Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ภัยพิบัติถล่มภูชี้ฟ้า! ดินสไลด์ตัดขาดถนน 1093 แขวงทางหลวงเร่งกู้ หินยักษ์ขวาง

ภัยพิบัติถล่มภูชี้ฟ้าดินสไลด์ตัดขาดถนน 1093! แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 เร่งกู้สถานการณ์ เปิดเส้นทาง 1 เลนแล้ว หินยักษ์หนักเท่าตึก 3 ชั้นรอเคลียร์!

เชียงราย, 14 กรกฎาคม 2568 – ภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่โหยหาความงามของทะเลหมอกยามเช้าตรู่ ต้องเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งสำคัญ เมื่อฝนกระหน่ำหนักส่งผลให้เกิดดินสไลด์ขนาดใหญ่ พัดพาก้อนหินยักษ์และต้นไม้ลงมาขวางถนนหลวงหมายเลข 1093 เส้นทางหลักสู่ยอดภูชี้ฟ้า ทำให้การสัญจรถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลาหลายชั่วโมง

นายอนุศิลป์ ตันหล้า หัวหน้าหน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดของการแก้ไขสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเปราะบางทางธรณีวิทยาของพื้นที่ที่มีความสำคัญทางการท่องเที่ยวแห่งนี้

นายอนุศิลป์ ตันหล้า หัวหน้าหน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2

การรับมือกับหินยักษ์ภารกิจข้ามเดือนและความท้าทายทางธรณีวิทยา

ทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่จากแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 ได้ระดมกำลังและเครื่องจักรหนักเข้าพื้นที่ ร่วมกับทหารจากกองกำลังผาเมือง และความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อเร่งดำเนินการตัดต้นไม้และเคลียร์ดินที่สไลด์ลงมา เบื้องต้นสามารถเปิดเส้นทางการสัญจรได้แล้ว 1 ช่องจราจร บรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่ยังคงติดค้างได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญคือก้อนหินขนาดมหึมาที่ตกลงมาขวางถนน ซึ่งมีขนาดประมาณ 3-4 เมตร สูง และ 2-3 เมตร กว้าง ตามรายงานจากพื้นที่ หรือตามการประเมินของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ระบุว่าสูงถึง 10 กว่าเมตร กว้าง 6-8 เมตร ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข

สถานการณ์หินยักษ์ที่ขวางเส้นทางเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย นายอนุศิลป์ยืนยันว่า จากการประเมินเบื้องต้น ก้อนหินดังกล่าวมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากเกินกว่าที่จะสามารถใช้รถเครนยกออกไปได้ทั้งหมด ทางแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 จึงได้ประสานงานเพื่อนำรถแบคโฮติดหัวเจาะเข้ามาดำเนินการสกัดก้อนหินให้เป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายออกไป

“เรากำลังประสานงานกับรถแบคโฮติดหัวเจาะเพื่อขึ้นมาดำเนินการ ตอนนี้ก็เปิดให้รถผ่านได้ 1 ช่องจราจรไปก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้าน” นายอนุศิลป์ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในระยะสั้น

คาดการณ์ว่ากระบวนการนี้อาจต้องใช้เวลาดำเนินการอย่างน้อย 1 สัปดาห์หากสามารถใช้เครนยกได้ แต่หากต้องทำลายหินเป็นชิ้นเล็ก อาจใช้เวลานานถึง 1 เดือน เนื่องจากยังพบหินขนาดใหญ่อื่นๆ อีก 2-3 ก้อนในบริเวณใกล้เคียง

ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและแผนการซ่อมแซม

นอกจากก้อนหินยักษ์แล้ว ยังพบรอยแยกบนผิวถนนยาวประมาณ 20 เมตร ซึ่งเกิดจากแรงกระแทกของหินที่ตกลงมา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ประเมินแล้วว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานในระยะสั้น รถยนต์และรถจักรยานยนต์ยังสามารถผ่านไปมาได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม การซ่อมแซมในระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับผิวจราจรและโครงสร้างพื้นฐานบริเวณดังกล่าว จำเป็นต้องรอการอนุมัติงบประมาณการก่อสร้างก่อน ซึ่งอาจใช้เวลาในการดำเนินการระบบราชการตามปกติ

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเตือนผู้ขับขี่ให้ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อผ่านบริเวณดังกล่าว และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสภาพเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ

ถนนหมายเลข 1093 จากยุทธศาสตร์การรบสู่เส้นทางท่องเที่ยวอันงดงาม

ถนนหมายเลข 1093 ไม่ได้เป็นเพียงเส้นทางสัญจรธรรมดา แต่ยังเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาคนี้ ในอดีตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ถึง พ.ศ. 2527 ถนนเส้นนี้เคยเป็น “ถนนสายยุทธศาสตร์ทางการรบ” ที่ใช้ในการปราบปรามการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนและเจ้าหน้าที่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถในปี พ.ศ. 2525 ได้นำมาซึ่งสันติภาพและการพัฒนาชุมชนตามแนวชายแดนในที่สุด

ปัจจุบัน ถนน 1093 ได้เปลี่ยนบทบาทจากถนนแห่งความขัดแย้งมาเป็น “ถนนสายยุทธศาสตร์ทางการท่องเที่ยว” อย่างสมบูรณ์ เส้นทางที่ทอดยาวคดเคี้ยวไปตามแนวเทือกเขาดอยผาหม่นนี้ เป็นแกนหลักที่เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ภูชี้ฟ้า ภูชี้ดาว ภูชี้เดือน ดอยผาหม่น และดอยผาตั้ง ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีทิวทัศน์อันงดงามของทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น และแนวเทือกเขาสลับซับซ้อนทั้งฝั่งไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมถึงแม่น้ำโขงที่ไหลเป็นแนวกั้นดินแดน

การเดินทางจากตัวเมืองเชียงรายสู่ภูชี้ฟ้า สามารถทำได้หลายเส้นทาง โดยเส้นทางหลักที่แนะนำคือผ่านอำเภอเทิง ใช้ทางหลวงหมายเลข 1020, 1021, 1155 และ 1093 ระยะทางรวมประมาณ 110-112 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.5-3 ชั่วโมง แม้ถนนส่วนใหญ่จะเป็นลาดยางสภาพดี แต่ช่วงท้ายของเส้นทางเมื่อเข้าใกล้ภูชี้ฟ้าจะเริ่มคดเคี้ยวและชันมาก ผู้ขับขี่ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในหน้าฝนที่ถนนอาจลื่นได้

ธรณีวิทยาภูชี้ฟ้าความงามที่ซ่อนเร้นและความเสี่ยงจากธรรมชาติ

เหตุการณ์ดินสไลด์ครั้งนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความเปราะบางทางธรณีวิทยาของภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกหล่อหลอมมาจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอันยาวนานและซับซ้อน ภูชี้ฟ้ามีลักษณะเป็นหน้าผาชันที่เกิดบนเขาเควสตา ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่ลาดเอียงตามแนวเอียงของชั้นหินที่รองรับอยู่ข้างใต้

หินในบริเวณนี้ประกอบด้วยกลุ่มหินตะกอนและหินตะกอนกึ่งหินแปร ซึ่งมีอายุทางธรณีกาลเก่าแก่มาก ย้อนไปราว 355-250 ล้านปี หรืออยู่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส-เพอร์เมียน ชนิดหินหลักที่พบในภูชี้ฟ้าได้แก่ หินปูน, หินฟิลไลต์, หินชีสต์, หินทรายแป้ง, หินทราย, หินกรวดมน และหินดินดาน

การมีซากดึกดำบรรพ์จำพวกเซฟาโลพอด, ฟอแรม, แบรคีโอพอด และออสทราคอดในหินเหล่านี้ ช่วยยืนยันอายุและสภาพแวดล้อมการกำเนิดของหิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสภาพแวดล้อมทางทะเล ภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์ของภูชี้ฟ้า ทั้งรูปทรงคล้ายนิ้วชี้ฟ้าและหน้าผาที่สูงชัน ล้วนเป็นผลมาจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก โดยเฉพาะการที่แผ่นเปลือกโลกอินเดียชนกับแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียเมื่อประมาณ 40 ล้านปีที่แล้ว

การทำความเข้าใจประวัติทางธรณีวิทยาอันเก่าแก่และซับซ้อนนี้ ไม่เพียงเพิ่มมิติทางความรู้ให้กับการท่องเที่ยว แต่ยังช่วยให้เราตระหนักถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับความงามของธรรมชาติ

ข้อเสนอเชิงนโยบายและการรับมือในระยะยาว

เหตุการณ์ดินสไลด์ครั้งนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีความเปราะบางทางธรณีวิทยาอย่างยั่งยืน เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความปลอดภัยให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น

การสำรวจและประเมินความเสี่ยงเชิงรุกจึงมีความสำคัญ โดยจำเป็นต้องจัดทำแผนที่ธรณีวิทยาและธรณีเทคนิคโดยละเอียด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพยากรธรณี ควรทำงานร่วมกับแขวงทางหลวงและหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อจัดทำแผนที่แสดงพื้นที่เสี่ยงดินสไลด์ รอยเลื่อน และโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่อาจเป็นอันตรายในบริเวณถนน 1093 และพื้นที่ภูชี้ฟ้าทั้งหมด

การติดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา โดยติดตั้งระบบตรวจวัดปริมาณน้ำฝน ความชื้นในดิน และการเคลื่อนตัวของมวลดินในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนและอพยพประชาชนได้ทันท่วงทีในกรณีที่คาดว่าจะเกิดดินสไลด์ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบสภาพพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ

มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ การเสริมความมั่นคงของไหล่ทางและลาดชัน การปรับปรุงระบบระบายน้ำ และการจัดทำแผนฉุกเฉินและเส้นทางเลี่ยง หน่วยงานท้องถิ่นและแขวงทางหลวงควรร่วมกันจัดทำแผนฉุกเฉินสำหรับการรับมือกับภัยพิบัติ และประชาสัมพันธ์เส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านทราบ

การให้ความรู้และสร้างความตระหนักแก่ประชาชน ผ่านการเผยแพร่ข้อมูลความเสี่ยงและข้อควรปฏิบัติ รวมถึงการฝึกอบรมชาวบ้านในการรับมือภัยพิบัติ จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างชุมชนที่มีความพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติ

สถานการณ์ปัจจุบันและการติดตามข่าวสาร

ขณะนี้ ทหารจากกองกำลังผาเมืองได้เข้าร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและชาวบ้านเพื่อช่วยเคลียร์ทางหลวง 1093 ที่กิโลเมตรที่ 68 บริเวณบ้านร่มฟ้าทอง และ ด้วยการสนับสนุนจากแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 ได้นำเครื่องจักรเข้ามาช่วย และขณะนี้สามารถเปิดเส้นทางให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ผ่านได้ 1 ช่องจราจรแล้ว

การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าจากการสไลด์ของหินยักษ์เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก แต่การวางแผนเชิงรุกและนโยบายที่ครอบคลุมในระยะยาวจะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความงดงามทางธรรมชาติของภูชี้ฟ้าให้คงอยู่คู่กับประเทศไทยต่อไป

นักท่องเที่ยวที่วางแผนเดินทางไปภูชี้ฟ้าควรติดตามข่าวสารและสภาพเส้นทางอย่างสม่ำเสมอ ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และพิจารณาเส้นทางเลี่ยงในกรณีที่มีความจำเป็ต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • นายอนุศิลป์ ตันหล้า หัวหน้าหน่วยบำรุงทางภูชี้ฟ้า แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2
  • Chiang Rai Times – “Landslide Blocks The Road Heading To Phu Chi Fa In Chiang Rai” (14 กรกฎาคม 2568)
  • รายงานจากพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและชาวบ้านบริเวณเกิดเหตุ
  • กองกำลังผาเมือง (Pha Muang Task Force)
  • แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2, กรมทางหลวง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก! ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ผู้ว่าเชียงรายนำทัพเปิดเส้นทาง Wellness Trail ครั้งแรก ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ขณะที่ขบวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม “ผู้ว่าเชียงราย พาเที่ยว เพื่อสุขภาพ” ครั้งที่ 1 สู่เส้นทางแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เปี่ยมด้วยประวัติศาสตร์และความหมายต่อชาวเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะลงพื้นที่เพื่อเปิดตัวโครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพควบคู่ไปกับการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ พญาเม็งราย ขุนตาล และเทิง

การเดินทางเพื่อสุขภาพและชุมชน

ในเวลา 08.00 น. คุ้มพญาเม็งรายกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไม่เพียงแต่เน้นการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวิถีชีวิตท้องถิ่นเข้ากับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คณะผู้เข้าร่วม ซึ่งประกอบด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายอำเภอทั้งสามพื้นที่ และหน่วยงานราชการ ได้รับการต้อนรับด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สะท้อนความงดงามของล้านนา ผู้มาเยือนยังได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น แชมพูจากอัญชัน น้ำผึ้งจากบ้านสวนพอเพียง กล้วยอบธัญพืช และสมุนไพรพอกเข่า ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างของการนำทรัพยากรท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

“เราต้องการให้เชียงรายเป็นมากกว่าแค่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่มอบสุขภาพที่ดีและความยั่งยืนให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชน” นายชรินทร์กล่าวขณะเดินชมบูธผลิตภัณฑ์ชุมชน

จากคุ้มพญาเม็งราย คณะเดินทางต่อไปยังบ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan ในอำเภอขุนตาลเมื่อเวลา 10.00 น. ที่นี่ ชาวบ้านได้แบ่งปันเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปโกโก้ ซึ่งกลายเป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ “ARAMP อารัมภ์” ความสำเร็จของชุมชนนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างรายได้จากเกษตรแปรรูปที่ยั่งยืน

ในช่วงบ่าย คณะมุ่งหน้าสู่ไร่รื่นรมย์ อำเภอเทิง ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์และพลังงานสะอาด ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การทำน้ำสมุนไพรออร์แกนิคและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรม DIY ที่สร้างความประทับใจและจุดประกายไอเดียให้ผู้มาเยือน

การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน

โครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้ปี 2568 เป็น “ปีทองแห่งการท่องเที่ยว” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ เส้นทาง Wellness Trail ไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีผ่านการเดินทางและกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์

“การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก และเชียงรายมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น” นายเสริฐ ไชยยานันตา กล่าว “เราต้องการให้ทุกคนที่มาเยือนได้รับทั้งความสุขและสุขภาพที่ดี พร้อมกับช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์การก้าวสู่เมืองแห่งสุขภาพ

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Wellness Trail ที่จะจัดต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2568 โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและบริการด้านการท่องเที่ยว จากข้อมูลย้อนหลัง ปี 2566 เชียงรายมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 46,773.91 ล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.1 ล้านคน การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail นี้คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้ให้สูงกว่า 50,000 ล้านบาทในปี 2568 โดยเฉพาะเมื่อรวมกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรท้องถิ่นและการจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การโปรโมทผ่านแพลตฟอร์ม OTA และการพัฒนาระบบจองท่องเที่ยวออนไลน์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและประสบการณ์ท้องถิ่น

มองไปข้างหน้าเพื่อโอกาสและความยั่งยืน

การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับจังหวัดในฐานะเมืองที่ผสานสุขภาพ วัฒนธรรม และธรรมชาติได้อย่างลงตัว การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและชุมชน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายก้าวสู่การเป็น Wellness City อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย. (2566). รายงานสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2566.
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.). (2568). แผนปฏิรูปการท่องเที่ยว 5 ปี (2568-2573).
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). นโยบายปีทองแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568.
  • ไร่รื่นรมย์. (2568). รายงานกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอินทรีย์ อำเภอเทิง.
  • บ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan. (2568). ข้อมูลผลิตภัณฑ์โกโก้และการท่องเที่ยวชุมชน.
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย. (2568). แผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน.
  • สิงห์ปาร์คเชียงราย. (2568). รายละเอียดการจัดงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ 2568.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ คืนชีพในป่าเชียงราย! พืชหายากโผล่หลังเงียบหายศตวรรษ

การกลับมาของ ‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ Heterostemma brownii พืชหายากโผล่กลางป่าเชียงราย หลังเงียบหายกว่าศตวรรษ – จุดเปลี่ยนเร่งอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ

เรื่องเล่าบนผืนป่าลึกปรากฏการณ์ฟื้นคืนของพืชลึกลับที่หลายคนคิดว่าสาบสูญ

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – กว่าร้อยปีที่โลกพฤกษศาสตร์จารึกชื่อ “Heterostemma brownii” หรือ ‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ ไว้บนรายชื่อสิ่งมีชีวิตหายากอย่างเงียบงัน จนกระทั่งในปี 2562 ความหวังใหม่ก็ถือกำเนิดอีกครั้งจากการค้นพบของ ดร.วรนาถ ธรรมรงค์ นักอนุกรมวิธานพืช สำนักวิจัยและอนุรักษ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (QSBG) และทีมงาน ซึ่งออกสำรวจผืนป่าดิบชื้นในจังหวัดเชียงราย ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นว่าธรรมชาติยังคงมีความลับซุกซ่อนอยู่

“มันเหมือนเราค้นพบขุมทรัพย์ที่คิดว่าสาบสูญไปแล้ว” ดร.วรนาถกล่าวถึงความรู้สึกขณะเผชิญกับดาวทะเลแห่งป่าดิบครั้งแรก พืชชนิดนี้ในอดีตมีรายงานเฉพาะในไต้หวัน จีน และเวียดนาม โดยมีการค้นพบครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) การพบ H. brownii ในไทยครั้งนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยและประเทศลาวเป็นครั้งแรก

ภาพถ่ายและข้อมูลเชิงลึกจากการค้นพบครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Thai Forest Bulletin (Botany) ปี 2563 และเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดย QSBG ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อ 10 กรกฎาคม 2568 จุดประกายความสนใจในแวดวงวิทยาศาสตร์และกลุ่มอนุรักษ์ทั่วประเทศทันที

เสน่ห์แห่ง “ดาวทะเล” บนม่านมอสป่าดิบ

‘Heterostemma brownii’ จัดอยู่ในวงศ์ดอกรัก (Apocynaceae) เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนที่พบเฉพาะในป่าดิบชื้นระดับความสูง 500-1,100 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ลักษณะดอกมีความโดดเด่น กลีบดอกสีเหลืองสดใส 5 แฉกแต้มจุดประแดง และกระบังรอบสีแดงเข้ม 5 แฉกกลางดอก คล้ายดาวทะเลกลางป่ามืด ยิ่งเมื่ออวดโฉมท่ามกลางฤดูฝนในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม พื้นที่ป่าดิบจึงงดงามราวเทพนิยาย

แม้จะค้นพบดอกอันสมบูรณ์ แต่นักวิจัยยังไม่พบผลหรือเมล็ดของ H. brownii จากตัวอย่างที่เก็บรวบรวม นี่คือช่องว่างทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็นต้องเร่งศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจวงจรชีวิต กระบวนการสืบพันธุ์ และเงื่อนไขที่เอื้อต่อการกระจายพันธุ์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญต่อการวางแผนอนุรักษ์ระยะยาว

ความเปราะบางและการไม่ถูกประเมินสถานะ เงื่อนปมของการอนุรักษ์

  1. brownii นับเป็นพืชหายากอย่างแท้จริง และยังไม่มีการประเมินสถานะความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการในบัญชีแดงของ IUCN สาเหตุหลักคือข้อมูลที่ยังไม่เพียงพอและการปรากฏตัวอย่างจำกัดตลอดศตวรรษที่ผ่านมา

“การไม่มีสถานะอนุรักษ์ทำให้พืชชนิดนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อภัยคุกคามโดยตรงและอ้อม” ดร.วรนาถกล่าว โดยภัยที่น่ากังวล ได้แก่

  • การสูญเสียถิ่นที่อยู่: การขยายพื้นที่เกษตรกรรม ตัดไม้ผิดกฎหมาย และอุตสาหกรรมที่รุกรานพื้นที่ป่า
  • การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ: ทำให้อุณหภูมิและปริมาณฝนผันผวนจนระบบนิเวศที่อ่อนไหวอย่าง H. brownii ปรับตัวไม่ทัน
  • มลพิษและชนิดพันธุ์ต่างถิ่น: เคมีเกษตรและการบุกรุกของพืชต่างถิ่นส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของป่าและพันธุ์ไม้หายาก
  • การโจรกรรมชีวภาพ: การลักลอบนำพันธุ์พืชหายากไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

ภัยเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการบูรณาการอนุรักษ์ H. brownii เข้ากับยุทธศาสตร์การปกป้องป่าดิบโดยรวม

ต้นแบบความมุ่งมั่นในงานอนุรักษ์ไทย

องค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (QSBG) จังหวัดเชียงใหม่ ดำรงบทบาทศูนย์กลางของการวิจัยและอนุรักษ์พืชหายากในไทย QSBG ไม่เพียงเก็บรวบรวมพืชพันธุ์ไว้ในสวนและพิพิธภัณฑ์พืชเท่านั้น แต่ยังเน้นงานอนุกรมวิธานและโครงการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อปิดช่องว่างความรู้และขยายผลสู่นโยบายอนุรักษ์ระดับประเทศ

ความสำเร็จในการค้นพบ H. brownii อีกครั้ง ตอกย้ำถึงศักยภาพของทีมวิจัย QSBG และเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น Singapore Botanic Gardens และนักวิทยาศาสตร์จากลาวที่ร่วมศึกษาเส้นทางการกระจายพันธุ์ของพืชชนิดนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ก้าวต่อไปเพื่อ “ดาวทะเลแห่งป่าดิบ”

  1. ประเมินสถานะอนุรักษ์อย่างเป็นทางการ: เร่งสำรวจข้อมูลเพื่อจัดอันดับในบัญชีแดงของ IUCN อาจพิจารณาสถานะ “ข้อมูลไม่เพียงพอ” เพื่อกระตุ้นการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง
  2. วิจัยเชิงลึกทางชีววิทยา: สำรวจวงจรชีวิต กระบวนการสืบพันธุ์ และความต้องการด้านนิเวศวิทยาเพื่อเตรียมแผนฟื้นฟูทั้งในธรรมชาติและนอกพื้นที่
  3. ปกป้องถิ่นที่อยู่: ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า และผลักดันมาตรการคุ้มครองเฉพาะบริเวณที่พบ H. brownii
  4. สร้างเครือข่ายภูมิภาค: ขยายความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์จากจีน ลาว ไต้หวัน เวียดนาม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด
  5. รณรงค์ให้ความรู้ชุมชน: ถ่ายทอดคุณค่าและความสำคัญของระบบนิเวศป่าดิบและ H. brownii สู่เยาวชนและชาวบ้าน สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืน ควบคู่กับการอนุรักษ์

 “ดาวทะเลแห่งป่าดิบ” – จากตำนานสู่ความหวังใหม่ของป่าไทย

การค้นพบ Heterostemma brownii Hayata อีกครั้งในประเทศไทย คือตัวอย่างที่ชี้ชัดว่าธรรมชาติยังมีเรื่องราวซ่อนเร้นอีกมากมาย และความหลากหลายทางชีวภาพยังมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตมนุษย์

การดำเนินนโยบายอนุรักษ์ที่เข้มข้นและต่อเนื่อง คือหนทางเดียวที่จะรักษาพืชพันธุ์ล้ำค่านี้ไว้ให้เป็นสมบัติของป่าฝนไทยสืบไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เพจสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
  • ดร.วรนาถ ธรรมรงค์ | สำนักวิจัยและอนุรักษ์ QSBG
  • Thammarong, W., Raksa-chat, S., & Rodda, M. (2020). Thai Forest Bulletin (Botany), 48(2), 114–117.
  • IUCN Red List: International Union for Conservation of Nature’s Red List
  • The Plant List (2013) | http://www.theplantlist.org/
  • IPNI (International Plant Names Index)
  • Global Biodiversity Information Facility (GBIF)
  • คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เมืองแห่งชาและกาแฟ เชียงรายยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก สร้างมูลค่าพันล้าน

เชียงรายผงาด! ศูนย์กลางกาแฟโลก ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายก้าวสู่ผู้นำกาแฟระดับโลก ด้วยสายพันธุ์-แบรนด์-นวัตกรรมครบเครื่อง กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางกาแฟระดับโลก ด้วยความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ พันธุ์กาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูง การส่งเสริมจากภาครัฐ และการเติบโตของธุรกิจเอกชน ตั้งแต่ฟาร์มปลูกกาแฟจนถึงแบรนด์ร้านกาแฟระดับประเทศ

การขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวนโยบาย “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2565 ส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผสานเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างยั่งยืน

ตลาดกาแฟโตไม่หยุด “เชียงราย” ตัวแปรสำคัญขับเคลื่อนประเทศ

จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดปี 2567-2568 พบว่าตลาดกาแฟไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงถึง 3-5 เท่าของกาแฟทั่วไป และเชียงรายกลายเป็นจังหวัดที่ครองบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตนี้

กาแฟ GI อย่าง “ดอยตุง” และ “ดอยช้าง” เป็นเครื่องการันตีคุณภาพระดับประเทศ สอดรับกับแบรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็ว เช่น 1:2 Coffee ที่เน้น “คุณภาพดี ราคาจับต้องได้” และขยายสาขาทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง กลายเป็นตัวแบบสำเร็จในการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นสู่สเกลชาติ

เทศกาลกาแฟทั่วเชียงราย ยกระดับเมืองแห่งประสบการณ์กาแฟ

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตกาแฟเท่านั้น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลตลอดปี 2568 ดังนี้

  • Tea & Coffee Central CEI 25–29 มิ.ย. 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงราย
  • Eastern Lanna Tea & Coffee 25–28 ก.ค. 2568
  • Brewtopia ไร่แม่ฟ้าหลวง 17–20 ส.ค. 2568
  • TEDxChiangRai 23 ส.ค. 2568 (เจาะลึกองค์ความรู้และนวัตกรรมกาแฟ)
  • CCL Coffee Journey by TCEB 26–28 ส.ค. 2568

ภายในงานมีการแข่งขัน Latte Art ชิงแชมป์บาริสต้ามือทอง เวิร์คช็อปคั่วบด การชิมกาแฟเชิงลึก (cupping) และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนมากกว่า 700 ล้านบาทต่อปี

นวัตกรรม-วิจัย อาวุธลับสร้างความต่างสู่เวทีโลก

เชียงรายไม่เพียงแต่ผลิตกาแฟคุณภาพสูง หากแต่ยังลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยกรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์ “เชียงราย 1” และ “เชียงราย 2” ให้เหมาะกับภูเขาสูงโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างต้นแบบ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่สามารถวิเคราะห์รสชาติเฉพาะของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ และงานวิจัยลดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟได้มากถึง 93.12% โดยไม่สูญเสียรสชาติ ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

ภาครัฐรวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับเมืองกาแฟ

การยกระดับ “เชียงรายเมืองแห่งชาและกาแฟ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานเดียว แต่เกิดจากการผนึกกำลังของภาครัฐ ภาควิชาการ และชุมชน ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายตั้งแต่ปี 2565
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนวิจัยด้านกาแฟ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ราชภัฏเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมการศึกษา สัมมนา และหลักสูตรกาแฟ
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย ช่วยประสานเครือข่ายระดับประเทศและต่างประเทศ

การสนับสนุนนี้ครอบคลุมตั้งแต่การรับรองมาตรฐาน (GMP, HACCP, GAP) ไปจนถึงการขยายพื้นที่ผลิตแบบ Organic Thailand ที่ช่วยผลักดันกาแฟเชียงรายสู่ตลาดพรีเมียมได้อย่างมั่นคง

ความท้าทายที่ต้องรับมือ โอกาสแฝงในวิกฤต

แม้เชียงรายจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ก็ยังเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทาย

  • สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตผันผวนและต้นทุนสูงขึ้น
  • การแข่งขันจากกาแฟนำเข้า ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในบางตลาด
  • การรับรู้ในระดับโลก กาแฟไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในบางภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสใหม่ เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ผสานไร่กาแฟกับฟาร์มสเตย์ โรงคั่ว และร้านกาแฟท้องถิ่นในรูปแบบ Coffee Trail ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายเมล็ด แต่ยังเพิ่มรายได้ผ่านการท่องเที่ยวและการให้บริการประสบการณ์กาแฟโดยตรง

ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ สู่อนาคตกาแฟยั่งยืน

  1. เกษตรกรและผู้ผลิต
    • รวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน
    • พัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพิเศษที่มีมาตรฐาน
    • ใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม
  2. ผู้ประกอบการและธุรกิจ
    • สร้างแบรนด์ที่มีเรื่องราว
    • ขยายช่องทางออนไลน์และส่งออก
    • พัฒนาโมเดลธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่ายและแตกต่าง
  3. ภาครัฐและนโยบาย
    • ขยายผลแผน “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ให้เป็นนโยบายระดับชาติ
    • สนับสนุนทุนวิจัย แพลตฟอร์มประชาสัมพันธ์ และการเข้าถึงเงินทุน
    • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และลอจิสติกส์

เชียงรายไม่ใช่แค่แหล่งปลูกกาแฟ แต่คือเมืองแห่งอนาคต

เชียงรายกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องของการเกษตร แต่คือการออกแบบเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด ที่เชื่อมโยงผู้ผลิต นวัตกรรม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน

หากเดินตามแนวทางอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ของไทย แต่จะเป็นหนึ่งใน “จุดหมายกาแฟระดับโลก” ที่สร้างทั้งรายได้ ความยั่งยืน และความภาคภูมิใจให้กับคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • งานวิจัย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์กาแฟ GI” ปี 2567
  • รายงานการตลาด Specialty Coffee ปี 2567 โดย TCEB และ Cluster Coffee Lab
  • บันทึกการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองแห่งชาและกาแฟ จังหวัดเชียงราย (3 พ.ค. 2565)
  • CCL Chiangrai Coffee Lovers
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เชียงราย 2568 สู้ภัยน้ำ-ฝน บททดสอบรับมือโลกเดือด

สถานการณ์น้ำและการจัดการภัยพิบัติเชียงราย ปี 2568 ภัยฝน-ภัยน้ำ กับบททดสอบความพร้อม

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – หลังฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) รายงานความคืบหน้าในการช่วยเหลือประชาชนและบทเรียนสู่การยกระดับการจัดการทรัพยากรน้ำและภัยพิบัติ ในปีที่ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศและคุณภาพน้ำกำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายทั้งภาครัฐและชุมชน

พายุฝนถล่ม – ผลกระทบพื้นที่และการช่วยเหลือ

ในช่วงค่ำวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 พื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย แม่ฟ้าหลวง เวียงชัย พาน เทิง พญาเม็งราย แม่จัน และแม่ลาว เผชิญฝนตกหนักและลมกระโชกแรง ส่งผลให้ในหลายจุด โดยเฉพาะบ้านด้ายหนองหล่ม ต.เวียงชัย อ.เวียงชัย เกิดเหตุเสาไฟฟ้าโค่นล้มถึง 3 ต้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเร่งซ่อมแซมอย่างต่อเนื่องเพื่อคืนระบบไฟฟ้าโดยเร็ว

ขณะที่ในเขตเทศบาลนครเชียงราย มีน้ำท่วมขังหลายจุด อาทิ ห้าแยกพ่อขุน ชุมชนศรีทรายมูล ชุมชนสันป่าก๊อ ชุมชนสันคอกช้าง และชุมชนบ้านใหม่ เทศบาลระดมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรช่วยระบายน้ำ คาดว่าสถานการณ์จะกลับสู่ปกติภายในวันที่ 6 กรกฎาคม ทั้งนี้ ปภ.จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมเครื่องมือและกำลังพลตลอด 24 ชั่วโมง โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วนนิรภัย 1784 ได้ทุกเวลา

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศฝนปีนี้ไม่เหมือนเดิม

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจากอิทธิพลโลกร้อนส่งผลให้รูปแบบและปริมาณฝนในเชียงรายปี 2568 แตกต่างจากอดีต กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าเดือนกรกฎาคมจะมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางช่วง สร้างความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและริมฝั่งแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำกกและแม่น้ำโขง

ตารางสรุปปริมาณฝนและแนวโน้มอากาศ (เมษายน-กรกฎาคม 2568)

เดือน

ปริมาณฝน (มม.)

วันฝนตก (วัน)

อุณหภูมิสูงสุด (°C)

หมายเหตุ

พฤษภาคม

180-230

13-15

34-36

ฝนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

มิถุนายน

130-170

16-19

33-35

เริ่มฝนตกชุก ร้อยละ 40-60

กรกฎาคม

(เฉลี่ย 191.4)*

60-80% ของพื้นที่

29-34

ฝนตกหนัก-หนักมากบางแห่ง

*ข้อมูลค่าเฉลี่ยย้อนหลัง เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาไม่ได้ระบุตัวเลขแน่ชัดสำหรับปีนี้

โครงสร้างภูมิประเทศ – จุดแข็ง จุดเปราะบาง

จังหวัดเชียงรายมีภูมิประเทศที่ซับซ้อน ทั้งพื้นที่ราบ (60%) ริมลุ่มแม่น้ำกก อิง สาย จัน ลาว และแม่น้ำโขง และภูเขาสูง (37%) ที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ อ่างเก็บน้ำและเขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนแม่สรวย (ความจุ 73 ล้าน ลบ.ม.) มีน้ำต้นทุนเกือบเต็มความจุในต้นปี 2568 ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งสำหรับรองรับภัยแล้งและการเพาะปลูกฤดูฝน แต่โครงสร้างแบบนี้เองที่ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำเปราะบางต่ออุทกภัยเมื่อต้องรับมือกับฝนตกหนักในระยะเวลาสั้นๆ

คุณภาพน้ำปัญหาซ้อนปัญหาบนวิกฤตภัยธรรมชาติ

แม่น้ำกก แม่น้ำโขง และแม่น้ำสาย พบปัญหาปลามีตุ่มผิดปกติจากสารเคมีปนเปื้อนและโลหะหนัก หน่วยงานรัฐบางแห่งยืนยันว่ายังใช้น้ำได้เพื่อเกษตรกรรม แต่ยังมีการแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำกกในบางพื้นที่ ขณะที่เกษตรกรและชุมชนเรียกร้องให้จัดหาแหล่งน้ำทางเลือกและเน้นการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากอดีตเชียงรายในวังวนอุทกภัย-ภัยแล้ง

ปี 2567 เชียงรายประสบอุทกภัยใหญ่ช่วงเดือนกันยายน ฝนตกหนักเกิน 200 มม. ทำให้น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง ส่งผลให้ 56,469 ครัวเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 18,587 ไร่ ได้รับความเสียหาย มีผู้เสียชีวิต 14 ราย ขณะที่ปี 2566 ก็มีน้ำท่วมซ้ำจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชัน “ยางิ” เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำความเปราะบางของจังหวัดและแนวโน้มความถี่ของสภาพอากาศสุดขั้วที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบโลกร้อน

มาตรการจัดการน้ำและภัยพิบัติความพร้อมและข้อจำกัด

  • กรอบยุทธศาสตร์และการบริหารจัดการน้ำ

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ขับเคลื่อน 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 ร่วมกับกรมชลประทานและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เน้นติดตามสถานการณ์น้ำ เตรียมเครื่องมือช่วยเหลือ ปรับแผนการจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ และตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในช่วงฉุกเฉิน

ระดับจังหวัด มีแผนปฏิบัติการภัยพิบัติ 4 ระยะ ได้แก่ การป้องกันและลดผลกระทบ, การเตรียมความพร้อม, การจัดการในภาวะฉุกเฉิน และการฟื้นฟู ซึ่งทุกระยะต้องการความร่วมมือและทรัพยากรที่พร้อมรับสถานการณ์เฉพาะหน้า

งบประมาณและการพัฒนาแหล่งน้ำ

ปี 2568 มีการจัดสรรงบประมาณพัฒนาแหล่งน้ำรวมกว่า 10,000 ล้านบาทในระดับชาติ เพื่อปรับปรุงระบบน้ำดิบ เพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำ ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัย โดยเชียงรายได้รับงบฯ เร่งด่วน 111 ล้านบาท สำหรับโครงการฟื้นฟูใน อ.พาน แต่การเบิกจ่าย-เยียวยา ยังมีความล่าช้า และต้องการโมเดลบริหารจัดการที่คล่องตัวกว่านี้

ผลกระทบและความท้าทายปี 2568 วิเคราะห์สถานการณ์และความพร้อม

  • ผลกระทบต่อการเกษตรและชุมชน

น้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำสูง แต่เกษตรกรต้องเผชิญโจทย์ใหม่ คือคุณภาพน้ำที่ปนเปื้อน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต-ประมงน้ำจืด และความปลอดภัยผู้บริโภค ภัยน้ำท่วมยังคงเป็นปัญหาในพื้นที่ลุ่มต่ำ และอาจเกิดซ้ำหากฝนตกหนักติดต่อกันในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

  • ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและสังคมเมือง

ฝนหนักสร้างความเสียหายต่อถนน สะพาน ระบบประปาและสาธารณูปโภค เมืองเชียงรายต้องเน้นเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำและการสื่อสารแจ้งเตือนล่วงหน้า พร้อมวางระบบขนส่งและอพยพที่พร้อมรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน

  • คุณภาพน้ำ เงื่อนไขความมั่นคงใหม่

การสื่อสารข้อมูลคุณภาพน้ำต้องมีความชัดเจน โปร่งใส และเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในชุมชนริมน้ำและพื้นที่เกษตรกรรม หากขาดการแจ้งเตือนที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ความเสียหายทางสุขภาพและเศรษฐกิจโดยไม่รู้ตัว

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายมุ่งสู่การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

  1. พัฒนาระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยแบบเรียลไทม์ โดยติดตั้งโทรมาตรวัดระดับน้ำทั้งในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ให้ข้อมูลล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับมือกับน้ำท่วมฉับพลันและน้ำหลาก
  2. ยกระดับการสื่อสารและสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลน้ำแบบบูรณาการ ที่รายงานทั้งปริมาณและคุณภาพน้ำ พร้อมคู่มือและคำแนะนำต่อชุมชน
  3. ส่งเสริมธรรมาภิบาลน้ำที่ปรับตัวได้ กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองท้องถิ่นและชุมชนมีบทบาทบริหารจัดการน้ำและงบประมาณเฉพาะหน้า
  4. เร่งรัดการจัดสรรและเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือ ฟื้นฟู และพัฒนาโครงสร้างน้ำและภัยพิบัติอย่างทันท่วงที
  5. ขยายความร่วมมือข้ามหน่วยงานและประเทศ โดยเฉพาะระบบเตือนภัยข้ามแดนเมียนมา-ไทย สำหรับลุ่มน้ำกกและโขง
เชียงรายบนเส้นทางบริหารจัดการน้ำในยุคใหม่

จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญบททดสอบใหม่ในการบริหารจัดการน้ำในสภาวะอากาศสุดขั้วและคุณภาพน้ำที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น แม้จะมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่การขาดงบประมาณและระบบข้อมูลที่ทันสมัยคืออุปสรรคสำคัญ การยกระดับระบบแจ้งเตือน การสื่อสาร และการลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐานแบบอ่อน” ร่วมกับการบูรณาการแผนรับมือภัยพิบัติข้ามภาคส่วน จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงน้ำอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบต่อชุมชนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมชลประทาน
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
  • ศูนย์ข่าวภัยพิบัติและงานวิจัยภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ หรูหรากลางขุนเขา

ลักชัวรีกลางขุนเขา” ที่คุณเอื้อมถึงได้ — เปิดประสบการณ์พักผ่อนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ณ อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย ลดสูงสุด 35% กับข้อเสนอ ‘Exclusive Resident Offer’ วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2568 เท่านั้น

ณ ชายแดนแห่งธรรมชาติอันเงียบสงบของประเทศไทย บริเวณ “สามเหลี่ยมทองคำ” ที่แม่น้ำโขงหลอมรวมวัฒนธรรมสามชาติ อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่แห่งการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์สุดหรู ที่พร้อมให้คนไทยและผู้พำนักในประเทศไทย ได้พักผ่อนท่ามกลางป่าเขาอย่างมีสไตล์ ในราคาที่จับต้องได้ พร้อมกิจกรรมระดับเวิลด์คลาสที่รวมอยู่ในแพคเกจ

จากรีสอร์ทบนยอดเขาที่เงียบสงบท่ามกลางป่าฝนอันอุดมสมบูรณ์ สู่อาณาจักรที่พักสุดเอ็กซ์คลูซีฟ — ข้อเสนอสุดพิเศษนี้ไม่ได้เพียงมอบความหรูหรา แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจในการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมผ่านประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

 

ประสบการณ์ “เหนือระดับ” ที่ยากจะลืมเลือน

ในยุคที่การท่องเที่ยวไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่คือการสร้างประสบการณ์ชีวิตที่มีความหมาย อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย จึงได้เปิดตัวแพคเกจ “Exclusive Resident Offer” สำหรับผู้พำนักในประเทศไทยโดยเฉพาะ ให้คุณสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกได้ในราคาสุดคุ้ม พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 35% สำหรับห้องพักทุกประเภท

แพคเกจนี้ประกอบด้วย:

  • แพคเกจ 3 วัน 2 คืน เริ่มต้นที่ 60,000++ บาท พร้อมรับสิทธิ์เลือก 1 กิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟฟรี
    • Canopy Dining — รับประทานอาหารเหนือทิวเขา บนกระเช้าลอยฟ้า พร้อมวิวแม่น้ำโขงและชายแดน 3 ประเทศ
    • Sky Bike Adventure — ปั่นจักรยานบนสายสลิงท่ามกลางแมกไม้ สัมผัสความสูง 40 เมตรเหนือพื้นดิน
  • แพคเกจ 4 วัน 3 คืน เริ่มต้นที่ 90,000++ บาท รับสิทธิ์พักฟรี 1 คืนที่ Jungle Bubbles — โดมแก้วสุดหรูกลางป่า ให้คุณนอนมองดาว เคียงข้างโขลงช้าง พร้อมเลือกกิจกรรมพิเศษเพิ่มอีก 1 รายการ

ราคาดังกล่าวรวมสิทธิพิเศษ เช่น อาหารเช้า อาหารเย็น และบริการต่าง ๆ ที่จะทำให้คุณรู้สึกราวกับเป็นแขกวีไอพีตลอดระยะเวลาการเข้าพัก

ท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมหัวใจของการอนุรักษ์

สิ่งที่ทำให้อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แตกต่างจากรีสอร์ททั่วไป ไม่ได้อยู่แค่ในงานบริการระดับห้าดาว แต่คือการที่รีสอร์ทแห่งนี้ผสานแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไว้ในทุกมิติ — โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับ “ช้าง”

รีสอร์ทแห่งนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์อนุรักษ์ช้างเอเชีย ที่มุ่งเน้นให้ช้างอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข และปราศจากการทารุณกรรม นักท่องเที่ยวสามารถร่วมกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ เรียนรู้พฤติกรรมของช้างอย่างใกล้ชิด และสัมผัสถึงความผูกพันระหว่างคนกับสัตว์ที่ลึกซึ้งเกินคำบรรยาย

การได้เข้าพักที่นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงการซื้อประสบการณ์ แต่ยังเป็นการสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

แรงบันดาลใจจากใจกลาง “สามเหลี่ยมทองคำ”

บริเวณสามเหลี่ยมทองคำมีทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิศาสตร์ที่น่าทึ่ง หลายคนอาจรู้จักในฐานะอดีตแหล่งค้าฝิ่น แต่วันนี้พื้นที่แห่งนี้กลับกลายเป็น “จุดเชื่อมโยงใหม่” ของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่ส่งเสริมความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม พร้อมเปิดมุมมองใหม่ของภาคเหนือที่มากกว่าแค่ความสวยงามของธรรมชาติ

รีสอร์ทอนันตราสามเหลี่ยมทองคำ ได้รับรางวัลระดับนานาชาติทั้งในด้านความหรูหรา ความยั่งยืน และการให้บริการ เช่น

  • รางวัล World Travel Awards: Asia’s Leading Luxury Lodge
  • การรับรองจาก Travelife Gold Certification ด้านความยั่งยืน
  • การรับรองจาก Elephant Welfare Association ด้านสวัสดิภาพสัตว์

ทั้งหมดนี้สะท้อนความมุ่งมั่นของแบรนด์อนันตราในการเป็น “จุดหมายปลายทางแห่งคุณค่า” ที่ทั้งยั่งยืนและน่าจดจำ

จองก่อน คุ้มก่อน – โอกาสพักผ่อนที่ดีที่สุดของปี

โปรโมชั่น “Exclusive Resident Offer” นี้เปิดให้จองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับการเข้าพักระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ตุลาคม 2568 เท่านั้น ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือจองโดยตรงได้ที่โทร. 053-784-084 หรือ  เว็บไซต์ www.anantara.com/th/golden-triangle-chiang-rai

สรุป: หากคุณมองหาประสบการณ์การพักผ่อนที่ไม่ใช่แค่การ “พัก” แต่คือการ “เชื่อมโยง” กับธรรมชาติ ชุมชน และตัวตนของคุณเอง — อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Anantara Golden Triangle Official Website: Exclusive Residents Offer
  • Thailand Travel News: “Luxury in the Wild: Why Anantara Golden Triangle Redefines Eco-Luxury”, 2024
  • Travelife Sustainability Certification Directory
  • Elephant Welfare Association Accreditation (EWA), 2023
    (จัดทำโดยทีมข่าว นครเชียงรายนิวส์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายชู ‘Healing Mind Camping’ ดึงนักท่องเที่ยวสายสุขภาพ สัมผัสธรรมชาติบำบัด

เชียงรายเปิดประสบการณ์ “Chiang Rai Healing Mind Camping” ดันเมืองสุขภาพ ต่อยอดท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะ

เชียงราย, 27 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าเปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาวะและจิตใจด้วยกิจกรรม “Chiang Rai Healing Mind Camping” ตอกย้ำการเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City) โดยมีสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน ณ WorldGrow Organic Farm ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย พื้นที่เกษตรอินทรีย์ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวสายแคมป์ปิ้งและคนรักสุขภาพ

ก้าวสำคัญ… เชียงรายสู่เมืองแห่งสุขภาพ

กิจกรรม Chiang Rai Healing Mind Camping ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญภายใต้โครงการ “พัฒนาเชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City)” โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ผสานสุขภาพกาย ใจ และความสัมพันธ์ของผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจากนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยตัวแทนหน่วยงานรัฐ เอกชน ชุมชนท้องถิ่น และกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกพื้นที่จำนวนกว่า 100 คน

กิจกรรมดังกล่าวยังเป็นการประชาสัมพันธ์ศักยภาพของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และสนับสนุนผู้ประกอบการในท้องถิ่นให้เข้มแข็งผ่านกิจกรรมที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพของโลกยุคใหม่

จุดเด่นของกิจกรรม “Chiang Rai Healing Mind Camping”

จุดเด่นสำคัญของกิจกรรมในปีนี้ อยู่ที่การออกแบบประสบการณ์ให้ผู้เข้าร่วมได้ “สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง” พร้อมเสริมสร้างสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยกิจกรรมที่จัดขึ้น ได้แก่

  • Walk Rally เดินป่าระยะใกล้ สัมผัสเส้นทางธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ริมขอบแดนเหนือ
  • กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นรอบกองไฟ การพูดคุยแลกเปลี่ยน หรือ Workshop ด้านสุขภาวะที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากชีวิตประจำวัน
  • กิจกรรมแข่งขันเมนูเด็ด ครัวชาวแคมป์ เปิดโอกาสให้แต่ละกลุ่มสร้างสรรค์เมนูสุขภาพจากวัตถุดิบท้องถิ่น
  • กิจกรรม CSR เพื่อสังคม รวมพลังสร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบร่วมกันต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
  • กิจกรรมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน อย่าง “อภิมรมย์” และ “วรินทร์” ที่มาสร้างความบันเทิงและผ่อนคลายบรรยากาศให้แก่ผู้ร่วมงาน

ทุกกิจกรรมถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้หลีกหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ มาสู่บรรยากาศที่เอื้อต่อการผ่อนคลาย ได้ฝึกสมาธิ รู้จักตนเองมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจดีๆ ในการดูแลสุขภาพกายใจอย่างยั่งยืน

บทเรียนและแรงบันดาลใจใหม่… เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน

ผู้จัดกิจกรรมตั้งเป้าให้ “Chiang Rai Healing Mind Camping” ไม่ใช่เพียงกิจกรรมท่องเที่ยว แต่เป็น “ประสบการณ์” ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเห็นความสำคัญของสุขภาพแบบองค์รวม ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมชีวิตประจำวันให้หันมาใส่ใจตนเองและสังคมมากขึ้น

การผสมผสานความหลากหลายของกิจกรรม ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมเกิดแรงจูงใจ และพร้อมเปลี่ยนแปลงตนเองสู่เป้าหมายการมีชีวิตที่สมดุลและมีสุขภาพดีต่อไปในระยะยาว

ผลกระทบในระดับพื้นที่และทิศทางการพัฒนา

ความสำเร็จของกิจกรรมในปีนี้ นอกจากจะเสริมสร้างภาพลักษณ์ “เมืองแห่งสุขภาพ” ให้กับเชียงรายแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขยายตลาด Wellness Tourism ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูงทั่วโลก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้หมุนเวียนในท้องถิ่น

จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาและจัดกิจกรรม Wellness Tourism อย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานงานกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างแบรนด์เชียงรายให้เป็น “จุดหมายปลายทางสุขภาพ” ของประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • งานประชาสัมพันธ์ WorldGrow Organic Farm
  • Chiangrai Wellness City
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

ศรัทธาผนึกท่องเที่ยว สวนนงนุชพัทยานำบุญสู่ 9 วัด เสริมเสน่ห์ชลบุรีช่วงเข้าพรรษา

สวนนงนุชพัทยาจัดพิธี “หล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน” สืบสานศรัทธาพุทธบูชาและวัฒนธรรมไทย สร้างสีสันท่องเที่ยวชลบุรีช่วงเข้าพรรษา

ชลบุรี, 26 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงเทศกาลเข้าพรรษา สวนนงนุชพัทยา จังหวัดชลบุรี ได้จัดงาน “หล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน” อย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2568 ณ สวนลอยฟ้า สวนนงนุชพัทยา เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวและชาวไทยที่มาร่วมสืบสานประเพณีอันดีงามของพุทธศาสนา โดยกิจกรรมนี้ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของภาคตะวันออกที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดชลบุรีทั้งด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

สืบสานศรัทธา – รวมใจถวายเทียนพรรษา 9 วัดสำคัญ

พิธีหล่อเทียนพรรษาในครั้งนี้ จัดขึ้นโดยมีนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ร่วมกับนายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารท้องถิ่น แขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมงานกันอย่างคึกคัก ภายในพิธีได้รับความเมตตาจากพระครูเกษมกิตติโสภณ เจ้าอาวาสวัดสามัคคีบรรพต เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ประกอบพิธีกรรมและประพรมน้ำพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ร่วมกิจกรรม

นายกัมพล ตันสัจจา เผยถึงความตั้งใจของการจัดงานว่า “กิจกรรมหล่อเทียนพรรษาเป็นประเพณีที่สวนนงนุชพัทยาสืบสานต่อเนื่องทุกปี เพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้หยั่งรากลึกในจิตใจประชาชน และสร้างแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมไทยให้แก่เยาวชน นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ พร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในบุญกุศลอันยิ่งใหญ่”

พลังศรัทธาเชื่อมโยงวัด 9 แห่ง – ส่งต่อคุณค่าจากคนสู่ชุมชน

สำหรับเทียนพรรษาที่ร่วมหล่อในงาน จะถูกนำไปถวายยังวัดสำคัญ 9 แห่งในพื้นที่ ได้แก่

  1. วัดญาณสังวรารามวิหาร
  2. วัดสัตหีบ
  3. วัดสามัคคีบรรพต
  4. วัดนาจอมเทียน
  5. วัดอัมพาราม
  6. วัดบางเสร่คงคาราม
  7. วัดเขาคันธมาทน์
  8. วัดหนองจับเต่า
  9. วัดทรัพย์นาบุญญาราม

โดยมีผู้นำชุมชนท้องถิ่น นายอนุศักดิ์ พิริยอมร นายอำเภอสัตหีบ, นายสมบัติ แก้วปทุม นายกเทศมนตรีตำบลเกล็ดแก้ว, นายธณพง โคตรมณี นายกเทศมนตรีตำบลเขาชีจรรย์, นางสาวระพีพรรณ รัตนเหลี่ยม นายกเทศมนตรีตำบลนาจอมเทียน ร่วมในพิธี

จุดเชื่อมต่อศรัทธาและวัฒนธรรม – ส่งเสริมท่องเที่ยวไทยสู่สากล

กิจกรรมหล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน ไม่เพียงแต่เสริมสร้างความศรัทธาในพระพุทธศาสนาและอนุรักษ์ประเพณีดั้งเดิม หากแต่ยังถือเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรีในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะเมืองพัทยาที่เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ซึ่งการบูรณาการกิจกรรมศาสนาเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่งผลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับอัตลักษณ์ไทยแท้ สร้างความประทับใจและประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

วิเคราะห์ผลลัพธ์ – พลังบุญสร้างสุข ปลุกท่องเที่ยวไทยช่วงพรรษา

การจัดพิธีหล่อเทียนพรรษา 9 วัด 9 วัน ของสวนนงนุชพัทยาในปีนี้ นับเป็นการผสมผสานคุณค่าทางศาสนา วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของประเพณีและจริยธรรม พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังเป็นแบบอย่างที่ดีในการขยายผลไปสู่แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ทั่วประเทศ ตอกย้ำภาพลักษณ์ของพัทยาและชลบุรีในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดชลบุรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ความหลากหลายเบ่งบาน เชียงรายเตรียมจัด Pride Month ยิ่งใหญ่ 22 มิ.ย.

เชียงรายพร้อมจัดงาน Chiang Rai Pride Month 2025 อย่างยิ่งใหญ่ เดินหน้าส่งเสริมความเท่าเทียม สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกกลุ่มหลากหลายทางเพศ

เชียงราย, 11 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมแห่งความเท่าเทียมและเปิดกว้างสู่ความหลากหลายทางเพศอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเตรียมจัดงาน “Chiang Rai Pride Month 2025” อย่างยิ่งใหญ่ โดยมุ่งสร้างบรรยากาศของการยอมรับและความเข้าใจในความแตกต่างของทุกกลุ่มคน สร้างภาพลักษณ์ใหม่ของเมืองเหนือในฐานะพื้นที่ที่เคารพและให้เกียรติทุกอัตลักษณ์ พร้อมผลักดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านงานวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

เวทีประชุมระดมความคิด รัฐ-เอกชน-ภาคีเครือข่ายร่วมมือ

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายหลากหลาย เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศของการประชุมเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะทำให้กิจกรรมครั้งนี้กลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขและแรงบันดาลใจสำหรับคนเชียงรายและผู้มาเยือนจากทั่วทุกภูมิภาค

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวเปิดการประชุมว่า
“วันนี้เราได้เปิดเวทีหารือร่วมกัน เพื่อต่อยอดแนวทางจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย มีความเป็นเอกภาพ สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีของจังหวัดทั้งในมิติการท่องเที่ยว สังคม และความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเรื่องความเท่าเทียมและพื้นที่ปลอดภัยสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ เราต้องการให้เชียงรายเป็นจังหวัดนำร่องในด้านนี้อย่างแท้จริง”

งานไฮไลท์กลางเดือนมิถุนายน จุดประกายสีสันแห่งความภาคภูมิใจ

เดือนมิถุนายนของทุกปีทั่วโลกถูกยกให้เป็น “Pride Month” หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยจังหวัดเชียงรายร่วมกับมูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย เตรียมจัดกิจกรรม Chiang Rai Pride Month 2025 ขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 ณ ลานกิจกรรมหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า และลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

กิจกรรมในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “เฉลิมฉลองอัตลักษณ์อย่างเท่าเทียม” (Celebrate Identity with Equality) โดยตั้งเป้าสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักรู้เกี่ยวกับความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศ พร้อมขับเคลื่อนพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนมีโอกาสแสดงออกอย่างเสรี ลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อกลุ่ม LGBTQ+ รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มในสังคมสามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้เต็มที่

ไฮไลท์กิจกรรมพาเหรด เสวนา การแสดงวัฒนธรรม ประกวด Pride Ambassador

กิจกรรมสำคัญจะประกอบด้วย

  • ขบวนพาเหรด Pride Parade: เริ่มต้นจากลานหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่า เคลื่อนผ่านอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ผ่านหอนาฬิกา และสิ้นสุดที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย สร้างสีสันและพลังแห่งการรวมตัวของผู้คนทุกวัย ทุกกลุ่ม
  • เวทีเสวนา: หัวข้อเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศและการสร้างพื้นที่ปลอดภัย
  • การประกวด Pride Ambassador: เปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถในกลุ่มหลากหลายทางเพศได้แสดงออกถึงศักยภาพ สร้างแรงบันดาลใจ
  • การแสดงทางวัฒนธรรม: นำเสนอศิลปะและวัฒนธรรมหลากหลายรูปแบบ ผสมผสานความเป็นพื้นถิ่นกับสากลอย่างกลมกลืน

เป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และความเท่าเทียม

คณะผู้จัดงานมีเป้าหมายชัดเจนว่า Chiang Rai Pride Month 2025 จะเป็นทั้งเวทีสื่อสารเชิงบวกในระดับจังหวัดและภูมิภาค ช่วยสร้างบรรยากาศของการยอมรับ ความกลมเกลียวในสังคม ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งความเท่าเทียมและความหวัง

เชียงรายกับบทบาทผู้นำเมืองปลอดภัยและเท่าเทียม

การจัดกิจกรรมนี้ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ตลอดจนตอกย้ำบทบาทของจังหวัดเชียงรายในฐานะเมืองแห่งโอกาสและความหวังสำหรับทุกคน หากความสำเร็จของงานปีนี้เดินหน้าต่อเนื่อง จะเป็นต้นแบบให้จังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศนำไปขยายผล สร้างสังคมที่เปิดกว้างและเป็นมิตรกับทุกกลุ่มประชากร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิเอ็มพลัส สาขาเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

รมว.สาธารณสุข ห่วงโควิด เพิ่มมาตรการป้องกันกลุ่มเปราะบาง

รัฐมนตรีสมศักดิ์ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม แนะป้องกันเข้มข้น ย้ำความรุนแรงลดลง-รักษาได้

ประเทศไทย, 3 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศฤดูฝนที่มาเยือนพร้อมกับการเปิดภาคเรียนใหม่ ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความห่วงใยของรัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ให้ประชาชนทุกกลุ่ม

เริ่มต้นด้วยความห่วงใยจากรัฐมนตรี

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลังได้รับรายงานผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และโควิด 19 มักจะแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่แออัด

ในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วย นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และแนวทางการรักษา

สถานการณ์ล่าสุด อัตราการป่วยสูงขึ้นแต่รุนแรงลดลง

นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2568 นี้ ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 รวม 69 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว) และกระจุกตัวในเมืองใหญ่หรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น กรุงเทพมหานคร 22 ราย, ชลบุรี 8 ราย, จันทบุรี 7 ราย, เชียงใหม่ 3 ราย อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.106 ต่อประชากรแสนคน สะท้อนให้เห็นว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงมากขึ้น

สำหรับยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึง 3 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 324,692 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 500.20 ต่อประชากรแสนคน โดยจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ระยอง, ภูเก็ต และนครปฐม มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานศึกษา 12 เหตุการณ์ เรือนจำ 6 เหตุการณ์ ค่ายทหาร 4 เหตุการณ์ และโรงพยาบาล 2 เหตุการณ์

ปัจจัยเร่งการระบาด ฝนตก-เปิดเทอม

นพ.สุทัศน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายว่า ช่วงฤดูฝนและเปิดเทอมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงโควิด 19 แพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียนที่นักเรียนอยู่รวมกลุ่มกันมาก จึงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 ของปีเป็นต้นมา โดยสัปดาห์ที่ 22 มีผู้ป่วยสูงถึง 93,621 ราย และล่าสุดในสัปดาห์นี้พบอีก 28,392 ราย

สายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบันคือ XEC ซึ่งแม้จะติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการโดยรวมไม่รุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป อัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลต่ำมาก และส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส

แนวทางการป้องกันและรักษาเน้นมาตรการส่วนบุคคล

นพ.สกานต์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เน้นย้ำว่า แนวทางการดูแลรักษาในกรณีที่มีอาการเล็กน้อย โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถรักษาตามอาการ เช่น ใช้ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูกได้เหมือนไข้หวัดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัส ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยง 608 หรือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ที่ควรรีบพบแพทย์ทันที

"รัฐมนตรีสมศักดิ์" ห่วงสถานการณ์โควิด 19 หลังผู้ป่วยเพิ่มขึ้นช่วงฤดูฝนและเปิดเทอม มอบกรมการแพทย์-กรมควบคุมโรค แจงแนวทางปฏิบัติตัวและการรักษา แนะยกระดับป้องกันเข้ม ทั้งเว้นระยะห่าง ล้างมือ เลี่ยงสถานที่แออัด

สำหรับประชาชนทั่วไป หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาอย่างน้อย 5 วัน ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด เพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุในบ้าน และกลุ่มเปราะบาง สำหรับโรงเรียน หากพบเด็กนักเรียนป่วยหลายราย ให้หยุดเรียนเฉพาะบุคคล ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งชั้นหรือทั้งโรงเรียน

มาตรการเสริมที่แนะนำคือ การเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันโควิด 19 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเกิดอาการรุนแรง

มั่นใจยารักษา-เตียงพร้อมรองรับผู้ป่วย

นพ.สกานต์กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสาธารณสุขมีเตียงและยารักษาเพียงพอ ทั้งยาเรมดิซีเวียร์ แพกซ์โลวิด และยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับกลุ่มอาการปานกลางหรือมีแนวโน้มรุนแรง หากอาการไม่มากหรือไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาการให้ยาหรือรับไว้ในโรงพยาบาลตามความเหมาะสม

วิเคราะห์แนวโน้มและข้อควรระวัง

แม้สถานการณ์จะดูผ่อนคลายกว่าในอดีต แต่ภาครัฐยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุที่ยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการปกป้องอย่างเข้มข้น หากร่วมมือกันทั้งภาครัฐ โรงเรียน สถานประกอบการ และประชาชน จะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยและควบคุมการระบาดได้

ข้อควรระวังสำคัญ

  • ผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
  • หากป่วยควรใส่หน้ากาก 5-7 วัน หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
  • กลุ่มเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการ
  • เน้นการป้องกันส่วนบุคคล เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ
  • เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เสริมภูมิคุ้มกัน

สรุป

สถานการณ์โควิด 19 ระลอกใหม่ในฤดูฝนและช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้ แม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแต่ระดับความรุนแรงของโรคลดลงอย่างชัดเจน ระบบสาธารณสุขยังคงควบคุมและดูแลสถานการณ์ได้ดี การร่วมมือของประชาชนในการป้องกันส่วนบุคคลจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดการแพร่ระบาดและสร้างความมั่นใจให้กับสังคมไทย

นพ.สกานต์กล่าวว่า หากมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจะแยกว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด หรือโควิด 19 ได้ยาก แต่แนวทางการดูแลรักษาเบื้องต้นเหมือนกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข
  • ข่าวสำนักงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE