Categories
WORLD PULSE

จีนคุมแร่หายากเขย่าโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือด่วน

วิกฤตแร่หายากเขย่าอุตสาหกรรมโลก ไทยต้องเร่งวางยุทธศาสตร์รับมือ หวั่นกระทบทั้งรถยนต์-พลังงานสะอาด

ประเทศไทย, 8 มิถุนายน 2568 –ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ขาดแคลนแร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) กำลังทวีความรุนแรงในระดับโลก จากการที่ประเทศจีนในฐานะผู้ผลิตและส่งออกแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มใช้มาตรการควบคุมการส่งออกอย่างเข้มข้นในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นมาตรการตอบโต้ต่อสงครามภาษีที่สหรัฐอเมริกานำมาใช้กับสินค้าจีน

ส่งผลให้หลายภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแร่หายากอย่างสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงานสะอาด และอิเล็กทรอนิกส์ ได้รับผลกระทบถ้วนหน้า ทั้งในยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย

ยุโรปเผชิญปัญหาชะงักซัพพลายเชน

จากรายงานของสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ยุโรป (CLEPA) พบว่าหลายโรงงานในเยอรมนีและยุโรปต้องหยุดสายการผลิต เนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตส่งออกแร่จากจีนเพียงพอ แม้จะมีการยื่นคำขอมากกว่า 200 ฉบับ แต่ได้รับการอนุมัติเพียง 25% เท่านั้น

ฮิลเดการ์ด มุลเลอร์ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนี (VDA) เตือนว่าข้อจำกัดของจีนอาจส่งผลให้การผลิตในยุโรปหยุดชะงัก และเรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมันและสหภาพยุโรปเจรจากับจีนเพื่อแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน

ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้รับมือด้วยยุทธศาสตร์เชิงรุก

นิสสันออกมายอมรับว่ากำลังหาทางลดผลกระทบจากจีนร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น ขณะซูซูกิระงับการผลิตรถรุ่น Swift ชั่วคราว ส่วนเกาหลีใต้เร่งลงทุนในการพัฒนาแหล่งแร่ภายในประเทศและพิจารณาจัดตั้งกลไกนำเข้าแบบร่วมมือกับชาติพันธมิตร

ไทยในฐานะฐานการผลิตโลกต้องเร่งปรับตัว

แม้ไทยมีปริมาณแร่หายากสำรองประมาณ 4,500 ตันเท่านั้น (จากข้อมูล USGS ปี 2024) ซึ่งน้อยกว่าจีนที่มีถึง 44 ล้านตัน แต่การที่ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และแบตเตอรี่ EV ในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าอย่างสูง โดยเฉพาะจากจีนซึ่งครองส่วนแบ่ง 60% ของการผลิตแร่หายากและ 85% ของการแปรรูปทั่วโลก

การจำกัดการส่งออกของจีนอาจทำให้ไทยเผชิญปัญหาชะงักของซัพพลายเชนในอนาคตอันใกล้

อาเซียนมีศักยภาพแต่อยู่ในวงจรต้นน้ำ

เวียดนามและมาเลเซียมีปริมาณแร่สำรองที่สูง แต่ยังขาดศักยภาพการแปรรูป แม้มาเลเซียจะมีโรงแยกแร่ของ Lynas ซึ่งรับวัตถุดิบจากออสเตรเลีย แต่ก็ผลิตได้เพียง 12-15% ของตลาดโลก ขณะที่ประเทศอื่นในอาเซียนรวมถึงไทยยังไม่มีความสามารถด้านการแปรรูปขั้นกลางและปลายน้ำ

ยุทธศาสตร์ที่ไทยควรเดินหน้า

  1. ผลักดันการลงทุนใน upstream-midstream เช่น การสกัดและแปรรูปเบื้องต้น เพื่อสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ
  2. พัฒนา REE recycling technology เพื่อให้สามารถหมุนเวียนแร่หายากจากผลิตภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่
  3. สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น อาเซียน+3 หรือกรอบความร่วมมือด้านพลังงาน เพื่อร่วมกันจัดหาและสำรองแร่หายากอย่างยั่งยืน
  4. เร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทดแทน เช่น วัสดุแม่เหล็กชนิดใหม่ที่ไม่ต้องใช้ REE ซึ่ง Mercedes-Benz และ Toyota เริ่มดำเนินการแล้ว

ผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคง

ด้วยแร่หายากเป็นวัตถุดิบสำคัญต่อระบบพลังงานสะอาด อาวุธยุทโธปกรณ์ และเศรษฐกิจดิจิทัล การผูกขาดของจีนจึงกลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในเวทีโลก การที่ประเทศผู้ผลิตอย่างไทยยังไม่พร้อมในห่วงโซ่ REE ทั้งระบบ อาจทำให้สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต และตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้

สรุป

ประเทศไทยซึ่งมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ระดับภูมิภาค จำเป็นต้องเร่งวางแผนรองรับวิกฤตแร่หายากอย่างเป็นระบบ โดยไม่เพียงแต่เพิ่มปริมาณการสำรอง แต่ต้องยกระดับขีดความสามารถตลอดสายโซ่คุณค่า (value chain) เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความมั่นคงของประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • US Geological Survey, Mineral Commodity Summaries 2024
  • CLEPA (European Association of Automotive Suppliers)
  • VDA (German Association of the Automotive Industry)
  • ISEAS – Yusof Ishak Institute
  • Reuters, CNBC, Asia Financial
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ท่องเที่ยวเวียดนามฟีเวอร์ ไทยเสียแชมป์ตลาดเอเชีย

เวียดนามฟีเวอร์! นักท่องเที่ยวทะลุ 7.6 ล้าน ไทยชะลอตัว-ตลาดจีนแห่เที่ยวเวียดนาม แซงไทยในตลาดหลักเอเชีย

ประทเศไทย, 1 มิถุนายน 2568 – การท่องเที่ยวเวียดนามกลายเป็นประเด็นร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยสถิติชี้ว่า เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 7.67 ล้านคน ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นับเป็นการขยายตัวที่น่าจับตา สะท้อนภาพเวียดนามในฐานะ “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวรายใหม่จากทั่วโลก

เวียดนามแรงแซงไทย นักท่องเที่ยวจีน-เกาหลีหันเป้าหมายใหม่

ข้อมูลล่าสุด (อัปเดต 12 พฤษภาคม 2568) ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้าเยือนเวียดนามสูงสุดคือจีน 1.95 ล้านคน ตามด้วยเกาหลีใต้ 1.58 ล้านคน ขณะที่ไทย ซึ่งเคยเป็นจุดหมายหลักสำหรับตลาดทั้งสองกลุ่ม กลับถูกเวียดนามแซงหน้าอย่างชัดเจน โดยสถิติระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยช่วงต้นปีมีเพียง 1.82 ล้านคน ส่วนกลุ่มเกาหลีใต้ ไทยมีนักท่องเที่ยวราว 600,000 คน ขณะที่เวียดนามดึงกลุ่มนี้ได้ถึง 1.58 ล้านคน หรือมากกว่าประมาณ 3 เท่า

ตลาดสำคัญอื่นๆ อาทิ ไต้หวัน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกัมพูชา ก็เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ (+98.3%) กัมพูชา (+79.6%) และลาว (+44.7%) ต่างมีอัตราเติบโตสูง ส่วนไทย (+3.1%) และมาเลเซีย (+0.3%) กลับขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย

แนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

สถานการณ์ที่เวียดนามแซงหน้าไทยในกลุ่มตลาดหลักอย่างจีนและเกาหลีใต้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงสำคัญในภูมิทัศน์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาค โดยในอดีต ไทยเคยเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลีมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งสองชาติกลับเลือกเวียดนามเป็นปลายทางมากขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงรุก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์นักเดินทางรุ่นใหม่

ไทยยังคงตัวเลขรวมสูงแต่แนวโน้มชะลอตัว

แม้ไทยจะยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมสูงกว่า โดยข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมกว่า 13 ล้านคน แต่สัปดาห์ล่าสุดกลับมีแนวโน้มชะลอตัวลง นักท่องเที่ยวลดลง 5.11% โดยเฉพาะกลุ่มจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ลดลง 8.26%, 1.72% และ 1.42% ตามลำดับ สะท้อนแรงกดดันด้านการแข่งขันจากเวียดนามและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ตลาดจีนซึ่งเคยเป็น “หมุดทองคำ” ของไทย เริ่มแปรเปลี่ยนฐานความนิยม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าเวียดนามสูงกว่าของไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็น “กำลังซื้อหลัก” ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ก็เลือกเวียดนามเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว

วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนทิศการท่องเที่ยว

หนึ่งในปัจจัยหลักที่นักวิเคราะห์ชี้ชัด คือการที่เวียดนามใช้นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาเส้นทางบินตรง การเปิดเมืองใหม่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมถึงราคาค่าครองชีพที่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทแข็ง อัตราค่าครองชีพสูง รวมถึงความกังวลในเรื่องความปลอดภัยที่ถูกหยิบยกในสื่อระหว่างประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักของการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น และต่างชาติส่วนหนึ่งมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น ทำให้เวียดนามกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มนี้

ทิศทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กลายเป็นความท้าทายของไทย

รายงานจาก Lao Tien Times ในงาน Thailand Tourism Forum 2025 เมื่อ 7 พฤษภาคม 2568 ชี้ว่า ไทยกำลังตกเป็นรองในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีเพียง 109 โรงแรม หรือไม่ถึง 1% ของโรงแรมทั่วประเทศ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ขณะที่แพลตฟอร์มการจองและเทคโนโลยี AI เริ่มให้ความสำคัญกับสถานประกอบการที่มีใบรับรองมาตรฐานอย่างเข้มงวด ส่งผลให้โรงแรมไทยที่ไม่ผ่านมาตรฐานอาจถูกกันออกจากตลาดสำคัญ เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจและกลุ่ม MICE

อาลิสา ศิวายะธร CEO Sivatel Bangkok Hotel กล่าวในงานว่า กระแสความต้องการท่องเที่ยวเชิงรับผิดชอบกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็น “มาตรฐานใหม่ของโลก” โดยเฉพาะนักเดินทางจากยุโรปที่มีการออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเข้มข้นมากขึ้น

แม้ผู้บริโภคไทยจะมีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าในปี 2567-2568 มีโพสต์เกี่ยวกับการลดใช้พลาสติกและขยะกว่า 6,800 โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และมีผู้มีส่วนร่วมมากกว่า 1.2 ล้านครั้ง ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า 65% ของนักท่องเที่ยวไทยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และ 62% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ราคายังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกวิธีที่ประหยัดมากกว่าสิ่งแวดล้อม

ลาวโดดเด่นบนเวทีโลก ผลักดันเมืองหลวงพระบางสู่มาตรฐานโลก

ขณะที่ไทยกำลังดิ้นรนกับมาตรฐานความยั่งยืน ลาวกลับมีความคืบหน้าสำคัญ หลวงพระบางได้รับรางวัลอันดับ 3 ใน Green Destinations Top 100 Story Awards สาขาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว (Destination Management) ณ งาน ITB Berlin เมื่อเดือนมีนาคม 2568 นอกจากนี้ หลวงพระบางอยู่ระหว่างการเตรียมตัวขอรับรอง Green Destination Certification อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะยกระดับภาพลักษณ์เมืองมรดกโลกให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

สถิติล่าสุดระบุว่าในปีที่ผ่านมา หลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาวและต่างชาติกว่า 2.3 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น น้ำตกกวงสี วัดเชียงทอง ภูสี และตลาดกลางคืน ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญ

ทางออกและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “สวัสดีหนีห่าว” ที่นำผู้ประกอบการและ KOL จากจีนเข้าร่วมงานโปรโมตประเทศไทย พร้อมขยายตลาด “Long haul” หรือกลุ่มเดินทางไกล ขณะที่ยังต้องรักษาตลาด “Short haul” หรือกลุ่มระยะใกล้ โดยมีมาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกผ่านระบบ ตม.6

นางสาวฐาปนีย์ ยังยืนยันว่า ไทยมีศักยภาพขยายตลาดใหม่ พร้อมย้ำถึงมาตรการเชิงรุกที่จะทำให้ตลาดจีนและกลุ่มเป้าหมายสำคัญกลับมาเติบโตในครึ่งปีหลัง

วิเคราะห์แนวโน้ม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2568

สถานการณ์การแข่งขันของเวียดนามและไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของไทย ทั้งในแง่ของการขยายตลาดใหม่ การยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน และการเสริมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและประสบการณ์ท่องเที่ยว ตลอดจนการเน้นกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความคุ้มค่า และความรับผิดชอบต่อสังคม

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.67 ล้านคน ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (+23.8%) (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 13 ล้านคน (1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568) (อ้างอิง: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวจีนเยือนเวียดนาม 1.95 ล้านคน ไทย 1.82 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เยือนไทย 600,000 คน ขณะที่เวียดนาม 1.58 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนเพียง 109 แห่ง (<1%) (อ้างอิง: Siam Commercial Bank Economic Intelligence Center, Lao Tien Times)
  • หลวงพระบาง ลาว มีนักท่องเที่ยว 2.3 ล้านคน รายได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิง: กรมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมลาว, ITB Berlin 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • Siam Commercial Bank
  • Economic Intelligence Center
  • Lao Tien Times
  • งาน ITB Berlin 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา 75 ปี แห่งการเติบโต

75 ปีความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งร่วมมือ สู่อนาคตประชาชนสองแผ่นดิน

จุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพ รากฐานทางการทูตและวัฒนธรรมอันมั่นคง

เมื่อย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ. 2493 ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังตื่นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกัน และวัฒนธรรมที่โยงใยกันอย่างแน่นแฟ้น นี่คือจุดตั้งต้นของ “สะพานมิตรภาพ” ที่ไม่ใช่เพียงระดับรัฐบาล แต่หยั่งรากลึกสู่หัวใจของประชาชน ชุมชน และภาคส่วนต่างๆ ในสังคม

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาต้องผ่านอุปสรรคหลากหลาย ทั้งเรื่องพรมแดน ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความเข้าใจผิดที่ถูกปลูกฝังจากอดีต อย่างไรก็ดี ด้วยจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการร่วมมือ ทั้งสองชาติสามารถเดินข้ามความยากลำบาก ผ่านการเจรจาอย่างมีวุฒิภาวะ การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และโครงการร่วมมือหลากหลายที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค

เมืองชายแดนอย่างจังหวัดสระแก้วของไทยและจังหวัดบันเตียเมียนเจย (Banteay Meanchey) ของกัมพูชา กลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า ความคึกคักของตลาดชายแดน กิจกรรมวัฒนธรรม งานประเพณีข้ามพรมแดน และความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศ ล้วนขยายขอบเขตของมิตรภาพให้แน่นแฟ้นขึ้นในทุกยุคสมัย

แกนกลางแห่งความร่วมมือ เศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และประชาชน เศรษฐกิจและการค้าไทย-กัมพูชา เส้นทางที่เติบโตต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก คุณนฤมล รินเรืองสิน รองประธานสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia- TBCC) ชี้ว่า ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชาทะยานสูงถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปกัมพูชา ได้แก่ อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้างและเครื่องจักรกลการเกษตร ขณะที่กัมพูชาส่งออกสินค้าการเกษตรและวัตถุดิบสำคัญมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ธุรกิจไทยยังขยายตัวในกัมพูชาอย่างมั่นคง เช่น ปตท. ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมัน 184 แห่ง คาเฟ่อเมซอนกว่า 154 สาขา และกลุ่มค้าปลีกอย่างบิ๊กซี แมคโคร เซเว่น อีเลฟเว่น ของซีพี ออลล์ ที่มีทั้งหมด 120 แห่ง ขยายสาขาในเมืองสำคัญของกัมพูชา เช่น พนมเปญ สีหนุวิลล์ และเสียมราฐ เอสซีจีลงทุนก่อสร้างโรงงานปูนซิเมนต์ อย่าง K Cement โรงงานผลิตพีวีซี และไทยยังมีบทบาทสำคัญในธุรกิจสุขภาพและการแพทย์ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรอยัลพนมเปญในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพและเครือข่ายคลินิกไทย

คุณชลธิศ เทพยศ ที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ย้ำว่ากัมพูชาเปิดกว้างอย่างจริงจังต่อนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการออกนโยบายยกเว้นภาษี 12 ปี และยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยแสดงความสนใจขยายธุรกิจในกัมพูชามากขึ้นทุกปี

เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการยกระดับความร่วมมือเพื่อความมั่นคงอาหารภูมิภาค

กัมพูชามีศักยภาพสูงด้านการผลิตมะม่วงหิมพานต์ มะม่วง ทุเรียน และข้าวโพด โดยเฉพาะบริเวณทะเลสาบโตนเลสาบซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญ ไทยจึงสามารถเข้าไปลงทุนในโรงงานแปรรูปทุเรียนอบแห้ง มะม่วงแห้ง เพื่อตอบสนองตลาดในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลกัมพูชาเน้นพัฒนาพื้นที่สี่จังหวัดสำคัญ ได้แก่ กระแจะ สตึงแตรง รัฒนคีรี มณฑลคีรี เพื่อดึงดูดนักลงทุนไทยในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร

การลงทุนและห่วงโซ่อุปทานความเชื่อมโยงใหม่ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ตุลย์ ไตรโสรัส เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของไทยในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (Thai Business Council in Cambodia) รายงานว่า ไทยเป็นนักลงทุนอันดับ 4 ในกัมพูชา ครอบคลุมธุรกิจค้าปลีก พลังงาน เกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และบริการทางการแพทย์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่และดิจิทัล

การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ระหว่างสองประเทศช่วยให้สินค้าไทยมีโอกาสเข้าสู่ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกันกัมพูชาก็สามารถใช้ไทยเป็นประตูออกสู่ตลาดสากลผ่านนิคมอุตสาหกรรมและด่านโลจิสติกส์ชายแดน

การศึกษาและวัฒนธรรม สร้างพื้นฐานความเข้าใจระหว่างประชาชน ความร่วมมือทางการศึกษา สะพานแห่งโอกาสสำหรับเยาวชน

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของไทยและมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรในกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการพัฒนาบุคลากรสาขาเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร ขณะที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและมหาวิทยาลัยพระตะบอง ร่วมมือกันจัดหลักสูตรภาษาไทยพิเศษ ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักศึกษากัมพูชา โดยในปี 2567 จำนวนนักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า

นอกจากนั้น วัฒนธรรมไทยได้รับความนิยมสูงในกัมพูชา สะท้อนผ่านละคร ภาพยนตร์ เพลง และศิลปินไทยที่ครองใจเยาวชนกัมพูชา กระแส Soft Power นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงความรู้สึกและความเข้าใจระหว่างประชาชน

กิจกรรมเยาวชนและโครงการแลกเปลี่ยน สร้างมิตรภาพข้ามพรมแดน

นายฮก โซะเพีย (H.E. Mr. Hok Sophea) รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และคณะ เพื่อรับฟังข้อมูลนโยบายด้านการต่างประเทศของกัมพูชา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศในทุกๆ ระดับชั้น  ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและเยาวชนระหว่างสองชาติขยายตัวต่อเนื่อง เช่น โครงการโฮมสเตย์และโครงการ Summer Camp สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย กิจกรรมเยาวชนเหล่านี้ช่วยให้เยาวชนได้เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม และสร้างสายสัมพันธ์ที่จะหล่อเลี้ยงมิตรภาพในอนาคต

การท่องเที่ยวเชื่อมโยงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วยประสบการณ์จริง นักท่องเที่ยวไทย-กัมพูชา ตัวเลขที่เติบโตสู่เป้าหมายร่วม

ในปี 2567 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชาจำนวนกว่า 2.6 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในกัมพูชา ขณะที่ไทยก็เป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวกัมพูชา แคมเปญ “Two Kingdoms, One Destination” ที่ทั้งสองประเทศร่วมกันส่งเสริม สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวข้ามพรมแดนใหม่ ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เส้นทางมรดกโลก และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วม

กิจกรรมเด่น เช่น ฟุตบอลมิตรภาพเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และวิ่งมาราธอนข้ามสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาในเดือนมีนาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 700 คน ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างชุมชนชายแดน

โลจิสติกส์และคมนาคมพื้นฐานเศรษฐกิจอนาคต

การพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างเมืองสำคัญของทั้งสองชาติด้วยถนน รถไฟ เรือ และเที่ยวบินตรง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมผลักดันให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การรับมือกับความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและความมั่นคงอาหาร

การเข้าไปได้ลองศึกษาดูงานภาคการเกษตรของกัมพูชาที่ไร่ La Plantation ซึ่งเป็นไร่พริกไทย และผลไม้ ใน จ.กำปอต และเป็น Argro-Tourism Site ที่ได้รับการรับรองโดยกระทรวงท่องเที่ยวของกัมพูชา เห็นได้ว่าทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการเกษตรยั่งยืนและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์จริงด้านสิ่งแวดล้อมช่วยให้ไทยและกัมพูชารับมือกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความมั่นคงอาหารในภูมิภาค 

เสียงจากภาคประชาชนและนักวิชาการมุมมองใหม่ต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สัมภาษณ์และข้อคิดเห็นจากผู้นำชุมชนและผู้เชี่ยวชาญ

ในการเดินทางเยือนกรุงพนมเปญของคณะสื่อมวลชนไทย มีการสัมภาษณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชา ผู้นำชุมชน และนักธุรกิจไทยในพื้นที่ ซึ่งต่างสะท้อนมุมมองว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชามีความแน่นแฟ้นจากระดับผู้นำสู่ระดับประชาชน แม้จะมีประเด็นละเอียดอ่อน เช่น ปัญหาเขตแดน OCA (Overlapping Claim Area) แต่ทั้งสองชาติยังคงให้ความสำคัญกับการเจรจาและเคารพซึ่งกันและกัน

ฝ่ายค้านในทั้งสองประเทศยังมีบทบาทในการกำหนดทิศทางนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งเยาวชนกว่า 30% ต้องการปฏิรูปการเมือง ผู้เชี่ยวชาญเน้นว่าความสำเร็จในการพัฒนาร่วมต้องฟังเสียงประชาชนและไม่ผูกขาดการตัดสินใจไว้ในกลุ่มอำนาจเดิม

บทบาทของสื่อและการตรวจสอบข้อมูลจุดเปลี่ยนของความเข้าใจ

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยสำคัญต่อการรับรู้ข่าวสาร ข้อมูลผิดพลาดและข่าวปลอมสามารถสร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ง่าย สถานเอกอัครราชทูตไทยและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา ตลอดจนสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จึงร่วมกันผลักดันโครงการอบรมสื่อทั้งสองประเทศ ส่งเสริมการรายงานข่าวที่สร้างสรรค์ และการตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นระบบ อ้างอิงจากการเข้าพบ Dr. Vannarith Chheang ประธานที่ปรึกษารัฐสภาแห่งชาติ (Chairman of advisory council of the National Assembly of the Kingdom of Cambodia)

ประสบการณ์จริงจากทีมข่าว “ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจ” กับบทเรียนจากพนมเปญ เมื่อการเดินทางเปลี่ยนมุมมอง

ทีมข่าวไทยที่เดินทางร่วมกับคณะสื่อมวลชนต่างชาติ สัมผัสบรรยากาศพนมเปญเมืองหลวงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาคารสูงทันสมัย ถนนหนทางสะอาด ผู้คนมีระเบียบวินัยและเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม การได้สัมผัสชีวิตจริงของคนกัมพูชา เปลี่ยนความคิดที่เคยมีจากภาพจำเก่าๆ ที่รับรู้ผ่านข่าวหรืออคติทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ลึกซึ้ง

หลายคนเล่าว่า “ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเพียงเปลือกนอก แต่หัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศเหมือนกัน คืออยากให้ครอบครัวมีความสุข มีบ้านที่ปลอดภัย มีอาชีพมั่นคง และมีโอกาสทางการศึกษา”

มิตรภาพที่แท้จริง สื่อมวลชน นักธุรกิจ และเจ้าหน้าที่การทูตในบทบาท ‘คนกลาง’

สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ อธิบายว่า บทบาทของ “คนกลาง” คือการฟังและเข้าใจหัวใจคนทั้งสองฝั่ง ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดความเห็นแต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างกันโดยไม่ใช้อีโก้

การพบปะกับสมาคมนักข่าวกัมพูชาและสมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา เปิดมุมมองใหม่ว่า แม้สื่อกัมพูชาจะยังไม่เสรีอย่างเต็มที่ แต่สามารถควบคุมกระแสข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลกัมพูชาเปิดรับฟังเสียงประชาชนและให้โอกาสแก่ผู้ประกอบการรายใหม่

ความสำเร็จและโอกาสในอนาคต

  • การค้ารวม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 (อ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์แห่งประเทศไทย)
  • ไทยเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 4 ในกัมพูชา (อ้างอิง: สภาธุรกิจไทย-กัมพูชา)
  • นักท่องเที่ยวไทยเดินทางมากัมพูชามากถึง 2.6 ล้านคนในปีเดียว (อ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งชาติกัมพูชา)
  • นักศึกษากัมพูชาที่เลือกเรียนภาษาไทยเพิ่มขึ้น 20% (อ้างอิง: มหาวิทยาลัยพระตะบอง)
  • โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและทุนการศึกษาร่วมกว่า 2,000 ทุน

ความท้าทายที่ต้องจับตาหลังสื่อไทยแลกเปลี่ยนข้อมูลสื่อกัมพูชาได้ นายปุย เกีย นายกสมาคมฯ ของคณะสื่อมวลชนกัมพูชาจากสมาคมนักข่าวกับพูชา (Club of Cambodian Journalists)

  • ข่าวสารผิดพลาดในโซเชียลมีเดียและปัญหาข่าวปลอม
  • ความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันด้านห่วงโซ่อุปทาน
  • โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ชายแดนที่ต้องพัฒนา
  • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและช่องว่างระหว่างรุ่น

ข้อเสนอเพื่อความร่วมมือและเติบโตอย่างยั่งยืน

  1. ส่งเสริมการอบรมสื่อมวลชนและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
  2. ขยายโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนและนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง
  3. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน รถไฟ และด่านชายแดนให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
  4. สนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การแปรรูปสินค้าเกษตร และนวัตกรรมเทคโนโลยีร่วม
  5. เสริมสร้างกลไกเจรจาแก้ปัญหาข้อพิพาทโดยใช้ช่องทางระหว่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 
เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

สมาคมนักข่าวไทย-กัมพูชา วอนสื่อหยุดข่าวลือชายแดน

เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี – สื่อสองชาติร่วมเรียกร้องหยุดข่าวลวง หวังความสงบและสันติวิธี

ประเทศไทย, 28 พฤษภาคม 2568 –ได้เกิดเหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ภายหลังจากที่ทหารไทยซึ่งลาดตระเวนพื้นที่บริเวณดังกล่าว พบว่ามีกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาขุดคูเลตหรือสนามเพลาะ พร้อมสร้างจุดที่ตั้งบริเวณแนวชายแดนดังกล่าว จนต้องมีการเข้าไปเจรจาให้ถอนกำลังและยุติกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากถือเป็นการละเมิดบันทึกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา หรือ MOU 2543 เป็นครั้งที่สองในรอบปีนี้

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้สถานการณ์บริเวณชายแดนตึงเครียดขึ้นในทันที แม้จะยังไม่มีรายงานการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตแน่ชัด แต่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเสี่ยงสำคัญที่อาจนำไปสู่การปะทะหรือความขัดแย้งขยายวงกว้าง หากไม่มีการจัดการด้วยความรอบคอบและร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย

จุดเริ่มต้นของเหตุปะทะความเคลื่อนไหวในพื้นที่สีเทา

เหตุการณ์เริ่มต้นจากการที่ทหารไทยปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนตามปกติ เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาความสงบในพื้นที่ ต่อมาได้ตรวจพบว่ามีกำลังทหารจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาขุดคูสนามเพลาะ ซึ่งเป็นกิจกรรมต้องห้ามภายใต้ MOU2543 ซึ่งเป็นบันทึกข้อตกลงว่าด้วยมาตรการรักษาความสงบชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สองประเทศได้ร่วมลงนามและยึดถือปฏิบัติมายาวนาน

เมื่อทหารไทยได้เข้าไปเจรจาขอให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยินยอมโดยทันที ทำให้บรรยากาศในพื้นที่ชายแดนตึงเครียดมากขึ้น อย่างไรก็ดี จากการปฏิบัติการของทั้งสองฝ่าย ยังไม่มีรายงานการใช้กำลังรุนแรงหรือเกิดความเสียหายใดๆ แต่สถานการณ์ยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ปมปัญหา MOU2543 เส้นแบ่งที่ยังคลุมเครือ

MOU2543 เป็นบันทึกข้อตกลงสำคัญซึ่งรัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกันเมื่อปี 2543 ว่าด้วยการห้ามดำเนินการใดๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่ตามแนวชายแดนที่ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ (Pending Boundary) โดยเฉพาะในพื้นที่พิพาทหรือยังไม่ได้ตกลงเขตแดนที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม การตีความขอบเขตพื้นที่และเจตนาของ MOU2543 ในแต่ละฝ่ายยังคงแตกต่างกันอยู่บ้าง ทำให้เกิดจุดอ่อนไหวและการกระทบกระทั่งเป็นระยะๆ ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะยุติได้ด้วยกลไกการเจรจาและการควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศ

บทบาทของสื่อมวลชนจุดเปลี่ยนแห่งความเข้าใจ หรือซ้ำเติมปัญหา

ภายหลังเหตุการณ์ปะทะดังกล่าว ทั้งสโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ) และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมอย่างเร่งด่วน สืบเนื่องจากการสังเกตการณ์ว่ามีสื่อบางแห่ง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ได้นำเสนอข้อมูลที่ขาดแหล่งอ้างอิงชัดเจน หรือข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งสร้างความสับสนและความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวางในทั้งสองประเทศ

ทั้ง CCJ และ TJA แสดงความกังวลอย่างมากต่อการเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่มีที่มาที่ไป หรือมีเจตนาให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะนอกจากจะเพิ่มความตึงเครียดในพื้นที่แล้ว ยังบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองชาติที่สะสมความไว้เนื้อเชื่อใจมาอย่างยาวนาน

ข้อเรียกร้องจากสององค์กรสื่อความรับผิดชอบต่อสังคมต้องมาก่อนยอดแชร์

CCJ และ TJA ได้จัดประชุมออนไลน์ฉุกเฉินในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เพื่อกำหนดแนวทางรับมือสถานการณ์ข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ชายแดน และได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. เรียกร้องให้สื่อมวลชนในทั้งสองประเทศใช้ความระมัดระวังสูงสุด หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลที่ไม่มีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ หรือข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดน เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือสร้างความแตกแยก
  2. ขอความร่วมมือจากผู้ใช้โซเชียลมีเดียในทั้งสองประเทศให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแชร์ข่าวสารใดๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพราะการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในวงกว้าง และยากต่อการควบคุมผลกระทบ

การแก้ไขปัญหาการทูตยังเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ทั้งสององค์กรย้ำความหวังว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะได้รับการคลี่คลายผ่านกลไกทางการทูต และการหารืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามจนกระทบต่อความสัมพันธ์อันยาวนานทั้งในระดับประชาชนและรัฐชาติ โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาสามารถผ่านพ้นจุดวิกฤตลักษณะนี้ได้ด้วยสันติวิธี และการเปิดพื้นที่ให้เจรจาอย่างตรงไปตรงมา

ความเปราะบางของพรมแดนกับโอกาสในการป้องกันวิกฤต

สถานการณ์ปะทะที่ช่องบกในครั้งนี้สะท้อนถึง “ความเปราะบาง” ของเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นเส้นแบ่งที่ทั้งสองประเทศยังต้องตกลงรายละเอียดกันอีกมาก ขณะที่โซเชียลมีเดียและการสื่อสารยุคใหม่ กลายเป็นทั้งโอกาสในการแจ้งเตือนและ “ดาบสองคม” ที่อาจเร่งให้เกิดความตึงเครียดหากขาดการกลั่นกรองข้อเท็จจริง

ในขณะที่กระแสข่าวสารบนโซเชียลมีเดียเคลื่อนไหวรวดเร็ว สื่อกระแสหลักและองค์กรวิชาชีพสื่อจึงต้องมีบทบาทคัดกรอง ปกป้องประโยชน์สาธารณะ และไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังเปราะบาง การเปิดพื้นที่พูดคุย แลกเปลี่ยน และใช้กลไกการทูตจึงยังเป็นวิธีที่ทั้งสองประเทศควรยึดถืออย่างมั่นคง

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • สถิติการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา: จากข้อมูลกระทรวงกลาโหมไทย รายงานว่าในช่วงปี 2566-2568 มีเหตุการณ์ความตึงเครียดชายแดนรวม 6 ครั้ง โดย 2 ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี (ที่มา: กระทรวงกลาโหม)
  • มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2567 อยู่ที่ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • จำนวนการแชร์ข้อมูลข่าวปลอมเกี่ยวกับชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่ามีกว่า 3,500 ครั้งบนโซเชียลมีเดีย (ที่มา: กองตรวจสอบข่าวปลอม สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ)
  • ข้อมูลความร่วมมือด้านสื่อ: สโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ) และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA)
  • รายละเอียดบันทึกข้อตกลง MOU2543: กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงกลาโหม
  • กระทรวงพาณิชย์
  • กองตรวจสอบข่าวปลอม สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • สโมสรนักข่าวกัมพูชา (CCJ)
  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA)
  • กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

ร้านกาแฟ “ต่างประเทศ” เริ่ม No WiFi แล้วที่ ‘เชียงราย’ มีเริ่มหรือยัง

ร้านกาแฟอเมริกันทยอยเลิก WiFi หวังจำกัดลูกค้านั่งทำงานนาน กระตุ้นรายได้-ชุมชนสัมพันธ์

กระแสทำงานนอกบ้าน สร้างปัญหาร้านกาแฟ

สหรัฐอเมริกา, 12 พฤษภาคม 2568 – จากรายงานล่าสุดของ Axios สำนักข่าวในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ปัจจุบันร้านกาแฟหลายแห่งในสหรัฐฯ เริ่มยกเลิกการให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย (WiFi) และจำกัดการใช้งานแล็ปท็อปภายในร้าน เพื่อแก้ปัญหาลูกค้าที่ใช้พื้นที่นั่งทำงานทางไกล (remote work) เป็นเวลานาน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อยอดขายและบรรยากาศภายในร้านกาแฟเป็นอย่างมาก

ในช่วงที่ผ่านมา ร้านกาแฟจำนวนมากได้กลายเป็นพื้นที่ที่ลูกค้านำแล็ปท็อปมานั่งทำงานหรือประชุมออนไลน์ผ่าน Zoom เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ซึ่งแม้จะเพิ่มจำนวนลูกค้าในร้านแต่กลับส่งผลกระทบทางลบต่อรายได้ของร้านกาแฟ เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้มักซื้อกาแฟหรือสินค้าจำนวนน้อย และยังใช้พื้นที่เป็นเวลานาน ทำให้ร้านกาแฟเสียโอกาสในการต้อนรับลูกค้าใหม่และสูญเสียรายได้ที่ควรได้

Starbucks และร้านดังปรับนโยบายใหม่

ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้คือ ร้านกาแฟ Starbucks ที่ก่อนหน้านี้มีนโยบายเปิดให้ลูกค้าใช้บริการฟรี แต่ล่าสุด Starbucks ปรับนโยบายใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2568 ให้ลูกค้าต้องซื้อสินค้าก่อนจึงจะสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและห้องน้ำในร้านได้ เพื่อป้องกันลูกค้านั่งนานเกินควรและลดปัญหาความแออัด

ขณะที่ร้านกาแฟ Devoción ในมหานครนิวยอร์ก เริ่มใช้นโยบายใหม่ จำกัดการใช้งาน WiFi ของลูกค้าเหลือเพียง 2 ชั่วโมงต่อคน ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยลูกค้าต้องใช้แอปพลิเคชันในการขอรหัสเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต ส่วนในวันเสาร์-อาทิตย์ ทางร้านยกเลิกบริการอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง

นาย Lanny Grossman ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Devoción กล่าวกับ Axios ว่า “เราต้องการให้มีความเป็นธรรมต่อลูกค้าทุกคน การปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งนั่งเป็นเวลานานเหมือนเป็นสำนักงานส่วนตัวนั้น ไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจและชุมชนของเรา เราต้องการสร้างความเท่าเทียมในการใช้พื้นที่”

ร้าน Alba ในเมืองดีทรอยต์ยกเลิก WiFi ตั้งแต่ต้น

ร้านกาแฟ Alba ที่เปิดตัวในเมืองดีทรอยต์เมื่อปี 2566 ก็เป็นอีกร้านที่ใช้นโยบายเด็ดขาด ไม่ให้บริการ WiFi ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะต้องการส่งเสริมให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงมากกว่าอยู่หน้าจอ

David Valdez เจ้าของร้าน Alba ระบุว่า “เป้าหมายของเราคือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าผ่านการสนทนา ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากทุกคนยังคงติดอยู่กับหน้าจอ แต่เราก็ยังพบลูกค้าบางส่วนที่นำแล็ปท็อปเข้ามาใช้งานอินเทอร์เน็ตจากร้านใกล้เคียงหรือใช้ hotspot ของตนเอง”

ปัญหาบีบร้านกาแฟต้องยอมตามลูกค้า

อย่างไรก็ตาม บางร้านถูกลูกค้าบังคับจนต้องกลับมาเปิด WiFi อีกครั้ง ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ Elle ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่เริ่มต้นไม่มี WiFi แต่หลังจากเกิดกระแสทำงานทางไกลเพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าเข้ามาร้องเรียนผ่านการรีวิวบน Google เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ร้านต้องกลับมาเปิด WiFi อีกครั้ง แต่จำกัดเวลาใช้งานเพียงวันจันทร์-พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00–15.00 น. และกำหนดเวลาใช้งานเพียง 1 ชั่วโมงครึ่งต่อคน

นาย Nick Pimentel เจ้าของร้าน Elle เปิดเผยว่า เหตุผลสำคัญคือร้านไม่สามารถรองรับลูกค้าที่นั่งทำงานนานหลายชั่วโมงได้ เพราะมีลูกค้ากลุ่มอื่นที่ต้องการเข้ามาใช้บริการทานอาหารและเครื่องดื่ม แต่ไม่มีพื้นที่เพียงพอ ร้านจึงจำเป็นต้องหาวิธีการควบคุมเวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเข้มงวดมากขึ้น

สถานการณ์เศรษฐกิจส่งผลต่อการใช้งานร้านกาแฟ

นอกจากนี้ สถานการณ์การเลิกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มจำนวนลูกค้ากลุ่มผู้ที่กำลังหางานใหม่ เข้ามาใช้งานร้านกาแฟ Elle อย่างชัดเจน โดย Pimentel ระบุว่า ลูกค้ากว่า 80% ในบางวัน ใช้ร้านเป็นพื้นที่ทำงานและสัมภาษณ์งานผ่าน Zoom ซึ่งสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและการทำงานในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างไรก็ดี เจ้าของร้านยังพบข้อดีที่น่าสนใจ คือ กลุ่มลูกค้าบางส่วนเริ่มหันกลับมาสนใจการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงผ่านการพูดคุยกันแบบตัวต่อตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้าน Elle ต้องการส่งเสริมมาโดยตลอด

บทวิเคราะห์ อนาคตร้านกาแฟในยุค Remote Work

การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้สะท้อนถึงปัญหาที่ร้านกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญ และเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัว เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสร้างรายได้และการรักษาบรรยากาศที่ดีภายในร้านในยุคที่การทำงานนอกสถานที่กลายเป็นเรื่องปกติ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากการสำรวจของ Pew Research Center ในปี 2567 พบว่า 35% ของชาวอเมริกันยังคงทำงานแบบ Remote Work อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวัน สูงกว่าอัตราก่อนช่วงโควิด-19 ที่มีเพียง 7% (ที่มา: Pew Research Center, 2024)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : axios

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

“เวียดนาม” แรงท่องเที่ยวพุ่ง ติดอันดับโลก แซงไทย

เวียดนาม ขึ้นแท่นจุดหมายท่องเที่ยวโลก ค้นหาพุ่งทะยานติดอันดับ 7

การท่องเที่ยวเวียดนามกระแสแรงต่อเนยื่อง

ในช่วงต้นปี 2568 กระแสการท่องเที่ยวเวียดนามกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยสถิติการค้นหาข้อมูลการเดินทางไปเวียดนามเพิ่มสูงขึ้นราว 10-25% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้ประเทศเวียดนามทะยานขึ้นสู่อันดับที่ 7 ของประเทศที่ได้รับความสนใจด้านการท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก เป็นเพียงชาติเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติด 10 อันดับแรก และทิ้งห่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์ (อันดับที่ 18), สิงคโปร์ (อันดับที่ 25), ไทย (อันดับที่ 36), อินโดนีเซีย (อันดับที่ 37) และมาเลเซีย (อันดับที่ 39)

10 เมืองยอดนิยม จุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก

สำหรับเมืองท่องเที่ยวที่นักเดินทางสนใจมากที่สุดในเวียดนาม 10 อันดับแรกประกอบด้วย โฮจิมินห์, ฮานอย, ดานัง, ฟูก๊วก, นาตรัง, ฮอยอัน, หวุงเต่า, ดาลัต, ฟานเทียต และเว้ แต่ละเมืองล้วนมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม เมืองที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในปีนี้ ได้แก่ เมืองหวุงเต่า และนิญบิ่ญ ที่มีการค้นหาข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มสนใจจุดหมายใหม่ๆ ในเวียดนามนอกเหนือจากเมืองหลักมากขึ้น

ตลาดนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ ครองแชมป์สนใจเวียดนามมากสุด

ตลาดนักท่องเที่ยวที่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเวียดนามสูงสุดในปีนี้ คือ สหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ไต้หวัน มาเลเซีย และฮ่องกง ซึ่งล้วนเป็นตลาดสำคัญและมีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวเวียดนามในอนาคต

รูปแบบท่องเที่ยวหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

ปัจจัยสำคอญที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม คือ ความหลากหลายของรูปแบบการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ต่างๆ ได้ตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่เน้นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโบราณ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและการท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม นอกจากนี้ เวียดนามยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การเดินทางด้วยรถไฟแบบหรูหรา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ตอบสนองกลุ่มเป้าหมายหลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหนุนการเติบโต

สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม เปิดเผยว่า รัฐบาลเวียดนามได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับและรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะระบบขนส่งที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งทางอากาศ ทางบก และทางทะเล ขณะเดียวกันสายการบินต่างๆ ได้เปิดเส้นทางบินตรงเชื่อมโยงเมืองสำคัญทั่วโลกกับเวียดนามมากขึ้น ทำให้การเดินทางสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลบวกอย่างมากต่อภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศ

แคมเปญการตลาดกระตุ้นนักท่องเที่ยวโลก

ในส่วนของการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เวียดนามได้ดำเนินแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้นในตลาดต่างประเทศ เป้าหมายหลักคือ การสร้างแบรนด์การท่องเที่ยวเวียดนามให้เป็นที่รู้จักและดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก ผลลัพธ์จากแคมเปญนี้ปรากฏชัดเจนผ่านจำนวนการค้นหาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุเป้าหมาย

จากการเปิดเผยของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 7.67 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยตั้งเป้าหมายยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ 22-23 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2568

บทวิเคราะห์และแนวโน้ม

จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและแนวโน้มที่แข็งแกร่งของการท่องเที่ยวเวียดนาม การที่เวียดนามขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก สะท้อนให้เห็นความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสร้างแบรนด์และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้เวียดนามสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ หากรัฐบาลเวียดนามยังคงเดินหน้าในแนวทางนี้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าภายในปี 2570 เวียดนามมีโอกาสจะติดอันดับ Top 5 ของโลกในการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมได้อย่างแน่นอน

สถิติอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนค้นหาข้อมูลการเดินทางไปเวียดนาม เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-25% ในปี 2568 (ที่มา: Google Trends, 2025)
  • นักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนเวียดนามเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 รวม 7.67 ล้านคน โต 23.8% (ที่มา: Vietnam National Administration of Tourism, VNAT, 2025)
  • อันดับความนิยมเวียดนามอันดับ 7 ของโลกด้านการท่องเที่ยว (ที่มา: ForwardKeys, 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • Google Trends, 2025
  • Vietnam National Administration of Tourism, VNAT, 2025
  • ForwardKeys, 2025
  • vnexpress
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

“ทรัมป์” ลดภาษีให้ “จีน” สงครามการค้าเดือด ‘เอเชีย’ ป่วน

ความตึงเครียดการค้าโลก กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์และผลกระทบต่อเอเชีย

สหรัฐอเมริกา, 10 พฤษภาคม 2568 – ในโลกที่ถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น การประกาศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเสนอให้ลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนจากระดับสูงถึง 145% ลงเหลือ 80% ที่ยังคงสูงอยู่ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตลาดโลก คำแถลงนี้ได้ผ่านการเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม Truth Social ก่อนการเจรจาการค้าที่สำคัญในสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อเอเชียและทั่วโลก ขณะที่ประเทศต่าง ๆ เตรียมพร้อมรับผลลัพธ์จากการเจรจาครั้งนี้ การผสมผสานระหว่างนโยบายเศรษฐกิจ พันธมิตรระดับภูมิภาค และพลวัตการค้าโลกได้กลายเป็นประเด็นหลัก ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของการค้าระหว่างประเทศ

โลกแห่งความตึงเครียดทางการค้า

ภูมิทัศน์การค้าโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2020 ซึ่งถูกกำหนดโดยการเพิ่มภาษีศุลกากร การตอบโต้ด้วยมาตรการต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงพันธมิตร สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ได้ดำเนินนโยบายการค้าที่แข็งกร้าวเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโลก การกำหนดภาษีศุลกากรสูง โดยเฉพาะกับจีน เป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์นี้ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเชื่อของทรัมป์ว่าสหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบจากคู่ค้า อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ไม่ได้ปราศจากผลกระทบ ดังที่เห็นได้จากความวุ่นวายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วทั้งเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก

จุดเริ่มต้นของสงครามการค้าสามารถย้อนไปถึงสมัยแรกของทรัมป์ เมื่อมีการกำหนดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าและข้อกังวลด้านทรัพย์สินทางปัญญา ในปี 2567 สหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปยังจีนมูลค่า 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 4,735,500,000,000 บาท ขณะที่นำเข้าสินค้ามูลค่า 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 14,483,700,000,000 บาท ตามข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ซึ่งเน้นย้ำถึงความไม่สมดุลทางการค้าที่สำคัญที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับวาทกรรมของทรัมป์ การเพิ่มภาษีศุลกากรถึง 145% สำหรับสินค้าจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้เพิ่มความตึงเครียด โดยกระตุ้นให้ปักกิ่งกำหนดภาษีตอบโต้ที่เกิน 100% การตอบโต้แบบตาต่อตานี้ ได้รบกวนห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภค และจุดประกายความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนสินค้าในตลาดสหรัฐฯ

ในบริบทนี้ การประกาศของทรัมป์เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่อาจเกิดขึ้น การเสนอลดภาษีเหลือ 80% แม้ว่าจะยังคงเป็นอุปสรรคต่อการค้า แต่บ่งชี้ให้เห็นถึงความพร้อมในการเจรจา แม้ว่าจะเป็นไปในเงื่อนไขที่ยังคงให้ประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ คำแถลงที่ว่า “ภาษี 80% สำหรับจีนดูเหมือนจะเหมาะสม! ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีคลัง ” ซึ่งอ้างถึงรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาที่มีเดิมพันสูงในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งความมั่นคงในความสัมพันธ์ทางการค้าเป็นเป้าหมายสำคัญ อย่างไรก็ตาม ความคลุมเครือว่าอัตรานี้เป็นเป้าหมายระยะยาวหรือเป็นกลยุทธ์การเจรจาได้เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดโลก

กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์และผลกระทบระดับภูมิภาค

หัวใจของการพัฒนานี้คือกลยุทธ์ภาษีศุลกากรที่กว้างขวางของทรัมป์ ซึ่งไม่ได้มุ่งเป้าไปที่จีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในเอเชียด้วย เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ซึ่งทรัมป์เรียกว่า “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) สหรัฐฯ ได้เปิดเผยชุดภาษี “สมน้ำสมเนื้อ” สำหรับคู่ค้าหลัก โดยบางอัตราสูงสุดถูกกำหนดให้กับประเทศในเอเชียตะวันออก เวียดนามเผชิญกับภาษี 46% กัมพูชา 49% และแม้แต่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดและมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ ก็ถูกกำหนดภาษี มาตรการเหล่านี้ รวมกับภาษีเดิม 10% สำหรับการนำเข้าทั้งหมด ส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ อยู่ที่ 28% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2444 ตามข้อมูลจากสภาการต่างประเทศ (Council on Foreign Relations)

เหตุผลที่มุ่งเป้าไปที่เอเชียนั้นมีหลายมิติ เศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกหลายแห่ง รวมถึงเกาหลีใต้ เวียดนาม และไทย ได้นำกลยุทธ์การพัฒนาแบบเน้นการส่งออกมาตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 โดยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมากเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ความพึ่งพานี้ทำให้พวกเขาอ่อนไหวต่อนโยบายการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ รัฐบาลของทรัมป์ยังพยายามแก้ไขการปฏิบัติที่เรียกว่า “การย้ายฐานการผลิต” ซึ่งประเทศอย่างเวียดนามประกอบและจัดส่งสินค้าโดยใช้ส่วนประกอบจากจีนเพื่อหลบเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ การกำหนดภาษีสูงต่อประเทศเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของจีนโดยอ้อม

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ได้ก่อให้เกิดการต่อต้านเป็นอย่างมาก การลดลงอย่างรวดเร็วของตลาด ตราสารหนี้หลังจากการประกาศ “วันปลดปล่อย” (Liberation Day) บังคับให้ทรัมป์หยุดชะงักภาษีหลายรายการ ยกเว้นภาษีที่กำหนดต่อจีน การหยุดชะงักนี้ ประกาศเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 เป็นการตอบสนองต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งถือครองหนี้สหรัฐฯ จำนวนมาก แม้จะมีการหยุดชะงักนี้ ภาษีที่เหลืออยู่ได้เพิ่มต้นทุนให้กับผู้บริโภคและบริษัทในสหรัฐฯ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการขาดแคลนสินค้า เนื่องจากข้อมูลการขนส่งบ่งชี้ถึงการลดลงอย่างมากของสินค้าที่เคลื่อนย้ายจากจีนไปยังสหรัฐฯ

การยกระดับและการเจรจาการประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์

การเจรจาการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งถูกกำหนดไว้ในวันนี้ (วันที่ 10 พฤษภาคม 2568) เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ไขความตึงเครียดเหล่านี้ เจมส์สัน เกียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายในการบรรลุ “ความมั่นคง” เพื่อเป็นรากฐานสำหรับข้อตกลงในอนาคต โดยยอมรับว่าไม่น่าจะมีการทำข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมในระยะสั้น การมีส่วนร่วมของรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่น ๆ ซึ่งจะกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน และมีอิทธิพลต่อพลวัตการค้าโลก

อย่างไรก็ตาม คำแถลงสาธารณะของทรัมป์ทำให้การเจรจามีความซับซ้อน การเรียกร้องให้จีน “เปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ” และการยืนยันว่า “ตลาดที่ปิด ไม่ได้ผลอีกต่อไป” สะท้อนถึงจุดยืนที่แข็งกร้าว ซึ่งอาจขัดขวางความคืบหน้า นอกจากนี้การปฏิเสธของเขาก่อนหน้านี้ ในการลดภาษีเพื่อให้จีนมานั่งโต๊ะเจรจา ขัดแย้งกันกับข้อเสนอล่าสุดเกี่ยวกับอัตรา 80% ที่บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่อาจลดความตึงเครียดหรือยืดเยื้อสงครามการค้า ความไม่ชัดเจนว่าภาษี 80% เป็นเป้าหมายสุดท้ายหรือเป็นเครื่องมือในการเจรจา ได้เพิ่มความไม่แน่นอน ทำให้ทั้งนักลงทุนและผู้นำธุรกิจ เกิดความระมัดระวังมากขึ้น

ในส่วนของจีนนั้นไม่ได้อยู่นิ่ง สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของจีน เพิ่งเดินทางมาเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกัมพูชา มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งนำไปสู่การลงนามในข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจใหม่ เพื่อเสริมสร้างอิทธิพลของจีนในภูมิภาค การเข้าร่วมของปักกิ่งในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในเอเชีย ซึ่งสหรัฐฯ พยายามต่อสู้เพื่อแข่งขันนับตั้งแต่ถอนตัวจากกรอบการค้าที่คล้ายคลึงกัน การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของจีน เช่น การจำกัดการส่งออกแร่หายากที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งทางเศรษฐกิจในสงครามการค้าครั้งนี้

การตอบสนองของภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงพันธมิตรของเอเชีย

ผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ ขยายออกไปเกินกว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน โดยเปลี่ยนแปลงการจัดแนวทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ทั่วทั้งเอเชีย การสำรวจโดยสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2568 เผยให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นในหมู่ผู้นำความคิดเห็นในอาเซียนที่ต้องการจัดแนวทางกับจีนมากกว่าสหรัฐฯ ในประเทศไทย 56% สนับสนุนจีน เทียบกับ 44% ที่สนับสนุนสหรัฐฯ ในขณะที่ลาว กัมพูชา และเมียนมาแสดงแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความรู้สึกที่กว้างขึ้นว่า นโยบายการค้าที่คาดเดาไม่ได้ของวอชิงตันบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือในฐานะพันธมิตร

เศรษฐกิจขนาดเล็ก เช่น กัมพูชาและเวียดนาม พยายามลดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ โดยการเพิ่มการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เวียดนาม ซึ่งมีดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับสามของโลก ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าใหม่กับวอชิงตันเพื่อเอาใจทำเนียบขาว อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจขนาดใหญ่มีทางเลือกมากกว่า ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ถือครองหนี้สหรัฐฯ รายใหญ่ ได้ใช้ประโยชน์จากอิทธิพลทางการเงินเพื่อเจรจาลดภาษี ขณะที่ออสเตรเลียและเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะมีรัฐบาลฝ่ายซ้ายในอนาคต กำลังเสริมสร้างความสัมพันธ์กับจีนและสหภาพยุโรป

มาเลเซียและประเทศไทย ซึ่งเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ ก็กำลังเพิ่มการมีส่วนร่วมกับปักกิ่ง การส่งเสริมเส้นทางการค้าใหม่ของจีน รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างเอเชียตะวันออกและยุโรปผ่านจีนแผ่นดินใหญ่ มอบโอกาสทางการค้าและการลงทุนทางเลือกให้กับประเทศเหล่านี้ แนวโน้มที่กว้างขึ้นของเศรษฐกิจเอเชียที่กระจายตัวออกจากตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มต้นในสมัยแรกของทรัมป์ กำลังเร่งตัวขึ้น โดยอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่ออิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาค

ความเสี่ยงและโอกาส

กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์เป็นการเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูงและมีผลกระทบสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทั่วโลก การกำหนดภาษีสูงได้รบกวนห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มต้นทุน และทำให้ความสัมพันธ์กับพันธมิตรตึงเครียด ขณะที่ล้มเหลวในการลดความไม่สมดุลทางการค้ากับจีนอย่างมีนัยสำคัญ ภาษีที่เสนอ 80% แม้ว่าจะลดลงจาก 145% ยังคงเป็นอุปสรรคและอาจยับยั้งการค้าแทนที่จะส่งเสริม นอกจากนี้ ความคาดเดาไม่ได้ของนโยบายของทรัมป์ ซึ่งเห็นได้จากคำประกาศภาษีที่ผันผวน ได้บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่มั่นคง

สำหรับเอเชีย ภาษีเหล่านี้นำเสนอทั้งความท้าทายและโอกาส เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจในทันที แต่การผลักดันให้กระจายตลาดและเสริมสร้างกรอบการค้าในภูมิภาค เช่น RCEP อาจเพิ่มความยืดหยุ่นในระยะยาว การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของจีนกับประเทศอาเซียนทำให้จีนสามารถใช้ประโยชน์จากการถอยตัวของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้จีนกลายเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ความตึงเครียดเชิงยุทธศาสตร์รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เช่นทะเลจีนใต้ ซึ่งการมีตัวตนทางทหารของสหรัฐฯ ยังคงเป็นตัวถ่วงดุลอิทธิพลของจีน

การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์มอบโอกาสในการลดความตึงเครียด แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความเต็มใจของทั้งสองฝ่ายในการประนีประนอม สำหรับสหรัฐฯ แนวทางที่สมดุลซึ่งลดภาษีในขณะที่จัดการกับความไม่สมดุลทางการค้าสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นในหมู่พันธมิตรและทำให้ตลาดมีเสถียรภาพ สำหรับจีน การเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐฯ ตามที่ทรัมป์เรียกร้อง อาจช่วยลดความตึงเครียด แต่ต้องมีการยอมจำนนที่ปักกิ่งอาจลังเล ผลลัพธ์ของการเจรจาเหล่านี้จะกำหนดไม่เพียงแต่การค้าแบบทวิภาคี แต่ยังรวมถึงระเบียบเศรษฐกิจโลกที่กว้างขึ้นด้วย

สู่กระบวนทัศน์การค้าใหม่?

ขณะที่การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ใกล้เข้ามา โลกต่างจับตามองเพื่อหาสัญญาณของความคืบหน้า แม้ว่าจะไม่น่าจะมีการทำข้อตกลงการค้าฉบับสมบูรณ์ แต่ขั้นตอนเล็ก ๆ น้อย ๆ สู่ความมั่นคงอาจปูทางไปสู่ข้อตกลงในอนาคต การลดภาษีลงเหลือ 80% อาจบ่งบอกถึงความเต็มใจในการเจรจา แต่ประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับว่ามันถูกมองว่าเป็นสัญญาณของการประนีประนอมที่แท้จริงหรือเป็นการดำเนินการในท่าทีที่ก้าวร้าวต่อไป สำหรับเอเชีย ผลลัพธ์จะมีอิทธิพลต่อกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจและการจัดแนวระดับภูมิภาค โดยประเทศอย่างประเทศไทยและเวียดนามต้องรักษาสมดุลอันละเอียดอ่อนระหว่างอิทธิพลของสหรัฐฯ และจีน

ความท้าทายที่ใหญ่กว่าคือการสร้างความไว้วางใจในระบบการค้าโลก ภาษีของทรัมป์ได้เผยให้เห็นจุดอ่อนในรูปแบบเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกของประเทศในเอเชีย ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการประเมินกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจใหม่ การเพิ่มขึ้นของกลุ่มการค้าในภูมิภาคและตลาดทางเลือกนำเสนอเส้นทางสู่ความยืดหยุ่น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกแตกแยก สำหรับสหรัฐฯ การฟื้นฟูชื่อเสียงในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้จะต้องมีนโยบายที่สม่ำเสมอและความมุ่งมั่นต่อความร่วมมือพหุภาคี

โดยสรุป กลยุทธ์ภาษีศุลกากรของทรัมป์ แม้ว่าจะมุ่งปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแปลงพลวัตการค้าโลกในแบบที่อาจไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของเขา ภาษีที่เสนอ 80% สำหรับจีน ซึ่งเป็นจุดสนใจของการเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์ที่กำลังจะมาถึง สรุปถึงความตึงเครียดและโอกาสของช่วงเวลานี้ ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจใหม่ การผสมผสานระหว่างภาษี การเจรจา และกลยุทธ์ระดับภูมิภาคจะกำหนดอนาคตของการค้าระดับโลก

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

สถิติต่อไปนี้ให้บริบทสำหรับพลวัตการค้าที่กล่าวถึงในบทความนี้:

  1. การค้าสหรัฐฯ-จีน (2567):
    • การส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีน: 143.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีน: 438.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • แหล่งที่มา: สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (2567), “ข้อเท็จจริงการค้าสหรัฐฯ-จีน”
  2. ผลสำรวจความคิดเห็นอาเซียน (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2568):
    • ประเทศไทย: 56% สนับสนุนจีน, 44% กับสหรัฐฯ
    • ลาว: 51% สนับสนุนจีน, 49% สหรัฐฯ
    • กัมพูชา: 43% สนับสนุนจีน, 57% สหรัฐฯ
    • เมียนมา: 42% สนับสนุนจีน, 58% สหรัฐฯ
    • แหล่งที่มา: สถาบัน ISEAS-Yusof Ishak, “รายงานการสำรวจสถานะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2568”
  3. อัตราภาษีสหรัฐฯ:
    • อัตราภาษีเฉลี่ยภายใต้ทรัมป์ (2568): 28%
    • อัตราภาษีเฉลี่ยภายใต้ไบเดน (2564-2567): 2%
    • แหล่งที่มา: สภาการต่างประเทศ, “ทำไมเอเชียตะวันออกถึงเป็นเป้าหมายของสงครามภาษีของทรัมป์” (2568)
  4. ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP):
    • คิดเป็น 30% ของ GDP โลกและ 30% ของการค้าโลก
    • แหล่งที่มา: ธนาคารพัฒนาเอเชีย, “RCEP: ตัวเร่งใหม่สำหรับการค้าในภูมิภาค” (2567)

สถิติเหล่านี้เน้นย้ำถึงขนาดของความไม่สมดุลทางการค้าสหรัฐฯ-จีน ความเปลี่ยนแปลงในความนิยมของอาเซียน และความสำคัญทางเศรษฐกิจของกรอบการค้าในภูมิภาค โดยข้อมูลเหล่านี้มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และ Business – Group Head MBCS Thailand (Mediabrands Contents Studio)

เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร Co-Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

เชียงรายจับมือท่าขี้เหล็ก ลอกน้ำ แก้พิษ คุยเปิดด่าน

ไทย-เมียนมา เร่งจับมือแก้ปัญหาสารปนเปื้อนแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำกก

ประชุมทวิภาคีครั้งสำคัญ ณ ชายแดนแม่สาย

เชียงราย, 9 พฤษภาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำทีมเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็กแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อหารือประเด็นเร่งด่วนเกี่ยวกับการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก รวมถึงการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำกก ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนทั้งสองประเทศ

ความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก

ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าการขุดลอกแม่น้ำรวกได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนการขุดลอกแม่น้ำสายยังคงค้างในส่วนของเมียนมา ซึ่งรับผิดชอบโดยตรง โดยฝ่ายเมียนมาได้แจ้งว่า ขณะนี้มีการจัดสรรงบประมาณและเตรียมการแล้ว และจะเร่งดำเนินการตามกรอบเวลาที่กำหนด

สารปนเปื้อนในแม่น้ำวิกฤตที่ต้องเร่งคลี่คลาย

ฝ่ายไทยได้หยิบยกประเด็นสารพิษปนเปื้อนในลำน้ำหลัก 3 สาย ซึ่งพบสารอันตรายอย่างสารหนูและโลหะหนักจากการทำเหมืองฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในเขตเมืองสากซึ่งเป็นแหล่งกิจกรรมเหมืองแร่ ฝ่ายเมียนมาได้แสดงความร่วมมือ โดยแจ้งว่าจะจัดประชุมร่วมกับจังหวัดเมืองสากเพื่อหามาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งต้นตอ

ข้อเรียกร้องจากฝ่ายเมียนมาเกี่ยวกับมาตรการ “3 ตัด”

อีกหนึ่งประเด็นที่ฝ่ายเมียนมาให้ความสำคัญคือผลกระทบจากมาตรการ “3 ตัด” ของฝ่ายไทย ที่มีเป้าหมายจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ ฝ่ายเมียนมาแสดงความไม่สบายใจต่อผลกระทบในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก พร้อมแจ้งว่าได้ดำเนินการกวาดล้างและไม่มีฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่แล้ว จึงขอให้ไทยพิจารณาทบทวนมาตรการนี้อย่างเหมาะสม

การพัฒนาจุดผ่านแดนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ฝ่ายไทยได้เสนอการเปลี่ยนแปลงเวลาปิดจุดผ่านแดนถาวรบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 จาก 18.30 น. เป็น 21.00 น. เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว อีกทั้งยังขอความร่วมมือให้เมียนมาพิจารณาเปิดจุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า และบ้านท่าดินดำ ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ซึ่งฝ่ายเมียนมารับปากว่าจะนำเสนอต่อหน่วยเหนือเพื่อดำเนินการ

แนวโน้มความร่วมมือระยะยาวระหว่างสองประเทศ

การประชุมในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการสร้างกลไกความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติ ความมั่นคง และเศรษฐกิจ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพของพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป

ปัญหาสารพิษในแม่น้ำคือสัญญาณเตือนภัย

จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ พบว่าระดับสารหนูในแม่น้ำกกบางจุดเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยของ WHO ถึง 3 เท่า ส่งผลกระทบต่อประชากรที่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรและชาวประมงพื้นถิ่น ที่ยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำในการดำรงชีวิตประจำวัน

หากไม่เร่งหามาตรการควบคุมต้นตอของมลพิษ อาทิ การใช้สารเคมีจากการทำเหมืองโดยไม่มีระบบบำบัดที่มีประสิทธิภาพ ปัญหาอาจลุกลามสู่ภาวะวิกฤตสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง และส่งผลต่อความเชื่อมั่นในสินค้าจากพื้นที่ลุ่มน้ำเหล่านี้

ข้อเสนอแนะจากนักวิชาการและองค์กรสิ่งแวดล้อม

นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย แนะนำให้ทั้งสองประเทศตั้งคณะกรรมการร่วมถาวรเพื่อกำกับ ติดตาม และรายงานผลกระทบจากเหมืองในระยะยาว โดยควรเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันข่าวลือ

องค์การแม่น้ำเพื่อชีวิตเสนอให้ไทยและเมียนมาร่วมมือพัฒนาระบบเตือนภัยมลพิษในแม่น้ำ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับรู้ความเสี่ยงได้รวดเร็วและปรับตัวทันต่อสถานการณ์

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ข้อมูล ณ พฤษภาคม 2568)

  • ค่าระดับสารหนูเฉลี่ยในแม่น้ำกก: 0.052 mg/l (มาตรฐาน WHO ไม่เกิน 0.01 mg/l)
  • ประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากน้ำปนเปื้อนในอำเภอแม่สาย: 12,460 คน (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • มูลค่าการค้าชายแดนสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 (2567): 8,300 ล้านบาท (ที่มา: กรมศุลกากร)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

  • องค์การอนามัยโลก (WHO)

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

  • กรมศุลกากร

  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต

  • ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

เชียงรายประกาศปิด “ภูชี้ฟ้า” ชายแดนเดือด ‘ลาว’ ปะทะหนัก

อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้าประกาศปิดจุดชมวิวชั่วคราว หลังเหตุปะทะชายแดนฝั่งลาว

เชียงราย, 5 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า (เตรียมการ) ได้ประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้าในพื้นที่ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น และตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) บริเวณเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ตรงข้ามอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายกับทหารลาว ส่งผลให้มีกระสุนปืนตกลงในฝั่งไทยและสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนประชาชน

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 และต่อเนื่องจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 โดยมีรายงานเสียงปืนและการปะทะอย่างรุนแรงในพื้นที่ภูผาหม่นและบ้านเชียงตอง เมืองปากทา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าถือเป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว รวมถึงป้องกันความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่ยังไม่คลี่คลาย

ความตึงเครียดชายแดนไทย-ลาว

จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอำเภอเวียงแก่น เป็นพื้นที่ที่มีพรมแดนติดกับสปป.ลาว โดยมีแม่น้ำโขงและแนวเขตแดนธรรมชาติเป็นตัวแบ่งเขตแดนระหว่างสองประเทศ พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่รู้จักในด้านความงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ความใกล้ชิดกับชายแดนทำให้พื้นที่นี้มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ความไม่สงบในฝั่งลาว โดยเฉพาะในแขวงบ่อแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประวัติความขัดแย้งและการค้ายาเสพติด

ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านในพื้นที่บ้านร่มฟ้าผาหม่น หมู่ 15 และบ้านผาตั้ง หมู่ 14 ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น เริ่มรายงานว่าได้ยินเสียงคล้ายปืนดังขึ้นเป็นระยะจากฝั่งลาว บริเวณเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว รายงานดังกล่าวได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงชายแดน ซึ่งระบุว่าเกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายกับทหารลาว โดยมีการยึดฐานปฏิบัติการทหารลาวบริเวณภูผาหม่นได้ 3 จาก 4 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ากระสุนปืนขนาด 7.62 มม. ตกลงในฝั่งไทย สร้างความเสียหายให้กับหลังคาบ้านของนางพิมพ์ใจ อนุชิตวรการ และนางสาวมรกต แซ่โซ้ง ในหมู่บ้านร่มฟ้าผาหม่น

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับชุมชนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ภูชี้ฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับจุดปะทะ อำเภอเวียงแก่นจึงออกหนังสือด่วนที่สุด (ที่ ชร 1318.3/1165 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568) เพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้งดทำกิจกรรมในพื้นที่ตามแนวชายแดนและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด การตัดสินใจปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าของอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้าจึงเป็นผลสืบเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยและความจำเป็นในการปกป้องชีวิตของนักท่องเที่ยว

การปะทะในฝั่งลาวและผลกระทบต่อประเทศไทย

การปะทะในฝั่งสปป.ลาวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. และต่อเนื่องจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 โดยแหล่งข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า กองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย ซึ่งคาดว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่ร่วมมือกับเครือข่ายนอกประเทศ ได้โจมตีฐานปฏิบัติการทหารลาวบริเวณภูผาหม่นและบ้านเชียงตอง เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว การโจมตีครั้งนี้ใช้ยุทธวิธีที่ผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบ โดยมีการแบ่งกำลังออกเป็นหลายกลุ่มเพื่อล่อและโจมตีทหารลาวที่เข้ามาสนับสนุน ส่งผลให้ทหารลาวเสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย รวมถึงนายทหารระดับหัวหน้า 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากที่ยังติดค้างอยู่ในพื้นที่ปะทะ

สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อกองกำลังติดอาวุธขุดหลุมและอุโมงค์เพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของทหารลาว ทำให้ทหารลาวไม่สามารถเข้าถึงฐานที่ถูกยึดได้ การใช้รถหุ้มเกราะและเฮลิคอปเตอร์ของทหารลาวก็เผชิญกับข้อจำกัด เนื่องจากภูมิประเทศที่เป็นป่าและมีถ้ำจำนวนมากในพื้นที่ภูผาหม่น นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ซึ่งติดตามพ่อที่เป็นทหารไปยังฐานปฏิบัติการ ติดอยู่ในพื้นที่ปะทะ สร้างความกังวลให้กับทางการลาวที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือ

ในฝั่งไทย หน่วยทหารพรานที่ 3104 (ทพ.3104) และฝ่ายปกครองอำเภอเวียงแก่นได้ตรึงกำลังตามแนวชายแดนตั้งแต่ผาตั้ง ภูชี้ดาว ภูชี้เดือน ไปจนถึงภูชี้ฟ้า เพื่อป้องกันผลกระทบจากเหตุการณ์ในลาว นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น ระบุว่า ได้ออกตรวจพื้นที่เสี่ยงและสั่งการให้ผู้นำชุมชนจัดชุดเวรยามเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ รวมถึงขอความร่วมมือจากประชาชนให้แจ้งเบาะแสหากพบบุคคลต้องสงสัยในพื้นที่

ด้านสถานีเรือเชียงของได้จัดชุดลาดตระเวนทางน้ำเพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นจุดที่อาจได้รับผลกระทบจากการปะทะในฝั่งลาว การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยงจากกระสุนปืนที่อาจตกลงในฝั่งไทย และปกป้องนักท่องเที่ยวจากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน

สถานการณ์ล่าสุดและมาตรการรับมือ

จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ในฝั่งลาวเริ่มสงบลง โดยไม่มีรายงานการปะทะเพิ่มเติมตั้งแต่ช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม ทางการลาวยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ภูผาหม่นได้ทั้งหมด และยังคงเผชิญกับความท้าทายในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเด็กหญิงที่ติดอยู่ในฐานปฏิบัติการ มีรายงานว่าทางการลาวจับกุมสมาชิกกองกำลังติดอาวุธได้ 2 ราย ซึ่งให้การว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่มีการวางแผนโจมตีมานาน โดยอาจเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ

ก่อนหน้านี้ ตำรวจเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ได้ยึดยาบ้า 20.2 ล้านเม็ด ซึ่งถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ในพื้นที่ ชาวบ้านในลาวจึงเชื่อว่าเหตุปะทะครั้งนี้อาจเป็นการตอบโต้จากกลุ่มค้ายาเสพติดที่สูญเสียผลประโยชน์จากการปราบปรามของทางการลาว อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แท้จริงยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน และทางการลาวยังไม่เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มกองกำลังดังกล่าว

ในฝั่งไทย อำเภอเวียงแก่นได้ออกหนังสือสอบถามไปยังเมืองปากทา ซึ่งได้รับคำตอบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องภายในของลาว และจะแจ้งความคืบหน้าเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ กล่าวว่า “ขณะนี้เราเน้นการเฝ้าระวังและปกป้องความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงตามแนวชายแดน” ทางการไทยยังคงประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงในลาวเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าจะยังคงมีผลจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ โดยอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้าได้ประชาสัมพันธ์ผ่านเพจ “อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า-Phu Chi Fa National Park” เพื่อแจ้งนักท่องเที่ยวให้งดเดินทางมายังพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ ทางการได้แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้แนวชายแดนเพื่อความปลอดภัย

ความท้าทายและโอกาส

เหตุการณ์ปะทะในฝั่งลาวและผลกระทบต่อประเทศไทยสะท้อนถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ชายแดน ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งความมั่นคง การค้ายาเสพติด และความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ดังนี้:

มิติด้านความมั่นคง

การปะทะในฝั่งลาวเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว โดยเฉพาะในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการค้ายาเสพติดและกิจกรรมข้ามชาติ การที่กระสุนปืนตกลงในฝั่งไทยแสดงถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศ รวมถึงการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า

มิติด้านการท่องเที่ยว

การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชนท้องถิ่น ผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น โรงแรมและร้านอาหาร อาจเผชิญกับรายได้ที่ลดลงในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การปิดชั่วคราวนี้เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานในการปกป้องนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจช่วยรักษาความเชื่อมั่นในระยะยาว

มิติด้านการค้ายาเสพติด

การสันนิษฐานว่าเหตุปะทะเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการปราบปรามยาเสพติดในภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำ การจับกุมยาบ้า 20.2 ล้านเม็ดในแขวงบ่อแก้วแสดงถึงความเข้มงวดของทางการลาว แต่ก็อาจกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้จากกลุ่มค้ายา การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างไทย ลาว และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ไทยและลาวพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงและการจัดการชายแดน การจัดตั้งกลไกประสานงานฉุกเฉินและการแลกเปลี่ยนข้อมูลจะช่วยลดผลกระทบจากความขัดแย้งในอนาคต นอกจากนี้ การส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย เช่น วัดร่องขุ่นหรือดอยช้าง อาจช่วยชดเชยผลกระทบจากการปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้า

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

  • หน่วยงานความมั่นคงและทางการไทย หน่วยงานความมั่นคงและทางการไทยมองว่าการปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าและการตรึงกำลังตามแนวชายแดนเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว การแจ้งเตือนและการประสานงานกับฝั่งลาวแสดงถึงความรับผิดชอบในการจัดการสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของไทย
  • ชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการ ชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการในพื้นที่อาจรู้สึกกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการปิดแหล่งท่องเที่ยวและความเสียหายจากกระสุนปืนที่ตกลงในฝั่งไทย พวกเขาต้องการให้ทางการแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็วและให้การสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลกระทบ

การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าและการตรึงกำลังตามแนวชายแดนเป็นมาตรการที่สมเหตุสมผลเพื่อปกป้องความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ทางการควรพิจารณามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และสื่อสารข้อมูลอย่างชัดเจนเพื่อลดความตื่นตระหนกของประชาชน การประสานงานกับฝั่งลาวเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันเหตุการณ์ซ้ำในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวที่ภูชี้ฟ้า: ในปี 2567 จุดชมวิวภูชี้ฟ้ามีนักท่องเที่ยวประมาณ 500,000 คน สร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นประมาณ 1,000 ล้านบาท
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  2. การจับกุมยาเสพติดในแขวงบ่อแก้ว: ตำรวจเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว จับกุมยาบ้า 20.2 ล้านเม็ดในปี 2568 ถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี
    ที่มา: สำนักข่าวชายขอบ, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 5 พฤษภาคม 2568
  3. ความเสียหายจากกระสุนปืน: มีบ้านเรือนในหมู่บ้านร่มฟ้าผาหม่นเสียหายจากกระสุนปืน 2 หลัง โดยกระสุนขนาด 7.62 มม. ตกในพื้นที่เมื่อวันที่ 3-4 พฤษภาคม 2568
    ที่มา: อำเภอเวียงแก่น, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 4 พฤษภาคม 2568
  4. จำนวนผู้เสียชีวิตในฝั่งลาว: การปะทะที่ภูผาหม่นและบ้านเชียงตอง ส่งผลให้ทหารลาวเสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
    ที่มา: สำนักข่าวชายขอบ, รายงานจากแหล่งข่าวความมั่นคง, 5 พฤษภาคม 2568
  5. ความถี่ของเหตุการณ์ชายแดน: ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2564-2568) มีรายงานเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-ลาวในจังหวัดเชียงรายอย่างน้อย 10 ครั้ง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด
    ที่มา: กองกำลังผาเมือง, รายงานความมั่นคงชายแดน, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  • สำนักข่าวชายขอบ, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 5 พฤษภาคม 2568
  • อำเภอเวียงแก่น, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 4 พฤษภาคม 2568
  • สำนักข่าวชายขอบ, รายงานจากแหล่งข่าวความมั่นคง, 5 พฤษภาคม 2568
  • กองกำลังผาเมือง, รายงานความมั่นคงชายแดน, 2567
  • อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า (เตรียมการ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

จับตา! ขบวนการวีซ่านักเรียนจีนเทียม? ม.ดังปฏิเสธ อว. เร่งสอบ

กระทรวง อว. และ ตม. เข้มตรวจสอบขบวนการสวมวีซานักศึกษาจีนในเชียงรายและทั่วไทย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – จากกระแสข่าวที่สร้างความกังวลในสังคมเกี่ยวกับขบวนการออกวีซานักศึกษาให้กับชาวจีน โดยอาจมีการแฝงตัวเพื่อประกอบอาชีพผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ได้ออกมาชี้แจงและดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการศึกษาและป้องกันการใช้ช่องทางวีซานักศึกษาในทางมิชอบ

จุดเริ่มต้นการเปิดโปงขบวนการสวมวีซานักศึกษา

เรื่องราวเริ่มต้นจากโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “รู้ทันจีน” ซึ่งถูกเผยแพร่โดย THAI PBS โดยระบุถึงการโฆษณาแพ็กเกจต่อวีซานักศึกษาในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เชียงรายและแม่น้ำแคว โฆษณาดังกล่าวใช้ภาษาจีนและให้รายละเอียดเกี่ยวกับการขอวีซานักศึกษาทั้งประเภทปริญญาและหลักสูตรภาษาระยะสั้น โดยอ้างว่าสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเข้าเรียนจริง ราคาแพ็กเกจสูงสุดถึง 53,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีการระบุรายชื่อมหาวิทยาลัยที่ “ควรหลีกเลี่ยง” พร้อมเหตุผล เช่น “เข้าออกสนามบินถูกตรวจง่าย” หรือ “ต่อวีซายาก” ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจมีการดำเนินการที่ไม่โปร่งใสในระบบการศึกษาของไทย

การโพสต์ดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อมีการเชื่อมโยงกับกรณีที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน เปิดเผยข้อมูลว่า มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจออกวีซานักศึกษาให้ชาวจีนเพื่อสวมสิทธิทำงานเป็นวิศวกรในประเทศไทย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น กรณีตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม

การตอบสนองจากสถานศึกษา

มหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ถูกพาดพิงถึง ได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวทันที มหาวิทยาลัยพายัพและมหาวิทยาลัยนอร์ท จังหวัดเชียงใหม่ ออกแถลงการณ์ผ่านเพจทางการว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกวีซานักศึกษาในลักษณะที่ผิดกฎหมาย และยืนยันว่าการรับนักศึกษาต่างชาติของทั้งสองสถาบันดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบของกระทรวง อว. อย่างเคร่งครัด

ด้านมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วิทยาเขตเชียงใหม่ พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ชยาภินันโท เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักศึกษาจีนกว่า 500 คนลงทะเบียนในหลักสูตรภาษาไทยระยะสั้น 1 ปี ซึ่งได้รับอนุมัติจากสภาวิชาการและสภามหาวิทยาลัย โดยมีระยะเวลาเรียน 180 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยได้ยกเลิกวีซานักศึกษากว่า 50 คน เนื่องจากไม่เข้าเรียนตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 80 ของเวลาเรียน โดยได้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองให้เพิกถอนสถานภาพนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว

พระครูใบฎีกาทิพย์พนากรณ์ ระบุเพิ่มเติมว่า “เราไม่เจาะจงรับเฉพาะนักศึกษาจีนหรือชาติใดชาติหนึ่ง ทุกคนที่มีคุณสมบัติสามารถลงเรียนกับเราได้ หลักสูตรของเราดำเนินการอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย”

ผศ.พระวิสิทธิ์ ฐิตวิสิทโธ ผู้อำนวยการส่วนสนับสนุนวิชาการ มจร. วิทยาเขตเชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า การคัดกรองวัตถุประสงค์ของนักศึกษาต่างชาติเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากมหาวิทยาลัยไม่สามารถรู้เจตนาที่แท้จริงของผู้สมัครได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่านักศึกษาไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เช่น ไม่เข้าเรียนตามกำหนด มหาวิทยาลัยจะดำเนินการตามกฎหมายทันที

การดำเนินการของหน่วยงานรัฐ

พล.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและพร้อมดำเนินการตามกฎหมาย หากพบว่านักศึกษาต่างชาติใช้วีซานักศึกษาเพื่อประกอบกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การอนุมัติวีซานักศึกษาจะพิจารณาจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ สถานศึกษาต้องจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และนักศึกษาต้องมีหลักฐานยืนยันการเข้าเรียนจริง หากพบว่านักศึกษาไม่เข้าเรียนหรือใช้สถานะนักศึกษาในทางมิชอบ วีซาจะถูกเพิกถอนทันที และดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงเร่งตรวจสอบมหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาจีนเข้าศึกษา โดยเฉพาะกรณีที่อาจเข้าข่าย “สวมวีซานักศึกษา” โดยเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 กระทรวง อว. ได้จัดการประชุมร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อกำหนดแนวทางตรวจสอบและติดตามนักศึกษาต่างชาติอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น นางสาวศุภมาสย้ำว่า หากพบสถานศึกษาใดมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลย จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ กระทรวง อว. ได้ออกหนังสือถึงวิทยาลัยสงฆ์ลำพูน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีทุนจีนถือหุ้นทั้ง 3 แห่ง ให้รายงานข้อมูลนักศึกษาจีนภายใน 1 สัปดาห์ รวมถึงจำนวนนักศึกษา สาขาที่เรียน ระยะเวลาเรียน และสถานะวีซานักศึกษา เพื่อใช้ในการตรวจสอบต่อไป

การสั่งการระดับนโยบาย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ 3 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งทบทวนมาตรการวีซาฟรี เพื่อปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โดยกลุ่มทุนสีเทาในการลักลอบเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมาย การทบทวนนี้มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงนโยบายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย พร้อมทั้งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งคลี่คลายคดีตึก สตง. ถล่ม โดยตรวจสอบทั้งประเด็นมาตรฐานการก่อสร้างและการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายของคนต่างด้าว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวิโรจน์ระบุว่ามีการสวมวีซานักศึกษาเพื่อทำงานเป็นวิศวกรว่า “กรณีนี้ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะวิศวกรต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม (กว.) หากเป็นนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาฝึกงาน จะไม่สามารถควบคุมงานหรือเซ็นรับรองเอกสารได้”

นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง สนับสนุนมุมมองนี้ โดยระบุว่า นักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาฝึกงานต้องขอวีซาฝึกงานและมีหนังสือรับรองจากมหาวิทยาลัย หากชาวต่างชาติควบคุมการก่อสร้างโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จะถือว่าผิดกฎหมายและมีโทษทั้งจำคุกและปรับ

การคลี่คลายปมและแนวทางแก้ไข

จากสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อคลี่คลายปัญหา โดยกระทรวง อว. และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกำลังบูรณาการข้อมูลเพื่อตรวจสอบสถานะและพฤติกรรมของนักศึกษาต่างชาติอย่างละเอียด นอกจากนี้ กระทรวง อว. มีแผนจัดทำฐานข้อมูลกลางของนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ และทบทวนนโยบายการรับนักศึกษาต่างชาติให้รัดกุมยิ่งขึ้น

การยกเลิกวีซานักศึกษาที่ไม่เข้าเรียนตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ส่วนการหารือระหว่างกระทรวง อว. และ ตม. ในวันที่ 23 เมษายน 2568 ได้กำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการตรวจสอบและป้องกันการใช้สถานะนักศึกษาในทางมิชอบ

การวิเคราะห์ ความท้าทายและโอกาส

ปัญหาการสวมวีซานักศึกษาสะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทย โดยเฉพาะในบริบทของนโยบายวีซาฟรีที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวและการศึกษา แต่กลับถูกบางกลุ่มใช้เป็นช่องทางในการทำผิดกฎหมาย การคัดกรองเจตนาของนักศึกษาต่างชาติเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากสถานศึกษามักพิจารณาเพียงคุณสมบัติตามเอกสารเท่านั้น ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการตรวจจับเจตนาที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเป็นโอกาสให้ประเทศไทยยกระดับระบบการบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดทำฐานข้อมูลกลางและการประสานงานระหว่างหน่วยงานจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ การรักษาความน่าเชื่อถือของระบบการศึกษาไทยในสายตานานาชาติยังเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักศึกษาต่างชาติที่แท้จริง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ฝ่ายที่ 1 กังวลต่อการใช้ช่องโหว่วีซานักศึกษา
ประชาชนและนักการเมืองบางส่วน เช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร มองว่าการสวมวีซานักศึกษาเพื่อทำงานผิดกฎหมายเป็นปัญหาที่ร้ายแรง โดยเฉพาะเมื่ออาจเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมก่อสร้างหรือกลุ่มทุนสีเทา การที่โฆษณาในโซเชียลมีเดียระบุถึงแพ็กเกจต่อวีซาโดยไม่ต้องเรียนจริง บ่งชี้ถึงความหละหลวมในระบบการตรวจสอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและภาพลักษณ์ของประเทศไทย

ฝ่ายที่ 2 มองว่าเป็นเรื่องที่ควบคุมได้
ในทางกลับกัน หน่วยงานอย่างกระทรวง อว., ตม., และสถานศึกษายืนยันว่า ระบบการรับนักศึกษาต่างชาติมีกฎระเบียบที่ชัดเจน และมีการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง การยกเลิกวีซานักศึกษาที่ไม่เข้าเรียนและการปฏิเสธข้อกล่าวหาของมหาวิทยาลัยบางแห่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรักษามาตรฐาน นอกจากนี้ การที่วิศวกรต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทำให้กรณีสวมสิทธิทำงานเป็นวิศวกรไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย

ทัศนคติเป็นกลาง ทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลที่สมควรพิจารณา ความกังวลของฝ่ายแรกสะท้อนถึงความจำเป็นในการป้องกันช่องโหว่ในระบบวีซาและการศึกษา ซึ่งอาจถูกใช้ในทางที่ผิดได้ ขณะที่ฝ่ายที่สองแสดงให้เห็นถึงกลไกการควบคุมที่มีอยู่และความพยายามในการแก้ไขปัญหา การแก้ไขสถานการณ์นี้ควรเน้นที่การเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อลดความกังวลของประชาชน โดยไม่ตีตราว่านักศึกษาต่างชาติทุกคนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักศึกษาต่างชาติในไทย: สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รายงานว่า ในปี 2567 มีนักศึกษาต่างชาติในประเทศไทยประมาณ 30,000 คน โดยร้อยละ 40 เป็นนักศึกษาจีน (ที่มา: รายงานการจัดการศึกษานานาชาติ, สกอ., 2567)
  2. การยกเลิกวีซานักศึกษา: สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า ในปี 2566 มีการยกเลิกวีซานักศึกษาต่างชาติทั่วประเทศ 1,200 ราย เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการศึกษา (ที่มา: รายงานประจำปี, สตม., 2566)
  3. นโยบายวีซาฟรี: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า นโยบายวีซาฟรีสำหรับนักท่องเที่ยวจีนในปี 2566 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศกว่า 3.5 ล้านคน (ที่มา: รายงานการท่องเที่ยว, 2566)
  4. การตรวจสอบสถานศึกษา: กระทรวง อว. ระบุว่า ในปี 2567 มีการตรวจสอบสถานศึกษาที่รับนักศึกษาต่างชาติ 150 แห่ง พบว่า 10 แห่งมีพฤติการณ์ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ (ที่มา: รายงานการตรวจสอบ, กระทรวง อว., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • thaipbs
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News