Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

สะพานแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก “ล็อกดาวน์สินค้า” ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจเมียนมา

ล็อกดาวน์สินค้า” สะพานแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก สัญญาณสั่นคลอนเศรษฐกิจชายแดน—ของจำเป็นขาดแคลน ค่าใช้จ่ายขนส่งพุ่ง เสี่ยง “ค้าเถื่อน” คืนชีพ

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 —วันที่ชายแดนไม่เหมือนเดิม รถบรรทุกจอดเรียงรายริมถนนพหลโยธินฝั่งอำเภอแม่สาย โดยมีแม่น้ำสายกั้นกลางสู่เมืองท่าขี้เหล็กของเมียนมา เหนือศีรษะคือคานเหล็กของสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1 ที่เคยคึกคักด้วยกระแสสินค้าหลั่งไหล วันนี้กลับถูกบีบให้เหลือเพียง “ช่องเล็ก” สำหรับอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น สะท้อน “การล็อกดาวน์สินค้า” ที่สื่อเมียนมาอย่าง The People’s Voice รายงานเมื่อ 25 สิงหาคม 2568 ว่าทางการฝั่งท่าขี้เหล็ก จำกัดการขนส่งสินค้าทุกประเภท ยกเว้นอาหารและเครื่องดื่มในปริมาณจำกัด สร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจ–สังคมทั้งฝั่งไทยและเมียนมาอย่างฉับพลัน

ข่าวสั้นไม่กี่บรรทัดจากฝั่งท่าขี้เหล็ก แปลความหมายเป็นภาพยาวไกล: สายพานค้าชายแดนที่พึ่งพาเวลานาทีต่อ นาที เริ่มสะดุด ตลาดเมืองหลักของรัฐฉานอย่าง ตองยี ร้องขาด “ของจำเป็น” โดยเฉพาะ ยา อุปกรณ์ไฟฟ้า–คอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนโทรศัพท์ที่พึ่งพาการนำเข้า—สินค้าที่ “ไม่ได้อยู่ในกรอบยกเว้น” เมื่อสะพานแคบลง คลื่นราคาในฝั่งเมียนมาก็สูงชันขึ้นตามรายงานภาคสนาม ขณะที่สายเดินรถขนส่งหลายสาย “หยุดให้บริการ” เพราะ ค่าธรรมเนียมท่าเรือสูงขึ้น และเกิดสภาวะ “มีแต่ขาไป ไม่มีขากลับ” ทำให้ต้นทุน/เที่ยว ขาดความคุ้มทุน ทวีคูณ

ปมเหตุที่เชื่อมถึง “ภูมิรัฐศาสตร์ของท้องตลาด”

มาตรการจำกัดสินค้าข้ามแดนครั้งนี้เกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ที่ยืดเยื้อ และแรงกดดันทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ทวีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาการสำคัญปรากฏที่ชายแดน: เมื่อช่องทางการค้า “ปกติ” ถูกบีบให้เล็กลง ความต้องการของตลาด—โดยเฉพาะ ยารักษาโรค–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์–อุปกรณ์สื่อสาร—ไม่ได้หายไป แต่ถูกผลักให้ไหลลง ช่องทางไม่เป็นทางการ มากขึ้น เสี่ยงให้ การค้าเถื่อน” คืนชีพ อย่างที่ผู้ประกอบการหลายรายบนแนวชายแดนกังวล

แต่ผลสะเทือนมิได้จำกัดอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาย ฝั่งไทย—โดยเฉพาะ เชียงราย—ซึ่งพึ่งพา การค้าชายแดน เป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น ก็ต้องเผชิญแรงดึงกลับจากสองทิศทางพร้อมกัน

  1. ปริมาณธุรกรรมถูกหดรัด รายได้เกี่ยวเนื่องจากโลจิสติกส์–บริการชายแดนหดตัว
  2. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงเพิ่ม เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวัง ลักลอบนำเข้า–ส่งออก สินค้าต้องห้าม/สินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ซึ่งมักมาพร้อมกับ สินค้าปลอม–ยาปลอม และ อาชญากรรมข้ามชาติ รูปแบบต่างๆ

ของขาด–ราคาเพิ่ม–เส้นทางหยุด” เส้นทางวิกฤตที่ซ้ำเติมกันเอง

รายงานของ The People’s Voice ต่อจิ๊กซอว์สามชิ้นที่ร้อยเข้าด้วยกันอย่างน่ากังวล

  • ขาดแคลนยาและอะไหล่สื่อสาร: ร้านค้าบริเวณตลาดเมืองตองยีสะท้อนตรงกันว่า “ยา” และ อุปกรณ์ไฟฟ้า–คอมพิวเตอร์–ชิ้นส่วนโทรศัพท์ ขาดแคลนหนัก สินค้าที่เคยเดินทางผ่านชายแดนภาคเหนือของไทยด้วยรูปแบบปกติ กลับต้องหยุดชะงักเมื่อ “รายการสินค้าต้องห้าม” ของทางการเมียนมา ยืดตัว ไปครอบคลุมสินค้าจำเป็นจำนวนมาก
  • ต้นทุนโลจิสติกส์ถีบตัว: มาตรการจำกัดสินค้าบีบให้ ค่าธรรมเนียมท่าเรือ–ผ่านแดนสูงขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทขนส่งเผชิญภาวะ เที่ยวขากลับว่างเปล่า เมื่อสินค้า “ไม่เข้าเกณฑ์ผ่านได้” ย่อมไม่มีสินค้าให้บรรทุกย้อนกลับ—ต้นทุนต่อเที่ยวจึง พุ่งขึ้นทันที
  • ความเสี่ยง “ตลาดมืด” แทรกตัว: เมื่อสินค้าในตลาดทางการขาดแคลนและราคาเด้งสูง ผู้ค้าบางส่วน—เพื่อความอยู่รอด—อาจหันไป ช่องทางนอกระบบ ซึ่งสำหรับแนวชายแดนที่สลับซับซ้อนและภูมิประเทศเอื้อต่อการเล็ดลอด นี่คือความเสี่ยงที่ฝ่ายความมั่นคงต้องคาดการณ์ล่วงหน้า

เชียงรายต้องเตรียมอะไร มาตรการ “ตั้งรับ–รุก–ประสาน” ในเวลาเดียวกัน

ในสถานการณ์ที่ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากฝั่งเมียนมามักมาแบบกระท่อนกระแท่น หน่วยงานไทยจำเป็นต้องขยับเชิงรุก ทั้งมิติ การค้า–ความมั่นคง–ผู้บริโภค ไปพร้อมกัน

  1. เข้มด่าน–คุมคุณภาพสินค้าเข้มงวด
    • ศุลกากร–ตรวจคนเข้าเมือง–ฝ่ายปกครอง ควรประสาน เพิ่มการสแกนความเสี่ยงตามชนิดสินค้า (risk-based) บนสินค้าประเภทที่มีโอกาสลักลอบสูง เช่น ยา–อาหารเสริม–ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเน้น คุณภาพ–มาตรฐาน ป้องกันสินค้าปลอม/ไม่ปลอดภัย หลุดสู่ผู้บริโภคฝั่งไทย
  2. กัน “แร่–สินแร่สกปรก” และของผิด กม. ไม่ให้ปนสายในวิกฤต
    • วิกฤตฝั่งโน้นอาจเปิดช่องให้ แร่–สินแร่ จากพื้นที่เสี่ยง (รวมถึงสินค้าควบคุมอื่น) ไหลผ่านช่องทางผิดกฎหมาย เพื่อแปรรูป/ตบตาเอกสารในไทย จำเป็นต้อง ยกระดับตรวจสอบแหล่งที่มา (traceability) และ เครือข่ายข่าวกรองชุมชน บริเวณจุดผ่อนปรน/ทางลำลอง
  3. ดูแลผู้ประกอบการขนส่ง–ค้าชายแดนไทย
    • รัฐควรพิจารณา ผ่อนคลายน้ำหนักภาษี/ค่าธรรมเนียมบางประเภทชั่วคราว หรือจัด สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้ผู้ประกอบการขนส่งชายแดนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อ คงสภาพการจ้างงาน และไม่ให้ระบบโลจิสติกส์ท้องถิ่น “หยุดนิ่ง”
  4. คุ้มครองผู้บริโภค–สาธารณสุขชายแดน
    • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–สาธารณสุขจังหวัด ควร เผยแพร่คำเตือน เรื่องการซื้อ ยา/อุปกรณ์การแพทย์ ผ่านช่องทางนอกระบบ และตั้ง จุดให้คำปรึกษา สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเข้าถึงยา พร้อมจับมือ โรงพยาบาล–ร้านขายยา บริหารจัดการ ยาเทียบเคียง/ยาทดแทน ในภาวะเปลี่ยนผ่าน
  5. เดินหน้าช่องทางประสานงานเทคนิคกับฝั่งเมียนมา
    • นอกเหนือจากระดับรัฐบาลกลาง ควรใช้ ช่องทางชายแดน–จังหวัดคู่แฝด ระหว่าง แม่สาย–ท่าขี้เหล็ก เปิดโต๊ะหารือเทคนิคเพื่อ กำหนดรายการยกเว้นอย่างโปร่งใส (เช่น ยาจำเป็นเวชภัณฑ์, อุปกรณ์การแพทย์เร่งด่วน) และออก คิวโควตา ที่สามารถคาดการณ์ได้ ลดแรงจูงใจเข้าสู่ตลาดมืด

เมื่อเศรษฐกิจคลอนแคลน ความมั่นคงชายแดนย่อมเปราะบาง

ประวัติศาสตร์การค้าชายแดนไทย–เมียนมาบอกเราว่า เมื่อเศรษฐกิจฝั่งหนึ่งสะดุด ชายแดนจะเห็น “เส้นทางเงา” ขยับทันที ทั้ง สินค้าต้องห้าม–แรงงานผิดกฎหมาย–สารเสพติด–อาชญากรรมไซเบอร์ ความรุนแรงของลูกคลื่นขึ้นกับสองปัจจัย:

  • ช่องทางทางการเปิดแคบแค่ไหน (ยิ่งแคบ ยิ่งดันให้ไหลใต้ดิน)
  • ความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งสองฝั่ง (ยิ่งรั่ว ยิ่งไหล)

ในกรอบนี้ เชียงรายต้อง รักษาสมดุลยาก ระหว่าง เอื้อต่อการค้าถูกกฎหมาย (เพื่อพยุงเศรษฐกิจท้องถิ่น) กับ ปิดช่องโหว่ ที่เปิดโอกาสให้สินค้าผิดกฎหมายเล็ดลอด สาระสำคัญไม่ใช่ “ปิด–เปิด” แต่คือ เปิดอย่างมีระบบ–ปิดอย่างมีข้อมูล” ผ่านการ แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ ระหว่างศุลกากร–ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง–กองกำลังผสมชายแดน–ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ

เสียงจากปลายน้ำ เมื่อตลาดเปลี่ยน ผู้ประกอบการไทยต้องเปลี่ยนแผน

สำหรับผู้ประกอบการไทย 3–6 เดือน ข้างหน้าควรถือเป็นช่วง “บริหารความเสี่ยง” มากกว่าขยายการลงทุน โดยมีแนวทางเบื้องต้นดังนี้

  • กระจายตลาด: หากพึ่งพาลูกค้าฝั่งท่าขี้เหล็กสูง ให้ กระจายสัดส่วน ไปสู่ตลาดในประเทศ–จังหวัดข้างเคียง พร้อมสำรวจ ช่องทางดิจิทัล สำหรับสินค้าที่ไม่ติดข้อกำหนดผ่านแดน
  • บริหารสต็อกแบบ Lean: สินค้าที่มีโอกาสติดขัดการคืนภาษี/กระบวนการผ่านแดน ควรลดสต็อกค้าง และหันมาใช้ สัญญาซื้อ–ขายแบบสั้น ลดความเสี่ยงจากการคาดการณ์ผิด
  • ติดตามกฎระเบียบรายสัปดาห์: มาตรการฝั่งเมียนมามีโอกาส เปลี่ยนกะทันหัน ผู้ประกอบการควรตั้ง “จุดเฝ้าฟัง” ข่าวจากหน่วยงานไทย–เมียนมา/สื่อท้องถิ่น เพื่อปรับแผนการส่งมอบแบบทันทีทันใด

ความเป็นไปได้ข้างหน้า 3 ฉากทัศน์ และผลต่อเชียงราย

  1. คลายบางส่วนแบบมีรายการยกเว้น
    ฝั่งท่าขี้เหล็กอนุญาตสินค้าจำเป็นเพิ่ม (เช่น เวชภัณฑ์ อะไหล่สื่อสารที่จำเป็นต่อโครงสร้างพื้นฐาน) ภายใต้ โควตา/คิว การค้าอย่างเป็นทางการฟื้นบางส่วน ความเสี่ยงค้าเถื่อนลดลงบ้าง เชียงรายได้ สภาพคล่องการค้า กลับส่วนหนึ่ง
  2. ล็อกเข้มยืดเยื้อ
    การขาดแคลนในรัฐฉาน–เมืองหลักลึกขึ้น ราคาพุ่ง ตลาดมืดโตเร็ว แรงกดดันต่อแนวชายแดนไทยสูงที่สุด หน่วยงานไทยต้อง ทุ่มกำลังตรวจ–สกัด มากขึ้น ผู้ประกอบการไทยหดตัวทางรายได้ช่วงสั้น–กลาง
  3. เปิด–ปิดสลับ (stop–go)
    ฝั่งเมียนมาปรับมาตรการรายช่วง ทำให้ผู้ประกอบการ วางแผนไม่ได้ เกิดต้นทุนแฝงจากความไม่แน่นอน เชียงรายต้องพึ่ง ระบบแจ้งเตือน–ศูนย์ข้อมูลชายแดน เพื่อลดความเสียหายจากการ “เลี้ยวโค้งกะทันหัน” ของกฎระเบียบ

ในทั้งสามฉากทัศน์ บทบาทเชิงรุกของ จังหวัดเชียงราย และด่านชายแดน แม่สาย ในการเป็น “ศูนย์เชื่อมประสานข้อมูล–นโยบาย” กับหน่วยงานส่วนกลาง จะเป็นตัวแปรว่าพื้นที่สามารถ ลดผลกระทบ และ รักษาความเชื่อมั่นทางการค้า ได้มากเพียงใด

ประเด็นมนุษยธรรม “ยาจำเป็น” ต้องไม่ติดคอข้ามสะพาน

แม้มาตรการจำกัดสินค้าจะมุ่งประเด็นเศรษฐกิจ–ความมั่นคง แต่เสียงสะท้อนจากร้านยาที่ ตองยี ชี้ให้เห็นชัดว่า มิติ มนุษยธรรม ต้องถูกจัดวางข้างหน้า หาก “ยาเร่งด่วน/เวชภัณฑ์จำเป็น” ไม่สามารถผ่านแดนได้ทันเวลา ผลกระทบต่อ ผู้ป่วยเรื้อรัง–ผู้สูงอายุ–เด็ก จะชัดเจนรวดเร็ว

นี่คือเหตุผลที่ฝ่ายไทยควรเสนอ กลไก “ทางด่วนมนุษยธรรม” (Humanitarian Fast-Track) สำหรับรายการเวชภัณฑ์จำเป็น โดยกำหนด รายการ–เอกสาร–โควตา–จุดรับมอบ ที่ตรวจสอบได้ ลดแรงจูงใจให้ ยาเถื่อน–ยาปลอม แทรกซึมเข้ามาในตลาด

สะพานที่แคบลงกำลังทดสอบ “ภูมิคุ้มกัน” เศรษฐกิจชายแดนไทย

การจำกัดการขนส่งสินค้าข้าม สะพานแม่สาย–ท่าขี้เหล็ก คือสัญญาณเตือนชัดเจนว่า ความปั่นป่วนทางการเมือง–เศรษฐกิจในเมียนมากำลัง สาดซัด มาถึงเสาหลักการค้าชายแดนของไทย หากมองเพียงมิติ “ปิด–เปิด” สะพาน เราอาจเห็นแค่ การหยุดชะงัก แต่หากมองให้ครบทั้ง “เส้นเลือดเศรษฐกิจ–ความมั่นคง–ผู้บริโภค–มนุษยธรรม” จะเห็นว่า เชียงรายมีทางเลือก ในการเปลี่ยนวิกฤตให้เป็น “บทเรียนยกระดับระบบชายแดน” ได้

กุญแจอยู่ที่ ข้อมูล–ความเร็ว–ความร่วมมือ

  • ข้อมูล: ด่าน–จังหวัด–ผู้ประกอบการต้องแชร์สัญญาณตลาดแบบใกล้จริง
  • ความเร็ว: มาตรการชั่วคราวด้านภาษี–สินเชื่อ–คิวเวชภัณฑ์ต้อง “ทันเวลา”
  • ความร่วมมือ: ประสานงานข้ามพรมแดนในระดับพื้นที่ เพื่อ เว้นช่องมนุษยธรรม แต่ปิดประตู สินค้าอันตราย–ผิดกฎหมาย

สะพานที่แคบลงวันนี้ อาจกว้างกลับไม่ช้า—ถ้าเรารู้ เลือกเปิด ในสิ่งที่สังคมต้องการ และ กล้าปิด ในสิ่งที่ทำร้ายความมั่นคงร่วมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • The People’s Voice (Myanmar) — รายงานวันที่ 25–26 สิงหาคม 2568
  • ด่านศุลกากรแม่สาย / กรมศุลกากร
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / กอ.รมน.ภาค 3 / ตม.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS WORLD PULSE

พลังสามัคคีลาบวน! 3,000 คนชุมนุมเรียกร้องความจริงคดีนักเรียนหญิง Zara

มาเลเซียช็อกทั้งประเทศ “Justice for Zara” จุดไฟยุติความรุนแรงในโรงเรียน—เสียงสามัคคีกว่า 3,000 คนที่ลาบวน กดดันรัฐคลี่คดีให้โปร่งใส

ลาบวน/โกตาคินาบาลู, 12 สิงหาคม 2568—เสียงตะโกน “Justice for Zara” ดังก้องลานจอดรถหน้า Labuan Food Court ตลอดบ่ายวันอาทิตย์ ผู้คนแต่งชุดดำแน่นพื้นที่ ท่ามกลางแดดจัดและป้ายผ้าข้อความ “Stop Bullying” โบกสะบัดเหนือศีรษะกว่า 3,000 คน งานนี้ไม่ได้แบ่งสีการเมือง เพราะแกนนำจากหลากพรรคขึ้นเวทีร่วมเรียกร้อง “ความจริง” และ “ความยุติธรรม” ให้ซาร่า ไกรีนา มหาธีร์ เด็กหญิงวัย 13 ปี จากซีปิตัง ที่เสียชีวิตหลังถูกพบหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำของโรงเรียนประจำศาสนาในปาปาร์ รัฐซาบาห์ เมื่อรุ่งสาง 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนสิ้นใจในโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ 1 วันถัดมา ความสูญเสียครั้งนี้จุดระเบิดสังคมให้ลุกขึ้นทวงความจริง และหยุดยั้งการรังแกในสถานศึกษาอย่างเด็ดขาด

ลาบวน (Labuan) คือที่ไหน

ลาบวน (Labuan) เป็นดินแดนสหพันธ์แห่งหนึ่งของประเทศมาเลเซีย 🇲🇾 ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็กทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียวในทะเลจีนใต้ ใกล้กับประเทศบรูไน

เกาะลาบวนมีชื่อเสียงในฐานะ ศูนย์กลางทางการเงินนอกชายฝั่ง (offshore financial centre) และเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงจากซากเรือจมหลายลำ ซึ่งเป็นซากเรือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และซากเรืออื่นๆ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักดำน้ำและนักท่องเที่ยวที่สนใจประวัติศาสตร์

ผู้จัดคือ “Kelab Wanita Sejahtera” โดยมีดาโต๊ะ โมห์ด ราฟี อาลี ฮัสซัน แกนนำจากพรรครัฐบาลร่วมขึ้นนำ พร้อมตัวแทนจาก PKR และ Warisan ร่วมวงปราศรัย เนื้อหากดดันให้รัฐ “ไม่ปล่อยให้ความรุนแรงต่อเด็กถูกมองข้ามอีกต่อไป” ภาพผู้คนในชุดดำหลากวัย สะท้อนพลังสาธารณะข้ามสายงานและฐานะทางสังคมอย่างเด่นชัด ขบวนการนี้จึงก้าวพ้นพรมแดนการเมือง กลายเป็น “วาระมนุษยธรรม” ของทั้งประเทศ

ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าคดีเดินหน้าอย่างเข้ม สำนักงานอัยการสูงสุดมาเลเซีย (AGC) สั่งขุดศพเพื่อนำมาชันสูตรอย่างเป็นทางการ หลังเกิดข้อกังขาหลายด้าน ต่อมามีการขุดศพเมื่อคืน 9 ส.ค. และเคลื่อนร่างถึงโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ I เวลาราว 22.30 น. เริ่มชันสูตรเช้าวันที่ 10 ส.ค. โดยทีมพยาธิแพทย์ 4 คน และที่ปรึกษานิติเวช ร่วมตรวจอย่างละเอียดนานกว่า 8 ชั่วโมง ภายใต้การสังเกตการณ์จากทนายครอบครัวและตำรวจ

อย่างไรก็ดี กระแสข่าวลือที่ลุกลามทางออนไลน์โดยเฉพาะ “ทฤษฎีเครื่องซักผ้า” ถูกทนายครอบครัวปฏิเสธชัด ว่าเป็นเพียงการคาดเดา ไม่ใช่ข้อมูลที่มารดาของผู้ตายให้ไว้ พร้อมขอให้ลบข้อมูลที่สร้างความเสียหาย และให้ผู้โพสต์นำรายละเอียดส่งตำรวจเพื่อเอาผิดตามกฎหมายไซเบอร์ของมาเลเซียต่อไป เพื่อไม่ให้การสืบสวนไขว้เขว.

Public outcry for justice in Zara's case - Opinion

เส้นเวลาเหตุสะเทือนใจจากร่องรอยก่อนตาย สู่แรงกดดันให้รัฐเร่งคลี่คดี

คืนเกิดเหตุ 16 ก.ค. เวลาตีสามถึงตีสี่ มีผู้พบเด็กหญิงหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำ ในพื้นที่หอพักโรงเรียนประจำศาสนาในปาปาร์ เธอถูกนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตวันที่ 17 ก.ค. รายงานเบื้องต้นสื่อท้องถิ่นระบุว่า ครอบครัวพบรอยช้ำขณะทำพิธีอาบน้ำศพ ก่อนตัดสินใจยื่นรายงานตำรวจ เพิ่มคำให้การ และขอให้มีการขุดศพเพื่อตรวจสอบใหม่ โดยเฉพาะเมื่อคลิปเสียงความยาว 44 วินาทีของบทสนทนาระหว่างแม่กับลูก สร้างข้อสงสัยต่อ “ทฤษฎีตกจากที่สูงโดยไม่ตั้งใจ” ที่เธอถูกบอกเล่าในตอนแรก.

วันที่ 2 ส.ค. ตำรวจซาบาห์ยื่นสำนวนสืบสวนเบื้องต้นต่อ AGC และเริ่มกระบวนการให้ความเห็นทางคดี ขณะที่ผู้ว่าการรัฐซาบาห์และผู้นำการเมืองระดับชาติ ต่างออกมาขอ “คลี่ทุกเงื่อนงำ ไม่ละเว้นผู้ใด” นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ยังย้ำไม่ให้ “การเมืองแทรกแซงการสืบสวน” และขอประชาชนหลีกเลี่ยงการคาดเดาทำลายพยานหลักฐาน.

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจกลาง Bukit Aman รับไม้คุมสอบสวนต่อ เพื่อให้คดีเดินอย่างเป็นระบบระดับชาติ สร้างมาตรฐานการทำงานเดียวกัน และป้องกันอิทธิพลนอกคดี กระบวนการนี้สะท้อนความตั้งใจของรัฐในการ “เอาจริง” กับความรุนแรงต่อเด็กและการกลั่นแกล้งในสถานศึกษา.

ความจริงต้องไปต่อ” เมื่อกระแสสังคมกดดันให้ระบบยุติธรรมโปร่งใส

มุมหนึ่ง กระแส “Justice for Zara” คือบทเรียนสำคัญของการขับเคลื่อนสังคมแบบสันติ ผู้คนมารวมตัวโดยสมัครใจ แต่งชุดดำเป็นสัญลักษณ์ ไร้ความรุนแรง เนื้อหาบนเวทีชัดเจนหยุดความรุนแรงต่อเด็ก สืบสวนอย่างโปร่งใส ไม่ปกป้องผู้กระทำผิดและข้ามเส้นแบ่งทางการเมืองอย่างน่าจับตา สื่อมาเลย์หลายฉบับรายงานเอกภาพในพื้นที่ พร้อมยืนยันตัวเลขผู้เข้าร่วมหลักพันตั้งแต่เช้าจรดบ่าย.

อีกมุมหนึ่ง พลังของข่าวลือบนโลกออนไลน์ก็ท้าทายความยุติธรรมไม่แพ้กัน การแชร์ข้อมูลคาดเดาอาจทำลายกระบวนการสืบสวน สร้างบาดแผลซ้ำให้ครอบครัวผู้ตาย และเปิดช่อง “อาชญากรรมไซเบอร์ทับซ้อนคดีหลัก” ทนายครอบครัวจึงประกาศให้ลบและหยุดเผยแพร่ทันที พร้อมเรียกผู้โพสต์เข้าให้ปากคำ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อปกป้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริง.

คลี่ปมเชิงระบบ เมื่อ “บูลลี่” ไม่ใช่เรื่องเล็ก และโรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ประเด็นที่สังคมมาเลเซียถกเถียงไม่ใช่แค่ “ใครผิด” หากแต่คือ “ระบบผิดตรงไหน” เพราะความรุนแรงในสถานศึกษาไม่ควรถูกจัดการด้วยคำขอโทษหรือคำมั่นว่าจะ “ดูแลให้ดี” เท่านั้น นักจิตวิทยาและนักนโยบายศึกษาย้ำว่า สถานศึกษาต้องสร้างวัฒนธรรมไม่ยอมรับการรังแก และมีช่องทางร้องเรียนที่เชื่อถือได้ สอดคล้องกับสัญญาณเชิงนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย ที่ยืนยัน “เปิดทางให้ตำรวจทำงานเต็มที่” และพร้อมทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันเหตุซ้ำ.

ในอีกด้าน ประเทศไทยเองกำลังขยับ “ยกระดับความปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัย” หลายสถาบันประกาศงดกิจกรรมรับน้องรุนแรง ล่าสุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ออกประกาศงดกิจกรรมรับน้องทุกชนิด ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย พร้อมขู่ลงโทษวินัยร้ายแรงหากฝ่าฝืน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนเทรนด์ภูมิภาคที่เดินหน้า “สังคมการศึกษาไร้ความรุนแรง” อย่างจริงจัง.

ประชาชนได้อะไรจากการยืนหยัดเรียกร้องความจริง

ประการแรก ประชาชนได้ “ความโปร่งใส” เป็นเดิมพันร่วมกัน การขุดศพพร้อมชันสูตรโดยทีมแพทย์นิติเวชหลายฝ่าย เป็นขั้นตอนมาตรฐานที่ยกระดับความน่าเชื่อถือของผลทางการแพทย์ และช่วยลดข้อสงสัยในสังคม เมื่อผลชันสูตรมีฐานวิชาการแข็งแรง การตัดสินใจทางคดีจะยืนอยู่บนข้อเท็จจริงมากกว่าความรู้สึก.

ประการที่สอง สังคมได้ “บทเรียนการรู้เท่าทันข้อมูลผิด” คำชี้แจงจากทนายครอบครัวเกี่ยวกับข่าวลือเครื่องซักผ้า เป็นตัวอย่างการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา และเน้นให้ร่วมมือกับตำรวจแทนการแชร์ซ้ำบนโซเชียล ความรับผิดชอบร่วมกันของผู้ใช้แพลตฟอร์ม คือเกราะคุ้มกันคดีเด็กที่บอบบางจาก “ความโกลาหลดิจิทัล”.

ประการที่สาม การรวมตัวอย่างสันติในลาบวนได้ “สร้างแรงกดดันเชิงบวก” ต่อระบบยุติธรรม พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ความรุนแรงต่อเด็กเป็นเส้นแดง” ที่สังคมไม่ยอมรับอีกต่อไป พลังข้ามพรรคการเมือง ยังทำให้ข้อเรียกร้อง “ปลอดการเมือง” และดึงประเด็นกลับสู่สิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.

ประการที่สี่ เหตุการณ์นี้สะท้อน “ความจำเป็นของแนวทางป้องกันต้นน้ำ” โรงเรียนและหอพักต้องมีกติกาชัดเจน ช่องร้องเรียนปลอดภัย ระบบคุมความเสี่ยง 24 ชั่วโมง และการอบรมครู–นักเรียนเรื่องการแทรกแซงเมื่อเห็นเหตุรุนแรง การป้องกันที่ดีช่วยลดโอกาสการเกิดเหตุสุดโต่ง ก่อนกลายเป็นคดีร้ายแรง. (อ้างอิงทิศทางนโยบายและคำยืนยันจากฝ่ายการศึกษามาเลเซียในคดีนี้).

Vigils across Sabah demand justice for Zara Qairina Borneo Post Online

จากลาบวนถึงห้องชันสูตร สิบคำถามชวนคิด สังคมจะเดินไปอย่างไร

  1. เหตุใดการชันสูตรแรกเริ่มจึงไม่เกิดขึ้นทันที?
  2.  ใครมีอำนาจสั่งให้คืนความจริงทางการแพทย์แก่ครอบครัวได้เร็วขึ้น?
  3.  ระบบดูแลนักเรียนประจำปลอดภัยพอหรือยัง?
  4. กล้องวงจรปิดในพื้นที่เสี่ยงครอบคลุมเพียงพอหรือไม่?
  5. ครู–ผู้ดูแลได้รับการอบรมรับมือเหตุฉุกเฉินแค่ไหน?
  6. ช่องร้องเรียนภายในโรงเรียนเชื่อถือได้เพียงใด?
  7. ารบูรณาการตำรวจ–อัยการ–สาธารณสุขในคดีเด็กทำได้ไวแค่ไหน?
  8. กฎหมายคุ้มครองเด็กและความผิดไซเบอร์ใช้รับมือข่าวลือได้จริงหรือ?
  9. สื่อและประชาชนควรยืนเส้นแบ่งจริยธรรมตรงไหนเมื่อรายงานคดีเยาวชน? และ
  10. จะยกระดับวัฒนธรรม “ไม่ยอมรับการรังแก” ให้เป็นกติกาสังคมได้อย่างไร?

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่แค่โจทย์ของมาเลเซีย แต่เป็นกระจกสะท้อนทั้งภูมิภาค รวมถึงไทย ที่ต้องจัดสมดุล “สิทธิเด็กเสรีภาพสื่อความยุติธรรม” ให้เดินไปด้วยกันอย่างมีหลักฐานรองรับ

เสียงจากรัฐ “จะไม่ให้ใครแทรกแซง” และ “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย”

หลังแรงกดดันเพิ่มสูง นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ย้ำว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มีการเมืองแทรกแซง และจะเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานตามขั้นตอน ทั้งยังเรียกร้องให้สังคมยึดข้อเท็จจริง ไม่ด่วนสรุปต่อหน้าสื่อหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ขณะเดียวกัน Bukit Aman รับช่วงสอบสวน เพื่อให้มาตรฐานการสืบสวนอยู่ในมือหน่วยกลาง ลดอิทธิพลและเพิ่มความเป็นเอกภาพ.

เมื่อบ้านและโรงเรียนต้องเปิดใจคุยกัน

ข้อมูลเชิงลึกจากคุณ นุชนาฎ สุขเกตุ เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและอดีตนักจิตวิทยา ซึ่งทำงานในโครงการป้องกันการรังแกกันในโรงเรียนของมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้ให้ภาพที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่งว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน สู่ห้องเรียน และระบบนิเวศของสถานศึกษาในที่สุด

สัญญาณเตือนภัยที่ผู้ปกครองต้องสังเกต

ผู้ปกครองคือคนแรกที่จะต้องรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกหลาน แต่ปัญหาคือเด็กจำนวนไม่น้อยมักจะเก็บงำความลับนี้ไว้คนเดียวด้วยความกลัว อับอาย หรือไม่รู้ว่าจะบอกใคร . คุณนุชนาฎได้ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองควรสังเกตอย่างละเอียด:

  • พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด: หากลูกที่เคยร่าเริงและมีความสุขกับการไปโรงเรียนกลับแสดงอาการไม่อยากไปโรงเรียน เก็บตัวเงียบ หรือซึมเศร้า นี่คือสัญญาณแรกที่ไม่อาจมองข้ามได้
  • ร่องรอยทางร่างกาย: รอยช้ำ บาดแผล หรือร่องรอยบาดเจ็บที่ไม่สามารถอธิบายที่มาได้อย่างสมเหตุสมผล ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจ
  • การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์: ลูกอาจมีอาการหงอยเหงา ไม่สดใส หรือแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อถูกพูดถึงเรื่องที่โรงเรียน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการถูกกลั่นแกล้ง

การวิเคราะห์ การสังเกตสัญญาณเหล่านี้ถือเป็น การแก้ไขที่ต้นทาง” ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปสู่ความเสียหายที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม การที่เด็กตัดสินใจบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้ปกครองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเพราะความรู้สึกไว้วางใจที่ผู้ปกครองได้สร้างขึ้นมาก่อนหน้า ซึ่งคุณนุชนาฎได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ การสื่อสารเชิง

บวก” โดยใช้คำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้ลูกเล่าเรื่องราวได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญที่สุดคือการ ซัพพอร์ตทางอารมณ์” โดยปราศจากอคติหรือการตัดสินใดๆ และให้กำลังใจว่าผู้ปกครองจะอยู่เคียงข้างเสมอ

กลไก ‘ผู้บริโภค’ และความรับผิดชอบของสถานศึกษา

ประเด็นสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้คือ การวิเคราะห์สถานะของนักเรียนและผู้ปกครองในฐานะ ผู้บริโภค” ของบริการทางการศึกษา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการยืนยันและสร้างบรรทัดฐานที่ชัดเจนในคดีความรุนแรงในโรงเรียนเอกชนเมื่อไม่นานมานี้ การที่ผู้ปกครองส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐหรือเอกชน ถือเป็น การทำสัญญาบริการ” ที่โรงเรียนในฐานะ “ผู้ประกอบธุรกิจ” มีหน้าที่ต้องให้บริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและปลอดภัย ไม่เพียงแค่เรื่องวิชาการ แต่ยังรวมถึงการดูแลความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจของนักเรียน หากโรงเรียนบกพร่องในการดูแลจนเกิดความเสียหายขึ้น ถือเป็นบริการที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่คาดหวังตามระเบียบที่ระบุไว้ ซึ่งผู้ปกครองในฐานะผู้บริโภคสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในการเรียกร้องค่าเสียหายได้

“การที่สถานศึกษาไม่ได้ให้ความคุ้มครองความปลอดภัยอย่างที่ผู้ปกครองคาดหวัง จึงเป็น ‘ความเสียหาย’ ที่นอกเหนือไปจากมาตรฐานที่คาดหวังจากบริการ ซึ่งต้องมีการตีความทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อบังคับใช้สิทธิของผู้บริโภคอย่างแท้จริง” คุณนุชนาฏ สุขเกตุ (นักพัฒนาครอบครัว และอดีตนักจิตวิทยา) กล่าว ซึ่งเป็นมุมมองที่อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ในรายงานของนักพัฒนาครอบครัว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลไกและสิทธิทางกฎหมายในการรับมือความรุนแรงในโรงเรียน

ไทยต้องทำอะไรวันนี้เชื่อมบทเรียนสู่การปฏิบัติในพื้นที่ของเรา

ประเด็นความปลอดภัยในสถานศึกษาไทยยังมีโจทย์ท้าทาย ตั้งแต่การยุติ “รับน้องรุนแรง” ไปจนถึงการสร้างระบบแจ้งเหตุที่ไวและไว้วางใจได้ ตัวอย่างของ มทร.ล้านนา เชียงราย ที่ประกาศงดกิจกรรมรับน้องทุกชนิด และบังคับใช้วินัยอย่างจริงจัง เป็นก้าวเล็กแต่สำคัญ ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยควรตั้ง “ศูนย์สวัสดิภาพนักศึกษา” คู่กับสายด่วนภายนอก เพื่อให้ผู้เสียหายมีตัวเลือกที่เป็นอิสระจากโครงสร้างอำนาจภายใน.

นอกจากนี้ โรงเรียนประจำและหอพักควรทบทวนมาตรการกลางคืน ปรับผังพื้นที่เสี่ยงให้ปลอดภัย เพิ่มกล้องและแสงสว่าง ติดตั้งปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉิน และฝึกซ้อมแผนรับมือทุกเทอม เพราะ “นาทีแรก” ของเหตุฉุกเฉินอาจชี้ชะตาชีวิตได้ จากนั้นต้องเปิดพื้นที่ให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งในคณะกรรมการสถานศึกษาและแผนเฝ้าระวังชุมชน

มองไปข้างหน้าให้ความยุติธรรมเดินบนข้อเท็จจริง พร้อมเยียวยาใจ

ท้ายที่สุด สังคมควรย้ำหลักการสำคัญสามประการ เคารพกระบวนการยุติธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยหลักฐาน ปกป้องศักดิ์ศรีผู้เสียชีวิตและครอบครัวจากการสรุปผิดพลาด และเปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังนโยบายในห้องเรียนและหอพักทุกแห่ง หากผลชันสูตรยืนยันข้อเท็จจริงใด ก็ต้องเดินหน้าดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ละเว้น ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญา ทางวินัย และทางสังคม

การเสียชีวิตของซาร่าไม่ควรจบลงที่ “ไว้อาลัย” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องกลายเป็นจุดเริ่มของข้อตกลงใหม่ในสังคมว่า “โรงเรียนต้องปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน” และ “ข่าวลือไม่มีที่ยืนเหนือความจริง”

ไทม์ไลน์ย่อคดี “Zara Qairina” (อ้างอิงรายงานสื่อมาเลเซีย)

  • 16 ก.ค. พบหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำโรงเรียนในปาปาร์ ช่วงตี 3–ตี 4 นำส่งโรงพยาบาล.
  • 17 ก.ค. เสียชีวิตที่โรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ I เมืองโกตาคินาบาลู.
  • ปลาย ก.ค.–ต้น ส.ค. ครอบครัวแจ้งความเพิ่มเติม ส่งคลิปเสียง และร้องขอขุดศพ; ตำรวจส่งสำนวนเบื้องต้นให้ AGC.
  • 9 ส.ค. ขุดศพในซีปิตัง เคลื่อนร่างไปโกตาคินาบาลูช่วงดึก.
  • 10 ส.ค. ชันสูตรโดยทีมแพทย์ 4 คน ใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมง ท่ามกลางการสังเกตการณ์.
  • 10 ส.ค. จัดชุมนุมใหญ่ “Justice for Zara” ที่ลาบวน ผู้ร่วมกว่า 3,000 คน แต่งชุดดำ.
  • สัปดาห์เดียวกัน Bukit Aman รับไม้ดูแลสืบสวนต่อ.

สรุปเชิงบรรณาธิการ

คดีความจากข่าวข้างต้นนี้ยังอยู่ในชั้นสืบสวน ผลชันสูตรและความเห็นทางคดียังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ การรายงานจึงยึดข้อเท็จจริงจากเอกสารและคำให้สัมภาษณ์ของหน่วยงานรัฐและทนายครอบครัว โดยหลีกเลี่ยงการคาดเดาที่อาจกระทบสิทธิ์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สาระสำคัญคือ การยุติความรุนแรงในโรงเรียน หรือวิธีการรับมือเมื่อลูกหลานในการปกครองถูกกลั่นแกล้ง การเผชิญความรุนแรงในสถานศึกษา รวมไปถึงบทบาทของผู้ปกครองและสถานศึกษาในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Malay Mail: รายงานชุมนุมลาบวนและบริบทคดี, 10 ส.ค. 2025. Malay Mail
  • The Star: รายงานจำนวนผู้ร่วมและคำปราศรัย, 10 ส.ค. 2025. Malay Mail
  • MalaysiaGazette / Astro Awani / The Sun: ภาพรวมผู้ร่วมชุมนุมและถ้อยแถลงข้ามพรรค.
  • Free Malaysia Today: Bukit Aman รับช่วงตรวจสอบคดี. Yahoo News Malaysia
  • Wikipedia สรุปเหตุการณ์และพยานหลักฐานตามแหล่งข่าวหลัก (ใช้เพื่อยืนยันลำดับเหตุ). The Star
  • Malay Mail: ถ้อยแถลงทนายครอบครัว ปฏิเสธข่าวลือ “เครื่องซักผ้า” และขอให้ลบข้อมูล. Newswav
  • The Star: รายงาน AGC สั่งขุดศพและขั้นตอนนิติเวช.
  • Malaysiakini: รายละเอียดชันสูตรและการสังเกตการณ์. Mothership
  • Free Malaysia Today: คำยืนยันของนายกฯ อันวาร์ ไม่ให้การเมืองแทรกแซงสืบสวน. The Star
  • Matichon / เพจทางการ RMUTL เชียงราย: ประกาศงดกิจกรรมรับน้องในไทย. มติชนออนไลน์Facebook
  • คุณนุชนาฏ สุขเกตุ (นักพัฒนาครอบครัว และอดีตนักจิตวิทยา)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

องค์กรวิชาชีพสื่อไทยตัดสัมพันธ์ CCJ โต้ข้อกล่าวหาหมิ่นสื่อไทย-ข่าวเท็จชายแดน

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยประกาศ “ระงับสัมพันธ์” CCJ ปมหมิ่นสื่อไทย-ข้อมูลเท็จชายแดน

ประเทศไทย, 31 กรกฎาคม 2568 – จุดเริ่มต้นไฟขัดแย้งชายแดน จุดไฟศรัทธาสื่อระหว่างประเทศ
ในห้วงเวลาที่ปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ได้ออกแถลงการณ์สำคัญในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ประกาศ “ระงับความสัมพันธ์” กับ สมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists: CCJ) อย่างเป็นทางการ หลัง CCJ ออกแถลงการณ์กล่าวหาสื่อไทยขาดจริยธรรม และมีการดูหมิ่นต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพฝั่งไทย

จุดแตกหัก สื่อไทยลุกขึ้นสู้เพื่อศักดิ์ศรี – CCJ แค่กระบอกเสียงรัฐบาลกัมพูชา

แกนหลักของแถลงการณ์ฝ่ายไทย มีใจความสำคัญคือการปฏิเสธข้อกล่าวหาจาก CCJ ที่ระบุว่าสื่อไทยขาดจริยธรรมในการนำเสนอข่าวสถานการณ์ชายแดน พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าสื่อไทย “ยึดมั่นในจริยธรรม ความเป็นกลาง ไม่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง” และให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสันติภาพโดยไม่ตกเป็นเครื่องมือปลุกปั่นระหว่างชาติ อีกทั้งยังเรียกร้องให้ CCJ หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย และกลับไปเข้มงวดกับการตรวจสอบข้อมูลข่าวปลอมและข่าวบิดเบือนที่มีต้นตอมาจากฝั่งกัมพูชาเอง

ในแถลงการณ์ยังยกตัวอย่างข้อมูลเท็จที่ถูกเผยแพร่จากกัมพูชา เช่น

  • การกล่าวหาว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา
  • ข่าวลือไทยใช้ระเบิด MK ที่มีอานุภาพร้ายแรง
  • ข่าวปลอมเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2
    ซึ่งล้วนเป็น “ข่าวบิดเบือน” ที่สร้างความเข้าใจผิดและบ่อนทำลายบรรยากาศสันติภาพระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ

ประกาศตัดสัมพันธ์ – ส่งสารถึง CCJ ให้ทบทวนจรรยาบรรณตนเอง

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในฐานะผู้มีข้อตกลงความร่วมมือกับ CCJ ได้ประกาศระงับความสัมพันธ์นี้เป็นการชั่วคราวโดยทันที พร้อมย้ำถึงความตั้งใจดั้งเดิมที่ต้องการให้กลไกความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนมีบทบาทสร้างสรรค์ต่อประชาชนสองประเทศ และขอให้ CCJ กลับไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะองค์กรวิชาชีพที่มีความเป็นอิสระและยึดถือจรรยาบรรณ

ท่าที CCJ โต้กลับ – สื่อไทยรายงานเท็จ ทำลายศรัทธา

ขณะเดียวกัน ฝ่าย CCJ จากพนมเปญ ได้ออกแถลงการณ์โต้กลับ โดยกล่าวหาสื่อไทยบางสำนัก เช่น Khaosod และ The Nation Thailand ว่าเผยแพร่ข้อมูลเท็จและขาดจรรยาบรรณวิชาชีพ อันส่งผลต่อสถานการณ์ชายแดนในช่วงเวลาวิกฤต พร้อมทั้งเรียกร้องให้สื่อไทยปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนอย่างเข้มงวดและช่วยกันลดความตึงเครียดด้วยการนำเสนอข่าวอย่างสร้างสรรค์
นอกจากนี้ CCJ ยังเน้นย้ำเจตนารมณ์ปกป้องเสรีภาพสื่อ พร้อมร่วมต้านข่าวปลอมในทุกมิติ

วิกฤตการณ์ศรัทธาสื่อ – ศึกปากกาและข้อมูลบนเวทีอาเซียน

การปะทะกันทาง “แถลงการณ์” ในครั้งนี้ ไม่ได้สะท้อนเพียงปัญหาข้อเท็จจริงตามแนวชายแดน แต่คือ “วิกฤตความเชื่อมั่น” ระหว่างวิชาชีพสื่อสองประเทศที่เคยร่วมมือกันมาอย่างใกล้ชิด จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อ CCJ ถูกมองว่าไม่อิสระจากรัฐบาลกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันความเป็นกลางและการตรวจสอบกันเองอย่างเข้มงวด

ประเด็นที่ต้องจับตา:

  • บทบาทของสื่อในการส่งเสริมสันติภาพหรือยั่วยุความขัดแย้ง
  • การต่อสู้กับข่าวปลอมที่ข้ามพรมแดนและส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • อนาคตความร่วมมือขององค์กรวิชาชีพสื่อไทย-กัมพูชา ที่อาจส่งผลกระทบต่อการรายงานข่าวและภาพลักษณ์ของทั้งสองประเทศในประชาคมอาเซียน
  • การรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพสื่อ ความรับผิดชอบ และจรรยาบรรณ ในยุคที่ข้อมูลเคลื่อนที่รวดเร็วและสามารถบิดเบือนในวงกว้าง

ในท้ายที่สุด เหตุการณ์นี้อาจกลายเป็น “บทเรียนสำคัญ” สำหรับองค์กรสื่อทั่วทั้งภูมิภาค ในการยึดมั่นต่อจริยธรรมวิชาชีพ เคารพเสรีภาพ และใช้บทบาทของสื่อสร้างสรรค์สันติภาพ ไม่ตกเป็นเครื่องมือให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • แถลงการณ์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • แถลงการณ์สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
  • แถลงการณ์สมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists)
  • สำรวจข่าวสารจาก Khaosod, The Nation, ช่องทางสื่อไทยและกัมพูชา
  • วิเคราะห์แนวโน้มจากนักวิชาการอาเซียน (อ้างอิง: [Press Freedom Index, RSF 2025], สำนักข่าวอาเซียน, กระทรวงการต่างประเทศ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา: “ภูมิธรรม” นำทีมเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย ผู้นำโลกจับตา

ภูมิธรรม” บินมาเลเซีย! เจรจาหยุดยิงไทย-กัมพูชา ผู้นำโลกเข้าร่วม ด้านไทยยังไม่มั่นใจความจริงใจกัมพูชา

ประเทศไทย, 28 กรกฎาคม 2568 – การประชุมหยุดยิงชายแดนผู้นำเอเชีย-มหาอำนาจโลกร่วมเจรจา เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นเป็นวันที่ 5 และส่อเค้าจะลุกลามจนไม่อาจควบคุมได้ รัฐบาลไทยจึงได้มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เดินทางด่วนถึงมาเลเซียในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อร่วมประชุมเจรจาหาทางยุติข้อพิพาทกับรัฐบาลกัมพูชาในเวทีนานาชาติ

การประชุมครั้งสำคัญนี้จัดขึ้นที่ทำเนียบรัฐมนตรีมาเลเซีย เมืองปุตราจายา โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนประจำปี เป็นผู้ชูธงความพยายามหยุดยิง และยังได้รับความร่วมมือจากนานาชาติ โดยเฉพาะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ และจีนที่เดินทางเข้าร่วม พร้อมแรงสนับสนุนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แถลงจุดยืนต้องการให้ไทย-กัมพูชาหยุดยิงทันที และขู่งดข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับทั้งสองประเทศหากยังสู้รบต่อ

แนวรบชายแดนเดือด – สองฝ่ายกล่าวหา ยกระดับใช้ปืนใหญ่

ความขัดแย้งปะทุขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนก่อนเมื่อเกิดเหตุปะทะระหว่างกำลังทหารชายแดน จนมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต หลังเหตุการณ์นั้นทั้งสองฝ่ายต่างระดมเสริมกำลังและกล่าวหาอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มสู้รบ จุดปะทะสำคัญครอบคลุมแนวชายแดนยาว 817 กิโลเมตร ก่อนจะยกระดับถึงขั้นยิงปืนใหญ่หนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ประชาชนสองฝั่งชายแดนเกิดความหวาดกลัวและต้องอพยพหนีภัย

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาได้โพสต์ผ่าน X (Twitter เดิม) ระบุเป้าหมายการประชุมครั้งนี้ว่า “ต้องหยุดยิงทันที” ตามข้อเสนอของโดนัลด์ ทรัมป์ และตกลงระหว่างสองฝ่าย ขณะที่กัมพูชายังคงเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามไทยและกล่าวหาว่าไทยโจมตีพลเรือน

ในด้านไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เปิดเผยต่อสื่อมวลชนก่อนออกเดินทางว่า “เราไม่มั่นใจในกัมพูชา การกระทำที่ผ่านมาไม่แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา กัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เราทุกคนต้องการสันติภาพ” ท่าทีนี้สะท้อนความไม่ไว้วางใจและข้อกังขาต่อความตั้งใจจริงของอีกฝ่าย

วิกฤตการทูตโยงถึงความมั่นคงภายใน – รัฐบาลผสมไทยเกือบล่มสลาย

สถานการณ์ที่ร้อนแรงบนแนวชายแดนในรอบ 10 ปีนี้ ไม่เพียงสั่นคลอนเสถียรภาพระหว่างประเทศ หากแต่ยังสั่นสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาลผสมของไทยที่เปราะบางจากแรงกดดันการเมืองภายใน วิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา จึงเป็นทั้งโจทย์ทางทูตและความมั่นคงที่มีผลต่อเนื่องถึงอนาคตการเมืองไทย

แถลงการณ์ 3 องค์กรสื่อ ยกระดับจรรยาบรรณ-ห่วงสงครามข่าวสารยุคดิจิทัล

ในภาวะที่ข่าวสารไหลหลากอย่างรวดเร็ว สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP), สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ “ขอความร่วมมือการรายงานข่าวความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา” โดยมีข้อปฏิบัติที่เข้มงวดสำหรับสื่อมวลชน เพื่อป้องกันข้อมูลผิดพลาด สร้างความเกลียดชัง หรือกระทบต่อขวัญกำลังใจเจ้าหน้าที่ เช่น ห้ามเปิดเผยพิกัดทหาร งดการรายงานสดขณะยังมีปฏิบัติการ งดหัวข่าวเกินจริง และตรวจสอบข่าวที่แชร์ในโซเชียลก่อนเผยแพร่

นอกจากนี้ ยังเน้นให้สื่อไทยระวังการถูกโจมตีทางไซเบอร์ หลังเกิดปฏิบัติการ DDoS กับสื่อที่ใช้ชื่อไทย, Thai, Thailand จากฝั่งกัมพูชา โดยแนะนำประสานสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์และขอความช่วยเหลือจาก กสทช. และกระทรวงดิจิทัลฯ

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์(SONP) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ร่วมหารือกันเป็นวาระพิเศษในประเด็นแนวทางการรายงานข่าวท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อขอแสวงหาความร่วมมือกับสื่อมวลชนในการรายงานข่าวและเพื่อแก้ไขปัญหาการสื่อสารในภาวะวิกฤตตามที่ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบดังนี้

  1. ห้ามเปิดเผยที่ตั้งทางทหาร ชื่อ ผบ.หน่วย อาวุธหรือยุทโธปกรณ์ที่ใช้
  2. งดการรายงานสดในพื้นที่ขณะที่ยังมีปฏิบัติการทางทหารอยู่
  3. ระมัดระวังการให้ข่าวที่ทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ปฏิบัติหน้าที่
  4. หลีกเลี่ยงการนำเสนอข่าว-ภาพข่าว ที่บ่งบอกหรือสร้างความเข้าใจผิดถึงความรุนแรงของฝ่ายไทย ที่เกินสัดส่วนของการตอบโต้
  5. ตรวจสอบข่าวที่ถูกแชร์ต่อๆ มา ทางโซเชียลมีเดียกับหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงก่อนนำมาเผยแพร่
  6. ไม่ควรนำเสนอข่าวที่มีลักษณะเป็นการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
  7. หลีกเลี่ยงการวิเคราะห์ข่าวโดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน เพราะอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด หรือเกิดความตื่นตระหนก
  8. ระมัดระวังการพาดหัวข่าวที่ใช้ถ้อยคำเกินจริงเพื่อดึงความสนใจ
  9. ไม่สัมภาษณ์ ถ่ายภาพ หรือเปิดเผยภาพเจ้าหน้าที่ในขณะปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงภัย โดยไม่ได้รับอนุญาต
  10. เคารพสิทธิส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่และครอบครัวผู้ที่สูญเสีย
  11. คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ

ที่ประชุมยังมีการหารือและมีข้อเสนอแนะต่อการสื่อสารของหน่วยงานรัฐ ดังนี้

  1. ขอให้หลีกเลี่ยงการนำเสนอข้อมูลที่สร้างด้วย AI
  2. ต้องกำชับการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในทุกช่องทาง ต้องไม่สร้างความสับสนและข้อมูลขัดแย้งกันเอง เพื่อลดความสับสนของประชาชน
  3. ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เผยแพร่ข่าวสาร เพื่อลดการใช้ภาษายั่วยุ รุนแรงและใช้ความคิดเห็นส่วนตัวในการนำเสนอข้อมูลในภาวะที่ประชาชนต้องการข้อเท็จจริง
  4. เสนอให้จัดทำแนวปฏิบัติให้ชัดเจนและสามารถปฏิบัติที่ตรงกันทุกหน่วยงานในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์ปัจจุบัน

วิกฤตทูต-สื่อ-ไซเบอร์และโจทย์ความไว้วางใจในภูมิภาค

การเดินทางของผู้นำไทยไปมาเลเซียครั้งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจตัดสินอนาคตของข้อพิพาท ซึ่งอยู่บนความเปราะบางของความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ขณะที่บทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และการมีส่วนร่วมของมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ และจีน สะท้อนถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อเสถียรภาพระหว่างประเทศ

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา

  • ความจริงใจของคู่เจรจา: ท่าทีไม่มั่นใจในความจริงใจของกัมพูชาและความไม่ไว้วางใจที่สั่งสมมา ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ในการหยุดยิงที่ยั่งยืน
  • วิกฤตการทูตกับเสถียรภาพการเมือง: วิกฤตชายแดนโยงถึงความเปราะบางของรัฐบาลไทย กระทบทั้งการเมืองภายในและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
  • ภัยไซเบอร์-สงครามข้อมูล: สงครามข่าวสารและการโจมตีระบบสื่อด้วยเทคนิค DDoS ยกระดับความซับซ้อนของความขัดแย้งในยุคดิจิทัล
  • บทบาทของสื่อกับจรรยาบรรณ: ข้อเสนอของ 3 องค์กรสื่อ ช่วยลดความสับสน รักษาความน่าเชื่อถือของข้อมูล และป้องกันการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชน

ข้อเสนอแนะต่อทุกภาคส่วน

การเจรจาหยุดยิงนี้จึงต้องอาศัยทั้งความจริงใจของคู่ขัดแย้ง การเป็นกลางของผู้ไกล่เกลี่ย และความรับผิดชอบของสื่อและรัฐในการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง รอบคอบ และลดการยั่วยุ เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์บานปลายจนกระทบต่อชีวิตประชาชนและเสถียรภาพของภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าวต่างประเทศ (AP, Reuters, Nikkei Asia, CNA)
  • สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP)
  • สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • กระทรวงการต่างประเทศไทย
  • รายงานข่าวจากสนามชายแดน/ศูนย์ข่าวมาเลเซีย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ความร่วมมือรอบด้าน RBC ไทย-เมียนมา ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สังคมชายแดนอย่างยั่งยืน

RBC ไทย-เมียนมา จากความมั่นคงชายแดน สู่ความร่วมมือเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนชายแดนที่ยั่งยืน

พลวัตความสัมพันธ์ไทย-เมียนมา RBC ก้าวข้ามขอบเขตทหาร สู่ความร่วมมือรอบด้าน

เชียงใหม่, 15 กรกฎาคม 2568 – ในยุคที่ความมั่นคงของชาติไม่ได้วัดจากอาวุธหรือกำลังทหารเท่านั้น การขับเคลื่อนความร่วมมือชายแดนโดยกลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ไทย-เมียนมา กลับกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความสงบสุขให้กับประชาชนชายแดนทั้งสองประเทศมากว่าทศวรรษ จุดเริ่มต้นของ RBC เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2533 จากบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมา ได้กลายเป็นเส้นทางสายหลักของการสานสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีความหลากหลายเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความซับซ้อนของบริบทพื้นที่

วิวัฒนาการของ RBC จากความมั่นคงทหาร สู่ความมั่นคงชีวิต

หากย้อนไปในอดีต RBC ก่อตั้งขึ้นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาความมั่นคงบริเวณชายแดน เช่น การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การป้องกันการลักลอบเข้าเมือง และการควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบ อย่างไรก็ตาม ตลอด 34 ปีที่ผ่านมา RBC ได้ปรับตัวและขยายขอบเขตความร่วมมือไปไกลกว่ามิติทางทหาร สู่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม มนุษยธรรม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนริมชายแดน ผลลัพธ์สำคัญคือการเปลี่ยนแนวคิด “ชายแดนแห่งภัยคุกคาม” ให้กลายเป็น “ชายแดนแห่งสันติภาพและโอกาส”

องค์ประกอบการขับเคลื่อนกลไก RBC การผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชนเพื่อทุกชีวิตริมชายแดน

โครงสร้างของ RBC ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 นั้นแข็งแกร่งด้วยการมีส่วนร่วมของแม่ทัพภาค ผู้บังคับหน่วยทหาร ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ติดชายแดน และตัวแทนส่วนราชการอื่น ๆ รวมทั้งการประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนและประชาสังคมสองประเทศ กลไกดังกล่าวช่วยให้การแก้ปัญหาและส่งเสริมโอกาสในพื้นที่ชายแดนมีประสิทธิภาพและรอบด้านมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความมั่นคง การค้าชายแดน การท่องเที่ยว การศึกษา หรือการบรรเทาสาธารณภัย

ประชุม RBC ครั้งที่ 37 ตอกย้ำพันธกิจความร่วมมือไทย-เมียนมา

ระหว่างวันที่ 2-4 กรกฎาคม 2568 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค RBC (ไทย-เมียนมา) ครั้งที่ 37 โดยมีพลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 (ฝ่ายไทย) และพลโท ยุ้น วิน ส่วย (ฝ่ายเมียนมา) เป็นประธานร่วม ถือเป็นเวทีสำคัญในการต่อยอดภารกิจและวางแนวทางความร่วมมือในอนาคต ประเด็นหลักที่หารือร่วมกันมีทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และมนุษยธรรม

  • การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำกองทัพ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในทุกระดับ
  • การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และค้ามนุษย์ ร่วมมือกันสกัดภัยคุกคามในพื้นที่ชายแดน
  • การเปิดจุดผ่านแดนเพื่อการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจฐานราก
  • โครงการหมู่บ้านคู่ขนาน ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหมู่บ้านแนวชายแดนสองฝั่ง
  • การแก้ปัญหาความไม่สงบในเมียนมา ป้องกันผลกระทบที่อาจลามถึงความมั่นคงและมนุษยธรรมในไทย
  • การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ร่วมแก้ปัญหาน้ำท่วมและกัดเซาะสองฝั่งแม่น้ำ

RBC ในยุคเปลี่ยนผ่าน โอกาสและความท้าทายของไทย-เมียนมา

สถานการณ์โลกปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ RBC ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความมั่นคงระยะสั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสร้างเสถียรภาพระยะยาวโดยเฉพาะกับ 17 จังหวัดภาคเหนือของไทย RBC คือหลักประกันความมั่นคงชายแดนที่เชื่อมโยงปัจจัยท้องถิ่นกับภูมิภาคและระดับโลกอย่างเป็นระบบ

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ฝ่ายไทย เน้นย้ำความพร้อมของกองทัพบกและภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะสนับสนุนความมั่นคง และบูรณาการกำลังพล ยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการช่วยเหลือประชาชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน สะท้อนบทบาทใหม่ของทหารไทยในฐานะ “ผู้พิทักษ์ประชาชน”

ในมิติการพัฒนาเศรษฐกิจ RBC ส่งเสริมให้เกิดการเปิดจุดผ่านแดน การค้าชายแดนและการลงทุน อันนำไปสู่การสร้างงาน กระจายรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อีกทั้งยังสนับสนุนโครงการหมู่บ้านคู่ขนานและการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมระหว่างกัน

RBC คือโมเดลความร่วมมือชายแดนเพื่ออนาคต

แม้ยังมีความท้าทายจากสถานการณ์ภายในเมียนมาและปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่ซับซ้อน แต่ RBC พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นกลไกแห่งความหวัง ที่ผลักดันให้ชายแดนกลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาส สันติภาพ และความมั่นคงในทุกมิติ

RBC เป็นต้นแบบความร่วมมือข้ามพรมแดนที่สามารถปรับใช้กับภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความซับซ้อนด้านชาติพันธุ์ เศรษฐกิจ หรือปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ หากประเทศเหล่านั้นเลือกสร้างกลไกการพูดคุยร่วมกัน วางพื้นฐานจากความเชื่อใจและยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ความมั่นคงจะขยายไปสู่ความผาสุกของประชาชนทุกชาติอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการ RBC 9 เมษายน 2533
  • ข่าวสารประชาสัมพันธ์ กองทัพภาคที่ 3
  • ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมประชุม RBC ครั้งที่ 37
  • รายงานการประชุม RBC และข้อมูลการพัฒนาชายแดนไทย-เมียนมา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

สหรัฐฯ เก็บภาษี 36% ทั่วหน้า! ผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทยทุกระดับ

วิกฤตภาษี 36% จากสหรัฐฯ บทเรียนสำคัญและผลกระทบที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับเศรษฐกิจไทย

ประเทศไทย, 8 กรกฎาคม 2568 – มาตรการภาษี “ตอบโต้” สหรัฐฯ กับ 36% ที่เขย่าเศรษฐกิจไทย เช้าวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 โลกธุรกิจไทยตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวใหญ่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง สหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าไทยทุกประเภทในอัตราสูงถึง 36% มีผล 1 สิงหาคม 2568 นี่คือการยกระดับมาตรการ “ภาษีตอบโต้” หรือ Reciprocal Tariff ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการปกป้องตลาดสหรัฐฯ ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

ถ้อยแถลงนี้มีผลกระทบทันทีในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมส่งออกของไทย ขณะเดียวกันก็กลายเป็นความกังวลของประชาชนทั่วไปที่อยู่ในสายปฏิบัติการหรือแม้แต่ภาคบริการ เพราะแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ผลกระทบทางอ้อมจากมาตรการนี้จะแผ่ขยายในวงกว้างและลึกถึงเศรษฐกิจฐานราก

ที่มาและบริบท “ภาษี 36%” – อะไรทำให้ไทยกลายเป็นเป้า?

โดยปกติ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยตามพิกัดศุลกากรปกติ (เฉลี่ย 0-5%) บางประเภทต่ำถึงศูนย์ บางประเภทในกลุ่มเปราะบางอาจสูงขึ้น แต่ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามกติกา WTO หรือข้อตกลงทวิภาคี

มาตรการ 36% รอบนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง เป็นภาษีแบบ “เหมารวม” ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท สะท้อนท่าทีใหม่ที่ “แรง” กว่าทุกครั้งในอดีต จุดเริ่มต้นจากนโยบาย “America First” ที่ต้องการลดดุลการค้าขาดดุลกับต่างชาติ โดยอ้างว่าประเทศคู่ค้าเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ สูงเกินควร จึงต้องเรียกเก็บคืนแบบเท่าเทียม สัญญาณนี้หนักแน่นผ่านจดหมายถึงผู้นำ 14 ประเทศ ซึ่งไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ถูกเก็บ 36% พร้อมกัมพูชา ในขณะที่ ลาวและเมียนมา ถูกเรียกเก็บ 40% ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย 25-30% สะท้อนเจตนาชัดว่าต้องการทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้าใหม่หมด

จากห่วงโซ่โลกถึงร้านค้าปลีกในเชียงราย

ผลกระทบต่อการส่งออกไทย

  • สหรัฐฯ คือคู่ค้าสำคัญอันดับต้นของไทย คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการส่งออกไทย (ปี 2567 มูลค่ากว่า 48,000 ล้านดอลลาร์)
  • สินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบตรง: อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยางพารา ฯลฯ
  • การเก็บภาษี 36% ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นทันที โอกาสแข่งขันกับเวียดนาม เม็กซิโก หรือแม้แต่สินค้าจีนที่อาจเจรจาผ่อนปรนสำเร็จ จะน้อยลง คำสั่งซื้อใหม่จะถูกย้ายฐานไปประเทศอื่น
  • ผลกระทบลูกโซ่: โรงงานขนาดใหญ่ที่ผลิตเพื่อส่งออกอาจลดกำลังการผลิต เลิกจ้างแรงงาน หรือหยุดการขยายการลงทุนโดยตรง (FDI) ในไทย
  • ภาพรวม GDP ไทยปี 2568 อาจหดตัว 0.3-1.2% หากภาษีนี้คงอยู่ยาวเกิน 6 เดือน (ประมาณการโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ)

กระทบต่อแรงงานและครอบครัว

  • อุตสาหกรรมส่งออกจ้างงานโดยตรงกว่า 3.5 ล้านคน เฉพาะกลุ่มโรงงานใหญ่รอบ กทม.-ภาคตะวันออก
  • ถ้าเพียง 5% ของแรงงานกลุ่มนี้ว่างงาน จะมีผู้ว่างงานใหม่ 175,000 คน ภายในปีเดียว กดดันหนี้ครัวเรือน-ตลาดแรงงานและระบบเงินกู้ในภูมิภาค

ทบถึงภาคเกษตรและเชียงราย

  • เชียงราย แม้ไม่ใช่ฐานการผลิตหลักของสินค้าส่งออกอุตสาหกรรม แต่เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ ที่ส่งผลผลิตป้อนโรงงานในภาคกลางและตะวันออก หากโรงงานเหล่านั้นลดคำสั่งซื้อ ราคาสินค้าเกษตรจะตกต่ำ กระทบรายได้เกษตรกรโดยตรง
  • หากคนงานที่กลับภูมิลำเนาเดิม (เช่นจากสมุทรปราการ ชลบุรี) มีรายได้ลดลง ย่อมทำให้กำลังซื้อภายในพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ซ้ำเติมเศรษฐกิจฐานราก

ผลต่อการท่องเที่ยวและบริการ

  • เมื่อรายได้ประชาชนโดยรวมลดลง การเดินทางท่องเที่ยว การใช้บริการในโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่นย่อมซบเซาตาม ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่จะลดลง การขยายกิจการใหม่ในจังหวัดชะลอตัว

การค้าชายแดน

  • เชียงรายเป็นประตูโลจิสติกส์ไทย-ลาว-เมียนมา เมื่อเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว การค้าชายแดน, การขนส่ง, ธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งขาเข้า-ออกย่อมได้รับผลกระทบตามมา

ไทยควรรับมืออย่างไร?

รัฐบาลต้องเร่งเจรจาและแสวงหาข้อยุติใหม่

  • เร่งเดินหน้าเจรจากับ USTR, ใช้กลยุทธ์ “แลกเปลี่ยน” ลดภาษีสินค้าอเมริกันบางรายการ, เปิดตลาดใหม่ในอาเซียน-ตะวันออกกลาง และเร่งหาพันธมิตรการค้าใหม่รองรับ
  • ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม พัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะภาคบริการ เกษตรแปรรูป และการท่องเที่ยว

ประชาชนควรบริหารการเงินอย่างรัดกุม

  • มีเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือน ลดภาระหนี้ระยะสั้น สำรวจรายจ่ายอย่างมีวินัย
  • อาชีพเสริม/Reskill คือทางรอดใหม่ ต้องเปิดใจเรียนรู้ทักษะที่ตลาดต้องการหรือสร้างรายได้เสริมผ่านออนไลน์

ธุรกิจท้องถิ่นและเกษตรกรควรขยายตลาดและพัฒนานวัตกรรม

  • ผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคภายในประเทศมากขึ้น และหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นช่องทางหลัก
  • กลุ่มเกษตรกรอาจรวมกลุ่มผลิต-ขายตรงให้กับผู้บริโภคในเมือง ลดการพึ่งพาโรงงานขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว

ภาครัฐส่วนภูมิภาค

  • เร่งอบรมอาชีพ-Reskill ให้กับแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ
  • จัดกิจกรรมส่งเสริมท่องเที่ยว-ตลาดนัดสินค้าเกษตร เพิ่มโอกาสขายในจังหวัด สร้างแรงจูงใจให้คนไทยท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น

วิกฤตภาษี 36% – โจทย์ท้าทายที่คนไทยต้อง “ร่วมมือ” ฝ่าวิกฤต

แม้มาตรการภาษี 36% จากสหรัฐฯ คือความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในรอบทศวรรษ แต่มันคือบทเรียนสำคัญว่าประเทศที่พึ่งพาการส่งออกและตลาดเดิมมากเกินไปมีจุดเปราะบางสูง โลกใหม่หลังปี 2568 จะยิ่งแข่งกันดุและเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งขึ้น รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนต้องเร่งปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งการต่อรองเจรจา คิดตลาดใหม่ หาช่องทางเสริมรายได้ พร้อมกับวินัยการเงินและนวัตกรรมในชีวิตประจำวัน

วิกฤตนี้หนักหนาแต่ไม่ใช่จุดจบ หากเราร่วมมือกัน สร้างภูมิคุ้มกันใหม่ให้ประเทศและเศรษฐกิจฐานราก สังคมไทยจะผ่านพ้นและยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานนโยบาย “ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)” โดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ CNBCTV
  • ข้อมูลเศรษฐกิจจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC)
  • สถิติแรงงานจากกระทรวงแรงงาน
  • รายงานธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  • ข้อมูลภาคส่งออกและการคาดการณ์ GDP จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ (TDRI, EIC)
  • ข่าวการแถลงของนายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง (7 ก.ค. 68)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เวียดนามพุ่งทะลุเป้า! เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อน GDP แซงไทยผู้นำภูมิภาค

เศรษฐกิจเวียดนามผงาด เครื่องยนต์ไฮเทคขับเคลื่อนทะลุเป้า ส่งออกโตกระฉูด ‘แซงไทย’ พร้อมก้าวขึ้นแท่นผู้นำภูมิภาค”

ฮานอย เวียดนาม, 7 กรกฎาคม 2568 –Reporter Journey รายงานว่าการผงาดขึ้นของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2025 กลายเป็นประเด็นจับตาของทั้งภูมิภาคอาเซียนและเศรษฐกิจโลก หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO) เผยตัวเลขไตรมาส 2 ปี 2025 ว่า GDP เวียดนามขยายตัวสูงถึง 7.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่ GDP ไตรมาสแรกอยู่ที่ 6.93% ถือเป็นอัตราเติบโตที่สูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน สะท้อนถึงพลังการขับเคลื่อนของภาคอุตสาหกรรมและส่งออกซึ่งเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ของเวียดนาม

ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก เบื้องหลังสถิติที่น่าทึ่ง

รายงานล่าสุดระบุว่า มูลค่าการส่งออกของเวียดนามในช่วงไตรมาส 2 ปี 2025 พุ่งขึ้น 18.0% อยู่ที่ 117,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 18.8% อยู่ที่ 112,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้เวียดนามยังคงรักษาสถานะ “เกินดุลการค้า” ได้ถึง 4,410 ล้านดอลลาร์ สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการแข่งขันของสินค้าเวียดนามในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ ภาคการผลิต ขยายตัวถึง 10.3% ในไตรมาสเดียวกัน สวนกระแสความท้าทายทางเศรษฐกิจโลกในยุคหลังโควิด-19 และวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์

พระเอกของเกม อุตสาหกรรมไฮเทค-เซมิคอนดักเตอร์และบทบาทต่างชาติ

จุดเปลี่ยนสำคัญของเวียดนามในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คือการยกระดับภาคการผลิตให้เข้าสู่อุตสาหกรรมไฮเทคและเซมิคอนดักเตอร์ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่ เช่น Samsung ได้ตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในเวียดนามจนปัจจุบันมือถือ Samsung กว่า 60% ที่จำหน่ายทั่วโลก ผลิตจากเวียดนาม ขณะที่ Apple ก็ขยับฐานการผลิต iPhone และ iPad จากจีนมายังเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Foxconn, Nvidia, Intel ต่างเข้ามาตั้งโรงงานเพื่อผลิตไมโครชิปและชิ้นส่วนส่งออกไปตลาดโลก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกปี 2024 ของเวียดนามพุ่งแตะ 403,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เติบโตสูงถึง 13.8% แซงหน้าประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในปีเดียวกันที่ 305,529 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพียง 5.4% ชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมมูลค่าสูงของเวียดนาม

จุดเปลี่ยนสำคัญ สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้า หนุนการค้าเวียดนามสู่โลก

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเวียดนามไม่ได้เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการภายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ เช่น ข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาในการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าเวียดนามจาก 46% เหลือเพียง 20% ขณะที่สินค้าจากประเทศอื่นยังเสียภาษีถึง 40% นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังอนุญาตให้ส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยไม่เสียภาษีอีกด้วย

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่าข้อตกลงนี้เปรียบเสมือน “ใบเบิกทาง” ให้ภาคธุรกิจเวียดนามขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทค ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของเวียดนามอยู่แล้ว สะท้อนจากสถิติปี 2024 ที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามถึง 123,000 ล้านดอลลาร์ สูงสุดในประวัติการณ์

รายได้ต่อหัวพุ่งแรง เวียดนามแคบช่องว่างกับไทย-อินโดนีเซีย

ผลพวงจากการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงรุก ทำให้ รายได้ต่อหัว (GNI per capita) ของชาวเวียดนามในปี 2025 ขยับขึ้นเป็น 4,806 ดอลลาร์/ปี (จาก 4,540 ดอลลาร์ในปี 2024) ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียซึ่งอยู่ที่ 5,027 ดอลลาร์/ปี และเป็นอัตราการเติบโตของรายได้ประชาชาติที่เร็วที่สุดในอาเซียน

เทียบกับไทย แม้ว่ารายได้ต่อหัวของไทยในปี 2025 จะคาดว่าอยู่ที่ 7,766.7 ดอลลาร์/ปี แต่แนวโน้มการแคบช่องว่างชัดเจน เมื่อรายได้ต่อหัวเวียดนามคิดเป็น 62% ของไทย และยังมีแนวโน้มเติบโตเร็วกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้

การวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายข้างหน้า

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ

  • นโยบายดึงดูด FDI เชิงรุก: เวียดนามตั้งเป้าเป็น “ศูนย์กลางการผลิตโลกใหม่” ด้วยแพ็กเกจจูงใจด้านภาษี สิทธิประโยชน์ทางธุรกิจ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
  • แรงงานคุณภาพ-ค่าแรงแข่งขัน: เวียดนามมีแรงงานหนุ่มสาวจำนวนมาก ต้นทุนค่าแรงต่ำแต่ศักยภาพสูง ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
  • ความคล่องตัวของรัฐบาล: รัฐบาลเวียดนามบริหารจัดการเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูงในการรับมือวิกฤต

ความท้าทายที่ต้องระวัง

  • ความเหลื่อมล้ำและค่าแรง: แม้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตแต่ยังมีช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบท และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้
  • แรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์: การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของเวียดนามในอนาคต
  • สิ่งแวดล้อมและสังคม: อุตสาหกรรมไฮเทคสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ
  • ทักษะแรงงานในอนาคต: เวียดนามจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาแรงงานทักษะสูงและการศึกษา เพื่อรองรับอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

เวียดนามกำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” แห่งเศรษฐกิจเอเชีย

กรณีศึกษาของเวียดนามในไตรมาส 2 ปี 2025 สะท้อน “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” ของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้รองรับโลกใหม่ได้อย่างคล่องตัว ไม่เพียงแต่ยึดครองตลาดอิเล็กทรอนิกส์และไฮเทคระดับโลก แต่ยังขยับรายได้ประชาชาติต่อหัวแซงหน้าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาค เป็นบทเรียนสำคัญว่าประเทศขนาดกลางก็สามารถ “ผงาดขึ้น” ได้ถ้าปรับตัวทันต่อเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม (NSO)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • ข้อมูลประกอบจากสำนักข่าวระดับนานาชาติ เช่น Nikkei Asia, Reuters, VnExpress, BBC Vietnamese
  • วิเคราะห์โดยทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เทรนด์ใหม่จีน! ‘เพื่อนเที่ยว’ บูม ดันเศรษฐกิจกว่า 5 หมื่นล้านหยวน

เพื่อนเที่ยว” เทรนด์ท่องเที่ยวใหม่จีนมาแรง หนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ยุคดิจิทัล คาดปี 2025 มูลค่าตลาดแตะ 5 หมื่นล้านหยวน

สาธารณรัฐประชาชนจีน, 13 มิถุนายน 2568 –ในยุคที่เศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมผู้บริโภครุ่นใหม่กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของจีนอย่างก้าวกระโดด “เพื่อนเที่ยว” หรือ “Companion Guide” ได้กลายเป็นอาชีพใหม่ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่นักเดินทางอายุน้อย โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานและนักศึกษาที่กำลังแสวงหาประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว

จุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ – เมื่อความเหงาและการแบ่งปันประสบการณ์คือคีย์เวิร์ด

รายงานพิเศษโดยแชนแนลนิวส์เอเชีย สะท้อนภาพความนิยมของอาชีพ “เพื่อนเที่ยว” ในเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว และเมืองรีสอร์ตระดับโลก ซึ่งบริการหลักของ “เพื่อนเที่ยว” คือการพาลูกค้าเดินทางท่องเที่ยว ถ่ายรูป พูดคุย รับประทานอาหาร หรือแม้แต่เป็นไกด์ส่วนตัวในสวนสนุกระดับโลกอย่างดิสนีย์แลนด์ เซี่ยงไฮ้ ที่มีขนาดกว่า 4 ตารางกิโลเมตร
เฉิน จื่อผิง นักศึกษามหาวิทยาลัยวัย 21 ปี เปิดเผยว่าตนเองเริ่มรับงานเป็น “เพื่อนเที่ยว” ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ก่อนจะกลายเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้จริงจัง ด้วยค่าบริการเริ่มต้น 1,000 หยวนต่อวัน (ประมาณ 4,900 บาท) โดยมีลูกค้าเป็นทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเดี่ยวและครอบครัวที่ต้องการความสะดวกและบรรยากาศของการท่องเที่ยวที่เหมือนกับมีเพื่อนสนิทไปด้วย
“คนส่วนใหญ่มักมาเที่ยวสวนสนุกเป็นกลุ่มหรือคู่รัก แต่สำหรับนักเดินทางคนเดียว บริการนี้ช่วยให้เขาไม่เหงา แถมได้เก็บภาพประทับใจและสนุกกับเครื่องเล่นอย่างเต็มที่” เฉินกล่าว

ไลฟ์สไตล์รุ่นใหม่ – “ใช้เงินเพื่อประสบการณ์”

ผลสำรวจโดย Fudan Development Institute พบว่าวัยรุ่นและกลุ่มคนรุ่นใหม่ในจีนยุคหลังโควิด-19 มีแนวโน้มใช้จ่ายกับ “ประสบการณ์ที่จับต้องได้” เช่น การท่องเที่ยวและรับประทานอาหาร มากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น บ้านหรือรถยนต์ ทั้งนี้มีปัจจัยสนับสนุนจากโครงสร้างวันลาพักร้อนที่มีจำกัด โดยพนักงานรุ่นใหม่ในจีนมักได้วันหยุดปีละเพียง 5 วัน
ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคจึงเลือกใช้เงินแลกกับการเที่ยวแบบ “ครบ จบ คุ้ม” แม้สวนสนุกดิสนีย์แลนด์จะมีบริการ VIP Tour โดยตรง แต่ด้วยราคาขั้นต่ำถึง 4,400 หยวนต่อคน (ประมาณ 19,800 บาท) จึงผลักดันให้ “เพื่อนเที่ยว” แบบอิสระได้รับความนิยมแทนเพราะตอบโจทย์ความยืดหยุ่นและราคาที่เอื้อมถึงมากกว่า

เปิดโอกาสใหม่ สร้างรายได้เสริม-แก้ปัญหาว่างงาน

ในกลุ่มผู้ให้บริการ พบว่านักศึกษาหรือคนวัยทำงานอายุน้อยสามารถสร้างรายได้ 500–1,000 หยวนต่อวัน ซึ่งสูงกว่ารายได้งานประจำในบางสาขา เช่น หาว เยว่ สาววัย 23 ปีในเซี่ยงไฮ้ ที่เลือกลาออกจากงานประจำในบริษัทสื่อเพื่อรับจ้างเป็นเพื่อนเที่ยวอย่างเต็มตัว โดยสามารถคิดค่าบริการวันละ 500 หยวน หรือเฉลี่ย 80 หยวนต่อชั่วโมง ซึ่งมีความยืดหยุ่นและให้ความสุขกับผู้ให้บริการไม่น้อย
ขณะที่ผลการศึกษาของ Sinolink Securities ระบุว่า เศรษฐกิจ “เพื่อนเที่ยว” ในจีนอาจมีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 หมื่นล้านหยวน (ราว 260,000 ล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งอาจช่วยดึงกลุ่มวัยรุ่นอายุ 16-24 ปีที่ปัจจุบันมีอัตราว่างงานกว่า 15.8% ให้เข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่ๆ ที่สอดรับกับวิถีชีวิตสมัยใหม่

เสียงสะท้อนจากลูกค้า – “เหมือนได้เพื่อนใหม่จริงๆ”

หนึ่งในลูกค้าผู้ใช้บริการนี้ คือ คุณสือ หยุนหลิน ครูสาววัย 23 ปีจากเสิ่นหยาง ที่เดินทางกว่า 2,000 กิโลเมตรมาเซี่ยงไฮ้เพื่อเข้าดิสนีย์แลนด์ แต่เพื่อนร่วมทริปติดภารกิจจึงตัดสินใจจ้าง “เพื่อนเที่ยว” ผ่านโซเชียลมีเดีย “มันดีมากที่มีคนคอยพูดคุยและเที่ยวด้วยกัน เหมือนมาเที่ยวกับเพื่อนสนิทจริงๆ ไม่เหงาและได้เก็บประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างเต็มที่”

วิเคราะห์และทิศทางอนาคต – เทรนด์นี้จะไปได้ไกลแค่ไหน?

การเติบโตของอาชีพ “เพื่อนเที่ยว” สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการท่องเที่ยวในโลกยุคดิจิทัล ที่ผู้คนแสวงหาประสบการณ์ตรงมากกว่าทรัพย์สินถาวร ความสะดวก รวดเร็ว และความรู้สึกปลอดภัยจากการมีเพื่อนท้องถิ่นคอยดูแล ตอบโจทย์กลุ่มนักเดินทางเดี่ยวและนักท่องเที่ยวต่างถิ่นได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ แหล่งงานใหม่เหล่านี้ยังเป็นทางออกหนึ่งของปัญหาว่างงานในวัยรุ่น ขณะที่ภาครัฐและผู้ประกอบการควรสนับสนุนการออกแบบมาตรฐานความปลอดภัย กฎเกณฑ์การให้บริการ และช่องทางสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ทั้งในตลาดจีนและประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพในอนาคต

สรุป

“เพื่อนเที่ยว” ไม่ใช่เพียงทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวจีน แต่เป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ยุคดิจิทัลที่สร้างโอกาสให้ทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 ปีนี้ ตลาดจะเติบโตต่อเนื่องและกลายเป็นโมเดลอาชีพใหม่ที่พลิกโฉมการท่องเที่ยวในเอเชียอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

อังกฤษพิจารณาจำกัดเวลาโซเชียลเด็ก หวังลดภัยออนไลน์

อังกฤษจ่อบังคับใช้กฎหมายจำกัดเวลาเล่นโซเชียลมีเดียของเด็ก หลังเกิดกรณีสูญเสียจากเนื้อหาทำร้ายจิตใจออนไลน์

ลอนดอน – 8 มิถุนายน 2568 รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการออกกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการใช้งานโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบด้านสุขภาพจิตและความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทอย่างสูงต่อพฤติกรรมและการพัฒนาทางอารมณ์ของเด็ก

ตามรายงานของ BBC เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แนวนโยบายล่าสุดซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำร่างข้อเสนอ อาจรวมถึงการกำหนดขีดจำกัดเวลาใช้งานแอปโซเชียลมีเดียไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันต่อแอป และห้ามใช้งานหลังเวลา 22:00 น. ซึ่งถูกเสนอครั้งแรกโดยหนังสือพิมพ์ Sunday People และ The Mirror โดยรัฐบาลอังกฤษมองว่าโซเชียลมีเดียมีลักษณะ “เสพติด” และอาจก่อผลร้ายได้หากไม่มีการควบคุมอย่างเป็นระบบ

รัฐมนตรีเทคโนโลยีอังกฤษย้ำถึงความจำเป็นในการควบคุม “แอปเสพติด”

นายปีเตอร์ ไคล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยี ให้สัมภาษณ์ในรายการ Sunday with Laura Kuenssberg ของ BBC ว่ารัฐบาลอังกฤษกำลังตรวจสอบ “ธรรมชาติของความเสพติดจากแอปและสมาร์ตโฟน” พร้อมยืนยันว่ากำลังพิจารณาอย่างรอบคอบว่ารัฐบาลควรมีบทบาทอย่างไรในการวางแนวทางสุขภาวะออนไลน์ที่ดีสำหรับเด็ก

แม้แนวนโยบายดังกล่าวจะสะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการยกระดับมาตรการคุ้มครองเยาวชน แต่กลับได้รับเสียงวิพากษ์จากกลุ่มผู้รณรงค์ด้านความปลอดภัยออนไลน์ที่มองว่าการดำเนินการยังล่าช้าเกินไป

พ่อเด็กหญิงวัย 14 ผู้เสียชีวิตจากเนื้อหาออนไลน์เรียกร้อง “กฎหมายที่แข็งแรงกว่านี้”

เอียน รัสเซล พ่อของ “มอลลี รัสเซล” เด็กหญิงวัย 14 ปีซึ่งเสียชีวิตหลังรับชมเนื้อหาที่เป็นอันตรายบนโซเชียลมีเดีย กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทุกวันที่รัฐบาลชะลอการออกกฎหมายด้านความปลอดภัยทางออนไลน์ คือวันที่เราเห็นเด็กเสียชีวิตและบอบช้ำทางจิตใจเพิ่มขึ้น” โดยเขาเน้นว่า มาตรการครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เพียงพอในการจัดการกับผลิตภัณฑ์หรือโมเดลธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับ “การมีส่วนร่วมมากกว่าความปลอดภัย”

นายรัสเซลเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนกฎหมาย Online Safety Act ฉบับก่อนหน้า และระบุว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี “กฎหมายที่เข้มแข็งและบังคับใช้ได้จริง” พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับ “คลื่นอันตราย” ทางออนไลน์ที่ถาโถมเข้าใส่เด็กทั่วประเทศ

รัฐบาลตอบโต้ กฎหมายเดิมยังไม่ประกาศใช้เต็มรูปแบบ

ในขณะเดียวกัน นายไคล์ยอมรับว่าตนยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของแผนใหม่ได้มากนัก เนื่องจากกฎหมาย Online Safety Act 2023 ที่ออกโดยรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เริ่มบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้แพลตฟอร์มจัดแสดงเนื้อหาที่เหมาะสมกับอายุ และการลบเนื้อหาผิดกฎหมาย

เขาย้ำว่า “ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป แพลตฟอร์มจะต้องจัดหาเนื้อหาที่เหมาะสมกับเด็ก หากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษทางอาญา” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการบังคับใช้ที่ครอบคลุมทั้งผู้ให้บริการและเนื้อหาที่เผยแพร่

เมื่อเสรีภาพทางดิจิทัลต้องสมดุลกับความปลอดภัยของเยาวชน

ในโลกดิจิทัลที่การเชื่อมต่อและการเข้าถึงข้อมูลเกิดขึ้นอย่างไร้ขอบเขต เสรีภาพทางออนไลน์คือหนึ่งในหลักการพื้นฐานของยุคปัจจุบัน ทว่ากรณีของมอลลี รัสเซล และเด็กอีกหลายพันคนที่ได้รับผลกระทบจากเนื้อหาออนไลน์อันตราย กลับชี้ให้เห็นว่าการปล่อยให้บริษัทเทคโนโลยีดำเนินการโดยไม่มีกรอบควบคุมคือความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสังคมในอนาคต

มาตรการที่กำลังพิจารณาโดยรัฐบาลอังกฤษ แม้ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็สะท้อนถึงทิศทางที่ชัดเจนว่ารัฐจะไม่เพิกเฉยต่อความทุกข์ของครอบครัวและเด็กที่ถูกปล่อยให้อยู่เพียงลำพังท่ามกลางความซับซ้อนของโลกออนไลน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ช่องบกคลี่คลาย! ทหารกัมพูชากลบหลุม-ถอยกำลัง หวังเจรจา JBC

ทหารเขมรถอยทัพจากช่องบก ไทยเดินหน้ากลไก JBC ลดตึงเครียดชายแดน

สถานการณ์ชายแดนช่องบกคลี่คลาย ไทย-กัมพูชาเห็นพ้องถอยกำลัง

อุบลราชธานี,8 มิถุนายน 2568 – ที่บริเวณ “ช่องบก” พื้นที่รอยต่อชายแดนไทย-ลาว-กัมพูชา ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์ที่ตึงเครียดจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนเริ่มคลี่คลาย หลังการเจรจาระดับสูงระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชา ส่งผลให้ฝ่ายกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังแนวเดิมตามที่เคยตกลงกันไว้ในปี 2567

ย้ำแนวทางสันติวิธี กลบคูเลตคืนสู่สภาพธรรมชาติ

จากการหารือระหว่าง พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ พลโท สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้ข้อสรุปว่าฝ่ายกัมพูชาจะถอยกำลังจากบริเวณต้นพญาสัตบรรณกลับไปยังแนวศาลาตรีมุข และดำเนินการกลบ “คูเลต” ที่มีลักษณะเป็นร่องแนวการวางกำลังคืนให้สภาพพื้นที่เดิม

ใช้กลไก TBC สร้างความเข้าใจ ลดความเข้าใจผิด

ทั้งสองฝ่ายตกลงใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เป็นช่องทางหลักในการพูดคุย เพื่อป้องกันเหตุการณ์เข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าในอนาคต โดยจะมีการพบปะกันของกำลังทหารสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ลดการยั่วยุ และเปิดพื้นที่ให้กับแนวทางสันติ

28 พ.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร
8 มิ.ย.68 ทหารฝ่ายกัมพูชา ปิดกลบคูเลต ปรับพื้นที่ อยู่ในสภาพเดิม ทำให้ปัจจุบันกองกำลังทั้งสองฝ่าย ได้ถอยกำลัง กลับไปยังจุดเดิมแล้ว

รัฐบาลย้ำไทยรักสงบ แต่ไม่ยอมให้รุกล้ำอธิปไตย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าทั้งสองฝ่ายมีความพยายามลดความตึงเครียดและหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี พร้อมชื่นชมการปฏิบัติงานของทหารไทยที่อดทน อดกลั้น และยึดหลักสันติภาพ โดยกองทัพบกไทยได้ออกลาดตระเวนร่วมกับกัมพูชา ตรวจสอบการถอยทัพและการกลบคูเลตตามที่ตกลงไว้

นายกรัฐมนตรีหญิงโพสต์ย้ำความคืบหน้า สันติภาพคือเป้าหมาย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านสื่อโซเชียลว่ารัฐบาลไทยได้หารือร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาและมีความคืบหน้าในการลดบรรยากาศการเผชิญหน้า โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะใช้กลไก JBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาในระดับนโยบาย ซึ่งจะมีการหารือในวันที่ 14 มิถุนายน 2568

ย้ำมาตรการกดดันต่อในพื้นที่อื่นที่ยังตึงเครียด

แม้สถานการณ์ช่องบกจะคลี่คลายลง แต่ยังมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชายังคงวางกำลังในจุดอื่นตามแนวชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยจะเดินหน้ากดดันต่อผ่านการเจรจาเชิงยุทธศาสตร์และการทูต ทั้งนี้ กองทัพยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมรับมือหากเกิดเหตุที่กระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน

แนวโน้มการเจรจา JBC ความหวังใหม่ของสันติภาพ

การประชุม JBC วันที่ 14 มิถุนายน 2568 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะสามารถยุติความขัดแย้งในจุดที่ยังตกลงกันไม่ได้ และวางแนวทางจัดการเขตแดนร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลไทยตั้งเป้าว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

ความร่วมมือคือคำตอบของอนาคต

การถอยทัพของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ไม่เพียงลดความตึงเครียดในพื้นที่พิพาท แต่ยังเป็นสัญญาณบวกถึงการเปิดใจพูดคุยของทั้งสองประเทศ เพื่อวางแนวทางแก้ปัญหาเขตแดนอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของความเคารพอธิปไตยและสันติภาพระหว่างกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทัพบกไทย (Army PR Department)
  • กระทรวงกลาโหม
  • สำนักงานคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา (JBC)
  • โพสต์ทางการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร
  • รายงานข่าวจากกองกำลังสุรนารี วันที่ 8 มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News