Categories
ENVIRONMENT

K-pop กับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ซีดีที่สร้างขยะพลาสติกมหาศาล

การผลิตอัลบั้ม K-pop กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 The Jakarta Post รายงานเรื่องราวที่สะท้อนถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตอัลบั้ม K-pop โดยเฉพาะการสะสมซีดีจำนวนมากที่มาพร้อมกับแคมเปญการตลาดที่ดึงดูดใจแฟนเพลงทั่วโลก

ปัญหาการผลิตและขยะซีดี K-pop

คิม นา-ยอน แฟนเพลง K-pop ชาวเกาหลีใต้เผยว่า ในอดีตเธอเคยซื้อซีดีจำนวนมากเพียงเพื่อตามหา “โฟโต้การ์ด” หรือของสะสมจากศิลปินในอัลบั้ม จนกระทั่งเธอเริ่มตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสะสมเหล่านี้ โดยซีดีที่ผลิตจากโพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) แม้จะสามารถรีไซเคิลได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการเฉพาะเพื่อป้องกันก๊าซพิษที่อาจปล่อยออกมา ข้อมูลจากการศึกษาของ Keele University ในสหราชอาณาจักรเผยว่า การผลิตซีดี 1 แผ่น สร้างการปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 500 กรัม หากคำนวณจากยอดขายรายสัปดาห์ของวง K-pop ชั้นนำ ยอดการปล่อยคาร์บอนอาจเทียบเท่ากับการเดินทางรอบโลก 74 ครั้ง

แคมเปญการตลาดและความนิยมซีดี

ถึงแม้แฟนเพลงจำนวนมากจะฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่งแล้ว แต่ยอดขายซีดียังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2023 อุตสาหกรรม K-pop ขายซีดีได้มากกว่า 115 ล้านแผ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยอดขายทะลุ 100 ล้านแผ่น การส่งเสริมการขายผ่านแคมเปญ เช่น การแถม “โฟโต้การ์ด” รุ่นลิมิเต็ด หรือโอกาสลุ้นวิดีโอคอลกับศิลปิน กลายเป็นแรงจูงใจให้แฟนเพลงซื้อซีดีมากขึ้น นอกจากนี้ อัลบั้มบางชุดยังออกแบบให้มีหลายปก เพื่อเพิ่มยอดขาย

โรซา เดอ จอง แฟนเพลง K-pop อีกรายกล่าวว่า การซื้ออัลบั้มเปรียบเสมือนการซื้อลอตเตอรี่ เพราะแฟนๆ ต้องการโอกาสในการได้ของสะสมหรือสิทธิพิเศษจากศิลปิน แต่กลับทำให้เกิดขยะพลาสติกสะสมในที่สาธารณะ เช่น ถนนและบันไดในกรุงโซล

การเรียกร้องให้ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

กลุ่ม Kpop4Planet ที่ก่อตั้งโดยแฟนเพลงชาวอินโดนีเซียในปี 2020 เริ่มรณรงค์ให้บริษัทบันเทิงลดการผลิตซีดีพลาสติก พวกเขาจัดการประท้วงและรวบรวมลายเซ็นเพื่อยื่นคำร้องให้บริษัทลดการใช้วัสดุพลาสติกและเปลี่ยนวิธีการตลาดที่กระตุ้นการบริโภค

HYBE บริษัทผู้จัดการวง BTS ระบุว่า บริษัทพยายามใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการผลิตอัลบั้มและสินค้า แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม ด้านกระทรวงสิ่งแวดล้อมของเกาหลีใต้พยายามลดการผลิตซีดีโดยการเก็บค่าปรับสำหรับการสร้างขยะพลาสติกตั้งแต่ปี 2003 แต่ค่าปรับเพียง 2 พันล้านวอน (ประมาณ 143,000 ดอลลาร์) ในปี 2023 กลับไม่มีผลกระทบมากนัก

แฟนเพลงยังคงสนับสนุนศิลปิน

คิม นา-ยอน ยืนยันว่า แม้เธอจะวิพากษ์วิจารณ์บริษัทบันเทิงเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่เธอไม่สามารถบอยคอตศิลปินได้ เพราะแฟนเพลงทุกคนต้องการเห็นศิลปินของตนประสบความสำเร็จ เธอเชื่อว่าปัญหานี้ต้องเริ่มแก้ไขจากการตลาดและการผลิตของบริษัทโดยตรง ไม่ใช่ตัวศิลปิน

อนาคตของอุตสาหกรรม K-pop และสิ่งแวดล้อม

ในขณะที่ยอดขายอัลบั้มพุ่งสูงขึ้น ความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมกลายเป็นความท้าทายใหญ่ของอุตสาหกรรม K-pop แฟนเพลงและกลุ่มเคลื่อนไหวต่างหวังว่าบริษัทบันเทิงจะเริ่มหันมาใช้แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยไม่กระทบต่อความนิยมของศิลปินและความสุขของแฟนเพลงทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : the jakarta post

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
ENVIRONMENT

ไทยเร่งปรับตัวสู้วิกฤตโลกร้อน ป้องภัยอนาคตสุดร้อนแรง

ไทยต้องปรับตัวรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ยกระดับการบริหารจัดการเพื่อความอยู่รอด

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 หนังสือพิมพ์ Bangkok Post รายงานถึงความเร่งด่วนในการปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังส่งผลกระทบต่อทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่มีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน

ความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โลกกำลังเผชิญกับปัญหาอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และสภาพอากาศสุดขั้วที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนและเศรษฐกิจ เช่น ภูเขาไฟฟูจิในญี่ปุ่นที่ไม่มีหิมะปกคลุมในเดือนตุลาคมเป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปี ถือเป็นสัญญาณชัดเจนของภาวะโลกร้อน

ในส่วนของประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิส่งผลต่อภาคเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และเศรษฐกิจโดยรวม การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1% ของโลก แต่ประเทศไทยกลับติดอันดับ 9 ในดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Index) และประสบกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วถึง 146 ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา

ผลกระทบสำคัญที่ประเทศไทยต้องเผชิญ

  1. น้ำท่วมและการกัดเซาะชายฝั่ง: กรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงอาจจมน้ำในอีก 30 ปีข้างหน้า เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการทรุดตัวของดิน เช่น วัดขุนสมุทรจีนในสมุทรปราการที่กลายเป็นเกาะกลางน้ำ
  2. ภัยแล้งและคลื่นความร้อน: จังหวัดแม่ฮ่องสอนอาจมีวันปราศจากฝนถึง 100 วันต่อปี ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนน้ำและอุณหภูมิสูงถึง 40°C
  3. ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ: ความร้อนที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อแรงงานกลางแจ้ง เช่น เกษตรกรและพนักงานขนส่ง ที่ต้องลดชั่วโมงการทำงานลง พร้อมกับเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพและลดผลิตภาพทางเศรษฐกิจ

แนวทางการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เสนอแนะ 3 กลยุทธ์หลักในการรับมือ ได้แก่

  1. การป้องกันและลดความเสี่ยง:

    • พัฒนาพันธุ์พืชที่ทนแล้ง
    • ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทนทานต่อพายุและน้ำท่วม
    • ปลูกป่าชายเลนเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
    • พิจารณาการย้ายถิ่นฐานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
  2. การเตรียมพร้อมและการตอบสนอง:

    • ระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการพยากรณ์อากาศที่น่าเชื่อถือ
    • จัดทำแผนฟื้นฟูชุมชนและระบบบริการฉุกเฉิน
  3. การฟื้นฟูและเพิ่มความยืดหยุ่น:

    • มุ่งเน้นการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน
    • จัดทำระบบประกันภัยและเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม
    • หลีกเลี่ยงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น เขื่อนกั้นน้ำโดยไม่มีการศึกษาอย่างรอบคอบ

บทเรียนจากต่างประเทศ

  • เนเธอร์แลนด์: ใช้ระบบกำแพงกันน้ำที่ออกแบบจากการศึกษาสภาพแวดล้อมและความคิดเห็นของชุมชน
  • ญี่ปุ่น: ใช้เทคโนโลยี Digital Twin เพื่อจำลองสถานการณ์น้ำท่วม
  • สิงคโปร์: ลงทุนในพื้นที่สีเขียวเพื่อลดผลกระทบจากคลื่นความร้อน

การบริหารจัดการที่ยั่งยืน

รัฐบาลไทยควรตั้งกองทุน Green Transition and Adaptation Fund ผ่านการจัดเก็บภาษีคาร์บอน เพื่อสนับสนุนกลุ่มเปราะบางและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สอดรับกับอนาคต ลดการพึ่งพาการแจกเงินช่วยเหลือเฉพาะหน้า และส่งเสริมงานวิจัยเพื่อสร้างอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สรุป

ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง ทั้งการป้องกัน ฟื้นฟู และพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศและสร้างความยืดหยุ่นต่ออนาคตที่ร้อนขึ้นทุกวัน

นี่คือเวลาที่ประเทศไทยต้องลงมือทำอย่างจริงจังเพื่ออนาคตที่ดีกว่า!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bangkokpost

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สนุกกับ Low Carbon Tourism เที่ยวรักษ์โลก : เพื่ออนาคตยั่งยืน

#แอ่วล้ำแอ่วเหลือ: เที่ยวแบบรักษ์โลก สนุกแบบ Low Carbon Tourism

ในยุคที่โลกของเรากำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อน ผลกระทบของมันไม่ได้อยู่แค่ในข่าวสารที่เราได้ยินเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างชัดเจน ซึ่งต้นเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โครงการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน หรือ Low Carbon Tourism จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ทั้งสนุกและรับผิดชอบต่อโลกใบนี้

Low Carbon Tourism: เที่ยวสนุกแบบมีความรับผิดชอบ

หลายคนอาจสงสัยว่า “การท่องเที่ยวเกี่ยวอะไรกับการลดคาร์บอน?” คำตอบคือ ทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ทั้งการใช้พาหนะที่ปล่อยมลพิษ การบริหารจัดการของเสียในแหล่งท่องเที่ยว หรือแม้แต่การเลือกซื้อสินค้าในท้องถิ่น ล้วนส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น การเปลี่ยนพฤติกรรมการท่องเที่ยวเพียงเล็กน้อย เช่น การเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถสาธารณะ การเข้าพักในโฮมสเตย์ที่มีมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม หรือการเข้าร่วมกิจกรรมที่สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า สภาวะโลกร้อนในปัจจุบันส่งผลกระทบทั้บเรื่องมลพิษและก๊าซเรือนกระจก จนทำให้โลกกำลังก้าวเข้าสู่สภาวะโลกเดือด ซึ่งในอนาคตอันใกล้หากทั้งโลกไม่ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในทุกกิจกรรมของการดำเนินชีวิต จะส่งผลให้สภาพอากาศและสมดุลทางธรรมชาติแปรปรวน ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งหมดบนโลก รวมถึงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีการเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมการท่องเที่ยวกับสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่ออกเดินทางโดยใช้พาหนะต่างๆ ตลอดจนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของสถานประกอบการ ทำให้พบว่ามีบทบาทสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากขึ้น

โครงการส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน

กรมการท่องเที่ยวได้ริเริ่มโครงการนี้ด้วยวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และชุมชนท้องถิ่น เห็นความสำคัญของการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ กิจกรรมที่เกิดขึ้นในโครงการมีหลากหลาย ตั้งแต่การจัดอบรมพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวลดคาร์บอน การสร้างต้นแบบเส้นทางท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน เช่น เส้นทางโฮมสเตย์ไทย หรือการท่องเที่ยวโดยชุมชน ไปจนถึงการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดในหลายภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งมี 11 เส้นทางทั่วประเทศครอบคลุมทุกภูมิภาคของไทย ประกอบด้วย เส้นทางขอนแก่น – ชัยภูมิ, อุดรธานี – หนองคาย, เลย – เพชรณ์, จันทบุรี – ตราด, กาญจนบุรี – ราชบุรี, สมุทรสงคราม – สมุทรสาคร, เชียงราย – พะเยา, เชียงใหม่ – ลำปาง, อุทัยธานี – นครสวรรค์, กระบี่ – สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต – พังงา

ตัวอย่างเส้นทางที่น่าสนใจ ได้แก่

  • เชียงราย – พะเยา: ดื่มด่ำกับธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชน
  • อุดรธานี – หนองคาย: สัมผัสวัฒนธรรมอีสานและความสวยงามของแม่น้ำโขง
  • กระบี่ – สุราษฎร์ธานี: ชมทะเลสวยและการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล

ร่วมมือเพื่อความยั่งยืน

โดยการท่องเที่ยวแบบ Low Carbon ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องลดความสนุก แต่เป็นการเพิ่มมิติใหม่ของการท่องเที่ยวที่ใส่ใจโลกและช่วยสร้างความยั่งยืน ทุกก้าวเดินของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่พัก การเดินทาง หรือกิจกรรมในท้องถิ่น ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโลกใบนี้ให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นต่อไป

อธิบดีกรมการท่องเที่ยว กล่าวทิ้งท้ายว่า กิจกรรมประชาสัมพันธ์ต้นแบบเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำที่กรมการท่องเที่ยว จัดขึ้นในครั้งนี้ มุ่งหวังให้นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการทุกภาคส่วน และชุมชนท่องเที่ยว เกิดความตระหนักรู้ในเรื่อง การลดก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากทุกกิจกรรมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สร้างการมีส่วนร่วมเพื่อรับผิดชอบต่อส่วนรวมของคนในพื้นที่ สร้างเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงกันทั่วประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและยั่งยืนอย่างแท้จริงตามกระแสและกฎระเบียบใหม่ของโลก

วัดร่องขุ่น อ.เมือง จ. เชียงราย

ชมวัดร่องขุ่น ศิลปะงดงามแห่งความยั่งยืน

หากพูดถึงจุดหมายปลายทางที่ทั้งงดงามและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย คงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อยู่ในใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยความวิจิตรตระการตาของสถาปัตยกรรมที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) วัดร่องขุ่นจึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศ

ความโดดเด่นของวัดแห่งนี้อยู่ที่การออกแบบอันมีเอกลักษณ์ ใช้เวลาสร้างสรรค์ยาวนานกว่า 13 ปี โดยสะท้อนถึงความรักในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการก่อสร้าง ทุกมุมมองของวัดล้วนเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ถ่ายทอดความหมายเชิงศาสนาอย่างลึกซึ้ง

นอกจากความงดงาม วัดร่องขุ่นยังยึดมั่นในแนวทางการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดการขยะที่เป็นระบบ เช่น การคัดแยกขยะ การใช้เตาเผาขยะไร้ควัน และการส่งถุงพลาสติกจากนักท่องเที่ยวไปรีไซเคิล นี่คือตัวอย่างที่ดีของการท่องเที่ยวที่ไม่เพียงแต่สนุก แต่ยังใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • เวลาเปิด-ปิด: 08.00 – 17.00 น.
  • ค่าเข้าชม: คนไทยเข้าชมฟรี, ชาวต่างชาติ 100 บาท
สิงห์ปาร์ค อ.เมือง จ. เชียงราย

สถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร มีพื้นที่เกษตรกรรม ไร่ชา และธรรมชาติที่สวยงามในพื้นที่กว่า 8,000 ไร่ ในช่วงฤดูหนาวมีทุ่งดอกคอสมอส ทุ่งปอเทือง และผลไม้ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ พุทราพันธุ์ซื่อหมี่ และชาสูตรพิเศษนานาชนิดที่เป็นสูตรเฉพาะจากไร่
และยังมีกิจกรรมให้เช่าจักรยานปั่นภายในไร่ การโหนซิปไลน์ ชมไร่ชาในมุมสูงรอบทิศ 360 องศา รถรางบริการนำเที่ยวชมในไร่ตามจุดต่าง ๆ และให้อาหารสัตว์ เช่น ยีราฟ ม้าลาย อย่างใกล้ชิด

ในการเดินทางท่องเที่ยวที่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมและเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ, สิงห์ปาร์ค ในจังหวัดเชียงรายนับเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าสนใจที่สุด ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ที่สวยงามทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นแบบอย่างของการทำการเกษตรอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

สิงห์ปาร์คได้ส่งเสริมการปลูกพืชและปลูกป่าร่วมกับชุมชน เพื่อลดการเผาป่าและการทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และควันไฟฟ้าควันอื่นๆ ที่เป็นผลพวงจากกิจกรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ การร่วมมือกันเหล่านี้ยังช่วยให้ชุมชนมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

การดูแลแหล่งน้ำกว่า 50 บ่อที่สิงห์ปาร์คนั้นเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการรักษาความสมดุลของระบบธรรมชาติและเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่รองรับกิจกรรมการเกษตรในพื้นที่ รวมถึงการใช้เป็นแหล่งน้ำในการช่วยเหลือเหตุการณ์ดับไฟป่าที่อาจเกิดขึ้นได้

อีกทั้งการควบคุมการใช้สารเคมีต่างๆ ถือเป็นการปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อมจากการสัมผัสสารเคมีที่อาจเป็นอันตราย การปฏิบัติการอย่างเข้มงวดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของสิงห์ปาร์คที่จะรักษาสุขภาพของชุมชนและความสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่

การเยือนสิงห์ปาร์คในเชียงรายจึงไม่เพียงแต่ให้ประสบการณ์ท่องเที่ยวที่สวยงามและผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนที่ช่วยให้ทั้งชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้รับประโยชน์ร่วมกัน นี่คือการท่องเที่ยวนอกเส้นทางที่จะทำให้ผู้เยี่ยมชมได้รับการตระหนักรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย.

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • เวลาเปิด-ปิด: 08.30 – 18.00 น.
    ค่าเข้าชม:
  • รถรางนำเที่ยว ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็กสูงไม่เกิน 110 เซ็นติเมตร 50 บาท เวลา 09.00-16.00 น.
  • ค่าเช่าจักรยาน รอบละ 2 ชั่วโมง ราคา 200 บาท เวลา 08.30-17.00 น.
  • ค่าเช่าจักรยานไฟฟ้า (E-bike) รอบละ 2 ชั่วโมง ราคา 300 บาท
  • รถกอล์ฟส่วนตัวขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่ง ระยะเวลา 2 ชั่วโมง ราคา 600-1,500 บาท
  • ค่าเช่ารถ ATV ระยะเวลา 40 นาที ราคา 1,200 บาท ระยะเวลา 1.20 ชั่วโมง ราคา 1,400 บาท
  • Zip Line คนละ 300 บาท เวลา 11.00–17.00 น.
  • สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า รอบละ 1.30 ชั่วโมง ราคา 300 บาท
  • กิจกรรมปีนผา ราคา 150 บาท เปิดทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น.
ชุมชนบ้านโป่งแดง อ.พาน จ.เชียงราย

สำรวจการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำที่ชุมชนบ้านโป่งแดง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

การท่องเที่ยวชุมชนบ้านโป่งแดงให้คุณได้เห็นแง่มุมใหม่ของการเกษตรที่ก้าวหน้าแต่ยังคงรักษาสิ่งแวดล้อม พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งได้พัฒนาจากการเกษตรแบบดั้งเดิมสู่เกษตรอัจฉริยะ หรือ “Smart Farming” ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการจัดการและปรับปรุงคุณภาพการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูง.

 

ทัวร์ชมศูนย์การเรียนรู้ Smart Farm and Smart Home

การเยี่ยมชมศูนย์ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ Smart Farm and Smart Home ที่บ้านโป่งแดงจะให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ระบบสั่งงานด้วยมือถือในการบริหารจัดการเกษตรกรรม ช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการทำงานและประโยชน์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม.

ชมการแปรรูปสมุนไพรเพื่อเพิ่มมูลค่า

ในการเดินทางครั้งนี้ คุณจะได้ชมการสาธิตการแปรรูปสมุนไพรที่ทางชุมชนได้พัฒนาขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตร การเรียนรู้วิธีการเหล่านี้จะทำให้เห็นถึงความสำคัญของการนำความรู้และเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น.

สัมผัสวิธีการผลิตข้าวเกรียบว่าวแบบดั้งเดิม

ตอนหนึ่งของการท่องเที่ยวที่ทำให้คุณได้สัมผัสความเป็นมาของอาหารพื้นบ้าน คือการดูการผลิตข้าวเกรียบว่าว ที่ยังคงรักษากรรมวิธีแบบดั้งเดิมไว้อย่างดี การรับชมขั้นตอนเหล่านี้ให้ความรู้สึกที่แท้จริงของวัฒนธรรมอาหารและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน.

เดินป่าและกิจกรรมยิงหนังสติ๊กปลูกป่า

การเดินทางผ่านป่าชายเขาและร่วมกิจกรรมยิงหนังสติ๊กปลูกป่าเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมโดยตรงกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและการฟื้นฟูป่าไม้.

พักผ่อนที่น้ำพุร้อน

ปิดท้ายวันด้วยการแช่น้ำพุร้อนให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย สนุกสนานกับการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้าจากกิจกรรมทั้งหมด.

การเดินทางท่องเที่ยวที่บ้านโป่งแดงไม่เพียงมอบประสบการณ์ที่สนุกสนานและสร้างความผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังให้ความรู้และมุมมองใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตร่วมกันกับโลกและชุมชนท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม.

ท่าเรือวัดติโลกอาคาม อ.เมือง จ.พะเยา

ท่าเรือวัดติโลกอาคาม: จุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ

ท่าเรือวัดติโลกอาคาม ตั้งอยู่ในจังหวัดพะเยา เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการดำเนินการที่มุ่งหวังให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ซึ่งการเลือกใช้พลังงานทดแทนและการเดินทางด้วยการขนส่งที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ถือเป็นหัวใจหลักในการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและไม่ทำลายธรรมชาติ

กิจกรรมใส่บาตรข้าวเหนียว: ประเพณีที่เชื่อมโยงกับชุมชน หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญในท่าเรือวัดติโลกอาคามคือการใส่บาตรข้าวเหนียว ซึ่งเป็นประเพณีที่ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมของชุมชน แต่ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มีความยั่งยืน โดยกิจกรรมนี้จะช่วยให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

ความยั่งยืนในการท่องเที่ยวริมกว๊านพะเยา การท่องเที่ยวริมกว๊านพะเยาเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กว๊านพะเยาเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ การสนับสนุนให้ผู้มาเยือนท่องเที่ยวด้วยการเดินทางที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้จักรยานหรือการเดินเท้า เป็นวิธีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและรักษาความงามของแหล่งท่องเที่ยวนี้

การเดินทางคาร์บอนต่ำในพื้นที่: วิธีการเดินทางที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม 

ในการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ การเลือกการเดินทางที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้จักรยาน เดินเท้า หรือรถสาธารณะที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ การใช้ยานพาหนะไฟฟ้าหรือพลังงานทดแทนก็เป็นทางเลือกที่ดีในการเดินทางไปยังท่าเรือวัดติโลกอาคามและริมกว๊านพะเยา การเลือกกิจกรรมท่องเที่ยวที่รักษาสิ่งแวดล้อม การเลือกกิจกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น การเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติ การเข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ง่าย เป็นตัวอย่างของกิจกรรมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ ข้อดีของการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น อีกทั้งยังทำให้ผู้ท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาธรรมชาติ

ประโยชน์ของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมใส่บาตรข้าวเหนียว

การเข้าร่วมกิจกรรมใส่บาตรข้าวเหนียวไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและนักท่องเที่ยว แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรมและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในรูปแบบที่ยั่งยืนการสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยการส่งเสริมให้ชุมชนใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน

การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในบริเวณกว๊านพะเยา กว๊านพะเยาเป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี การท่องเที่ยวในบริเวณนี้ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความงามของแหล่งน้ำสำคัญ แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักในเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยการท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ บทบาทของชุมชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ชุมชนเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ พวกเขามีบทบาทในการให้ข้อมูล การแนะนำกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ: ข้อแนะนำในการวางแผนท่องเที่ยว ในการวางแผนท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ควรคำนึงถึงการเลือกกิจกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้ยานพาหนะที่ลดการปล่อยคาร์บอน และการพิจารณาความยั่งยืนของการเดินทาง การรักษาความสะอาดในพื้นที่ท่องเที่ยว การรักษาความสะอาดในพื้นที่ท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญ การจัดกิจกรรมทำความสะอาด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ช่วยลดการสะสมของขยะและรักษาความงามของสถานที่ท่องเที่ยว การลดการใช้พลังงานในการท่องเที่ยว การลดการใช้พลังงานในระหว่างการท่องเที่ยวสามารถทำได้โดยการใช้แหล่งพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ การเดินทางด้วยจักรยาน หรือการเข้าพักในที่พักที่มีการใช้พลังงานจากแหล่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อนาคตของการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำในจังหวัดพะเยา การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำในจังหวัดพะเยามีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต เนื่องจากการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและชุมชนท้องถิ่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจะช่วยรักษาความสมดุลของธรรมชาติและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว

บ้านดอกบัวท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา จังหวัดพะเยา

กิจกรรม เยี่ยมชมตลาดชุมชน / ชมสวนเศรษฐกิจพอพียง / workshop eco print  /สาธิตกาทำอาหารพื้นเมือง

การท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนวิถีชีวิตชุมชน หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ เส้นทางการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำของชุมชนบ้านดอกบัวท่าวังทอง ในตำบลท่าวังทอง อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และการรักษาสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว การท่องเที่ยวเส้นทางคาร์บอนต่ำที่ชุมชนบ้านดอกบัวท่าวังทอง จังหวัดพะเยา เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตชุมชนอย่างแท้จริง โดยไม่ละเลยความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนในระยะยาว ถ้าคุณกำลังมองหาประสบการณ์ท่องเที่ยวที่แตกต่างและมีคุณค่า เส้นทางนี้คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ!

กิจกรรมที่น่าสนใจในบ้านดอกบัวท่าวังทอง

  1. เยี่ยมชมตลาดชุมชน
    ตลาดชุมชนบ้านดอกบัวเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าออร์แกนิกและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่ผลิตขึ้นโดยชาวบ้าน และงานหัตถกรรมที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของชุมชน

  2. ชมสวนเศรษฐกิจพอเพียง
    เรียนรู้วิถีชีวิตที่พึ่งพาตนเองผ่านสวนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจัดแสดงการทำเกษตรอินทรีย์ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และการปลูกพืชผักที่หลากหลายภายในพื้นที่เล็ก ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร

  3. Workshop Eco Print จากธรรมชาติ
    หนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตคือการทำ Eco Print โดยใช้ใบไม้หรือดอกไม้พิมพ์ลวดลายลงบนผ้า นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้กระบวนการที่ละเอียดอ่อน ตั้งแต่การเลือกใบไม้ในท้องถิ่น เช่น ใบสัก ใบมะม่วง ใบละหุ่ง จนถึงการนำผ้าไปนึ่งที่อุณหภูมิและเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ลวดลายและสีสันที่ไม่ซ้ำกัน

  4. สาธิตการทำอาหารพื้นเมือง
    สัมผัสเสน่ห์ของอาหารพื้นบ้านภาคเหนือผ่านการสาธิตและลงมือทำอาหารด้วยตนเอง เมนูยอดนิยม เช่น ส้มตำ  ตำมะม่วง  หรือจะลาบ ก็สร้างประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยรสชาติและความอบอุ่นจากชาวบ้าน

  5. เรียนรู้วิถีชุมชนคนลุ่มน้ำอิง
    ชุมชนบ้านดอกบัวตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำอิง นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้ระบบนิเวศที่เชื่อมโยงระหว่างเขา ป่า นา และน้ำ พร้อมกับการใช้ชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติอย่างยั่งยืน

การส่งเสริมการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน

กรมการท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืน โดยการสนับสนุนและอบรมผู้ประกอบการให้มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการก๊าซเรือนกระจก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ชุมชนและนักท่องเที่ยวมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การลดการใช้พลาสติก การจัดการขยะอย่างเหมาะสม และการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เส้นทางนี้ ส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติ: การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

  • สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น: รายได้จากการท่องเที่ยวถูกกระจายกลับไปยังชุมชน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่
  • สร้างประสบการณ์ที่ยั่งยืน: นักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตดั้งเดิม

เครดิตภาพ : กีรติ ชุติชัย

ข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ลูกแพนด้าแดงเครียดจากพลุเสียชีวิต เรียกร้องควบคุมการใช้พลุ

แพนด้าแดงวัย 3 เดือนเสียชีวิตจากความเครียดเพราะเสียงพลุ เอดินบะระ ซู เรียกร้องกฎหมายควบคุมการใช้พลุ

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าว CNN รายงานว่า ลูกแพนด้าแดงวัยเพียง 3 เดือนที่ชื่อ “ร็อกซี่” ซึ่งอยู่ที่สวนสัตว์เอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ เสียชีวิตจากความเครียดที่เกิดขึ้นหลังได้ยินเสียงพลุในคืนวันที่ 5 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวัน “Bonfire Night” ของสหราชอาณาจักร

ลูกแพนด้าแดงเสียชีวิตจากอาการเครียดหลังได้ยินเสียงพลุ

ร็อกซี่ ลูกแพนด้าแดงอายุ 3 เดือน ได้รับการดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมสัตววิทยาแห่งราชวงศ์สกอตแลนด์ (RZSS) หลังจากที่แม่ของมันชื่อ “จินเจอร์” เสียชีวิตก่อนหน้านี้เพียง 5 วัน แม้ทีมผู้เชี่ยวชาญจะให้การดูแลอย่างใกล้ชิดและร็อกซี่สามารถกินอาหารเองได้ แต่เสียงพลุดังสนั่นในคืน Bonfire Night กลับทำให้ลูกแพนด้าแดงตัวน้อยเกิดความเครียดอย่างรุนแรงจนถึงขั้นอาเจียนและสำลักอาเจียนของตัวเองจนเสียชีวิต

เบน ซัพเพิล รองประธานบริหารของ RZSS กล่าวว่า “เสียงพลุที่ดังมากเกินไปส่งผลให้ร็อกซี่เกิดความเครียดและอาจมีส่วนทำให้แม่ของร็อกซี่เสียชีวิตก่อนหน้านี้ เราไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปได้ที่พลุอาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของแม่และลูกแพนด้าแดงทั้งสองตัว”

เรียกร้องให้รัฐบาลควบคุมการใช้พลุ

RZSS ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมการใช้พลุให้เข้มงวดยิ่งขึ้น เนื่องจากพลุเป็นสาเหตุที่ทำให้สัตว์ในสวนสัตว์และสัตว์เลี้ยงทั่วไปเกิดความเครียดอย่างรุนแรง โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าสัตว์หลายตัวเสียชีวิตเนื่องจากความตกใจจากเสียงพลุ เช่น ในปี 2020 ลูกม้าลายตัวหนึ่งที่สวนสัตว์บริสตอลก็เสียชีวิตหลังตกใจจากเสียงพลุ

ข้อเสนอในการจำกัดการใช้พลุ

สวนสัตว์เอดินบะระได้เสนอให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรและรัฐบาลสกอตแลนด์พิจารณาแก้ไขกฎหมาย โดยให้จำกัดการขายพลุให้แก่สาธารณชน และอนุญาตให้ใช้พลุเฉพาะในงานที่มีการจัดแสดงอย่างเป็นทางการเท่านั้น เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสัตว์ นอกจากนี้ RZSS ยังได้สนับสนุนคำร้องสาธารณะที่มีประชาชนลงชื่อกว่า 1 ล้านคนเพื่อเรียกร้องให้มีการควบคุมการใช้พลุอย่างเข้มงวด

“การจำกัดการใช้พลุให้อยู่ในงานที่มีการจัดการอย่างเป็นระเบียบ จะช่วยลดความเครียดและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสัตว์อย่างร็อกซี่ และในขณะเดียวกันก็ยังคงสามารถให้ประชาชนเพลิดเพลินกับการเฉลิมฉลองได้” ซัพเพิล กล่าว

การควบคุมการใช้พลุในสหราชอาณาจักร

ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรมีกฎหมายห้ามจุดพลุระหว่างเวลา 23.00 น. ถึง 7.00 น. ยกเว้นในคืน Bonfire Night วันส่งท้ายปีเก่า เทศกาลดิวาลี และวันตรุษจีน อย่างไรก็ตาม พลุยังคงสามารถซื้อได้จากผู้จำหน่ายที่ได้รับอนุญาตในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน และในช่วงก่อนเทศกาลสำคัญบางวัน

ผลกระทบต่อสัตว์และความจำเป็นในการแก้ไขกฎหมาย

จากข้อมูลของ RSPCA (สมาคมป้องกันการทารุณกรรมสัตว์แห่งสหราชอาณาจักร) พบว่า มีการรายงานเหตุการณ์ที่สัตว์แสดงความกลัวจากเสียงพลุกว่า 13,000 ครั้งในช่วงสามปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลุมีผลกระทบทางลบอย่างมากต่อสุขภาพจิตของสัตว์เลี้ยงและสัตว์ในสวนสัตว์

นอกจากนี้ สวนสัตว์เอดินบะระยังกล่าวว่าการเสียชีวิตของร็อกซี่ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงความจำเป็นในการทบทวนกฎหมายปัจจุบันเกี่ยวกับการใช้พลุ เพื่อปกป้องสุขภาพของสัตว์และลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของสัตว์ในอนาคต

โฆษกของกระทรวงการค้าและธุรกิจของสหราชอาณาจักร กล่าวเสริมว่า รัฐบาลได้เริ่มรณรงค์เกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้พลุเพื่อให้ประชาชนใช้พลุอย่างระมัดระวังและเหมาะสม พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปกป้องสัตว์เลี้ยงและประชาชนทั่วไป

ความหวังในการปรับปรุงกฎหมาย

รัฐบาลสกอตแลนด์โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความปลอดภัยชุมชน Siobhian Brown ได้กล่าวว่า รัฐบาลสกอตแลนด์มีข้อจำกัดในการปรับปรุงกฎหมายด้านการใช้พลุ แต่เธอได้ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลสหราชอาณาจักรเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มเติมในการควบคุมการใช้พลุ

ทั้งนี้ การเสียชีวิตของลูกแพนด้าแดงร็อกซี่และแม่ของมัน ถือเป็นการเตือนใจให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมการใช้พลุ และการดูแลสัตว์ในสวนสัตว์อย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : cnn

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ค้นพบปะการังยักษ์ มองเห็นจากอวกาศ อายุ 300 ปี

FAQs

  1. ปะการังขนาดยักษ์นี้ค้นพบที่ไหน?
    ค้นพบในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ใกล้หมู่เกาะโซโลมอน

  2. ปะการังนี้มีอายุเท่าไหร่?
    มีอายุมากกว่า 300 ปี และสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ

  3. ทำไมการค้นพบนี้ถึงสำคัญ?
    เพราะแสดงให้เห็นว่าปะการังยังคงสามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แม้จะมีภาวะโลกร้อน

  4. การค้นพบนี้จะช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์อย่างไร?
    อาจดึงดูดนักวิจัยและนักท่องเที่ยว เพิ่มทุนในการอนุรักษ์และการปกป้องสิ่งแวดล้อม

  5. ปะการังมีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างไร?
    เป็นแหล่งอาหารสำคัญและช่วยปกป้องชายฝั่งจากพายุและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล

ค้นพบปะการังใหญ่ที่สุดในโลกในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ เห็นได้จากอวกาศ

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ทีมนักวิทยาศาสตร์ประกาศการค้นพบครั้งใหญ่ในโลกใต้ท้องทะเล เมื่อพวกเขาค้นพบ ปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ใกล้กับหมู่เกาะโซโลมอน ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึงกว่า 100 ฟุต และมีอายุมากกว่า 300 ปี ที่น่าทึ่งคือปะการังขนาดใหญ่นี้สามารถมองเห็นได้จากอวกาศ ซึ่งนับเป็นการค้นพบที่หายากและสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการวิทยาศาสตร์ทะเล

ค้นพบครั้งสำคัญในการสำรวจของ National Geographic Pristine Seas

ปะการังขนาดยักษ์นี้ถูกค้นพบในระหว่างการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ที่นำโดยโครงการ National Geographic Pristine Seas ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อศึกษาสุขภาพของมหาสมุทรในบริเวณหมู่เกาะโซโลมอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “Coral Triangle” พื้นที่ที่ถือว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ปะการังที่ค้นพบนี้มีขนาด ใหญ่กว่าสถิติปะการังเดิมที่เคยค้นพบในอเมริกันซามัวถึงสามเท่า และมีความยาวมากกว่าสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างปลาวาฬสีน้ำเงิน

ปะการังเดี่ยวที่เติบโตต่อเนื่องมานานหลายศตวรรษ

ต่างจากแนวปะการังทั่วไปที่ประกอบด้วยหลายโคโลนี ปะการังที่ค้นพบนี้เป็นปะการังเดี่ยวขนาดใหญ่ที่เติบโตต่อเนื่องมายาวนานกว่า 300 ปี โดยประกอบไปด้วย โพลิปนับพันล้านตัว ที่รวมตัวกันเป็นปะการังยักษ์ที่มีชีวิตชีวา จากมุมมองด้านบน ปะการังนี้ดูคล้ายกับหินขนาดใหญ่สีน้ำตาล ซึ่งทำให้ผู้สำรวจบางคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซากเรืออับปาง

การค้นพบที่สร้างความหวังให้กับการอนุรักษ์ปะการัง

การค้นพบครั้งนี้นับว่าเป็นข่าวดีในช่วงเวลาที่แนวปะการังทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหา การฟอกขาว และความเสียหายจากภาวะโลกร้อน ดร.เอมิลี่ ดาร์ลิ่ง ผู้อำนวยการด้านปะการังของ Wildlife Conservation Society กล่าวว่าการค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าปะการังยังสามารถเติบโตและมีชีวิตได้ดีในสภาวะที่เหมาะสม แม้จะอยู่ท่ามกลางวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความสำคัญของปะการังต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม

ปะการังไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล แต่ยังเป็นแหล่งอาหารสำคัญที่สนับสนุนการประมงและวิถีชีวิตของผู้คนกว่าพันล้านคนทั่วโลก นอกจากนี้ แนวปะการังยังทำหน้าที่เป็นกำแพงธรรมชาติที่ช่วยปกป้องชายฝั่งจากพายุและการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล

อย่างไรก็ตาม การค้นพบครั้งนี้ยังเป็นการเตือนให้เห็นถึงภัยคุกคามที่ยังคงมีอยู่ ปะการังแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแต่ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การทำประมงเกินขนาด มลพิษจากอุตสาหกรรม และการทิ้งของเสียลงสู่ทะเล

ผลกระทบของการค้นพบต่อหมู่เกาะโซโลมอน

นายเดนนิส มาริตา ผู้อำนวยการด้านวัฒนธรรมของกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของหมู่เกาะโซโลมอนกล่าวว่าการค้นพบปะการังขนาดยักษ์นี้อาจนำไปสู่การดึงดูดนักวิจัยและนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มทุนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมเศรษฐกิจของชุมชน

ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ถึงแม้ว่าปะการังขนาดใหญ่นี้จะอยู่ในสภาพที่ดี แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานจาก องค์การบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ระบุว่าการฟอกขาวของแนวปะการังทั่วโลกในปีนี้เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดที่เคยมีการบันทึกไว้ และกว่า 40% ของปะการังที่สร้างแนวปะการังในน่านน้ำอุ่นกำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์

ความหวังจากการค้นพบครั้งนี้

แม้ว่าแนวปะการังทั่วโลกจะอยู่ในสภาวะที่เปราะบาง การค้นพบปะการังขนาดใหญ่นี้ยังคงเป็นสัญญาณแห่งความหวัง ดร.ดีเร็ค แมนเซลโล จาก NOAA กล่าวว่า การที่ปะการังนี้สามารถดำรงชีวิตได้นานถึงหลายร้อยปีแสดงให้เห็นว่า ยังมีสภาพแวดล้อมที่สามารถสนับสนุนการเติบโตของปะการังได้ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะโลกร้อน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : cnn

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

นิวเดลีสั่งปิดโรงเรียนประถมสู้ฝุ่นพิษ PM2.5 กระทบการเดินทาง

กรุงนิวเดลีเผชิญวิกฤตฝุ่น PM2.5 สั่งปิดโรงเรียนประถมและห้ามก่อสร้างเพื่อลดมลพิษ

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 กรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ได้ประกาศมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงขึ้น ทางการสั่งให้โรงเรียนระดับประถมทุกแห่งยุติการเรียนการสอนแบบพบหน้าและหันไปใช้การเรียนออนไลน์ทันทีจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียยังประกาศห้ามการก่อสร้างที่ไม่จำเป็นในเมืองหลวง พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้ถ่านหินในการให้ความร้อน เพื่อช่วยลดมลพิษที่กำลังทวีความรุนแรง

การประกาศของหัวหน้ารัฐบาลนิวเดลีเพื่อต่อสู้กับมลพิษ

Atishi หัวหน้าคณะรัฐมนตรีกรุงนิวเดลี ซึ่งใช้ชื่อเดียว เปิดเผยบนแพลตฟอร์มโซเชียล X (เดิมคือ Twitter) ว่า “เนื่องจากระดับมลพิษที่เพิ่มสูงขึ้น โรงเรียนประถมทุกแห่งในกรุงนิวเดลีจะเปลี่ยนเป็นการเรียนออนไลน์ จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม” พร้อมกับมาตรการอื่น ๆ ที่จะเริ่มมีผลในเช้าวันศุกร์ เช่น การฉีดพ่นน้ำเพื่อลดฝุ่นบนท้องถนน และการใช้รถกวาดฝุ่นแบบเครื่องกล

สถานการณ์อากาศที่เลวร้ายลงในภาคเหนือของอินเดีย

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา พื้นที่ตอนเหนือของอินเดีย โดยเฉพาะกรุงนิวเดลี ประสบกับปัญหามลพิษที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝุ่นพิษและหมอกควันหนาทำให้มองไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน ส่งผลให้อนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงอย่างทัชมาฮาลซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงนิวเดลีไปประมาณ 220 กิโลเมตร ถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน เช่นเดียวกับศาสนสถานสำคัญของศาสนาซิกข์อย่าง Golden Temple ในเมืองอัมริตสาร์

ปัญหาการจราจรและเที่ยวบินล่าช้า

ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เที่ยวบินในกรุงนิวเดลีประสบปัญหาล่าช้าอย่างมาก โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ติดตามการบิน Flightradar24 ระบุว่า 88% ของเที่ยวบินขาออกและ 54% ของเที่ยวบินขาเข้าล่าช้า เนื่องจากทัศนวิสัยที่ลดลงอย่างมาก บางเที่ยวบินถึงขั้นต้องเบี่ยงเบนเส้นทางเพราะหมอกควันปกคลุมสนามบิน จนไม่สามารถมองเห็นได้ในระยะทางเกินกว่า 300 เมตร

ฝุ่น PM2.5 ระดับอันตราย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

จากการวัดระดับมลพิษในวันพุธ พบว่าค่าฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นฝุ่นขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดผ่านปอดนั้น อยู่ในระดับที่เกินคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกถึง 50 เท่า ทำให้มีเด็กจำนวนมากเข้าโรงพยาบาลในกรุงนิวเดลีด้วยอาการหอบหืดและโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ แพทย์ Sahab Ram จากภูมิภาค Fazilka ในรัฐปัญจาบกล่าวว่า “มีเด็กที่มาพบแพทย์ด้วยอาการภูมิแพ้ ไอ และหวัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการหอบหืดเฉียบพลัน”

อากาศที่หนาวเย็นและลมสงบยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง

ทางเจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาเปิดเผยว่า อุณหภูมิต่ำสุดของกรุงนิวเดลีในวันพฤหัสบดีลดลงเหลือ 16.1 องศาเซลเซียส จาก 17 องศาเซลเซียสในวันก่อนหน้า ความชื้นสูงและลมที่เบาลงเป็นปัจจัยที่ทำให้ฝุ่นพิษสะสมอยู่ในอากาศและทำให้มลพิษอยู่ในระดับ “รุนแรง” ซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่ในช่วงวันศุกร์ ก่อนจะค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นระดับ “แย่มาก” โดยมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ระหว่าง 300-400

ศาลสูงอินเดียสั่งให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหามลพิษ

เมื่อเดือนที่แล้ว ศาลสูงสุดของอินเดียได้มีคำสั่งว่าการมีอากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน โดยสั่งให้ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษอย่างจริงจัง

สถานการณ์มลพิษในละฮอร์ ประเทศปากีสถาน

ขณะเดียวกัน กรุงละฮอร์ เมืองหลวงของจังหวัดปัญจาบ ประเทศปากีสถาน ก็ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกตามการจัดอันดับของ IQAir เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทางการปากีสถานยังพยายามหาวิธีในการสร้างฝนเทียมเพื่อลดมลพิษในเมืองนี้ โดยทางการได้จัดตั้ง “ศูนย์ควบคุมหมอกควัน” ขึ้นมาเพื่อรับมือกับปัญหานี้โดยเฉพาะ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมกรุงนิวเดลีต้องปิดโรงเรียนประถม?
    เนื่องจากระดับฝุ่น PM2.5 สูงขึ้นจนอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเด็ก ๆ จึงต้องเปลี่ยนเป็นการเรียนออนไลน์เพื่อความปลอดภัย

  2. PM2.5 คืออะไรและทำไมถึงอันตราย?
    PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่สามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจและมะเร็ง

  3. มาตรการอื่น ๆ ของนิวเดลีในการลดมลพิษคืออะไร?
    มาตรการรวมถึงการห้ามก่อสร้างที่ไม่จำเป็น ฉีดพ่นน้ำลดฝุ่น และการใช้เครื่องกวาดถนน

  4. สถานการณ์มลพิษในละฮอร์เป็นอย่างไร?
    ละฮอร์ก็ประสบปัญหามลพิษอย่างหนัก ทำให้ทางการต้องเร่งหาวิธีแก้ไข รวมถึงการพิจารณาฝนเทียม

  5. อินเดียมีมาตรการใดบ้างในการแก้ปัญหามลพิษระยะยาว?
    ศาลสูงอินเดียกำหนดให้รัฐบาลต้องดำเนินการอย่างจริงจังในการรักษาสิทธิของประชาชนในการมีอากาศบริสุทธิ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : aljazeera

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ลอยกระทงวิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก

รัฐบาลยกระดับเทศกาล “ลอยกระทงวิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” สู่ระดับโลก

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 รัฐบาลประกาศเชิญชวนประชาชนทั่วประเทศร่วมงาน ประเพณีลอยกระทง ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นี้ โดยมีแนวคิดหลักคือ “ลอยกระทงวิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” เพื่อสืบสานคุณค่าวัฒนธรรมไทย และผลักดันเทศกาลลอยกระทงให้ก้าวสู่การเป็น World Event ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

ลอยกระทง: สืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย

ประเพณีลอยกระทงถือเป็นประเพณีที่สำคัญของคนไทยในช่วงฤดูน้ำหลาก ซึ่งแสดงถึงความ กตัญญูต่อแม่น้ำ ที่ให้ชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ โดยการลอยกระทงเป็นการขอขมาต่อแม่น้ำและแสดงความขอบคุณต่อน้ำที่ใช้ในการดำรงชีวิต นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตและภูมิปัญญาไทยที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

งานลอยกระทงปีนี้ กรุงเทพมหานคร จะจัดขึ้นที่ วัดอรุณราชวราราม ร่วมกับการแสดงวัฒนธรรมไทยและการละเล่นแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกัน กระทรวงวัฒนธรรม ได้สนับสนุนการจัดงานในพื้นที่ 5 เมืองอัตลักษณ์ ได้แก่ เชียงใหม่ สุโขทัย ตาก สมุทรสงคราม และร้อยเอ็ด รวมถึง 8 เมืองน่าเที่ยว เช่น กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา ลำปาง นครราชสีมา ขอนแก่น บุรีรัมย์ สุรินทร์ และภูเก็ต โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

เน้นความปลอดภัยและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้เน้นย้ำถึง มาตรการความปลอดภัย และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในงานลอยกระทงปีนี้ โดยกำหนดมาตรการ 12 ข้อ ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงวิถีไทย ปลอดภัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่:

  1. ลอยกระทงวิถีไทย:

    • ส่งเสริมการใช้ กระทงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และไม่ก่อให้เกิดขยะ
    • กระตุ้นให้ประชาชนรักษาความสะอาดลำน้ำและร่วมกันกำจัดขยะในพื้นที่จัดงาน
    • ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรมไทยกับชาวต่างชาติ
  2. ด้านความปลอดภัย:

    • รณรงค์ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรและคำแนะนำด้านความปลอดภัย
    • ขอความร่วมมือประชาชนในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคระบาด
  3. ใส่ใจสิ่งแวดล้อม:

    • รณรงค์การลดขยะตามแนวคิด Zero Waste
    • ส่งเสริมการอนุรักษ์แหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs)

เชียงใหม่จัดยี่เป็งและร้อยเอ็ดจัดสมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป

ที่จังหวัดเชียงใหม่ เทศกาลยี่เป็ง จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-17 พฤศจิกายน 2567 โดยเน้นการประดับไฟและการแสดงวัฒนธรรมล้านนา บนถนนท่าแพและจุดแลนด์มาร์กสำคัญในเมือง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของท้องถิ่น

ในขณะที่ จังหวัดร้อยเอ็ด จะจัดงาน สมมาน้ำ คืนเพ็ง เส็งประทีป ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาช้านาน มีการประดับประทีปโคมไฟ การแสดงทางวัฒนธรรม และการประกวดกระทงใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองและสืบสานขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของชาวร้อยเอ็ด

เที่ยวบินเพิ่มขึ้น 36% คาดนักท่องเที่ยวหลั่งไหลร่วมงาน

บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด รายงานว่า ในช่วงเทศกาลลอยกระทงปีนี้ ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายน 2567 คาดว่าจะมีเที่ยวบินเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมือง และสนามบินเชียงใหม่ ซึ่งจะมีปริมาณเที่ยวบินมากที่สุด คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาร่วมงานอย่างคับคั่ง

บูรณาการความร่วมมือเพื่อส่งเสริม Soft Power ไทย

กระทรวงวัฒนธรรมยังได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เช่น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนการจัดงาน โดยมุ่งหวังให้ประเพณีลอยกระทงของไทยก้าวสู่ระดับ World Event และส่งเสริม Soft Power ของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

อิสราเอลกังวลเรื่องสภาพภูมิอากาศ เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

คนอิสราเอลส่วนใหญ่กังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลสำรวจเผย

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 The Jerusalem Post รายงานว่าผลสำรวจล่าสุดจาก สถาบันวิจัยนโยบายสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเบนกูเรียนแห่งเนเกฟ (BGU) เปิดเผยว่า คนอิสราเอลส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการศึกษานี้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,180 คน เกี่ยวกับความรู้และทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ การสำรวจนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 26-30 มิถุนายน 2024 โดยมี ดร.โยสซี เดวิด และ ดร.อัฟเนอร์ กรอส เป็นผู้วิจัย

คนอิสราเอลพร้อมปรับพฤติกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม

จากผลสำรวจพบว่า หนึ่งในสาม ของผู้เข้าร่วมยินดีที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม โดย 36% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพร้อมลดการบริโภคอาหารที่มาจากสัตว์, 33% พร้อมเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น, 24% ยินดีลดการเดินทางด้วยเครื่องบิน และเพียง 13% ยอมจ่ายภาษีที่สูงขึ้นเพื่อสนับสนุนการปกป้องสิ่งแวดล้อม

ความกังวลเรื่องมลพิษทางอากาศและภัยธรรมชาติ

คนอิสราเอลส่วนใหญ่แสดงความกังวลเกี่ยวกับ มลพิษทางอากาศ ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังมีความกังวลต่อภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า คลื่นความร้อน และน้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศเช่นกัน

ทามาร์ แซนด์เบิร์ก หัวหน้าสถาบันวิจัยนโยบายสภาพภูมิอากาศแห่งชาติและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าประชาชนจะพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากกว่าที่รัฐบาลคาดคิด”

ความเชื่อเกี่ยวกับผลกระทบจากมนุษย์ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แม้ว่าคนส่วนใหญ่เชื่อว่ามนุษย์เป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่ามีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลกระทบด้วย 62% ของผู้ตอบเชื่อว่ามีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแฝงอยู่เบื้องหลังการกล่าวอ้างเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, 58% เชื่อว่ามีผลประโยชน์ทางการเมือง และ 40% เชื่อว่าวงการวิทยาศาสตร์ยังมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องนี้

คนอิสราเอลเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์มากกว่าสื่อสังคมออนไลน์

ผลสำรวจยังพบว่า คนอิสราเอล 63% เชื่อมั่นในข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากนักวิจัยมากกว่าข้อมูลที่มาจากสื่อสังคมออนไลน์ โดย 59% ให้ความสำคัญกับคำแนะนำจากเพื่อนและครอบครัว ขณะที่ 40% แสดงความเชื่อมั่นต่อกระทรวงสิ่งแวดล้อม และเพียง 14% เชื่อมั่นในสื่อสังคมออนไลน์

ดร.กรอส อธิบายว่า “ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ และความสามารถของข้อมูลเหล่านี้ในการเปลี่ยนทัศนคติของสาธารณชน”

ความแตกต่างทางเพศและการเมืองในการตอบสนองต่อปัญหาสภาพภูมิอากาศ

ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและนโยบายที่ส่งเสริมการลดผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ กลุ่มผู้สนับสนุนทางการเมืองฝ่ายซ้ายยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสภาพภูมิอากาศมากกว่าฝ่ายขวา แต่ความแตกต่างระหว่างกลุ่มการเมืองในอิสราเอลนั้นยังไม่ชัดเจนเท่ากับในประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา

ดร.เดวิด กล่าวว่า “ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าประเด็นปัญหาสภาพภูมิอากาศในอิสราเอลยังไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเต็มที่ ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกพรรคการเมืองสามารถร่วมมือกันเพื่อสร้างนโยบายที่แข็งแกร่งในการแก้ไขปัญหา”

ประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างจริงจัง

ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า คนอิสราเอลส่วนใหญ่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ และรัฐบาลควรดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหา แซนด์เบิร์ก สรุปว่า “ข้อสรุปของเราคือ ไม่เพียงแต่เป็นไปได้ แต่ยังจำเป็นที่ต้องคิดหามาตรการเพิ่มเติมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะประชาชนกำลังรอการเรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติทั้งในระดับบุคคลและระดับชุมชน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The Jerusalem Post

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สัตว์ป่าสวม GPS ช่วยโลกสีเขียว ปฏิวัติวงการอนุรักษ์

สัตว์ป่าสวม “GPS”: เทคโนโลยีติดตาม ช่วยพิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (Animal Tracking Goes Hi-Tech: Saving Biodiversity with Tiny GPS)

7 พฤศจิกายน 2567 ในยุคที่ความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกกำลังลดลงอย่างน่าเป็นห่วง นักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายมหาศาล แม้จะมีข้อมูลปริมาณมหาศาลอยู่ในมือ แต่การทำความเข้าใจภัยคุกคามที่แตกต่างกันไปของแต่ละสายพันธุ์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ดร. สก็อตต์ ยานโค นักนิเวศวิทยาสัตว์ป่าจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน เน้นย้ำถึงความจำเป็นของข้อมูลที่เจาะจงมากขึ้น เพื่อระบุสาเหตุเบื้องหลังการลดลงของประชากรสัตว์ป่า ซึ่งหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะสูญพันธุ์ได้ ในงานวิจัยล่าสุดที่ร่วมกับ ดร. ไบรอัน วีคส์ นักนิเวศวิทยาสัตว์ป่าวิวัฒนาการ แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน และทีมวิจัยนานาชาติ ดร. ยานโค ชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปของเทคโนโลยีติดตามสัตว์ป่า ซึ่งกำลังปฏิวัติวงการอนุรักษ์

ความหลากหลายทางชีวภาพ: หัวใจสำคัญของระบบนิเวศ

ความหลากหลายทางชีวภาพเปรียบเสมือนรากฐานที่สำคัญของระบบนิเวศที่สมบูรณ์ เป็นเสมือนใยแห่งชีวิตที่เชื่อมโยงพืช สัตว์ และจุลชีพเข้าด้วยกัน ความหลากหลายนี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มาของอาหาร น้ำ อากาศที่สะอาด ไปจนถึงการพักผ่อนหย่อนใจ ดร. ยานโค ชี้ให้เห็นว่าความหลากหลายทางชีวภาพไม่ได้จำกัดอยู่แค่ป่าฝนเขตร้อนอันห่างไกล แม้แต่สวนหลังบ้านของเราก็มีความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญเช่นกัน การทำความเข้าใจรูปแบบความหลากหลายทางชีวภาพเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนากฎหมายที่มีประสิทธิภาพ คุ้มครองระบบนิเวศ และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคระบาด รวมถึงความล้มเหลวทางการเกษตรกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ในที่สุด งานวิจัยของ ดร. ยานโค มุ่งเน้นไปที่การใช้ข้อมูลจากเทคโนโลยีติดตามสัตว์ป่าเพื่อคาดการณ์และป้องกันปัญหาเหล่านี้

จากการติดตามแบบดั้งเดิม สู่ยุคของ “GPS จิ๋ว”

การติดตามสัตว์ป่าถือเป็นวิธีการสำคัญที่ใช้ในงานวิจัยด้านนิเวศวิทยามาช้านาน ในอดีต นักวิจัยมักใช้เครื่องหมายง่ายๆ เช่น ป้ายแหวนขาโลหะสำหรับนก หรือปลอกคอสัญญาณวิทยุสำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้มีข้อจำกัด เนื่องจากนักวิจัยจำเป็นต้องติดตามจับสัตว์ซ้ำๆ เพื่อบันทึกข้อมูล ซึ่งเป็นการรบกวนสัตว์ และใช้เวลานาน ส่งผลให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดและต่อเนื่องน้อย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีติดตามอิเล็กทรอนิกส์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ อุปกรณ์ติดตามเหล่านี้คล้ายคลึงกับเทคโนโลยี GPS ในสมาร์ทโฟน แต่มีขนาดเล็กกระทัดรัด ช่วยให้นักวิจัยติดตามตำแหน่งและพฤติกรรมของสัตว์ป่าได้ในพื้นที่กว้างไกลขึ้น เป็นเวลานานขึ้น ข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์เหล่านี้เผยให้เห็นรายละเอียดที่ไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ พฤติกรรม และปฏิสัมพันธ์ของสัตว์ป่ากับสภาพแวดล้อม

ข้อมูลจากการติดตามสัตว์: กุญแจสำคัญสู่การอนุรักษ์ที่แม่นยำ

เทคโนโลยีการติดตามสัตว์ไม่ได้เพียงแค่บอกจำนวนประชากร แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่ล้ำลึกกว่านั้น นักวิจัยสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อระบุสาเหตุที่แท้จริงของการลดลงของประชากรสัตว์ป่า ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัย หรือปัจจัยอื่นๆ ข้อมูลที่ได้จากการติดตามสัตว์มีความละเอียดสูง ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจผลกระทบที่ชัดเจนของปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การวางแผนการอนุรักษ์ที่ตรงจุด

ตัวอย่างเช่น แทนที่จะเพียงแต่ระบุว่าการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นสาเหตุของการลดลงของประชากรสัตว์ป่า ข้อมูลจากการติดตามสามารถระบุพื้นที่เฉพาะที่การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการรอดชีวิตของสัตว์ป่าได้ ด้วยข้อมูลที่แม่นยำนี้ นักนิเวศวิทยาสามารถออกแบบมาตรการอนุรักษ์ที่ตรงกับปัญหาเฉพาะของแต่ละพื้นที่ได้

เทคโนโลยีติดตามรุ่นใหม่: เปิดโลกแห่งความเป็นไปได้

เทคโนโลยีการติดตามสัตว์ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์ GPS ขนาดเล็กน้ำหนักเบาถูกนำมาใช้ติดตามสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น กวางเอลก์หรือช้าง สำหรับสัตว์ขนาดเล็ก นักวิจัยใช้อุปกรณ์ติดตามขนาดจิ๋วที่เก็บข้อมูลไว้ในตัว และสามารถดึงข้อมูลออกมาได้ภายหลัง นอกจากนี้ ยังมีระบบติดตามดาวเทียมขนาดเล็กที่ช่วยให้นักวิจัยติดตามสัตว์ขนาดเล็กได้โดยไม่ต้องจับซ้ำ

อุปกรณ์ติดตามรุ่นใหม่เหล่านี้ยังมาพร้อมเซ็นเซอร์ที่สามารถวัดปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และความดันอากาศ บางอุปกรณ์ยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการตาย ซึ่งจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อสัตว์อยู่นิ่งนานเกินไป เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้นักวิทยาศัยเข้าใจพฤติกรรมของสัตว์และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างละเอียด

สร้างอนาคตที่ยั่งยืนด้วยข้อมูล

ดร. ยานโคเชื่อว่าการพัฒนาเทคโนโลยีการติดตามสัตว์จะนำไปสู่การวางแผนการอนุรักษ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น โดยการระบุสาเหตุที่แท้จริงของการลดลงของประชากรสัตว์ป่า นักอนุรักษ์สามารถพัฒนากลยุทธ์ที่ตรงเป้าหมายเพื่อปกป้องสายพันธุ์ที่กำลังเผชิญกับภัยคุกคาม

เทคโนโลยีติดตามสัตว์เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติได้ดีขึ้น และช่วยให้เราสามารถดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้จึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : earth.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

แบบจำลองคณิตศาสตร์ใหม่ ช่วยสัตว์ปรับตัวตามสิ่งแวดล้อม

แบบจำลองคณิตศาสตร์ใหม่เผยกลไกการเรียนรู้ของสัตว์และการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 Sanjana Gajbhiye นักเขียนประจำเว็บไซต์ Earth.com รายงานเกี่ยวกับการศึกษาใหม่ที่ได้พัฒนาแบบจำลองคณิตศาสตร์เพื่อหาความเร็วในการเรียนรู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ งานวิจัยนี้ได้รับการพัฒนาโดยนักวิจัยจาก Complexity Science Hub (CSH) และสถาบัน Santa Fe Institute โดยแบบจำลองนี้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเรียนรู้ของสัตว์กับการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อัตราการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

การศึกษาพบว่าอัตราการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตควรปรับให้สอดคล้องกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ซึ่งหมายความว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้ช้าเกินไปอาจไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ทัน ในขณะที่สิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้เร็วเกินไปอาจรับข้อมูลที่ไม่สำคัญเกินไป ทำให้เปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น

ตามคำกล่าวของ Eddie Lee นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก CSH เขาอธิบายว่า “อัตราการเรียนรู้ที่เหมาะสมจะเพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมเอง หรือสิ่งมีชีวิตปรับพฤติกรรมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม” การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องรักษาความสมดุลระหว่างการเรียนรู้ที่เร็วและช้า เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม

ผลกระทบของความพยายามทางจิตใจและภาระทางเมตาบอลิซึม

งานวิจัยยังกล่าวถึงความสำคัญของ “ภาระทางจิตใจ” หรือปริมาณความพยายามทางจิตใจที่จำเป็นในการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สิ่งมีชีวิตที่ต้องรับมือกับข้อมูลมากเกินไปอาจไม่สามารถแยกแยะข้อมูลที่สำคัญได้ดี ซึ่งแบบจำลองนี้ได้เสนอว่าอัตราการเรียนรู้ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้สิ่งมีชีวิตรู้สึกท่วมท้นกับข้อมูลและช่วยให้พวกเขาสามารถจัดสรรทรัพยากรในการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับต้นทุนด้านเมตาบอลิซึม งานวิจัยยังระบุว่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีอายุสั้น เช่น แมลง ต้องคำนึงถึงต้นทุนการเรียนรู้และการจดจำที่สูงกว่า ในขณะที่สัตว์ขนาดใหญ่ที่มีอายุยืนยาว เช่น ช้าง จะมีต้นทุนเมตาบอลิซึมที่สำคัญมากกว่า แต่จะสามารถเก็บข้อมูลได้นานขึ้นเนื่องจากโครงสร้างสังคมหรือความต้องการทางปัญญาที่มากขึ้นในกลุ่มสังคมของมัน

บทเรียนสำคัญสำหรับการเรียนรู้ของมนุษย์

แม้ว่าการวิจัยนี้จะมุ่งเน้นไปที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่หลักการที่ได้ยังมีความหมายสำคัญต่อการเรียนรู้ของมนุษย์ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเร็วในการเรียนรู้ที่เหมาะสมนี้อาจช่วยให้นักการศึกษาและนักวิจัยออกแบบหลักสูตรหรือโปรแกรมการฝึกอบรมที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ของนักเรียนและพนักงาน โดยหลีกเลี่ยงการทำให้พวกเขารู้สึกท่วมท้นกับข้อมูล นอกจากนี้ยังส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาองค์ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ในระยะยาว

การสร้างช่องว่างที่มีประโยชน์กับสิ่งแวดล้อม

แบบจำลองนี้ยังกล่าวถึงแนวคิดที่เรียกว่า “การสร้างช่องว่าง” (Niche Construction) ซึ่งบางสิ่งมีชีวิต เช่น บีเวอร์ สามารถปรับสภาพแวดล้อมรอบตัวให้เกิดความได้เปรียบทางวิวัฒนาการได้ เช่น การสร้างเขื่อนที่ช่วยสร้างแหล่งน้ำที่มั่นคงและเป็นที่อยู่อาศัยให้กับตนเองและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การสร้างช่องว่างนี้จะให้ผลดีก็ต่อเมื่อประโยชน์ที่ได้ยังคงอยู่ภายในกลุ่มของสิ่งมีชีวิตนั้น หากสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาใช้ประโยชน์จากช่องว่างที่สร้างขึ้น อาจทำให้กลยุทธ์นี้ไม่ประสบผลสำเร็จ

แบบจำลองคณิตศาสตร์ใหม่ ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของการปรับตัว

งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the Royal Society B Biological Sciences ซึ่งชี้ให้เห็นถึงกลไกเชิงปริมาณในการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเรียนรู้และอายุขัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตั้งแต่จุลินทรีย์จนถึงมนุษย์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : earth.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News