Categories
WORLD PULSE

‘ไทย’ มีโอกาสเจอฝนถึงเดือน พ.ย. หลังฟิลิปปินส์-เวียดนามยังมี ‘ลานีญา’

ฤดูฝนหนักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ผลกระทบและการเตรียมพร้อมสำหรับปี 2024

สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงเนื่องจากปรากฏการณ์ La Nina (ลานีญา)

สำนักข่าว BLOOMBERG รายงานว่าในปี 2024 นี้ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับฤดูฝนที่หนักกว่าปกติ เนื่องจากปรากฏการณ์ลานีญา ที่กำลังเกิดขึ้น ส่งผลให้น้ำอุ่นเคลื่อนตัวไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก และนำมาซึ่งฝนตกหนักมากขึ้นในพื้นที่นี้ พยากรณ์อากาศท้องถิ่นคาดการณ์ว่าฝนจะตกหนักจากฟิลิปปินส์ถึงเวียดนามจนถึงเดือนพฤศจิกายน

ผลกระทบต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมในเวียดนาม

เวียดนามซึ่งเป็นประเทศที่พึ่งพาการผลิตอย่างมาก ได้รับผลกระทบหนักจากพายุไต้ฝุ่นยางิในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพายุที่รุนแรงที่สุดที่เคยพัดผ่านประเทศนี้ในรอบหลายสิบปี พายุไต้ฝุ่นยางิทำให้เศรษฐกิจของเวียดนามต้องสูญเสียไปถึง 40 ล้านล้านดอง (ประมาณ 48.3 พันล้านบาท) จากความเสียหายที่เกิดขึ้นในโรงงานที่น้ำท่วม และการเก็บเกี่ยวข้าวและกาแฟที่เสียหาย

ความเสียหายต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทย

ประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างมาก กำลังเผชิญกับความเสียหายที่สูงถึง 30 พันล้านบาท จากน้ำท่วมในภาคเหนือ รวมถึงเชียงใหม่ที่ต้องอพยพช้างจำนวนประมาณ 100 ตัวจากศูนย์อนุรักษ์

พายุที่รุนแรงในฟิลิปปินส์

ฟิลิปปินส์ซึ่งมีพายุตกลงมาเฉลี่ยประมาณ 9 ครั้งต่อปี ยังกำลังฟื้นตัวจากพายุที่มีความรุนแรงในเดือนที่ผ่านมา เช่น พายุไต้ฝุ่นยางิในเดือนกันยายน และพายุกระท้อนในเดือนตุลาคม

การพยากรณ์สภาพอากาศและความเสี่ยงในอนาคต

ศูนย์พยากรณ์อากาศเฉพาะทางอาเซียนกล่าวว่าปรากฏการณ์ลานีญา คาดว่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2024 ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ฝนตกหนักกว่าปกติในหลายประเทศในภูมิภาค สิงคโปร์ได้ออกเตือนภัยน้ำท่วมในวันที่ 14 ตุลาคม เนื่องจากช่วงฤดูระหว่างมรสุมทำให้เกิดฟ้าผ่าและฝนตกหนัก

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ทะเลอุ่นขึ้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มโอกาสในการเกิดพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงขึ้นและใกล้เคียงกับชายฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อมากขึ้น “ไซโคลนเขตร้อนจะมีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น” กล่าวโดย Benjamin Horton กรรมการผู้จัดการ Earth Observatory of Singapore

การเตรียมพร้อมและการป้องกันภัยพิบัติ

ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของไซโคลนในมหาสมุทรแปซิฟิกทำให้ธุรกิจและรัฐบาลในภูมิภาคที่เสี่ยงต่อสภาพอากาศต้องพิจารณาวิธีใหม่ในการป้องกันภัยจากพายุ “ถ้าพายุไต้ฝุ่นยางิพิสูจน์ให้เห็นว่าถ้าคุณต้องการป้องกันประเทศและเศรษฐกิจของคุณในอนาคต ไม่มีวิธีที่เป็นจริงจังนอกจากต้องเริ่มดำเนินการทันที” กล่าวโดย Bruno Jaspaert ประธาน EuroCham Vietnam

 
กรณีศึกษาจากอุตสาหกรรมในเวียดนาม

อุตสาหกรรมอัมมาตาซิตี้ หาลงในภาคเหนือของเวียดนามเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงการเตรียมพร้อมสำหรับน้ำท่วม อุทยานอุตสาหกรรมนี้ได้ดำเนินการสำรวจความเสี่ยงจากน้ำท่วมอย่างละเอียดก่อนที่จะเริ่มก่อสร้างและลงทุนในระบบป้องกันน้ำท่วมที่ทันสมัย แม้พายุไต้ฝุ่นยางิจะทำให้โรงงานบางแห่งได้รับความเสียหายจากลมแรง แต่ “โชคดีที่ไม่เกิดน้ำท่วมภายในอุทยาน” กล่าวโดยผู้ดำเนินการ Amata

อนาคตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ด้วยการคาดการณ์ว่าลานีญา จะส่งผลให้ฝนตกหนักกว่าปกติต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2024 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป การลงทุนในระบบป้องกันภัยและการปรับปรุงมาตรฐานการก่อสร้างเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคนี้ในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : www.straitstimes.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
WORLD PULSE

เมืองโดเก็นสร้างเมืองลอยน้ำต่อต้านน้ำทะเลสูงที่ญี่ปุ่น

เมืองโดเก็นของญี่ปุ่นสร้างเมืองลอยน้ำต่อต้านระดับน้ำทะเลสูง

ภาวะโลกร้อนและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น

ภาวะโลกร้อนทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล ส่งผลกระทบต่อชุมชนชายฝั่งทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 จะมีผู้คนเกือบ 300 ล้านคนที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งต้องเผชิญกับน้ำท่วมทุกปี

แผนสร้างเมืองลอยน้ำในเมืองโดเก็น

เมืองโดเก็นในญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการสร้างเมืองลอยน้ำที่ทันสมัย เมืองนี้จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ไมล์ (1.58 กม.) และเส้นรอบวงประมาณ 2.5 ไมล์ (4 กม.) รูปร่างวงกลมช่วยปกป้องผู้อยู่อาศัยจากคลื่นสึนามิ

การออกแบบและโครงสร้างของเมืองลอยน้ำ

เมืองลอยน้ำของโดเก็นมีการออกแบบเป็นสองชั้น ชั้นบนสุดเป็นเมืองทางทะเลที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ส่วนชั้นที่สองเป็นศูนย์ข้อมูลที่ระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลสำหรับการบริหารจัดการเมือง การดูแลสุขภาพ และการค้นพบยา เมืองนี้สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยได้ 10,000 คนและนักท่องเที่ยวสูงสุด 40,000 คนในเวลาเดียวกัน

สิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีการเกษตร

เมืองลอยน้ำจะประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตอาหาร โรงเรียน โรงพยาบาล พื้นที่กีฬา สำนักงาน และสวนสาธารณะ เทคโนโลยีการเกษตรรูปแบบใหม่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสามารถผลิตอาหารได้มากถึง 7,000 ตันต่อปีโดยใช้น้ำทะเล นอกจากนี้ยังมีการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพที่ทันสมัยสำหรับทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว

 
แผนอันทะเยอทะยานสำหรับอนาคต

แผนการสร้างเมืองโดเก็นยังรวมถึงพื้นที่สำหรับการปล่อยและลงจอดจรวดเพื่อการท่องเที่ยวในอวกาศ นักออกแบบโครงการตั้งเป้าหมายในการสร้างเมืองให้เสร็จสิ้นภายในปี 2030 แม้ว่ารายละเอียดสำคัญเช่นที่ตั้งและค่าใช้จ่ายยังไม่ได้รับการเปิดเผย

โครงการเมืองลอยน้ำอื่นๆ ทั่วโลก

เมืองโดเก็นไม่ใช่เมืองลอยน้ำแห่งเดียวที่กำลังดำเนินการอยู่ ในปี 2022 เมืองปูซานของเกาหลีใต้ได้เปิดเผยแผนสำหรับมหานครทางทะเลที่ยั่งยืน ซึ่งสามารถรองรับคนได้ถึง 100,000 คน แม้ว่าโครงการเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นแนวคิด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มในการสร้างเมืองลอยน้ำที่สามารถพึ่งพาตนเองได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ชุมชน Schoonship ในเนเธอร์แลนด์เป็นโมเดลที่ดี

เนเธอร์แลนด์เป็นแหล่งรวมชุมชนลอยน้ำที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ปี 2021 ชุมชน Schoonship ประกอบด้วยบ้าน 46 หลังในแปลงน้ำ 30 แปลง และเป็นที่อยู่อาศัยของผู้อยู่อาศัยประมาณ 100 คน แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่เป็นโมเดลที่มีแนวโน้มดีในการสร้างเมืองลอยน้ำที่สามารถพึ่งพาตนเองได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อนาคตของเมืองลอยน้ำ

การสร้างเมืองลอยน้ำเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการรับมือกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เมืองโดเก็นและโครงการอื่นๆ ทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : N-Ark.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทยประสบความสำเร็จในการประชุมอาเซียนครั้งที่ 44-45

ความสำเร็จในการประชุมอาเซียนครั้งที่ 44 และ 45 ของประเทศไทย

ในวันที่ 12 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวถึงความสำเร็จของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 44 และ 45 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 ตุลาคม 2567 ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การประชุมครั้งนี้เป็นการแสดงถึงความสำคัญและบทบาทของประเทศไทยบนเวทีโลก

การประชุมอาเซียนที่ประสบความสำเร็จ

การประชุมอาเซียนครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทย โดยมีนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมอย่างแข็งขัน ตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้มีส่วนร่วมในกว่า 20 วาระสำคัญ ตั้งแต่พิธีเปิดการประชุมจนถึงการกล่าวถ้อยแถลงที่แสดงถึงวิสัยทัศน์และนโยบายของประเทศไทยในการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจร่วมกัน

การเจรจาทางเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า

นายกรัฐมนตรีแพทองธารฯ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาทางการค้าและการลงทุนกับประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ การประชุมครั้งนี้เปิดโอกาสให้เกิดการเจรจาการค้าการลงทุนที่ดีเยี่ยม และได้รับความสนใจจากผู้นำประเทศต่างๆ นอกจากการประชุมสุดยอดอาเซียนแล้ว ยังมีการประชุมอาเซียน-จีน อาเซียน-เกาหลี และอาเซียน-ญี่ปุ่น ซึ่งทุกครั้งที่มีการกล่าวแถลง นายกรัฐมนตรีได้แสดงถึงความตั้งใจในการร่วมมือแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก

การประชุมทวิภาคีและการลงทุนใหม่

หลังจากการประชุมอาเซียน นายกรัฐมนตรีแพทองธารฯ ได้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมทวิภาคีกับ 12 ประเทศ รวมถึงญี่ปุ่น สิงคโปร์ กัมพูชา และอื่นๆ ซึ่งมีการลงนามข้อตกลงการลงทุนใหม่ ๆ เช่น กลุ่มทุนในตะวันออกกลางที่ประกาศแผนลงทุนในศูนย์ข้อมูลดาต้าเซนเตอร์ในไทยกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท การลงทุนนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

การแสดงถึง Soft Power ของไทย

นอกจากด้านเศรษฐกิจแล้ว นายกรัฐมนตรียังได้แสดงถึง Soft Power ของไทยอย่างเด่นชัด ด้วยการแต่งกายผ้าไทยที่สวยงามและการต้อนรับจากสื่อและประชาชนลาวที่เป็นกันเอง การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในสายตาชาวต่างชาติ

อนาคตที่สดใสสำหรับประเทศไทย

หลังการประชุมอาเซียนครั้งนี้ คาดว่าจะมีข่าวดีเพิ่มเติมสำหรับประเทศไทย ทั้งการลงทุนจากต่างประเทศและการขยายโอกาสทางการค้าอย่างต่อเนื่อง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ได้ให้ความเห็นว่า ความสำเร็จในการประชุมครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับประเทศคู่ค้าทั่วโลก

การทำงานหนักของคณะผู้แทนไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธารฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความสามารถในการเจรจาและสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในทุกด้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

จีน เวียดนาม และไทย ครองสัดส่วนการนำเข้าของกัมพูชามากกว่า 73%

จีน เวียดนาม และไทย ครองสัดส่วนการนำเข้าของกัมพูชามากกว่า 73%

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 สำนักข่าว Phnom Penh Post รายงานว่า จีน เวียดนาม และไทย มีสัดส่วนการนำเข้ารวมกันมากกว่า 73% ของการนำเข้าทั้งหมดของกัมพูชา จากข้อมูลของกรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา (GDCE) ระบุว่า ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2567 กัมพูชานำเข้าสินค้าจากต่างประเทศรวมมูลค่าทั้งสิ้น 18.90 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดย 3 ประเทศหลัก ได้แก่ จีน เวียดนาม และไทย มีมูลค่าการนำเข้ารวม 13.91 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 73.59 % ของยอดการนำเข้าทั้งหมด เพื่อสนองความต้องการภายในประเทศและเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตและแปรรูปสินค้าเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ

สัดส่วนการนำเข้าของกัมพูชาจาก 3 ประเทศหลัก
  1. จีน: กัมพูชานำเข้าสินค้าจากจีนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 8.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 24.8 % จากปีก่อน หรือคิดเป็น 47.2% ของการนำเข้าทั้งหมด เนื่องจากสินค้าที่นำเข้าส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบสำหรับใช้ในโรงงานและสถานประกอบการภายในประเทศ
  2. เวียดนาม: มูลค่าการนำเข้าจากเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 2.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 13% หรือคิดเป็น 14.6% ของการนำเข้าทั้งหมด สินค้าส่วนใหญ่ที่นำเข้ามักเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าเกษตร
  3. ไทย: กัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 14.3% หรือคิดเป็น 11.7% ของการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูปและสินค้าสำหรับการบริโภคในชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้ กัมพูชายังนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย จีนไทเป มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ชิลี สหรัฐอเมริกา ลาว อินเดีย เยอรมนี ออสเตรเลีย และเดนมาร์ก แต่สัดส่วนรวมกันน้อยกว่า 27% ของการนำเข้าทั้งหมด

การค้าระหว่างกัมพูชากับจีน เวียดนาม และไทย

จากข้อมูลของ GDCE ยังระบุว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 จีน เวียดนาม และไทย ได้มีการนำเข้าสินค้าจากกัมพูชารวมมูลค่าประมาณ 4.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 23.8% ของการส่งออกทั้งหมดของกัมพูชาที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 17.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ
  1. ความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัมพูชาและ 3 ประเทศหลัก
    ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลของจีน เวียดนาม และไทย อยู่ในระดับที่ดีมาก และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แม้จีนจะไม่มีพรมแดนติดกับกัมพูชา แต่เป็นศูนย์กลางหลักในการจัดหาวัตถุดิบและสินค้าในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global Supply Chain) ส่วนเวียดนามและไทยซึ่งมีพรมแดนติดกับกัมพูชา ทำให้การซื้อขายสินค้าระหว่างกันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค

  2. ความสำคัญของการค้าภายในภูมิภาค
    ความวุ่นวายทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกทำให้การค้าภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทวีความสำคัญมากขึ้น การดำเนินข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ส่งผลให้การค้าระหว่างกัมพูชากับจีน เวียดนาม และไทยเติบโตต่อเนื่อง กัมพูชาได้นำเข้าสินค้าจากทั้ง 3 ประเทศเพิ่มขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีการส่งออกสินค้าจำนวนมากไปยังประเทศเหล่านี้เช่นกัน

โอกาสและความท้าทายของกัมพูชา

แม้การค้าและการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศของกัมพูชาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก อย่างไรก็ตาม กัมพูชายังคงมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และพยายามใช้โอกาสจากความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

บทวิเคราะห์: ความร่วมมือและการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยเฉพาะการนำเข้าวัตถุดิบจากจีน เวียดนาม และไทย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเสริมสร้างศักยภาพการผลิตและการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : phnompenhpost / cambodianess

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ไทย-เมียนมาร่วมมือแก้ปัญหาน้ำท่วม คาดขยาย ‘แม่น้ำสาย’ ลดเสี่ยง

 

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 สำนักข่าวชายขอบรายงานจากห้องประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย โดยมี พล.ท.ณัฐพงศ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร และ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการประชุมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจภูมิประเทศและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลำน้ำสาย โดยเฉพาะปัญหาสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำที่ส่งผลกระทบต่อการไหลของน้ำ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอแม่สายในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา

ตรวจพื้นที่และวางแผนป้องกันน้ำท่วมในอนาคต

ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการตรวจสอบพื้นที่ตลอดแนวลำน้ำสาย พร้อมหารือแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนร่วมกันระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนมา เนื่องจากลำน้ำสายถือเป็นเส้นเขตแดนระหว่างสองประเทศ โดยเป้าหมายสำคัญคือการป้องกันไม่ให้อำเภอแม่สายประสบปัญหาน้ำท่วมในปี 2568

วางแผนแนวทางการขยายลำน้ำสาย

ในที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า จำเป็นต้องมีการกำหนดความกว้างของลำน้ำสายใหม่ โดยได้ข้อเสนอเบื้องต้นว่าควรขยายลำน้ำสายให้มีความกว้างประมาณ 30 เมตร เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดน้ำท่วมและช่วยให้การไหลของน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งสองประเทศ เนื่องจากสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำมีทั้งในฝั่งไทยและฝั่งเมียนมา โดยทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันดำเนินการรื้อถอนและปรับพื้นที่ไปพร้อมกัน

“เป้าหมายหลักในปี 2568 คือการป้องกันไม่ให้อำเภอแม่สายประสบปัญหาน้ำท่วมอีก” พล.ท.ณัฐพงศ์ กล่าว โดยเน้นย้ำว่าการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนมา เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

ปัญหาสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำสาย-แม่น้ำรวก

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การจัดการปัญหาน้ำท่วม แต่ยังเกี่ยวข้องกับ การจัดระเบียบสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่ลำน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานแล้ว โดยย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 ทางการเมียนมาเคยเสนอให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกจำนวน 13 พื้นที่ แต่ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ เนื่องจากแนวลำน้ำได้มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ฝั่งไทยรุกล้ำไปยังฝั่งเมียนมา 6 จุด และฝั่งเมียนมารุกล้ำมายังฝั่งไทย 7 จุด

ปัญหานี้ทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากต้องมีการเจรจาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการจัดการพื้นที่และการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินสาธารณะและที่เช่าของกรมธนารักษ์

เจรจาข้อเสนอแนวทางแก้ไขร่วมกับเมียนมา

จากการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่าควรจัดการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสายพร้อมกันทั้งสองฝั่ง เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกัน โดยคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาเกี่ยวกับเขตแดนในช่วงแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก (ฝ่ายไทย) จะประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ เพื่อกำหนดท่าทีของประเทศไทยและยืนยันแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันกับทางการเมียนมา

ร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

ในการประชุมครั้งนี้ยังมีการเสนอให้มีการทำแผนแม่บทการจัดการน้ำร่วมกันระหว่างประเทศไทยและเมียนมา เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติในระยะยาว โดยจะมีการสำรวจและกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจร่วมกันในระดับชุมชนและภาคประชาชน เพื่อให้ประชาชนทั้งสองฝั่งตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการลำน้ำและการป้องกันน้ำท่วม

บทสรุป: การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอแม่สายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน การแก้ไขปัญหาครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขปัญหาด้านกายภาพของลำน้ำ แต่ต้องรวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง การทำความเข้าใจกับชุมชน รวมถึงการสร้างแผนป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาเกี่ยวกับเขตแดนช่วงแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกจะประชุมกันในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับท่าทีและแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป โดยหวังว่าการดำเนินการในครั้งนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในอำเภอแม่สายได้อย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

โลกผลิตขยะพลาสติกปีละ 57 ล้านตัน ส่วนใหญ่เกิดจากประเทศกำลังพัฒนา

จากรายงานล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 โดยวารสาร “เนเจอร์” ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติกที่สร้างขึ้นทั่วโลกมากถึง 57 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับ 52 ล้านเมตริกตัน ต่อปี โดยกว่า 2 ใน 3 ของมลพิษนี้มาจากประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์

การศึกษานี้ได้รับการวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลีดส์ ในสหราชอาณาจักร โดยนักวิจัยได้ตรวจสอบการผลิตขยะพลาสติกในเมืองและเทศบาลมากกว่า 50,000 แห่งทั่วโลก พบว่าปริมาณขยะที่ถูกทิ้งลงในสภาพแวดล้อมที่เปิดโล่งนั้น สามารถเติมเต็มพื้นที่ของสวนสาธารณะ เซ็นทรัลพาร์ค ในนครนิวยอร์กด้วยขยะพลาสติกสูงเท่ากับตึกเอ็มไพร์สเตทได้เลยทีเดียว

 

มลพิษจากพลาสติกในประเทศกำลังพัฒนา

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดมลพิษพลาสติกจำนวนมากคือ การที่รัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถรวบรวมและกำจัดขยะได้อย่างเหมาะสมสำหรับประชากรราว 15% ของโลก การศึกษาพบว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาใต้สะฮาราเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตขยะพลาสติกมากที่สุด โดยเฉพาะในประเทศอินเดียที่มีประชากรจำนวนมากถึง 255 ล้านคนที่เผชิญกับปัญหานี้

ประเทศอินเดียเป็นผู้นำโลกในการผลิตมลพิษจากพลาสติก โดยสร้างมลพิษมากถึง 10.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งมากกว่าประเทศไนจีเรียและอินโดนีเซียถึงสองเท่า เมืองใหญ่ที่ปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลก ได้แก่ ลากอส ประเทศไนจีเรีย ตามมาด้วย นิวเดลี ประเทศอินเดีย, ลูอันดา ประเทศแองโกลา, การาจี ประเทศปากีสถาน และ อัลกาฮิราห์ ประเทศอียิปต์

แม้ประเทศจีนมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อมลพิษมากที่สุดในโลก แต่จากข้อมูลของการศึกษาครั้งนี้ จีนอยู่อันดับสี่ในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก แต่จีนได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการลดปริมาณขยะพลาสติกในประเทศ

 

สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในด้านมลพิษจากพลาสติก

ประเทศสหรัฐฯ อยู่ในอันดับที่ 90 ของโลกในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก โดยมีปริมาณขยะมากกว่า 52,500 ตันต่อปี ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่อันดับที่ 135 โดยมีปริมาณขยะเกือบ 5,100 ตัน แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีระบบการจัดการขยะที่ดี แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหามลพิษจากพลาสติกได้

 

ข้อตกลงสากลเพื่อลดมลพิษพลาสติก

ในปี 2565 ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ตกลงที่จะทำ ข้อตกลงทางกฎหมาย เพื่อจัดการกับปัญหามลพิษจากพลาสติกอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงการกำจัดขยะพลาสติกในมหาสมุทร ข้อตกลงสุดท้ายคาดว่าจะถูกเจรจาในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ประเทศเกาหลีใต้ การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจนในการลดมลพิษและควบคุมการผลิตพลาสติกอย่างยั่งยืน

 

ผลกระทบของไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

จากข้อมูลการศึกษานี้ พบว่า 57% ของมลพิษจากพลาสติกทั่วโลก มาจากพลาสติกที่ถูกเผาอย่างไม่ถูกต้อง หรือถูกทิ้งลงในสิ่งแวดล้อมเปิดโล่ง สิ่งนี้ส่งผลให้เกิด ไมโครพลาสติก และ นาโนพลาสติก ซึ่งแพร่กระจายเข้าสู่ทุกมุมของโลก ตั้งแต่ยอดเขาเอเวอเรสต์ ไปจนถึงร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาในมหาสมุทรแปซิฟิก

ไมโครพลาสติกได้เข้าสู่ระบบนิเวศน์ รวมถึงเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านน้ำดื่ม อาหาร และอากาศที่เราหายใจ นักวิทยาศาสตร์ได้พบไมโครพลาสติกในเนื้อเยื่อต่างๆ ของมนุษย์ เช่น หัวใจ สมอง และอวัยวะอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องการเวลาในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงของไมโครพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

 

โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลาสติก

องค์การสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่า การผลิตพลาสติกจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 440 ล้านตันต่อปี ไปจนถึงมากกว่า 1,200 ล้านตัน ในอนาคต ซึ่งหมายความว่า โลกของเรากำลังจมอยู่กับพลาสติก” ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AP

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาผู้เสียชีวิตโดดเดี่ยว พุ่งสูงเกือบ 4 หมื่นคนในครึ่งปีแรก

 

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับวิกฤตทางสังคมที่น่ากังวล เมื่อรายงานจากสำนักข่าวเอ็นเอชเค (NHK) ของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีผู้เสียชีวิตในบ้านอย่างโดดเดี่ยวสูงถึง 37,227 คน จากจำนวนศพทั้งหมด 102,965 ศพที่ถูกส่งมาชันสูตร ซึ่งคิดเป็นกว่า 30% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด โดยศพเหล่านี้เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตตามลำพัง ไม่มีครอบครัวหรือผู้ดูแล และบางรายใช้เวลามากกว่า 1 เดือนกว่าจะมีผู้มาพบศพ

รายงานระบุว่ากว่า 70% ของผู้เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเหล่านี้เป็นผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 85 ปี ขึ้นไป จำนวน 7,498 คน และผู้ที่มีอายุระหว่าง 75 ถึง 79 ปี อีก 5,920 คน และอายุระหว่าง 70 ถึง 74 ปีอีก 5,635 คน ทั้งนี้ สถิติที่น่าตกใจเพิ่มเติมคือจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 3,936 คน ถูกพบหลังจากผ่านไปมากกว่า 1 เดือน และยังมีอีกไม่ต่ำกว่า 130 คน ที่ศพถูกพบหลังจากเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 1 ปี

การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวสะท้อนถึงปัญหาสังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก จากรายงานของสหประชาชาติ แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะพยายามแก้ไขปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่การจัดการกลับเป็นเรื่องที่ท้าทายและยากลำบาก

นอกจากปัญหาผู้สูงอายุที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแล้ว ญี่ปุ่นยังเผชิญกับปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยิ่งทำให้วิกฤตสังคมผู้สูงอายุนั้นรุนแรงขึ้น โดยผลสำรวจของรัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนของปีนี้ มีทารกเกิดใหม่เพียง 350,074 คน ลดลง 5.7% จากช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว นับว่าเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์

สถานการณ์นี้ยิ่งสร้างความกังวลต่ออนาคตของญี่ปุ่น โดยสถาบันวิจัยประชากรและความมั่นคงทางสังคมแห่งชาติของญี่ปุ่นได้คาดการณ์ว่า จำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.8 ล้านคนภายในปี 2050 หรืออีกประมาณ 26 ปีข้างหน้า และในปีเดียวกัน คาดว่าจะมีผู้ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพิ่มขึ้นถึง 23.3 ล้านคน

นอกจากญี่ปุ่นแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและเกาหลีใต้ก็กำลังเผชิญกับปัญหาลักษณะเดียวกัน โดยจีนพบว่าประชากรลดลงสวนทางกับอัตราการเกิดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1961 ขณะที่เกาหลีใต้ในขณะนี้ได้กลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลกแล้ว

รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่นเตรียมที่จะยื่นเรื่องไปถึงรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวนี้ และหวังว่ารายงานนี้จะช่วยสร้างความตระหนักถึงวิกฤตประชากรสูงอายุที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ปัญหาการเกิดของประชากรและการเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวไม่เพียงแต่เป็นปัญหาของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีสังคมสูงอายุและอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวเอ็นเอชเค (NHK)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ธุรกิจเมียนมาหลั่งไหลเปิดในไทย หนีวิกฤตในประเทศ

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 สำนักข่าวนิกเกอิ เอเชียรายงานว่า จำนวนธุรกิจจากเมียนมามากขึ้นเรื่อยๆ กำลังย้ายมาตั้งร้านค้าและร้านอาหารในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่หลบหนีจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในเมียนมา รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหารที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงต้นปีนี้

จากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับธุรกิจเมียนมา เปิดเผยว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจจากเมียนมาหลายสิบรายได้เข้ามาดำเนินงานในประเทศไทย สถานการณ์ในเมียนมาทำให้ธุรกิจต่างๆ เผชิญกับความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและกฎระเบียบทางการเงินที่ไร้เสถียรภาพ

เจ้าของธุรกิจรายหนึ่งที่ย้ายร้านมือถือและคอมพิวเตอร์จากเมียนมามาเปิดที่กรุงเทพฯ กล่าวว่า “ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่มีเสถียรภาพมากกว่า และตลาดกำลังเติบโตสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการของเรา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยเป็นตลาดทางเลือกที่สำคัญสำหรับนักธุรกิจเมียนมาที่ต้องการย้ายการดำเนินงานไปยังตลาดใหม่

การขยายตัวของธุรกิจเมียนมาในไทยนั้นได้แก่การเปิดสาขาของร้าน Cherry Oo ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกนาฬิกาที่มีประวัติยาวนานเกือบ 40 ปีในเมียนมา และได้เปิดร้านสาขาแรกในกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ร้านอาหาร Khaing Khaing Kyaw ที่มีชื่อเสียงในเมียนมา ซึ่งให้บริการอาหารพม่าดั้งเดิม ก็ได้ขยายสาขาเข้าสู่ประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าชาวเมียนมา

“เราตัดสินใจเปิดสาขาใหม่ในกรุงเทพฯ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น” ผู้จัดการร้านกล่าว พร้อมเสริมว่าร้านอาหารเครือข่ายนี้เติบโตจนมีสาขามากกว่า 10 แห่งในเมียนมาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเข้าสู่ตลาดไทยครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยมีแผนเปิดสาขาที่พัทยาและเชียงใหม่

การขยายธุรกิจของเมียนมาเข้ามาในประเทศไทยมีเป้าหมายหลักในการปกป้องสินทรัพย์ทางการเงินมากกว่าการสร้างผลกำไรในทันที นางซู นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า “มันไม่ได้เกี่ยวกับการสร้างผลกำไรทันที แต่เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงและการย้ายทรัพย์สินไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย”

แม้ว่าไม่มีตัวเลขสถิติอย่างเป็นทางการที่แสดงจำนวนประชากรเมียนมาที่แท้จริงในประเทศไทย แต่รายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาคาดว่า มีผู้อพยพทั่วไปจากเมียนมาจำนวน 1.9 ล้านคนในประเทศไทย เมื่อนับจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2566 และคาดว่า มีผู้อพยพจากเมียนมา 5 ล้านคนทั้งที่มีเอกสารและไม่มีเอกสาร ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศไทย

นอกจากนี้ กฎหมายบังคับเกณฑ์ทหารที่ประกาศใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ได้กระตุ้นให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากหลบหนีออกจากเมียนมา ส่งผลให้มีการขยายตัวในชุมชนเมียนมาและฐานผู้บริโภคในประเทศไทย ธุรกิจต่างๆ ตั้งแต่ร้านอาหารแบบดั้งเดิมของเมียนมาไปจนถึงร้านโทรศัพท์มือถือ และร้านค้าปลีกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างไล่ตามลูกค้าและใช้ประโยชน์จากความต้องการความสะดวกสบายและสินค้าจำเป็นในหมู่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาในประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นิกเกอิเอเชีย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘มาเลเซีย’ ประกาศแล้ว มกราคม 68 แพลตฟอร์มโซเชียลต้องขอใบอนุญาต

 

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 ที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้มีการประกาศกรอบการกำกับดูแลใหม่สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและการส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตทั้งหมดที่มีผู้ใช้ลงทะเบียนอย่างน้อย 8 ล้านคนในประเทศให้ปฏิบัติตามในวันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม โดยกรอบการกำกับดูแลใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปีหน้า

คณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) ได้ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่าการบังคับใช้ใบอนุญาตประเภทใหม่จะส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มยอดนิยมเช่น Facebook, Instagram, WhatsApp, YouTube, TikTok และ Telegram โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กและครอบครัว

การประกาศกรอบการกำกับดูแลใหม่นี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงในมาเลเซีย องค์กรภาคประชาสังคมบางแห่งได้กล่าวว่ามาตรการนี้เป็นการกระทำที่มากเกินไปและเสี่ยงต่อการปิดกั้นเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ขณะที่ผู้สังเกตการณ์อินเทอร์เน็ตรายอื่นๆ กลับมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ทันท่วงทีเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยออนไลน์ในช่วงเวลาที่อาชญากรรมทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น

การเคลื่อนไหวของมาเลเซียในการเปิดตัวกรอบกฎระเบียบใหม่นี้ดูเหมือนจะสะท้อนถึงความพยายามของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียและสิงคโปร์ ที่มุ่งหวังจะปกป้องประชาชนจากการรับรู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทางออนไลน์

ในบริบทของประเทศไทย การกำกับดูแลแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง เนื่องจากมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บการพนันและสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อเด็กและเยาวชน นอกจากนี้ การแพร่กระจายของข่าวปลอมบนทางออนไลน์ยังเป็นปัญหาที่สำคัญ การกำกับดูแลที่เข้มงวดจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและความมั่นคงในสังคมออนไลน์ของไทย

กรอบการกำกับดูแลใหม่ที่มาเลเซียประกาศใช้นั้นสามารถเป็นต้นแบบในการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบในประเทศไทยให้ทันสมัยและตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรับปรุงกฎระเบียบนี้จะไม่เพียงแต่ช่วยลดอาชญากรรมทางไซเบอร์และป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ แต่ยังส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีความรับผิดชอบในหมู่เยาวชนและประชาชนทั่วไปอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

สั่งขยายผล ‘คนไทย’ ลักลอบเดินทาง ทำงานเก็บผลไม้ป่าที่ ‘ฟินแลนด์’

 

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2567 กรมการจัดหางาน ได้รับแจ้งเบาะแสจากผู้ประสงค์ไม่ออกนามว่ามีการลักลอบเดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่สาธารณรัฐฟินแลนด์ เดินทางโดยสายการบินกาตาร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ QR837 จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย จุดหมายปลายทางท่าอากาศยานนานาชาติฮาหมัด กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ จึงมอบหมายกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน และด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิดำเนินการตรวจสอบ ปรากฏว่าพบผู้ที่จะลักลอบไปทำงานที่สาธารณรัฐฟินแลนด์ จำนวน 43 คน เป็นชาย 37 คน และหญิง 7 คน ทั้งหมดให้การยอมรับว่าจะเดินทางไปทำงานเกษตรกรเก็บผลไม้ป่าที่สาธารณรัฐฟินแลนด์ โดยไม่ได้ขออนุญาตกับกรมการจัดหางานตามกฎหมาย จึงได้ระงับการเดินทางพร้อมกับชี้แจงให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างเคร่งครัด พร้อมสั่งการไปยังสำนักงานจัดหางานจังหวัดที่คนหางานซึ่งถูกระงับการเดินทางมีภูมิลำเนาอยู่ เพื่อสอบข้อเท็จจริงและขยายผลถึงขบวนการชักชวนหรือนำพาคนหางานไปทำงานเก็บผลไม้ป่าที่สาธารณรัฐฟินแลนด์อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยขอย้ำเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าสาธารณรัฐฟินแลนด์ว่าประเทศไทยยังชะลอการจัดส่งแรงงานไปเก็บผลไม้ป่า เพื่อประโยชน์ของตัวแรงงาน ในระหว่างนี้ขอความร่วมมือแรงงานไทยไม่ลักลอบไปทำงาน

 

“สำหรับการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในสาธารณรัฐฟินแลนด์ขณะนี้ยังชะลอการจัดส่ง โดยอยู่ระหว่างหารือร่วมกับสาธารณรัฐฟินแลนด์เพื่อปรับระเบียบกฎหมาย ข้อบังคับต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับแรงงานไทยที่จะเดินทางไปเก็บผลไม้ป่า รวมถึงนายจ้างต้องยอมรับเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์การคุ้มครองและการรักษาสิทธิของแรงงานไทย ตลอดจนความโปร่งใสและความเป็นธรรมให้แก่แรงงานไทย” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

 

 

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจไปทำงานต่างประเทศสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ตนจะเดินทางไปทำงาน เพื่อป้องกันการหลอกลวงผ่านระบบ e – Service กรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์ doe.go.th หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทย ไปต่างประเทศ doe.go.th/overseas หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1–10 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 .

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News