัฐจะช่วยบรรเทาวิกฤตในระยะสั้น แต่ปัญหาพื้นฐานของลำไยไทยคือ “การพึ่งพาการขายผลสด” ที่ยังขาดการแปรรูป เพิ่มมูลค่า และขยายตลาดใหม่ในระยะยาว

  1. ความเสี่ยงจากฤดูการผลิตที่ซ้ำซ้อน – หากไม่มีการวางแผนร่วมกันระหว่างเกษตรกร โรงงาน ผู้ส่งออก ตลาดก็จะล้นปีเว้นปี วิกฤตราคาก็จะเกิดซ้ำ
  2. การขาดความหลากหลายของสินค้า – ตลาดหลักของลำไยสดคือจีน ซึ่งปีนี้อุปสงค์ชะลอตัวจากเศรษฐกิจภายในประเทศและนโยบายกีดกันสินค้าต่างชาติ
  3. ต้นทุนการขนส่งและปัญหาโลจิสติกส์ – เมื่อโรงอบเต็มหรือระบายผลผลิตไม่ทัน เกษตรกรต้องขายขาดทุนหรือทิ้งผลผลิตเสียเปล่า
  4. ขาดแรงจูงใจแปรรูปหรือปลูกพืชทางเลือก – การลงทุนแปรรูปลำไยยังมีน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิต

เส้นทางสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรแนะว่า การขยายตลาดใหม่ เช่น การส่งออกลำไยอบแห้งไปยังอินเดีย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา การสร้างแบรนด์ GI ลำไยไทย การผลักดันโรงงานแปรรูปขนาดเล็กในชุมชน และการวางแผนปลูกพืชหมุนเวียนคือหนทางที่ควรเดินคู่กับมาตรการอุ้มราคาทุกปี

เช่นเดียวกับที่จังหวัดเชียงรายเริ่มจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ให้เกษตรกรขายตรง ลดพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ต่อยอดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรและตลาดสินค้าชุมชน ซึ่งเป็นแบบอย่างการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องการแรงสนับสนุนต่อเนื่อง

บทเรียนจาก “ลำไยพีคซีซั่น” สะท้อนเส้นทางปรับตัวของเกษตรไทย

แม้ภาครัฐและทุกฝ่ายจะทุ่มมาตรการฉุกเฉินเต็มที่ในปี 2568 แต่การเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่ม และปรับกลยุทธ์เชิงระบบสำหรับเกษตรกรยังคงเป็นหัวใจสำคัญ เพราะหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขเชิงลึก วิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำก็จะยังคงวนซ้ำไปอีกหลายปีข้างหน้า

การปรับตัวของเกษตรกรจากภายใน ด้วยการเน้นความยืดหยุ่นของการปลูกพืช ผลิตสินค้าแปรรูป และขยายตลาดใหม่ จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เกษตรกรไทยยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในสภาวะตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

SCB EIC เตือน! การนำเข้าทะยาน 53% ของ GDP ไทย เสี่ยงพึ่งจีนหนัก

ไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ การนำเข้าพุ่งสูงสุดรอบ 12 ปี สะท้อนพึ่งพาจีนหนัก เสี่ยงเป็นแค่ “ประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก!

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – เปิดม่าน “โจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย” เมื่อการนำเข้าทะยานสูงสุดรอบ 12 ปี ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ผลการศึกษาของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง เมื่อเผยแพร่ข้อมูลชี้ชัดว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยในปี 2567-2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 โดยสัดส่วนการนำเข้าสินค้าต่อจีดีพีของไทยพุ่งสูงถึง 53% ในปี 2024 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังส่งผลให้ไทยเผชิญภาวะขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นปีที่ 3

สัญญาณนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ที่กำลังเปลี่ยนจาก “ประเทศผู้ผลิต” สู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” มากขึ้นทุกที

3 ปัจจัยหนุนการนำเข้าทะยาน – ผลักไทยสู่จุดเปลี่ยนใหญ่

การวิเคราะห์ของ SCB EIC ระบุชัดว่า แนวโน้มการนำเข้าสินค้าของไทยที่เร่งตัวขึ้นตลอด 4 ปีหลัง เกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  1. การระบายสินค้าส่วนเกินจากจีน: จีนในฐานะประเทศผู้ผลิตอันดับต้นของโลก เผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าส่วนเกินมายังประเทศคู่ค้าเพิ่มสูงขึ้น ไทยกลายเป็นปลายทางสำคัญ ด้วยอัตราการนำเข้าสินค้าจากจีนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 4 เท่า
  2. ธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติเติบโต: คนไทยนิยมช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มข้ามชาติ เช่น Alibaba, Shopee, Lazada สินค้าส่วนใหญ่ที่สั่งซื้อมาจากจีน ไม่เพียงกระตุ้นการนำเข้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค แต่ยังส่งผลให้รายได้ของธุรกิจออนไลน์เหล่านี้ไหลกลับไปยังต่างประเทศ มากกว่าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย
  3. โครงสร้างอุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า (High Import Content): กลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้ามีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น พบทั้งในกลุ่มการผลิต (อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก พลาสติก) ก่อสร้าง บริการ และร้านอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มทุนต่างชาติที่ย้ายฐานเข้ามาเพียงเพื่อประกอบขั้นต้นในไทย แล้วส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม

ผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไทยกลายเป็น “Trader” ภาคอุตสาหกรรมซบเซา-เสี่ยงตกเป็นทางผ่าน

บทวิเคราะห์ของ SCB EIC เตือนชัดว่า ผลลัพธ์ของการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมีทั้งด้านเศรษฐกิจมหภาคและความมั่นคงทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมภายในประเทศซบเซา: การนำเข้าสินค้าทดแทนการผลิตในประเทศ กลายเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มเหล็ก, แผงวงจร, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนยานยนต์และพลาสติก ไทยเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและมูลค่าเพิ่ม (Value-added) ลดลง
  • ธุรกิจ “ซื้อมา-ขายไป” & ความเสี่ยง “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า”: ธุรกิจในไทยจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนบทบาทเป็น “Trader” มากกว่าผู้ผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มแผงวงจร, อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า กิจกรรมเหล่านี้บางส่วนอาจเข้าข่าย “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า” เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีในตลาดตะวันตก ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันในอนาคต

จากผู้ผลิตสู่ผู้ซื้อ ไทยเสี่ยง “ติดกับดักประเทศทางผ่าน”

หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ไทยจะเสี่ยงต่อการถูกลดบทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลกจาก “ฐานการผลิต” ไปสู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดพักสินค้า หรือประกอบสินค้าก่อนส่งออกไปยังปลายทางประเทศที่สาม โดยที่มูลค่าเพิ่มและประโยชน์ที่ได้ตกอยู่กับเจ้าของวัตถุดิบหรือแบรนด์ต่างชาติ

ประเด็นสำคัญที่ควรจับตาได้แก่

  • ขีดความสามารถแข่งขันถดถอย: หากภาคการผลิตภายในประเทศยังพึ่งพานำเข้าสูง จะกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
  • ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบระหว่างประเทศ: มาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าและมาตรการกีดกันการค้าโดยสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป อาจทำให้ไทยเผชิญความยากลำบากในการส่งออกสินค้ากลุ่มเสี่ยง
  • บทบาทจีนที่เพิ่มขึ้น: เมื่อธุรกิจและแพลตฟอร์มจีนกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางตลาด ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งพัฒนาและหาจุดแข็งที่แท้จริงของประเทศ

ทางรอดต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ “จากทางผ่าน สู่ศูนย์กลางมูลค่าสูง”

บทเรียนจากสถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้กำหนดนโยบายของไทยต้องร่วมมือกันในการ

  • ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
  • ลดการพึ่งพิงวัตถุดิบและสินค้าเทคโนโลยีต่ำจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน
  • สร้างแรงจูงใจในการลงทุนและพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอนาคต (Next-Gen Industry)
  • ผลักดันการเชื่อมโยงซัพพลายเชนในประเทศ สร้างผู้ประกอบการไทยที่แข็งแกร่ง
  • ติดตามและปรับตัวตามมาตรการกีดกันการค้าและข้อกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างใกล้ชิด

วิเคราะห์สถานการณ์

สถานการณ์การนำเข้าสูงสุดในรอบ 12 ปีของไทยถือเป็น “สัญญาณเตือน” สำคัญ ที่ทุกภาคส่วนควรร่วมกันหาทางออก เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยตกสู่ “กับดักประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก การเพิ่มขีดความสามารถภายในและสร้างจุดแข็งใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • รายงานข่าวเศรษฐกิจและสถิติการค้าไทย-จีน
  • กระทรวงพาณิชย์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลำไยเชียงใหม่ราคาไม่ตกเหลือ 1 บาท! รมช.พาณิชย์ยันแค่เกรด C พร้อมเดินหน้าอุ้มเกษตรกร

ราคาลำไยเชียงใหม่ไม่ตกเหลือ 1 บาท! รมช.พาณิชย์ยันแค่เกรด C พร้อมเดินหน้าอุ้มเกษตรกร

เชียงใหม่, 12 กรกฎาคม 2568 – ภาพของเกษตรกรชาวสวนลำไยในจังหวัดเชียงใหม่ที่ยืนมองผลผลิตในมือด้วยความกังวล กลายเป็นภาพที่สะท้อนใจผู้คนทั่วไป เมื่อกระแสข่าวในโลกออนไลน์ระบุว่าราคาลำไยในปีนี้ตกต่ำถึงขีดสุด เหลือเพียงกิโลกรัมละ 1 บาท ข่าวนี้สร้างความตื่นตระหนกและคำถามมากมายในหมู่เกษตรกรและประชาชนว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “ราชินีผลไม้” ของภาคเหนือ แต่ในวันนี้ (12 ก.ค. 68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงที่ทำให้ภาพของสถานการณ์เริ่มชัดเจนขึ้น พร้อมย้ำว่าราคาดังกล่าวเป็นเพียงลำไยเกรดต่ำสุด และกระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งดำเนินมาตรการคู่ขนานเพื่อปกป้องเกษตรกร

ความจริงเบื้องหลังราคาลำไย 1 บาท

ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน โพสต์บนโซเชียลมีเดียที่ระบุว่าราคาลำไยในเชียงใหม่ตกต่ำถึงกิโลกรัมละ 1 บาท ได้ถูกแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนกให้กับเกษตรกรในพื้นที่และผู้บริโภคทั่วประเทศ แต่จากการตรวจสอบของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่พบว่า ราคาดังกล่าวเป็นเพียงราคาของลำไยเกรด C ซึ่งเป็นลำไยรูดร่วงที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 20 มิลลิเมตร และไม่ได้สะท้อนภาพรวมของราคาลำไยในตลาดทั้งหมด

นายสุชาติ ชมกลิ่น เปิดเผยว่า “ลำไยเกรดดี เช่น เกรด AA ยังคงมีราคารับซื้ออยู่ที่ 19-20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าน่าพอใจสำหรับเกษตรกร ส่วนลำไยเกรด C ที่มีราคา 1 บาทนั้น เป็นระดับราคาที่สอดคล้องกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และไม่ได้บ่งชี้ว่าราคาลำไยโดยรวมตกต่ำอย่างที่เป็นข่าว” การชี้แจงนี้ช่วยคลายความกังวลของเกษตรกรได้ในระดับหนึ่ง แต่คำถามที่ตามมาคือ แล้วเกษตรกรจะรับมือกับสถานการณ์ผลผลิตเกรดต่ำนี้ได้อย่างไร?

มาตรการคู่ขนานส่งออก แปรรูป กระจายในประเทศ

เพื่อแก้ไขปัญหาและรักษาเสถียรภาพราคาลำไย กระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาตรการคู่ขนานที่มุ่งทั้งการส่งออก การแปรรูป และการกระจายผลผลิตภายในประเทศ โดยนายสุชาติได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ดังนี้:

  1. ผลักดันการส่งออกและแปรรูป
    • ส่งออก 15,000 ตัน ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดหนาแน่น โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงพีคของฤดูกาล
    • แปรรูปลำไยอบแห้ง 50,000 ตัน เพื่อดูดซับผลผลิตส่วนเกินและเพิ่มมูลค่าให้กับลำไยเกรดต่ำ
    • การแปรรูปนี้ไม่เพียงช่วยลดความกดดันในตลาด แต่ยังสร้างโอกาสให้เกษตรกรมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น
  2. กระจายผลผลิตในประเทศ
    • เชื่อมโยงการจำหน่ายผ่านช่องทางที่หลากหลาย ตั้งแต่ระบบพรีออร์เดอร์ ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดกลาง ตลาดสด ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
    • สนับสนุนการขายออนไลน์ด้วยการให้กล่องไปรษณีย์ส่งฟรี เพื่อกระจายผลผลิตจากภาคเหนือสู่ผู้บริโภคทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย
  3. เจาะตลาดต่างประเทศ
    • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) ได้เร่งประสานงานกับผู้นำเข้าจากจีน ฮ่องกง มาเลเซีย อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เพื่อเพิ่มคำสั่งซื้อลำไยสดและแปรรูป
    • จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างวันที่ 7-16 กรกฎาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้กว่า 200 ล้านบาท

สถานการณ์ล่าสุด ผลผลิตและราคา

ข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2568 ระบุว่าราคาลำไยในท้องตลาดมีดังนี้:

  • ลำไยสดรูดร่วง
    • เกรด AA: 19-20 บาท/กก.
    • เกรด A: 10-11 บาท/กก.
    • เกรด B: 5-6 บาท/กก.
    • เกรด C: 1 บาท/กก.
  • ลำไยสดช่อ (ตะกร้าขาว อินโดนีเซีย)
    • เกรดทอง: 25 บาท/กก.
    • เกรดแดง: 22 บาท/กก.
    • เกรดน้ำเงิน: 17 บาท/กก.
    • เกรดเขียว: 8 บาท/กก.
  • ลำไยสดมัดปุ๊ก
    • เกรด AA + A: 18-20 บาท/กก.
    • เกรด A + B: 12-15 บาท/กก.

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้ผลผลิตลำไยในจังหวัดเชียงใหม่เริ่มออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 22,409 ตัน หรือร้อยละ 8 ของผลผลิตทั้งหมด โดยกระจายอยู่ในพื้นที่อำเภอจอมทอง ดอยหล่อ แม่วาง สันป่าตอง ฮอด และดอยเต่า ซึ่งเกษตรกรยังคงส่งผลผลิตให้ล้งรับซื้อตามปกติ

ปมปัญหาเวียดนามชะลอคำสั่งซื้อ

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ราคาลำไยเกรด C ตกต่ำคือการชะลอคำสั่งซื้อจากเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของลำไยเกรดต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นายวิทยากรระบุว่า “ในปีนี้ เวียดนามมีผลผลิตลำไยภายในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการลำไยจากไทยลดลง” ภาวะนี้ทำให้ลำไยเกรด C ซึ่งมีขนาดเล็กและมักถูกใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านราคา

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ได้ประสานงานกับผู้ประกอบการแปรรูปเพื่อดูดซับผลผลิตส่วนเกิน โดยเน้นการผลิตลำไยอบแห้งและผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ เพื่อป้องกันภาวะล้นตลาดและรักษาเสถียรภาพราคา

วิเคราะห์ผลลัพธ์ทางออกที่ยั่งยืน

จากสถานการณ์ดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าราคาลำไยเกรด C ที่ตกต่ำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวม และไม่ได้สะท้อนความล้มเหลวของตลาดลำไยโดยรวม มาตรการคู่ขนานที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การส่งออกและแปรรูปจะช่วยลดแรงกดดันจากผลผลิตส่วนเกิน ขณะที่การกระจายผลผลิตในประเทศผ่านช่องทางที่หลากหลายจะช่วยให้ลำไยเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในอนาคตคือการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น เวียดนามและจีน ซึ่งอาจมีความผันผวนตามสถานการณ์ภายในของแต่ละประเทศ การขยายตลาดใหม่ เช่น อินเดียและ UAE รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีมูลค่าสูง จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมลำไยของไทย

ความหวังของเกษตรกร

จากกระแสข่าวที่สร้างความตื่นตระหนก สู่การชี้แจงข้อเท็จจริงและการดำเนินมาตรการที่รวดเร็วของกระทรวงพาณิชย์ เกษตรกรชาวสวนลำไยในเชียงใหม่เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ด้วยราคาลำไยเกรดดีที่ยังคงแข็งแกร่งและมาตรการที่ครอบคลุมทั้งการส่งออก แปรรูป และกระจายในประเทศ อนาคตของลำไยเชียงใหม่ยังคงมีความหวัง โดยกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เป็นธรรมและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)
  • ข้อมูลสัมภาษณ์นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน วันที่ 12 กรกฎาคม 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ปีทอง” หรือ “ปีร่วง”? ลำไยเชียงรายผลผลิตล้นตลาด ราคาดิ่ง 40 เท่า

ปีทองลำไยเชียงราย หรือวิกฤตราคาดิ่ง? ผลผลิตทะลุล้านตัน เกษตรกรเสี่ยงขาดทุน

เชียงราย,8 กรกฎาคม 2568 – ผลผลิตลำไยพุ่งทะลุเป้า เกษตรกรภาคเหนือเฝ้าระวังราคาดิ่ง ปี 2568 กลายเป็นปีที่ผลผลิตลำไยในภาคเหนือพุ่งสูงเกินคาด จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) พบว่า ผลผลิตรวมสูงถึง 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 12% จากปีที่ผ่านมา แม้พื้นที่ยืนต้นลำไยจะลดลงเล็กน้อยจากการโค่นต้นเก่าเพื่อปลูกพืชอื่น แต่สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยทำให้การออกดอก-ติดผลสมบูรณ์

ในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงผลผลิตออกมากที่สุด คาดว่าจะมีลำไยทะลักเข้าสู่ตลาดกว่า 422,000 ตัน หรือราว 57% ของผลผลิตฤดูทั้งหมด นับเป็นช่วงเสี่ยงที่สุดของปี

สวนทางคุณภาพ-ราคา ลำไยเกรดต่ำเสี่ยงเหลือแค่ 1 บาท

ในขณะที่ลำไยเกรด AA+A ราคายังยืนได้ที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม แต่ลำไยเกรด C กลับมีราคาต่ำจนน่าตกใจเพียง 1 บาทต่อกิโลกรัม ความต่างนี้มากถึง 40 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงการจัดการคุณภาพที่ยังไม่ทั่วถึง

ปัญหาสำคัญคือเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาคุณภาพได้สม่ำเสมอ หรือไม่สามารถเก็บเกี่ยวแบบช่อสดได้ ทำให้ต้องขายแบบ “รูดร่วง” ที่มีราคาต่ำกว่า

เชียงรายผลผลิตมากแต่ความเสี่ยงสูง

จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกลำไยราว 167,000 ไร่ โดยเฉพาะอำเภอป่าแดดที่เป็นแหล่งใหญ่สุด แต่กว่า 30% ของพื้นที่เหล่านี้ถูกจัดว่าไม่เหมาะสมทางการเกษตร ส่งผลต่อคุณภาพผลผลิตโดยตรง

นอกจากนี้ ภัยแล้งยังเป็นปัญหาซ้ำซ้อน โดยเฉลี่ย 20-30% ของพื้นที่เพาะปลูกได้รับผลกระทบทุกปี ส่งผลต่อขนาดและคุณภาพของลำไยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สศก. เร่งบริหารจัดการ สกัดล้นตลาดเดือนสิงหาคม

เพื่อไม่ให้ลำไยทะลักตลาดในเดือนสิงหาคมจนราคาตก รัฐบาลจึงเร่งแผนกระจายสินค้าและส่งเสริมการแปรรูป ดังนี้:

  • สนับสนุนการแปรรูป เช่น ลำไยอบแห้ง น้ำลำไยเข้มข้น ลำไยกระป๋อง เพื่อลดผลผลิตสดในตลาด
  • ส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายใหม่ เช่น Modern Trade, ตลาดออนไลน์ และไปรษณีย์ไทย
  • อุดหนุนค่าบริหารจัดการกิโลกรัมละ 3 บาท สำหรับกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์

การส่งออกยังคงพึ่งพาจีนเป็นหลักถึง 73.1% จึงต้องเร่งขยายตลาดใหม่อย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อลดความเสี่ยงระยะยาว

สหกรณ์เชียงรายจุดแข็งที่ยังมีจุดเปราะ

แม้สหกรณ์หลายแห่งในเชียงราย เช่น สหกรณ์ลำไยเมืองเชียงราย และสหกรณ์ป่าแดด จะมีบทบาทเชิงรุกในการรับซื้อลำไยและกระจายผลผลิต แต่ในอดีตยังมีปัญหาความไม่โปร่งใส เช่น กรณีสหกรณ์ในอำเภอพานที่เคยถูกร้องเรียนเรื่องเงินค้ำประกันลำไยค้างจ่าย

การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและธรรมาภิบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากหวังให้สหกรณ์กลายเป็นกลไกหลักในการพยุงราคาลำไย

ความหวังใหม่ศูนย์เรียนรู้แม่สรวย เสริมโอกาสเกษตรกร

อำเภอแม่สรวยของเชียงรายกลายเป็นต้นแบบที่น่าจับตา ด้วยการพัฒนาการปลูกลำไยนอกฤดูที่ประสบผลสำเร็จ ได้รับการยกเป็นศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยให้เกษตรกรสามารถกระจายเวลาเก็บเกี่ยว ลดความเสี่ยงจากการออกผลพร้อมกันในฤดู

อนาคตลำไยเชียงราย ต้องยืนอยู่บนฐานความยั่งยืน

ลำไยจะไม่เป็นเพียงพืชเศรษฐกิจที่อยู่รอดชั่วคราว หากแต่ต้องมีอนาคตที่ยั่งยืน ด้วยยุทธศาสตร์ชัดเจน:

  • เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน
  • วิจัยสายพันธุ์ทนแล้งและให้ผลผลิตสม่ำเสมอ
  • สร้างระบบน้ำที่มั่นคงเพื่อรองรับภัยแล้ง
  • ส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรและธรรมาภิบาลในสหกรณ์
  • กระตุ้นการบริโภคในประเทศและแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า

เชียงรายยังมีศักยภาพมหาศาลในฐานะแหล่งผลิตลำไยระดับประเทศ เพียงแค่ต้องวางรากฐานอย่างเป็นระบบเพื่อไม่ให้ “ปีทอง” กลายเป็น “ปีร่วง”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงพาณิชย์
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ 7-8 พฤษภาคม 2568
  • ข้อมูลจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกร อ.พาน จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลดค่าครองชีพ พาณิชย์คุมราคา เข้มสินค้าจำเป็นทั่วประเทศ

พาณิชย์เดินหน้าคุมราคาสินค้า จัดโครงการลดค่าครองชีพทั่วประเทศ รับมือเศรษฐกิจครัวเรือนช่วงต้นปี 2568

ประเทศไทย, 26 มีนาคม 2568 – กระทรวงพาณิชย์โดยการนำของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งออกมาตรการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมเดินหน้าโครงการลดราคาสินค้าจำเป็น เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในสังคมในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะฟื้นตัว

เฝ้าระวังราคาสินค้า – ย้ำไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ

นายพิชัย เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือกักตุนสินค้า พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1569 โดยประชาชนสามารถร้องเรียนหากพบเห็นการจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร

ราคาสินค้าสำคัญยังทรงตัว – อาหารสดหลายรายการปรับลดลง

จากข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568 โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ราคาสินค้าหลายรายการยังทรงตัว หรือปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า เช่น

  • ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 3.20 บาทต่อฟอง
  • ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาขายปลีกเฉลี่ย 3.50 บาทต่อฟอง
  • ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 40-41 บาทต่อกิโลกรัม
  • น่องติดสะโพกไก่ ราคาเฉลี่ย 78.81 บาทต่อกิโลกรัม
  • อกไก่ติดหนัง ราคาเฉลี่ย 79.50 บาทต่อกิโลกรัม
  • สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 79.70 บาทต่อกิโลกรัม

ในกลุ่มผักสด ราคาส่วนใหญ่ทรงตัว โดยผักที่ราคาลดลง ได้แก่ ผักคะน้า กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว และมะละกอดิบ ขณะที่ผักบางชนิด เช่น ผักชีและกระชาย มีการปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลผลิต

ขับเคลื่อนโครงการลดค่าครองชีพ ครอบคลุมทุกกลุ่ม

เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น

  • โครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 30 เมษายน 2568 มอบส่วนลดพิเศษให้ผู้สูงอายุ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด โดยคาดว่าจะลดภาระค่าครองชีพรวมกว่า 10,000 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท
  • โครงการ Back to School 2025 เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษาในช่วงเปิดเทอม โดยร่วมกับร้านค้าทั่วประเทศ มอบส่วนลดสำหรับอุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบ และสินค้าไอที
  • รถโมบายธงฟ้าเคลื่อนที่ และงานธงฟ้า มีการจัดงานจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดกว่า 50 จุดในเขตกรุงเทพฯ และขยายไปยังต่างจังหวัดอย่างครอบคลุมทุกภูมิภาค

คุมเข้มราคาสินค้า มีบทลงโทษชัดเจน

กระทรวงพาณิชย์ยังคงเข้มงวดกับการควบคุมราคาสินค้าและบริการ หากพบการกระทำผิด เช่น การฉวยโอกาสขึ้นราคา การกักตุน หรือปฏิเสธการขายสินค้า จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน
เห็นว่ามาตรการของกระทรวงพาณิชย์มีส่วนช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวที่มีรายได้น้อย การออกโครงการลดราคาสินค้าในช่วงเปิดเทอมถือว่าตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดี ขณะที่การควบคุมราคาสินค้าพื้นฐานช่วยให้ตลาดยังคงสมดุลระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
แม้จะมีโครงการลดราคาสินค้า แต่ยังมีข้อท้วงติงว่าโครงการบางส่วนครอบคลุมพื้นที่จำกัด และไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทุกหมวดที่จำเป็น เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง หรือสินค้าสดบางประเภทที่ราคาผันผวนรวดเร็ว การติดตามและควบคุมราคาในตลาดจริงยังต้องอาศัยกลไกภาคประชาชนและเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง (มีนาคม 2568)

ประเภทสินค้า

ราคาขายเฉลี่ย

แนวโน้ม

ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม

3.20 บาท/ฟอง

ทรงตัว

ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม

40-41 บาท/กก.

ลดลงเล็กน้อย

น่องติดสะโพก

78.81 บาท/กก.

ลดลง

สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม

79.70 บาท/กก.

ทรงตัว

ผักคะน้า

25.00 บาท/กก.

ลดลง

ผักชี

120.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

กระชาย

90.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (ประกาศราคาสินค้ารายสัปดาห์ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568)

  • เว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ www.commerce.go.th

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ – รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2568

  • สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

รมว.พาณิชย์แก้ราคาข้าว ชดเชยไร่ละพัน เร่งส่งออกข้าว

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ พร้อมวางแนวทางยกระดับรายได้เกษตรกร

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – นายพิชัย นริททะพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และตระหนักถึงความเดือดร้อนของชาวนา โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

รมว.พาณิชย์ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงเกิดจาก ประเทศอินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ระงับการส่งออกบางส่วน ส่งผลให้ปริมาณข้าวในตลาดโลกล้นเกินและกดดันราคาข้าวไทย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีมาตรการรองรับโดยการผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ

แนวทางเร่งด่วนในการช่วยเหลือชาวนา

  1. ผลักดันการส่งออกข้าวไทย
    กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งขยายตลาดส่งออก โดยขณะนี้ได้มีการ เจรจาขายข้าวปริมาณ 280,000 ตันให้กับจีน และอีก 370,000 ตันให้กับตลาดแอฟริกา ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการส่งออกและลดผลกระทบจากราคาข้าวที่ตกต่ำ
  2. มาตรการชดเชยรายได้ชาวนา
    รัฐบาลได้อนุมัติ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรโดยการจ่ายเงินชดเชยไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเกษตรกรที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งมาตรการดังกล่าวถือเป็นการช่วยเหลือในระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

แนวทางระยะยาวเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาวนา

รมว.พาณิชย์กล่าวว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้เกษตรกรพึ่งพาเพียงมาตรการชดเชยระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องการให้ ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ข้าวไทย โดยมีแนวทางดังนี้

  • พัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพสูง เพื่อให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น
  • ส่งเสริมการแปรรูปข้าว เช่น การผลิตข้าวออร์แกนิก ข้าวเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์จากข้าวที่มีมูลค่าสูง
  • กระจายตลาดส่งออกข้าวไทยไปยังประเทศใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร เช่น ระบบชลประทาน การเก็บรักษาข้าว และระบบโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยและแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

รมว.พาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงขยายตัว โดยปี 2567 ที่ผ่านมา การส่งออกของไทยเติบโต 5.4% และในเดือนมกราคม 2568 การส่งออกขยายตัวขึ้นอีก 13.6% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการค้าระหว่างประเทศยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย

นอกจากนี้ การลงทุนจากต่างประเทศและการท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ปัญหาหลักที่ยังต้องเร่งแก้ไขคือ ภาวะหนี้สินในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจลดลง

แนวทางแก้ปัญหาหนี้สินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

รมว.พาณิชย์เสนอว่า การแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลมีแนวทางในการช่วยเหลือ เช่น

  • มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ โดยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาขยายระยะเวลาการชำระหนี้สำหรับประชาชนที่มีภาระหนี้สูง
  • กระตุ้นเงินลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อนำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย
  • สนับสนุนธุรกิจ SME และเศรษฐกิจฐานราก ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและปรับตัวรับการแข่งขันในตลาด

รมว.พาณิชย์ระบุว่า หากสามารถดำเนินมาตรการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตในระดับ 4-5% ต่อปี

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่สนับสนุน
กลุ่มที่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลมองว่า การช่วยเหลือเกษตรกรผ่านการชดเชยรายได้เป็นมาตรการที่เหมาะสมในระยะสั้น ขณะที่การพัฒนาสายพันธุ์ข้าวและกระจายตลาดส่งออกในระยะยาว จะช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น

ฝ่ายที่เห็นต่าง
บางฝ่ายมองว่า มาตรการชดเชยไร่ละ 1,000 บาท เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และอาจไม่สามารถช่วยให้เกษตรกรพ้นจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำได้ในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลว่ามาตรการส่งออกข้าวไปยังประเทศจีนและแอฟริกา อาจไม่สามารถชดเชยความต้องการที่ลดลงของตลาดโลกได้ทั้งหมด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ข้าวไทย

  • ปริมาณการส่งออกข้าวไทย ปี 2567 – ประมาณ 5 ล้านตัน
  • ราคาข้าวขาว 5% ของไทย (ก.พ. 2568) – ประมาณ 560 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
  • ราคาข้าวอินเดีย (ก.พ. 2568) – ประมาณ 520 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
  • การชดเชยรายได้เกษตรกร – ไร่ละ 1,000 บาท (ไม่เกิน 10 ไร่)
  • อัตราการเติบโตของการส่งออกข้าวไทย6% ในเดือนมกราคม 2568

บทสรุป

รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำผ่านมาตรการเร่งด่วน เช่น การชดเชยรายได้และการผลักดันส่งออกข้าว ขณะเดียวกันก็วางแนวทางระยะยาวเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยให้มีความสามารถแข่งขันสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญ ทั้งในแง่ของปัจจัยตลาดโลกที่ไทยควบคุมไม่ได้ และปัญหาโครงสร้างหนี้ภายในประเทศที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวม

ดังนั้น ความสำเร็จของมาตรการต่างๆ จะขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พาณิชย์ลงพื้นที่ช่วยเกษตรกรขายสับปะรด-หอมใหญ่

รมว.พาณิชย์ ติดตามโครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ เยี่ยมตลาดล้านเมือง เชียงราย

เชียงราย, 12 กุมภาพันธ์ 2568 – นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะลงพื้นที่ตลาดล้านเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามโครงการ “ชูใจ วัยเก๋า 60+” ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนให้ผู้สูงอายุสามารถใช้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคภายในตลาด โดยมีบรรยากาศการจับจ่ายที่คึกคักจากประชาชนและผู้สูงวัยที่ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 10,000 บาทจากรัฐบาล

รมว.พาณิชย์ลงพื้นที่ ตรวจสอบราคาสินค้า และพบปะประชาชน

นายพิชัย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ อาทิ นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้รับการต้อนรับจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นายไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการตลาด พร้อมทั้งพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนจำนวนมากที่เดินทางมาจับจ่ายใช้สอยภายในตลาด

รมว.พาณิชย์ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบราคาสินค้าในตลาด โดยเฉพาะสินค้าสด เช่น ผักสด ผลไม้ และเนื้อสัตว์ เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบด้านเศรษฐกิจและนโยบายช่วยเหลือผู้สูงอายุจากภาครัฐ

กระทรวงพาณิชย์หนุนเกษตรกร รับซื้อหอมหัวใหญ่-สับปะรดภูแล

นอกจากการติดตามโครงการ “ชูใจ วัยเก๋า 60+” แล้ว นายพิชัยยังได้ตรวจสอบสถานการณ์การจำหน่ายหอมหัวใหญ่และสับปะรดภูแล ซึ่งเป็นสินค้าทางการเกษตรที่สำคัญของภาคเหนือ โดยกรมการค้าภายในได้ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน 23 ราย เช่น Tops, Go Wholesale, The Mall, Makro, Lotus’s, Big C รวมถึงสถานีบริการน้ำมัน PT, OR, Bangchak, Shell และ Susco เพื่อรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่เชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน

ปล่อยขบวนคาราวาน 60 ตัน ขยายตลาดสับปะรดภูแลสู่ต่างประเทศ

ภายในงาน กระทรวงพาณิชย์ยังได้จัดกิจกรรมปล่อยขบวนคาราวานสินค้าสับปะรดภูแลจำนวน 60 ตัน เพื่อนำไปแปรรูปและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจีน ขณะที่การรับซื้อหอมหัวใหญ่เริ่มต้นจากสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่บ้านกาดพัฒนา อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 100 ตัน และจะทยอยรับซื้อเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

แนวทางบริหารจัดการผลผลิตเกษตรกรไทย

กระทรวงพาณิชย์สั่งการให้กรมการค้าภายในติดตามและประเมินสถานการณ์การผลิตและการตลาดของหอมหัวใหญ่และสับปะรดภูแลร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเร่งกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ ผ่านร้านธงฟ้า โมบายธงฟ้า และช่องทางค้าปลีกต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาราคาตกต่ำและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกร

สับปะรดภูแลและหอมหัวใหญ่ ออกสู่ตลาดช่วงใด?

  • สับปะรดภูแล : ออกสู่ตลาดมากช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน และธันวาคม-กุมภาพันธ์
  • หอมหัวใหญ่ : ออกสู่ตลาดมากช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม

สรุป

การลงพื้นที่ของ รมว.พาณิชย์ครั้งนี้ สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการช่วยเหลือทั้งผู้บริโภคและเกษตรกร โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่และสับปะรดภูแล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนในการขยายตลาดและรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่อง นโยบายดังกล่าวคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและสร้างเสถียรภาพทางการตลาดให้กับสินค้าการเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือของไทย

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. โครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ คืออะไร?โครงการนี้เป็นโครงการสนับสนุนผู้สูงอายุที่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาทจากรัฐบาล ให้สามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ

 

  1. ทำไมกระทรวงพาณิชย์ถึงสนับสนุนการรับซื้อสับปะรดภูแลและหอมหัวใหญ่?เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่เหมาะสม และป้องกันปัญหาผลผลิตล้นตลาด

 

  1. ตลาดล้านเมืองมีจุดเด่นอะไร?ตลาดล้านเมืองเป็นตลาดกลางที่ได้รับการส่งเสริมจากกรมการค้าภายใน มีสินค้าสดที่มีคุณภาพและราคายุติธรรม

 

  1. ขบวนคาราวานสินค้าสับปะรดภูแลคืออะไร?เป็นโครงการที่ช่วยส่งออกและกระจายสับปะรดภูแลไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจีน

 

  1. สับปะรดภูแลและหอมหัวใหญ่ออกสู่ตลาดช่วงใด?สับปะรดภูแลออกสู่ตลาดมากช่วงเมษายน-มิถุนายน และธันวาคม-กุมภาพันธ์ ส่วนหอมหัวใหญ่ออกสู่ตลาดมากช่วงกุมภาพันธ์-มีนาคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์เข้มแก้ปัญหานอมินี คุ้มครองธุรกิจไทยทั่วประเทศ

พาณิชย์ลุยแก้ปัญหานอมินี เดินหน้าบังคับใช้กฎหมายเข้ม

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้แสดงความห่วงใยในปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือ “นอมินี” ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายและอาชญากรรมทางออนไลน์ รัฐบาลจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมีนายพิชัย เป็นประธาน และได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เพื่อจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบ

การลงมือปฏิบัติการและแผนงานในอนาคต

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อเชื่อมโยงระบบข้อมูลนิติบุคคลกับฐานข้อมูลตำรวจกลาง (Big Data) โดยตั้งเป้าปราบปรามบัญชีม้านิติบุคคลและธุรกิจนอมินีให้หมดสิ้น ล่าสุด มีการเปิดปฏิบัติการตรวจค้น 46 จุดทั่วประเทศ พบการกระทำผิดของนิติบุคคล 442 บริษัท รวมทุนจดทะเบียน 1,189 ล้านบาท และความเสียหายกว่า 3,600 ล้านบาท

ธุรกิจที่กระทำผิดรวมถึงร้านค้า ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต โกดังสินค้า ร้านรับแลกเงินตราต่างประเทศ และการถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยผิดกฎหมาย บางบริษัทไม่มีการดำเนินกิจการจริง และใช้บัญชีม้านิติบุคคลรับโอนเงินจากกลุ่มมิจฉาชีพ

การประชุมครั้งสำคัญและเป้าหมายในอนาคต

ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อเร่งออกมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม

นายพิชัย ยังสั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนธุรกิจ ป้องกันการใช้บัญชีม้านิติบุคคลเพื่อหลอกลวงประชาชน พร้อมเฝ้าระวังและตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่อาจเป็นนอมินี โดยร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอย่างใกล้ชิด

แนวทางการป้องกันและผลลัพธ์ที่คาดหวัง

เป้าหมายสำคัญของการดำเนินการครั้งนี้คือการปกป้องผู้ประกอบการไทย ลดปัญหาทางสังคม และป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยเสียหายจากธุรกิจนอมินีและบัญชีม้านิติบุคคล พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในระบบธุรกิจไทยให้มั่นคงและโปร่งใสในระยะยาว

กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มาตรการต่าง ๆ บรรลุผลและสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการไทยทุกกลุ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พิชัยลุยด่านแม่สาย เร่งแก้ปัญหาการค้าชายแดน กระตุ้นเศรษฐกิจไทย

“พิชัย” ลงพื้นที่ด่านแม่สาย เร่งแก้อุปสรรคการค้าชายแดน ตั้งเป้าปี 70 สร้างเงิน 2 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่ด่านศุลกากรแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์และเร่งขับเคลื่อนการค้าชายแดน พร้อมทั้งประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เพื่อแก้ไขอุปสรรคและผลักดันศักยภาพการค้าชายแดนของประเทศไทย

ปีทองการค้าชายแดน: ผลักดันการค้า-สร้างเศรษฐกิจไทย

นายพิชัยเปิดเผยว่า ปี 2567 ถือเป็น “ปีทองของการค้าชายแดน” โดยในช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยมีมูลค่ารวมกว่า 1,514,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.18 จากปีก่อนหน้า โดยเป็นการส่งออกมูลค่า 872,043 ล้านบาท และการนำเข้า 642,794 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยได้ดุลการค้า 229,248 ล้านบาท

กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าชายแดนให้แตะ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ภายในปี 2570 ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าชายแดนและการลงทุนชายแดน ปี 2567-2570

เร่งเปิดด่าน เชื่อมโยงการค้าไทย-เมียนมา-ลาว-จีน

ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีจุดผ่านแดนที่เปิดใช้งานแล้ว 86 แห่ง จากทั้งหมด 94 แห่ง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิด 73 แห่ง นายพิชัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปิดด่านเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงการค้าในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา และจีน โดยเฉพาะด่านแม่สาย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สามารถเชื่อมโยงการค้าระหว่างไทยและเมียนมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยกระดับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน

นายพิชัยกล่าวถึงการพิจารณายกระดับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน เพื่อรองรับการค้ากับจีน โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้ ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ด่านกวนเหลี่ยในจีนรองรับผลไม้ไทยแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ในช่วง 10 เดือนแรก ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีมูลค่าการค้าชายแดนรวมกว่า 5,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.53 จากปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นการส่งออก 5,650 ล้านบาท และการนำเข้า 312 ล้านบาท

ผลักดันมหกรรมการค้าและพัฒนาชายแดนอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงพาณิชย์ยังวางแผนจัดมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศในปี 2568 รวมทั้งหมด 6 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ยังได้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเปิดด่านเพิ่มเติมทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

เน้นคุณภาพสินค้า ควบคุมสินค้าด้อยคุณภาพ

นายพิชัยกล่าวถึงบทบาทของกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการค้า รวมถึงการป้องกันสินค้านำเข้าด้อยคุณภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค พร้อมกำชับให้ด่านศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ

ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน

นายพิชัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อแก้ไขอุปสรรคการค้า พร้อมให้คำมั่นว่า กระทรวงพาณิชย์พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่

บทสรุป

การลงพื้นที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ในครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเป้าหมายสร้างมูลค่าการค้า 2 ล้านล้านบาทในปี 2570 และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งขึ้นอย่างแท้จริง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กระทรวงพาณิชย์ผลักดันสินค้าชุมชนเชียงราย คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ลงพื้นที่เชียงราย ดันสินค้าชุมชน-ท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ตลาดโลก

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรมทรัพย์สินทางปัญญา ลงพื้นที่ YAYO FARM บ้านดอยช้าง ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เพื่อพบปะและหารือร่วมกับผู้ประกอบการในโครงการส่งเสริมสินค้าชุมชนในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรม โดยได้รับการต้อนรับจากนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการในพื้นที่ที่เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

เร่งเสริมแกร่งสินค้าชุมชน เชื่อมตลาดด้วยแบรนด์และทรัพย์สินทางปัญญา

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ กล่าวว่ากระทรวงพาณิชย์มีนโยบายผลักดันสินค้าชุมชนให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเน้นการรวบรวมสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ เช่น ชา กาแฟ และของใช้อุปโภคบริโภคต่างๆ มาเชื่อมโยงสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศ กระทรวงได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสร้างแบรนด์ของตัวเอง พร้อมทั้งจัดนักออกแบบมืออาชีพมาให้คำแนะนำด้านการออกแบบแพ็กเกจจิ้งและจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า

“กระทรวงฯ ให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่พูดคุยเพื่อรับทราบปัญหาและอุปสรรคของผู้ประกอบการ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เตรียมงบประมาณไว้สนับสนุนและแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เราเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้สินค้าชุมชน สินค้า SME ของเชียงรายและภาคเหนือเติบโตแข็งแรงมากขึ้น โดยเฉพาะชาและกาแฟที่มีชื่อเสียงในระดับโลก” นายนภินทร กล่าว

เสริมแกร่งการท่องเที่ยวผ่านสินค้าท้องถิ่น เชื่อมโยงเส้นทางชา-กาแฟ

ด้านนายวิสูตร บัวชุม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่โดดเด่นจากแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนภูเขา เช่น ผ้าทอพื้นเมือง รวมถึงชาและกาแฟซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอย่างมาก

ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้พัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อโปรโมตชาและกาแฟ เช่น ดอยช้าง ดอยผาฮี้ ดอยผาแม่มอญ และปางขอน โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปสัมผัสธรรมชาติและเรียนรู้วิถีชีวิตของคนในพื้นที่ รวมถึงมีโอกาสดื่มชาและกาแฟจากแหล่งปลูกโดยตรง ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ

“ในช่วงเดือนธันวาคม 2567 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 เราจะมีโปรโมชั่นพิเศษเชิญชวนนักท่องเที่ยวมาพักค้างที่เชียงราย พร้อมสิทธิ์รับส่วนลดจากร้านคาเฟ่ที่ร่วมรายการ นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราพยายามกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น” นายวิสูตร กล่าว

เชียงราย: ศูนย์รวมศักยภาพผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์

เชียงรายไม่เพียงแต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีธรรมชาติสวยงาม แต่ยังเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยศักยภาพในด้านผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ที่สามารถเติบโตในตลาดโลกได้ ผลิตภัณฑ์อย่างชาและกาแฟซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ สามารถเป็นตัวแทนที่สะท้อนถึงความโดดเด่นทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น

ในโอกาสนี้ การสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เชียงรายเป็นจังหวัดต้นแบบที่เชื่อมโยงสินค้าชุมชนเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

สรุป

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมสินค้าชุมชน แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงระหว่างทรัพย์สินทางปัญญาและการตลาดสู่ความยั่งยืนของเศรษฐกิจท้องถิ่น พร้อมสนับสนุนเชียงรายให้ก้าวสู่เวทีระดับโลกในฐานะจังหวัดที่เต็มไปด้วยศักยภาพด้านสินค้าและการท่องเที่ยวสร้างสรรค์.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE