Categories
TOP STORIES

ป.ป.ช.ชี้ 3 จุดเสี่ยงทุจริตงานประเพณีท้องถิ่น ดันมหาดไทยแก้ระบบสู่ความโปร่งใส

ป.ป.ช. “จี้จุดเสี่ยง” งานประเพณีท้องถิ่น ชี้ช่องโหว่ทุจริต 3 แกนหลัก—ดันชุดมาตรการเชิงระบบ มหาดไทยถูกระบุบทบาท “แม่งาน” ขับเคลื่อนสู่ความโปร่งใสเพื่อประชาชน

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 — ในรอบหลายปีที่ผ่านมา งานประเพณีและเทศกาลท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ถูกจับตามองว่าเป็น “จุดเปราะบาง” ของวินัยการเงินการคลัง—ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้างแบบยกเว้นแข่งขัน ไปจนถึงการปล่อยให้เอกชนผูกขาดรายได้ในพื้นที่จัดงาน และการใช้ที่ดินสาธารณะโดยขาดการอนุญาตที่ถูกต้อง ผลคือรัฐเสียโอกาสจัดเก็บรายได้ ประชาชนและผู้ค้าท้องถิ่นเผชิญต้นทุนสูงขึ้น ความศรัทธาต่อภาครัฐถูกกัดกร่อน

บนฉากทัศน์ดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงจัดทำ “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานของ อปท.—กรณีศึกษา: การจัดงานประเพณี” เสนอไปยังฝ่ายนโยบาย โดยระบุความเสี่ยงหลัก 3 ประเด็น พร้อมมาตรการเชิงระบบ เทคโนโลยี และธรรมาภิบาลให้หน่วยงานกลาง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย (มท.) ถือธงบูรณาการร่วมกระทรวงการคลังและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) เพื่อยกระดับความโปร่งใสทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ก่อน-ระหว่าง-หลังการจัดงานประเพณีในพื้นที่ทั่วประเทศ

ป.ป.ช. เปิด 3 ช่องโหว่—ชี้ทิศแก้เกม “จัดงานประเพณี” ให้คล่องและโปร่งใส

หนึ่ง—การจัดซื้อจัดจ้างโดยมิชอบ: ป.ป.ช. ระบุว่าในทางปฏิบัติ หลายพื้นที่หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ใช้วิธีคัดเลือก/วิธีพิเศษบ่อยครั้ง ขณะที่ขอบเขตงาน (TOR) ไม่ชัดเจนพอ ทำให้ดุลพินิจ “ลื่นไหล” และเสี่ยงเอื้อผู้รับจ้างหน้าเดิม ป.ป.ช. เสนอให้ยึดกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ศ. 2560 และมาตรฐาน TOR ตามหนังสือ กค (กวจ) 0405/ว 159 ที่ระบุสาระจำเป็นของ TOR ตั้งแต่ความเป็นมา วัตถุประสงค์ คุณสมบัติผู้ยื่นข้อเสนอ ไปจนถึงคุณลักษณะเฉพาะของงาน เพื่อให้ตัดสินได้บนหลักเกณฑ์วัดผล ไม่ใช่ความเห็นส่วนบุคคล

สอง—การจัดการรายได้งานประเพณีรั่วไหล เมื่อมอบสิทธิแก่เอกชนบริหารพื้นที่—ค่าที่จอดรถ ค่าเช่าแผงค้า ค่าบริการสุขา ฯลฯ—พบรูปแบบให้เอกชนผูกขาดเก็บรายได้เอง ขณะที่ อปท. ไม่ได้กำกับอัตราค่าธรรมเนียมอย่างเป็นธรรม ส่งผลให้รายได้รัฐหดหาย ผู้ค้าท้องถิ่นเสียเปรียบ ป.ป.ช. แนะให้ อปท. เปิดเผยโครงสร้างรายได้-รายจ่าย ข้อสัญญา และผลการดำเนินงานบนเว็บไซต์/ป้ายประกาศ เพื่อให้ชุมชนร่วมตรวจสอบได้ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดแนวทางตรวจสอบภายในประจำปีสำหรับกิจกรรมที่มีรายได้เกิดขึ้นโดยตรงจากประชาชน

สาม—การใช้ที่ดินสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต: ป.ป.ช. ชี้ว่า การใช้อุทยาน สวนสาธารณะ หรือที่ราชพัสดุจัดงานโดยไม่ผ่านการอนุญาตที่ถูกต้อง ทำให้รัฐเสียสิทธิและอาจเกิดข้อพิพาทกับหน่วยงานผู้ดูแล พ่วงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม จึงเสนอให้ อปท. ทำแผนที่ สอบเขตผู้ครอบครองสิทธิ และขออนุญาตล่วงหน้าตามขั้นตอน เพื่อปิดช่องว่างและสร้างความชัดเจนต่อสาธารณะ

กรอบกฎหมายและคู่มือปฏิบัติ “โครง” มีแล้ว—ต้อง “ยึด” ให้เป็นวินัยเดียวกัน

ในทางกรอบ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะ การส่งเสริมกีฬา และการแข่งขันกีฬาของ อปท. พ.ศ. 2564 วางหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายและการเบิกจ่ายไว้อย่างครอบคลุม—ตั้งแต่วิธีอนุมัติ การวางแผนงบประมาณ ไปจนถึงหลักฐานการจ่ายเงินและการตรวจรับงาน หากบังคับใช้อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้การจัดงานประเพณีเป็น “บริการสาธารณะ” ที่ตั้งอยู่บนการใช้เงินแผ่นดินอย่างคุ้มค่าและตรวจสอบได้ (มีเอกสารเผยแพร่มาตรฐานโดยหน่วยงานท้องถิ่นและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อใช้เป็นคู่มือ)

ขณะเดียวกัน หนังสือด่วนที่สุดของกรมบัญชีกลาง กค (กวจ) 0405/ว 159 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2566 กำหนดสาระสำคัญ TOR ที่หน่วยงานต้องจัดทำให้ครบถ้วน—เป็น “เช็กลิสต์” ที่ลดดุลพินิจส่วนบุคคล และยกระดับคุณภาพการเทียบข้อเสนอ โดยเฉพาะงานขนาดใหญ่ที่มีรายได้แฝงจากกิจกรรมพาณิชย์ (ค่าแผง ค่าโฆษณา ฯลฯ) การใช้ TOR ตามแบบแนะนำจึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำสัญญาที่เที่ยงธรรมและโต้แย้งได้ด้วยข้อมูล

กลไกความโปร่งใส เปิดข้อมูล–เปิดเวทีชุมชน–เปิดประตูตรวจสอบ

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. เน้น “เปิดข้อมูลเชิงรุก” เป็นมาตรการแกน—เผยแพร่ประกาศเชิญชวน ร่าง TOR แบบร่างสัญญา ราคากลาง รายงานผลการคัดเลือก แผนผังพื้นที่จัดงาน ปฏิทินงาน รายได้–รายจ่าย และเอกสารเบิกจ่ายที่เกี่ยวข้อง—ซึ่งสอดรับกับชุดตัวชี้วัด ITA (Integrity and Transparency Assessment) ที่ ป.ป.ช. ใช้ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสหน่วยงานรัฐทั่วประเทศทุกปี การยกระดับคะแนน ITA จึงไม่ใช่ “แค่คะแนน” แต่สะท้อนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐที่จับต้องได้ผ่านข้อมูลสาธารณะจริง ๆ

อีกด้าน ป.ป.ช. ผลักหลักคิด STRONG–จิตพอเพียงต้านทุจริต ให้ชุมชนร่วมเป็น “ผู้กำกับดูแล” ในพื้นที่ของตน ผ่านเครือข่ายภาคประชาสังคม โรงเรียน ชมรมผู้ค้า และอาสาสมัคร ให้ช่วยสอดส่องและแจ้งเบาะแสเมื่อพบเห็นความผิดปกติในขั้นตอนจัดงาน—จากเวทีรับฟังเสียงชาวบ้านถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อทำให้ “วัฒนธรรมไม่ทนต่อการทุจริต” เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน

มหาดไทย–การคลัง–ก.ก.ถ. บทบาท “สามเสาหลัก” ที่ต้องเดินไปด้วยกัน

แกนปฏิบัติการที่ ป.ป.ช. เสนอ คือให้ กระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่กำกับ–สั่งการ อปท. ให้ยึดกฎหมาย/ระเบียบและแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน, ให้ กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ชี้แนวทาง TOR/ราคากลาง/สัญญา—และอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ, ส่วน สำนักงาน ก.ก.ถ. ทำหน้าที่ปรับโครงสร้าง–ข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้หน่วยปฏิบัติสามารถทำงานได้คล่องโดยไม่หลุดกรอบธรรมาภิบาล ทั้งหมดถูกออกแบบให้เชื่อมกับการประเมิน ITA เพื่อเป็น “ตัวชี้วัดผล” ที่เปิดเผยต่อสาธารณะในแต่ละปีงบประมาณ

ตัวเลขที่ชวนคิด เมื่อ “ต้นทุนแฝง” กลายเป็นภาระประชาชน

ประสบการณ์หลายพื้นที่สะท้อนรูปแบบคล้ายกัน—เมื่อเอกชนผูกขาดพื้นที่และตั้งอัตราค่าธรรมเนียมสูง ผู้ค้าท้องถิ่นต้องชำระค่าแผงแพงกว่าคู่แข่งที่มากับผู้จัดงาน รายได้ส่วนหนึ่งไม่ไหลเข้าท้องถิ่น ขณะที่ค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น (ค่าจอดรถ/เข้าห้องน้ำ/บริการสาธารณะ) ข้อเสนอ “เปิดข้อมูลรายได้–รายจ่ายทุกงาน” และ “กำหนดเพดานค่าธรรมเนียมเป็นธรรม” จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนในชุมชนมองเห็นเส้นทางเงินของงานประเพณี—ว่ากลับมาเป็นสวัสดิการสาธารณะมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่เพียง “ภาพจำสวยงาม” ของงานรื่นเริงเท่านั้น

เชียงรายในภาพใหญ่ จากเทศกาลท้องถิ่น สู่บททดสอบธรรมาภิบาลระดับพื้นที่

เชียงรายเป็นจังหวัดที่งานประเพณี–เทศกาลคือ “แรงขับเศรษฐกิจชุมชน” ตั้งแต่เทศกาลท้องถิ่น งานวัฒนธรรมไปจนถึงกิจกรรมสร้างสรรค์ใหม่ ๆ สิ่งที่ ป.ป.ช. เสนอจึงไม่ใช่ “ภาระ” ของผู้ปฏิบัติ หากเป็น “เข็มทิศ” ให้ผู้ว่าฯ อปท. และท้องที่–ท้องถิ่น จัดวาระร่วมกัน

  1. แผนล่วงหน้า—กำหนดพื้นที่จัดงาน ตรวจสอบสิทธิการใช้ที่ดิน ทำหนังสือขออนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้ครบถ้วน
  2. จัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส—ประกาศ TOR ตามคู่มือ กค (กวจ) 0405/ว 159, ใช้วิธีแข่งขันเท่าที่ทำได้, เปิดข้อมูลสัญญาและผลพิจารณา
  3. จัดเก็บรายได้เป็นธรรม—กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่ “เป็นมิตรต่อผู้ค้า–ประชาชนท้องถิ่น” มีโควตาพื้นที่ให้ผู้ค้าชุมชน และเปิดเผยรายได้–รายจ่ายหลังปิดงาน
  4. เวทีตรวจสอบสาธารณะ—ตั้งคณะทำงานร่วมภาคประชาชน–สื่อ–สภาเด็กและเยาวชน ทำบทเรียนหลังงาน (after action review) และรายงานผลบนเว็บไซต์ อปท.

จาก “เอกสาร” สู่ “พฤติกรรมองค์กร” เมื่อตัวชี้วัดต้องแปลเป็นภาคปฏิบัติ

ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การมีระเบียบ–คู่มือ หากอยู่ที่ วินัยของผู้ปฏิบัติ และ แรงจูงใจขององค์กร การหนุนใช้ ITA เป็น “กระจกเงา” ให้หน่วยงาน—ควบคู่การสื่อสารความเสี่ยง (risk communication) และการฝึกอบรมแบบลงมือทำ—เป็นกุญแจให้คะแนนโปร่งใส “ไม่ใช่แค่คะแนน” แต่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่ประชาชนสัมผัสได้ เช่น เห็น TOR ล่วงหน้าจริง เห็นราคากลาง เห็นสัญญา เห็นรายรับ–รายจ่ายหลังจบงานทุกงาน และสามารถถาม–ทัก–ตรวจได้ตลอดเวลา

เส้นทางคลี่คลายปม แผนเดินหน้าที่ “ทำได้ทันที”

  • ยึดกฎหมาย–ระเบียบเป็นฐาน: ใช้ระเบียบ มท. 2564 เป็น “คัมภีร์การเงินงานประเพณี” และ TOR ตาม ว 159 เป็น “แบบมาตรฐาน” ลดความเสี่ยงดุลพินิจส่วนบุคคล
  • เปิดข้อมูลเชิงรุก: ตั้งหน้าเว็บ “ศูนย์ข้อมูลงานประเพณี” ของแต่ละ อปท.—รวมปฏิทินงาน แผนที่พื้นที่ TOR ราคากลาง แบบร่างสัญญา ผลคัดเลือก รายได้–รายจ่าย และบทเรียนหลังงาน
  • ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง: กำหนดเพดานค่าธรรมเนียมแผง–จอดรถ–ห้องน้ำที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อคนในพื้นที่ สัดส่วนพื้นที่ค้าชุมชนต้องชัด
  • สร้างเครือข่าย STRONG: ผนึกโรงเรียน กลุ่มสตรี ผู้สูงอายุ สภาเด็ก–เยาวชน และสื่อท้องถิ่น ร่วมสอดส่องทุกขั้นตอน—จากเวทีรับฟังจนถึงวันปิดงาน

ทำให้งานประเพณี “คืนประโยชน์สาธารณะ” อย่างแท้จริง

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. ทำให้ “งานประเพณี” ซึ่งเคยถูกมองเป็นเพียงกิจกรรมรื่นเริง กลับมามีนิยามสาธารณะครบมิติ—วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และธรรมาภิบาล เมื่อโครงกฎหมาย–คู่มือพร้อม ข้อมูลเปิด และประชาชนร่วมกำกับดูแล เม็ดเงินที่เคยรั่วไหลย่อมกลับมาเป็นงบสาธารณะสำหรับพื้นที่ ขวัญกำลังใจผู้ค้า–ชุมชนดีขึ้น ผู้เสียภาษีเห็นภาพชัดว่าเงินที่จ่ายไป “เวียนกลับมา” ในรูปบริการและโครงสร้างพื้นฐานอย่างไร

สำหรับเชียงราย—เมืองที่วัฒนธรรมคือทุน ชุมชนคือหัวใจ—การยกระดับมาตรฐานการจัดงานประเพณีตามแนวทางนี้ ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐและผู้จัดงาน หากยังเป็น “แบบฝึกหัดธรรมาภิบาล” รายปี ที่ทำให้ท้องถิ่นแข็งแรง โปร่งใส และยั่งยืนกว่าที่เคย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงาน ป.ป.ช. – “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานของ อปท. (กรณีจัดงานประเพณี)” (เผยแพร่ก.ค. 2568) และบทความอธิบายแนวคิด–มาตรการ (ก.ค. 2568). เอกสารอ้างอิงข้อเท็จจริงเรื่องความเสี่ยง 3 ประเด็นและแนวทางปฏิบัติที่เสนอฝ่ายนโยบาย
  • สำนักงาน ป.ป.ช. – หมวด “มาตรการป้องกันการทุจริต ปีงบประมาณ 2568” ซึ่งแสดงสถานะการพิจารณาของข้อเสนอที่ส่งต่อฝ่ายนโยบาย
  • กรมบัญชีกลาง – หนังสือด่วนที่สุด กค (กวจ) 0405/ว 159 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2566 เรื่องแนวทางจัดทำ TOR และสาระสำคัญที่ต้องมี สร้างมาตรฐานการพิจารณาและลดดุลพินิจ.
  • ระเบียบกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2564 ว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน/กิจกรรมสาธารณะ/กีฬา ของ อปท. แนวทางต้นแบบสำหรับวินัยการเงินการคลังของท้องถิ่น (มีเอกสารเผยแพร่ใช้อ้างอิงโดยหน่วยงานท้องถิ่น)
  • โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) โดยสำนักงาน ป.ป.ช.—กรอบคิด ตัวชี้วัด และการประกาศผลการประเมินหน่วยงานรัฐ ซึ่งใช้เป็น “กระจก” สะท้อนความก้าวหน้าด้านความโปร่งใส
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ป.ป.ช.เริ่มไต่สวนข้อร้องเรียนทุจริตสอบนายอำเภอ 2568 เดิมพันศรัทธาระบบราชการ

เดินเกมสอบ “รายชื่อผู้เกี่ยวข้อง” ปมร้องทุจริตสอบเข้าอบรมนายอำเภอ 2568 ป.ป.ช.เริ่มไต่สวนเบื้องต้น—เปิดฉากทดสอบศรัทธาระบบคุณธรรมราชการ

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 —ข้อร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสในการคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอปี 2568 กำลังไหลบ่าเป็น “แรงกดดันสาธารณะ” ครั้งใหญ่ต่อระบบคุณธรรม (merit system) ของงานปกครองไทย เมื่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยสำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3 เดินเกม ทำหนังสือเรียกข้อมูล–ชี้แจงข้อเท็จจริง จากทั้งข้าราชการในและนอกสังกัดกรมการปกครองตามเอกสารร้องเรียน ตอกย้ำ “เดิมพัน” ที่สูงกว่าคำว่าได้–เสียตำแหน่ง คือศรัทธาของประชาชนต่อความยุติธรรมในระบบสอบคัดเลือกของรัฐเอง

ปมร้องเรียนปะทุ จาก “เบาะแสรายชื่อ” สู่การไต่สวนเบื้องต้น

ผู้สื่อข่าวพิเศษได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3 ป.ป.ช. (ที่ตั้งนนทบุรี) ได้ทยอยส่งหนังสือไปยังเจ้าหน้าที่หลายรายเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงและเชิญชี้แจงพร้อมแนบพยานเอกสาร หลังมี เอกสารร้องเรียน กล่าวหาความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการคัดเลือกเข้า หลักสูตรนายอำเภอ ปี 2568 ของกรมการปกครอง

แกนกลางของข้อมูลร้องเรียน—ซึ่งเคยถูกเผยต่อสาธารณะผ่าน สำนักข่าวอิศรา—ถูกระบุว่าเริ่มต้นจากผู้ใช้ชื่อ “ข้าราชการผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม” ในสังกัดกรมการปกครอง ส่ง รายชื่อผู้เกี่ยวข้อง “จำนวนมาก” พร้อมกล่าวหาการ “เอื้อประโยชน์พวกพ้อง” จนกระทบขวัญกำลังใจของผู้ไม่มีเส้นสาย และเสนอให้ ยกเลิกการสอบ ครั้งนี้ รวมถึงให้ หน่วยงานกลางที่ไม่ใช่กรมการปกครอง เป็นผู้จัดสอบใหม่เพื่อสร้างความเป็นธรรม

อีกด้านหนึ่ง แหล่งข่าววิเคราะห์ว่า รายชื่อที่ถูกจับตา “ส่วนใหญ่” มีความเชื่อมโยงกับ เครือข่ายทางการเมืองกลุ่มหนึ่ง โดยคาดว่า กว่า 20 รายชื่อ จะถูกเชิญเข้าชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เป็นลำดับ ซึ่งหากพบมูล อาจขยายผลไปสู่กระบวนการไต่สวนเชิงลึกต่อไป

จุดที่สังคมเฝ้ามอง มีข้อกล่าวหาว่าผู้ผ่านเข้ารับการอบรม 300 คน (ในสังกัด 285 และนอกสังกัด 15 ตามเสียงร้องเรียน) มี “สายสัมพันธ์” ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนักการเมือง จึงเรียกร้องตรวจสอบความเชื่อมโยงอย่างเร่งด่วน

เดิมพัน” ตำแหน่งนายอำเภอ ทำไมการสอบครั้งนี้ถึงสำคัญ

นายอำเภอ คือข้าราชการฝ่ายปกครองระดับหัวหน้าอำเภอที่ทำหน้าที่บูรณาการนโยบายรัฐกับความมั่นคง–บริการประชาชนในพื้นที่ ตั้งแต่งานทะเบียนราษฎร ความสงบเรียบร้อย การปกครองท้องที่ ไปจนถึงบูรณาการภัยพิบัติ–เศรษฐกิจฐานราก จึงไม่น่าแปลกเมื่อการเปิดคัดเลือกเข้าอบรมปีนี้ดึงดูดความสนใจ ข้าราชการผู้สมัครราว 1,700 คน แย่ง ที่นั่ง 300 ที่ โดยแบ่งเป็น สอบแข่งขัน 195 และ สายผู้มีประสบการณ์ 105 ที่ ความต้องการสูง–ที่นั่งจำกัด ทำให้ “แรงจูงใจแสวงหาช่องลัด” พุ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว และคือบริบทที่ก่อให้เกิดข้อกล่าวหานานารูปแบบ

ข้อกล่าวหาหนัก “ขายข้อสอบหัวละ 3 ล้าน” และเครือข่ายเงินการเมือง

เมื่อ 3 เม.ย. 2568 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์” เปิดเผยต่อสาธารณะว่า มีการ ลักลอบนำข้อสอบ 100 ข้อไปจำหน่าย ในราคา หัวละ 3 ล้านบาท โดยให้วางมัดจำ 1.5 ล้านบาท และจ่ายส่วนที่เหลือในวันนัดรับข้อสอบ (อ้างว่า 4 เม.ย.) เพื่อท่องคำตอบก่อนสอบจริง (5 เม.ย.) พร้อมระบุว่ามีผู้สมัคร “หลายสิบคน” เข้าเกณฑ์ จนวงเงินหมุนเวียนทั้งกระบวนการ 200–600 ล้านบาท และโยงว่าเงินจำนวนนี้ถูกส่งต่อสู่ พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง โดยมีบุคคลชื่อเล่น “นายทอง” ทำหน้าที่จัดการ

ข้อกล่าวหาเหล่านี้ยัง อยู่ในชั้นกล่าวอ้าง ต้องรอการพิสูจน์ตามกระบวนการ แต่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางสังคม–การเมือง เพราะหากมีมูลจริง จะเป็นคดีเชิงโครงสร้าง ที่พัวพันผลประโยชน์มหาศาลระหว่าง “ระบบสอบ” และ “ทุนการเมือง”

 “สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้”

4 เม.ย. 2568 นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง แถลงยืนยันว่า กระบวนการสอบทุกระดับดำเนินไปอย่างสุจริต โปร่งใส และยุติธรรม พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อการแอบอ้าง และกรมฯ จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เรียกรับผลประโยชน์

ต่อมา 21 เม.ย. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ได้รับรายงานว่า “โปร่งใส รอบคอบ และตรวจสอบได้” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เสียงกล่าวหาอาจมาจากผู้ไม่ผ่านการสอบ ย้ำว่าเรื่องใดมีมูลจะให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบตามขั้นตอน

สาระสำคัญเชิงวิชาชีพสื่อ ขณะนี้ข้อกล่าวหาและคำชี้แจงเดินคู่ขนาน—สื่อมวลชนจึงต้องรายงานอย่างเป็นกลาง ใช้ถ้อยคำระวัง และยึด “ข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้” เป็นหลัก จนกว่าจะมีผลการไต่สวนยืนยัน

บทเรียนที่ไม่ควรถูกลืม คดีทุจริตสอบนายอำเภอ ปี 2552

เหตุการณ์ปี 2552 เป็น หมุดหมายสำคัญ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษาคดีทุจริตสอบนายอำเภอ—มีจำเลยรวม หลักร้อยราย ในจำนวนนี้รวมถึง อดีตอธิบดีกรมการปกครอง และ อดีตผู้อำนวยการส่วนกำนันผู้ใหญ่บ้าน ศาลพิพากษาจำคุกผู้บริหารระดับสูง 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา และลงโทษผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ฐานสนับสนุนการกระทำผิด แผนทุจริตในคดีนั้น แตกต่าง จากข้อกล่าวหาปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ—คือเป็น การแก้ไขสมุดคำตอบหลังสอบ” โดยเจ้าหน้าที่วงใน มากกว่าจะเป็น “การขายข้อสอบก่อนสอบ” ตามข้อกล่าวหาในปีนี้

ความเหมือน ระบบตรวจสอบที่เปิดช่องให้ เครือข่ายอำนาจ แทรกตัวได้
ความต่าง: จาก “แก้ในห้อง” → สู่ “ลอบนำออกก่อนถึงห้อง” (ตามข้อกล่าวหา) สะท้อน วิวัฒน์ของกลโกง เพื่อตอบโต้มาตรการป้องกันที่เข้มขึ้น

เกมยาวของ “กฎหมาย–วินัย–ความน่าเชื่อถือ”

  1. ชั้นไต่สวนเบื้องต้น (ป.ป.ช.) — รวบรวมคำให้การ พยานหลักฐาน หนังสือสั่งการ/การเบิกจ่าย/การติดต่อสื่อสาร หากพบ “มูลพอสมควร” จะ ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน
  2. ชั้นวินัย (ต้นสังกัด) — กรมการปกครอง/มหาดไทย/ก.พ. ดำเนินการคู่ขนานได้ หากมีหลักฐานชัดว่ามีพฤติการณ์ผิดวินัยร้ายแรง
  3. ชั้นอาญา — หากเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่/เรียกรับผลประโยชน์/ปลอมเอกสาร ฯลฯ จะเข้าสู่กระบวนการพนักงานอัยการ–ศาล
  4. มาตรการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส — เป็นเงื่อนปมสำคัญ เพราะคดีเชิงโครงสร้างมักพัวพันผู้มีอำนาจ จำเป็นต้องมี ช่องทางที่ปลอดภัย ให้ผู้รู้เห็นกล้าให้ข้อมูล

ตัวเลข” ที่ชวนคิด

  • 1,700 : 300 ที่นั่ง — อัตราแข่งขันสูงเป็นดินแดนสีเทาที่ แรงจูงใจ ต่อ “ช่องทางพิเศษ” โตตาม
  • 3,000,000 บาท/หัว — ราคาที่ถูกกล่าวหาในการซื้อข้อสอบ สะท้อน ผลประโยชน์ที่คาดหวัง จากการได้สถานะนายอำเภอ
  • 200–600 ล้านบาท — ขนาดวงเงินหมุนเวียนในข้อกล่าวหา หากพิสูจน์ได้จริง เทียบเท่า ระบบซื้อ–ขาย” มากกว่าการทุจริตรายย่อย
  • บทเรียนปี 2552 — การลงโทษระดับ “อดีตอธิบดี” ยืนยันว่ากฎหมาย ไปถึงตัวใหญ่ได้ หากหลักฐานถึง

เสียงของผู้เดือดร้อน บทพิสูจน์ความเป็นธรรม

ในเอกสารร้องเรียน ผู้แจ้งระบุชัดว่า ผู้ไม่มีเส้นสายเสียขวัญกำลังใจ” นี่คือคำสั้น ๆ แต่สะท้อนความรู้สึกใหญ่ ๆ ของข้าราชการจำนวนมาก ที่มองว่า โอกาสในระบบราชการควรตั้งอยู่บนความสามารถ ไม่ใช่ “วงการ–สายสัมพันธ์” การไต่สวนครั้งนี้จึงไม่ได้ชี้ชะตาเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็น บทพิสูจน์ศรัทธาทั้งระบบ ว่า “กระบวนการสอบของรัฐ” ยังยืนอยู่บนหลักความเสมอภาคจริงเพียงใด

ทางสองแพร่งของนโยบาย ซ่อมระบบ หรือซ่อมเฉพาะคดี

ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมาภิบาลชี้ว่า ขณะไต่สวนเดินหน้า ฝ่ายนโยบาย ควรเดินคู่ขนานด้วย 3 วาระเร่งด่วน

  1. แยกผู้จัดสอบออกจากผู้ใช้คนสอบ — ให้ หน่วยงานกลางอิสระ ทำหน้าที่จัดสอบ–เก็บข้อสอบ–ตรวจข้อสอบ แทนหน่วยงานผู้บังคับบัญชาทางสายงาน เพื่อลดความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  2. ใช้เทคโนโลยีปิดช่องทุจริต — ระบบ ธนาคารข้อสอบแบบสุ่ม (Randomized Pools), ตรวจอัตโนมัติ, วิเคราะห์แพตเทิร์นผิดปกติด้วย AI และ บันทึกเส้นทางเอกสาร (audit trail) ตั้งแต่ผลิต–ขนส่ง–เก็บรักษา
  3. คุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส — จัด แพลตฟอร์มร้องเรียนปลอดภัย พร้อมคุ้มครองสถานะการงานและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อดึง “คนเห็นเหตุ” ออกมาเป็น “คนเห็นค่า”

เกมยาวที่ชื่อ “ความเชื่อมั่น”

การเริ่มไต่สวนของ ป.ป.ช. คือสัญญาณว่ารัฐรับฟังสังคม และพร้อมคลี่คลายข้อสงสัยด้วย กลไกที่ตรวจสอบได้ ทว่า ปลายทางของคดี ไม่ได้วัดเพียง “ลงโทษได้กี่ราย” แต่คือการ “ปิดวงจร” ให้ การทุจริตสอบ ไม่หวนกลับมาเป็นระลอกใหม่ แตกหน่อเป็นเครือข่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หากหน่วยงานเกี่ยวข้องสามารถ คลี่คลายข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ รวดเร็ว และโปร่งใส พร้อมวางมาตรการเชิงระบบเพื่ออุดช่องโหว่ ตั้งแต่วันนี้ วิกฤตศรัทธาครั้งนี้อาจแปรเป็น จังหวะปฏิรูป ที่ทำให้การคัดเลือกบุคลากรในตำแหน่ง “หัวใจของรัฐ” กลับมายืนอยู่บน ความสามารถ–ความเสมอภาค–ความยุติธรรม อย่างแท้จริง

สาระสำคัญสำหรับประชาชนและผู้สมัครในอนาคต ติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจาก ป.ป.ช., กรมการปกครอง และกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบช่องทางรับร้องเรียนที่ปลอดภัย เก็บหลักฐานการสื่อสาร–เอกสารทุกชิ้น และหากพบพฤติการณ์ผิดปกติ แจ้งหน่วยงานโดยทันที—เพราะ “ระบบคุณธรรม” ต้องการพยานความจริงจากทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) — แนวทางรับเรื่องร้องเรียนและกระบวนการไต่สวนข้อกล่าวหาทุจริตภาครัฐ (สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3)
  • กรมการปกครอง (กระทรวงมหาดไทย) — เอกสารชี้แจงกระบวนการสอบคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอ ปี 2568 (แถลงโดยอธิบดี 4 เม.ย. 2568)
  • กระทรวงมหาดไทย — คำให้สัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการฯ (21 เม.ย. 2568) เกี่ยวกับความโปร่งใสในการจัดสอบและการตรวจสอบได้
  • สำนักข่าวอิศรา (isranews.org) — รายงานพิเศษและข้อมูลร้องเรียนจาก “ข้าราชการผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม” เกี่ยวกับรายชื่อ–ความเชื่อมโยงในการคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอ 2568
  • คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (คดีทุจริตสอบนายอำเภอ ปี 2552) — สรุปคำพิพากษาและรายชื่อผู้ถูกลงโทษในคดีดังกล่าว
  • ข้อมูลสาธารณะจากการแถลงข่าว/ข่าวสารทางการ เกี่ยวกับจำนวนผู้สมัคร (~1,700 ราย) และโควตาที่นั่ง (สอบแข่งขัน 195/ผู้มีประสบการณ์ 105) ของหลักสูตรนายอำเภอปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายได้งบกลางก้อนใหญ่ 363 ล้านบาท ซ่อมโครงสร้างพื้นฐานและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ครม. อนุมัติงบกลาง 363.62 ล้านบาท ฟื้นฟูเชียงราย 18 โครงการ หลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ซ่อม–เสริม–สร้างขวัญ พร้อมปูรากฐานรับมือภัยพิบัติรอบใหม่

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 — หนึ่งปีให้หลังจากมหาอุทกภัยปลายปี 2567 เชียงรายกำลังยกเครื่องฟื้นฟูครั้งใหญ่ด้วย “งบกลาง” 363.62 ล้านบาท ที่ ครม. อนุมัติเมื่อ 26 ส.ค. 2568 โจทย์ไม่ได้มีเพียงซ่อมถนน–เขื่อน–ระบายน้ำ แต่ต้องประคองเศรษฐกิจท้องถิ่นและขวัญกำลังใจชุมชนไปพร้อมกัน ตัวเลขนี้คิดเป็นราว 5.6% เมื่อเทียบมูลค่าความเสียหายรวมของจังหวัด 6,412 ล้านบาท สะท้อนว่า “งบชุดนี้” มุ่งจี้จุดโครงสร้างพื้นฐานรัฐเป็นหลัก ขณะที่การเยียวยาภาคครัวเรือนและเกษตรถูกผลักไปยังแหล่งงบและมาตรการอื่น การเดินเกมหลายชั้นเช่นนี้ จะเพียงพอที่จะเปลี่ยน “ความเสียหาย” ให้กลายเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ได้จริงหรือไม่—คำตอบอยู่ที่ประสิทธิภาพการบูรณาการและความต่อเนื่องหน้างานมากกว่าตัวเลขเพียงอย่างเดียว

บทเรียนจากปลายปี 2567 เมื่อเชียงราย “หนักสุด” ในประเทศ

ปลาย ก.ย.–ต.ค. 2567 เชียงรายเผชิญน้ำหลาก–ดินโคลนถล่มจากอิทธิพลพายุหลายลูก พื้นที่ อ.แม่สาย ถูกซัดซ้ำด้วยตะกอนและน้ำป่า โครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน คอสะพาน โรงเรียนเสียหายจำนวนมาก การประเมินในห้วงวิกฤตระบุว่า 9 อำเภอ ได้รับผลกระทบ 53,209 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ระบบประปาบางจุดต้องหยุดบริการชั่วคราว สรุปความเสียหายด้านเศรษฐกิจของเชียงราย 6,412 ล้านบาท สูงสุดในประเทศ ขณะที่ทั้งประเทศเสียหายราว 24,251 ล้านบาทเชียงรายแบกไว้ถึงหนึ่งในสี่ ของความสูญเสียทั้งหมด

ไม่นานหลังเหตุการณ์ 29 พ.ย. 2567 รัฐบาลเคยอนุมัติโครงการเร่งด่วนบางส่วนไปแล้ว ทว่าการ “ซ่อมใหญ่” ที่ต้องสำรวจ–ออกแบบ–ขออนุญาต–เข้าประชุม ครม. เป็นเรื่องของเวลา รอบนี้จึงเป็น งบฟื้นฟูเชิงโครงสร้างระยะกลาง–ยาว ที่เดินตามกระบวนการงบประมาณ

งบกลาง 363.62 ล้านบาท จุดโฟกัสและเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์

แม้ตัวเลข 363.62 ล้านบาทจะดูเล็กเมื่อเทียบ “ความเสียหาย 6,412 ล้านบาท” (คิดเป็น ประมาณ 5.6% โดยการคำนวณ 363.62 ÷ 6,412 = 0.0567) แต่ “ฐานคิด” งบกลางชุดนี้ต่างกัน:

  • มุ่งซ่อม–เสริมทรัพย์สินสาธารณะของรัฐ (ถนน เขื่อน ระบบระบายน้ำ ระบบสาธารณูปโภค) เพื่อให้เมืองและการสัญจรกลับสู่สมรรถนะ
  • ระบายแรงกดดันเศรษฐกิจ–สังคม ด้วยกิจกรรมกระตุ้นท่องเที่ยว–ตลาดชุมชน เพื่อเยียวยาจิตใจและรายได้ฐานราก
  • เปิดทางโครงการสำคัญที่ติดขั้นตอนที่ดิน ให้เดินต่อได้ เมื่อผ่านการอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่

ขณะเดียวกัน การช่วยเหลือด้านอื่นยังมาจาก “ถังงบคนละใบ” เช่น มาตรการช่วยค่าไฟฟ้าผู้ประสบอุทกภัยใน 18 จังหวัด วงเงิน 1,696 ล้านบาท (ยกเว้นค่าไฟเดือนก.ย. 67 และลด 30% เดือนต.ค. 67 สำหรับครัวเรือน/กิจการขนาดเล็กที่เข้าเกณฑ์) รวมถึงงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเชียงรายที่เคยอนุมัติ 49.92 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเร่งด่วน และงบซ่อมทาง–แหล่งน้ำในจังหวัดอื่นที่ ครม. อนุมัติในช่วงเม.ย.–พ.ค. 2568 สะท้อน “ภาพใหญ่” ว่า การจัดการภัยพิบัติไทยยังเดินด้วยหลายกลไกพร้อมกัน

“18 โครงการ” ที่ได้รับไฟเขียว ซ่อมกายภาพ–ยกเครื่องเมือง–ปลุกเศรษฐกิจ

การจัดชุดฟื้นฟูครั้งนี้ครอบคลุม สามมิติหลัก ดังนี้

1) โครงสร้างพื้นฐาน (รวม ราว 264.49 ล้านบาท)

ซ่อม–เสริมระบบคมนาคมและป้องกันตลิ่งในจุดวิกฤต โดยมีงานเด่น ได้แก่

  • ฟื้นฟู–ป้องกันทางหลวงหมายเลข 131 (กม. 8+700–9+300) วงเงิน 45.00 ล้านบาท – เส้นทางหลักที่รับภาระการสัญจรเมือง–ชานเมือง
  • ฟื้นฟูทางหลวง 1232 ช่วงอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย–เวียงชัย (กม. 0+000–2+000) วงเงิน 45.00 ล้านบาท – เส้นทางเศรษฐกิจสำคัญของตัวจังหวัด
  • ซ่อมถนน–รางระบายน้ำในชุมชนแม่สาย หลายจุด: เหมืองแดง (52.23 ล้านบาท), ไม้ลุงขน (53.20 ล้านบาท), เกาะทราย (24.04 ล้านบาท), ป่ายางชุม (12.18 ล้านบาท), สายลมจอย–ดอยเวา (12.18 ล้านบาท) — โฟกัสจ่อจุดน้ำหลากซ้ำซาก
  • ถนนเลียบคลองชลประทาน (ริมกก, อ.เมือง) 3.28 ล้านบาท และ ปรับผิวจราจร–ฟุตปาธถนนไกรสรสิทธิ์ 1.80 ล้านบาท เพื่อคืนสภาพความปลอดภัย
  • ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (สวนสาธารณะฝั่งหมิ่น–ร่องเสือเต้น–ป่าแดง) 25.00 ล้านบาท และ เขื่อนสวนสาธารณะเกาะลอย 14.23 ล้านบาท — เพิ่มเกราะกันน้ำกัดเซาะพื้นที่สาธารณะ
  • เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ เขตเทศบาลนครเชียงราย 17.63 ล้านบาท — ช่วย “คอขวด” เมืองชั้นในให้ระบายทันฝน

หมายเหตุสำคัญ ยังมีโครงการ ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (หมู่บ้านธนารักษ์, อ.เมือง) วงเงิน 29.10 ล้านบาท ที่ยัง “ไม่เข้าแพ็กเกจ” เพราะอยู่ระหว่างขออนุญาตใช้ที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์ หากผ่านจะสามารถเสนอของบในขั้นตอนต่อไปได้

2) ระบบสาธารณูปโภค (รวม 32.65 ล้านบาท)

  • ปรับปรุงซ่อมแซมระบบจัดการน้ำเสีย 17.65 ล้านบาท — ลดความเสี่ยงด้านสุขาภิบาลหลังน้ำลด
  • ปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย 15.00 ล้านบาท — รองรับภาระขยะหลังการทำความสะอาดครั้งใหญ่

3) ฟื้นฟูเศรษฐกิจ–สังคม (รวม 20.20 ล้านบาท)

  • โครงการ “หลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival)” 9.68 ล้านบาท — เทศกาลแสงสีคืนชีวิตเมือง กระตุ้นท่องเที่ยว–บริการ–ค้าปลีก
  • บูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของเชียงราย 9.33 ล้านบาท — แพ็กเกจพยุงกิจกรรมเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • ส่งเสริมและพัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน 1.19 ล้านบาท — ปรับตัว “ของดีชุมชน” สู่ตลาดยุคใหม่

ภาพรวมสะท้อนแนวคิด “ฟื้นบ้าน–ฟื้นเมือง–ฟื้นใจ” ไม่ใช่ซ่อมกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ประคองรายได้–แรงงาน–ความหวังให้กลับมาคึกคักพร้อมกัน

ทำไม “เทศกาลแสงสี” จึงอยู่ในงบฟื้นฟูน้ำท่วม?

คำถามนี้ถูกตั้งขึ้นแทบทุกครั้งที่มี “งบอีเวนต์” เข้ามาในแพ็กเกจภัยพิบัติ เหตุผลเชิงนโยบายคือ เศรษฐกิจเชียงรายพึ่งพาการท่องเที่ยว และ กิจกรรมเมือง การคืน “เหตุผลให้คนออกมาใช้จ่าย” มีผลต่อรายได้หาบเร่–แผงลอย–โรงแรม–ร้านอาหาร–รถรับจ้าง ตลอดจนสร้าง “วาระแห่งเมือง” ให้ผู้คนร่วมกันก้าวข้ามบาดแผล อย่างไรก็ดี ความคุ้มค่า–ความโปร่งใส–ตัวชี้วัด (จำนวนนักท่องเที่ยว ยอดใช้จ่าย หมุนเวียนในท้องถิ่น) ต้องถูกติดตามอย่างจริงจัง เพื่อให้ “ทุกบาท” กลับมาเป็น “โอกาส” ไม่ใช่แค่ภาพจำชั่วคราว

จากวิกฤตสู่โอกาสปรับระบบให้ “ไว–ลึก–ยืดหยุ่น”

การอนุมัติครั้งนี้เกิดเกือบครบปีหลังเกิดเหตุการณ์ สะท้อนความเป็นจริงของกระบวนการงบฟื้นฟูขนาดใหญ่ที่ต้อง สำรวจ–ออกแบบ–อนุญาต–พิจารณา ครม. ประเด็นเชิงระบบที่ผู้ปฏิบัติหน้างานชี้ตรงกัน คือ

  1. เร่งรัดขั้นตอนหลังภัย: ให้งบซ่อมใหญ่ “เริ่มได้เร็ว” กว่าวัฏจักรงบประจำปีปกติ โดยวางกลไกสำรวจความเสียหายมาตรฐาน–ทีมนักออกแบบเร่งด่วน–กรอบเงื่อนไขจัดซื้อเฉพาะฉุกเฉินที่คุมได้
  2. ลงทุนเชิงป้องกันล่วงหน้า: แทน “ซ่อมหลังพัง” ควร ขุดลอก–ขยายทางระบายน้ำ–ยกผิวจราจรจุดเสี่ยง ตามข้อมูลภูมิประเทศ–สถิติฝน–ประวัติน้ำท่วม เพื่อบรรเทาผลกระทบคลื่นวิกฤตรอบถัดไป
  3. ศูนย์ข้อมูลเดียว–มาตรฐานเดียว: รวมศูนย์ข้อมูลความเสียหาย–โครงการ–สถานะงาน ให้ทุกหน่วยใช้ ข้อมูลชุดเดียวกัน ลดซ้ำซ้อน และเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อคุมความโปร่งใส
  4. เชื่อม “งานแข็ง” กับ “งานนุ่ม”: สร้างเครือข่ายอาสา–ชุมชน–ท้องถิ่นคู่ขนานงานวิศวกรรม เช่น การเตือนภัยชุมชน–ช่องทางร้องเรียนเร็ว–การซ้อมอพยพ เพิ่ม “ภูมิทัศน์ความพร้อม” ของเมืองทั้งระบบ

เสียงจากตัวเลข งบ 363.62 ล้านบาท จะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง?

  • คืนสมรรถนะเมือง: เมื่อถนน–ระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่งกลับมาทำงาน การเดินทาง–ขนส่ง–ท่องเที่ยวจะ “ไหลลื่น” ขึ้น ลดต้นทุนแฝงหลังวิกฤต
  • กันซ้ำจุดเดิม: งานระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่งในจุดล่อแหลม เช่น ริมกก–ย่านเทศบาล จะลดโอกาส “ท่วมซ้ำ–กัดเซาะซ้ำ”
  • ฟื้นขวัญ–รายได้: กิจกรรมเมืองและโครงการตลาดชุมชน ช่วยให้เศรษฐกิจฐานราก “เริ่มเดิน” ระหว่างรอโครงการใหญ่ทยอยเสร็จ
  • เซ็ตมาตรฐานใหม่: โครงการที่ยังติดขั้นตอนที่ดิน (เช่น เขื่อนธนารักษ์ 29.10 ล้านบาท) จะเป็นบททดสอบว่าระบบประสานงานที่ดิน–น้ำ–ทางหลวง ทำได้เร็วเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ได้วัดที่ “ก้อนงบ” แต่คือ ผลลัพธ์เชิงพื้นที่ — ถนนที่น้ำไม่ขัง, ชุมชนที่ไม่ต้องอพยพซ้ำ, ผู้ประกอบการที่ลืมตาได้ และ การสื่อสารความคืบหน้าอย่างโปร่งใส ให้ประชาชนติดตามได้

ไทม์ไลน์ย่อ จากน้ำหลากสู่เงินลงพื้นที่

  • ก.ย.–ต.ค. 2567: น้ำหลาก–ดินโคลนถล่ม 9 อำเภอ กระทบ 53,209 ครัวเรือน เสียชีวิต 14 ราย
  • ปลาย ก.ย. 2567: นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่กำชับฟื้นฟู–ช่วยเหลือเร่งด่วน
  • 29 พ.ย. 2567: ครม. อนุมัติโครงการเร่งด่วนเบื้องต้นบางส่วน
  • ตลอดต้น–กลางปี 2568: จังหวัดจัดทำแผนฟื้นฟู–สำรวจ–ออกแบบ–ประสานหน่วยงานเจ้าของพื้นที่
  • 26 ส.ค. 2568: ครม. อนุมัติงบกลาง 363.62 ล้านบาท สำหรับ 18 โครงการในเชียงราย (ผ่านการเสนอโดยกระทรวงมหาดไทย และเบิกจ่ายตามระเบียบผ่านสำนักงบประมาณ)

มองไปข้างหน้า เชียงราย “ยืดหยุ่นขึ้น” ได้อย่างไร

  1. ส่งมอบงานให้ทันฤดูฝน: งานถนน–ระบายน้ำต้องเร่งจังหวะให้สอดคล้องฤดูกาล ลดความเสี่ยงงานเปิดหน้าขุดในช่วงฝนชุก
  2. คุมคุณภาพ–ความทนทาน: ใช้มาตรฐานวัสดุและแบบก่อสร้างที่เหมาะกับพื้นที่ลาดเชิงเขา–ดินอุ้มน้ำสูง เพิ่มอายุใช้งาน
  3. รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ: เปิดเผยงบ–สัญญา–สถานะงาน–รูป Before/After ต่อสาธารณะในเว็บ/เพจทางการ เพื่อความโปร่งใส–ร่วมตรวจสอบ
  4. ยกระดับ “แผนที่เสี่ยง”: ผนวกข้อมูลฝน–น้ำหลาก–ทิศทางไหล–จุดคอขวด เข้ากับงานวางผังเมือง–จราจร–ก่อสร้างใหม่ ลดสร้างปัญหาในอนาคต

จาก “งบฟื้นฟู” สู่ “วาระป้องกันใหม่ของเมือง”

แพ็กเกจ 363.62 ล้านบาท คือก้าวสำคัญที่จะช่วยให้เชียงรายกลับมายืนได้มั่นคงขึ้น ทั้งในเชิงคมนาคม ป้องกันตลิ่ง สุขาภิบาล และเศรษฐกิจชุมชน แต่คำถามที่ยากกว่า คือเมืองจะ ไม่กลับไปเจอซ้ำ ได้อย่างไร คำตอบอยู่ที่การลงทุนเชิงป้องกันล่วงหน้า–การเร่งรัดขั้นตอนโครงการ–การสื่อสารโปร่งใส และการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เมื่อ “ซ่อมวันนี้” ถูกวางบนฐานคิด “กันพรุ่งนี้” เชียงรายจะไม่เพียงฟื้นตัว แต่จะ ยืดหยุ่น พร้อมรับพายุลูกต่อไป

โครงการที่ได้รับอนุมัติ (สรุปตามเอกสารจังหวัด)

  1. หลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival) — 9.68 ลบ.
  2. ฟื้นฟูทางหลวงหมายเลข 131 (กม. 8+700–9+300) — 45.00 ลบ.
  3. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนเหมืองแดง (แม่สาย) — 52.23 ลบ.
  4. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนเกาะทราย (แม่สาย) — 24.04 ลบ.
  5. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนไม้ลุงขน (แม่สาย) — 53.20 ลบ.
  6. ถนน–รางระบายน้ำ สายลมจอย–ดอยเวา (เวียงพางคำ) — 12.18 ลบ.
  7. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนป่ายางชุม (แม่สาย) — 12.18 ลบ.
  8. ถนน ค.ส.ล. เลียบคลองชลประทาน (ริมกก, อ.เมือง) — 3.28 ลบ.
  9. ปรับปรุงระบบจัดการน้ำเสีย — 17.65 ลบ.
  10. บูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ — 9.33 ลบ.
  11. ฟื้น–พัฒนาทางหลวง 1232 (กม. 0+000–2+000) — 45.00 ลบ.
  12. ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (ฝั่งหมิ่น–ร่องเสือเต้น–ป่าแดง) — 25.00 ลบ.
  13. เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ เขตเทศบาลนครเชียงราย — 17.63 ลบ.
  14. ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งสวนสาธารณะเกาะลอย — 14.23 ลบ.
  15. ปรับปรุงทางเท้าถนนกองคำ ชุมน้ำลัด — 5.00 ลบ.
  16. ปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย — 15.00 ลบ.
  17. ปรับผิวจราจร (AC) และฟุตปาธถนนไกรสรสิทธิ์ — 1.80 ลบ.
  18. ส่งเสริม–พัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน — 1.19 ลบ.

อยู่ระหว่างขั้นตอน เขื่อนป้องกันตลิ่งริมกก (หมู่บ้านธนารักษ์, อ.เมือง) — 29.10 ลบ. รออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 สิงหาคม 2568: รายการ “งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น” สำหรับจังหวัดเชียงราย (18 โครงการ วงเงิน 363.62 ล้านบาท) — เอกสารสรุปผลการประชุม ครม. และข่าวแจกสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • สำนักงบประมาณ (สงป.): คำชี้แจงการเบิกจ่ายงบกลางปีงบประมาณ 2568 หมวดฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานจังหวัดที่ประสบสาธารณภัย
  • กระทรวงมหาดไทย: หนังสือเสนอ ครม. โครงการฟื้นฟูหลังอุทกภัยจังหวัดเชียงราย และกรอบนโยบายช่วยเหลือ/เยียวยาจังหวัดประสบภัย
  • จังหวัดเชียงราย (สำนักงานจังหวัด/ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย): แผนฟื้นฟู 19 โครงการที่เสนอ (อนุมัติจริง 18 โครงการ) และรายละเอียดรายการงานถนน–ระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่ง–กิจกรรมเศรษฐกิจ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.): สรุปสถานการณ์อุทกภัย ก.ย.–ต.ค. 2567 จังหวัดเชียงราย—จำนวนครัวเรือน/ผู้เสียชีวิต/โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย
  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) / กระทรวงมหาดไทย: มาตรการช่วยค่าไฟฟ้า 18 จังหวัดผู้ประสบอุทกภัย (ยกเว้นเดือน ก.ย. 67 และลด 30% เดือน ต.ค. 67) อนุมัติในวาระเดียวกัน
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.): มติ/งบประมาณช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย 49.92 ล้านบาท (กันยายน 2567)
  • กรมทางหลวง/กรมทางหลวงชนบท/กรมชลประทาน: ข่าว/เอกสารงบซ่อมโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งน้ำในจังหวัดต่าง ๆ (เม.ย.–พ.ค. 2568) เพื่อเทียบเคียงภาพรวมงบภัยพิบัติของปีงบประมาณเดียวกัน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายสั่งลุย! จับร้านกัญชา-น้ำกระท่อมปรุงขายเยาวชน

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส ไร้สิ่งมอมเมา” ลุยตรวจ–จับร้านกัญชา–น้ำกระท่อมปรุงใกล้โรงพยาบาลและสถานศึกษา หลังร้องเรียนขายให้เยาวชนไม่สนกฎหมาย

เชียงราย, 27 สิงหาคม 2568 —ช่องว่างการกำกับดูแล “พืชกระท่อม–กัญชา” หลังปลดล็อกในระดับประเทศ กลายเป็นโจทย์ยากของจังหวัดท่องเที่ยว–การค้าชายแดนอย่างเชียงราย เมื่อธุรกิจบางส่วนฉวยโอกาสตั้งร้านในทำเลอ่อนไหวและขายให้กลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเยาวชน ประเด็นนี้ไม่ใช่แค่กฎหมายลายลักษณ์อักษร แต่คือ “สมดุลใหม่” ระหว่างสุขภาพสาธารณะ เศรษฐกิจท้องถิ่น และความปลอดภัยชุมชน ข่าวชิ้นนี้พาไล่เรียงจากเสียงร้องเรียนของพ่อแม่–ครู สู่การบูรณาการ “ฝ่ายปกครอง–สาธารณสุข–ตำรวจ” ลงพื้นที่จริง พร้อมคลี่ให้เห็นปมกฎหมาย–ทางปฏิบัติที่ต้องเร่งปิด และข้อเสนอเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้–เด็กปลอดภัย–เมืองไม่เสื่อมโทรม

เสียงจากผู้ปกครอง–ครู จุดชนวน “เช็คตรง–จับจริง” ใจกลางเมือง

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 27 ส.ค. 2568 ภายใต้คำสั่งการของ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ชุดปฏิบัติการผสมจาก ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย (กลุ่มงานความมั่นคง), สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองเชียงราย และ สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ได้เข้าตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายกับสถานประกอบการร้านจำหน่ายกัญชา “#ใจแลกใจ” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสี่แยกหลัง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ — ทำเลที่มีทั้งโรงพยาบาลและสถานศึกษากระจุกหนาแน่น

เบื้องหลังการลงพื้นที่ครั้งนี้ เริ่มจาก ข้อร้องเรียนต่อเนื่อง ของผู้ปกครองและสถานศึกษาในย่านดังกล่าว ระบุพฤติการณ์จำหน่าย ช่อดอกกัญชา และ น้ำต้มใบกระท่อมปรุงรส ให้แก่นักเรียน–เยาวชน อย่างเปิดเผย ตลอดทั้งกลางวันและยามวิกาล จนเกิดปัญหามั่วสุมใกล้ชุมชน ซึ่งสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง “ตรวจ–ตัด–เตือน” แบบเร่งด่วน

ทำเลอ่อนไหว–พฤติการณ์ชัด–ดื่มผสมปรุงรส ขายง่าย ราคางาม

จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบว่าร้านดังกล่าวตั้งอยู่ ไม่ถึง 200 เมตร จากโรงพยาบาลและสถานศึกษา ถือเป็น ทำเลเสี่ยงต่อการเข้าถึงของเยาวชนและผู้ป่วย แม้ทางร้าน อ้างมีใบอนุญาตจำหน่ายกัญชา แต่พบ การจำหน่าย “น้ำกระท่อมปรุง” เป็นกิจวัตร ทั้งในรูปแบบเครื่องดื่มปรุงแต่งรสชาติ ซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้ข้อห้ามของกฎหมายอาหาร และหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข

ที่น่าห่วงยิ่งกว่า คือ การไม่ตรวจสอบอายุผู้ซื้อ และ ไม่เรียกดูใบสั่งแพทย์/ใบรับรองแพทย์ ตามแนวทางที่หน่วยงานสาธารณสุขกำหนดสำหรับการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ส่งผลให้ นักเรียน–เยาวชนเข้าถึงได้ง่าย และมีรายงานจากชุมชนว่า มีการรวมกลุ่มมั่วสุม หลังซื้อออกจากร้าน ทั้งในช่วงหลังเลิกเรียนและยามค่ำคืน

คำให้การและของกลาง: ผู้จัดการยอมรับ “ขายจริง–ไม่คัดกรอง” รายได้วันละหลักหมื่น

ภายในร้าน เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว นายวิจิตรศักดิ์ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี แสดงตนเป็นผู้จัดการและผู้จำหน่าย นายวิจิตรศักดิ์ รับสารภาพในที่เกิดเหตุ ว่ามีการจำหน่ายทั้งช่อดอกกัญชาและน้ำต้มใบกระท่อมปรุง โดยไม่สอบถามอายุ–ไม่เรียกใบสั่งแพทย์ พร้อมให้ข้อมูลเชิงธุรกิจว่า มีรายได้เฉลี่ยวันละ 10,000–15,000 บาท สะท้อน เม็ดเงินหมุนเวียน ของธุรกิจที่อาศัยช่องว่างกำกับดูแลได้อย่างชัดเจน

เจ้าหน้าที่จึงรวบรวม ของกลาง และแจ้งข้อกล่าวหา 2 กระทงหลัก ได้แก่

  1. จำหน่ายอาหารที่ห้ามจำหน่าย (กรณี “น้ำกระท่อมปรุง”) — โทษจำคุก 6 เดือน–2 ปี และปรับ 5,000–20,000 บาท ตามกฎหมายอาหารและประกาศที่เกี่ยวข้องของกระทรวงสาธารณสุข
  2. ตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารโดยไม่มีหนังสือรับรองฯ — โทษจำคุก ไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับ ไม่เกิน 25,000 บาท ตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข

ภายหลังการแจ้งข้อหา เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาและของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอน

คลายปมกฎหมาย “ปลดล็อกไม่ใช่เสรี” และทำไม “น้ำกระท่อมปรุง” ยังผิด

การปลดล็อกพืชกระท่อมและกัญชาในช่วงที่ผ่านมา มิได้หมายถึงเสรีภาพเต็มรูปแบบ การจำหน่าย–โฆษณา–รูปแบบผลิตภัณฑ์ และ กลุ่มเปราะบาง” (เช่น ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี, หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร) ยังถูก จำกัดและห้าม หลายประการ โดยเฉพาะฝั่งอาหาร–เครื่องดื่ม ซึ่งอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุ รายการอาหารต้องห้ามผลิต–นำเข้า–จำหน่าย อย่างชัดเจน

  • น้ำกระท่อมปรุง” จัดเป็น อาหาร/เครื่องดื่มที่ห้ามผลิต–นำเข้า–จำหน่าย เพราะอยู่ในประเภทผลิตภัณฑ์ที่มี ความเสี่ยงต่อสุขภาพ และ ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ ควบคุมไม่ได้จากการต้ม–ปรุง–ผสม
  • การจำหน่าย ช่อดอกกัญชา ต้องดำเนินการภายใต้ หลักเกณฑ์เฉพาะ (เช่น การแสดงข้อความคำเตือน, ข้อห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์, ข้อจำกัดสถานที่ขาย–บริโภค) รวมถึง การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ที่ต้องมี ผู้ประกอบวิชาชีพ/สถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต กำกับดูแล
  • ทำเลตั้งร้าน ใกล้ โรงพยาบาล–สถานศึกษา–ชุมชน หลายจังหวัดและท้องถิ่นมี ข้อบัญญัติ/คำสั่ง กำกับระยะห่าง/เขตห้าม เพื่อป้องกันการเข้าถึงของเยาวชน แม้ “ระยะเมตร” จะต่างกันตามข้อกำหนดแต่ละพื้นที่ ใจกลางเมืองเชียงราย ก็ถือเป็น เขตอ่อนไหว” ที่หน่วยงานต้องพิจารณาเข้ม

ความจริงสำคัญคือ การใช้ประโยชน์เชิงการแพทย์ กับ การค้าเชิงเสพ มี “เส้นบาง ๆ” คั่นอยู่ที่ เครื่องมือกำกับ–ความรับผิดชอบผู้ประกอบการ–การบังคับใช้กฎหมายเชิงพื้นที่ กรณีร้านดังกล่าวจึงถูกดำเนินคดีในส่วนที่ กฎหมายกำหนดชัด คือผลิตภัณฑ์อาหารต้องห้าม และการตั้งสถานจำหน่ายโดยไม่มีหนังสือรับรอง

มุมสังคม ทำไม “ร้านใกล้โรงพยาบาล–สถานศึกษา” เสี่ยงเป็นพิเศษ

เชียงรายเป็นเมืองที่มีทั้ง โรงเรียน–มหาวิทยาลัย–โรงพยาบาล กระจุกในรัศมีไม่กี่กิโลเมตรจากศูนย์กลางเมือง การมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อ ผลกระทบต่อพฤติกรรม/สุขภาพ อยู่ ในรัศมีเดินถึง ย่อมเพิ่มโอกาสเข้าถึงของเยาวชน อย่างก้าวกระโดด ยิ่งเมื่อ ไม่มีการคัดกรองอายุ ตามที่พบในคดีนี้

ประเด็นนี้สัมพันธ์กับ ทฤษฎี “ความพร้อมใช้งาน–ราคาย่อมเยา–การยอมรับทางสังคม” (Availability–Affordability–Acceptability) ซึ่งระบุว่า หาก มีของ–ราคาไม่แพง–สังคมไม่ห้าม อัตราการทดลองใช้ในเยาวชนจะ พุ่งขึ้น แนวทางสาธารณสุขจึงมักใช้ การจำกัดทำเล และ การบังคับใช้เข้มกับผู้ขาย เป็น “ด่านหน้า” ป้องกัน ก่อนจะค่อย ๆ เสริมด้วย การให้ความรู้ ครู–ผู้ปกครอง–นักเรียน เพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางข้อมูล”

ภาพรวมการปฏิบัติการบูรณาการ–ปิดช่องโหว่–ปักหมุดมาตรฐานใหม่

การลงพื้นที่ครั้งนี้สะท้อน สามยุทธศาสตร์หลัก ของจังหวัดเชียงราย

  1. เชิงรุก (Proactive): ใช้ ข้อร้องเรียน เป็นสัญญาณเตือน ร่วมบูรณาการฝ่ายปกครอง–สาธารณสุข–ตำรวจ ตรวจจริง–จับจริง
  2. เชิงกฎหมาย (Enforcement): ชี้เป้า บทบัญญัติที่ชัดเจน (อาหารต้องห้าม, การตั้งสถานที่จำหน่ายโดยไม่มีหนังสือรับรอง) เพื่อ ดำเนินคดีได้ทันที ลดการตีความ
  3. เชิงระบบ (Systemic): หลังคดีนี้ สาธารณสุขจังหวัด เตรียม สั่งพักใช้ใบอนุญาต/ทบทวนเงื่อนไข และแจ้งมาตรการ “เข้ม” ไปยังผู้ประกอบการในพื้นที่ ตั้งจุดเสี่ยง พร้อม สุ่มตรวจ ต่อเนื่อง

เจ้าหน้าที่ชี้ว่า สัญญาณจากคดีนี้ ไม่ใช่เพียง “ปิดร้านหนึ่ง” แต่คือ เปิดมาตรฐานใหม่ทั้งเมือง” — ร้านใดตั้งอยู่ใน ทำเลอ่อนไหว หรือ ละเลยการคัดกรองอายุ จะถูก เพ่งเล็ง–สุ่มตรวจ–ปรับปรุงหรือปิด ตามกฎหมายและดุลพินิจเชิงพื้นที่

เสริมเกราะป้องกัน 5 แนวทางลดเสี่ยงเชิงพื้นที่–ชุมชน

เพื่อให้ “ธุรกิจเดิน–เด็กปลอดภัย–เมืองไม่เสื่อมโทรม” ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณสุขในพื้นที่เสนอแนวทางที่ ทำได้ทันที ดังนี้

  • กำหนดโซนนิ่ง/ระยะห่าง รอบสถานศึกษา–โรงพยาบาล–ศูนย์เยาวชน โดยออกเป็น คำสั่ง/ข้อบัญญัติท้องถิ่น ที่อ่านง่าย–บังคับใช้ได้จริง
  • บังคับป้ายคำเตือน–ข้อห้ามขาย ที่จุดขายทุกร้าน (เช่น ไม่ขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี/หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร) พร้อม กล้องบันทึก–ระบบสุ่มตรวจอายุ
  • สุ่มตรวจเชิงสารวิเคราะห์ สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำกระท่อม–กัญชาปรุงแต่ง เพื่อเช็ก ความเข้มข้นสารออกฤทธิ์ และ การปนเปื้อน
  • ตั้งช่องร้องเรียนออนไลน์ เชื่อม ฝ่ายปกครอง–สาธารณสุข–ตำรวจ ตอบสนองภายใน 24–48 ชม.
  • จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว (Rapid Response) ลงพื้นที่ หลังเลิกเรียน–ยามวิกาล ในจุดเสี่ยง เพื่อตัดวงจร มั่วสุม–เสพผสม

มองไกลกว่าคดี เมื่อ “ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ” คือเส้นแบ่ง

บทเรียนจากกรณีนี้ตอกย้ำว่า ผู้ประกอบการที่ปรับตัวรับกติกา ยังเดินธุรกิจได้ โดยเฉพาะร้านที่เน้น สินค้าเชิงสุขภาพ–กึ่งการแพทย์ และมี มาตรการคัดกรอง–ป้องกันเยาวชน ที่เข้มงวด ในทางกลับกัน ผู้ที่อาศัยช่องว่าง ขายให้กลุ่มเปราะบาง–ตั้งร้านใกล้แหล่งเสี่ยง–ปรุงแต่งผลิตภัณฑ์ต้องห้าม ย่อมเผชิญ ต้นทุนทางกฎหมาย–ชื่อเสียง–ความเชื่อมั่น ที่สูงกว่าผลตอบแทนในระยะยาว

หรือกล่าวให้ชัด “ปลดล็อกไม่ใช่ปล่อยเสรี” เมืองจะเดินหน้าได้ เมื่อ ทุกฝ่ายแสดงความรับผิดชอบ ตามบทบาท — รัฐออกกติกาชัด–บังคับใช้จริง, ธุรกิจค้าขายอย่างใจเข็มทิศสาธารณสุข, ครู–พ่อแม่สื่อสารกับเด็กเรื่องความเสี่ยง และชุมชนช่วยกัน เฝ้าระวังเชิงสร้างสรรค์

เชียงรายปักหมุด “ฟ้าใส” ด้วยกฎหมายที่ทำงาน–ชุมชนที่ไม่นิ่งเฉย

คดี “#ใจแลกใจ” ไม่ใช่เพียงภาพจับกุมรายวัน แต่คือ จุดเปลี่ยนเชิงสัญลักษณ์ ว่าเชียงรายกำลังก้าวสู่ มาตรฐานเมืองปลอดภัยสำหรับเยาวชน ด้วย 3 กลไกขับเคลื่อนพร้อมกัน—ชุมชนร้องเรียนอย่างมีหลักฐาน, รัฐบังคับใช้กฎหมายชัด–รวดเร็ว, และ สาธารณสุขวางเงื่อนไข–สั่งพักใบอนุญาตเมื่อจำเป็น สิ่งสำคัญคือ ความต่อเนื่อง: สุ่มตรวจ–สื่อสาร–ทำให้เห็นผลของการทำผิด (โทษ–ค่าปรับ–ปิด) และผลของการทำถูก (อยู่ได้–เชื่อถือได้)

หากรักษา “วินัยใหม่” นี้ไว้ได้ยาว ๆ เชียงรายจะไม่เพียง “ฟ้าใส” ต่อหน้ากล้องในวันจับกุม แต่จะ ใสจริง ในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ครู พ่อแม่ และผู้ป่วยรอบโรงพยาบาล–สถานศึกษา ซึ่งคือ หัวใจแท้ของเมืองน่าอยู่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองเชียงราย
  • สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย
  • ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 430) พ.ศ. 2564
  • พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
  • พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ย้ายชุมชนแม่สาย สู่โครงการ “บ้านมั่นคง” บนที่ดินโรงงานยาสูบ แก้ปัญหาน้ำท่วมยั่งยืน

ก้าวยาวสู่ความมั่นคง! แม่สายเตรียมย้ายชุมชนริมน้ำ จัดสรรที่ดินโรงงานยาสูบสร้างบ้านใหม่

แม่สายเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจ เชียงรายผลักดันแผนแก้ปัญหาอุทกภัยระยะยาวแบบระบบ ตั้งแต่ “ขยายลำน้ำก่อสร้างคันกันน้ำจัดระเบียบริมตลิ่งย้ายชุมชนเสี่ยง” สู่การตั้งถิ่นฐานใหม่ผ่าน โครงการบ้านมั่นคง บนที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ)

วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น

  • ตัวเลขชวนคิด: เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สายครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ 304.78 ตร.กม. (ราว 190,487.5 ไร่) เคยมี น้ำท่วมใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 6,000 ล้านบาท; แม่น้ำสายแคบลงจาก 70–80 ม. เหลือ <20 ม. ใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1; พบการรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด (เมียนมารื้อถอนแล้ว 20 จุด); แผนวิศวกรรมตั้งเป้า “ขยายลำน้ำ ≥50 ม. + คันยกระดับ สูงรวม ~3 ม. กว้าง 9 ม. ระยะทาง 3,960 ม. รองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที” พร้อมกรอบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท และสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท
  • ปมชี้ขาด: ความพร้อมในการ “ย้าย–เยียวยา–จัดสรรที่อยู่อาศัยใหม่” ของ 843 หลังคาเรือน ริมน้ำ และการประสานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อแก้ที่ ต้นน้ำตะกอนมลพิษโลหะหนัก
  • กุญแจสู่การคลี่คลาย: ใช้ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาล ติดเมือง–พ้นแนวท่วม ทำ “บ้านมั่นคง” (สิทธิอยู่ เช่าที่ราชพัสดุ/กู้สหกรณ์สร้างบ้าน ~280,000–400,000 บาท ต่อหน่วย ขึ้นกับแบบและพื้นที่) โดย พอช. เป็นแม่งานภาคสังคม ร่วมกับ กรมโยธาฯ–กรมธนารักษ์–จังหวัดเชียงราย

 “ขยับเมืองหนีน้ำ” แม่สายเดินหน้าแผนใหญ่ขยายลำน้ำ สร้างคันกันน้ำ ย้ายชุมชนเสี่ยง สู่ ‘บ้านมั่นคง’ บนที่ดินโรงงานยาสูบ

เชียงราย, 24 สิงหาคม 2568 — ยามฝนหลงฤดูซัดกระหน่ำเหนือดอยแม่สายในคืนหนึ่ง น้ำขุ่นจัดไหลทะลักผ่านช่องแคบใต้สะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1 ก่อนจะแผ่ซ่านเข้าเขตตลาดและชุมชนริมน้ำในเวลาไม่กี่สิบนาที เป็นภาพที่คนในพื้นที่เรียกติดปากว่า “มาเร็ว–ลงไว–ทิ้งโคลน” และเป็นสัญญาณเตือนว่าต้นทุนการอยู่ร่วมกับสายน้ำในเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจแห่งนี้ “เปลี่ยนไป” แล้ว

หนึ่งปีให้หลังจาก เหตุอุทกภัยใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 ที่ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินค่ากว่า 6,000 ล้านบาท แม่สายเดินมาถึงจุดตัดสินใจสำคัญ: จะ “ซ่อมความเสียหาย” เป็นครั้ง ๆ แบบเดิม หรือ “ยกเครื่องทั้งระบบ” แม่น้ำ–ตลิ่ง–เมือง–ชุมชน ให้สอดคล้องกับภูมิประเทศเสี่ยงน้ำและความจริงใหม่ของสภาพภูมิอากาศ

คำตอบเริ่มชัด เมื่อแผนงานชุดใหญ่ที่รัฐบาลมอบหมายให้ กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) เป็นแกนกลาง กำหนดภาพรวมตั้งแต่ ขยายหน้าตัดแม่น้ำสาย ให้กว้าง ไม่น้อยกว่า 50 เมตร, ก่อสร้างคันป้องกันน้ำหลาก–โคลน ระยะทาง 3,960 เมตร ยกระดับความสูงรวมราว 3 เมตร (คันดิน 2 ม. + ผนังคอนกรีต 1 ม.) พร้อม ย้ายรื้อสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ และจัดระเบียบพื้นที่ริมตลิ่งทั้งสองฝั่ง เพื่อให้ระบบระบายน้ำรองรับอัตราการไหล ประมาณ 430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยวางกรอบงบประมาณก่อสร้างเบื้องต้นราว 2,000 ล้านบาท และวงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท เพื่อเร่งงานเตรียมการในช่วง 8 เดือน ข้างหน้า

“เร่งศึกษารูปแบบก่อสร้างให้จบเร็วที่สุด แต่ย้ำว่านี่เป็น โครงการระยะยาว โดยเฉพาะการย้ายบ้านเรือนกว่า 800 หลัง ไม่อาจแล้วเสร็จภายในฤดูฝนนี้หรือปีหน้า” ข้อความตามการชี้แจงของ นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง

เมื่อ “แม่น้ำแคบ–ตะกอนหนา–กิจกรรมมนุษย์เร่งวิกฤต”

หากถอยออกมาดูทั้งลุ่มน้ำ ภาพใหญ่ของแม่สายคือเมืองชายแดนที่ตั้งอยู่บน เนินตะกอนรูปพัด (alluvial fan) อันเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากโดยธรรมชาติ เมื่อประกอบกับลักษณะลำน้ำที่ แคบลงต่อเนื่องจาก 70–80 เมตร เหลือ ไม่ถึง 20 เมตร บริเวณใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 ความสามารถระบายน้ำย่อมลดฮวบ ขณะเดียวกัน “แรงเร่ง” จากกิจกรรมมนุษย์ทำให้วิกฤตรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • การเปิดหน้าดิน–ทำลายป่าต้นน้ำในรัฐฉาน (เมียนมา) เพื่อเกษตรและเหมือง สร้างมวลตะกอนพัดพาลงลำน้ำสาย เมื่อหน้าตัดลำน้ำแคบ–ความลาดชันในช่วงเมืองต่ำ ตะกอนจึง ตกทับถมรวดเร็ว เกิดปรากฏการณ์ที่คนท้องถิ่นเปรียบว่า “สึนามิโคลน” นั่นคือไม่ใช่เพียงน้ำ แต่เป็น น้ำ+โคลน ที่ลากเศษซากลงสู่เขตชุมชน
  • การรุกล้ำลำน้ำ–ก่อสิ่งปลูกสร้างริมตลิ่ง พบจุดรุกล้ำ ฝั่งไทย 45 จุด และ ฝั่งเมียนมา 33 จุด โดย ฝ่ายเมียนมารื้อถอนไปแล้ว 20 จุด ฝั่งไทยก็ประกาศเดินหน้าเช่นกัน การรุกล้ำเหล่านี้ทำให้พื้นที่หน้าตัดลำน้ำหายไป ก่อ “คอขวด” หลายช่วง และเป็นอุปสรรคต่อวิธีแก้ทางวิศวกรรม
  • มลพิษจากเหมืองต้นน้ำ โดยเฉพาะการปนเปื้อน สารหนู (Arsenic) และโลหะหนักในบางจุดของแม่น้ำสาย—ประเด็นที่เกี่ยวพันกับสุขภาพชุมชนและระบบนิเวศ และต้องการความร่วมมือข้ามพรมแดนในการแก้ที่ต้นทาง

 “ขยายลำน้ำ–ย้ายเสี่ยง–สร้างคัน–ตั้งถิ่นฐานใหม่”

หัวใจของแผนแม่สายไม่ได้มีเพียงคันกันน้ำ แต่เริ่มจากการ คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ ผ่านการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ มากกว่า 843 หลังคาเรือน และ ขยายหน้าตัด ลำน้ำให้ได้มาตรฐานทางไฮดรอลิก ก่อนเสริมด้วยคันป้องกัน–ผนังคอนกรีต เพื่อ ลดโอกาสน้ำทะลัก เข้าพื้นที่เศรษฐกิจ–ชุมชนสำคัญ

จุดชี้เป็นชี้ตายของการ “คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ” คือ จัดหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ ให้กับผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว—และนั่นนำไปสู่การพิจารณาใช้ ที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ) ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย เพื่อจัดทำชุมชนใหม่ภายใต้ โครงการบ้านมั่นคง” ซึ่ง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) รับบทเป็นแกนกลางการทำงานกับชุมชน

“ที่ดินดังกล่าวอยู่ห่างด่านพรมแดนราว 1.5 กม. ห่างที่ว่าการอำเภอเพียง 300 ม. ใช้เป็นสวนสุขภาพและ ไม่เคยท่วม จึงเหมาะสำหรับตั้งถิ่นฐานใหม่” สาระจากคำอธิบายของ นายวิเชียร พลสยม ผอ.พอช. ภาคเหนือ

บ้านมั่นคง แบบสิทธิภาระผ่อน

บ้านมั่นคง เป็นโมเดล “สิทธิอยู่อาศัย” ที่ให้ประชาชนเช่าที่ราชพัสดุจาก กรมธนารักษ์ (สิทธิรวมกลุ่มตามเงื่อนไขโครงการ) แล้วใช้กลไก สหกรณ์ออมทรัพย์ชุมชน เป็นแหล่งสินเชื่อเพื่อก่อสร้าง/ปรับปรุงบ้าน โดยมี แบบบ้านหลายขนาด รองรับครัวเรือนต่างบริบท ตัวอย่างเช่น ห้องแถว/ทาวน์เฮาส์ขนาดเล็ก ≤30 ตร.ม. ต้นทุนก่อสร้างประมาณ 280,000–300,000 บาท (ในเมืองใหญ่) และ 350,000–400,000 บาท ในต่างจังหวัดสำหรับครอบครัว ~5 คน ทั้งนี้สิทธิในโครงการเน้น ประชาชนสัญชาติไทย (เลข 13 หลัก) และ ครอบครัวขยาย ที่ได้รับการรับรองจากชุมชน เพื่อลดข้อขัดแย้งและป้องกันการเก็งกำไรสิทธิ

ทำไม “ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ” จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญ

พื้นที่โรงงานยาสูบในแม่สายเคยถูกหยิบยกใน ปี 2559 ภายใต้นโยบาย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครอบคลุมที่ราชพัสดุ 3 แปลง รวม ~870-3-5 ไร่ ใน ต.โป่งผา ทำเลติดถนนพหลโยธิน ใกล้ด่านศุลกากรแม่สายแห่งที่ 2 ราว 4 กม. แต่การพัฒนาติดเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ดินเดิม (เช่าปลูกข้าวโพด–ยาสูบ) การนำ บางส่วน ของที่ดิน “ที่พ้นแนวท่วม” มาใช้เพื่อแก้ปัญหาสาธารณะตั้งถิ่นฐานให้ผู้ย้ายจึงเป็น ทางเลือกใหม่ ที่น่าจับตา และหากเดินหน้าได้จริง จะช่วย “ลดแรงต้าน” ในภาคสนาม เพราะชุมชนใหม่อยู่ ไม่ไกล จากที่ทำกิน–ที่ทำงานเดิม

เสียงจากสนามจริง ใครได้–ใครเสีย–จะเดินต่ออย่างไร

ฝ่ายได้ประโยชน์

  1. ชาวแม่สายในระยะยาว: ลดความเสี่ยงชีวิต–ทรัพย์สิน เศรษฐกิจเมืองชายแดนมีเสถียรภาพมากขึ้น
  2. ครัวเรือนที่ย้ายเข้าโครงการ: เข้าถึงที่อยู่อาศัยมั่นคง ถูกกฎหมาย มีระบบสาธารณูปโภคครบถ้วน
  3. แม่น้ำ–สิ่งแวดล้อม: คืนหน้าตัดระบายน้ำ ลดการกัดเซาะ–ทับถม และเปิดทางสู่การฟื้นฟูคุณภาพน้ำ
  4. ภาพลักษณ์ชายแดน: ด่าน–ริมน้ำเป็นระเบียบ เพิ่มความเชื่อมั่นด้านท่องเที่ยว–การค้า

ฝ่ายได้รับผลกระทบ

  1. ครัวเรือนที่ต้องย้าย: แม้มีทางออก “บ้านมั่นคง” แต่การย้ายคือการเปลี่ยนชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่ ไม่มีเอกสารสิทธิ์ จะได้รับชดเชยเฉพาะ ค่าบ้าน ไม่รวมที่ดิน
  2. เกษตรกรผู้เช่าที่ในเขตโรงงานยาสูบ: หากนำบางส่วนของที่ดินมาใช้ตั้งถิ่นฐาน อาจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบทำกิน
  3. ผู้ประกอบการค้าริมน้ำที่รุกล้ำ: เช่น บางส่วนของตลาด–แผงค้า จำเป็นต้องรื้อ/ย้าย ไปสู่รูปแบบพื้นที่ค้าขายใหม่
  4. ภาครัฐ: แบกรับภาระงบฯ ทั้งศึกษาความเหมาะสม–รับฟังความเห็น–ชดเชย–ก่อสร้าง (ประเมินเบื้องต้น ค่าประนีประนอม ~200 ล้านบาท + ค่าก่อสร้าง ~2,000 ล้านบาท) และต้องบริหาร ความไว้วางใจสาธารณะ อย่างใกล้ชิด

ท่าทีจังหวัด ด้าน นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ “รับทราบความจำเป็นต้องย้าย” เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว และจังหวัดได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบ ข้อมูลครัวเรือนกว่า 1,500 หลังคาเรือน ที่อยู่ในแนวต้องเคลื่อนย้าย เพื่อกำหนด ลำดับ–มาตรการเยียวยา–แบบชุมชนใหม่ ให้เหมาะสม

ข้ามพรมแดนเพื่อแก้ที่ต้นเหตุ: ขุดลอก–คุมตะกอน–ลดมลพิษ

ปัญหาแม่สายไม่สิ้นสุดที่ฝั่งไทย เพราะ ต้นน้ำส่วนใหญ่อยู่ในเมียนมา รัฐบาลไทยจึงเดินหน้าเจรจา ขุดลอกแม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก, ตั้ง คณะทำงานวิชาการร่วม เพื่อจัดการมลพิษข้ามแดน โดยเฉพาะ โลหะหนักจากกิจกรรมเหมือง และการ อนุรักษ์ป่าต้นน้ำ แม้ความคืบหน้ายังผูกกับสถานการณ์ภายในเมียนมา แต่กรอบความร่วมมือถือเป็น ก้าวแรกที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มาตรการปลายน้ำของไทย “รับภาระลำพัง”

เส้นเวลา–สิ่งที่จับตาจากแบบบนกระดาษสู่สนามจริง

  • 1–2 เดือน: กรมโยธาฯ ใช้งบกลางเริ่มศึกษารูปแบบก่อสร้าง–โครงสร้างป้องกัน
  • ภายใน ~8 เดือน: สำรวจ–ออกแบบ–รับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (งบ 24 ล้านบาท)
  • ระยะก่อสร้าง: ผูกกับผลการออกแบบ รายการเวนคืน/รื้อย้าย และ ฤดูกาลฝน ซึ่งอาจต้อง “ก่อสร้างเป็นช่วง ๆ”
  • กระบวนการสังคม: สำรวจสิทธิ–เข้าโครงการบ้านมั่นคง–จัดผังชุมชน–สาธารณูปโภค—เป็น “งานใหญ่” ไม่แพ้โครงสร้างทางวิศวกรรม

หมุดเช็กความก้าวหน้า ที่สาธารณะควรถามซ้ำทุกไตรมาส คือ
(1) แผนผัง “แนวเขตเวนคืน/รื้อย้าย” โปร่งใสเพียงใด
(2) รายชื่อ–สถานะ “ผู้มีสิทธิ์เข้าบ้านมั่นคง” ชัดแค่ไหน
(3) ตารางการขุดลอก–เพิ่มหน้าตัดลำน้ำ เดินตามแบบหรือไม่
(4) ความคืบหน้าความร่วมมือข้ามแดนด้านตะกอน–มลพิษ

เมืองที่ยืนอยู่ได้บน “สายน้ำที่ยอมรับความจริง”

แม่สายเป็นหนึ่งใน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่สำคัญ ครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ ~304.78 ตร.กม. เศรษฐกิจชายแดนเติบโตเร็วแต่ความเปราะบางก็ขยายตาม หากปล่อยให้น้ำท่วมเป็น “เหตุการณ์พิเศษ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมืองจะสูญเสียทั้ง ความเชื่อมั่นเสถียรภาพ และ โอกาส ในการเป็นศูนย์กลางการค้า–ท่องเที่ยวของภาคเหนือ

แผน “ขยายลำน้ำ–สร้างคัน–ย้ายเสี่ยง–บ้านมั่นคง” จึงคือการเลือก ยอมรับความจริง ของภูมิประเทศ และปรับเมืองให้เข้ากับสายน้ำ มากกว่าบังคับให้สายน้ำ “เดินตามเมือง” การจะสำเร็จได้ จำเป็นต้องมีทั้ง วิศวกรรมที่ดี และ วิศวกรรมสังคมที่ละเมียดสื่อสารโปร่งใส เยียวยาเป็นธรรม ประสานผลประโยชน์ และ “จับมือกันข้ามพรมแดน” กับเมียนมาในประเด็นตะกอน–มลพิษ

ท้ายที่สุด หาก “บ้านหลังใหม่” ของ 843 ครัวเรือนเกิดขึ้นจริงบนที่ดินที่ ไม่ท่วม–ไม่ไกล–มีงาน–มีโอกาส และหากแม่น้ำสายกลับมามีหน้าตัดตามหลักไฮดรอลิก เมืองแม่สายก็จะไม่ได้เพียง “หนีน้ำ” แต่ “อยู่กับน้ำได้”—อย่างมั่นคง และเดินหน้าบทบาทเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) — กรอบแนวทางออกแบบ–ก่อสร้างคันกันน้ำ/ผนังคอนกรีต–การขยายหน้าตัดลำน้ำสาย ระยะทางรวม 3,960 ม., ขีดความสามารถรองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที, วงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท, กรอบงบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท
  • สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) – พอช. (สำนักงานภาคเหนือ) — โมเดล โครงการบ้านมั่นคง: หลักเกณฑ์สิทธิ, กลไกสหกรณ์สินเชื่อ, ช่วงราคาก่อสร้างต่อหน่วย ~280,000–400,000 บาท, หลักเกณฑ์การรับรองสมาชิก
  • กรมธนารักษ์ — หลักการใช้ประโยชน์ ที่ราชพัสดุ และการเช่าที่เพื่ออยู่อาศัยภายใต้กรอบโครงการบ้านมั่นคง
  • จังหวัดเชียงราย / ที่ว่าการอำเภอแม่สาย — ข้อมูลพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย (8 ตำบล, 304.78 ตร.กม. / ~190,487.5 ไร่), สถานการณ์อุทกภัย ก.ย.–ต.ค. 2567 และการตั้งคณะทำงานสำรวจครัวเรือน ~1,500 หลังคาเรือน
  • หน่วยงานชายแดนไทย–เมียนมา (คณะกรรมการร่วม) — ข้อมูลจุดรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด และความคืบหน้าการรื้อถอนฝั่งเมียนมา 20 จุด
  • หน่วยงานสิ่งแวดล้อม/สาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง — ข้อมูลเบื้องต้นด้านคุณภาพน้ำ กรณีการปนเปื้อน สารหนู/โลหะหนัก จากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน (เมียนมา) ที่ส่งผลข้ามพรมแดน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ไทย-เมียนมาตั้งคณะทำงานร่วม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม-คุณภาพน้ำแม่น้ำชายแดน

ไทย-เมียนมาตั้งคณะทำงานร่วม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม–คุณภาพน้ำแม่น้ำชายแดน “กก–สาย” เดินหน้าเชื่อมฐานข้อมูล–ติดตามร่วม หวังคลี่คลายวิกฤตปนเปื้อนข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน

เนปยีดอ ประเทศเมียนมา, 21 สิงหาคม 2568 — ท่ามกลางแรงกดดันจากวิกฤตคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำชายแดนภาคเหนือ รัฐบาลไทยยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาด้วยการ “ตั้งคณะทำงานวิชาการร่วม” (Joint Technical Working Group) เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–แม่น้ำสายอย่างเป็นระบบ เป้าหมายคือเร่งเชื่อมโยงข้อมูล ตรวจติดตามร่วม และออกมาตรการจัดการที่ยึดหลักวิทยาศาสตร์และสิทธิประชาชนในพื้นที่ชายแดน

คณะไทยนำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อม นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ นายขิ่น ม่อง ยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา ณ กรุงเนปยีดอ โดยเห็นพ้อง 3 แกนหลัก ได้แก่ (1) แสดงเจตนารมณ์ร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการคุณภาพน้ำ (2) ยกระดับการประสาน–แลกเปลี่ยนข้อมูลบ่อยครั้งยิ่งขึ้น และ (3) จัดตั้งคณะทำงานวิชาการร่วมเพื่อขับเคลื่อนมาตรการเชิงปฏิบัติที่จับต้องได้ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและการจัดการกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำ

“รัฐบาลมุ่งมั่นจะแก้ปัญหานี้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ…การดำเนินการต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมและแก้ได้จริง” — นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือของคณะผู้แทนไทย)

เล่าความก่อนถึง “โต๊ะเจรจา” ตัวเลขที่กดดันให้ต้องเปลี่ยนเกมจาก “แก้เฉพาะหน้า” สู่ “ความร่วมมือถาวร”

สองปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือนเรื่องสารปนเปื้อนในลุ่มน้ำกก–สายทวีความเข้มข้น ข้อมูลภาครัฐสะท้อนภาพเดียวกันว่า “สารหนู” ในบางช่วง–บางจุดของแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงตอนบน “เกินเกณฑ์ปลอดภัยสำหรับน้ำดื่ม” (0.01 มิลลิกรัม/ลิตร) หลายครั้งติดต่อกัน โดยผลตรวจที่เผยแพร่เมื่อปลายพฤษภาคม 2568 ระบุค่าอยู่ช่วงประมาณ 0.011–0.037 มก./ล. ในจุดตรวจหลายตำบลของเชียงรายและชายแดนแม่สาย ทำให้หน่วยงานท้องถิ่นต้องยกระดับการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนทันที

นอกจากนั้น แผนที่–สรุปสถานการณ์น้ำแม่น้ำกกของ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เองก็ชี้ว่าช่วงที่มีน้ำหลาก น้ำแรง อนุภาคตะกอนและโลหะหนักจะกระจายตัวสูงขึ้น ส่วนหน้าแล้งมีแนวโน้มตกตะกอนสะสมในชั้นดินตื้นของลำน้ำและตลิ่งทั้งหมดคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายว่าทำไม “บางวันค่าขึ้น–บางวันค่าลง” แต่ภาพรวมความเสี่ยงยังคงอยู่ โดย คพ.ชี้ชัดถึงเกณฑ์อ้างอิง 0.01 มก./ล. สำหรับน้ำดื่มที่สาธารณชนใช้เทียบเคียงในการตัดสินใจบริโภค

ในระดับภูมิภาค คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวทีความร่วมมือระหว่างลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ก็มีกรอบหลักด้านการแบ่งปันข้อมูล (Procedures for Data and Information Exchange and Sharing: PDIES) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ประเทศสมาชิกและคู่เจรจาใช้ข้อมูลชุดเดียวกันในการจัดการประเด็นน้ำข้ามพรมแดน ตั้งแต่คุณภาพน้ำจนถึงอุทกภัย–ภัยแล้ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนมองเห็นปัญหาจากข้อมูลจริงร่วมกัน ขณะที่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy) ก็ย้ำเป้าประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่เศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการติดตามคุณภาพน้ำและการมีส่วนร่วมของชุมชนแนวทางเหล่านี้กำลังถูกนำมาผูกโยงกับบริบทลุ่มน้ำกกสายปัจจุบัน

แรงกดดันทางสังคม–การเมืองยิ่งเด่นชัดเมื่อระดับชาติเริ่มหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา สื่อสาธารณะรายงานความคืบหน้าจากฝ่ายไทย ทั้งการประชุมติดตามปัญหาและการเตรียมหารือกับฝ่ายเมียนมาในระดับนโยบาย สะท้อนว่าประเด็น “น้ำชายแดน” กำลังถูกยกระดับเป็นวาระทวิภาคีที่ต้องหาข้อยุติบนฐานข้อมูลเดียวกันและมาตรการร่วมที่ตรวจได้–วัดผลได้

3 รอยต่อที่ทำให้ “วิชาการ–นโยบาย–ชุมชน” ขยับไปด้วยกัน

1) คำมั่นร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำ
ทั้งสองฝ่ายยืนยันเจตนารมณ์ร่วมในการปกป้องลำน้ำชายแดนที่ประชาชนสองประเทศพึ่งพา โดยยึดหลักการไม่ทำให้เกิดความเสียหายข้ามพรมแดน (no significant harm) และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเป็นธรรม–ยั่งยืน อาศัยกลไกระหว่างประเทศอย่าง MRC สนับสนุนกรอบการร่วมมือเชิงเทคนิค

2) สื่อสาร–แลกข้อมูลถี่ขึ้นจาก “รายไตรมาส” สู่ “รายเดือน/กรณีเร่งด่วน”
ภาพปัญหาช่วงที่ผ่านมาเกิดจาก “ข้อมูลไม่พร้อมใช้” หรือเข้าถึงช้า—ยิ่งในหน้าฝนที่ค่าความชื้นในดินสูง มวลน้ำหลากและมลพิษเคลื่อนตัวเร็ว การหรี่–เร่งมาตรการต้องพึ่งข้อมูลทันการณ์ การหารือจึงตกผลึกว่าจะผลักดัน “ช่องทางสื่อสารทางการ” ระหว่างห้องปฏิบัติการจังหวัด–ศูนย์วิจัยของรัฐ และหน่วยงานกลางให้เชื่อมกันแบบกำหนดเวลาได้ชัดเจนขึ้น (เช่น รายเดือน/กรณีเฝ้าระวังพิเศษรายสัปดาห์)

3) ตั้ง “คณะทำงานวิชาการร่วม” เป็นกลไกกลาง
นี่คือหัวใจที่คาดว่าจะเปลี่ยนเกมจาก “คำรับปาก” เป็น “ผลลัพธ์วัดได้” เพราะคณะทำงานจะมีอำนาจภารกิจในการ

  • ออกแบบแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำร่วม (ตำแหน่ง–ความถี่–พารามิเตอร์ เช่น สารหนู ตะกั่ว แมงกานีส ตะกอนแขวนลอย)
  • ใช้มาตรฐานวิธีวิเคราะห์เดียวกันและตรวจสอบไขว้ (inter-lab comparison)
  • จัดทำ แดชบอร์ดสาธารณะ เปิดเผยผลตรวจเป็นระยะ ปรับระดับคำเตือนตาม “ประเภทการใช้น้ำ” เพื่อการตัดสินใจที่ปลอดภัยของประชาชนและผู้ประกอบการ
  • ประเมินกิจกรรมเสี่ยงต้นน้ำ (เช่น การทำเหมือง–การชะละลายแร่) แล้วเสนอทางเลือกเทคโนโลยี/มาตรการป้องกัน–ฟื้นฟูตามหลักวิทยาศาสตร์

“ประเด็นคุณภาพน้ำก่อความกังวลโดยตรงต่อวิถีชีวิตของประชาชน…ความร่วมมือไทย–เมียนมามีความสำคัญยิ่ง เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่รอบด้าน” — นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือ)

จาก “รายงานปัญหา” สู่ “นโยบายเชิงรุกที่วัดผลได้”

  1. เชื่อมฐานข้อมูลกับกรอบ MRC/PDIES — เมื่อปัญหาเกิดในลำน้ำข้ามพรมแดน การยึด PDIES เป็น “ภาษากลางด้านข้อมูล” จะลดข้อถกเถียงเรื่องแหล่งที่มาและเพิ่มความน่าเชื่อถือของการสื่อสารสาธารณะ ทั้งยังวางรากฐานให้คู่เจรจาอื่นในลุ่มน้ำโขงรับรู้ร่วมกันตามกรอบยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำ (BDS 2021–2030) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำและสุขภาวะของประชาชน
  2. การสื่อสารความเสี่ยงแบบ “ตามประเภทการใช้น้ำ” — บทเรียนจากพื้นที่พบว่า สังคมมักเทียบค่ากับ “มาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ล.” โดยตรง ขณะที่น้ำนอกระบบประปาอาจมีเกณฑ์ชี้นำการใช้งานที่ต่างกัน (เช่น ไม่แนะนำเพื่อดื่ม แต่ใช้เพื่อการเกษตรบางชนิดได้ภายใต้เงื่อนไข) การแยกป้ายเตือน–คำแนะนำเป็น “น้ำเพื่อการดื่ม/บริโภค” กับ “น้ำเพื่อการเกษตร–เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” อย่างชัดเจน จะช่วยลดความสับสน และช่วยให้ครัวเรือน/ชุมชนตัดสินใจได้ปลอดภัยขึ้น โดยอ้างอิงค่าที่ คพ.ใช้สื่อสารต่อสาธารณะในห้วงวิกฤตที่ผ่านมา
  3. สร้าง “ระบบเตือนภัยเชิงปฏิบัติการ” ในฤดูฝน — พอเข้าปลายฝนต้นหนาว มวลน้ำหลาก–ตะกอนพุ่งสูง การวัดถี่–ประกาศเตือนเร็วช่วยประคับความเสี่ยงในช่วงวิกฤต การกำหนด “ธงสี” ระดับความเสี่ยงตามพารามิเตอร์สำคัญ (เช่น สารหนู–ตะกั่ว–แบคทีเรีย) บนแดชบอร์ดสาธารณะ ช่วยให้โรงเรียน–โรงพยาบาล–ระบบประปาหมู่บ้านปรับแผนใช้น้ำล่วงหน้าได้
  4. ผสานงาน “ชุมชน–หน่วยงานท้องถิ่น–แล็บกลาง” — ชุมชนอยู่กับน้ำทุกวัน หากมีกลไกสนับสนุนการเก็บตัวอย่างเบื้องต้นและรายงานเหตุผิดปกติ (ปลาเกย ตุ่มพุพอง ฯลฯ) เข้าระบบอย่างเป็นขั้นตอน จะทำให้การตอบสนองเร็วขึ้น สื่อสาธารณะไทยก็เคยรายงานการติดเชื้อ/ความผิดปกติของสัตว์น้ำควบคู่การรอผลตรวจโลหะหนัก ซึ่งชี้ว่าช่องทางสื่อสาร–รับแจ้งเหตุในชุมชนสำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์แล็บ
  5. สื่อสาร “ที่มา–ข้อจำกัดของข้อมูล” อย่างซื่อสัตย์ — ผลตรวจคุณภาพน้ำเป็นภาพชั่วขณะ; ค่าอาจเปลี่ยนตามเวลา/สภาพอากาศ การระบุชัดว่า “จุด–วัน–เวลาตรวจ” และ “ช่วงความเชื่อมั่น” จะทำให้ประชาชนเข้าใจภาพรวม ไม่ตื่นตระหนกหรือชะล่าใจเกินไป

เศรษฐกิจท้องถิ่น–สุขภาวะ–ความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน

ปัญหาคุณภาพน้ำไม่ได้หยุดที่ก๊อกน้ำในบ้าน ประมงพื้นบ้าน–เกษตรน้ำจืด–การท่องเที่ยวทางน้ำในเชียงราย–เชียงใหม่–ชายแดนแม่สาย ต่างผูกพันกับภาพลักษณ์–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาและกรอบ MRC จึงไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็น “นโยบายเศรษฐกิจฐานราก” และ “นโยบายต่างประเทศเชิงมนุษยธรรม” ที่ต้องเดินคู่กัน

ที่สำคัญ ผลตรวจของ คพ.ในห้วงปี 2567–2568 ไม่ได้ชี้เฉพาะค่าปนเปื้อนในน้ำเท่านั้น แต่ยังชี้ถึง “ตะกอนดินปนเปื้อน” หลายสาขาลุ่มน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บมลพิษที่อาจถูกพายุ–น้ำหลากพาออกมาได้ซ้ำ จึงจำเป็นต้องวางแผนฟื้นฟูตะกอนอย่างระมัดระวัง ไม่สร้าง “เขื่อนกักมลพิษ” ที่กลายเป็นระเบิดเวลาลงสู่ท้ายน้ำในฤดูฝนครั้งต่อไป

แผนจากวันนี้ถึง 12 เดือนหน้า: ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการที่ “ทำได้เลย”

  1. 90 วันแรก — คณะทำงานวิชาการร่วมจัดทำ protocol เก็บตัวอย่าง–วิเคราะห์–รายงานผลเดียวกัน กำหนดจุดตรวจ “หน้าด่านชายแดน” อย่างน้อย 6 จุด (กก–สาย–รวก) ความถี่รายเดือน/รายสัปดาห์ในฤดูฝน เปิด แดชบอร์ดสาธารณะสองภาษา (ไทย–พม่า) ระบุค่าปัจจุบัน+แนวโน้ม พร้อม ธงสีคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำ
  2. 180 วัน — เปิด “แผนที่เชิงปฏิบัติการ” พื้นที่เสี่ยงต้นน้ำ (เหมือง–บ่อกักเก็บ–แนวทางน้ำหลาก) พร้อม shortlist มาตรการลดผลกระทบทันที (เช่น คันกั้นชั่วคราว–ระบบบำบัดเฉพาะจุด–ปรับโหมดการทำเหมืองช่วงฝน)
  3. 12 เดือน — เผยแพร่ “รายงานสถานะน้ำชายแดนฉบับร่วม” ฉบับแรก ครอบคลุมข้อมูลคุณภาพน้ำ–ตะกอน–ชีวภาพ พร้อมกรณีศึกษา best practice หมู่บ้านเข้มแข็งด้านน้ำ 3–5 แห่งที่ปรับตัวสำเร็จ

น้ำเสียงจากพื้นที่ ความหวัง–ความคาดหวัง

ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–คณะกรรมการลุ่มน้ำ–เครือข่ายภาคประชาชนในเชียงราย–เชียงใหม่ ให้ข้อมูลตรงกันว่า สิ่งที่ชุมชนต้องการมากที่สุดคือ “ข้อมูลที่เชื่อถือได้และทันเวลา” เพราะทุกการตัดสินใจมีต้นทุน—ชาวประมงต้องรู้ว่าจะลงอวนวันไหน โรงเรียนต้องรู้ว่าจะปิด–เปิดกิจกรรมทางน้ำหรือไม่ ระบบประปาหมู่บ้านต้องรู้ว่าจะเปลี่ยนแหล่งน้ำดิบชั่วคราวเมื่อไหร่ ยิ่งมีแดชบอร์ดข้อมูลและคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำที่เข้าใจง่าย ความตื่นตระหนกก็ยิ่งลดลง

ในมุมภาครัฐ ความร่วมมือแบบคณะทำงานวิชาการร่วมถือเป็น “โครงสร้าง” ที่จะพาเรื่องนี้พ้นวงจร “ตั้งโต๊ะแก้เฉพาะหน้า–รอผลตรวจ–เกิดเหตุซ้ำ” ไปสู่ ระบบจัดการความเสี่ยง ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมเศรษฐกิจต้นน้ำได้จริง

จากเนปยีดอถึงริมกก–สาย—ก้าวย่างแรกของความไว้เนื้อเชื่อใจบนฐานข้อมูลเดียวกัน

การพบกันของผู้นำฝ่ายบริหารและหน่วยงานเทคนิคของสองประเทศครั้งนี้ ไม่ได้ปิดปัญหาข้ามพรมแดนในชั่วข้ามคืน แต่คือก้าวแรกที่จำเป็นของ “ความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงสถาบัน” (institutional trust) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อทั้งสองฝ่าย “ดูข้อมูลชุดเดียวกัน” และ “ยอมรับผลทางวิทยาศาสตร์ชุดเดียวกัน” แล้วเปลี่ยนเป็นมาตรการที่ประชาชนสัมผัสได้—น้ำสะอาดขึ้น คำเตือนชัดขึ้น ความเสียหายลดลง

ในฤดูฝนที่น้ำหลากเร็วและสารปนเปื้อนเคลื่อนตัวไว “หนึ่งวัน” ที่ประสานงานช้าอาจหมายถึง “หนึ่งชุมชน” ที่ต้องหยุดใช้แหล่งน้ำโดยไม่จำเป็น ในทางกลับกัน “หนึ่งแดชบอร์ด–หนึ่งคณะทำงาน” ที่เดินเครื่องได้จริง อาจหมายถึง “หนึ่งลุ่มน้ำ” ที่กำลังได้โอกาสเริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง 

  • ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
  • ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
  • ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
  • ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
  • ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
  • ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
  • ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คุมเข้มก่อนน้ำมา สทนช.สั่งเร่งซ่อมพนังกั้นน้ำแม่สายให้ทัน 24 ส.ค. นี้

สทนช.ลงพื้นที่เชียงราย “คุมเข้มก่อนน้ำมา” สั่งเร่งซ่อมพนังกั้นน้ำแม่สายให้ทัน 24 ส.ค. ย้ำสื่อสารมาตรฐานคุณภาพน้ำตามการใช้งาน–พร่องน้ำอ่าง–เตือนภัยเชิงรุก รับมือฝนพีค ส.ค.–ก.ย.

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — ยามสายของวันประชุมที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย แผนที่ลุ่มน้ำโขงเหนือขนาดใหญ่ถูกคลี่บนโต๊ะ กราฟคาดการณ์ฝน–ความชื้นในดิน–ระดับน้ำท่า เชื่อมโยงเข้ากับไทม์ไลน์ “งานซ่อมพนัง” ที่กำลังเดินหน้าในอำเภอแม่สาย ภาพทั้งหมดสะท้อนโจทย์เดียวกัน—รับมือฝนระลอกพีกปลายสิงหาคม–กันยายน ให้ทันก่อน “น้ำมา” และจำกัดความเสี่ยงซ้ำรอยน้ำหลากปีที่ผ่านมา

การลงพื้นที่ครั้งนี้นำโดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะประธานการประชุม คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 10/2568 โดยมีผู้แทนจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่น หน่วยงานด้านพยากรณ์อากาศและภูมิสารสนเทศ รวมถึงภาคส่วนปฏิบัติการในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สาระสำคัญคือ คำสั่งเร่งด่วนซ่อมเสริมพนังกั้นน้ำแม่น้ำสายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เพื่อ “ล็อกความเสี่ยง” ก่อนความชื้นสะสมในดินและฝนใหม่จะผนวกกันเป็นน้ำหลากรอบใหม่

ดร.สุรสีห์ ระบุว่า สถานการณ์เฝ้าระวังได้รับการติดตาม รายวัน โดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้กำกับติดตามจุดเสี่ยงสำคัญของลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อให้การสั่งการ–การสนับสนุน–และการแจ้งเตือนประชาชน ทันเวลา–ตรงจุด–ใช้การได้จริง ไม่ใช่เพียงเอกสารเตือนภัย

พายุปลายสิงหาเหตุผลของ “เส้นตาย 24 ส.ค.”

กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ว่า ตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ปริมาณฝนในลุ่มน้ำโขงเหนือมีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันภาพวิเคราะห์บรรยากาศแสดง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง ที่อาจพัฒนาเป็นพายุโซนร้อนปลายเดือน—สถานการณ์ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะ ค่าความชื้นในดินสูง อยู่แล้วจากฝนหลายระลอกก่อนหน้า เมื่อฝนก้อนใหม่ตกซ้ำลงมา น้ำฝนจะ ซึมดินได้ต่ำ–กลายเป็นน้ำท่าเร็ว–ไหลลงลำน้ำ สร้างยอดคลื่นระดับน้ำ (peak) ที่ สูงและมาไว กว่าปกติ

ถ้าพนัง–ฝาย–คอสะพาน ยังซ่อมไม่เสร็จ หรืออ่อนแรง จุดเปราะบางจะกลายเป็น ช่องทางน้ำพุ่ง เพิ่มความเสียหายแบบลูกโซ่ การกำหนดเส้นตาย 24 ส.ค. จึงไม่ใช่ตัวเลขลอย ๆ แต่ยึดโยงกับ หน้าต่างเวลา (window) ระหว่าง “ฝนเดิมยังไม่ระบายหมด” กับ “ฝนใหม่กำลังเข้า” ให้มี กันชน (buffer) เพียงพอ

คำถามชวนคิด ใน 72 ชั่วโมงหลังฝนหนัก จังหวะ “พร่องน้ำ–ปิดช่องโหว่–เสริมจุดอ่อน” จะทำได้เร็วพอหรือไม่? และการซ้อมแผนอพยพในชุมชนริมน้ำที่เคยถูกน้ำท่วมซ้ำมีความพร้อมแค่ไหน?

แม่สายคือจุดยุทธศาสตร์ พนังที่ต้องแข็งแรงก่อนฝนใหญ่

อำเภอแม่สาย คือแนวหน้ารับน้ำฝั่งเหนือ ก่อนที่น้ำจะไหลสู่ แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก–และแม่น้ำกก ต่อไป การลงพื้นที่ร่วมกับ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานท้องถิ่น จึงเจาะจงประเด็น พนังกั้นน้ำที่ชำรุด จากรอบน้ำหลากที่ผ่านมา สาระหลักของคำสั่งคือ

  • เร่ง งานโครงสร้าง: อุดรอยรั่ว–เสริมเขื่อนดิน–ปูแผ่นใยทางวิศวกรรม (geotextile) จุดวิกฤติ
  • คอสะพาน–ท่อระบายน้ำ: ตรวจโครงสร้างฐานราก–เคลียร์เศษวัสดุตัน–ติดตั้งรางระบายน้ำชั่วคราว
  • เครื่องจักรกล: วางเครื่องสูบน้ำ–รถดูดโคลน–รถแบ็กโฮ สแตนด์บาย จุดเสี่ยง
  • เฝ้าระวัง 24 ชม.: ตั้งเวรยามริมน้ำ–ติดตั้งไม้บรรทัดวัดระดับ–รายงานเข้าศูนย์ทันทีหากระดับน้ำเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

ทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้กรอบ 24 ส.ค. เพื่อให้ แม่สาย—เมืองหน้าด่าน—ยืนให้มั่นก่อนสายฝนจะเข้าทั้งละลอก

น้ำใช้ต่างกัน มาตรฐานต่างกัน” แยกเกณฑ์คุณภาพน้ำให้ชัด–สื่อสารให้ถึง

อีกแกนหลักของการประชุม คือการสื่อสารเรื่อง คุณภาพน้ำ ให้ประชาชนเข้าใจ เกณฑ์มาตรฐานตามการใช้งาน” ไม่ใช้ตัวเลขชุดเดียวครอบทุกประเภทการใช้ เพราะบริบท น้ำดิบเพื่อการประปา” กับ น้ำเพื่อเกษตร” ไม่เท่ากัน

  • เกณฑ์สารหนูในน้ำผิวดินสำหรับน้ำดิบที่ต้องบำบัดเป็นน้ำประปา: หลังบำบัดแล้วต้องมีสารหนู ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร จึงเหมาะสมสำหรับ อุปโภค–บริโภค
  • น้ำเพื่อการเกษตรบางประเภท (เช่น เพาะปลูกข้าว–เลี้ยงสัตว์น้ำ): ไม่ควรเกิน 0.05 มก./ลิตร เพื่อลดความเสี่ยงการสะสมในพืชและห่วงโซ่อาหาร

บริบทพื้นที่ปัจจุบัน แม่น้ำกก–แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก ยังตรวจพบ ค่าสารหนูเกินเกณฑ์ 0.01 มก./ลิตร ตามมาตรฐานน้ำดื่ม จึงต้องย้ำว่า น้ำธรรมชาติเหล่านี้ไม่ใช่น้ำดื่มโดยตรง” ต้องผ่าน กระบวนการบำบัด ให้ได้ตามเกณฑ์ก่อน ส่วนภาคเกษตร หากพื้นที่ใดมีค่าตรวจเกิน 0.05 มก./ลิตร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง แจ้งเตือน–ให้คำแนะนำ วิธีลดความเสี่ยง (เช่น ปรับชนิดพืช ลดการใช้น้ำแหล่งดังกล่าวชั่วคราว สำรองน้ำสะอาด หรือผสมน้ำจากแหล่งอื่น)

ที่ประชุมจึงมอบหมายให้จังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์แบบตรงประเด็น:

  1. จัดทำ อินโฟกราฟิก “น้ำใช้–เกณฑ์ต่าง” แจกออนไลน์–ออฟไลน์
  2. ติด ป้ายเตือน ณ จุดสูบน้ำดิบ และ จุดใช้น้ำเพื่อเกษตร ในหมู่บ้านริมน้ำ
  3. เปิด จุดสอบถาม/ตอบข้อสงสัย ร่วมระหว่าง สาธารณสุข–การประปา–เกษตร–ประมง–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้คำแนะนำแก่ประชาชนแบบเคส–บาย–เคส

ชุดมาตรการเชิงระบบ พร่องน้ำอ่าง–ข้อมูลแม่น–เตือนเร็ว–เครื่องมือพร้อม

เพื่อให้ “แผนบนกระดาษ” กลายเป็น “การลดความเสี่ยงจริง” ที่ประชุมกำหนดมาตรการทำงาน สอดประสานหลายมิติ ดังนี้

1) พร่องน้ำอ่างเก็บน้ำ:

  • สำรวจอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณสูง เร่งระบายเชิงป้องกัน เพื่อเพิ่ม พื้นที่รับน้ำฝน (flood cushion) โดยต้องประเมิน ผลกระทบท้ายน้ำ และสื่อสารเวลาระบายให้ชุมชนทราบล่วงหน้า
  • กำหนด เกณฑ์ตัดสินใจ (trigger level) ชัดเจน—เมื่อฝนคาดการณ์กี่มิลลิเมตรภายในกี่ชั่วโมง จะเริ่มพร่องน้ำเท่าไร

2) ข้อมูลและพยากรณ์เฉพาะพื้นที่:

  • กรมอุตุนิยมวิทยา ให้ พยากรณ์รายอำเภอ–รายลุ่มน้ำย่อย ล่วงหน้า พร้อมแจ้ง “โซนฝนหนัก–เวลาคลื่นน้ำมา”
  • GISTDA สนับสนุน ข้อมูลความชื้นในดิน และภาพถ่ายดาวเทียม อัปเดตรายสัปดาห์–เร่งด่วนเมื่อเกิดฝนหนัก เพื่อช่วยคาดการณ์ “น้ำท่ามาเร็ว” ในโซนลาดเชิงเขาและพื้นที่ชุ่มน้ำ

3) ระบบเตือนภัยและสื่อสารสาธารณะ:

  • ใช้หลายช่องทาง (SMS, ไลน์กลุ่ม อปท., เสียงตามสาย, รถประชาสัมพันธ์, เพจจังหวัด/อำเภอ/เทศบาล) เพื่อให้เตือนถึงมือประชาชนเร็ว
  • จัดตั้ง โหนดสื่อสารชุมชน” ที่มี อสม.–ผู้นำชุมชน–อปพร.–อาสากู้ภัย เป็นตัวกลางแปลข้อความเตือนให้เข้าใจง่าย และย้ำ จุดรวมพล–เส้นทางอพยพ–จุดปลอดภัย

4) ความพร้อมเครื่องมือ–กำลังพล:

  • เครื่องสูบน้ำ–รถดูดโคลน–กระสอบทราย–แผ่นเหล็กชั่วคราว–ไฟส่องสว่าง ต้องอยู่ในตำแหน่งเสี่ยงพร้อมใช้
  • ทีม โยธา–ปภ.–ทหาร–อปท. บูรณาการเวรยาม 24 ชม. ในช่วงฝนพีก

ดร.สุรสีห์ สรุปหลังลงพื้นที่ว่า จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานเกี่ยวข้อง ขยับโจทย์หลักครบด้าน แล้วทั้งโครงสร้าง–ข้อมูล–สื่อสาร–อุปกรณ์ แต่เน้นย้ำ อย่าประมาท” และต้องรักษาวินัยการแจ้งเตือนล่วงหน้า เพื่อปกป้อง ชีวิต–ทรัพย์สิน ตามนโยบายรัฐบาล

เสียงจากพื้นที่ “ทำงานเชิงรุกตั้งแต่ยังไม่ตก”

ด้านพื้นที่ แม่สาย หน่วยงานฝ่ายปกครองและท้องถิ่นรายงานความพร้อม แผนเฝ้าระวังระดับน้ำ–ซ่อมโครงสร้าง–และจุดอพยพ โดยเฉพาะ ชุมชนริมน้ำ–ตลาด–โรงเรียน ซึ่งเคยได้รับผลกระทบจากน้ำหลากที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า “ยุทธวิธีปีนี้” คือการ ลงมือก่อน ไม่รอฝนตกหนักแล้วค่อยยกระสอบทราย

ในตัวเมืองเชียงราย หน่วยงานสาธารณูปโภคเตรียม เคลียร์ท่อระบายน้ำ–ทางน้ำลัด–แก้มลิง ให้เปิดทางรับน้ำฝน โครงการ ซักซ้อมอพยพย่อม (micro drill) ในชุมชนเสี่ยงเริ่มทยอยทำ เพื่อให้ประชาชน จำทางหนีไฟของน้ำ ได้โดยอัตโนมัติ

บริบท “คุณภาพน้ำ” กลางฝนหลวง สารหนูคืออะไร–เสี่ยงอย่างไร–ประชาชนควรทำอะไร

สารหนู (Arsenic) เป็นโลหะกึ่งโลหะที่พบได้ตามธรรมชาติในดิน–หิน และอาจปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำได้จาก กระบวนการทางธรณี หรือกิจกรรมของมนุษย์ในบางบริบท ความเสี่ยงต่อสุขภาพขึ้นกับ ระดับความเข้มข้น–ระยะเวลาการสัมผัส–และวิธีการรับสัมผัส หลักการกว้าง ๆ คือ น้ำสำหรับดื่มกิน ต้องผ่านกระบวนการบำบัดให้ได้มาตรฐาน ≤ 0.01 มก./ลิตร ส่วนการใช้เพื่อเกษตรมี เกณฑ์สูงกว่า และต้องติดตาม ความเสี่ยงการสะสม ในพืช–สัตว์น้ำเป็นกรณีไป

ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำตามมาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน จากการเก็บตัวอย่างคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 21 – 25 กรกฎาคม 2568

“แม่น้ำกก” พบว่าสารหนูมีค่าสูงเกินค่ามาตรฐานฯ ทุกจุดตรวจวัด ตั้งแต่บริเวณชายแดนไทย – พม่า อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จนถึงบริเวณ ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (KK01 -KK015) โดยมีค่าอยู่ในช่วง น้อยกว่า 0.010 – 0.016 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.) ดังนี้

  • KK01 ชายแดนไทย-พม่า ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีค่าสารหนู 018 มก./ล.
  • KK02 สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย มีค่าสารหนู 029 มก./ล.
  • KK03 สะพานสองดินแดนบ้านแม่สลัก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีค่าสารหนู 016 มก./ล.
  • KK04 บ้านจะเด้อ หมู่ 6 ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • KK05 สะพานมิตรภาพแม่ยาว-ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK06 บ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 014 มก./ล.
  • KK07 สะพานข้ามแม่น้ำกก ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK08 สะพานแม่ฟ้าหลวง ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 014 มก./ล.
  • KK09 สะพานเฉลิมพระเกียรติ1 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 017 มก./ล.
  • KK10 ฝายเชียงราย ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 013 มก./ล.
  • KK11 สะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 017 มก./ล.
  • KK12 สะพานโยนกนาคนคร ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK013 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • KK014 ต.หนองป่าก่อ อ.ดอยหลวง มีค่าสารหนู 018 มก./ล.
  • KK015 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

แม่น้ำสาขาที่ไหลลงแม่น้ำกก (แม่น้ำฝาง FA01 แม่น้ำกรณ์ KO01 แม่น้ำสรวย SU01 และแม่น้ำลาว LA01) คุณภาพน้ำมีค่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด คุณภาพน้ำของแม่น้ำที่เป็นจุดอ้างอิง และลำน้ำสาขาของแม่น้ำกกยังมีค่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย

แม่น้ำสาย” สารหนู (As) เกินมาตรฐาน ทั้ง 3 จุด ดังนี้

  • SA01 บ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 055 มก./ล.
  • SA02 สะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 053 มก./ล.
  • SA03 บ้านป่าซางงาม ม.6 ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 052 มก./ล.

แม่น้ำรวก” สารหนู (As) เกินมาตรฐาน ทั้ง 2 จุด ดังนี้

  • RU01 สถานีสูบน้ำเกาะช้าง การประปาส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 040 มก./ล.
  • RU02 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จุดปลายน้ำรวกก่อนลงแม่น้ำโขง มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

แม่น้ำโขง” สารหนู (As) สูงเกินค่ามาตรฐาน ทั้ง 3 จุด ดังนี้

  • NK01 จุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • NK02 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 012 มก./ล.
  • NK03 บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

ประชาชนควรปฏิบัติอย่างไรในช่วงเฝ้าระวังน้ำหลาก?

  • อย่าใช้น้ำจากแม่น้ำ–ลำห้วยดื่มโดยตรง ให้ใช้น้ำประปาที่ผ่านมาตรฐาน หรือใช้น้ำบรรจุขวดที่ได้รับการรับรอง
  • ติดตามประกาศคุณภาพน้ำ จากจังหวัด/สาธารณสุข/การประปา หากอยู่ในพื้นที่เกษตร–ประมง ให้สอบถามคำแนะนำเฉพาะพื้นที่
  • จัดทำ แผนฉุกเฉินครัวเรือน: ย้ายปลั๊กไฟ–เครื่องใช้ไฟฟ้า–เอกสารสำคัญขึ้นที่สูง เตรียมของจำเป็น 3–5 วัน
  • รู้ จุดปลอดภัย–เส้นทางอพยพ และเฝ้าระวัง ผู้สูงอายุ–ผู้ป่วย–เด็กเล็ก เป็นพิเศษ

สถิติชวนคิด ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ช่วง ส.ค.–ก.ย. มักเป็นเดือนที่ ฝนสูงสุดของภาคเหนือ และเป็นหน้าต่างที่เกิด น้ำหลาก–ดินถล่ม สูงสุดตามสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้น การมี “แผนส่วนบุคคล” ควบคู่ “แผนจังหวัด” จึงสำคัญพอกัน

ภาพใหญ่ของความพร้อม เมื่อวิทยาศาสตร์–วิศวกรรม–การสื่อสาร ต้องเดินพร้อมกัน

การจัดการน้ำยุคใหม่ไม่ได้จบที่ “เขื่อน–พนัง–ท่อ” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเชื่อม วิทยาศาสตร์ข้อมูล (พยากรณ์ฝน–น้ำท่า–ความชื้นดิน) กับ การตัดสินใจหน้างาน และ การสื่อสารที่ประชาชนเข้าใจทันที การประชุมของ สทนช. ครั้งนี้จึงวาง สามขาค้ำยัน ไว้ครบถ้วน

  1. ขาโครงสร้าง (Infrastructure) — ซ่อม–เสริม–พร่อง ให้แหล่งรองรับน้ำพร้อมใช้ก่อนฝนถึง
  2. ขาข้อมูล (Intelligence) — ใช้พยากรณ์เฉพาะพื้นที่–ภาพถ่ายดาวเทียม–โทรมาตรน้ำฝน/ระดับน้ำ ตัดสินใจอย่างมีหลักฐาน
  3. ขาสื่อสาร (Interface) — แปลข้อมูลยากให้เป็น “สารเตือนง่าย ๆ” ที่ชุมชนทำตามได้ทันที

เมื่อสามขานี้ขยับพร้อมกัน โอกาส ลดความเสียหาย–เพิ่มเวลาตัดสินใจ จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 “ทันก่อน—ทันระหว่าง—ทันหลัง” วงจรรับมือน้ำหลากเชียงราย

เชียงรายกำลังเผชิญช่วงเวลาสำคัญของปี—ปลายสิงหาคมถึงกันยายน การที่ สทนช. ลงพื้นที่ ตรวจงานซ่อมพนัง กำหนดเส้นตายก่อนพายุ วางแผนพร่องน้ำอ่าง และขอความร่วมมือทุกหน่วยเตือนประชาชนเชิงรุก เป็นสัญญาณว่า เครื่องมือกำลังเดิน อยู่ที่ “วินัยการปฏิบัติ” ของทุกภาคส่วนจะรักษา สามทัน ต่อไปได้หรือไม่

  • ทันก่อน: ปิดจุดอ่อน–พร่องน้ำ–กระจายเครื่องมือ
  • ทันระหว่าง: เตือนเร็ว–รายงานไว–เข้าพื้นที่ชุมชนทันที
  • ทันหลัง: เก็บกู้–ประเมินความเสียหาย–ฟื้นฟูแบบยืดหยุ่น–ตรวจคุณภาพน้ำต่อเนื่อง

หากทำได้ครบวงจร ความเสียหายจากน้ำหลากก็จะ ลดระดับ จาก “วิกฤต” เหลือ “เหตุการณ์ที่จัดการได้” และเปลี่ยนพายุปลายสิงหาที่น่าวิตก ให้เป็น บทพิสูจน์ความพร้อมของทั้งระบบ ที่ประชาชนสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) — ข้อมูลการประชุม คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 10/2568 และข้อสั่งการลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD) — คาดการณ์สภาวะอากาศปลายเดือนสิงหาคม 2568 สำหรับภาคเหนือ/ลุ่มน้ำโขงเหนือ และคำเตือนหย่อมความกดอากาศต่ำ–พายุโซนร้อน
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) — ข้อมูลแผนที่ความชื้นในดินและภาพถ่ายดาวเทียมประกอบการประเมินเสี่ยงน้ำหลาก
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) / กระทรวงสาธารณสุข / การประปาส่วนภูมิภาค — แนวทางมาตรฐานคุณภาพน้ำสำหรับอุปโภค–บริโภค (สารหนู ≤ 0.01 มก./ลิตร หลังบำบัด) และหลักการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • จังหวัดเชียงราย / อำเภอแม่สาย / ปภ. — แผนเฝ้าระวังและรับมืออุทกภัยระดับจังหวัด–อำเภอ การเตรียมเครื่องจักร–จุดอพยพ–ระบบแจ้งเตือนในพื้นที่เสี่ยง
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย — ข้อมูลสนับสนุนการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและคำแนะนำต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายล้อมวง! หาทางออกวิกฤตแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง จากมลพิษเหมืองรัฐฉาน

เวทีเชียงรายชี้ชะตา “แม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง” หลายภาคส่วนระดมสมองหาทางออกวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองรัฐฉาน: จากสัญญาณเตือนวิทยาศาสตร์สู่แผนปฏิบัติการที่ต้องเดินหน้าเร็วและร่วมกัน

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — “ถ้าแม่น้ำคือเส้นเลือดของเมืองเหนือ แล้ววันนี้เลือดกำลังปนเปื้อนอะไรอยู่บ้าง?” คำถามทิ่มแทงใจนี้ไม่ใช่ถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือความจริงเชิงประจักษ์ที่กำลังกระเพื่อมจากชายแดนด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง เมื่อสารโลหะหนักจากกิจกรรมเหมืองแร่ทองคำและแรร์เอิร์ทในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลผ่านลำห้วยและแม่น้ำสาขาเข้าสู่ผืนแผ่นดินไทย ส่งผลต่อเนื่องถึง ลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง ครอบคลุม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขบนรายงาน หากคือปัจจัยเสี่ยงต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพ เศรษฐกิจฐานราก และนิเวศบริการของทั้งภูมิภาค

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 สิงหาคม 2568อาคารเรือนไม้หอม ไร่แม่ฟ้าหลวง อำเภอเมืองเชียงราย ได้มีการจัด เวทีสนทนาระดับจังหวัด เพื่อหาทางออกจากวิกฤตดังกล่าว โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแกนนำ พร้อมด้วย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายกเทศมนตรีนครเชียงราย สมาชิกรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ชุมชนท้องถิ่น และเครือข่ายปกป้องแม่น้ำ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง เป้าหมายคือ “ล้อมวงข้อมูล–หาฉันทามติ–กำหนดทิศทาง” ทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว

จากสัญญาณวิทยาศาสตร์สู่ภาวะเร่งด่วนสาธารณะตัวเลขที่ต้องอ่านให้ขาด

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานว่าระดับ สารโลหะหนักอย่าง “ตะกั่ว” และ “แมงกานีส” ในบางจุดตรวจยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มกระจายเป็นวงกว้าง ประเด็นน่ากังวลคือสารเหล่านี้ สะสมในห่วงโซ่อาหาร ได้ ทั้งในปลา พืชน้ำ และพืชไร่ริมน้ำ ขณะเดียวกันในช่วงฤดูฝน ความเสี่ยงการชะล้าง–พัดพา ยิ่งเพิ่ม การประเมินผลกระทบจึงไม่จำกัดเฉพาะ “คุณภาพน้ำดิบเพื่อผลิตประปา” แต่ครอบคลุม เกษตร–ประมง–ท่องเที่ยว–สุขภาพชุมชน ความเสียหายอาจไม่ส่งเสียงดังในวันเดียว แต่ค่อย ๆ กัดเซาะศักยภาพพื้นที่อย่างเงียบเชียบ

เวทีได้ตั้งคำถามชวนคิด 3 ข้อ ซึ่งเป็นกรอบวิเคราะห์สำคัญของวันนั้น:

  1. น้ำดื่มน้ำใช้ ของครัวเรือนที่พึ่งพาแม่น้ำและบ่อบาดาลชายฝั่งน้ำ มีความเสี่ยงระดับใด และควร จัดหาน้ำดิบทางเลือก จากแหล่งใดทันที?
  2. ห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ผัก–ปลา–ข้าว–ของป่า มีรูปแบบเฝ้าระวัง–เก็บตัวอย่าง–แจ้งเตือนแบบ รู้เร็ว–รู้ถูก–รู้ทัน” แล้วหรือยัง?
  3. ในบริบท ภัยพิบัติ (น้ำป่า–น้ำหลาก) ที่กำลังเข้าสู่จุดพีกของปี เมือง–ชุมชนพร้อมแค่ไหน หาก น้ำหลากปนเปื้อน เข้าท่วมพื้นที่กว้าง?

เสียงจากเวทีชุดข้อเสนอ “เร่งด่วน–กึ่งเร่งด่วน–เชิงโครงสร้าง”

การระดมสมองนำไปสู่ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการหลายประเด็น โดยสรุปแกนหลักได้ดังนี้

  • จัดหาแหล่งน้ำดิบสำรอง/ทดแทน เพื่อผลิตประปาให้กับระบบประปาชุมชนที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน ลดความพึ่งพิงจากจุดน้ำแม่น้ำสายหลักในช่วงเฝ้าระวังเข้มข้น
  • ตั้ง “ศูนย์ตรวจสอบมลพิษโลหะหนัก” ประจำจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็น โหนดกลางข้อมูล เชื่อม คพ.–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์–เกษตรจังหวัด–ประมงจังหวัด–อบจ.–เทศบาล/อบต. เพื่อทดสอบ–วิเคราะห์–สื่อสารผลอย่างมีมาตรฐานเดียวกัน
  • เฝ้าระวังห่วงโซ่อาหาร โดย สุ่มเก็บตัวอย่าง “ปลา–ผลิตผลเกษตร–น้ำประปาหมู่บ้าน” รายเดือน พร้อมพัฒนา เกณฑ์สื่อสารความเสี่ยง ที่ชุมชนเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง
  • ทบทวนแนวนโยบาย “ฝายดักตะกอน” ให้รอบด้านทั้งวิศวกรรม–นิเวศ–การจัดการตะกอนพิษหลังจบภารกิจ ป้องกันการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยไม่จัดการต้นตอ
  • แผนรับมือ “น้ำหลากปนเปื้อน” วาง จุดเฝ้าระวัง–จุดแจ้งเตือน–จุดพักคอยน้ำดิบ–ระบบแจกจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน ให้คล้องจองกับปฏิทินฝน–น้ำหลากของพื้นที่จริง

ในฝั่งสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รายงานว่าได้จัดให้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด อบจ. 19 แห่ง ครอบคลุม 7 อำเภอ เป็น จุดรับ–คัดกรองผู้ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ” ตั้งแต่ เมษายน 2568 เป็นต้นมา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษา จากเหตุปนเปื้อนดังกล่าว ขณะเดียวกัน อบจ. เชียงรายร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย สำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานประมงจังหวัด เดินหน้าการ เก็บตัวอย่างปลา–น้ำประปาหมู่บ้าน–พืช ใน 7 อำเภอ อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ตั้งแต่ พฤษภาคม 2568 เพื่อคง “หลักฐานเชิงประจักษ์ต่อเนื่อง” และแจ้งเตือนชุมชนทันเวลา

ข้ามพรมแดนด้วยการทูตหลายชั้น จากโต๊ะฉุกเฉินสู่กรอบพหุภาคี

เวทีได้สรุปไทม์ไลน์ “การขยับเขยื้อน” ของภาครัฐไทยที่ขยายตัวจาก ระดับจังหวัด–หน่วยงานกลาง–การทูตทวิภาคี–สู่กรอบพหุภาคี ดังนี้

  • 30 เม.ย. 2568: ภาคประชาชนจาก 13 ชุมชน ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร้องให้เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ–ดิน–ผลผลิต และเปิดเผยผลอย่างโปร่งใส รัฐบาลจัดประชุมฉุกเฉินระดับสูงในวันเดียวกัน กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการข้อมูล
  • 15 พ.ค. 2568: ประชุมเตรียมความพร้อมทางเทคนิค ระหว่าง คพ. กรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA กพร. เพื่อ บูรณาการข้อมูลสิ่งแวดล้อม–ภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ สำหรับใช้ประกอบการเจรจากับเมียนมา
  • 30 มิ.ย. 2568: กำหนดการประชุม คณะผู้เชี่ยวชาญไทย–เมียนมา เพื่อวางแผนจัดการมลพิษ (รายละเอียดผลประชุมอยู่ระหว่างสรุป)
  • 2–4 ก.ค. 2568: ยกระดับเรื่องเข้าสู่การประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือทางทหารชายแดน เพื่อสร้าง ความเข้าใจร่วมด้านความมั่นคง–สิ่งแวดล้อม
  • 21 ก.ค. 2568: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) จัดประชุมระดับภูมิภาคที่เชียงราย โดยมี ไทย–ลาว–กัมพูชา–เวียดนาม และ เมียนมา เข้าร่วมในฐานะ ประเทศคู่เจรจา” เพื่อเริ่ม โครงการติดตามคุณภาพน้ำร่วมกัน
  • ปลาย ส.ค. 2568: เตรียม หารือระดับรัฐมนตรี ไทย–เมียนมา ที่กรุงเนปยีดอ เพื่อยกระดับมาตรการร่วมที่ เป็นรูปธรรม ยิ่งขึ้น

การเดินหน้าตาม หลายสนาม–หลายสถาบัน สะท้อนความเข้าใจว่าโจทย์นี้ ไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิคโดด ๆ หากแฝงความซับซ้อนด้าน อธิปไตยรัฐ–กลุ่มผู้ถืออาวุธในพื้นที่–แรงจูงใจทางเศรษฐกิจของผู้ลงทุนข้ามชาติ การใช้ กรอบพหุภาคี MRC จึงช่วย เปิดไฟหน้า” ให้ประเด็นนี้อยู่ในการมองเห็นร่วมของภูมิภาคและสากล เพิ่มแรงหนุนด้าน ข้อมูล–มาตรฐาน–แรงกดดันเชิงบรรทัดฐาน ต่อคู่เจรจา

ฝายดักตะกอน” กับเส้นแบ่งปลายเหตุ–ต้นเหตุทำอย่างไรให้ไม่ทิ้งระเบิดเวลา

หนึ่งในข้อถกเถียงสำคัญคือแนวทางสร้าง ฝายดักตะกอน” เพื่อชะลอ–ดักจับสารปนเปื้อนก่อนเข้าเขตเมือง เวทีย้ำว่า ต้องประเมินผลได้–ผลเสียอย่างรอบด้าน เพราะแม้ฝายจะช่วยลดความเข้มข้นสารบางช่วงเวลา แต่ก็สร้าง โจทย์การจัดการ “ตะกอนพิษ” ที่สะสมด้านหลัง หากไร้ระบบเก็บ–ขน–กำจัดอย่างปลอดภัย อาจ เปลี่ยนความเสี่ยงจากแบบกระจายตัวเป็นก้อนใหญ่ ที่รอวันหลุดรั่วในอนาคต

ที่สำคัญ การแก้ปลายทาง ไม่อาจแทนที่ การจัดการที่ ต้นเหตุฝั่งต้นน้ำ ซึ่งเกี่ยวพันกับระเบียบวิธีทำเหมือง (เช่น แบบชะละลายในชั้นดิน) มาตรฐานสิ่งแวดล้อม การกำกับผู้ประกอบการ และการเข้าถึงพื้นที่โดยรัฐที่มีข้อจำกัด เวทีจึงเสนอ “2 รางคู่ขนาน” คือ

  1. ผลิต–รักษาน้ำปลอดภัยปลายน้ำ ด้วยมาตรการวิศวกรรม–สื่อสารความเสี่ยง–น้ำทดแทน–ระบบคัดกรองสุขภาพ
  2. ลด–หยุดมลพิษต้นน้ำ ผ่าน กรอบความร่วมมือทวิภาคี/พหุภาคี การตรวจสอบโดยอิสระ และกลไกกดดันผู้ลงทุนให้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล

เปิดข้อมูล–เปิดความไว้วางใจ ทำ “แดชบอร์ดคุณภาพน้ำ” ให้เป็นภาษาชาวบ้าน

ความไว้วางใจเกิดจาก ข้อมูลที่เข้าถึงได้และตรวจสอบได้ เวทีมีฉันทามติให้ผลักดัน แพลตฟอร์มข้อมูลคุณภาพน้ำแบบใกล้เคียงเรียลไทม์ ระดับจังหวัด รวมทั้ง รายงานคงที่รายเดือน ที่สื่อสาร สี–เกณฑ์–ข้อแนะนำปฏิบัติ ในภาษาง่าย ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางเคมี พร้อมตั้ง หมายเลขประสานฉุกเฉิน ให้ประชาชนแจ้งเหตุผิดปกติ และเตรียม ชุดทดสอบภาคสนาม สำหรับท้องถิ่นที่จำเป็น วิธีคิดนี้จะเปลี่ยนจาก “การบอก” เป็น “การร่วมเฝ้าระวัง” ลดข่าวลือ–ลดความตื่นตระหนก และเปลี่ยนพลังชุมชนเป็น เซ็นเซอร์สังคม ที่ทำงานเคียงคู่ห้องแล็บ

สุขภาพ–เศรษฐกิจ–มนุษยธรรมทำไมประเด็นนี้ใหญ่กว่าสิ่งแวดล้อม

เวทีประเมินเอกสารวิชาการด้านพิษวิทยาชี้ว่า การสัมผัสโลหะหนักเรื้อรัง เช่น ตะกั่ว อาจสัมพันธ์กับ พัฒนาการเด็ก–ระบบประสาท–หัวใจและหลอดเลือด ส่วนแมงกานีสในระดับสูงสัมพันธ์กับ อาการคล้ายพาร์กินสัน–ความผิดปกติระบบประสาทส่วนกลาง ความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่เท่ากันทุกคน กลุ่ม เด็กเล็ก–หญิงตั้งครรภ์–ผู้สูงวัย–ผู้มีโรคประจำตัว จะเปราะบางกว่า จึงเข้าข่าย ประเด็นสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ที่รัฐต้องจัด น้ำปลอดภัยและข้อมูลปลอดภัย ให้เพียงพอ

ในทางเศรษฐกิจ ประมงพื้นบ้าน–การเกษตรริมน้ำ–ท่องเที่ยวทางน้ำ คือฐานรายได้สำคัญของพื้นที่ชายฝั่งกก–สาย–รวก–โขง ความไม่แน่นอนเรื่องคุณภาพน้ำสร้าง ต้นทุนแฝง ทั้งยอดขายที่หายไป ค่าใช้จ่ายตรวจแล็บ การเปลี่ยนรูปแบบทำมาหากิน และภาพลักษณ์เมือง เวทีจึงเห็นพ้องให้จัด กองทุนหนุนอาชีพ–สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ–ตลาดปลอดภัย เพื่อ พยุงความเป็นอยู่ ระหว่างรอผลเชิงโครงสร้าง

แผน “4 ป.” ที่เชียงรายเสนอขึ้นสู่โต๊ะนโยบาย

  1. ป้องกัน – วางแนวกันชนพื้นที่เสี่ยง ปรับระบบสูบน้ำดิบ ปรับปรุงกระบวนการผลิตน้ำประปาและตรวจคัดกรองสุขภาพเชิงรุก
  2. พิสูจน์ – ตั้งศูนย์วิเคราะห์กลางระดับจังหวัด มาตรฐานเดียวกัน เชื่อมฐานข้อมูลกับ คพ.–สทนช.–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ และ MRC
  3. ประสาน – เดินหน้าการทูตหลายระดับ (ผู้เชี่ยวชาญ–ทหาร–รัฐมนตรี–พหุภาคี) และใช้ ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ จาก GISTDA เป็นพยานหลักฐาน
  4. เปิดเผย – สร้างแดชบอร์ดคุณภาพน้ำสาธารณะ รายงานสม่ำเสมอ แจ้งเตือนตรงเป้าหมาย และเปิดช่องทางร้องเรียน–ติดตามผล

หน้าต่างเวลาไม่รอ—ต้อง “ทำพร้อมกันหลายอย่าง” และทำให้เร็วพอ

วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดน ไม่ได้มีสวิตช์ปิด–เปิด แต่มี “หน้าต่างเวลา” ที่ถ้าทำเร็วและถูกทางจะจำกัดความเสียหายได้ เวทีเชียงรายได้แสดง ความพร้อม–ความตั้งใจ–และแผนการ ที่จับต้องได้ ตั้งแต่การจัดแหล่งน้ำสำรอง การตั้งศูนย์วิเคราะห์กลาง การเฝ้าระวังห่วงโซ่อาหาร การทบทวนมาตรการวิศวกรรม ไปจนถึงการขยายพลังการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านและกรอบภูมิภาค

โจทย์ถัดไปคือ ทำให้ต่อเนื่องและโปร่งใส พร้อมส่งเสียงจากชายแดนให้ดังพอถึงส่วนกลางและโต๊ะเจรจาระหว่างประเทศ ในขณะที่ชุมชนต้องมีเครื่องมือ–ข้อมูล–และทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ปลอดภัยกว่าเดิม ทุกฝ่ายรู้ดีว่า แม่น้ำไหลไม่หยุด และ สารพิษก็เช่นกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “เรือเดียวกัน” ของคนลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง จะแล่นผ่านความปั่นป่วนนี้ไปได้โดยไม่ปล่อยให้ใครตกน้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.): รายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำและการปนเปื้อนโลหะหนักในลุ่มน้ำภาคเหนือ (ข้อมูลเชิงเทคนิคและผลตรวจในพื้นที่)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.): สรุปผลประชุมและโรดแมปความร่วมมือด้านการติดตามคุณภาพน้ำข้ามพรมแดน
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC): เอกสารแนวคิดการติดตามคุณภาพน้ำร่วมกับประเทศสมาชิกและ “ประเทศคู่เจรจา” รวมถึงแนวทางมาตรฐานการเฝ้าระวังภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์): ผลการเก็บ–ตรวจตัวอย่าง ปลา–น้ำประปาหมู่บ้าน–พืช ในพื้นที่ 7 อำเภอของเชียงราย (รายเดือน ตั้งแต่ พ.ค. 2568)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย): แผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขชุมชน รพ.สต. 19 แห่งใน 7 อำเภอ และสรุปการประสานงานกับหน่วยงานวิชาการ–เกษตร–ประมง
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.): ข้อมูลพื้นฐานกิจกรรมเหมืองและมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง (ประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุ)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA): ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ สนับสนุนการติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ต้นน้ำ
  • คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC): บันทึกการประชุมความร่วมมือชายแดนไทย–เมียนมา (ประเด็นความมั่นคงชายแดนและสิ่งแวดล้อม)
  • จังหวัดเชียงราย/ศูนย์ดำรงธรรม: เอกสารการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชน การประสานงานส่วนกลาง และสรุปผลเวทีสาธารณะ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายมีโจทย์ใหม่! คะแนน ITA ดีแต่ยังรั้งท้ายอันดับ 61 ต้องยกระดับความโปร่งใสให้ถึง 100%

ITA 2568 เปิดหน้าต่างธรรมาภิบาล เชียงรายคะแนนเฉลี่ย 94.03 ผ่านเกณฑ์ 97.24% แต่ยังรั้งอันดับ 45 ประเทศ—โจทย์ใหม่คือยกระดับ “โปร่งใส-เปิดเผย-รับผิดชอบ” ให้ถึง 100% ตามแผนแม่บทชาติ

เชียงราย, 17 สิงหาคม 2568 — ประกาศผล “การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ 2568” ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ออกมาแล้ว ท่ามกลางสายตาสังคมที่จับจ้องว่าคะแนนชุดนี้สะท้อน “สุขภาวะองค์กรภาครัฐ” ได้มากเพียงใด และจะเป็นเชื้อไฟให้การปฏิรูปธรรมาภิบาลเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรมเพียงใด

ในภาพรวมประเทศ ปีนี้มีหน่วยงานเข้าร่วมประเมิน 8,317 หน่วยงาน ได้คะแนนเฉลี่ย 93.82 คะแนน (เพิ่มขึ้น +0.77) ขณะที่สัดส่วนหน่วยงานที่ “ผ่านเกณฑ์” (ได้ ≥ 85 คะแนน) อยู่ที่ 94.17% หรือ 7,832 หน่วยงาน และ “ไม่ผ่านเกณฑ์” 5.83% รวม 485 หน่วยงาน สะท้อนทิศทางบวกต่อเนื่อง แต่ยังไม่ถึงเป้าหมายตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 (ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ) ที่ตั้งไว้ “ให้ผ่าน 100%” ในปี 2568

ขณะที่ จังหวัดเชียงราย ภาพรวม “ผ่านเกณฑ์” 97.24% จากหน่วยงานภาครัฐ 145 แห่ง (ผ่าน 141 แห่ง) แต่เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นทั่วประเทศ (76 จังหวัด) เชียงรายยังอยู่ที่ อันดับที่ 45 และในกลุ่ม 9 จังหวัดภาคเหนือ อยู่อันดับ 7 (เหนือกว่าเพียงลำปางและลำพูน) ด้วยคะแนนเฉลี่ย 94.03 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศเพียงเล็กน้อย แต่ต่างชั้นกับ “จังหวัดที่ผ่านคะแนนดีอย่างจังหวัด” เช่น แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ แพร่ พะเยา   —คำถามจึงผุดขึ้นว่า “เชียงรายขาดอะไร?” และ “จะเติมเต็มให้ถึง 100% ตามแผนแม่บทชาติได้อย่างไรในปีถัดไป?”

เส้นเรื่องของ ITA  จากเครื่องมือวัดสู่เข็มทิศปฏิรูป

การประเมิน ITA มิใช่การจัดอันดับเพื่อรางวัล หากแต่ถูกออกแบบให้เป็น “เครื่องมือตรวจสุขภาพองค์กรภาครัฐ” ประจำปี จุดเริ่มต้นย้อนไปตั้งแต่ พ.ศ. 2552 ในช่วงศึกษาวิจัยและออกแบบเครื่องมือ โดยบูรณาการองค์ความรู้ไทยกับประสบการณ์จากสาธารณรัฐเกาหลี (ACRC) ก่อนเริ่มทดสอบนำร่องในปี 2555 จากนั้นขยายสู่การประเมินภาคบังคับตามมติคณะรัฐมนตรี 5 ม.ค. 2559 ครอบคลุมส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่นทั่วประเทศ

ปี 2561 เป็นหมุดหมายสำคัญ เมื่อกรอบการประเมินปรับสู่ 10 ตัวชี้วัด ครอบคลุมมิติ “โปร่งใส–รับผิด–ปลอดทุจริต–วัฒนธรรมคุณธรรม–การเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ” พร้อมยกระดับระบบสารสนเทศ ITAS เพื่อทำงานแบบดิจิทัลทั้งประเทศ และตั้งแต่ 2565 เป็นต้นมา สำนักงาน ป.ป.ช. รับบท “ผู้ดำเนินการประเมินเอง” แทนรูปแบบจ้างที่ปรึกษาเดิม ผลด้านประสิทธิภาพงบประมาณจึงชัดเจน: จากระดับ กว่า 270 ล้านบาท/ปี ในช่วงก่อนหน้า ลดลงเหลือราว 35–36 ล้านบาท/ปี ในช่วง 2566–2568 ขณะยังรักษามาตรฐานการประเมินทั้งเชิงวิชาการและความเที่ยงตรง

เครื่องมือ ITA ปัจจุบันใช้ 3 ชุดหลัก ได้แก่

  1. IIT แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (เจ้าหน้าที่)
  2. EIT แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (ประชาชน/ผู้รับบริการ)
  3. OIT แบบวัดการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะผ่านเว็บไซต์ทางการของหน่วยงาน

ทั้งสามเครื่องมือบังคับให้หน่วยงาน “เปิดเผย–อธิบาย–รับผิดชอบ” ต่อข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่ตอบแบบสอบถาม ทำให้คะแนน ITA กลายเป็นสัญญาณเตือนภัยเชิงระบบ (early warning) ว่าองค์กรใดมี “จุดอ่อนเชิงกระบวนการ” ที่ต้องเร่งแก้ไข

ภาพรวมประเทศ 2568 ดีขึ้นแต่ยังไม่ถึงหลักชัย 100%

  • หน่วยงานเข้าร่วม: 8,317 แห่ง
  • คะแนนเฉลี่ยประเทศ: 93.82 (+0.77)
  • ผ่านเกณฑ์ (≥ 85): 7,832 แห่ง (94.17%)
  • ไม่ผ่านเกณฑ์: 485 แห่ง (5.83%)

เมื่อเทียบเป้าหมายแผนแม่บท (ต้องผ่าน 100% ในปี 2568) ความจริงคือ “เราดีกว่าปีก่อน แต่ยังไม่ถึงเส้นชัย” และนั่นหมายความว่าปีถัดไป แรงกดดันต่อผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้บริหารท้องถิ่นจะ “มากขึ้น” ในการปิดช่องโหว่ที่ส่งผลต่อคะแนน OIT/IIT/EIT โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปิดข้อมูลเชิงรุก การปรับขั้นตอนบริการให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ หรือการยกระดับกลไกรับเรื่องร้องเรียน-ผลักดันวัฒนธรรมไม่ยอมรับสินบนในหน่วยงาน

เจาะลึกผลคะแนนเชียงรายในกระจก ITA ระดับผ่านดี 94.83% แต่ทำไมอยู่อันดับ 45 ประเทศ?

จังหวัดเชียงราย ปีนี้มีหน่วยงานเข้าร่วมประเมิน 145 แห่ง ผ่านเกณฑ์ 141 แห่ง คิดเป็น 97.24% ได้คะแนนเฉลี่ย 94.03% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศเล็กน้อย ผลคือเมื่อจัดอันดับ 76 จังหวัดทั่วประเทศ เชียงรายอยู่ อันดับ 45 แต่ถ้าลองเจาะเข้าไปใน ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ประเภทจังหวัด (ราชการส่วนภูมิภาค) พบว่าจังหวัดเชียงรายคะแนนหน่วยงานภาครัฐ ITA 2568 อยู่ที่ 94.83% และถ้าเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา +3.22 อยู่ในระดับผลการประเมินผ่านี

และเมื่อเทียบกับ 9 จังหวัดภาคเหนือ พบว่าเชียงรายอยู่ อันดับ 7 ด้านสัดส่วนผ่านเกณฑ์ โดยกลุ่มที่ทำอันดับได้ก่อนหน้า ได้แก่

  1. แม่ฮ่องสอน – 99.20%
  2. เชียงใหม่ – 99.10%
  3. แพร่ – 98.93%
  4. อุตรดิตถ์ – 96.78%
  5. พะเยา – 96.34%
  6. น่าน – 95.42%
  7. เชียงราย – 94.83%
  8. ลำปาง – 92.60%
  9. ลำพูน – 90.14%

 

คำถามชวนคิด:

  • เมื่อ “ผ่านเกณฑ์” แล้ว ทำไมอันดับยังอยู่ช่วงท้าย ?
  • เชียงรายยังติดคอขวดที่ “มิติใด” ของ ITA—การเปิดเผยข้อมูล (OIT), ประสบการณ์ผู้รับบริการ (EIT) หรือวัฒนธรรมคุณธรรมภายใน (IIT) ?
  • หน่วยงานใดคือ “ต้นแบบ” ที่ยกระดับได้โดดเด่น และหน่วยงานใด “ถดถอย” จนต้องส่งสัญญาณเตือน ?

คำตอบบางส่วนสะท้อนผ่าน “รายละเอียดระดับสถาบัน/ท้องถิ่น” ที่ช่วยบอกทิศทางการแก้ไขเชิงจุด

มหาวิทยาลัยในภาคเหนือ เชียงรายมี “แชมป์ห้องเรียนโปร่งใส”

กลุ่มอุดมศึกษาในภาคเหนือ ผลคะแนนปีนี้ชี้ให้เห็น “ต้นแบบธรรมาภิบาลในรั้วมหาวิทยาลัย” หลายแห่ง โดยเฉพาะในเชียงรายเอง

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) 97.37 (+2.06) – ระดับ “ผ่านดี”
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (เชียงราย) 95.16 (+1.39) – “ผ่านดี”
  • อื่นๆ ในภูมิภาค: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ 95.54 (+4.38), มหาวิทยาลัยพะเยา 95.40 (+0.36), มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 92.61 (+1.07) และมหาวิทยาลัยนเรศวร 91.19 (+1.28) เป็นต้น

ข้อมูลนี้บอกเราว่า “ความโปร่งใสทำได้” หากมีภาวะผู้นำที่ย้ำวัฒนธรรมเปิดเผยข้อมูลเชิงรุก และการบริการที่ยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ตลอดจนระบบติดตามผลที่จริงจัง

เทศบาลในเชียงราย ใครขึ้น ใครลง—สัญญาณที่ผู้บริหารต้องรับไปทำการบ้าน

10 เทศบาลคะแนนสูงสุด (จาก 74 เทศบาลในจังหวัด) สะท้อน “การยกระดับอย่างต่อเนื่อง” หลายแห่งขยับคะแนนขึ้นแรงและแตะระดับ “ดีเยี่ยม” เช่น

  1. เทศบาลตำบลบ้านดู่ เมืองเชียงราย 99.91 (+4.71)ดีเยี่ยม
  2. เทศบาลตำบลเวียงเทิง เทิง 99.54 (+3.88)ดีเยี่ยม
  3. เทศบาลตำบลหงาว เทิง 99.06 (+3.26)ดีเยี่ยม
  4. เทศบาลตำบลป่าแงะ ป่าแดด 98.40 (+4.58)ผ่านดี
  5. เทศบาลตำบลป่างิ้ว เวียงป่าเป้า 98.10 (-0.71)ดีเยี่ยม
  6. เทศบาลตำบลแม่จัน แม่จัน 97.93 (+4.11)ดีเยี่ยม
  7. เทศบาลตำบลแม่สาย แม่สาย 97.83 (+6.05)ผ่านดี
  8. เทศบาลตำบลศรีดอนชัย เชียงของ 97.59 (+3.73)ดีเยี่ยม
  9. เทศบาลตำบลเวียงชัย เวียงชัย 97.31 (+3.49)ผ่านดี
  10. เทศบาลบ้านเหล่า เวียงเชียงรุ้ง 97.27 (+5.18)ผ่านดี

ขณะเดียวกัน 10 เทศบาลที่คะแนน “ลดลงมาก” เมื่อเทียบปีก่อน (ซึ่งควรถูกหยิบเป็น “โจทย์เฉพาะ” ในห้องประชุมบอร์ดธรรมาภิบาล) ได้แก่

  • เทศบาลตำบลแม่สรวย แม่สรวย 65.86 (-19.98)ต้องปรับปรุงโดยด่วน
  • เทศบาลตำบลเมืองพาน พาน 90.05 (-6.03)ผ่าน
  • เทศบาลตำบลหล่ายงาว เวียงแก่น 92.12 (-5.60)ผ่าน
  • เทศบาลตำบลดอนศิลา เวียงชัย 86.11 (-5.06)ผ่าน
  • เทศบาลตำบลบ้านปล้อง เทิง 92.86 (-4.24)ผ่านดี
  • เทศบาลนครเชียงราย เมืองเชียงราย 94.71 (-4.00)ผ่านดี
  • เทศบาลตำบลแม่ขะจาน เวียงป่าเป้า 92.20 (-3.23)ผ่านดี
  • เทศบาลตำบลม่วงยาย เวียงแก่น 92.12 (-2.88)ผ่านดี
  • เทศบาลตำบลพญาเม็งราย พญาเม็งราย 92.03 (-2.60)ผ่านดี
  • เทศบาลตำบลเวียง เชียงของ 93.27 (-2.35)ผ่านดี

ตัวเลข “ติดลบ” ไม่ได้หมายถึงองค์กรทุจริต หากแต่ชี้ตำแหน่ง “ข้อติดขัด” ในระบบ—ตั้งแต่การเปิดข้อมูล (OIT) ที่อาจขาดความครบถ้วน/ทันสมัย ไปจนถึงประสบการณ์ผู้รับบริการ (EIT) ที่สะท้อนความรู้สึกต่อความโปร่งใสและความเป็นธรรมของกระบวนการบริการ

องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เชียงราย ดีเยี่ยมกับเร่งฟื้นฟู—ภาพต่างกันที่เห็นได้ชัด

10 อบต. คะแนนสูงสุด สะท้อนต้นแบบการบริหารโปร่งใสในชนบทอย่างน่าชื่นชม เช่น

  1. อบต.เวียง เวียงป่าเป้า 99.20 (+2.88)ดีเยี่ยม
  2. อบต.ทุ่งก่อ เวียงเชียงรุ้ง 99.59 (+8.01)ดีเยี่ยม
  3. อบต.ศรีเมืองชุม แม่สาย 99.98 (+2.02)ดีเยี่ยม
  4. อบต.วังห้าว พาน 97.96 (+0.61)ดีเยี่ยม
  5. อบต.ป่าหุ่ง พาน 97.52 (+0.24)ดีเยี่ยม
  6. อบต.ธารทอง พาน 98.85 (+7.33)ดีเยี่ยม
  7. อบต.ทานตะวัน พาน 98.85 (+7.33)ดีเยี่ยม
  8. อบต.ป่าตึง แม่จัน 98.80 (+8.44)ผ่านดี
  9. อบต.แม่เจดีย์ใหม่ เวียงป่าเป้า 98.18 (+7.64)ผ่านดี
  10. อบต.แม่เย็น พาน 97.99 (+3.59)ผ่านดี

10 อบต. ที่ต้อง “เร่งฟื้นฟู” จากคะแนนที่ลดลงหรือยังต่ำเมื่อเทียบมาตรฐาน ได้แก่

  • อบต.ปงน้อย ดอยหลวง 81.61 (-9.51)ต้องปรับปรุง
  • อบต.แม่ฟ้าหลวง แม่ฟ้าหลวง 81.32 (-7.32)ต้องปรับปรุง
  • อบต.วาวี แม่สรวย 81.89 (-8.18)ต้องปรับปรุง
  • อบต.ดอยงาม พาน 91.45 (-4.96)ผ่าน
  • อบต.สันสลี เวียงป่าเป้า 92.53 (-3.27)ผ่าน
  • อบต.ห้วยชมภู เมืองเชียงราย 93.02 (-3.71)ผ่าน
  • อบต.แม่เจดีย์ ดอยหลวง 92.00 (-1.92)ผ่านดี
  • อบต.หนองป่าก่อ ดอยหลวง 88.63 (-1.46)ผ่าน
  • อบต.เจริญเมือง พาน 94.45 (-0.92)ผ่านดี
  • อบต.ศรีถ้อย แม่สรวย 92.19 (-0.81)ผ่าน

ข้อค้นพบเชิงสังคมคือ “ถนนสายธรรมาภิบาล” ไม่ได้ตัดผ่านเฉพาะเมืองใหญ่ หลาย อบต.ในชนบททำผลงานโดดเด่น—แปลว่าถ้าจับ “กระบวนการที่ใช้ได้ผล” จาก อบต.แถวหน้าถ่ายทอดสู่ อบต.ที่ต้องเร่งฟื้นฟู โอกาสยกระดับทั้งจังหวัดจะเกิดขึ้นจริง

ตัวเลขที่ชวนคิด งบ ITA ลดฮวบ แต่คุณภาพประเมินไม่ถอย

ข้อมูลงบประมาณประเมิน ITA เปรียบเทียบช่วงเวลาก่อน–หลังย้ายมาดำเนินการโดยสำนักงาน ป.ป.ช.เอง ชี้ผลเชิงประสิทธิภาพชัดเจน

  • ก่อนยุค ITAS/จ้างที่ปรึกษา: วงเงินราว 271 ล้านบาท/ปี
  • ยุค ITAS + ป.ป.ช.ดำเนินการเอง (2565–2568): เหลือ 36 ล้านบาท/ปี (2566: 35.91, 2567–2568: 36.01 ล้านบาท)

เมื่อเครื่องมือประเมินพัฒนาและต้นทุนลดลง คำถามต่อไปคือ “เราจะใช้ ITA ให้เป็นมากกว่า ‘คะแนน’ ได้อย่างไร?” เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมและระบบอย่างแท้จริง

โจทย์สำหรับเชียงราย ขยับจาก “ผ่าน” ไปสู่ “นำ”

  1. เปิดข้อมูลเชิงรุก (OIT) ให้ครบ–ลึก–ใช้ได้จริง
    ไม่ใช่แค่โพสต์เอกสาร แต่ต้อง “สืบค้นง่าย–อัปเดตสม่ำเสมอ–เชื่อมโยงภารกิจและงบประมาณ” ตัวชี้วัด OIT จะดีขึ้นทันที และที่สำคัญ “ความไว้วางใจ” จะสะสมในสายตาประชาชน
  2. ยกระดับประสบการณ์ผู้รับบริการ (EIT)
    ทุกจุดบริการของจังหวัด/เทศบาล/อบต. ต้องมี “มาตรฐานเดียวกัน” ตั้งแต่เวลาให้บริการ ช่องทางร้องเรียน ไปจนถึงการสื่อสารสิทธิ–ขั้นตอน–ค่าธรรมเนียม อย่างชัดเจนและ ตรวจสอบได้
  3. ปลูกวัฒนธรรมไม่ยอมรับสินบน (IIT)
    ทำให้การ “ปฏิเสธการให้–รับผลประโยชน์” กลายเป็นเรื่องปกติผ่านการอบรม กติกาภายใน และกลไกป้องกันความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยเฉพาะงานพัสดุ–งบประมาณ–ใบอนุญาต
  4. นำร่อง “พี่เลี้ยงธรรมาภิบาล”
    ใช้หน่วยงานแถวหน้า (เช่น เทศบาลที่ได้ 97–99 คะแนน, อบต.ที่เกือบเต็มร้อย) เป็นพี่เลี้ยงให้หน่วยงานที่ต้องเร่งฟื้นฟู เพื่อถ่ายทอด “วิธีทำงานจริง” ไม่ใช่แค่เช็กลิสต์เอกสาร
  5. ตั้ง “War Room ITA จังหวัด” 90 วัน
    เจาะรายตัวชี้วัดที่ตก ขจัดอุปสรรคย่อย (เช่น เว็บไซต์ไม่อัปเดต, เอกสารไม่ครบ, ช่องทางร้องเรียนไม่ตอบสนอง) แล้วประกาศ “Roadmap เชียงราย 100%” ให้ชัดเจน

การสื่อสารของ ป.ป.ช. ITA เป็น “เครื่องมือบวก” ไม่ใช่ “ตัดสินประจาน”

จากเนื้อหาประกาศ สำนักงาน ป.ป.ช. ย้ำชัดว่า ITA เป็น “เครื่องมือเชิงบวก” เพื่อให้หน่วยงานรัฐรู้สถานะจริงของตนเอง เห็นช่องโหว่ และนำผลไปปรับปรุงระบบงาน การให้บริการ และการอำนวยความสะดวกประชาชน—เป้าหมายสูงสุดคือ “ธรรมาภิบาลที่ตรวจสอบได้” ไม่ใช่การแข่งขันล่าอันดับ

ดังนั้น การที่เชียงราย “ผ่านเกณฑ์” 94.03%  และมีสถาบันนำร่องจำนวนมาก (เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เทศบาลบ้านดู่ อบต.ศรีเมืองชุม ฯลฯ) คือฐานทุนที่ดี คำถามต่อไปคือ “จะยกระดับทั้งระบบ” ให้ไล่ทันกลุ่มคะแนนดี ของภาคเหนืออย่างแม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่ – แพร่ – พะเยาได้อย่างไรในหนึ่งปี?

จากคะแนนสู่ความไว้วางใจสาธารณะ

  • ประเทศ ดีขึ้นอย่างมีนัย—คะแนนเฉลี่ย 93.82, ผ่านเกณฑ์ 94.17%—แต่ยังไม่ถึงเป้าหมาย 100% ของแผนแม่บทชาติ
  • เชียงราย สรุปผลการประเมินรายจังหวัดผลการประเมินเฉลี่ยของหน่วยงานภาครัฐแต่ละจังหวัด และสัดส่วนของหน่วยงานภาครัฐที่มีผลการประเมินผ่านเกณฑ์ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (85 คะแนนขึ้นไป) ซึ่งเชียงรายผ่าน 97.24% คะแนนเฉลี่ย 94.03 แต่อันดับประเทศยังอยู่ 61 และอยู่อันดับ 7 ของภาคเหนือ โจทย์คือ “เร่งปิดช่องโหว่ OIT/EIT/IIT” ด้วยงานเชิงระบบ
  • แสงสว่าง มีจริง—จากมหาวิทยาลัยและท้องถิ่นแถวหน้าในจังหวัดที่ทำแต้มเกือบเต็มร้อย หากจับ “วิธีการทำงานจริง” ไปต่อยอดทั้งจังหวัด ความเป็นไปได้ของ “เชียงราย 100%” ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม

ท้ายที่สุด ITA จะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อ “คะแนน” แปรเป็น “ความไว้วางใจ” และ “ความไว้วางใจ” แปรเป็น “บริการภาครัฐที่เท่าเทียม โปร่งใส และรับผิดชอบ”—นั่นคือปลายทางของธรรมาภิบาลที่ประชาชนสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.)ประกาศผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ประจำปีงบประมาณ 2568 และเอกสารประกอบ
  • ระบบ ITAS (itas.nacc.go.th)ฐานข้อมูลผลการประเมิน ITA รายหน่วยงาน/รายจังหวัด/รายประเภทหน่วยงาน (เปิดให้เข้าถึงตั้งแต่ 15 สิงหาคม 2568 ตามประกาศ)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติข้อมูลเชิงระเบียบวิธีและการสนับสนุนการสำรวจในองค์ประกอบ EIT/IIT
  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)ข้อมูลกำกับดูแลการประเมิน ITA
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)กรอบธรรมาภิบาลภาครัฐและมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล
  • แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561–2580) ประเด็นที่ 21เป้าหมายร้อยละของหน่วยงานรัฐที่ผ่าน ITA และแนวทางต่อต้านการทุจริต
  • ข้อมูลสรุปผล ITA จังหวัดเชียงราย ปีงบประมาณ 2568สถิติภาพรวมจังหวัด (คะแนนเฉลี่ย 93.48, ผ่านเกณฑ์ 95.53%, อันดับประเทศ 61) รายชื่อลำดับเทศบาล/อบต./สถาบันอุดมศึกษา ตามที่ผู้ให้ข้อมูลระบุ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ก้าวสู่สนามรบ! ศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เชียงราย เขต 7 ระหว่างเพื่อไทยและพรรคประชาชน

วิเคราะห์เจาะลึก “ศึกเลือกตั้งซ่อมเชียงราย เขต 7” จุดชี้วัดแนวโน้มการเมืองไทยระหว่าง “อำนาจรัฐ” กับ “การเปลี่ยนแปลง”

เชียงราย – การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 7 จังหวัดเชียงราย ในวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2568 ไม่ใช่แค่การเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างลงเท่านั้น หากแต่เป็น “สนามทดสอบอารมณ์ทางการเมือง” ของภาคเหนือ และเป็นเครื่องชี้วัดว่าประชาชนจะเลือกพลังของรัฐบาลที่ดำรงตำแหน่ง หรือโอกาสของแนวคิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสภาไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศนี้ด้วย โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งยืนยันวันหย่อนบัตรและกำหนดช่วงรับสมัครไว้ชัดเจนแล้ว ระหว่าง 13–17 สิงหาคม และลงคะแนนจริง 14 กันยายน เวลา 08.00–17.00 น. ตามประกาศอย่างเป็นทางการของ กกต. และสื่อกระแสหลักหลายสำนักที่รายงานตรงกัน

จุดเริ่มต้นของศึก เก้าอี้ที่ว่างจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

เก้าอี้ ส.ส. เขต 7 ว่างลงภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี จากกรณีเกี่ยวข้องกับการเสนอและแปรญัตติงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อันเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เหตุการณ์นี้สั่นสะเทือนสมดุลการเมือง และเปิดฉากศึกเลือกตั้งซ่อมในทันทีตามกลไกกฎหมายของไทย

จัดทำเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2568 หมายเหตุ : เนื้อหาที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูลที่ได้รวบรวมมาเท่านั้น ไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้ายที่สามารถตัดสินความจริงทั้งหมดได้ ทางทีมงานจึงขอให้ท่านผู้อ่านใช้ วิจารณญาณอย่างรอบคอบ และพิจารณาข้อมูลจากหลายมิติเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

สนามจริงอยู่ตรงไหนแผนที่การเมืองของ “เขต 7”

กกต. ระบุขอบเขตของ “เขต 7” ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอชายแดนและลุ่มน้ำโขง ได้แก่ อำเภอแม่จัน (เฉพาะ ต.จันจว้า และ ต.จันจว้าใต้), อำเภอเชียงแสน, อำเภอดอยหลวง, อำเภอเชียงของ (เฉพาะ ต.ครึ่ง, ต.ศรีดอนชัย, ต.ริมโขง, ต.เวียง, ต.สถาน และ ต.ห้วยซ้อ) และอำเภอเวียงแก่น ข้อมูลนี้สะท้อนภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ทั้งเมืองชายแดน เกษตรกรรม และการค้าชายแดน ที่จะมีน้ำหนักต่อประเด็นหาเสียงของผู้สมัครทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน

ผู้ท้าชิงตัวจริง“สง่า พรมเมือง” ปะทะ “สุทัศน์ ยาละ”

สมรภูมิครั้งนี้มีผู้สมัครเด่นสองคนที่ประกาศตัวชัดเจนแล้ว การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นการปะทะกันของสองแนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีผู้สมัครทั้งสองเป็นตัวแทนของกระแสความคิดหลักสองขั้วในสังคม

  • สง่า พรมเมือง (พรรคเพื่อไทย) อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขตเชียงแสน เปิดตัวรับสมัครและจับสลากได้หมายเลข 1 ตามรายงานภาคสนามของสื่อการเมืองรายวัน พร้อมฐานสนับสนุนจากแกนนำพรรคส่วนกลาง จุดขายสำคัญคือ “สายตรงรัฐบาล” ที่ประสานนโยบายและงบประมาณสาธารณะลงพื้นที่ได้รวดเร็ว ข้อมูลเปิดตัวและประวัติการทำงานถูกเผยแพร่ต่อเนื่องโดยสื่อกระแสหลักหลายสำนักในช่วงเปิดรับสมัคร

 

  • สุทัศน์ ยาละ (พรรคประชาชน) นักธุรกิจรุ่นใหม่จากเชียงรายหมายเลข 2 เจ้าของกิจการท่องเที่ยวและเครื่องดื่มในอดีต เคยมีบทบาทด้านที่ปรึกษางานเมืองท้องถิ่น พรรคประชาชนประกาศ “เคาะชื่อ” ส่งลงสนามเพื่อต่อกรกับพรรคใหญ่ เน้นภาพลักษณ์ความเปลี่ยนแปลง โปร่งใส และวิธีการเมืองแบบใหม่ที่เชื่อมตรงกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ สื่อระดับชาติรายงานการตัดสินใจส่ง “สุทัศน์” อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบันทึกการยื่นสมัครที่อำเภอเชียงแสนด้วย

ตัวเลขที่สะท้อนอดีตภาพรวมผลเลือกตั้งปี 2566 ในเชียงราย

เมื่อมองย้อนกลับไปในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ทั้งจังหวัดเชียงรายมีผู้มาใช้สิทธิสูงกว่า 77% ขณะที่การจัดสรรที่นั่งแบบแบ่งเขตตกเป็นของพรรคเพื่อไทย 4 เขต และพรรคก้าวไกล 3 เขต ค่าสัดส่วนคะแนนรวมทั้งจังหวัดของสองพรรคใหญ่สะท้อนการแข่งขันที่สูสีและพลิกผันได้ในหลายเขต ตัวเลขดังกล่าวช่วยให้เห็น “พื้นฐาน” ที่ผู้สมัครต้องคำนวณยุทธศาสตร์หาเสียงในสนามซ่อมครั้งนี้อย่างละเอียดรอบคอบ

เสียงประชาชนในพื้นที่กำลังถามอะไร

เมื่อโฟกัสลงพื้นที่ “เขต 7” จะพบโจทย์ร่วมของชุมชนชายแดนหลายประการ ได้แก่ รายได้เกษตรกรจากพืชเศรษฐกิจ เสถียรภาพราคาสินค้า การค้าชายแดนกับ สปป.ลาว และเมียนมา โครงสร้างพื้นฐานถนนและสะพาน รวมถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ภูเขาและลุ่มน้ำโขง ประเด็นเหล่านี้แม้ไม่ใช่ชุดนโยบายใหม่ทั้งหมด แต่เป็น “ความคาดหวังเดิมที่ต้องแก้ให้เห็นผล” ผู้สมัครจึงต้องตอบด้วยโรดแมปที่จับต้องได้ ไม่ใช่คำมั่นลอยๆ เท่านั้น

คำถามที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเริ่มขบคิดคือ

  • เลือก “ผู้แทนรัฐบาล” เพื่อเร่งเครื่องแก้ปัญหาปากท้องและโครงสร้างพื้นฐานทันทีหรือไม่
  • หรือเลือก “ตัวแทนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการเมืองในระยะยาว

คำถามสองชุดนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องชั่งน้ำหนักทางการเมืองของเขตชายแดนภาคเหนือในห้วงเวลาที่ซับซ้อน

ยุทธศาสตร์ที่ปะทะกัน “ฝากรัฐ” vs “การเปลี่ยนแปลง”

พรรคเพื่อไทย เดินเกมตามจุดแข็งดั้งเดิมของพรรคใหญ่ คือเครือข่ายท้องถิ่น เน็ตเวิร์กนักการเมืองฐานราก และศักยภาพการเป็นรัฐบาลกลางที่เชื่อมงบประมาณและนโยบายสาธารณะลงพื้นที่ได้รวดเร็ว รายงานข่าวชี้ว่าทีมยุทธศาสตร์ส่วนกลางเริ่มจัดทัพลงพื้นที่แล้ว เพื่อหนุนการรณรงค์ของผู้สมัครอย่างเป็นระบบตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

พรรคประชาชน วางตัวเป็น “ทางเลือกใหม่” ใช้กลยุทธ์สื่อสารตรงกับประชาชนในพื้นที่ ผสานแพลตฟอร์มออนไลน์และการพบปะขนาดย่อม สร้างมาตรวัดผลตอบรับแบบเรียลไทม์ พรรคประกาศชัดว่าจะเสนอวิธีทำงานสภาที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดโยงกับข้อมูลสาธารณะให้มากที่สุด เพื่อจับฐานคนรุ่นใหม่และผู้ที่ผิดหวังกับการเมืองแบบเดิม ซึ่งสอดรับกับกระแสข่าวเปิดตัวผู้สมัครที่สื่อระดับชาติและท้องถิ่นนำเสนอในสัปดาห์นี้

โครงเรื่องทางการเมืองที่ “เขต 7” ต้องแบก

สนามซ่อมครั้งนี้มีหลังฉากเป็นคำวินิจฉัยระดับประเทศที่ลากเส้น “มาตรฐานจริยธรรมงบประมาณ” อย่างชัดเจน กรณีของอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทำให้สังคมตั้งคำถามเรื่องการใช้งบสาธารณะเพื่อสร้างความนิยมในพื้นที่ เมื่อมาตรฐานถูกย้ำด้วยเสียงข้างมากของศาล 6 ต่อ 3 ผลทางการเมืองย่อมกว้างไกลกว่าเขตเดียว และสะเทือนภาพลักษณ์ของพรรคแกนนำรัฐบาลในเชิงสัญลักษณ์ด้วยตามการวิเคราะห์ของสื่อการเมืองหลายสำนัก

ดังนั้น “เขต 7” จึงเป็นเวทีที่พรรคเพื่อไทยต้องแสดงให้เห็นว่า ฐานเสียงเดิมยังเหนียวแน่น และประชาชนยังไว้ใจให้พรรคขับเคลื่อนนโยบายระดับพื้นที่ต่อไป ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนต้องพิสูจน์ว่าความไม่พอใจทางการเมืองสามารถแปลงเป็น “คะแนนจริง” ได้ในฐานที่มั่นของฝ่ายรัฐบาล

กระดานคะแนนเริ่มขยับไทม์ไลน์สำคัญที่ต้องรู้

  • 8 ส.ค. 2568 กกต. เคาะวันเลือกตั้งซ่อม และกำหนดช่วงรับสมัคร 13–17 ส.ค. สถานที่รับสมัครที่อำเภอเชียงแสน รายละเอียดประกาศเผยแพร่ในหลายสื่อและหน้าเว็บไซต์ข่าวของ กกต.
  • 13–16 ส.ค. 2568 ผู้สมัครทยอยยื่นเอกสาร วันแรกมีผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ส่วนวันที่ 16 ส.ค. พรรคประชาชนยื่นสมัครอย่างเป็นทางการ สะท้อนการเข้าสู่โหมดหาเสียงเต็มรูปแบบของทุกฝ่าย
  • 14 ก.ย. 2568 วันลงคะแนนจริง ตั้งแต่ 08.00–17.00 น. หน่วยเลือกตั้งกระจายตามชุมชนในพื้นที่เขตชายแดนและริมโขง ผู้มีสิทธิเตรียมหลักฐานตามกฎหมายไปใช้สิทธิให้ครบถ้วน

บทเรียนจากสถิติ ทำไม “อัตราไปใช้สิทธิ” จึงชี้ขาด

ข้อมูลปี 2566 ระบุว่าจังหวัดเชียงรายมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่า 77% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศ หากเขตชายแดนที่มีการเดินทางยากลำบากอย่าง “เขต 7” รักษาอัตรานี้ไว้ได้ ผลจะสะท้อนเจตจำนงประชาชนอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน โครงสร้างผู้มีสิทธิวัยทำงานและเกษตรกรที่พึ่งพาราคาพืชผล จะเป็นตัวกำหนดจุดชนะเชิงยุทธศาสตร์ของผู้สมัครแต่ละฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการเลือกตั้งซ่อมมักชี้วัดด้วย “การเคลื่อนพลของฐาน” มากกว่ากระแสลมบนเพียงอย่างเดียว

มุมมองเชิงนโยบายประเด็นที่ควรถูกถามบนเวทีหาเสียง

  1. รายได้และราคาสินค้าเกษตร
    ผู้สมัครควรเสนอแผนรองรับราคาพืชหลักที่ผันผวน รวมทั้งมาตรการตลาดนำการผลิต และการเชื่อมตลาดชายแดนให้ได้ผลจริง
  2. โลจิสติกส์ชายแดนและด่านการค้า
    พื้นที่ริมโขงและชายแดนต้องการถนนและสะพานที่ปลอดภัย และด่านที่ทันสมัย แผนเร่งรัดงบลงทุนจึงต้องชัดเจนและตรวจสอบได้
  3. ความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตชุมชน
    ชุมชนภูเขาและชายแดนต้องการสาธารณสุขเข้าถึงง่าย เช่น เครือข่าย รพ.สต. และระบบส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ นโยบายต้องเชื่อมกับงบประมาณจริง
  4. ธรรมาภิบาลงบประมาณ
    หลังคำวินิจฉัยศาลเรื่องการใช้งบประมาณ ผู้สมัครทุกคนต้องชี้แจง “มาตรการกันซ้ำ” อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า งบสาธารณะจะไม่ถูกใช้เพื่อผลทางการเมืองอีก

เหตุผลเชิงกลยุทธ์อะไรคือ “ตัวแปรชี้ผล” ในสนามซ่อม

  • เครือข่ายท้องถิ่น จะยังเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะเขต 7 มีชุมชนกระจายตัวกว้าง การลงพื้นที่เชิงลึกของทีมอาสาและผู้สนับสนุนระดับหมู่บ้านเป็นตัวเร่งคะแนน
  • การสื่อสารออนไลน์ จะเพิ่มน้ำหนักกว่ายุคก่อน โดยเฉพาะในเมืองชายแดนและกลุ่มทำงานเอกชนที่ใช้มือถือเป็นหลัก
  • กิจกรรมพบประชาชนขนาดเล็ก ให้ผลดีกับผู้สมัครหน้าใหม่ เพราะสร้างความเชื่อใจและคำบอกต่อได้รวดเร็ว
  • การวางภาพ “ผู้แทนรัฐบาล” ของพรรคเพื่อไทย ต้องคู่กับคำตอบเรื่องธรรมาภิบาล เพื่อคลายความกังวลจากคดีการใช้งบประมาณที่ผ่านมา
  • การวางภาพ “ทางเลือกใหม่” ของพรรคประชาชน ต้องจับประเด็นปากท้องอย่างจริงจัง ไม่ใช่เสนอแต่กรอบอุดมการณ์เท่านั้น

เส้นทางสู่วันเลือกตั้งบริบทที่ต้องเก็บตกรายวัน

ในเชิงข่าว กกต. รายงานความพร้อมด้านงานจัดการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับประเทศและระดับจังหวัด รวมถึงการย้ำปฏิทินและขั้นตอนร้องเรียนผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อให้การหย่อนบัตรเป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม ข่าวเครือข่ายสื่อหลักระบุสอดคล้องกันถึงจำนวนผู้สมัครในแต่ละวัน และการขยับของทีมยุทธศาสตร์พรรคใหญ่ ซึ่งสะท้อนความเข้มข้นที่จะพุ่งขึ้นต่อเนื่องจนถึงวันโค้งสุดท้าย

 “เชียงราย เขต 7” เป็นมากกว่าการทดแทนเก้าอี้

การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นบททดสอบว่า ประชาชนให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์เร่งด่วนจากพลังรัฐบาล” หรือ “มาตรฐานใหม่ของการเมืองไทย” ที่ยกระดับกลไกถ่วงดุลและความโปร่งใส ผลลัพธ์ที่ออกมาจะส่งสัญญาณถึงทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน หากพรรคเพื่อไทยชนะ จะยืนยันพลังฝ่ายรัฐบาลในฐานที่มั่นเดิม และเพิ่มทุนทางการเมืองสำหรับขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศ แต่หากพรรคประชาชนคว้าชัย จะเป็นสัญลักษณ์ว่าพื้นที่ดั้งเดิมพร้อมเปิดทางให้ความเปลี่ยนแปลง และบังคับให้พรรคใหญ่ต้องปรับยุทธศาสตร์สู้ศึกใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน “เขต 7” จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวันที่ 14 กันยายนนี้ เสียงของท่านจะบอกประเทศว่าควรเดินไปทิศทางใด ระหว่างการบริหารเชิงประสิทธิภาพที่ต่อยอดได้ทันที กับการปฏิรูปมาตรฐานการเมืองที่ยั่งยืนในระยะยาว—และคำตอบนั้นจะสะท้อนผ่านบัตรเลือกตั้งใบเดียวของทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
  • พรรคเพื่อไทย
  • พรรคประชาชน
  • คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News