Categories
AROUND CHIANG RAI VIDEO WORLD PULSE

(มีคลิป) ยูเนสโกประกาศรับรองเชียงรายเมืองสร้างสรรค์ของโลก

 

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566)นางยุถิกา อิศรางกูล ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ร่วมกันแถลงข่าวและแสดงความยินดีกับจังหวัดเชียงรายที่ได้รับการคัดเลือกเป็นเครือข่ายสร้างสรรค์ UNESCO ที่ห้องประชุมธรรมปัญญา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหาร อบจ.เชียงราย ภาคเอกชน สื่อมวลชน ร่วมรับฟังการแถลงข่าวจำนวนมาก เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้การประกาศรับรองจังหวัดเชียงรายเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก ด้านการออกแบบ

 

นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย นับเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีอัตลักษณ์โดดเด่นในด้านสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การเป็นเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกด้านการออกแบบ จึงมีการผลักดันให้เชียงราย เป็นเมืองแห่งการออกแบบ (City of Design) เนื่องจากเชียงรายมีทรัพยากรการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมความหลากหลายทางชีวภาพ และอัตลักษณ์ท้องถิ่น ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีศิลปินล้านนาจำนวนมาก มีการสร้างสรรค์ทางศิลปะที่สืบทอดกันมาทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นเมืองเชียงราย สามารถใช้การออกแบบการบริการ Sevice Design มาเป็นจุดแข็ง เช่น กลุ่มสร้างสรรค์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มศิลปิน กลุ่มนักสร้างสรรค์ กลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ เมืองเชียงรายเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนาที่มีเอกลักษณ์ และอัตลักษ์ณ์ที่โดดเด่น สามารถผลักดันเปลี่ยนแปลงเมืองเชียงรายด้วยการสร้างสรรค์ การออกแบบ การบริการ และความมีอัธยาศัยดีความสามัคคีกัน 
 
 
 
 

ส่งผลให้เกิดแนวคิดความสร้างสรรค์ พัฒนา ต่อยอดสู่เมืองสร้างสรรค์ได้ในอนาคต อันเป็นการสนับสนุน และยกระดับความสามารถด้านการท่องเที่ยวแก่จังหวัดเชียงราย เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างแท้จริงและยั่งยืน การเสริมสร้างการรับรู้ศักยภาพของเมืองแก่ประชาชน และผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียในพื้นที่ จึงก่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาและบูรณาการร่วมกันเพื่อพัฒนาและสร้างสรรค์เมืองในด้านนั้น ๆ

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวอีกว่า สิ่งเหล่านี้ต่างสนับสนุนการพัฒนาเมืองให้จังหวัดเชียงรายขับเคลื่อนไปสู่การเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์กรการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และเพื่อขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ..2561-2580) เมืองสร้างสรรค์ ด้านการออกแบบ การที่เป็นการออกแบบการบริการของเชียงราย มีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ของเมืองในการรักษาสิ่งแวดล้อม และลดความยากจน เพื่อก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ความเท่าเทียมกัน และการพัฒนาเมือง สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) การขับเคลื่อน “เมืองเชียงราย” สู่การเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกด้านการออกแบบ จำเป็นจะต้องดำเนินกิจกรรมตามแผนที่นำทาง (Roadmap) ของเมืองเชียงราย 

สู่การเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกด้านการออกแบบ ให้เกิดเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับการสนับสนุนการพัฒนาเมืองในพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของ อพท. ตามพระราชกฤษฎีกา และเมืองในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวโดยเน้นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ประชาสังคม รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ การพิจารณาถึงผลตอบรับและแรงจูงใจต้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน ใช้กลไกการทำงานโดยการดึงชุมชนที่มีศักยภาพสร้างเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงการท่องเที่ยว สร้างความเข้าใจให้ทุกฝ่ายให้เห็นถึงความสำคัญของประโยชน์ที่จะได้รับจากการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของเมืองในครั้งนี้ ตลอดจน การถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งด้านพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ และเส้นทางการท่องเที่ยว การบริการให้มีมาตรฐาน 

 

การพัฒนานักสื่อความหมาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวที่นำเอาอัตลักษณ์ประจำถิ่นมาพัฒนาเป็นสินค้าที่มีความโดดเด่น สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่สามารถเชื่อมโยงกับชุมชนใกล้เคียงเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ในท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการเสนอชื่อจังหวัดเชียงรายสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของ UNESCO.ด้วยแนวคิด “เชียงรายวิถี กินอยู่ รู้แบ่งปันสู่ความยั่งยืน” แม้การเสนอชื่อในครั้งแรกยังไม่สามารถนำพาจังหวัดเชียงรายสู่การเป็นเมืองเครือข่ายได้แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์การบริการส่วนจังหวัดเชียงราย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึง สถาบันการศึกษา และศาสนา ในพื้นที่ร่วมกันขับเคลื่อนเมืองด้วยแนวคิดของเมืองสร้างสรรค์ สร้าง Creative.Space / Creative.Event ระดับนานาชาติ สร้างสินทรัพย์ทางวัฒนธรรม สู่การออกแบบเพื่อสร้างสมดุล ระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรมปรับประยุกต์ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาเมือง 

 

เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต เด็ก เยาวชนและประชาชนชาวเชียงรายอย่างยั่งยืน จนเป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล และเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 องค์การยูเนสโกได้ประกาศรับรอง 55 เมืองทั่วโลก เข้าร่วมเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก ซึ่งรวมถึงจังหวัดเชียงรายด้วย บัดนี้ จังหวัดเชียงราย พร้อมแล้วที่จะเป็นหมุดหมายใหม่ของนักสร้างสรรค์ระดับนานาชาติ กับการได้รับการรับรองจากยูเนสโก ยกจังหวัดเชียงราย เป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกด้านการออกแบบ Chiang Rai Creative City of Design
 
 
ตราสัญลักษณ์เชียงรายเมืองสร้างสรรค์ เมืองแห่งความสมดุระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรม เพื่อขับเคลื่อนสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UCCN) พบกันที่ไหนทักทายกัน
 
มีชื่อว่า “วัฒนธรรมชาติ” หรือ
อ่านว่า “วัด-ทะ-นะ-ทำ-มะ-ชาด”
ออกแบบโดย นายวีระพงษ์ อมรสิน
 
ที่สื่อแสดงถึงความสมดุลแห่งความมั่งคั่งทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม เป็นต้นทุนสร้างสรรค์ ที่จะขับเคลื่อนเชียงราย
สู่เมืองแห่งการออกแบบที่ยั่งยืน ทั้งนี้ การออกแบบได้ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ธรรมชาติ วัฒนธรรม และธรรม ดังนี้
ส่วนที่ 1 ธรรมชาติ เชียงรายเป็นเมืองที่ “รายรอบด้วยขุนเขาและสายน้ำ” ประกอบไปด้วย
 
ต้นทุนแห่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
ต้นน้ำแห่งกายภาพหัวเมืองเหนือของประเทศ
ต้นกำเนิดแห่งวิถีชีวิตและภูมิปัญญาแห่งชาติพันธุ์
 
สู่การสร้างคุณค่าและมูลค่าจากผลิตผลแห่งการสร้างสรรค์ รวมถึงแรงบันดาลใจแห่งศิลปวัฒนธรรม
ส่วนที่ 2 วัฒนธรรม เชียงรายเป็นเมืองที่ “รายล้อมด้วยผู้คนและศิลปะ” ประกอบไปด้วย
 
– ลวดลายแห่งเชียงราย อัตลักษณ์ใหม่จากศิลปะล้านนาร่วมสมัย ฝีมือจากการรังสรรค์ของศิลปินแห่งชาติ ผู้เป็นตัวแทนแห่งจิตวิญญาณและสุนทรียะทางศิลปะ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ที่เป็นต้นแบบของแรงบันดาลใจให้กับนักสร้างสรรค์ จนถูกขนานเชียงรายว่าเป็น “เมืองแห่งศิลปิน” ที่มากที่สุดในประเทศ เมืองแห่งศิลปะและศิลปินที่มากมาย
 
– ลายล้านนาเชียงแสน ตัวแทนแห่งประวัติศาสตร์และความหลากหลายทางชาติพันธ์ุที่มาพร้อมกับศิลปวัฒนธรรมเฉพาะตัว
– ตุงที่เชื่อมโยงถึงโครงการดอยตุง ตัวแทนของแนวคิดในการปรับตัวและการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีและยั่งยืน
 
หอคำไร่แม่ฟ้าหลวง สถาปัตยกรรมล้านนาประยุกต์ ตัวแทนของความงดงามที่เรียบง่ายความกลมกลืนระหว่างศิลปวัฒนธรรมกับธรรมชาติ และการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากบ้านไม้เก่าของการก่อสร้าง ไร่แม่ฟ้าหลวง ยังเป็นหนึ่งในคลื่นศิลปะที่ผลักดันเชียงรายสู่เมืองออกแบบ เพราะเป็นบ้านของศิลปินนักสร้างสรรค์ ที่พร้อมบริการการออกแบบเพื่อสังคม
 
– อาคารลดทอน หรือ วัตถุ Simplified ตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงบนต้นทุนเดิม สะท้อนความเป็น “นีโอล้านนา” และความร่วมสมัยบนพื้นที่แห่งโอกาสและความท้าท้ายของคนรุ่นใหม่ ที่จะมาร่วมขับเคลื่อนพลังและความสามารถให้เป็นเมืองแห่งการออกแบบที่ยั่งยืน
 
ส่วนที่ 3 ธรรม เชียงรายเป็นเมืองที่ “รายเรียงพื้นที่แห่งศาสนาและประวัติศาสตร์” ด้วยความศรัทธาแห่งวิถีพุทธสู่การเป็นศาสนาประจำจังหวัดก่อเกิดงาน “พุทธศิลป์” หลายแขนงที่สานต่อจากอดีตของเมือง
ที่มั่งคั่งด้วย “อารยธรรม”
 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

UNESCO ประกาศเชียงราย เป็นเมืองระดับโลกปี 2566

 

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ทางเพจเฟสบุ๊ค Dasta Thailand แสดงความยินดี โดยนาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท.ขอแสดงความยินดี กับจังหวัดเชียงราย และจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ได้รับการยกย่องจากยูเนสโก ให้เป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ในระดับโลก (UNESCO Creative Cities Network – UCCN) โดยเชียงรายเป็นเมืองสร้างสรรค์ ด้านการออกแบบ (City of Design) และจังหวัดสุพรรณบุรี ด้านดนตรี (City of Music) 

ซึ่งทางเว็บไซต์ UNESCO ประกาศ 55 เมืองใหม่ ที่เข้าร่วมเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของ UNESCO ถือเอาวันที่ 31 ตุลาคม เป็นวันเมืองโลก จากสหประชาชาติได้กำหนดวันเอาไว้ประกาศยืนยันว่าประเทศไทย ติด 2 จังหวัดคือ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดสุพรรณบุรี  เป็น 2 ใน 55 เมืองจากทั่วโลกที่เข้าร่วมเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของ UNESCO (UCCN) ตามที่ได้รับการแต่งตั้งจากโอเดรย์ อาซูเลย์ (Audrey Azoulay) ผู้อำนวยการใหญ่ของ UNESCO เมืองใหม่ๆ ได้รับการยอมรับถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการควบคุมวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การพัฒนา และการแสดงแนวทางปฏิบัติที่เป็นนวัตกรรมในการวางผังเมืองที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ด้วยการเพิ่มล่าสุด ทำให้ปัจจุบันเครือข่ายครอบคลุม 350 เมืองในกว่า 100 ประเทศ 

ซึ่งองค์การยูเนสโกเปิดรับสมัครสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก (UNESCO Creative City Network – UCCN) ประจำปี พ.ศ. 2566 โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมให้เมืองต่างๆ มีความร่วมมือระหว่างกันทั้งในระดับนานาชาติ ระดับภูมิภาค และระดับชุมชนท้องถิ่น เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ ทรัพยากรธรรมชาติที่มีในแต่ละพื้นที่ รวมถึงเปิดโอกาสให้มีการเสนอความหลากหลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองใน 7 สาขา ได้แก่ 1) หัตถกรรมพื้นบ้าน 2) การออกแบบ 3) ภาพยนตร์ 4) อาหาร 5) วรรณกรรม 6) สื่อศิลปะ และ 7) ดนตรี โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องด้านวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ ตามเป้าหมายวาระของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปี ค.ศ. 2030 และปฏิญญา Mondiacult 2022

นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท. กล่าวว่า คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอจังหวัดเชียงราย เป็นตัวแทนประเทศไทยยื่นเอกสารสมัครเข้าร่วมเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก ประจำปี 2566 โดยจังหวัดเชียงราย เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ (City of Design)  ซึ่งจะทำให้เมืองได้เป็นที่รู้จักของสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์จากประเทศทั่วโลก เกิดการเดินทางแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน และก่อให้เกิดการเป็นที่รู้จักของกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ

จังหวัดเชียงราย จะดำเนินการต่อยอดจากแผนงานเดิมในปี 2564 ซึ่ง อพท. ได้ร่วมจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติตามแผนขับเคลื่อนเชียงรายเป็นเมืองแห่งการออกแบบ เพราะเป็นเมืองที่มีอัตลักษณ์โดดเด่น มีศิลปินล้านนาจำนวนมาก มีการสร้างสรรค์ทางศิลปะที่สืบทอดกันมาทั้งจิตรกรรม ประติมากรรมและสถาปัตยกรรม ที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญาและวัฒนธรรมทางท้องถิ่น และเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม มายาวนาน

เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก คืออะไร เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ หรือ Creative Cities Network เป็นอีกหนึ่งโครงการของยูเนสโก ที่ดำเนินงานควบคู่กับการประกาศแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2547 เปิดรับคัดเลือกทุก ๆ 4 ปี เพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industries) สู่ความร่วมมือในระดับนานาชาติของภาคประชาคม ประชาชน เอกชนและสาธารณะ

และในวันที่ 31 ตุลาคม 2023 สมาชิกใหม่ของเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก โดยเรียงตามตัวอักษรนำหน้าภาษาอังกฤษ ไม่ได้เป็นการให้ลำดับผู้ชนะ ได้แก่:

  1. Asaba – Film
  2. Ashgabat – Design
  3. Banja Luka – Music
  4. Battambang – Gastronomy
  5. Bissau – Music
  6. Bolzano – Music
  7. Bremen – Literature
  8. Buffalo City – Literature
  9. Bukhara – Crafts and Folk Art
  10. Bydgoszcz – Music
  11. Caen – Media Arts
  12. Caracas – Music
  13. Casablanca – Media Arts
  14. Castelo Branco – Crafts and Folk Art
  15. Cetinje – Design
  16. Chaozhou – Gastronomy
  17. Chiang Rai – Design

  18. Chongqing – Design
  19. Concepción – Music
  20. Da Lat – Music
  21. Fribourg – Gastronomy
  22. Gangneung – Gastronomy
  23. Granada[1] – Design
  24. Gwalior – Music
  25. Herakleion – Gastronomy
  26. Hobart – Literature
  27. Hoi An – Crafts and Folk Art
  28. Iasi – Literature
  29. Iloilo City – Gastronomy
  30. Ipoh – Music
  31. Kathmandu – Film
  32. Kozhikode – Literature
  33. Kutaisi – Literature
  34. Mexicali – Music
  35. Montecristi – Crafts and Folk Art
  36. Montreux – Music
  37. Nkongsamba – Gastronomy
  38. Novi Sad – Media Arts
  39. Okayama – Literature
  40. Ouarzazate – Film
  41. Oulu – Media Arts
  42. Penedo – Film
  43. Rio de Janeiro – Literature
  44. Şanlıurfa – Music
  45. Suphanburi – Music
  46. Surakarta – Crafts and Folk Art
  47. Taif – Literature
  48. Toulouse – Music
  49. Tukums – Literature
  50. Ulaanbaatar – Crafts and Folk Art
  51. Umngeni Howick – Crafts and Folk Art
  52. Valencia – Design
  53. Varaždin – Music
  54. Veliky Novgorod – Music
  55. Vicente Lopez – Film
  56.  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เตรียมเสริมความสัมพันธ์ Sister City 4 ประเทศ ชายแดนจีน – ลาว เมียนมา – ไทย

 
วันนี้ ( 25 ตุลาคม 2566 ) ที่ห้องประชุมพญาภิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะทำงานดำเนินความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง Sister City ของจังหวัดเชียงราย เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมการประชุมความร่วมมือ 4 ประเทศ 9 ฝ่ายเขตชายแดนจีน – ลาว – เมียนมา – ไทย (ครั้งที่ 9) ณ แขวงหลวงน้ำทา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แสดงถึงมิตรภาพอันจริงใจอย่างต่อเนื่อง และข้อเสนอใหม่ๆ เพื่อความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน โลจิสติกส์ การคมนาคม การท่องเที่ยว การศึกษาและวัฒนธรรม รวมถึงด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง การเกษตร และสาธารณสุข และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ไมตรีระหว่าง 4 ประเทศ อันจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านนโยบายสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเสริมสร้างความสัมพันธ์ และความเข้าใจที่ดีต่อกันในระดับประชาชนต่อไป
 
 
จังหวัดเชียงราย ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือในรูปแบบเมืองพี่เมืองน้อง Sister City เชื่อมโยงและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 และยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทย โดยได้ดำเนินการเป็นไปตามมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง ซึ่งการประชุมความร่วมมือ 4 ประเทศ 9 ฝ่ายเขตชายแดนจีน – ลาว เมียนมา – ไทย ประกอบด้วยประเทศไทย (จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่) เขตปกครองตนเองชนชาติไตสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน แขวงบ่อแก้ว แขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กำหนดการประชุมความร่วมมือทุก 1 ปี โดยพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ เริ่มตั้งแต่การประชุม 3 ประเทศ 6 ฝ่ายเขตชายแดน ตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบันกลายเป็นการประชุม 4 ประเทศ 9 ฝ่ายเขตชายแดน โดยมีสมาชิกเพิ่ม คือ แขวงอุดมไชย สปป.ลาว จังหวัดท่าขี้เหล็ก จังหวัดเชียงตุง สหภาพเมียนมา และในการประชุมครั้งที่ 9 สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เสนอรายชื่อสมาชิกของกลไดความร่วมมือดังกล่าวฯ ได้แก่ แขวงพงสาลี สปป.ลาว และเมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ เป็นการขยายขอบเขตการประชุมความร่วมมือเป็น 5 ประเทศ 11 ฝ่าย
 
 
เนื่องจากการจัดประชุมความร่วมมือฝ่ายเขตชายแดนฯ เมืองพี่เมืองน้อง Sister City ครั้งที่ 9 กำหนดจัดขึ้น ณ แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2566 ในการนี้ จังหวัดเชียงราย จึงได้จัดการประชุมเพื่อหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมข้อเสนอบรรจุในวาระการประชุมฯ ต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
VIDEO WORLD PULSE

(มีคลิป) อิสราเอลถูกกลุ่มฮามาสบุกโจมตีชาวไทยถูกจับเป็นตัวประกัน

 

อิสราเอล ถูกกลุ่มฮามาส ที่เป็นกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์ที่เคร่งศาสนาอิสลามซึ่งปกครองฉนวนกาซา กลุ่มฮามาส ถล่มอิสราเอลในตอนใต้ และตอนกลาง การโจมตีเริ่มขึ้นในเช้ามืดวันเสาร์  7/10/2023 บุกผสมผสานหลายทิศทาง  พร้อมยิงจรวดจำนวนมากประมาณ 5,000 ลูกในวันที่ 7 ตุลาคม 2023

ล่าสุดสื่อ Jerusalem Post ของ “อิสราเอล รายงานว่า มีคนอิสราเอลถูกสังหารไปแล้วกว่า 600 บาดเจ็บกว่า 2,040 ถูกจรวดถล่มกว่า 5,000 ลูก และทหารและพลเรือนกว่า 100 ถูกจับเป็นตัวประกัน

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ระบุว่า ปาเลสไตน์ ในฉนวนกาซา มีผู้เสียชีวิต อย่างน้อย 232 คนในฉนวนกาซาและบาดเจ็บ 1,700 คนจากการโจมตีของอิสราเอลทูตอิสราเอล ประจำฝรั่งเศส เปิดเผยว่าอิสราเอลไม่ได้เตรียมการรับมือ และรวมไปถึงความล้มเหลวทางด้านข่าวกรอง

 

สื่ออิสราเอล ระบุว่า เตหะราน (อิหร่าน) เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของ กลุ่มฮามาสและญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ รวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน

ในจุดที่คาดว่าสูญเสียมากสุด งานปาร์ตี้กลางแจ้งเมือง คิบบุตซ์เรอิม ใกล้กับฉนวนกาซา  ผู้คนนับพันกำลังสนุก กลุ่มฮามาส ได้แทรกซึมเข้ามา โจมตีกลางงาน และยิงจรวด  พร้อมกับจับตัวประกัน

มีรายงานว่าตัวประกันถูกจับบ้างส่วน ถูกกักขังไว้ในบ้าน และสถานที่ต่างๆ ทางตอนใต้อิสราเอล  รวมถึงส่วนหนึ่งถูกจับเข้าไปในฉนวนกาซา ถูกควบคุมตัวไว้ห้องใต้ดินลับโดยกลุ่มฮามาส

ซึ่งตัวประกันประชาชนที่ถูกจับเป็น เด็ก คนแก่ สตรี และกำลังพลอิสราเอล ตัวประกันส่วนหนึ่งถูกปลดปล่อยโดยกองทัพอิสราเอล ในช่วงเย็นวันเสาร์ 

โดยอิสราเอลได้มีการเสริมทหาร 4 กองพันในตอนใต้และกลุ่มฮามาส ได้มีการแทรกซึมลึกเข้ามาถึง 25 กม. จากแนวกั้นฉนวนกาซา และคาดว่ากลุ่มฮามาสได้เตรียมการไว้สำหรับการต่อสู้ยืดเยื้อ ยาวนานที่จะเกิดขึ้น

กลุ่มฮิซบุลเลาะห์ จากประเทศเลบานอน ยกย่องกลุ่มฮามาสสำหรับ “การปฏิบัติการที่กล้าหาญ” หลังจากกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ เปิดฉากการโจมตีทางอากาศ ทางทะเล และทางบกต่ออิสราเอลเมื่อวันเสาร์ 7/10/2023

อย่างไรก็ตาม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กระทรวงแรงงาน  ห่วง 11 แรงงานถูกจับในอิสราเอล-ยังไม่มีประสานกลับ และยังไม่รู้ชะตากรรม เร่งหาแนวทางช่วยเหลือทางการทูต พร้อมประสานครอบครัวใกล้ชิด ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทย นายเศรษฐา ทวีสินได้สั่งการให้กองทัพอากาศเตรียมพร้อมเครื่อง Airbus A340 และ C-130 อพยพคนไทยออกจาก อิสราเอลทันที ทาง พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) รับทราบและพร้อมปฏิบัติการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มนรัตน์ ก.บัวเกษร รายงาน นครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

พัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)

 

การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 29 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)  ระหว่างวันที่ 28 – 29 กันยายน 2566 ณ เมืองบาตัม จังหวัดหมู่เกาะเรียล สาธารณรัฐอินโดนีเซีย

นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) แถลงว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันอังคารที่ 26 กันยายน 2566 มอบหมายให้ตนเป็นรัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT และเดินทางเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 29 แผนงาน IMT-GT ณ เมืองบาตัม จังหวัดหมู่เกาะเรียล สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในระหว่างวันที่ 28 – 29 กันยายน 2566 เพื่อเข้าร่วมหารือกับรัฐมนตรีประสานงานกิจการเศรษฐกิจ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ประเทศมาเลเซียโดย IMT-GT เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงของ 3 ประเทศ โดยได้มีการหารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่
1. แผนงานการก่อสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ (Physical Connectivity Projects: PCPs) แผนงาน PCPs เป็นแผนงานที่มีมูลค่ารวมกว่า 2.10 ล้านล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมาโครงการของไทยที่มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมคือ โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมโยงระหว่างด่านศุลกากรสะเดา-บูกิตกะยูฮิตัม โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก แห่งที่ 2 (สุไหงโก-ลก-รันเตาปันยัง) นอกจากนี้ ไทยจะมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในภาคใต้ อาทิ โครงการก่อสร้าง Motor Way หาดใหญ่-สะเดา โครงการก่อสร้าง Land Bridge ชุมพร-ระนอง
2. โครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยาง แผนงาน IMT-GT มีความก้าวหน้าที่ต่อยอดมาจากการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยาง ซึ่งได้ลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีเมื่อเดือนกันยายน 2565 MOU นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการอำนวยความสะดวกการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้สู่เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้
3. ความร่วมมือด้านการเงินเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทยโดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยและอินโดนีเซีย ได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านทาง QR Code เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวสามารถชำระเงินเพื่อการซื้อขายสินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนเงิน และได้แจ้งฝ่ายมาเลเซียเพื่อให้การสนับสนุนเพื่อสร้างความร่วมมือในลักษณะเดียวกันต่อไป

ในการนี้ ที่ประชุมได้ให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 29 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการร่วมมือกันของประเทศสมาชิก IMT-GT ในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการเงิน รวมถึงการผลักดันให้พื้นที่อนุภูมิภาค IMT-GT พัฒนาไปอย่างยั่งยืนบนฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม และเป็นการเน้นย้ำถึงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ของไทยในฐานะหุ้นส่วนการพัฒนาที่สำคัญในอนุภูมิภาค IMT-GT ที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมกับประเทศเพื่อนบ้าน อันจะส่งผลให้ไทยมีบทบาทเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์และมีความร่วมมือกับนานาชาติในลักษณะที่จะเกื้อหนุนต่อความก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงการสร้างผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

อนึ่ง ในวันที่ 28 กันยายน 2566 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้มีโอกาสหารือทวิภาคีกับ Mr. Winfried F. Wicklein ผู้อำนวยการสำนักเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ในประเด็นที่ประเทศไทยต้องการผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน เช่น ตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond: SLB) และการสร้างความร่วมมือทางการเงินเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตอันใกล้นี้ โดย ADB ได้ตอบรับประเด็นดังกล่าวและจะให้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3613

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ชาวประมงตะลึงย่างปลาประหลาด 3 สี ชาวเน็ตลั่น กินได้แน่เหรอ!!!

 

ชาวประมงตะลึงปลาประหลาด 3 สี นำมาย่างกินชาวเน็ตลั่น กินได้แน่เหรอ-คำตอบทำอึ้ง !!! ไม่เคยเห็นมาก่อน ชาวประมงตกปลาเจอปลาสีประหลาด เนื้อสีฟ้า ชาวเน็ตถกลั่น กินได้แน่หรอ-คำตอบชวนอึ้ง

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า นายโจ ชเมเลคชาวประมง เจ้าของบ้านพัก ‘เดอะลอดจ์ ออตเตอร์ โคเวอร์’ ในเมืองโฮเมอร์ รัฐอะแลสกา ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย แบ่งปันประสบการณ์การตกปลาที่ได้ปลาประหลาดขึ้นมาตัวหนึ่ง โดยโพสต์ดังกล่าวกลายเป็นกระแสไวรัล ชาวเน็ตแห่แชร์ทั่วโลกออนไลน์ วันนี้เขาไปตกปลาและจับปลาประหลาดตัวนี้ได้ มันสีสันสะดุดตา ผิวหนังภายนอกเป็นสีแดงเข้ม มีลายจุดสีส้ม มองเห็นในปากและเหงือกเป็นสีฟ้าสด เมื่อแล่เนื้อปลาดูข้างในก็พบว่า เนื้อปลาเป็นสีฟ้าสดเช่นกัน แต่พอนำมันไปทอดเนื้อปลาจะเปลี่ยนเป็นสีขาวช่างน่าทึ่งจริงๆอย่างไรก็ตาม โพสต์ไวรัลดังกล่าว มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นต่อโพสต์ของเขาจากประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมากถึง 17 ประเทศ โดยมีผู้แสดงความทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 600 ข้อความ และส่วนใหญ่ก็แสดงความเห็นในทำนองว่า ไม่เคยพบปลาแบบนี้มาก่อนนอกจากนี้ นายโดนัลก์ อาร์เธอร์ นักชีววิทยาจากกรมประมงของอะแลสกา อธิบายเรื่องที่เนื้อปลามีสีฟ้าสดนี้ว่า เกิดจากเม็ดสีสีเขียวจากถุงน้ำดีชื่อว่า บิลิเวอร์ดิน (Biliverdin)

อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ว่า ทำไมสัตว์จำพวกปลาจึงผลิตเม็ดสีแบบนี้ออกมา ซึ่งอาจเป็นไปได้จากเหตุผลหลายประการ เช่น เป็นผลลัพธ์จากการได้รับรังสียูวี จากอาหารที่พวกมันกินเข้าไป หรือมาจากพันธุกรรมทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สงสัยว่าปลานี้อาจมีพิษและไม่สามารถนำมารับประทานได้ นายชเมเลค ได้ตอบคำถามนี้ว่า มันเป็นปลาที่กินได้ ซ้ำยังอร่อยด้วย พร้อมกับแนบคลิปขณะปรุงอาหารให้ดูใต้โพสต์บนเฟซบุ๊กของเขา.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียน ร่วมมือประเด็นอากาศ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม

 

วันที่ 23 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างเอกสารและร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนและประเทศคู่เจรจาในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ
แถลงการณ์ร่วมอาเชียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 (ASEAN Joint Statement on Climate Change to UNFCCC COP 28)     แสดงถึงความมุ่งมั่นของ อาเซียนในการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศและความตกลงปารีสภายใต้หลักความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละประเทศและสถานการณ์ของประเทศที่แตกต่างกัน   โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่วดล้อม หรือผู้แทนเห็นชอบ (Endorsement ) ในการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนครั้งที่ 17  ในวันที่  22-24 สิงหาคม 2566 ณ สปป.ลาว  และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนร่วมรับรอง (Adoption) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit ) ครั้งที่ 43 ในวันที่ 5-7 กันยายน 2566 ณ อินโดนีเซีย
2. ร่างเอกสารแนวคิดสำหรับข้อริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ของอาเซียนและญี่ปุ่น “แผนงานยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN -Japan New Environment Initiative “Strategic Program for ASEAN Climate and Environment (SPACE) )  และร่างแผนงานอาเซียน-สหรัฐ ฯ ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (ASEAN -U.S. Environment and Climate Work Plan )    โดยร่างเอกสารแนวคิดสำหรับข้อริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ของอาเซียน-ญี่ปุ่น มุ่งมั่นแก้ไขวิกฤติหลักของโลก 3  ประการ ได้แก่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  มลพิษและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ  พร้อมเปิดตัวข้อริเริ่มในแผนงานยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอาเซียน เพิ่มเติมจากข้อริเริ่มความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน-ญี่ปุ่น และแผนปฎิบัติการอนเซียน -ญี่ปุ่น  ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศวันละ 2.0    ในส่วนแผนงานอาเซียน- สหรัฐฯ ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศ                                   
ทั้งนี้  ร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับ  จะมีการรับรองระหว่างวันที่ 23 – 24 สิงหาคม 2566 ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมครั้งที่ 17 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ สปป. ลาว 

3. ร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (ASEAN Action Plan for Invasive Alien Species MAnagement) ซึ่งจะเป็นกรอบแนวทางการประสานความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในการจัดการและลดผลกระทบจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในภูมิภาคอาเซียน    
โดยจะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่   17 ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566  ณ สปป.ลาว ก่อนเสนอต่อการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 43  ระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2566 ณ อินโดนีเซีย เพื่อทราบต่อไป

 4. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในอาเซียน (ปี 2566 -2570)  Plan of Action for the Promotion of Inclusive Business in ASEAN (2023-2027)  เป็นการกำหนด แนวทางและการจัดลำดับความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ในระดับประเทศและในระดับภูมิภาค มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้ประชาชนเป็นจุดศูนย์กลางของประชาคมในการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย 
ทั้งนี้ จะมีการรับรองแบบไม่ลงนามในการประชุม รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน [ASEAN Economic Ministers Meeting (AEM)] ระหว่างวันที่ 17 – 22 สิงหาคม  2566 ณ เมืองเซอมารัง อินโดนีเซีย  และการประชุมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่  6 และการประชุมรัฐมนตรีระดับสูง ระหว่างวันที่ 23- 25 สิงหาคม 2566 ณ เมืองบาหลี อินโดนีเซีย  

5. ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 10 [Joint Statement of the 10th ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting (AFMGM)]  และ (ร่างแถลงการณ์ร่วมการ AFMGM ครั้งที่  10) และร่างแถลงการณ์ร่วม การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 1 [Joint Statement of the 1st ASEAN Finance and Health Ministers’ Meeting (AFHMM)]    โดยร่างแถลงการณ์ร่วม AFMGM คร้ังที่ 10 เป็นการส่งเสริมความร่วมมือ และให้ความช่วยเหลือระหว่างกันในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันและรักษาความเป็นแกนกลางให้กับอาเซียน รวมท้ังมุ่งส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงินในภูมิภาคอย่างยั่งยืน    สำหรับร่างแถลงการณ์ร่วม AFHMM คร้ังที่ 1 เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ด้านการคลังและสาธารณสุข เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุข ในภูมิภาคและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดหลังโรคโควิด – 19 ทั้งโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำและโรคติดเชื้ออุบัติใหม่  
ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง 2  ฉบับ แบบไม่ลงนามในการประชุม AFMGM ครั้งที่  10 และการประชุม AFHMM ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 24 – 25 สิงหาคม 2566 ณ เมืองจาการ์ตา อินโดนีเซีย   

6. เห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรี ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 30   และอนุมัติให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงด้านมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 30 [30th ASEAN Socio – Cultural Community (ASCC) Council Meeting]  ในวันที่ 29 ส.ค. 2566 ณ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย

นางสาวรัชดา ฯ  กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียน มุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาและกรอบความร่วมมืออื่นๆ ในประเด็นสำคัญของโลกต่างๆ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ  การส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งการเปิดตัวเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการคลังและสาธารณสุข เป็นครั้งแรก เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ห่วงไทยถอยหลังความคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุ

 

เหตุผลหลักที่ต้องการตัดลดงบประมาณ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ก็เพราะว่า รัฐบาลไม่ต้องการแตะโครงสร้างความเหลื่อมล้ำ นั่นคือ ไม่ต้องการเก็บภาษีจากคนรวย เพื่อทำให้สังคมเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งที่มีข้อเสนอเรียกร้องจากทั้งจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และ ภาคการเมือง ก็ถูกตีตก หรือ รัฐบาลเจตนานั่งทับไว้ เพราะกลัวว่า คนกลุ่มน้อยที่กอบโกยผลประโยชน์บนยอดปีรามิด จะเสียประโยชน์ โดยไม่ได้คำนึงว่า อนาคตประเทศไทยจะอยู่กันต่อไปอย่างไร

ศูนย์กลางเครือข่ายระบอบอำนาจของไทยจะไม่คิดแบ่งปันออกมาให้คนส่วนใหญ่ในประเทศอย่างเป็นธรรมบ้างหรือ? ไม่กี่ตระกูลกอบโกยไปอย่างมหาศาลในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผ่านการสมประโยชน์กันของเครือข่าย กลุ่มทุน และ ภาครัฐที่ยึดกุมอำนาจอยู่ โดยมีการควบคุมความคิดผ่านสื่อที่สนับสนุนจีนและรัสเซีย จนทำให้กลุ่มคนเสียงดังในสังคมมีข้อมูลที่บิดเบือน เช่น ทั้งประเทศจ่ายภาษีแค่ 4 ล้านคน

แน่นอนว่า เราไม่สามารถแยกเรื่องโครงสร้างระบอบอุปถัมภ์ออกจากการเมืองเรื่องจัดตั้งรัฐบาล และ การกดขี่ขูดรีดแรงงานและการเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจจากคนไทย ดังนั้น คงจะไม่แปลกใจหากวันหนึ่งความโกรธแค้นของประชาชนเรื่องความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรม จะปะทุออกมาในที่สุด

ประเด็นความสัมพันธ์เรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” และ “ความขัดแย้งทางการเมือง” นี้ ผู้เขียนได้เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนในการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักข่าวกรองแห่งชาติ จึงขอนำเรียนตรงนี้อีกครั้งด้วยความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้โปรดตระหนักว่า ตามประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้พิสูจน์แล้ว “เมื่อความเหลื่อมล้ำรุนแรงมาก สักวันหนึ่งก็ต้องเผชิญวิกฤตขัดแย้งรุนแรง”

เรื่องระบบสวัสดิการคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุ แม้จะมีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ถึงจะเป็นเบี้ยยังชีพเดือนละ 3 พันบาท ก็ยังใช้งบประมาณน้อยกว่างบบำนาญข้าราชการในระยะยาว ในที่สุดแล้ว เมื่องบประมาณสำหรับบำนาญข้าราชการจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วน่ากังวล เราก็ควรที่จะใช้โอกาสนี้ในการจัดสรรทรัพยากรให้เป็นธรรม ตามข้อเสนอทางเศรษฐศาสตร์ที่มีมากมาย เพื่อให้มีงบประมาณสามารถคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุได้ทั้งสังคม แต่ข้อเท็จจริง คือ รัฐบาลไม่ยอมทำ ดังนั้น การตั้งเป้าหมายตัดลดงบประมาณเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จึงเป็นการเดินถอยหลังของประเทศ

ท้ายสุดนี้ ขอชวนอ่านบทความหรือการนำเสนอก่อนหน้านี้ของผู้เขียนเองเกี่ยวเรื่องความยากจนผู้สูงอายุ ซึ่งขณะนี้เรากำลังอยู่ตรงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อว่า จะปล่อยให้ประเทศเต็มไปด้วยคนจนผู้สูงอายุเต็มประเทศในอีก 10-20 ปีข้างหน้า และเต็มไปด้วยปัญหาสังคมที่เกิดจากคนจนล้นประเทศ หรือ รัฐบาลอยากจะวางรากฐานมั่นคงแข็งแรงให้เป็นสังคมที่ปรองดองและเป็นธรรม

 

ชวนอ่านเพิ่มเติม

EAT THE RICH เพื่อระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

http://www.setthasarn.econ.tu.ac.th/blog/detail/645

ความยากจนผู้สูงอายุ: ปัญหาท้าทายของประเทศไทย

https://prachatai.com/journal/2023/05/104376

ระบบบำนาญแห่งชาติที่มีความเป็นธรรมและยั่งยืน

https://mgronline.com/qol/detail/9660000034574

เวทีเสวนาฯชงรีดภาษีมั่งคั่ง-ขึ้นVat หางบโปะ‘บำนาญแห่งชาติ’-ห่วง‘รุ่นเกิดล้าน’แก่แล้วจน

https://www.isranews.org/article/isranews-news/117305-suggestion-national-pension-forum-news.html

จี้เลิกลดหย่อนภาษีคนรวย-เจ้าสัว! ‘ภาคปชช.’เคลื่อนไหวผลักดัน‘บำนาญถ้วนหน้า’ 3 พันบาท/ด.

https://www.isranews.org/article/isranews-news/115194-TCC-universal-pension-news.html

แหล่งรายได้สำหรับระบบหลักประกันรายได้เพื่อป้องกันวิกฤตสังคมผู้สูงอายุ

https://www.tcijthai.com/news/2023/5/article/12963

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

มณฑลซานตงของจีน เพิ่มช่องทาง ตลาดระหว่างประเทศการค้าไทย – จีน

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีกับความร่วมมือทางการค้าของไทย – จีนที่เติบโตต่อเนื่อง โดยได้ร่วมกันจัดงานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าจีน (ซานตง) – ไทย (China (Shandong) – Thailand Business Co-operation and Matchmaking Conference) สะท้อนพัฒนาการทางการค้าระหว่างสองประเทศ พร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจและอุตสาหกรรมทุกมิติ 

 
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มณฑลซานตง ถือเป็นมณฑลที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดมณฑลหนึ่งของจีน มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เช่น มีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีน มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ครบทั้ง 41 ประเภทของจีน มีช่องทางโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นจุดตัดของเส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเล ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจการท่าเรือและการขนส่ง รวมทั้งมีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) สามารถรองรับการขยายความร่วมมือกับประเทศสมาชิก RCEP ในด้านต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม โดยล่าสุดเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา หน่วยงานทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำมณฑลซานตง (CCPIT) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หอการค้าไทย-จีน และสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีนประจำประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดงานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าจีน (ซานตง) – ไทย โดยมีบริษัทจากมณฑลซานตงและไทยจำนวนกว่า 400 บริษัท เข้าร่วม เกิดการเจรจาธุรกิจแบบทวิภาคีในที่จัดงานกว่า 300 คู่ และมีการลงนามความร่วมมือมากกว่า 10 ฉบับ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานส่งเสริมการค้า และวิสาหกิจ 
 
 
โดยข้อมูลจากหอการค้าไทย – จีน ระบุว่า คณะผู้แทนด้านเศรษฐกิจและการค้าของซานตงที่เข้าร่วมการประชุมฯ ดังกล่าว ประกอบด้วยวิสาหกิจในมณฑลซานตง จำนวนกว่า 100 บริษัท โดยมี 22 บริษัทในกลุ่มจัดซื้อผลิตภัณฑ์และความร่วมมือด้านการลงทุนที่มีศักยภาพสูงในการเปิดตลาดและมีเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีความตั้งใจชัดเจนในการร่วมลงทุนกับบริษัทของไทย แบ่งตามประเภทได้ 8 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์เครื่องกลและไฟฟ้าและอุปกรณ์เสริม กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มยางล้อและชิ้นส่วนรถยนต์ กลุ่มสินค้าเกษตร กลุ่มอาหารและเครื่องจักรแปรรูป กลุ่มอุตสาหกรรมเบาและสิ่งทอ กลุ่มสุขภาพและการแพทย์ และกลุ่มเคมีภัณฑ์และ e-Commerce ซึ่งล้วนมีศักยภาพทางการค้าและสามารถต่อยอดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ในอาเซียนได้ 
 
 
“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าความร่วมมือและเวทีทางการค้าระหว่างกันจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือทางธุรกิจได้อย่างรอบด้าน โดยเป็นการเปิดพื้นที่ให้พบปะหารือ หรือจับคู่ทางธุรกิจได้ตรงตามความต้องการของผู้ลงทุนหรือผู้ประกอบการในแต่ละภาคส่วนอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันไทยมีความร่วมมืออย่างกว้างขวางกับจีน ทั้งด้านอุตสาหกรรม พาณิชย์ เกษตร เทคโนโลยี พลังงาน และการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนความร่วมมือของภาคธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับอุตสาหกรรม ยกระดับผู้ประกอบการของไทย” นายอนุชาฯ กล่าว
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ภาครัฐ-เอกชน จัดงานพลังงาน “ASEAN Sustainable Energy Week 2023”

 

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีต่อความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ขานรับตามนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่การใช้พลังงานสะอาด ร่วมกันจัดงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2023 (ASEW) งานแสดงเทคโนโลยีระดับภูมิภาค ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยด้วยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ขับเคลื่อนไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งาน ASEW จัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 33 โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยในปีนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2566 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Powering the Clean Energy Transition Toward Carbon Neutrality Goal) โดยมีเป้าหมายในการเป็นเวทีระดับนานาชาติเชื่อมโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีด้านพลังงานจากหลากหลายประเทศมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อร่วมกันพัฒนาและเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาด สร้างความยั่งยืน และเพิ่มโอกาสให้กับประเทศไทยในอนาคต โดย ASEW 2023 ถือเป็นงานแสดงสินค้าและการประชุมระดับนานาชาติที่ครอบคลุมมากที่สุดในภูมิภาค ทั้งด้านพลังงานทดแทน การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมถึงความร่วมมือระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับหน่วยงานพันธมิตร ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “แพลตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยน สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เพื่อสร้างมาตรฐานของแพ็กแบตเตอรี่และสถานีชาร์จ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ขับเคลื่อนสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียนต่อไป

“นายกรัฐมนตรีขอบคุณการบูรณาการความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ความท้าทายเรื่องพลังงาน และสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว ทุกคนได้รับผลกระทบ และไม่สามารถแก้ไขด้วยคน คน เดียว หรือกลุ่มเดียว ประเทศเดียวได้ แต่จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้ความร่วมมือร่วมใจกัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อว่ายังมีโอกาส และช่องว่าง ที่ศักยภาพของไทยสามารถเติมเต็มเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้อีกมาก ซึ่งจะช่วยไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานสะอาด พัฒนาอย่างสมดุล สู่ความยั่งยืนตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้” นายอนุชาฯ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News