Categories
HEALTH

สธ. แจงไวรัส HKU5 ในค้างคาว แค่งานวิจัย ย้ำไทยเฝ้าระวังเข้มแข็ง

กระทรวงสาธารณสุขไทยยัน HKU5-CoV-2 ยังไม่มีการระบาดในคน

ปลัด สธ. ย้ำไทยมีระบบเฝ้าระวังเข้มแข็ง ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

กรุงเทพฯ, 22 กุมภาพันธ์ 2568กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ HKU5-CoV-2 ในคน แม้จะมีรายงานจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการของจีนเมื่อปี 2566 ว่าไวรัสนี้สามารถเกาะกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ดีเช่นเดียวกับโควิด-19

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รายงานดังกล่าวเป็นเพียงผลการทดลองในห้องแล็บ ยังไม่มีหลักฐานทางระบาดวิทยาที่ชี้ว่าไวรัสนี้สามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง และไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อจากสายพันธุ์นี้แต่อย่างใด

“ข้อมูลที่มีในขณะนี้เป็นเพียงรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานว่ามีการแพร่กระจายสู่คนหรือเกิดการระบาดจริงในประชากรทั่วไป ดังนั้นประชาชนไม่ควรตื่นตระหนก” นพ.โอภาสกล่าว

HKU5-CoV-2 คืออะไร?

HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่ถูกค้นพบในค้างคาว และจัดอยู่ในตระกูล Merbecovirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของไวรัสโคโรนา นักวิจัยพบว่าไวรัสนี้มีความสามารถในการจับกับเอนไซม์ ACE2 ซึ่งเป็นตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันสามารถก่อโรคในมนุษย์ได้

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันไวรัสวิทยาหวู่ฮั่น ประเทศจีน ได้ทดสอบ HKU5-CoV-2 ในเซลล์ตัวอย่างของระบบทางเดินหายใจและลำไส้ของมนุษย์ และพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสสามารถจับกับเยื่อหุ้มเซลล์ได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าสู่เซลล์มนุษย์ยังต่ำกว่า SARS-CoV-2 หรือไวรัสโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ไม่ควร “ตีความเกินจริง” เกี่ยวกับความเสี่ยงของ HKU5-CoV-2 ต่อมนุษย์ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้จริง

ไทยติดตามไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด

นพ.โอภาส ยืนยันว่า ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคระบาดที่เข้มแข็ง โดยกรมควบคุมโรคและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำงานร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อ ติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สายพันธุ์ที่พบในไทยยังคงเป็น โอมิครอน JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ และไม่มีหลักฐานว่ามีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยังคงมีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดสำหรับนักเดินทางขาเข้า โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรคทางเดินหายใจ

มาตรการป้องกันไวรัส: ใช้ได้กับทุกสายพันธุ์

แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 สามารถระบาดในมนุษย์ได้ แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มาตรการป้องกันโรคทางเดินหายใจที่ใช้ในปัจจุบันสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากไวรัสทุกชนิดได้ ได้แก่:

  • สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดหรือระบบระบายอากาศไม่ดี
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคทางเดินหายใจ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนโควิด-19

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาและวัคซีน

หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับ HKU5-CoV-2 หุ้นของบริษัทยาผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 เช่น Pfizer, Moderna และ Novavax ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ เช่น ดร.ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม จากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา กล่าวกับ Reuters ว่า ปฏิกิริยาของตลาดและสื่อบางส่วนอาจเกินจริง เพราะยังไม่มีหลักฐานว่าไวรัสนี้มีความเสี่ยงต่อมนุษย์ในระดับที่ควรกังวล

แนวทางการรักษาหาก HKU5-CoV-2 แพร่สู่คน

หาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้จริง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแนวทางการรักษาที่อาจใช้ได้ ได้แก่:

  • แอนติบอดีโมโนโคลนอล (Monoclonal Antibodies) – เป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสู้กับไวรัส
  • ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs) – ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดความรุนแรงของอาการ เช่นเดียวกับยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของการรักษาจะขึ้นอยู่กับความสามารถของไวรัสในการแพร่เชื้อและอัตราการกลายพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมหาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่ระบาดในคนได้ในอนาคต

สรุป

  • HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่พบในค้างคาว และเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไวรัสโคโรนา
  • ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง
  • ไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคที่เข้มแข็ง และติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง
  • มาตรการป้องกัน เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสทุกสายพันธุ์
  • ตลาดหุ้นบริษัทยาผลิตวัคซีนปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่

แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 จะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ในขณะนี้ แต่การเฝ้าระวังและการศึกษาต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข / forbes

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TRAVEL

คืนชีพ “บ้านเขียว” แพร่เปิด ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้มรดก 120 ปี

แพร่เปิด “บ้านเขียว” ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่ อนุรักษ์มรดกล้านนา

รมว.ทส. นำเปิดศูนย์เรียนรู้ ฟื้นฟูอาคารประวัติศาสตร์ 120 ปี สู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

แพร่, 21 กุมภาพันธ์ 2568บ้านเขียว” อาคารประวัติศาสตร์อายุ 120 ปี ได้รับการฟื้นฟูและเปิดเป็น ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่ อย่างเป็นทางการ โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมทั้งมอบโล่เชิดชูเกียรติให้แก่ 6 หน่วยงาน ที่มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมล้านนา

พิธีเปิดจัดขึ้นที่ สวนรุกขชาติเชตวัน จังหวัดแพร่ ภายใต้แนวคิด ฟื้นบ้านเขียว สู่อ้อมกอดชาวแพร่” โดยภายในงานมีการจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์การทำไม้ของประเทศไทย ควบคู่กับกิจกรรม กาดฮิมยม” ตลาดนัดวินเทจที่รวบรวมศิลปะ หัตถกรรม และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดแพร่อย่างยั่งยืน

บ้านเขียว: อาคารประวัติศาสตร์ที่เป็นพยานยุคทองของอุตสาหกรรมป่าไม้

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน กล่าวถึง บ้านเขียว” ว่าเป็นอาคารประวัติศาสตร์ที่มีอายุยาวนานกว่า 120 ปี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2444 (สมัยรัชกาลที่ 5) และเคยเป็น สำนักงานป่าไม้ ที่สำคัญในยุคล้านนา เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมป่าไม้ที่รุ่งเรืองในภาคเหนือ โดยอาคารแห่งนี้เคยผ่านการพัฒนา 5 ยุคสมัย ก่อนจะถูกรื้อถอนในปี พ.ศ. 2563

“บ้านเขียวไม่ใช่แค่อาคารเก่า แต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของยุคทองแห่งการป่าไม้ในล้านนา การบูรณะครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นแค่การฟื้นฟูอาคาร แต่เป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรม และสืบทอดองค์ความรู้ด้านทรัพยากรธรรมชาติให้คนรุ่นหลัง” ดร.เฉลิมชัยกล่าว

การบูรณะบ้านเขียว: ฟื้นฟูสถาปัตยกรรม ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากร

การฟื้นฟู บ้านเขียว ให้เป็น ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่ ได้ดำเนินการโดยคำนึงถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมดั้งเดิม พร้อมพัฒนาให้เป็น พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ที่ให้ความรู้ด้านทรัพยากรป่าไม้และการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยการบูรณะได้รับการสนับสนุนจาก 6 หน่วยงานหลัก ได้แก่:

  1. กรมศิลปากร – ให้คำแนะนำด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิม
  2. สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ – ช่วยออกแบบและฟื้นฟูโครงสร้างอาคาร
  3. เทศบาลเมืองแพร่ – สนับสนุนงบประมาณและการดำเนินงาน
  4. เทศบาลตำบลป่าแมต – มีบทบาทในการดูแลพื้นที่โดยรอบ
  5. องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ – ส่งเสริมโครงการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
  6. สมาคมรักษ์เมืองเก่าแพร่ – ผลักดันให้เกิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูบ้านเขียว

ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้: เปิดมิติใหม่ของการศึกษาและท่องเที่ยว

ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่นี้ จะเป็น แหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์การป่าไม้ ที่ครอบคลุมถึง:

  • วิวัฒนาการของอุตสาหกรรมป่าไม้ในประเทศไทย ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
  • การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและป่าไม้ล้านนา ที่สะท้อนถึงผลกระทบของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
  • การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อม โดยนำเสนอแนวทางการฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังเป็นสถานที่ฝึกอบรมและให้ความรู้แก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และนักวิจัยด้านป่าไม้ รวมถึงเป็นพื้นที่แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ สถาปัตยกรรมล้านนา และ การใช้ชีวิตของชาวแพร่ในอดีต

กาดฮิมยม” ตลาดนัดวินเทจ ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น

ภายในงานเปิดตัวศูนย์เรียนรู้การป่าไม้ ยังมีการจัด กาดฮิมยม” ตลาดนัดวินเทจที่รวบรวมศิลปะ งานหัตถกรรม และสินค้าท้องถิ่นของจังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยตลาดนัดแห่งนี้มีการจำหน่าย:

  • ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมล้านนา เช่น ผ้าทอเมืองแพร่ เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องจักสาน
  • ผลิตภัณฑ์อาหารพื้นเมือง เช่น แคบหมู น้ำพริกหนุ่ม และกาแฟพื้นเมือง
  • สินค้าสร้างสรรค์และงานศิลปะ จากศิลปินท้องถิ่น

ตลาดแห่งนี้จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ช่วยสร้างความตื่นตัวด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของจังหวัดแพร่ให้เติบโตต่อไป

ศูนย์เรียนรู้บ้านเขียว: จุดหมายใหม่ของนักท่องเที่ยวและนักอนุรักษ์

การเปิดศูนย์เรียนรู้การป่าไม้บ้านเขียว เป็นก้าวสำคัญของจังหวัดแพร่ในการส่งเสริมการศึกษา การท่องเที่ยว และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน โดยศูนย์แห่งนี้จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป และคาดว่าจะเป็น แหล่งเรียนรู้และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคเหนือ

นอกจากนี้ การฟื้นฟูบ้านเขียวให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ยังช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้เดินทางมาสัมผัสวิถีชีวิตของเมืองแพร่อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

สรุป

  • บ้านเขียว อาคารประวัติศาสตร์อายุ 120 ปี ได้รับการบูรณะและเปิดเป็น ศูนย์เรียนรู้การป่าไม้แห่งใหม่
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบโล่เชิดชูเกียรติให้ 6 หน่วยงาน ที่ร่วมสนับสนุนการฟื้นฟูบ้านเขียว
  • ศูนย์เรียนรู้ฯ จะเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์การป่าไม้ และ พิพิธภัณฑ์มีชีวิตด้านสถาปัตยกรรม
  • จัดกิจกรรม กาดฮิมยม” ตลาดนัดวินเทจที่รวมสินค้าหัตถกรรม อาหารพื้นเมือง และงานศิลปะท้องถิ่น
  • เปิดให้ประชาชนเข้าชมอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

คนไทย 1 ใน 10 เป็นเบาหวาน วิมุตฯ เตือนภัย NCDs วัยทำงาน

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ฉลอง 40 ปี มุ่งป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs

กรุงเทพฯ, 20 กุมภาพันธ์ 2568 – โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ฉลองครบรอบ 40 ปีแห่งความสำเร็จในการดูแลสุขภาพของคนทุกวัย พร้อมประกาศเดินหน้าสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวานและกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามประชากรวัยทำงาน

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เทพ หิมะทองคำ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ กล่าวว่า “โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพให้ประชาชนทุกวัย โดยแนวคิดนี้เกิดจากประสบการณ์ศึกษาดูงานต่างประเทศ ซึ่งทำให้เห็นว่าการดูแลโรค NCDs โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ต้องเน้นการป้องกันและให้ความรู้ควบคู่กับการรักษา เพราะผู้ป่วยมักเผชิญกับปัญหาซ้ำซากเมื่อพึ่งพาการรักษาเพียงอย่างเดียว”

คนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย

องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าในปี 2021 โรค NCDs คร่าชีวิตประชากรทั่วโลกอย่างน้อย 43 ล้านคน โดยมีประชากร 18 ล้านคนที่เสียชีวิตจากกลุ่มโรคดังกล่าวก่อนอายุ 70 ปี สำหรับประเทศไทย งานวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับ WHO บ่งชี้ว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เบาหวาน มะเร็ง และโรคปอดเรื้อรัง

มีประชากรอายุเกิน 65 ปีเพิ่มขึ้นถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในอีก 10 ปีข้างหน้า

นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ กล่าวว่า “โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์มุ่งขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจสุขภาพด้วยวิสัยทัศน์ในการสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาอันท้าทายเช่นนี้ หลังจากที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ และจะมีประชากรอายุเกิน 65 ปีเพิ่มขึ้นถึง 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในอีก 10 ปีข้างหน้า”

นอกจากนี้ สถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในกลุ่มโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ หัวใจและหลอดเลือด ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การขยายตัวของเมือง และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป

1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน

นายแพทย์เอกลักษณ์ วโนทยาโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อเทพธารินทร์ กล่าวว่า “จากรายงานสถิติสาธารณสุขไทยพบว่า มีผู้เป็นเบาหวานรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 300,000 คนต่อปี และปัจจุบันมีคนไทยถึง 1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคนที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน สิ่งที่น่ากังวลคือ เรากำลังพบผู้ป่วยในกลุ่มคนทำงานที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาระงานหนักและมีความเครียดสูง ซึ่งมักพึ่งพาอาหารหวาน มัน และของทอด เพื่อบรรเทาความเครียด”

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ ได้นำระบบการดูแลผู้ป่วยแบบทีมสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งถูกพัฒนาและเป็นต้นแบบการดูแลรักษาของประเทศไทยมานาน 40 ปี พร้อมต่อยอดสร้างประโยชน์ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยระบบการดูแลผู้ป่วยด้วยทีมสหสาขาวิชาชีพนี้ไม่เพียงมุ่งการรักษาอาการของโรคเท่านั้น แต่เน้นให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมขยายผลการดูแลสุขภาพไปสู่สมาชิกในครอบครัวและสังคม เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพที่ยั่งยืนสำหรับคนทุกวัย

ป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs

โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ยังมุ่งเน้นการป้องกันโรคเบาหวานและ NCDs ด้วยการให้ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง พร้อมส่งเสริมการออกกำลังกาย และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ได้มุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อพัฒนาสุขภาพของผู้คนในสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการสร้างต้นแบบการทำงานแบบทีมสหสาขาวิชาชีพ การพัฒนาวิชาชีพใหม่ เช่น ผู้ให้ความรู้โรคเบาหวาน นักกำหนดอาหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเท้า และการทำงานส่งเสริมแนวคิดการป้องกันโรคในชุมชน ด้วยเป้าหมายสูงสุดในการลดภาระของโรค NCDs และสร้างสังคมไทยที่มีสุขภาพดีในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

บอลลูนนานาชาติเชียงราย สุดอลังการรับวาเลนไทน์

บอลลูนนานาชาติสุดอลังการ! สิงห์ปาร์ค เชียงราย จัดกิจกรรมบอกรักบนฟ้ารับวาเลนไทน์

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – สิงห์ปาร์ค เชียงราย ต้อนรับเทศกาลแห่งความรักด้วยกิจกรรมสุดโรแมนติกในงาน เทศกาลบอลลูนนานาชาติ International Balloon Fiesta 2025″ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดยวันนี้ (14 กุมภาพันธ์) นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดและร่วมเป็นสักขีพยานในกิจกรรมพิเศษ “Balloon Love 2025” ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของเทศกาลนี้

กิจกรรมสุดพิเศษ “Balloon Love 2025”

ปีนี้ สิงห์ปาร์ค เชียงราย เปิดโอกาสให้ 14 คู่รักผู้โชคดีจากการคัดเลือกกว่า 150 คู่ ได้สัมผัสประสบการณ์ลอยฟ้าเหนือเชียงรายในช่วงเช้ากับบอลลูนหลากสีสันกว่า 30 ลูก จาก 11 ประเทศทั่วโลก ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกของวันวาเลนไทน์ พร้อมชมทิวทัศน์เชียงรายแบบ 360 องศา สร้างความประทับใจให้กับคู่รักที่เข้าร่วมงานอย่างเต็มเปี่ยม

ภายในงานได้รับเกียรติจาก นายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารบริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด รวมถึงประชาชนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในกิจกรรมอันน่าประทับใจนี้

การแข่งขันบอลลูนระดับนานาชาติและกิจกรรมที่น่าสนใจ

นอกจากกิจกรรม “Balloon Love 2025” แล้ว เทศกาลบอลลูนนานาชาติปีนี้ยังมีกิจกรรมที่หลากหลายและน่าตื่นตาตื่นใจ ได้แก่:

  • การแข่งขันบอลลูนระดับนานาชาติ มีบอลลูนเข้าร่วมแข่งขันกว่า 30 ลูก จาก 13 ประเทศ โดยการแข่งขันจะจัดขึ้นทุกวันระหว่างเวลา 16.30 – 18.00 น. พร้อมเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท
  • การแสดงบอลลูนแสง สี เสียง จัดขึ้นทุกคืนบริเวณทะเลสาบภายในสิงห์ปาร์ค เชียงราย สร้างบรรยากาศสุดอลังการให้กับผู้เข้าร่วมงาน
  • คอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง ที่จะมาร่วมสร้างสีสันและความบันเทิงตลอดทั้ง 5 วันของเทศกาล

โขนกลางแปลง “สัจจะ เดชา พญามาร” เสริมวัฒนธรรมไทย

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของปีนี้คือการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย โขนกลางแปลงชุดใหญ่” ตอนพิเศษ สัจจะ เดชา พญามาร” โดยคณะศิลปินวังหน้าและเยาวชนจากจังหวัดเชียงรายกว่า 160 ชีวิต ซึ่งจะจัดแสดงบริเวณริมทะเลสาบในวันที่ 14 – 15 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อส่งเสริมศิลปะการแสดงไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

บทสรุป

เทศกาลบอลลูนนานาชาติ International Balloon Fiesta 2025 ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นงานที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนที่เข้าร่วม ด้วยกิจกรรมสุดพิเศษที่เต็มไปด้วยความรักและความประทับใจ ไม่ว่าจะเป็น “Balloon Love 2025” การแข่งขันบอลลูนระดับนานาชาติ และการแสดงทางวัฒนธรรมที่สะท้อนความงดงามของศิลปะไทย ทำให้งานนี้เป็นอีกหนึ่งอีเวนต์ที่ไม่ควรพลาดในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

กุมภาพันธ์ 2568 –  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่แล้ว และกลับไปใช้ประกาศฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมีใบส่งตัว

การแก้ไขปัญหา “มะเร็งรักษาทุกที่”

จากกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้สั่งการให้ สปสช. ดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีการเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” นั้น ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ได้รายงานว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้เรียบร้อยแล้ว

ผู้ป่วยมะเร็งรับบริการได้ตามแนวทางเดิม

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รวมถึงวันที่ 1 เมษายน 2568 ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” ได้ตามแนวทางบริการเดิมที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบส่งตัวรับรองสิทธิในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากหน่วยบริการประจำ

สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นเดิม

สปสช. ยังคงรับผิดชอบดูแลการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายตามนโยบายเช่นเดิม หน่วยบริการสามารถเบิกได้ทั้งค่ารังสีรักษา ยาเคมีบำบัด การผ่าตัด โรคแทรกซ้อนของมะเร็ง และโรคอื่นที่คนไข้มะเร็งเป็นร่วม

ระบบส่งข้อมูลผู้ป่วย

สำหรับการส่งข้อมูลผู้ป่วยนั้น มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ TCB Plus ของสถาบันมะเร็ง กรมการแพทย์ และ Health Link ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อใช้ลงทะเบียน รับส่งต่อและดูข้อมูลผู้ป่วยอยู่แล้ว โดยทางโรงพยาบาลรับส่งต่อสามารถดูข้อมูลผู้ป่วยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวนี้ได้

ยกเลิกประกาศฉบับใหม่ กลับไปใช้ฉบับเดิม

เลขาธิการ สปสช. ได้ลงนามคำสั่งยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่ ที่จะบังคับใช้ 1 เมษายน 2568 แล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้กลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ฯ ฉบับเดิม ปี 2566-2567 และได้ส่งหนังสือแจ้งเวียนหน่วยบริการทั่วประเทศรับทราบแล้ว

รัฐบาลใส่ใจสุขภาพประชาชน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความใส่ใจอย่างยิ่งต่อภาวะเจ็บป่วยของประชาชน โดยมะเร็งเป็นโรคที่มีภาวะร้ายแรงต่อสุขภาพ การเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มโอกาสการรักษาและลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดการเสียชีวิตลงได้ จึงนำมาสู่นโยบายมะเร็งรักษาทุกที่ โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งยืนยันว่า ณ วันนี้รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งรวมถึง สปสช. ยังคงยืนยันหลักการนี้เช่นเดิม

สรุป

การกลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น และได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
LIFESTYLE

#ฅนเจียงฮาย EP.06 : หนูอยากใช้เวทีนี้ประชาสัมพันธ์อำเภอเวียงแก่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

คอลัมน์ #ฅนเจียงฮาย EP.06 :หนูอยากใช้เวทีนี้ประชาสัมพันธ์อำเภอเวียงแก่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

น้องจุนเจือ” คว้าตำแหน่งธิดาดอย 2568 ตัวแทนความงามและวัฒนธรรมเวียงแก่น

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568  ในงานพ่อขุนเม็งรายมหาราชและงานกาชาดจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ที่เวทีกลางของงาน “น้องจุนเจือ” หรือ นางสาวณัฐมน ธาดา นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วัย 22 ปี คว้าตำแหน่ง ธิดาดอย ประจำปี 2568″

นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย เป็นผู้มอบรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศจากการประกวด ซึ่งมีสาวงามจาก 18 อำเภอของจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมแข่งขัน โดย น้องจุนเจือ ได้รับรางวัลชนะเลิศ คว้าสายสะพาย พร้อมเงินรางวัล 25,000 บาท

รองชนะเลิศอันดับ 1 ตกเป็นของ นางสาวภวพร ทองเต็ม จากอำเภอพาน รับรางวัล 20,000 บาท ขณะที่ นางสาวรติมา แซ่วื้อ จากอำเภอแม่จัน ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 พร้อมเงินสด 15,000 บาท และ นางสาวสุดาพร แลเช่อ จากอำเภอเมืองเชียงราย ได้รับรางวัล ขวัญใจชาวดอย” พร้อมเงินสด 15,000 บาท

แรงบันดาลใจจาก “ธิดาส้มโอ” สู่ “ธิดาดอย”

น้องจุนเจือ เปิดเผยว่า แรงบันดาลใจในการเข้าร่วมการประกวดธิดาดอยครั้งนี้มาจาก การได้รับตำแหน่ง “ธิดาส้มโอ” ของอำเภอเวียงแก่น ซึ่งเป็นผลไม้ที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่มากกว่าปีละ 10,000 ตัน

หลังจากได้รับตำแหน่งธิดาส้มโอ หนูอยากใช้เวทีนี้ประชาสัมพันธ์อำเภอเวียงแก่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทั้งในด้านผลผลิตเกษตร แหล่งท่องเที่ยว และวัฒนธรรม”

สวัสดีค่ะน้องจุนเจือ ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งธิดาดอยนะคะ ช่วยแนะนำตัวเองให้พวกเราได้รู้จักหน่อยค่ะ

ข่อยของข่อย อีนาง จุนเจือ จื่อแต๊นางสาวนัทธมน เครื่อเชื้อ พาดา ปะเดียวนี้อายุ 22 ปี หอเฮือนที่ตั้งปักอยู่ อำเภอพาน มีเชื้อสายไตยลื้อมาต่างแม่เฒ่าม่อน ปะเดียวนี้กำลังเฮียนอยู่ตี้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สำนักวิชาการจัดการ สาขาธุรกิจการบิน ชั้นปีที่4

อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้น้องจุนเจือตัดสินใจลงสมัครประกวดธิดาดอยคะ

เพราะน้องจุนเจือได้รับตำแหน่งธิดาส้มโอของอำเภอเวียงแก่น ซึ่งเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อและทำรายได้ให้คนเวียงแก่นและคนเชียงรายเป็นอย่างดี และยังส่งออกไปยังหลายๆประเทศๆ มากว่า 1 หมื่นตัน ซึ่งน้องจุนเจือได้รับตำแหน่งธิดาส้มโอมา มีแรงบันดาลใจอยากใช้ตำแหน่งที่ได้มาช่วยประชาสัมพันธุ์ ของดีอำเภอเวียงแก่น ให้คนในประเทศและนอกประเทศได้รับรู้ว่าเวียงแก่นมีดีขนาดไหน ทั้งเชิงผลผลิตทางเกษตร เชิงทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมชาติพันธุ์ 

น้องจุนเจือดีใจมากที่ได้เป็นตัวแทนของชาวอำเภอเวียงแก่นและได้เข้าการประกวดธิดาดอยงานพ่อขุนประจำปี 2568 น้องจุนเจือมีเชื้อสายไตยลื้อ เข้าร่วมการประกวดครั้งนี้ เพราะชุดไทยลื้อนั่นมีหลากหลาย เพราะว่าถิ่นกำเนิดของชายไตยลื้อมีอยู่ที่ สิบสองปันนา 

ซึ่งสิบสองปันนาจะมีชุดไตยลื้อที่แตกต่างกันออกไป ที่น้องจุนเจือได้ใส่นั้นเป็นชุดไตยลื้อเมืองอู่ ที่มีการเกล้าผมสูงมวยจุก ปักปิ่นลื้อ ดอกไม้ตามพื้นที่ นิยมเป็นดอกไม้สีขาว หรือคนไตยลื้อเรียกว่า ดอกซ่อนฮ่อ หรือดอกเกล็ดถะวา ปกผ้าคาดหัวหรือผ้าคาดหัวสีขาว  ใส่เสื้อปัดผ้าฝ้ายฮำ ใส่ซิ่นดอกจกหลวง ที่หัวซิ่นสีเขียว ตีนซิ่นผ้าฝ้ายฮำ น้องจุนเจือคิดว่าชุดไตยลื้อที่น้องได้มาใส่ในครั้งนี้เป็นที่งามและเป็นเอกลักษณ์ของพ่อแม่พี่น้องชาวไตยลื้อเวียงแก่น 

น้องจุนเจือเห็นผู้เข้าร่วมประกวดหรือท่านกรรมการแขก หลายๆท่านได้มีการสวมใส่ชุดไตยลื้อ หรือ ผ้าซิ่นไตยลื้อ นี่ล่ะค่ะคือสิ่งที่น้องจุนเจือคิดว่าชุดไตยลื้อจะอยู่ในความทรงจำของหลายท่านที่ได้สวมใส่

น้องจุนเจือมีความรู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้รับตำแหน่งธิดาดอยในครั้งนี้คะ

การได้รับตำแหน่งธิดาดอยในครั้งนี้ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจและตื้นตันใจมากค่ะ เพราะมันเป็นโอกาสที่ได้เป็นตัวแทนของชุมชนไทลื้อและได้มีส่วนร่วมในการเผยแพร่และรักษามรดกทางวัฒนธรรมค่ะ

น้องจุนเจือคิดว่าอะไรคือเสน่ห์หรือจุดเด่นของตัวเองที่ทำให้ได้รับเลือกเป็นธิดาดอยคะ

เสน่ห์ของตัวเองที่ทำให้ได้รับตำแหน่งธิดาดอยครั้งนี้คือความมั่นใจและความรักในวัฒนธรรมของตนเองค่ะ การที่สามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองและความเคารพในประเพณีและวัฒนธรรมของไทลื้อช่วยให้คนเห็นและยอมรับได้ค่ะ

มีใครหรือสิ่งใดที่เป็นแรงผลักดันหรือกำลังใจสำคัญที่ทำให้น้องจุนเจือประสบความสำเร็จในการประกวดครั้งนี้คะ

แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จในครั้งนี้คือครอบครัวค่ะ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่คอยสนับสนุนและสอนให้รู้ถึงคุณค่าของการรักษาและส่งต่อวัฒนธรรมค่ะ

น้องจุนเจือมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับงานพ่อขุนประจำปี และคิดว่างานนี้มีความสำคัญอย่างไรต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมของจังหวัดคะ

งานพ่อขุนประจำปีมีความสำคัญมากค่ะ เพราะมันไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่ยังเป็นการสร้างความสามัคคีและช่วยสืบสานประเพณีดั้งเดิมของแต่ละชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นการอนุรักษ์และเผยแพร่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีค่าของจังหวัดเชียงรายค่ะ

ในฐานะที่เป็นธิดาดอย น้องจุนเจือมีเป้าหมายหรือความตั้งใจอย่างไรในการทำหน้าที่นี้คะ

ในฐานะธิดาดอย น้องจุนเจือมีเป้าหมายที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชน โดยการส่งเสริมและรักษาวัฒนธรรมชาติพันธุ์ รวมถึงการใช้ตำแหน่งนี้ในการช่วยเหลือและส่งเสริมชุมชนให้เข้มแข็งค่ะ

น้องจุนเจือคิดว่าอะไรคือคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นธิดาดอยที่ดีคะ

คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นธิดาดอยที่ดีคงเป็นความเมตตาและความอ่อนน้อมค่ะ เพราะการแสดงออกถึงความจริงใจและการใส่ใจในผู้อื่นจะช่วยให้เราสามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุดค่ะ

น้องจุนเจือมีอะไรที่อยากจะฝากถึงเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความฝันหรือความสนใจในการประกวดธิดาดอยในอนาคตบ้างคะ

สิ่งที่น้องจุนเจืออยากจะฝากให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความฝันอยากจะประกวด คือ การเตรียมตัวอย่างตั้งใจและฝึกฝนในทุกๆ ด้าน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเป็นตัวของตัวเองค่ะ ความจริงใจและความมั่นใจในตัวเอง จะทำให้เราโดดเด่นและเป็นที่รักของคนรอบข้างค่ะ การรักษาความอ่อนน้อมและเปิดใจรับฟังผู้อื่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยค่ะ

สุดท้ายนี้ น้องจุนเจืออยากจะขอบคุณใครเป็นพิเศษสำหรับความสำเร็จในครั้งนี้คะ

ความสำเร็จของหนูในครั้งนี้ หนูอยากจะขอบคุณ คุณพ่อและคุณแม่ของหนูค่ะ ที่คอยเชียร์ให้กำลังใจและสนับสนุนหนูมาโดยตลอด ทำให้หนูมีความตั้งใจและความพยายามในการฝึกฝนมากขึ้น และขอขอบคุณทุกๆแรงใจและแรงเชียร์ที่พ่อแม่พี่น้องทุกคนได้มอบให้หนูค่ะ เป็นเกียรติอย่างมากเลยค่ะ ที่ได้รับตำแหน่ง ธิดาดอย ประจำปี 2568 นี้ค่ะ

ฅนเดินเรื่องโดย : นางสาวณัฐมน ธาดา “น้องจุนเจือ” – “ธิดาดอย ประจำปี 2568”
 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TRAVEL

‘ห้วยตึงเฒ่า’ แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ใกล้ชิดพระราชดำริ

ห้วยตึงเฒ่า” โครงการหมู่บ้านตัวอย่าง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหาร จังหวัดเชียงใหม่

อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้ พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อปี พ.ศ. 2523 ทรงมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 3 สร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตร และตั้ง โครงการหมู่บ้านตัวอย่างห้วยตึงเฒ่า” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่

อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่าครอบคลุมพื้นที่กว่า 300 ไร่ มีความจุประมาณ 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยราษฎรที่ได้รับจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและทำกินกว่า 61 ครอบครัว สามารถดำรงชีพด้วยอาชีพเกษตรกรรม และไม่มีการบุกรุกป่าเพิ่มเติม

ในปี พ.ศ. 2550 กองทัพบกมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตทหาร ได้จัดตั้ง สำนักงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า” ขึ้น โดยเน้นให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น และสนับสนุนกำลังพลในกองทัพบก รวมถึงประชาชนทั่วไป

กิจกรรมที่น่าสนใจในอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า

  1. ชมจุดทรงประทับยืน ของในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมหอคอยชมวิว 5 ชั้น
  2. สักการะพระพุทธรูป “พระพุทธรัตนชัย สุรพลารักษ์” และองค์เจ้าแม่กวนอิม
  3. รับประทานอาหารในซุ้มริมน้ำ ชมวิวธรรมชาติ
  4. นั่งรถรางชมพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำ
  5. เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยานรอบอ่างเก็บน้ำ ระยะทาง 4 กิโลเมตร
  6. กิจกรรมตกปลาและปั่นจักรยานน้ำ
  7. ป้อนอาหารน้องแกะและเล่นน้ำกับครอบครัว
  8. ถ่ายรูปกับ “ครอบครัวคิงคองยักษ์” และกังหันลมสวิตเซอร์แลนด์

 

ความสำคัญของอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า

โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ผสมผสานการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมอาชีพของราษฎร และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน โดยในปัจจุบันยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างสวัสดิการให้แก่ชุมชน

แม่ทัพภาคที่ 3

ได้เชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมบรรยากาศที่สวยงามของอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า พร้อมสัมผัสลมหนาวและธรรมชาติบริเวณทิวเขาอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 053-121119 หรือเว็บไซต์ www.rta.mi.th/hueytuengtao

 

ข้อมูลสรุป

อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่าเป็นโครงการพระราชดำริเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำของราษฎรในพื้นที่เชียงใหม่ นอกจากการเป็นหมู่บ้านตัวอย่าง ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ชมธรรมชาติ สักการะพระพุทธรูป ไปจนถึงการทำกิจกรรมกับครอบครัว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

Four Hands Dinner เชียงราย ร่วมสัมผัสไฟน์ไดนิ่งกับเชฟมิชลินสตาร์

สัมผัสประสบการณ์ Four Hands Dinner โดยเชฟมิชลินสตาร์ที่อนันตราสามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย

อนันตราสามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย เชิญคุณร่วมเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารสุดพิเศษกับ Four Hands Dinner ที่ผสานเสน่ห์ของอาหารฝรั่งเศสระดับไฟน์ไดนิ่งเข้ากับเอกลักษณ์ของอาหารพื้นเมืองล้านนา นำเสนอโดยเชฟมิชลินสตาร์ชื่อดังระดับโลก

เชฟผู้สร้างสรรค์เมนูสุดพิเศษ

ร่วมดื่มด่ำกับ 6 คอร์สเมนูที่รังสรรค์โดย เชฟอาร์โนด์ ดูนองด์ (Arnaud Dunand) เชฟเจ้าของร้าน Maison Dunand ที่คว้ารางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาวจาก The MICHELIN Guide Thailand ในปี 2023 และอดีตหัวหน้าเชฟร้าน Le Normandie ระดับมิชลิน 2 ดาว พร้อมด้วย เชฟพิสิษฐ์ จิโนพงค์ (เชฟจีโน่) เอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟผู้มากประสบการณ์กว่า 30 ปี

เชฟอาร์โนด์ นำเสนอกลิ่นอายของแคว้น Savoie ประเทศฝรั่งเศส บ้านเกิดของเขา ด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูงจากฝรั่งเศส ผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่นเชียงราย ในขณะที่เชฟจีโน่จะเน้นการประยุกต์และยกระดับอาหารพื้นบ้านภาคเหนือ ให้เป็นเมนูระดับห้าดาว

รายละเอียดของงาน

  • วันจัดงาน: 24 มกราคม 2568
  • เวลา: 18.00 น.
  • สถานที่: ห้องอาหารแสมสาร โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย
  • ราคา: 5,500++ บาทต่อท่าน (รวมไวน์แพร์ริ่ง)

เสน่ห์แห่งอาหาร 6 คอร์สระดับไฟน์ไดนิ่ง

ทุกเมนูถูกรังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อถ่ายทอดเอกลักษณ์และความพิถีพิถันของอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัย และอาหารล้านนาแบบประยุกต์ ให้คุณดื่มด่ำกับรสชาติที่กลมกล่อม พร้อมสัมผัสบรรยากาศริมแม่น้ำโขงในช่วงค่ำคืน

การสำรองที่นั่ง

หากคุณไม่อยากพลาดโอกาสพิเศษนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่เบอร์ 053-784-084

สรุป

Four Hands Dinner ครั้งนี้เป็นโอกาสพิเศษที่รวมตัวเชฟระดับมิชลินสตาร์และเอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟผู้เชี่ยวชาญ มอบประสบการณ์สุดพิเศษที่ผสานเสน่ห์อาหารฝรั่งเศสและล้านนาในบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟริมแม่น้ำโขง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อนันตราสามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เที่ยวป่าส้มแสง เชียงราย สัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตไม่ซ้ำใคร

แอ่วล้ำแอ่วเหลือ: เชียงรายชวนสัมผัส “ป่าส้มแสง” ป่าชุ่มน้ำอัตลักษณ์หนึ่งเดียวในอาเซียน

เชียงรายเปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน สู่ “ป่าส้มแสง” บ้านป่าข่า ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่โดดเด่นและไม่เหมือนใครในภูมิภาคอาเซียน ด้วยความพิเศษของระบบนิเวศป่าชุ่มน้ำตามฤดูกาล (Seasonal Wetland) ที่ผสมผสานความสวยงามของธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวบ้านได้อย่างลงตัว

เสน่ห์ของป่าส้มแสง: อัตลักษณ์แห่งธรรมชาติ

ป่าส้มแสงมีพื้นที่ประมาณ 85 ไร่ เป็นส่วนหนึ่งของป่าลุ่มน้ำอิง อุดมไปด้วยต้นส้มแสง หรือชุมแสง ซึ่งมีอายุมากกว่า 300 ปี ระบบนิเวศของป่าส้มแสงมีความพิเศษ คือ ต้องแช่น้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก 4-5 เดือนต่อปี โดยระดับน้ำสามารถสูงถึง 4-6 เมตร เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจากแม่น้ำอิงและแม่น้ำโขง ในช่วงน้ำลด ป่าส้มแสงจะเปลี่ยนเป็นพื้นที่สีเขียวอันร่มรื่น เป็นบ้านของสัตว์ป่า เช่น นก ไก่ป่า กระรอก และสัตว์ท้องถิ่นอื่น ๆ

ชุมชนบ้านป่าข่าได้พัฒนาป่าส้มแสงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยสร้างสะพานทางเดินชมธรรมชาติ (สกายวอร์ค) ยาว 378 เมตร ให้ผู้มาเยือนสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดกิจกรรมที่สะท้อนวิถีชีวิตพื้นบ้านเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้และดื่มด่ำกับความงามของพื้นที่

กิจกรรมแนะนำ: ใกล้ชิดธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวบ้าน

  1. เดินสกายวอร์ค ชมป่าส้มแสง เพลิดเพลินกับการเดินชมป่าส้มแสงผ่านสะพานไม้ยาว ที่เปิดให้เห็นวิวธรรมชาติรอบด้านทั้งในช่วงน้ำหลากและน้ำลด

  2. เรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้าน ร่วมสัมผัสวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน เช่น การหาปลาด้วยแหและอวน การทำอาหารพื้นบ้านอย่างลาบปลา ต้มปลา และปลาเผาสดจากแม่น้ำอิง

  3. พายเรือในหนองมน สนุกกับการพายเรือในหนองมน แหล่งน้ำที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ของหมู่บ้าน พร้อมชมธรรมชาติที่เงียบสงบ

  4. จุดกางเต็นท์ริมแม่น้ำอิง สัมผัสบรรยากาศแคมปิ้งริมน้ำ ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามในยามเช้าและค่ำคืน

  5. ไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล นมัสการพระครูวรกิติวิมล เจ้าอาวาสวัดบ้านป่าข่า และเดินชมทิวทัศน์รอบวัดที่เงียบสงบ

นโยบายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

ชุมชนบ้านป่าข่าได้รวมตัวกันตั้งคณะกรรมการดูแลพื้นที่และจัดการท่องเที่ยวให้มีความยั่งยืน โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการท่องเที่ยวจะถูกนำไปพัฒนาชุมชน เช่น การปรับปรุงเส้นทาง การจัดหาเครื่องจักรสำหรับแก้ปัญหาไฟป่าและ PM2.5 และการสร้างธนาคารน้ำใต้ดินเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาได้สะดวกมากขึ้น ด้วยถนนเชื่อมสายใหม่จากทางหลวง R3A ระยะทางเพียง 1,200 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ง่ายดายและปลอดภัย

แพ็กเกจท่องเที่ยวสุดคุ้ม

  • เที่ยวป่าส้มแสงแบบ 1 วัน: ราคา 200 บาท/คน รวมมัคคุเทศก์นำเที่ยว
  • เที่ยวเชิงวิถีชีวิต 1 วัน 1 คืน: ราคา 1,200 บาท/คน รวมอาหารจากชุมชนและกิจกรรมทั้งหมด (รองรับได้สูงสุด 20 คนต่อทริป)

มุมมองอันล้ำค่า: เชียงราย เมืองแห่งความหลากหลายทางธรรมชาติ

เชียงรายเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลาย การเที่ยวชมป่าส้มแสงไม่เพียงแต่เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ แต่ยังเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจในชุมชน และช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติให้อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน

“เชียงรายจะไม่หยุดอยู่แค่จุดหมายปลายทาง แต่จะเป็นที่ที่ผู้คนสามารถกลับมาเติมเต็มความสุขและแรงบันดาลใจได้เสมอ” ชาวบ้านป่าข่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

มาเป็นส่วนหนึ่งของการสัมผัสธรรมชาติและสร้างความทรงจำดี ๆ ที่ป่าส้มแสง จังหวัดเชียงราย พร้อมสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นไปพร้อมกัน!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

เฝ้าระวังอหิวาตกโรค ไทยย้ำสุขอนามัยรับปีใหม่

อหิวาตกโรคยังน่าห่วง! วช. เฝ้าระวังเข้มช่วงปีใหม่ ป้องกันการแพร่ระบาด

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 นพ.สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การระบาดของอหิวาตกโรคเป็น ‘ภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่’ เนื่องจากพบผู้ป่วยจำนวนมากและการระบาดขยายวงกว้างในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศเช่นเดียวกับโควิด-19

ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้เฝ้าระวังอหิวาตกโรคอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็น 1 ใน 57 โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตามกฎหมาย โดยหลังการระบาดในพื้นที่ชเวโก๊กโก่ ประเทศเมียนมา ซึ่งติดกับชายแดนจังหวัดตาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตากได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค พบผู้ป่วยสะสม 4 ราย แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 2 ราย และคนไทย 2 ราย นอกจากนี้ยังพบผู้ติดเชื้อไม่มีอาการอีก 3 ราย ทุกคนได้รับการรักษาจนหายดีแล้วและไม่มีผู้เสียชีวิต

มาตรการป้องกันโรคเข้มข้นในช่วงเทศกาลปีใหม่

นพ.สุภโชค กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่มีกิจกรรมเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ดังนี้

  1. สุขาภิบาลตลาดและร้านอาหาร
    เจ้าของตลาดทุกแห่งต้องล้างตลาดและฆ่าเชื้อทุกวัน รวมถึงร้านอาหารและแผงลอยต้องปฏิบัติตามหลักสุขาภิบาลอาหาร

  2. ทำความสะอาดห้องสุขาสาธารณะ
    หน่วยงานราชการ โรงเรียน และองค์กรเอกชนต้องล้างและฆ่าเชื้อห้องสุขาสาธารณะทุกวัน

  3. ควบคุมคุณภาพน้ำประปา
    ผู้รับผิดชอบระบบประปาต้องปรับปรุงคุณภาพน้ำให้มีค่าคลอรีนอิสระตามมาตรฐาน

  4. ตรวจคัดกรองผู้สงสัยติดเชื้อ
    ผู้ที่มีอาการหรือสงสัยว่าติดเชื้ออหิวาตกโรคต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองและรักษา

  5. ความร่วมมือจากสถานประกอบการ
    ร้านอาหาร สถานที่ผลิตน้ำดื่ม/น้ำแข็ง ต้องให้ความร่วมมือในการกำจัดหรือทำลายเชื้อ

  6. สื่อสารข้อมูลป้องกันโรค
    ขอความร่วมมือผู้นำชุมชนและเครือข่ายภาคประชาชนช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลความรู้การป้องกันโรคผ่านทุกช่องทาง

การเฝ้าระวังโรคและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า การจัดการกับอหิวาตกโรคจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

ในปี 2568 วช. ยังเตรียมพัฒนาระบบการส่งข้อความเตือนภัยผ่านโทรศัพท์มือถือให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันโรค

เน้นย้ำการป้องกันส่วนบุคคล

นพ.สุภโชคเน้นย้ำถึงความสำคัญของสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะการกินร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือ รวมถึงการเลือกบริโภคน้ำและอาหารที่สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายของโรค

สรุป

กระทรวงสาธารณสุขยังคงเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการป้องกันอหิวาตกโรคอย่างเข้มงวด พร้อมเรียกร้องความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรักษาสุขอนามัยและปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE