Categories
WORLD PULSE

ออสเตรเลียแบนโซเชียลเด็กต่ำกว่า 16 ควบคุมด้วยค่าปรับมหาศาล”

รัฐบาลออสเตรเลียเสนอกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี พร้อมค่าปรับสูงถึง 49.5 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าวต่างประเทศ Reuters รายงานว่า รัฐบาลฝ่ายซ้ายกลางของออสเตรเลียได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ต่อรัฐสภา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี โดยมีบทลงโทษสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ละเมิดกฎหมาย ด้วยค่าปรับสูงสุดถึง 49.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท

แผนการยืนยันอายุที่เข้มงวดที่สุด

รัฐบาลออสเตรเลียมีแผนทดลองใช้ ระบบยืนยันอายุ ที่อาจรวมถึงการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เช่น การสแกนนิ้ว หรือ การยืนยันด้วยข้อมูลจากรัฐบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์สามารถเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดียที่เข้มงวดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ที่สำคัญ กฎหมายดังกล่าวกำหนดเกณฑ์อายุไว้ที่ 16 ปี โดยไม่มีข้อยกเว้นสำหรับเยาวชนที่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองหรือเยาวชนที่มีบัญชีใช้งานอยู่ก่อนแล้ว

ส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มหลัก

มาตรการใหม่นี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น อินสตาแกรม (Instagram) และ เฟซบุ๊ก (Facebook) ของบริษัทเมตา (Meta) รวมถึง ติ๊กต็อก (TikTok) ของไบต์แดนซ์ (ByteDance), X ของอีลอน มัสก์ และ สแนปแชท (Snapchat) โดยกฎหมายจะกำหนดให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ต้องมีมาตรการยืนยันอายุและป้องกันการเข้าถึงของเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี

ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย

นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี กล่าวว่า การใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเยาวชน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่อาจได้รับผลกระทบจากเนื้อหาเกี่ยวกับรูปร่างและความงามที่เป็นอันตราย และเด็กผู้ชายที่อาจเผชิญกับเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังต่อเพศหญิง

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียืนยันว่า เด็ก ๆ ยังคงสามารถใช้งานแอปพลิเคชันส่งข้อความ เกมออนไลน์ และบริการเพื่อการศึกษา เช่น Headspace, Google Classroom และ YouTube ได้ตามปกติ

กฎหมายที่ยุติธรรมและปกป้องความเป็นส่วนตัว

รัฐบาลเน้นย้ำว่ากฎหมายนี้ไม่ได้มุ่งลงโทษเด็กหรือผู้ปกครอง แต่เป็นการกำหนดมาตรฐานสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อให้มีมาตรการยืนยันอายุที่เหมาะสม พร้อมทั้งกำหนดข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด เช่น การกำหนดให้แพลตฟอร์มทำลายข้อมูลที่รวบรวมไว้เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

การเสนอกฎหมายของออสเตรเลียครั้งนี้ถือว่าเข้มงวดที่สุดในโลก โดยกำหนดอายุขั้นต่ำที่ 16 ปี ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส ที่เคยเสนอจำกัดอายุการใช้งานโซเชียลมีเดียไว้ที่ 15 ปีเมื่อปีที่ผ่านมา และ สหรัฐอเมริกา ที่มีการขอความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีมานานหลายทศวรรษ

เสียงสะท้อนและความร่วมมือจากฝ่ายต่าง ๆ

พรรคฝ่ายค้านในออสเตรเลียสนับสนุนร่างกฎหมายนี้อย่างเต็มที่ ในขณะที่พรรคกรีนและกลุ่มอิสระเรียกร้องให้รัฐบาลให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของกฎหมาย

ในส่วนของผู้ประกอบการ นาย นีล ฟาร์มิโล เจ้าของร้านอาหาร Kiwi Kitchen ในเมืองวังเวียง ประเทศลาว ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม กล่าวว่า แม้การใช้มาตรการเหล่านี้อาจสร้างความกังวลในช่วงแรก แต่เขาหวังว่าจะช่วยปกป้องเยาวชนในระยะยาว

สรุป

การเสนอกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีของออสเตรเลียเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องเยาวชนจากผลกระทบด้านลบของการใช้งานโซเชียลมีเดีย แม้จะมีความท้าทายในการดำเนินการ แต่เป้าหมายของรัฐบาลคือการสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางจิตใจสำหรับเด็กและเยาวชนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
WORLD PULSE

สองสาวออสซี่เสียชีวิต เหตุดื่มแอลกอฮอล์ปนเปื้อนเมทานอลในลาว

สองนักท่องเที่ยวออสเตรเลียเสียชีวิตจากพิษเมทานอลในลาว เหตุการณ์กระทบท่องเที่ยววังเวียง

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าว KTSM-9 TV ในรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา รายงานว่าเหตุการณ์การเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวจากพิษเมทานอลที่วังเวียง ประเทศลาว ยังคงสร้างความเสียใจให้แก่ครอบครัวและชุมชนชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มีรายงานว่านางสาวฮอลลี่ โบว์ลส์ วัย 19 ปี นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย ที่ป่วยหนักหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ปนเปื้อนเมทานอล เสียชีวิตในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้เพิ่มขึ้นเป็น 6 ราย

การเสียชีวิตของโบว์ลส์

ครอบครัวของโบว์ลส์ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจและระบุว่า “เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการสูญเสียของฮอลลี่ ผู้ที่นำความสุขมาสู่ทุกคนที่ได้รู้จักเธอ” โบว์ลส์ป่วยหนักและต้องใช้เครื่องช่วยชีวิตตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 หลังจากออกไปดื่มกับเพื่อนร่วมกลุ่มที่ “Nana Backpacker Hostel” และกลับมาในสภาพอาการแย่

รายละเอียดเหตุการณ์

สำนักงานตำรวจท่องเที่ยววังเวียงรายงานว่าได้มีการควบคุมตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายราย รวมถึงผู้จัดการและเจ้าของโฮสเทล แต่ยังไม่มีการตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการ ในขณะที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาได้ออกคำเตือนสุขภาพถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนเมทานอลในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ โดยระบุว่าอาจเกิดจากการเติมเมทานอลเป็นสารแทนเอทานอลในบาร์บางแห่ง หรือจากกระบวนการกลั่นแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้มาตรฐาน

เหยื่อจากหลายประเทศ

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากหลายประเทศ ได้แก่ นักท่องเที่ยวออสเตรเลีย 2 ราย คือ นางสาวฮอลลี่ โบว์ลส์ และนางสาวเบียนกา โจนส์ ผู้เสียชีวิตก่อนหน้าในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ รวมถึงผู้เสียชีวิตจากอังกฤษ อเมริกา เดนมาร์ก และผู้ป่วยอีกหลายรายที่คาดว่าได้รับผลกระทบจากพิษเมทานอล

ผลกระทบต่อการท่องเที่ยววังเวียง

วังเวียง เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องกิจกรรมผจญภัยและสถานบันเทิงสำหรับนักท่องเที่ยวแบกเป้ กลายเป็นจุดสนใจในทางลบจากเหตุการณ์นี้ ผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างแสดงความกังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชื่อเสียงของเมือง “มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้า ผมเชื่อว่าไม่มีใครตั้งใจให้เกิดเรื่องนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว” นีล ฟาร์มิลอย เจ้าของร้านอาหาร Kiwi Kitchen ในวังเวียงกล่าว

มาตรการป้องกัน

เหตุการณ์นี้ทำให้มีการเรียกร้องให้หน่วยงานท้องถิ่นเพิ่มมาตรการควบคุมคุณภาพของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับอันตรายจากเมทานอล นอกจากนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณให้กับนักท่องเที่ยวว่าควรระมัดระวังในการเลือกบริโภคเครื่องดื่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีการควบคุมมาตรฐานที่ชัดเจน

คำเตือนและบทเรียน

พิษเมทานอลเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นได้จากการใช้สารทดแทนราคาถูกในกระบวนการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะสมองบวม ตาบอด และเสียชีวิต การเสียชีวิตของโบว์ลส์และโจนส์เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสี่ยงที่แฝงอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม

นักท่องเที่ยวจากทุกประเทศที่วางแผนเดินทางไปยังลาวควรปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัย และตรวจสอบแหล่งที่มาของเครื่องดื่มอย่างถี่ถ้วน เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้าเช่นนี้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ktsm

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“แพทองธาร” หารือ “สี จิ้นผิง” ขยายตลาดสินค้าไทย

“แพทองธาร” หารือ “สี จิ้นผิง” ที่เอเปค สานสัมพันธ์ไทย-จีน พร้อมเปิดตลาดสินค้าและแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ได้พบหารือทวิภาคีกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 ณ โรงแรม Delfines Hotel Lima กรุงลิมา ประเทศเปรู การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดสำคัญในการสานต่อความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยและจีน โดยเฉพาะในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ

จีนสนับสนุนไทยในเวทีระดับโลก เปิดรับสินค้าจากไทยเพิ่ม

ในที่ประชุม ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ยืนยันว่าจะสนับสนุนไทยในเวทีระดับโลกทุกมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยจีนพร้อมเปิดรับสินค้าจากไทยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยให้เติบโต นอกจากนี้ยังยืนยันการสนับสนุนให้ไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก

แลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาและเทคโนโลยี

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กล่าวชื่นชมจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะ เทคโนโลยีการผลิตคุณภาพใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และ พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการค้าเสรีและการพัฒนาที่ยั่งยืน ไทยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับจีนในด้าน การแก้ปัญหาความยากจน เทคโนโลยีอวกาศ และการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ

เตรียมเปิดฉากปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน

นางสาวแพทองธารยังได้เชิญ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และภริยาเข้าร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี ไทย-จีน ในปี 2568 ที่จะถือเป็น ปีทองแห่งมิตรภาพ ระหว่างสองประเทศ โดยในโอกาสนี้ จีนได้เตรียมอัญเชิญ พระเขี้ยวแก้ว จากกรุงปักกิ่งมาประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงในวันที่ 4 ธันวาคม เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสมหามงคล

จีนมอบแพนด้ายักษ์เป็นสัญลักษณ์มิตรภาพ

อีกหนึ่งข่าวดีสำหรับประชาชนชาวไทยคือ จีนจะส่งแพนด้ายักษ์มาประเทศไทยในปีหน้า เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะสร้างความตื่นเต้นและความสุขให้กับคนไทย รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในประเทศ

ร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด

จีนยังพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยใน การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล การศึกษา และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเชื่อมโยงระหว่างประชาชน นอกจากนี้ยังมีการหารือเรื่องการขยายความร่วมมือด้าน พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

การประชุมเพื่อความร่วมมือในอนาคต

ในการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองประเทศยังได้หารือเกี่ยวกับการร่วมมือในกรอบความร่วมมือ เอเชีย (ACD) และ แม่โขง-ล้านช้าง (MLC) ที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค นอกจากนี้ยังมีการเตรียมการสำหรับการประชุมสุดยอด BRICS ที่จีนจะเป็นเจ้าภาพในปี 2569

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายอะไร?
    การประชุมครั้งนี้มุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนในด้านเศรษฐกิจ การค้า และเทคโนโลยี

  2. จีนสนับสนุนไทยในด้านใดบ้าง?
    จีนยืนยันการสนับสนุนไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก BRICS และเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากไทย

  3. การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างไทย-จีนจะมีอะไรบ้าง?
    จีนจะส่งแพนด้ายักษ์มายังไทยและอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานที่ท้องสนามหลวง

  4. ไทยจะร่วมมือกับจีนในด้านใด?
    ไทยพร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านการแก้ปัญหาความยากจน เทคโนโลยีอุตสาหกรรม และพลังงานสะอาด

  5. ปี 2568 จะมีการฉลองอะไรบ้าง?
    ปี 2568 จะเป็นปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน ฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

นายกฯ ไทยเสนอพัฒนาภูมิภาค GMS ด้วยนวัตกรรมยั่งยืน

นายกฯ ย้ำพัฒนาไทยด้วยนวัตกรรมและความยั่งยืนในเวที GMS

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดผู้นำอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ครั้งที่ 8 ที่นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน โดยมีนายกรัฐมนตรีจากจีน กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม รวมถึงประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เข้าร่วมการประชุม ในหัวข้อ “การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของไทย” นายกฯ ยืนยันว่าไทยจะเดินหน้าพัฒนาด้วยนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสร้างสังคมเท่าเทียม พร้อมยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคอย่างยั่งยืน

ไทยเน้นการพัฒนาแบบยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายกรัฐมนตรีได้เน้นถึงแนวทางการพัฒนาของไทยด้วยนวัตกรรมที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน พร้อมการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด โดยเชื่อว่าการพัฒนานวัตกรรมจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม การพัฒนานี้ตั้งเป้าที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียม

ยกย่อง 4 นวัตกรรมจากจีน และเชื่อมโยงสู่การพัฒนายุคใหม่

นายกรัฐมนตรีไทยยังได้ยกย่อง 4 สิ่งประดิษฐ์สำคัญของจีนในอดีต ได้แก่ เข็มทิศ ดินปืน กระดาษ และการพิมพ์ ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงมนุษยชาติ และย้ำว่าปัจจุบันนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพจะช่วยผลักดันให้การพัฒนาในภูมิภาคเป็นไปอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

ตัวอย่างความก้าวหน้าของไทยในด้านนวัตกรรม

  1. นวัตกรรมการเกษตร – นายกฯ ชูแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” เพื่อยกระดับการเกษตรแบบดั้งเดิมของไทยสู่การเกษตรสมัยใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าผลผลิต ทำให้ราคาพืชผลมีเสถียรภาพ ส่งเสริมรายได้ของเกษตรกรและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในตลาด
  2. นวัตกรรมการเงิน – ไทยได้พัฒนาเทคโนโลยีการเงินแบบไร้รอยต่อ ภายใต้โครงการ ASEAN Payment Connectivity ที่ช่วยให้สามารถชำระเงินระหว่างประเทศผ่าน QR Code ได้สะดวก ลดภาระค่าธรรมเนียมและเพิ่มประโยชน์ให้ประชาชนในภูมิภาค GMS
  3. การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา – รัฐบาลไทยมุ่งสนับสนุนการวิจัยในภาครัฐและเอกชน ผ่านมาตรการภาษีและพัฒนาทักษะบุคลากร โดยเชื่อว่าการลงทุนในนวัตกรรมจะช่วยสร้างเศรษฐกิจและสังคมให้แข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว

การสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างครอบคลุม

น.ส.แพทองธาร ย้ำถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนการพัฒนาแบบยั่งยืน ผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมในทุกระดับ ทั้งในภาคการเกษตร การเงิน และการวิจัย โดยคาดหวังว่าภายในปี 2573 ภูมิภาค GMS จะสามารถบรรลุเป้าหมายด้านนวัตกรรมที่ยั่งยืนได้

ไทยพร้อมร่วมมือเพื่อพัฒนาภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันถึงความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิก GMS ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านนวัตกรรม เพื่อสร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่จะยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การประชุมสุดยอดผู้นำอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ครั้งที่ 8 ที่นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยและการค้าโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ชัยชนะของทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเสี่ยงในอนาคต

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัยจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 พร้อมทั้งพรรครีพับลิกันคว้าคะแนนเสียงข้างมากในทั้งสองสภา ทำให้สามารถผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกและไทยยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

นโยบายเร่งด่วนที่คาดหวังในช่วง 100 วันแรกของทรัมป์

หลังจากการสาบานตนในเดือนมกราคม 2568 คาดว่านโยบายเร่งด่วนของทรัมป์จะประกอบไปด้วยมาตรการปรับเพิ่มภาษีศุลกากรขาเข้า ลดภาษีเงินได้สำหรับนิติบุคคลและครัวเรือน การต่ออายุมาตรการลดภาษีที่ประกาศใช้ในปี 2560 รวมถึงมาตรการสนับสนุนพลังงานฟอสซิลในประเทศ ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจในสหรัฐฯ แม้ว่าในระยะสั้นอาจเกิดความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ค่าเงินดอลลาร์และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับในเชิงบวก

ผลจากชัยชนะของทรัมป์ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทันที โดยแตะระดับ 105.44 เพิ่มขึ้น 1.95% จากวันก่อนหน้า นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นใกล้ระดับ 4.50% ขณะเดียวกันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ตอบรับในเชิงบวก โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 จุดในวันที่ 6 พฤศจิกายน

ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

แม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ของทรัมป์อาจสร้างผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว แต่ในระยะสั้นเศรษฐกิจอาจต้องเผชิญกับภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อสูง) จากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นและการกีดกันแรงงานอพยพ ด้านเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้นอาจได้อานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจากจีน แต่ในระยะยาวไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มภาษีสินค้าส่งออกที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ

แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตและการแข่งขันในตลาดไทย

ในอนาคต ไทยอาจได้รับผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการบางรายมายังอาเซียน แต่คาดว่าโอกาสในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังอาจต้องใช้เวลาและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ทั้งอัตราภาษีของสหรัฐฯ การตรวจสอบที่เข้มงวด และความพร้อมด้านเทคโนโลยีในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปและเทคโนโลยี AI ซึ่งไทยยังขาดความพร้อมในด้านพลังงานสะอาดและแรงงานที่มีทักษะสูง

สินค้าไทยต้องเผชิญการแข่งขันจากจีนที่รุนแรงขึ้น

สินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มของไทยมีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีน เนื่องจากสินค้าจีนมีการผลิตที่เกินความต้องการภายในประเทศ อีกทั้งการเจอกำแพงภาษีจากประเทศตะวันตก ทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่ในการระบายสินค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก

ชัยชนะของทรัมป์ในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างพลังให้พรรครีพับลิกันในสหรัฐฯ แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยในหลายแง่มุม ทั้งการส่งออก การแข่งขัน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ไทย-ลาว จับมือสกัดการค้ามนุษย์ชายแดนเชียงราย

ไทย-ลาว ร่วมมือพัฒนากลไกข้ามพรมแดน ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เสริมสร้างความเข้มแข็งตามแนวชายแดน

วันที่ 29 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และพันโท ปัญญา แสงวิจิตร รองหัวหน้ากองบัญชาการป้องกันความสงบแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ร่วมกันเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์และการส่งกลับผู้เสียหายข้ามพรมแดนระหว่างจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย กับแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ณ ห้องประชุมโรงแรมเดอะริเวอร์รี บาย กะตะธานีคอลเล็กชั่น อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองประเทศเข้าร่วม

ความร่วมมือระดับชายแดนเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์

การประชุมนี้มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างหน่วยงานไทยและ สปป.ลาว โดยมุ่งเน้นให้เกิดกลไกความร่วมมือในการเฝ้าระวังและป้องกันการค้ามนุษย์ รวมทั้งการช่วยเหลือผู้เสียหาย ซึ่งเป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดน ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดเชียงรายที่ติดชายแดนกับเพื่อนบ้านถึงสองประเทศ และมีเส้นทางเข้าออกหลากหลายช่องทาง การสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถเฝ้าระวังและจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลไกกฎหมายและการประสานงานระดับพื้นที่

การประชุมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดกลไกในการป้องกันและปราบปรามตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับพื้นที่ชายแดนที่มีการเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอดเวลา การประชุมในครั้งนี้มุ่งเน้นให้หน่วยงานชายแดนสามารถประสานงานและส่งต่อผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างไทยและลาวเพื่อรับมือกับปัญหาการค้ามนุษย์และการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย

เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการส่งกลับและช่วยเหลือผู้เสียหาย

การหารือในครั้งนี้ยังมุ่งเน้นการพัฒนากลไกการส่งกลับและการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ระหว่างสองประเทศ โดยมีการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ การประสานงานระหว่างหน่วยงานไทยและลาวจะช่วยให้ผู้เสียหายสามารถได้รับการช่วยเหลือในทันที พร้อมทั้งเป็นการสร้างความมั่นใจว่าผู้เสียหายจะได้รับการคุ้มครองและส่งกลับสู่ครอบครัวอย่างปลอดภัย

นายโชตินรินทร์ได้กล่าวปิดการประชุมว่า การสร้างกลไกการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในระดับพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยและลาวในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ปัญหาการค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนลดลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทยท้าทายมาเลเซีย ตั้งเป้าศูนย์กลางฮาลาลของทวีปเอเชีย

ไทยท้าทายอำนาจฮาลาลมาเลเซีย ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางฮาลาลในเอเชีย

ไทยเตรียมยกระดับสินค้าฮาลาล หวังเป็นศูนย์กลางฮาลาลเอเชีย

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 รัฐบาลไทยได้ประกาศแผนพัฒนาฮาลาล โดยมีเป้าหมายขยับสถานะของประเทศให้เป็นผู้นำด้านสินค้าฮาลาลในเอเชีย การเตรียมการครั้งนี้ถือเป็นการก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับมาเลเซียซึ่งเป็นศูนย์กลางฮาลาลอันดับหนึ่งในภูมิภาค โดยไทยมุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานสินค้าฮาลาลให้ได้ตามความต้องการของตลาดโลก

พัฒนาศักยภาพการส่งออกฮาลาลของไทยสู่ตลาดโลก

ในช่วงแปดเดือนแรกของปี 2023 ไทยส่งออกสินค้าฮาลาลมูลค่าประมาณ 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการส่งออกไปยังประเทศสมาชิกขององค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ความสำเร็จนี้มาจากการเติบโตของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารซึ่งไทยมีความเข้มแข็ง นอกจากนี้ ไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมิตรต่อมุสลิมในกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก OIC ตามดัชนี Mastercard-Crescentrating Global Muslim Travel Index

พัฒนาฮาลาลวัลเลย์ในภาคใต้ไทย หวังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

ส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาฮาลาล รัฐบาลไทยมุ่งเน้นการพัฒนา “ฮาลาลวัลเลย์” ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีประชากรมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ แผนการนี้จะช่วยส่งเสริมการผลิตและการกระจายสินค้าฮาลาลที่มีมาตรฐานสูง ส่งผลให้ไทยสามารถแข่งขันกับมาเลเซียซึ่งมีชื่อเสียงในตลาดสินค้าฮาลาลที่หลากหลาย ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอาง ไปจนถึงเสื้อผ้า

การจัดการปัญหาการใช้สัญลักษณ์ฮาลาลอย่างไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหาการใช้เครื่องหมายฮาลาลโดยไม่ได้รับการรับรอง ซึ่งเป็นความกังวลจากผู้ประกอบการบางรายในกรุงเทพฯ เช่น นางสาววนิชา อามคำ ผู้ค้าในกรุงเทพฯที่กังวลถึงการโฆษณาสินค้าเป็นฮาลาลโดยไม่มีการรับรองที่ถูกต้อง กรมศาสนาต้องเตรียมกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันการโฆษณาฮาลาลที่ไม่ถูกต้อง

เป้าหมายสูงสุด: การเป็นผู้นำด้านสินค้าฮาลาลในเอเชีย

การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางฮาลาลในเอเชียนั้นไม่ได้ง่าย เนื่องจากมาเลเซียมีข้อได้เปรียบที่เป็นประเทศมุสลิม ซึ่งได้รับการยอมรับในตลาดตะวันออกกลางอย่างดี อีกทั้งมีการขยายตัวของธุรกิจฮาลาลในหลากหลายอุตสาหกรรมไม่จำกัดแค่เพียงอาหาร

ถึงแม้จะมีความท้าทาย แต่ไทยก็เตรียมเพิ่มความโปร่งใสและยกระดับมาตรฐานสินค้า โดยมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด การสร้างความเชื่อมั่นและการพัฒนาให้ได้ตามมาตรฐานสากลคือก้าวสำคัญที่จะทำให้ไทยสามารถเติบโตในตลาดฮาลาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : malaymail

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เศรษฐกิจเวียดนามปี 68 คาดโตได้ถึง 7% สนับสนุนเงินทุนเพิ่มเติม

นายกฯ วีเนี่ยมินห์ ชินห์ กระตุ้นความพยายามเพื่อเพิ่ม GDP เกิน 7% ในที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

ฮานอย ประเทศเวียดนาม, เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 – นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP ให้เกิน 7% ต่อปี ระหว่างการนำเสนอรายงานการดำเนินงานแผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจปี 2024 และแผนสำหรับปี 2025 ที่ประชุมครั้งที่ 8 ของสมัชชาแห่งชาติครั้งที่ 15 ที่กำลังดำเนินการอยู่ในฮานอย

นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนาม กล่าวว่ามีการคาดการณ์ว่าเป้าหมายทั้งหมด 14 จาก 15 เป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปีนี้จะสามารถบรรลุผลได้ และเป้าหมาย GDP ต่อหัวจะสามารถทำได้หากอัตราการเติบโตของ GDP เกินกว่า 7% เขายังได้กล่าวถึงการเติบโตของผลผลิตแรงงานที่เกินแผน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่สามารถบรรลุได้ในช่วงสามปีที่ผ่านมา

นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ เน้นถึงความก้าวหน้าในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค การควบคุมเงินเฟ้อ การรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจหลัก และการควบคุมหนี้สาธารณะ รัฐบาล และหนี้ต่างประเทศ รวมถึงการลดการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐให้เกินแผน

สถิติทางเศรษฐกิจที่สำคัญ

นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ กล่าวว่า GDP ของประเทศในช่วงสามเก้าเดือนแรกได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.82% และคาดว่า GDP ของปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 6.8-7% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่สภานิติบัญญัติกำหนดไว้ที่ 6-6.5% ในช่วงเวลาที่ได้รับการตรวจสอบ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 3.88% รายได้งบประมาณรัฐทำได้มากกว่า 85% ของการคาดการณ์รายปี เพิ่มขึ้น 17.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และยอดการนำเข้าส่งออกทั้งหมดมียอดรวมถึง 578.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.3%

การลงทุนและเศรษฐกิจใหม่

นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ กล่าวถึงความก้าวหน้าในการลงทุนสาธารณะ โดยเน้นโครงการสำคัญต่างๆ และกล่าวถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ว่าเป็นจุดเด่นในขณะนี้ โดยการจัดสรรเงินลงทุนในด้านนี้สูงถึง 17.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.9% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขายังกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว โดยมีส่วนแบ่งของภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และบริการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวได้ดี และเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลัก

ความยั่งยืนและการลดความยากจน

นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ เน้นย้ำถึงความพยายามในการลดความยากจนอย่างยั่งยืน การกำจัดบ้านเรือนชั่วคราวและอาคารที่เสื่อมสภาพ รวมถึงการสนับสนุนผู้ประสบภัยพายุยากิ ซึ่งเป็นพายุมหาภัยที่รุนแรงที่สุดที่เคยพัดเข้ามาในเวียดนามในหลายทศวรรษที่ผ่านมา

รัฐบาลได้เน้นการปรับปรุงกระบวนการบริหารให้มีประสิทธิภาพ สร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการเติบโต และเร่งการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล การสร้างรัฐบาลดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมกับผลักดันการกระจายอำนาจ แนวทางการป้องกันประเทศแบบรวมพล และการต่อสู้กับอาชญากรรม

ความท้าทายและเป้าหมายต่อไป

นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดและความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค การผลิต ธุรกิจ หนี้เสีย การเบิกจ่ายการลงทุนสาธารณะ การเคลียร์พื้นที่ การชดเชยและการย้ายถิ่น การจัดตั้งและกฎหมาย การกระจายอำนาจ และคุณภาพบุคลากร

สำหรับช่วงที่เหลือของปี นายกฯ ได้ขอให้กระทรวง หน่วยงาน และท้องถิ่นต่างๆ ดำเนินงานอย่างประสานงานและมีประสิทธิภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายทั้ง 15 เป้าหมายที่ตั้งไว้ รักษาเงินเฟ้อให้ต่ำกว่า 4.5% และการเติบโตของเครดิตอยู่ที่ประมาณ 15% รายได้งบประมาณรัฐคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 10% ขณะที่อัตราการเบิกจ่ายการลงทุนสาธารณะตั้งเป้าที่จะถึงอย่างน้อย 95% ของแผน

นายกฯ เวียดนาม ยังได้กระตุ้นให้ทบทวนและปรับปรุงกรอบกฎหมาย ขับเคลื่อนการปฏิรูปทางบริหาร และปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุนและธุรกิจ เร่งโครงการสำคัญระดับชาติในขณะเดียวกันกับการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดต่อการทุจริต การสิ้นเปลือง และปรากฏการณ์เชิงลบอื่นๆ นอกจากนี้ยังควรให้ความสำคัญกับกิจการด้านวัฒนธรรมและสังคม เพื่อยกระดับมาตรฐานชีวิตของประชาชน รวมถึงการป้องกันประเทศ ความมั่นคง และระเบียบสังคม ตลอดจนกิจการต่างประเทศและการรวมกลุ่มระหว่างประเทศที่ช่วยยกระดับสถานะและชื่อเสียงของประเทศในเวทีระหว่างประเทศ

แผนสำหรับปี 2025

นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ได้วางแผนงานหลัก 11 งานและแนวทางแก้ไขสำหรับปี 2025 โดยเน้นการกระตุ้นการเติบโต การฟื้นฟูเครื่องยนต์การเติบโตแบบดั้งเดิม ส่งเสริมตัวกระตุ้นใหม่ เร่งการเบิกจ่ายการลงทุนสาธารณะ โดยเฉพาะสำหรับโครงการสำคัญระดับชาติ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างคัดสรร งานอื่นๆ รวมถึงการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการขนส่ง พลังงาน และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับโครงสร้างภาคเศรษฐกิจควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านพลังงานสีเขียวและยั่งยืน การส่งเสริมอุตสาหกรรมและบริการสนับสนุน การพัฒนากำลังคนคุณภาพสูง การปรับปรุงบริการสาธารณสุข การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ การเร่งรัดการต่อสู้กับการทุจริต การสิ้นเปลือง และปรากฏการณ์เชิงลบอื่นๆ รวมถึงการยกเลิกคำเตือน “การ์ดสีเหลือง” จากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ต่ออุตสาหกรรมอาหารทะเลของเวียดนาม

บทสรุป

นายกฯ ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ได้ย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพระหว่างกระทรวง หน่วยงาน และท้องถิ่นต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจและสังคมที่ตั้งไว้ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ การส่งเสริมการลงทุน การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและสีเขียว รวมถึงการพัฒนากำลังคนและการรับมือกับความท้าทายต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

ไทย-เมียนมา ร่วมมือรื้อถอนสิ่งปลูก สร้างลำน้ำสาย ป้องกันอุทกภัยยั่งยืน

ไทย-เมียนมา ร่วมหารือแก้ไขปัญหาอุทกภัยและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำสาย

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ที่ห้องประชุมด่านศุลกากรบริเวณสะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 มีการจัดประชุมระหว่างคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา เพื่อหารือการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประเทศไทย และ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การประชุมครั้งนี้นำโดย พลโท ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร เลขานุการคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา และนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ฝ่ายไทย ร่วมกับ พลจัตวา โซหล่าย ผู้บัญชาการภาคสามเหลี่ยม และ นาย อูมินโก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็ก ฝ่ายเมียนมา

รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสาย

การประชุมครั้งนี้เน้นย้ำถึงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสาย โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องความร่วมมือในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุทกภัยในพื้นที่

พลโท ณัฐพงษ์ เพราแก้ว ได้ขอบคุณฝ่ายเมียนมาที่อนุญาตให้ประเทศไทยติดตั้งเครื่องโทรมาตรอัตโนมัติสำหรับแจ้งเตือนระดับน้ำในบริเวณต้นแม่น้ำสาย จำนวน 4 จุด ได้แก่ บ้านโจตาดา บ้านดอยต่อคำ สะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา แห่งที่ 1 และสะพานข้ามแม่น้ำรวก ซึ่งการติดตั้งเครื่องมือเหล่านี้จะเริ่มดำเนินการในวันที่ 28 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายนนี้ โดยระบบจะสามารถแจ้งเตือนอุทกภัยล่วงหน้าได้ 8 – 10 ชั่วโมง ทำให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้เสนอให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำ รวมถึงการขุดลอกลำน้ำเพื่อให้การไหลของน้ำเป็นไปอย่างสะดวก โดยมีการมอบหมายให้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (Sub JCR) ซึ่งมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน จัดทำแผนการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้

33 บริเวณ พร้อมรื้อถอนทันที

ทางฝั่งเมียนมา ได้แจ้งว่ามีการสำรวจสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำในฝั่งของตนแล้ว พบว่ามีจำนวนทั้งหมด 33 บริเวณ และพร้อมที่จะดำเนินการรื้อถอนทันทีเมื่อได้รับคำสั่งจากส่วนกลาง การรื้อถอนนี้ถือเป็นการแสดงความร่วมมืออย่างชัดเจนจากทั้งสองประเทศในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยร่วมกัน

ระบบแจ้งเตือนภัยไฟป่าและหมอกควันที่จังหวัดเชียงตุง

ในระหว่างการหารือ พลโท ณัฐพงษ์ ยังได้สอบถามถึงการใช้งานระบบติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันที่ฝ่ายไทยได้ติดตั้งให้แก่เมียนมาในจังหวัดท่าขี้เหล็ก เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายเมียนมาได้ขอให้ฝ่ายไทยสนับสนุนเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบแจ้งเตือนที่เชื่อมต่อกับเครื่องโทรมาตร และระบบแจ้งเตือนภัยไฟป่าและหมอกควันที่จังหวัดเชียงตุง เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ฟื้นฟูแล้วร้อยละ 75

ในส่วนของการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ฝ่ายเมียนมาได้รายงานความคืบหน้าว่าพื้นที่ในจังหวัดท่าขี้เหล็กได้รับการฟื้นฟูแล้วประมาณร้อยละ 75 โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายไทยทั้งในด้านกำลังคนและอุปกรณ์ นอกจากนี้ ยังได้ร้องขอให้ฝ่ายไทยอำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในการจัดการดินโคลน เช่น รถแบ็คโฮขนาดเล็ก และเครื่องดูดโคลน เพื่อเร่งการฟื้นฟูให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

 

สุดท้าย ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน และได้ตกลงที่จะประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา เกี่ยวกับเขตแดนคงที่ช่วงแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก (JCR) ในวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2567 ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อหารือและพิจารณาการดำเนินการในขั้นต่อไป โดยจะนำข้อเสนอทั้งหมดมาพิจารณาเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานในระยะยาว

สรุป

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและเมียนมา ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำ เพื่อความยั่งยืนและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดนทั้งสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ไทยติดอันดับ 8 ประเทศ จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมระดับโลก 2024

 

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ Asian SEA Story ได้โพสต์การจัดอันดับ “Countries with the Richest Heritages in the World 2024” โดย U.S. News & World Report ซึ่งได้จัดลำดับประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมโดดเด่นที่สุดของโลกในปี 2024 ประเทศไทยติดอันดับที่ 8 จากการจัดอันดับนี้ โดยประเทศไทยเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของมรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่และหลากหลาย

การจัดอันดับมรดกทางวัฒนธรรมนี้ใช้เกณฑ์ 5 ด้าน ได้แก่ การเข้าถึงทางวัฒนธรรม ความมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อาหารที่มีชื่อเสียง แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวทางภูมิศาสตร์ โดยทั้ง 5 เกณฑ์นี้ถูกนำมาพิจารณาอย่างเท่าเทียมกันเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ

ประเทศที่ดีที่สุด

การจัดอันดับย่อยของมรดกนั้นอิงตามค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักที่เท่ากันของคุณลักษณะของประเทศห้าประการที่เกี่ยวข้องกับมรดกของประเทศ: เข้าถึงได้ทางวัฒนธรรม มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีอาหารรสเลิศ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมาย และสถานที่ท่องเที่ยวทางภูมิศาสตร์มากมาย โปรดอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอันดับของเรา วิธีการของประเทศที่ดีที่สุด

ประเทศไทย: แผ่นดินแห่งเสรี

ประเทศไทย หรือที่แปลว่า “ดินแดนแห่งเสรี” เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยถูกล่าอาณานิคมจากยุโรป ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีน มีประเทศเพื่อนบ้านได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เดิมประเทศไทยมีชื่อว่า “สยาม” และรวมตัวเป็นอาณาจักรในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 ก่อนจะกลายเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในปี 2475 หลังการปฏิวัติอย่างสันติ นับตั้งแต่นั้นมา

 

แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ภาคการเกษตรที่สำคัญและอุตสาหกรรมการผลิตที่แข่งขันได้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่งและเจริญเติบโตต่อเนื่อง โดยมีอัตราความยากจนและการว่างงานต่ำ ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของข้าวในโลกและเป็นผู้นำในด้านสิ่งทอ ดีบุก และอิเล็กทรอนิกส์ สังคมไทยได้รับอิทธิพลจากการศึกษาและเทคโนโลยีตะวันตกที่ผสมผสานเข้ากับสังคมที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด

วัฒนธรรมที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก แม้ว่าการท่องเที่ยวจะมีส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพียง 7% แต่ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าหลงใหล ด้วยความหลากหลายทั้งในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยว แหล่งโบราณคดี และวัฒนธรรมพื้นบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ทุกที่ใน “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” เมืองที่คึกคักทันสมัย รวมถึงชายหาดที่สวยงามและวัดวาอารามทองคำ ประเทศไทยยังมีชื่อเสียงในเรื่องของการนวดไทยและอาหารที่เป็นที่รู้จักกันดีในด้านการผสมผสานรสชาติหวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และเผ็ด

ประเทศไทยยังคงเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ “อาเซียน” และเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ร่วมลงนามในข้อตกลงต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงในภูมิภาค ประเทศไทยยังเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ, APEC, ธนาคารโลก และองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ อีกมากมาย

รายชื่อ 20 ประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 2024

  1. กรีซ
  2. อิตาลี
  3. สเปน
  4. ฝรั่งเศส
  5. ตุรกี
  6. เม็กซิโก
  7. อียิปต์
  8. ไทย
  9. โปรตุเกส
  10. อินเดีย
  11. ญี่ปุ่น
  12. บราซิล
  13. จีน
  14. โมร็อกโก
  15. สหราชอาณาจักร
  16. ไอร์แลนด์
  17. อาร์เจนตินา
  18. ออสเตรีย
  19. สหรัฐอเมริกา
  20. ออสเตรเลีย

ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญระดับโลก ที่สามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : U.S. News & World Report / Asian SEA Story

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News