
วิกฤตลำไยภาคเหนือส่อรุนแรง ผลผลิตพุ่งแตะ 1.69 ล้านตัน ราคาดิ่งต่ำสุดรอบ 11 ปี กระทรวงพาณิชย์เดินหน้ามาตรการเร่งด่วน หวังประคองรายได้เกษตรกร
เชียงราย, 2 สิงหาคม 2568 – ในปี 2568 ภาคเหนือของไทยกำลังเผชิญกับ “พายุผลผลิตลำไย” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งปริมาณที่ล้นตลาดและราคาที่ร่วงต่ำสุดในรอบกว่าทศวรรษ ทำให้ชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกว่า 210,000 ครัวเรือนในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และพื้นที่ใกล้เคียงเผชิญภาวะวิกฤตหนัก ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า ราคาลำไยเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมปีนี้ตกลงมาอยู่ที่เพียง 14 บาทต่อกิโลกรัม ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 11 เดือน นำไปสู่การเร่งออกมาตรการฉุกเฉินของกระทรวงพาณิชย์และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วิกฤตผลผลิตล้นตลาด จาก “ปีทอง” สู่ “ปีหนักใจ” เกษตรกร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ถึงปัจจัยเบื้องหลังการดิ่งของราคาลำไยในปีนี้ พบว่า “สภาพอากาศเอื้ออำนวย” ตลอดช่วงต้นปีทำให้ต้นลำไยออกดอกและติดผลดีมากกว่าทุกปี ส่งผลให้ผลผลิตพุ่งสูงถึง 1.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 19% จากปีก่อนหน้า และมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังถึง 1.2 เท่า
นอกจากนี้ เกษตรกรยังเพิ่มการใช้สารกระตุ้นและบำรุงต้นจากแรงจูงใจของราคาที่ดีในปี 2566-67 ผลที่ตามมาคือ ปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น 17.2% (จาก 856 เป็น 1,012 กิโลกรัม/ไร่) กลายเป็น “ผลไม้ล้นสวน” ในทุกหมู่บ้าน
แต่ในด้านเศรษฐกิจ กลับพบว่ารายได้เกษตรกรลดลงเฉลี่ย 23.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะราคาขายตกต่ำสวนทางกับต้นทุนที่สูงขึ้น อีกทั้งการส่งออกลำไยสดของไทยที่เคยเติบโตสูงถึง 20.5% กลับชะลอตัวเหลือเพียง 4.7% เท่านั้นในปีนี้
ภาครัฐอัดฉีดมาตรการ “อุ้มลำไย” ทั่วภาคเหนือ
ท่ามกลางสัญญาณเตือนจากตลาด กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในได้เร่งประชุมวอร์รูมและออกมาตรการเชิงรุกโดยทันที นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายในเปิดเผยว่า หน่วยงานรัฐได้จับมือกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เปิดจุดรับซื้อลำไยเพิ่มในพื้นที่วิกฤต เช่น เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย (โดยเฉพาะอำเภอสันป่าตอง จอมทอง ลี้ ป่าซาง พาน เทิง) พร้อมตั้งเป้าเพิ่มจุดรับซื้อให้ได้ 200 จุดใน 7 จังหวัดภาคเหนือ
มาตรการเด่นประกอบด้วย
- เปิดจุดรับซื้อและร่อนลำไยเพื่อระบายผลผลิตด่วน
- จัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคลำไย และเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ซื้อรายใหญ่ (เช่น CSR กับบริษัทเอกชน โรงงานแปรรูป ฯลฯ)
- สนับสนุนกล่องบรรจุภัณฑ์ไปรษณีย์ฟรี ส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์-ออฟไลน์
- ประสานขายผ่านช่องทางใหม่ทั้งปั๊มน้ำมัน ตู้เต่าบิน สายการบินไทยแอร์เอเชีย และพันธมิตรค้าปลีก
- วางเครือข่ายวอร์รูมเพื่อรายงานสถานการณ์และประสานการช่วยเหลือแบบเรียลไทม์
นายกรนิจเน้นย้ำว่า เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรที่ประสบปัญหาการระบายผลผลิต สามารถแจ้งได้โดยตรงที่กรมการค้าภายในหรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อให้เข้าถึงมาตรการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
ความท้าทายและบทเรียน “เกษตรไทย” สู่อนาคต
แม้มาตรการฉุกเฉินของภาครัฐจะช่วยบรรเทาวิกฤตในระยะสั้น แต่ปัญหาพื้นฐานของลำไยไทยคือ “การพึ่งพาการขายผลสด” ที่ยังขาดการแปรรูป เพิ่มมูลค่า และขยายตลาดใหม่ในระยะยาว
- ความเสี่ยงจากฤดูการผลิตที่ซ้ำซ้อน – หากไม่มีการวางแผนร่วมกันระหว่างเกษตรกร โรงงาน ผู้ส่งออก ตลาดก็จะล้นปีเว้นปี วิกฤตราคาก็จะเกิดซ้ำ
- การขาดความหลากหลายของสินค้า – ตลาดหลักของลำไยสดคือจีน ซึ่งปีนี้อุปสงค์ชะลอตัวจากเศรษฐกิจภายในประเทศและนโยบายกีดกันสินค้าต่างชาติ
- ต้นทุนการขนส่งและปัญหาโลจิสติกส์ – เมื่อโรงอบเต็มหรือระบายผลผลิตไม่ทัน เกษตรกรต้องขายขาดทุนหรือทิ้งผลผลิตเสียเปล่า
- ขาดแรงจูงใจแปรรูปหรือปลูกพืชทางเลือก – การลงทุนแปรรูปลำไยยังมีน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณผลผลิต
เส้นทางสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรแนะว่า การขยายตลาดใหม่ เช่น การส่งออกลำไยอบแห้งไปยังอินเดีย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา การสร้างแบรนด์ GI ลำไยไทย การผลักดันโรงงานแปรรูปขนาดเล็กในชุมชน และการวางแผนปลูกพืชหมุนเวียนคือหนทางที่ควรเดินคู่กับมาตรการอุ้มราคาทุกปี
เช่นเดียวกับที่จังหวัดเชียงรายเริ่มจัด “ตลาดลำไยกระท้อน” ให้เกษตรกรขายตรง ลดพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง ต่อยอดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรและตลาดสินค้าชุมชน ซึ่งเป็นแบบอย่างการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องการแรงสนับสนุนต่อเนื่อง
บทเรียนจาก “ลำไยพีคซีซั่น” สะท้อนเส้นทางปรับตัวของเกษตรไทย
แม้ภาครัฐและทุกฝ่ายจะทุ่มมาตรการฉุกเฉินเต็มที่ในปี 2568 แต่การเดินหน้าสร้างมูลค่าเพิ่ม และปรับกลยุทธ์เชิงระบบสำหรับเกษตรกรยังคงเป็นหัวใจสำคัญ เพราะหากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขเชิงลึก วิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำก็จะยังคงวนซ้ำไปอีกหลายปีข้างหน้า
การปรับตัวของเกษตรกรจากภายใน ด้วยการเน้นความยืดหยุ่นของการปลูกพืช ผลิตสินค้าแปรรูป และขยายตลาดใหม่ จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เกษตรกรไทยยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในสภาวะตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
- กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
- สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย