Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

สื่อจีนมอง ‘กลยุทธ์ตัดไฟ-ตัดเน็ต’ ของขวัญไทยก่อนเยือน ‘รัฐบาลจีน’

ไทยใช้มาตรการเข้ม ปราบอาชญากรรมข้ามพรมแดน ได้ใจจีน รัฐบาลจีนชื่นชมมาตรการไทยในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน

กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน, 6 กุมภาพันธ์ 2568 jeenthainews รายงานว่านายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เดินทางเยือนจีนเป็นวันที่สอง โดยพบปะกับผู้นำจีน ณ อาคารมหาศาลาประชาชน ทั้งสองฝ่ายได้หารือเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน และความร่วมมือระดับภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจจากทั้งสองฝ่าย คือมาตรการของรัฐบาลไทยที่ใช้จัดการกับอาชญากรรมข้ามพรมแดน อาทิ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์และการพนันออนไลน์

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จีน หลิวชิ่งปิน ได้ให้ข้อมูลในเว็บไซต์ news.qq.com ของจีน ระบุว่าท่าทีของรัฐบาลจีนที่ชื่นชมมาตรการดังกล่าวของไทย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้รัฐบาลไทยว่ามาตรการที่ดำเนินอยู่นั้นเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ การได้รับการยอมรับจากรัฐบาลจีนอาจส่งผลให้ไทยได้รับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติการด้านความมั่นคงเพิ่มเติมในอนาคต

มาตรการตัดไฟ-ตัดเน็ตชายแดนไทย-เมียนมา: ข้อพิสูจน์ความจริงจังของไทย

ก่อนเดินทางมายังกรุงปักกิ่ง นายกรัฐมนตรีแพทองธารได้ออกคำสั่งให้ตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งน้ำมันไปยังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกระบุว่ามีการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายสูงมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการดังกล่าวเป็น “ของขวัญ” ที่รัฐบาลไทยมอบให้แก่จีน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการจัดการปัญหาที่จีนให้ความกังวลมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการในการฉ้อโกงประชาชนจีนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การดำเนินการครั้งนี้ไม่เพียงแต่ได้รับเสียงชื่นชมจากรัฐบาลจีนเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยว่าให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรมและความปลอดภัยในระดับภูมิภาค

กลยุทธ์ของแพทองธาร ได้รับแรงสนับสนุนจากอดีตนายกฯ ทักษิณ

มีข้อสังเกตจากนักวิเคราะห์ว่า แนวทางของนายกรัฐมนตรีแพทองธารอาจได้รับการแนะนำจากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ซึ่งเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไทยควรเร่งให้ความร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน รวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจและการค้า

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชื่อว่าทักษิณมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของไทยมาอย่างยาวนาน นโยบายของแพทองธารในครั้งนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องในแนวทางของพรรคเพื่อไทย ที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว

การดำเนินมาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาลไทยก่อนการเยือนจีน มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางหลักที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนหลังจากเกิดเหตุการณ์อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนชาวจีนในไทย ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเดินทางเยือนจีนของแพทองธารในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนให้กลับคืนมา

ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในอนาคต

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการเยือนจีนครั้งนี้ คือการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) อย่างน้อย 14 ฉบับ ระหว่างไทยและจีน ในด้านต่างๆ อาทิ

  • โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน
  • การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับรถไฟจีน-ลาว
  • การขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน

นักวิเคราะห์มองว่า ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของไทยในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนจากจีนให้เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้ว่าการดำเนินนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลไทยจะได้รับการตอบรับที่ดีจากจีน แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการบริหารจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน นักวิเคราะห์เตือนว่าหากไทยไม่สามารถรักษาความเข้มงวดของมาตรการเหล่านี้ได้ ก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ การที่ไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของกลุ่ม BRICS ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากจะส่งผลต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงของไทยในอนาคต

บทสรุป

การเดินทางเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามของไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับจีน ไม่เพียงแต่ในด้านความมั่นคงและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวผ่านข้อตกลงระดับทวิภาคีที่มีนัยสำคัญ

แม้ว่ามาตรการที่เข้มงวดของไทยจะได้รับการสนับสนุนจากจีน แต่รัฐบาลไทยยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : jeenthainews / 刘庆彬

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับท่าขี้เหล็ก ผลกระทบและความท้าทาย

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับท่าขี้เหล็ก: ผลกระทบจากการตัดไฟของไทย

เชียงราย, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – บรรยากาศบริเวณชายแดนแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นไปอย่างคึกคัก แม้จะมีคำสั่งให้ตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังเมียนมาก็ตาม ที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ด่านพรมแดน อำเภอแม่สาย การข้ามไปมาของผู้คนสองฝั่งยังคงเป็นไปอย่างปกติ มีทั้งรถรับส่งนักเรียน พ่อค้าแม่ค้า และประชาชนที่มาซื้อสิ่งของและทำธุระกันอย่างหนาแน่น เจ้าหน้าที่ยังคงตรวจตราการเข้าออกอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการลักลอบขนสิ่งของผิดกฎหมาย

การตัดไฟตามคำสั่งรัฐบาล

เมื่อเวลา 09.00 น. นายณัฏฐ์คเนศ จรัสรวีสิริกุล ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอแม่สาย ได้นำเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าทำการตัดไฟที่สะพานไฟบริเวณหน้าด่านพรมแดนแห่งที่ 1 ตามคำสั่ง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หลังเป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเด็นการตัดไฟในพื้นที่ชายแดนไทย – เมียนมา เพื่อสกัดการดำเนินการของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีทั้งสิ้น 5 จุด

นายณัฏฐ์คเนศ จรัสรวีสิริกุล กล่าวว่า การตัดไฟในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบกับทางท่าขี้เหล็ก เนื่องจากใช้ไฟจากไทยเป็นหลัก แต่ก็มีไฟอีกส่วนหนึ่งที่มาจาก สปป.ลาว อย่างไรก็ตาม หลังจากตัดไฟแล้วคาดว่า ทาง สปป.ลาว ต้องมีการแก้ไขในระบบการส่งไฟฟ้า ซึ่งอาจจะติดขัดทำให้ในตัวเมืองท่าขี้เหล็กไม่สามารถใช้งานได้อีกประมาณ 3-5 วัน

ประชาชนท่าขี้เหล็กแห่ซื้อน้ำมัน

ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ประชาชนท่าขี้เหล็ก เมียนมา ต่างพากันออกมาซื้อน้ำมันเพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟ หลังจากเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าทำการตัดไฟ การตัดไฟในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบกับทางท่าขี้เหล็กอย่างหนัก

ประกาศจากทางการเมียนมา

ล่าสุดแหล่งข่าวใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ได้รายงานว่า หลังจากที่มีการตัดไฟฟ้าแล้ว ประชาชนในจังหวัดท่าขี้เหล็กต่างพากันออกมาซื้อน้ำมันเพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องปั่นไฟ ทำให้รถติดยาวมากกว่า 1 กิโลเมตร

ด้านทางการเมียนมาได้มีประกาศว่า “ประเด็นเรื่องการจำหน่ายไฟฟ้าทางเลือกคณะกรรมการขับเคลื่อนไฟส่องสว่างในเมือง (ธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้า) ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของท่าขี้เหล็ก รับและจำหน่ายไฟฟ้า (20 เมกะวัตต์) จากประเทศไทยในอดีต แต่ตอนนี้ได้รับไฟฟ้าเพิ่ม (30 เมกะวัตต์) จากประเทศลาวและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว (50 เมกะวัตต์) เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุดไฟฟ้าที่ได้รับจากประเทศไทย (20 เมกะวัตต์) ถูกตัดออกอย่างกะทันหัน แต่เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถใช้งานได้ตามปกติ จึงจะมีการต่ออายุและทดแทนไฟฟ้าจากลาว (30 เมกะวัตต์) อาจมีไฟฟ้าดับ”

ทางการเมียนมายังระบุว่า จะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับโดยเร็วที่สุด

ผลกระทบต่อประชาชน

การตัดไฟฟ้าในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวท่าขี้เหล็กเป็นอย่างมาก หลายครัวเรือนไม่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ตามปกติ ธุรกิจต่างๆ ต้องหยุดชะงัก การดำรงชีวิตประจำวันเป็นไปด้วยความยากลำบาก

การแก้ไขปัญหา

ทางการเมียนมาได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับ โดยการเพิ่มปริมาณไฟฟ้าจากประเทศลาว และวางแผนที่จะปรับปรุงระบบไฟฟ้าภายในเมือง เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ไฟฟ้าได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและเมียนมาในด้านพลังงาน การแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างสองประเทศ เพื่อให้ประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สถานการณ์ล่าสุด

สถานการณ์ล่าสุดในท่าขี้เหล็กยังคงตึงเครียด ประชาชนยังคงประสบปัญหาไฟฟ้าดับอย่างต่อเนื่อง การแก้ไขปัญหาของทางการเมียนมายังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ

บทสรุป

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับท่าขี้เหล็ก เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งชาวไทยและชาวเมียนมา การแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ และการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทยเจ้าภาพประชุมดิจิทัลอาเซียน ร่วมมือปราบอาชญากรรมข้ามชาติ

ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 5

ส่งเสริมความมั่นคงดิจิทัล สร้างนวัตกรรม และความเท่าเทียม

กรุงเทพฯ – วันที่ 17 มกราคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 5 (The 5th ASEAN Digital Ministers’ Meeting: The 5th ADGMIN) ระหว่างวันที่ 16-17 มกราคม 2568 ณ โรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ และโรงแรมอวานี พลัส ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม

เวทีการประชุมระดับอาเซียน มุ่งสร้างอนาคตดิจิทัล

เวทีการประชุมครั้งนี้รวบรวมรัฐมนตรีจาก 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และคู่เจรจาสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐอเมริกา อินเดีย สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และรัฐมนตรีจากติมอร์-เลสเตในฐานะผู้สังเกตการณ์ รวมถึงเลขาธิการอาเซียน การประชุมนี้ดึงดูดผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน

หัวข้อหลัก: Secure, Innovative, Inclusive

ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพและประธานการประชุม ได้กำหนดหัวข้อหลักคือ “Secure, Innovative, Inclusive: Shaping ASEAN’s Digital Future” โดยเน้นสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่มั่นคง ปลอดภัย รับมือต่อภัยไซเบอร์ พร้อมส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีอุบัติใหม่ และการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม

ความร่วมมือปราบอาชญากรรมข้ามชาติและแก๊งคอลเซ็นเตอร์

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้มีการหารือเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สร้างผลกระทบต่อประชาชนอาเซียนทุกประเทศ โดยไทยได้ดำเนินการเจรจาและทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว เมียนมา และกัมพูชา เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา

จากการพูดคุยพบว่าหลายประเทศเผชิญปัญหาเดียวกัน เช่น มิจฉาชีพใช้ไทยเป็นฐานหลอกคนใน สปป.ลาว และในทางกลับกันคนไทยก็ถูกหลอกจากฝั่งลาวและเมียนมา การประชุมครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะยกระดับความร่วมมือเพื่อจัดการปัญหา

มาตรการเสริมสร้างความมั่นคงดิจิทัลในอาเซียน

นอกเหนือจากการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การประชุมยังมุ่งพัฒนามาตรการความปลอดภัยดิจิทัล เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคามไซเบอร์ การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร และการวางแนวทางความร่วมมือระยะยาว

นายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมย้ำวิสัยทัศน์อนาคตดิจิทัล

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดการประชุมว่า “การพัฒนาดิจิทัลไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างเทคโนโลยี แต่ต้องสร้างความเชื่อมโยงที่มั่นคงและเท่าเทียม เรามุ่งมั่นทำให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมที่ปลอดภัย และสร้างความเจริญก้าวหน้าร่วมกันในอนาคต”

บทสรุป

การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล ครั้งที่ 5 ที่จัดขึ้นในประเทศไทย เป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมืออาเซียน เพื่อพัฒนาด้านดิจิทัล ความมั่นคงไซเบอร์ และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ นับเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างอนาคตดิจิทัลที่มั่นคงและเท่าเทียมสำหรับทุกคนในภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

เชียงราย-ท่าขี้เหล็ก จับมือขุดลอกแม่น้ำสาย แก้น้ำท่วมยั่งยืน

เชียงราย-ท่าขี้เหล็ก หารือแผนขุดลอกแม่น้ำสาย สร้างความร่วมมือแก้ปัญหาน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 เวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อกำหนดแนวทางในการขุดลอกแม่น้ำสาย โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและฟื้นฟูสภาพแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกให้สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างยั่งยืน

ที่มาและความสำคัญของแม่น้ำสาย

แม่น้ำสาย หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “แม่น้ำละว้า” เป็นแม่น้ำที่มีความยาว 30 กิโลเมตร โดยแบ่งความยาวในประเทศไทย 15 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ถือเป็นเส้นแบ่งเขตแดนธรรมชาติระหว่างไทยและเมียนมา โดยมีต้นน้ำอยู่ในประเทศเมียนมาและไหลผ่านจังหวัดเชียงราย จนไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน

แม่น้ำสายเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญสำหรับการเกษตรกรรมและการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่น แต่ปัญหาการกัดเซาะของแม่น้ำที่ทำให้ตลิ่งเปลี่ยนทิศทาง เกิดแผ่นดินงอกและแผ่นดินหด ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางทรัพยากรและพื้นที่ชายแดน

ความร่วมมือข้ามพรมแดน

การประชุมในครั้งนี้มีการวางแผนการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาเกี่ยวกับสิทธิการเดินเรือและการใช้น้ำอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 16-17 มกราคม 2568 เพื่อกำหนดแนวทางการขุดลอกแม่น้ำและพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมระยะยาว

นอกจากนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ยังได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation) ในการดำเนินโครงการเพื่อบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย – ลุ่มน้ำรวก โดยเน้นการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าและปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผลกระทบและการแก้ปัญหา

จากการประชุมในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา หน่วยงานทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่และแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งส่งผลให้ชุมชนชายแดนทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์ โดยมีแผนการดำเนินการ 3 ขั้นตอน ได้แก่

  1. วางแผนสำรวจข้อมูล: ประเมินพื้นที่และเสนอความต้องการงบประมาณ
  2. ดำเนินการตามแผน: ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงแม่น้ำและตลิ่ง
  3. พัฒนาอย่างยั่งยืน: ติดตามผลการดำเนินการและพัฒนาระบบป้องกันในระยะยาว

ความสำเร็จในอนาคต

การขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกและการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยคาดว่าจะช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรน้ำ นอกจากนี้ การมีเขตแดนที่ชัดเจนยังสร้างโอกาสให้เกิดความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเมียนมาในอนาคต

คำถามที่พบบ่อย

  • โครงการนี้จะส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างไร?
    ช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและเพิ่มความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำ

  • ใครเป็นผู้ดำเนินโครงการนี้?
    สทนช. และหน่วยงานในพื้นที่ร่วมมือกับประเทศเมียนมา

  • ระยะเวลาการดำเนินโครงการนี้นานเท่าไหร่?
    โครงการจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การขุดลอกแม่น้ำสายและความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ยังเป็นตัวอย่างของความร่วมมือข้ามพรมแดนที่ส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รายงานสถานการณ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘เกาหลีใต้’ ดึงนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มทัวร์เข้าได้ไม่ต้องวีซ่า ‘เว้นไทย’

รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดมาตรการดึงนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มทัวร์เรือสำราญเข้าประเทศโดยไม่ต้องใช้วีซ่า

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 จากรายงานของ Business Korea รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พิจารณามาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มทัวร์ โดยเสนอให้ เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า (Visa-free entry) เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและวิกฤติโควิด-19

มาตรการนี้เริ่มต้นสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาโดยเรือสำราญ และมีแผนขยายไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนในประเภทอื่นๆ ภายหลัง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีสามารถเข้าพักในโฮมสเตย์ในเมือง (Urban Homestays) ซึ่งก่อนหน้านี้สงวนไว้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

การประชุมยุทธศาสตร์ฟื้นฟูการท่องเที่ยว

แผนการเหล่านี้ถูกประกาศในที่ประชุมว่าด้วยยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยว จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี ในเขตยงซาน กรุงโซล เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 การประชุมมีผู้แทนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเอกชนประมาณ 60 คนเข้าร่วม โดยเน้นถึงความสำคัญของการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19

มาตรการสำคัญของรัฐบาล

  1. ขยายการยกเว้น K-ETA และค่าวีซ่า
    • รัฐบาลได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มจาก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา และอินเดีย จนถึงสิ้นปีหน้า
    • ขยายระยะเวลาการยกเว้นชั่วคราวสำหรับ Korea Electronic Travel Authorization (K-ETA) ถึงสิ้นปี 2568
  2. สนับสนุนการเงินแก่ภาคการท่องเที่ยว
    • เงินกู้ทั่วไป 536.5 พันล้านวอน
    • การชดเชยเงินกู้รอง 100 พันล้านวอน
    • เงินกู้ค้ำประกัน 70 พันล้านวอน
    • มีแผนใช้งบประมาณด้านการท่องเที่ยว 1.3 ล้านล้านวอน โดย 70% ของงบประมาณดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในช่วงครึ่งปีแรก
  3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมและแคมเปญ
    • จัดงาน “Korea Grand Sale” ขยายระยะเวลาในครึ่งปีแรก
    • เตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ “Beyond K-Festa” ในเดือนมิถุนายน

ความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเกาหลีใต้

ข้อมูลจาก องค์การการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) ระบุว่า เกาหลีใต้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 13.74 ล้านคนภายในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดตั้งแต่ปี 2562 ที่เคยมี 17.5 ล้านคนก่อนการระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 20 ล้านคนในปีนี้ สะท้อนถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเผชิญ

รัฐบาลเน้นย้ำความสำคัญของการสื่อสารใกล้ชิดกับภาคการท่องเที่ยว

รองประธานาธิบดีฮัน ดัก-ซู กล่าวในที่ประชุมว่า “เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของตลาดการท่องเที่ยว เราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเชิงรุกและเร่งด่วน ผ่านการสื่อสารใกล้ชิดกับภาคการท่องเที่ยว”

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความหวังในอนาคต

มาตรการที่เน้นการเปิดประเทศและฟื้นฟูการท่องเที่ยวนี้ คาดว่าจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการช็อปปิ้งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาหลีใต้

จากแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน การยกเว้นวีซ่า และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เกาหลีใต้หวังจะกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในปี 2568 และปีต่อๆ ไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : businesskorea

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทยเสนอวีซ่าร่วม 6 ประเทศ ดันอาเซียนเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว

ไทยเดินหน้าสร้างภูมิภาคท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ ภายใต้แนวคิด “หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย”

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 thailandnow รายงานว่า ประเทศไทยกำลังผลักดันโครงการนวัตกรรมด้านการท่องเที่ยว โดยเสนอแนวคิดวีซ่าร่วมในลักษณะเดียวกับวีซ่าเชงเก้นของยุโรป เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวใน 6 ประเทศอาเซียน ได้แก่ ไทย กัมพูชา เวียดนาม ลาว มาเลเซีย และเมียนมา แนวคิดนี้ได้รับการผลักดันโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้หารือกับผู้นำอาเซียนหลายครั้งในปีที่ผ่านมา

“หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย” จุดเปลี่ยนการท่องเที่ยวอาเซียน

แนวคิด “Six Countries, One Destination” หรือ “หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย” ถูกเสนอครั้งแรกโดยประเทศไทยในเดือนเมษายน 2567 และได้รับการหารือใน การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 ที่ประเทศลาว เป้าหมายของโครงการนี้คือการทำให้อาเซียนเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ ลดขั้นตอนด้านเอกสาร และเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางระหว่างประเทศในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ได้ผลักดันโครงการนี้ผ่านการเจรจาระหว่างผู้นำอาเซียนหลายประเทศ รวมถึงหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีฟาม มินห์ จิญห์ ของเวียดนาม โดยตกลงเริ่มนำร่องระบบวีซ่าร่วม รวมถึงการเจรจากับนายกรัฐมนตรีโสเนไซ สีพันดอน ของลาว เน้นเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจและการคมนาคม นอกจากนี้ ยังมีการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่มาเลเซียเพื่อหารือการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว เช่น การปรับขั้นตอนข้ามแดน และการเชื่อมโยงแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมเข้ากับแผนส่งเสริมการท่องเที่ยว

เป้าหมายของวีซ่าร่วม: เพิ่มการเข้าถึงและกระตุ้นเศรษฐกิจ

ระบบวีซ่าร่วมนี้มุ่งเน้นการลดขั้นตอนด้านเอกสารและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว โดยให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าประเทศในกลุ่มที่เข้าร่วมได้ด้วยวีซ่าเดียว ส่งผลให้เกิดการเพิ่มจำนวนวันพักและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ โครงการนี้ยังมีเป้าหมายในการสร้าง “ภูมิภาคการท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์” คล้ายกับระบบของยุโรป แต่ผสมผสานความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอาเซียน ระบบนี้ยังช่วยลดอุปสรรคทางด้านเอกสาร เช่น การยื่นขอวีซ่าหลายครั้ง ช่วยให้การเดินทางในภูมิภาคง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

ไทยในฐานะผู้นำการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค

บทบาทของไทยในฐานะผู้นำโครงการนี้ถูกเน้นย้ำผ่านการประชุมสุดยอดและการหารือทวิภาคีต่างๆ โดยรัฐบาลไทยยังเน้นความสำคัญของการปรับปรุงขั้นตอนการเดินทาง และการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมระหว่างประเทศในภูมิภาค

นอกจากนี้ การนำเสนอโครงการนี้ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก โดยเพิ่มโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์การเดินทางที่ไร้รอยต่อ พร้อมทั้งกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ก้าวใหม่ของการท่องเที่ยวในเอเชีย

โครงการ “หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย” ถือเป็นก้าวสำคัญของภูมิภาคเอเชียในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาค โดยการรวมวีซ่าเข้าด้วยกันจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก

ด้วยการสนับสนุนจากผู้นำในภูมิภาคและการผลักดันอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้คาดว่าจะสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการเดินทางในภูมิภาค และส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อประโยชน์ของนักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : thailandnow

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

กรรมการผู้จัดการหญิงญี่ปุ่นเพิ่ม 8.4% พร้อมเป้าหมาย Womenomics ปี 2030

กรรมการผู้จัดการหญิงในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสู่ 8.4% แต่ยังห่างไกลเป้าหมาย Womenomics

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Teikoku Databank บริษัทวิจัยในญี่ปุ่น ได้เผยผลสำรวจบริษัทในประเทศกว่า 1.19 ล้านแห่ง พบว่า สัดส่วนของกรรมการผู้จัดการหญิงในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็น 8.4% ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก 4.5% ในปี 1990 โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนกรรมการผู้จัดการหญิงสูงสุดที่ 17.4% ตามด้วยธุรกิจบริการ 11.3% และธุรกิจค้าปลีก 11.1%

บทบาทของกรรมการผู้จัดการหญิงในบริษัทเล็กมีแนวโน้มสูงกว่า

จากการสำรวจพบว่า สัดส่วนกรรมการผู้จัดการหญิงในบริษัทขนาดเล็ก (มียอดขายต่ำกว่า 50 ล้านเยน) อยู่ที่ 11.9% ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ (ยอดขาย 10,000 ล้านเยนขึ้นไป) มีเพียง 2% โดย Tracy Gopal ผู้ก่อตั้ง Third Arrow Strategies ให้ความเห็นว่า “การเป็นผู้นำในบริษัทเล็กต่างจากบริษัทใหญ่ที่ต้องดึงดูดบุคลากรหญิงให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจำนวนผู้หญิงในองค์กรญี่ปุ่นจะลดลง”

การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมและนโยบาย Womenomics

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่ โดยผู้ชายมักมีบทบาทในการทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ขณะที่ผู้หญิงดูแลบ้านและลูก แต่จากปัญหาสังคมผู้สูงอายุและการขาดแคลนแรงงาน อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Shinzo Abe ได้ริเริ่มนโยบาย Womenomics ในปี 2013 เพื่อกระตุ้นให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น

เป้าหมาย Womenomics ในปี 2030

Womenomics มีเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางเพศ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2030 ญี่ปุ่นต้องมีสัดส่วนผู้หญิงในตำแหน่งผู้จัดการอย่างน้อย 30% จากข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2024 ผู้หญิงในตำแหน่งผู้จัดการมีสัดส่วนเพียง 10.9% แม้จะเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่ทะลุ 10% แต่ยังคงห่างไกลจากเป้าหมาย

มาตรการเพื่อผลักดันความเท่าเทียมทางเพศ

รัฐบาลญี่ปุ่นและบริษัทต่างๆ ได้ร่วมกันดำเนินมาตรการหลากหลาย เช่น

  • ปรับชั่วโมงการทำงานให้ยืดหยุ่น
  • สนับสนุนผู้หญิงที่มีลูกให้กลับมาทำงาน
  • ส่งเสริมให้ผู้ชายช่วยเลี้ยงดูบุตร
  • ยกเลิกการกำหนดเพศในใบสมัครงาน

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงต้องใช้เวลาและความพยายามร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเท่าเทียมในตลาดแรงงาน และทำให้ผู้หญิงมีบทบาทที่สำคัญในทุกระดับองค์กร

อ้างอิง

  • 8.4% of Japanese companies led by women in 2024
  • Female Managers in Japan Remain Few and Far Between

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Japantimes / The modern office: Japanese business practices have come a long way since the 1980s, when many books about working in the country were written. | GETTY IMAGES

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เงินเดือนญี่ปุ่นพุ่งในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางจ่อขึ้นดอกเบี้ย

เงินเดือนพนักงานญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางจ่อปรับขึ้นดอกเบี้ย

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 สำนักข่าว Bloomberg รายงานข้อมูลจากกระทรวงแรงงานญี่ปุ่นที่เผยว่า ฐานเงินเดือนพนักงานประจำในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนตุลาคม เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 1994 สัญญาณบวกนี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าในวัฏจักรเศรษฐกิจ พร้อมเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้

ในส่วนของค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน (Nominal Wages) เพิ่มขึ้น 2.6% ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ก่อนหน้า โดยค่าจ้างพนักงานประจำไม่นับรวมโบนัสและโอทีเพิ่มขึ้นถึง 2.8% นักวิเคราะห์มองว่านี่เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ซึ่งกำหนดประชุมในวันที่ 19 ธันวาคมนี้

การเจรจาและแนวโน้มค่าจ้าง

อายาโกะ ฟูจิตะ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจจาก JPMorgan Securities กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวสนับสนุนแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ แต่ยังต้องพิจารณาข้อมูลอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ คาซูโอะ อูเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei ว่า แนวโน้มค่าจ้างและการใช้จ่ายของครัวเรือนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ

แม้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายครัวเรือนในเดือนตุลาคมกลับลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มค่าจ้างยังไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคได้เต็มที่ นอกจากนี้ ความไม่เท่าเทียมของค่าจ้างที่แท้จริงยังอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ภาคแรงงานและความตึงตัว

ตลาดแรงงานญี่ปุ่นยังคงตึงตัว โดยมีอัตราการว่างงานต่ำกว่า 3% มาเป็นเวลาสามปี บริษัทต่าง ๆ จึงต้องเพิ่มค่าจ้างเพื่อรักษาพนักงานและปรับตัวเข้ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สมาพันธ์สหภาพการค้าญี่ปุ่น (Rengo) ได้ผลักดันให้ปรับขึ้นค่าจ้าง 5% ทั่วทุกอุตสาหกรรม ในขณะที่สหภาพแรงงานโรงงานเหล็กเรียกร้องการปรับค่าจ้างเพิ่มอีก 12,000 เยนต่อเดือน

ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 21.9 ล้านล้านเยน เพื่อรองรับการเพิ่มค่าจ้าง โดยเน้นช่วยเหลือบริษัทขนาดเล็ก และให้แนวทางส่งผ่านต้นทุนไปยังลูกค้าองค์กร

แผนการเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการบริโภค

รัฐบาลญี่ปุ่นยังวางแผนขยายการอุดหนุนค่าไฟฟ้าและมอบเงินสดให้แก่ครัวเรือนรายได้ต่ำ มาตรการเหล่านี้คาดว่าจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับขึ้นค่าจ้าง พร้อมลดเงินเฟ้อในระดับหนึ่ง อิชิบะยังสั่งให้คณะรัฐมนตรีจัดทำแผนปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน

ผลกระทบต่อการตัดสินใจของ BOJ

แนวโน้มค่าจ้างและสถานการณ์เงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของ BOJ ในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะยาว

ข้อมูลล่าสุดนี้สะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในการปรับตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านการจ้างงาน ค่าจ้าง และการบริโภคที่ยังต้องการการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

Meta ทุ่ม 342,838 ล้านบาท สร้างสายเคเบิลใต้ทะเลยาวที่สุดในโลก

Meta เตรียมสร้างสายเคเบิลใต้ทะเลยาวที่สุดในโลก ลงทุนกว่า 342,838 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนการสื่อสารทั่วโลก

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 Meta บริษัทแม่ของ Facebook, Instagram และ WhatsApp ได้ประกาศแผนสร้างสายเคเบิลใต้ทะเลที่ยาวกว่า 40,000 กิโลเมตร ครอบคลุมทั่วโลก โดยมีงบประมาณการลงทุนมากกว่า $10 พันล้าน หรือประมาณ 342,838 ล้านบาทเพื่อเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

การลงทุนเพื่ออนาคตของการสื่อสาร

Meta ได้ยืนยันว่าโครงการนี้จะเป็นครั้งแรกที่บริษัทจะเป็นเจ้าของสายเคเบิลใต้ทะเลทั้งหมด ซึ่งต่างจากเดิมที่เคยเป็นเพียงผู้ร่วมลงทุนในโครงการสายเคเบิลอื่นๆ เช่น โครงการ 2Africa ที่ล้อมรอบทวีปแอฟริกา การสร้างสายเคเบิลนี้จะช่วยให้ Meta มีความสามารถในการควบคุมและจัดการปริมาณการใช้งานของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เส้นทางและรูปแบบของสายเคเบิล

สายเคเบิลจะมีเส้นทางในรูปแบบตัว “W” โดยเชื่อมต่อจากชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ผ่านแอฟริกาใต้ถึงอินเดีย และต่อไปยังชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ผ่านออสเตรเลีย เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ทะเลแดง ช่องแคบมะละกา และทะเลจีนใต้

เหตุผลเบื้องหลังการลงทุนครั้งนี้

  1. การควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน: การเป็นเจ้าของสายเคเบิลโดยสมบูรณ์ช่วยให้ Meta ลดการพึ่งพาผู้ให้บริการโทรคมนาคมแบบดั้งเดิม และมั่นใจได้ว่าการส่งมอบข้อมูล เช่น เนื้อหาโฆษณาและวิดีโอ จะมีคุณภาพสูงสุด
  2. ความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์: การออกแบบเส้นทางหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง ลดโอกาสที่สายเคเบิลจะได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
  3. โอกาสในการพัฒนา AI: อินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเชื่อมต่อของสายเคเบิล มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการฝึก AI ระดับโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าในสหรัฐฯ

ความท้าทายและแผนในอนาคต

แม้ว่าโครงการจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และอาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะแล้วเสร็จ แต่ Meta มองว่านี่คือการลงทุนระยะยาวเพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ AI บริษัทคาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในปี 2025

บทบาทของอินเดียในแผนการของ Meta

อินเดียเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Meta ด้วยจำนวนผู้ใช้ Facebook มากกว่า 375 ล้านคน Instagram 363 ล้านคน และ WhatsApp 536 ล้านคน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอินเดียต่อกลยุทธ์การเติบโตของ Meta

บทสรุป

การสร้างสายเคเบิลใต้ทะเลของ Meta เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก สายเคเบิลนี้จะไม่เพียงช่วยปรับปรุงคุณภาพการสื่อสาร แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนานวัตกรรม AI และการสร้างความเชื่อมโยงในตลาดใหม่ๆ อย่างอินเดีย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : techcrunch

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

วิกฤตแรงงานฝีมือสหรัฐฯ สร้างโอกาสใหม่ Gen Z และกลุ่มแรงงานฝีมือ

สหรัฐฯ เผชิญวิกฤตแรงงานฝีมือ ขาดแคลนหนัก กลุ่มอาชีพรายได้สูงเริ่มเป็นที่สนใจ

รายงานเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567
ผลการวิจัยล่าสุดจาก McKinsey & Co. เผยว่าสหรัฐฯ กำลังประสบกับวิกฤตการขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมืออย่างหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ได้เน้นการศึกษาระดับปริญญาตรี เนื่องจากแรงงานรุ่นเก่าเริ่มเข้าสู่วัยเกษียณ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งชายและหญิงมีแนวโน้มเลือกอาชีพสายแรงงานลดลง เช่น งานก่อสร้าง การประปา และการขนส่ง วิกฤตนี้รุนแรงขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและอัตราค่าจ้างแรงงานที่มีทักษะสูง ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 20%

ความต้องการแรงงานเพิ่มสูง

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐฯ ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2032 จะมีตำแหน่งงานใหม่ในตลาดแรงงานกว่า 1.5 ล้านตำแหน่ง โดย 35% ของงานที่เติบโตเร็วที่สุดอยู่ในสายแรงงานที่เน้นทักษะ ไม่เน้นวุฒิปริญญาตรี Nathan Soto ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจาก Resume Genius ระบุว่า “คนรุ่นใหม่มองหางานที่รายได้ดีโดยไม่ต้องมีปริญญา” ส่งผลให้สายงานด้านการผลิต การบิน และพลังงาน กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยม

5 อาชีพรายได้สูงที่ตลาดต้องการ

มีการเปิดเผย 5 สาขาอาชีพที่ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ต้องการสูง โดยบางอาชีพไม่จำเป็นต้องใช้วุฒิปริญญาตรี แต่สามารถมีรายได้สูงถึง 100,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ได้แก่:

  1. ช่างเทคนิคลิฟต์และบันไดเลื่อน

    • ดูแลและซ่อมแซมอุปกรณ์ลิฟต์และบันไดเลื่อน
    • วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายและใบอนุญาต
    • รายได้เฉลี่ย 102,420 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี)
  2. พนักงานโรงไฟฟ้า

    • ควบคุมหม้อไอน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
    • วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายและใบอนุญาต
    • รายได้เฉลี่ย 100,890 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.4 ล้านบาทต่อปี)
  3. พนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ

    • ควบคุมการจราจรเครื่องบินทั้งบนอากาศและพื้นดิน
    • ต้องมีวุฒิปริญญาตรีหรือใบรับรอง AT-CTI และผ่านการฝึกอบรม FAA
    • รายได้เฉลี่ย 137,380 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.7 ล้านบาทต่อปี)
  4. ช่างเทคนิคนิวเคลียร์

    • ทำงานร่วมกับนักฟิสิกส์และวิศวกรเพื่อผลิตพลังงานนิวเคลียร์
    • วุฒิการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์และฝึกงาน
    • รายได้เฉลี่ย 101,740 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี)
  5. ผู้บังคับบัญชาแนวหน้าตำรวจและนักสืบ

    • จัดการงานและประสานงานสืบสวน
    • ต้องมีประสบการณ์ด้านตำรวจหรือการสืบสวน
    • รายได้เฉลี่ย 101,750 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี)

แรงงาน Gen Z ปรับตัว

กลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มหันมามองอาชีพที่ให้รายได้สูงโดยไม่เน้นปริญญาตรีมากขึ้น สายงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต พลังงาน และการบิน ถูกมองว่าให้ผลตอบแทนคุ้มค่าเทียบเท่ากับงานออฟฟิศ โดย Nathan Soto เสริมว่า “การพัฒนาทักษะและการปรับตัวของแรงงานในสายอาชีพเหล่านี้ ถือเป็นอนาคตของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ต้องการแรงงานคุณภาพสูง”

วิกฤตแรงงานฝีมือในสหรัฐฯ ไม่เพียงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน แต่ยังชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่กลุ่ม Gen Z จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : McKinsey & Co.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News