Categories
TOP STORIES

บุหรี่ไฟฟ้ามีส่วนผสมน้ำยาดองศพ สูบเสี่ยงมะเร็ง-โรคทางเดินหายใจ

เตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า: พิษร้ายจากสารเคมีถึงชีวิต

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 เพจ “สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) : ThaiHealth” ได้โพสต์ข้อความเตือนถึงภัยร้ายของบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างรวดเร็ว โดยระบุว่า กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบแนวโน้มการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในกลุ่มเยาวชน โดยเฉพาะจากการหลงเชื่อคำโฆษณาที่ลวงให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

อันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้าและสารเคมีพิษ

บุหรี่ไฟฟ้ามักมีการเติมสารปรุงแต่งกลิ่นและรสที่แฝงสารพิษและสารเสพติด เช่น สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) หรือที่รู้จักในชื่อ “น้ำยาดองศพ” ซึ่งสารนี้เป็น สารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าฟอร์มาลดีไฮด์ในบุหรี่ไฟฟ้าสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอด ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง มะเร็ง และระคายเคืองต่อดวงตาและผิวหนังได้

ผลกระทบต่อสุขภาพจากบุหรี่ไฟฟ้า

  1. ระบบประสาทส่วนกลาง: วิงเวียนศีรษะ ปวดหัว รบกวนการนอน
  2. ระบบหายใจ: เสี่ยงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หลอดลมหดเกร็ง
  3. ระบบหัวใจและหลอดเลือด: เสี่ยงหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหลอดเลือดแข็ง
  4. ระบบทางเดินอาหาร: กรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร
  5. ระบบกล้ามเนื้อ: กระดูกเสื่อม ปวดข้อ

กระทรวงสาธารณสุขห่วงใยเยาวชน

นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยในประเด็นนี้อย่างมาก โดยเน้นย้ำให้พ่อแม่ผู้ปกครองสร้างความเข้าใจแก่บุตรหลานเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า และขอให้หลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อโฆษณาชวนเชื่อที่กล่าวอ้างถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

แนวทางป้องกันและเลิกบุหรี่ไฟฟ้า

  • สร้างความรู้และความเข้าใจแก่เยาวชนเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า
  • ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่ที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
  • ใช้บริการ สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 เพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

กรมควบคุมโรคขอให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยทุกคน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองงานคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

Athita The Hidden Court เชียงแสน ลุ้นรางวัลโรงแรมดีไซน์ยอดเยี่ยมแห่งปี!

Athita The Hidden Court เชียงแสน เข้าชิงรางวัลออกแบบโรงแรมขนาดเล็กยอดเยี่ยมใน TIDA Awards 2024

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ จำกัด ในเครือบริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ROOM นิตยสารที่เกี่ยวกับการแต่งบ้าน และสวนตามแบบต่างๆ ตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ และยังเป็นนิตยสาร ที่ผู้อ่านสามารถเกิดแรงบันดาลใจในการแต่งบ้าน และสวน รายงานความสำเร็จของ Athita The Hidden Court Chiang Saen ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในผลงานรอบสุดท้าย (Finalists) ประเภท Best of Small Hotel Design ในรางวัล TIDA Awards 2024 ซึ่งจัดโดย สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย (Thailand Interior Designers Association – TIDA) โดยรางวัลนี้มีเป้าหมายเพื่อยกย่องผลงานการออกแบบตกแต่งภายในที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์

Athita The Hidden Court Chiang Saen: การออกแบบที่ผสานล้านนาและความร่วมสมัย

โรงแรม Athita The Hidden Court Chiang Saen ตั้งอยู่ในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ออกแบบโดย Studio Miti เน้นการผสานความกลมกลืนของวิถีชีวิตท้องถิ่นล้านนาและความร่วมสมัย โดยใช้วัสดุธรรมชาติอย่างไม้สักและอิฐมอญที่ทำมือ สร้างบรรยากาศที่สะท้อนกลิ่นอายประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองเก่าเชียงแสน โรงแรมตั้งอยู่ใกล้ วัดอาทิต้นแก้ว โบราณสถานสำคัญอายุ 700 ปี สร้างประสบการณ์ให้แขกได้สัมผัสบรรยากาศเมืองโบราณอย่างแท้จริง

โรงแรมประกอบด้วยห้องพักเพียง 9 ห้อง เพื่อให้แขกได้รับประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและสงบเงียบที่สุด โครงสร้างหลักเป็นไม้สักกว่า 90% และอิฐมอญที่สร้างด้วยมือทุกชิ้น ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับลักษณะของวัดและเจดีย์ที่อยู่ด้านหน้า

จุดเด่นของ Athita The Hidden Court

  1. โรงแรมไม้สักแห่งแรกในเชียงแสน
    ตัวอาคารหลักสร้างจากไม้สักทั้งหมด ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสะดวกสบาย แขกผู้เข้าพักจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายบ้านไม้แบบชนบทล้านนาอย่างแท้จริง

  2. โรงแรมอิฐมอญทำมือแห่งแรกในเชียงแสน
    ทุกชิ้นส่วนของอิฐที่ใช้ในโรงแรมเป็นงานทำมือ อิฐเหล่านี้สะท้อนถึงลักษณะดั้งเดิมของวัดและเจดีย์ในเชียงแสน

  3. คอร์ตสนามหญ้า (Grass Courtyard)
    คอร์ตนี้เชื่อมโยงพื้นที่โรงแรมกับวัดอาทิต้นแก้ว เปิดมุมมองให้แขกได้สัมผัสความงามของโบราณสถานจากโรงแรมโดยตรง

การออกแบบที่ผสานประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

ห้องพักแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก

  • ชั้นล่าง: ห้องพักที่เปิดสู่คอร์ตสวนส่วนตัว เช่น Lotus Garden Suite และ Deluxe Private Garden
  • ชั้นบน: ห้องพัก Superior Pagoda View ที่มองเห็นเจดีย์โบราณ ให้ความรู้สึกเสมือนพักในบ้านไม้แบบล้านนา

นอกจากนี้ โรงแรมยังมีล็อบบี้ คาเฟ่ ร้านอาหาร และคอร์ตสระว่ายน้ำที่ปิดล้อมด้วยกำแพงอิฐ สร้างความเป็นส่วนตัวและเชื่อมต่อกับธรรมชาติรอบข้าง

บทบาทของ Athita The Hidden Court ต่อชุมชน

โรงแรมนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่เชียงแสน โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมวัดอาทิต้นแก้วและชุมชนท้องถิ่น เจ้าของโรงแรมยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาชุมชนผ่านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและการสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่

รางวัล TIDA Awards 2024

การเข้ารอบสุดท้ายในรางวัล TIDA Awards 2024 เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จของ Athita The Hidden Court Chiang Saen ในการนำเสนอการออกแบบที่งดงามและมีเอกลักษณ์ พร้อมกับความมุ่งมั่นในการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์วัฒนธรรม

ข้อมูลติดต่อ

  • ที่ตั้ง: 984 หมู่ที่ 2 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
  • แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/hKMLm5pJeC65eRVb6
  • โทรศัพท์: 06-3426-9464
  • เว็บไซต์: athitahotel.com

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Athita The Hidden Court เชียงแสน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

บก.ปอศ.บุก 46 จุด ขยายผลเครือข่ายฟอกเงิน 442 บริษัท

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายฟอกเงิน 46 จุดทั่วประเทศ คุม 442 บริษัท เอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 46 จุดทั่วประเทศ ดำเนินคดีกับนิติบุคคล 442 บริษัท และผู้ต้องหากว่า 1,000 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นชาวจีนกว่า 250 ราย ซึ่งร่วมกันจดทะเบียนบริษัทเพื่ออำพรางการประกอบธุรกิจและฟอกเงิน รวมถึงรับโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมออนไลน์

พฤติการณ์การกระทำความผิด

จากการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดใน 2 ลักษณะ คือ

  1. การจดทะเบียนบริษัทโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee): ชาวต่างชาติว่าจ้างบริษัทบัญชีให้จดทะเบียนนิติบุคคล โดยมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการตามข้อกำหนดของกฎหมาย เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหาร โดยมีทุนจดทะเบียนรวมกว่า 891 ล้านบาท
  2. การจดทะเบียนบริษัทม้า: จดทะเบียนบริษัทเพื่อเปิดบัญชีธนาคารสำหรับรับโอนเงินที่ได้จากการฉ้อโกงและฟอกเงิน โดยบัญชีเหล่านี้สามารถทำธุรกรรมได้ไม่จำกัดวงเงิน และไม่ต้องผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC)

พื้นที่เป้าหมายการตรวจค้น

  1. สำนักงานบัญชีและนอมินี: ตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบบริษัท 244 แห่ง และเอกสารการถือครองอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 254 ล้านบาท
  2. ร้านค้าและโกดังสินค้า: ตรวจค้นในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และสมุทรสาคร พบสินค้าหลายแสนรายการจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าผิดกฎหมาย
  3. บริษัทแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ดิจิทัล: ตรวจพบธุรกิจที่ใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของ แต่ดำเนินการโดยชาวจีนและลักลอบเปิดกิจการอย่างผิดกฎหมาย

มูลค่าความเสียหายและพฤติกรรมที่พบ

จากการตรวจค้นครั้งนี้ พบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท รวมถึงบัญชีธนาคาร 314 บัญชี ซึ่งมีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาเข้าข่ายการกระทำความผิดจำนวนมาก

บทลงโทษและมาตรการต่อเนื่อง

บก.ปอศ. ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงผู้สนับสนุน เช่น เจ้าหน้าที่บัญชีและทนายความที่รับรองเอกสารเท็จ และได้แจ้งให้สภาทนายความและสภาวิชาชีพบัญชีพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ การตรวจค้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและฟอกเงินอย่างเป็นระบบ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ต้มยำกุ้งขึ้นทะเบียนยูเนสโก มรดกวัฒนธรรมโลกปี 2567

ยูเนสโกขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติปี 2567

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 ของ ยูเนสโก ณ นครอซุนซิออน สาธารณรัฐปารากวัย มีมติรับรองให้ “ต้มยำกุ้ง” อาหารชื่อดังของไทย ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ต่อจาก โขน, นวดไทย, โนรา, และสงกรานต์

ภูมิปัญญาไทยที่สะท้อนวิถีชีวิต

รมว.วธ. ระบุว่า “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2554 ในสาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล โดยต้มยำกุ้งสะท้อนถึงวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวไทยในชุมชนเกษตรกรรม โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น กุ้ง, ข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด, มะนาว, และพริก มาปรุงรสแบบจัดจ้าน

Soft Power ไทยบนเวทีโลก

ปัจจุบัน ต้มยำกุ้งได้รับความนิยมทั่วโลก และเป็นตัวอย่างของ Soft Power ด้านอาหารที่กระทรวงวัฒนธรรมให้การสนับสนุน โดยจะมีการส่งเสริมเมนูต้มยำกุ้งให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการท่องเที่ยว เมนูสำคัญในงานประชุมระดับนานาชาติ และเป็นเมนูที่ต้องลองเมื่อมาเยือนประเทศไทย

รมว.วธ. ยังกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมเตรียมขับเคลื่อนเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม โดยใช้ต้มยำกุ้งเป็นตัวเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์, ละคร, เกม และรายการโทรทัศน์ รวมถึงร่วมมือกับธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม และภัตตาคาร เพื่อจัดแคมเปญส่งเสริมยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง

กิจกรรมฉลองความสำเร็จ

เนื่องในโอกาสที่ “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการขึ้นทะเบียน กระทรวงวัฒนธรรมจัดงาน “ฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ” ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2567 ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ภายในงานจะมี:

  • พิธีเปิดงานโดย รมว.วธ.
  • การสาธิตทำต้มยำกุ้งโดยเชฟชื่อดัง เช่น เชฟไอซ์ ศุภักษร และ เชฟตุ๊กตา
  • แฟชั่นโชว์ชุด “เคบายา” และนิทรรศการอาหารเปอรานากัน
  • การแสดงทางวัฒนธรรม และการชิมต้มยำกุ้งฟรี

เคบายา: มรดกอีกหนึ่งรายการที่รอรับรอง

นอกจากนี้ ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 19.30 – 22.30 น. ตามเวลาไทย ชาวไทยยังมีโอกาสลุ้นอีกหนึ่งรายการมรดกวัฒนธรรมคือ “เคบายา” ที่เสนอขอขึ้นทะเบียนร่วม 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, บรูไน, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย

การผลักดันต่อยอด

การได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกฯ ของ “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นการส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจจากรากฐานวัฒนธรรมในทุกมิติ โดยกระทรวงวัฒนธรรมมุ่งผลักดันให้เกิดการรับรู้ถึงคุณค่าอันลึกซึ้งของเมนูต้มยำกุ้ง และใช้เป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อสร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ชาวบ้านคัดค้านกฎหมายป่าใหม่ กระทบวิถีชีวิตรัฐบาลต้องฟังเสียง

ชาวบ้านรวมตัวคัดค้าน พ.ร.ฎ. ป่าอนุรักษ์กว่า 5,000 คน ชุมนุมศาลากลางเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ‘สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า’ (สชป.) พร้อมชาวบ้านกว่า 5,000 คนรวมตัวแสดงพลังคัดค้านการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยยื่นหนังสือเรียกร้องต่อ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ผู้แทนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 1.8 ล้านคนที่อาศัยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ

ประเด็นปัญหาและข้อเรียกร้อง

นายวิชิต เมธาอนันต์กุล ผู้แทน สชป. ระบุว่า พ.ร.ฎ. ดังกล่าวมีข้อบัญญัติหลายมาตราที่กระทบสิทธิชุมชน เช่น

  • มาตรา 5: จำกัดการอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์เพียง 20 ปี ขัดต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน
  • มาตรา 10: กำหนดพื้นที่ใช้ประโยชน์ครัวเรือนละไม่เกิน 40 ไร่
  • มาตรา 11: ผู้มีสิทธิต้องไม่มีที่ดินนอกเขตอุทยานฯ ส่งผลต่อครอบครัวที่มีที่ดินหลายแห่ง

ทั้งนี้ สชป. ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการ 4 ประการ ได้แก่

  1. ยุติการประกาศใช้ พ.ร.ฎ. ทั้งสองฉบับ
  2. จัดตั้งคณะทำงานรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์
  3. แก้ไข พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้อง โดยมีส่วนร่วมจากชุมชน
  4. ชะลอการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 23 แห่ง

การเจรจาและผลสรุป

หลังการยื่นหนังสือ ผู้แทนรัฐบาล นำโดย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เจรจากับแกนนำผู้ชุมนุม โดยมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลรับหลักการทั้ง 4 ข้อ และจะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต่อไป

สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ชี้แจงว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาที่ชาวบ้านเผชิญ และพร้อมปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน

ปฏิกิริยาหลังเจรจา

หลังจากเจรจาเสร็จสิ้น แกนนำ สชป. ได้อ่านแถลงการณ์ยืนยันเจตนารมณ์และแจกบันทึกข้อตกลงแก่ผู้ชุมนุม พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนในชุมชนติดตามและร่วมผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง

จุดเริ่มต้นสำคัญ

การชุมนุมครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการขับเคลื่อนปัญหาสิทธิชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์ โดยผู้แทน สชป. ได้เน้นย้ำให้ประชาชนร่วมมือกันต่อสู้เพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : lannernews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

Pet Parent เทรนด์ใหม่หนุนธุรกิจสัตว์เลี้ยงโตอย่างก้าวกระโดด

ธุรกิจสัตว์เลี้ยงบูม! เทรนด์ Pet Parent หนุนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด รายงานการวิเคราะห์ข้อมูลจากเครื่องมือ DXT360 ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม – 25 พฤศจิกายน 2567 เผยให้เห็นแนวโน้มธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่กำลังเติบโต โดยข้อมูลที่รวบรวมจากสังคมออนไลน์ (Social Media) พบว่า การพูดถึงเกี่ยวกับธุรกิจสัตว์เลี้ยง (Mention) มีจำนวนสูงถึง 185,126 ครั้ง และได้รับเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) รวม 33,419,814 ครั้ง ซึ่งสะท้อนกระแสการเลี้ยงสัตว์ในฐานะสมาชิกครอบครัว หรือ Pet Parent ที่กำลังมาแรง

ธุรกิจสัตว์เลี้ยงโตแรง! อาหารและโรงพยาบาลสัตว์ขึ้นนำ

จากข้อมูลพบว่าหมวดหมู่ธุรกิจที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ ธุรกิจอาหารและขนมสัตว์เลี้ยง คิดเป็น 49% ของการพูดถึงทั้งหมด รองลงมาคือ ธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ (36%) และ ธุรกิจดูแลสุขภาพสัตว์ (7%) ตามด้วย ธุรกิจอุปกรณ์เสริมสำหรับสัตว์เลี้ยง (5%) และ ธุรกิจฟาร์มสัตว์เลี้ยง (2%) ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้เลี้ยงสัตว์ในยุคปัจจุบันยอมลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์เลี้ยง โดยเริ่มมีธุรกิจใหม่ๆ อย่าง Puppy Yoga ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนรักสัตว์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผสานไลฟ์สไตล์กับสัตว์เลี้ยงได้อย่างลงตัว

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจสัตว์เลี้ยง

การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในยุคนี้ไม่ได้เป็นเพียงความชื่นชอบ แต่ยังเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยพบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสัตว์เลี้ยงเติบโต ได้แก่

  1. การเพิ่มขึ้นของครอบครัวเดี่ยวและคนโสด ส่งผลให้ผู้คนมองหาสัตว์เลี้ยงมาเติมเต็มชีวิต
  2. ความนิยมเลี้ยงสัตว์เพื่อลดความเครียดและคลายเหงา โดยพบว่าผู้เลี้ยงสัตว์ 59% ต้องการเพิ่มสมาชิกในครอบครัว และ 34% เลี้ยงเพื่อคลายเหงา
  3. ความต้องการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจน โดย 44% ของผู้เลี้ยงมองว่าการเลี้ยงสัตว์ช่วยควบคุมงบประมาณได้ง่าย

สัตว์เลี้ยงยอดนิยม: แมว ครองใจคนเมือง

ข้อมูลจาก Social Listening แสดงให้เห็นว่าสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ แมว โดยมีการพูดถึงถึง 44% สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์คนเมืองที่มักอาศัยในพื้นที่จำกัด เช่น คอนโด รองลงมาคือ หมา (38%) และ สัตว์เลี้ยงแปลก (Exotic) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น (18%) การเลี้ยงสัตว์ประเภทนี้สะท้อนถึงความสนใจในความแตกต่างและการสร้างไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์

อนาคตธุรกิจสัตว์เลี้ยง: เทคโนโลยีหนุนการเติบโต

กระแส Pet Parent กำลังขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจสัตว์เลี้ยงไปสู่ยุคใหม่ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ เช่น การใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง หรือบริการสัตวแพทย์ออนไลน์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกและยกระดับการดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อมูลทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมและวิเคราะห์โดย DXT360 ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเทรนด์ธุรกิจสัตว์เลี้ยงยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต พร้อมกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE TOP STORIES

รมช.เกษตรฯ หนุนส่งออกโคเนื้อ เชียงรายสู่ตลาดโลก

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เยี่ยมชมท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน พร้อมตรวจเยี่ยมโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อเชียงราย

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.30 น. ณ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน จังหวัดเชียงราย นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ที่สำคัญของประเทศไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหภาพเมียนมา

การสนับสนุนการส่งออกปศุสัตว์ไทย

ปัจจุบันท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีบทบาทสำคัญในการส่งออกโค กระบือ และสุกร โดยในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2567 มีการส่งออกโคจำนวน 424 ตัว กระบือ 95 ตัว สุกร 42,894 ตัว และลูกสุกร 8,055 ตัว รวมถึงซากสุกร 919,553 กิโลกรัม ซากไก่ 573,942 กิโลกรัม และซากโค 1,400 กิโลกรัม

นายอิทธิ ได้กล่าวชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการผลักดันการส่งออกสัตว์และผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งฝากถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ให้ใส่ใจดูแลสุขภาพสัตว์ ฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน และหลีกเลี่ยงการใช้สารเร่งเนื้อแดง

เยี่ยมชมเครือข่ายโคเนื้อล้านนา

ในช่วงบ่าย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สวนลุงดี อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงานของเครือข่ายโคเนื้อล้านนา ซึ่งริเริ่มโดยนายนเรศ รัศมีจันทร์ ประธานเครือข่ายฯ โดยเครือข่ายฯ มีเป้าหมายในการพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อบีฟมาสเตอร์ให้มีคุณภาพสูง เพื่อสนับสนุนการเลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดเชียงราย

เครือข่ายฯ ได้ดำเนินการพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อตั้งแต่การนำตัวอ่อนพันธุ์บีฟมาสเตอร์จากต่างประเทศ มาย้ายฝากและเลี้ยงดูจนได้พ่อพันธุ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีการรีดน้ำเชื้อแจกจ่ายให้เกษตรกรในเครือข่ายกว่า 800 รายในพื้นที่ภาคเหนือ

นายนเรศ ได้กล่าวถึงความสำเร็จในการสร้างตลาดรองรับโคขุน โดยการจัดตั้งคอกกลางเพื่อรับซื้อโคจากสมาชิกเครือข่ายในราคารับประกัน ก่อนนำไปขุนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อโคขุนคุณภาพในแบรนด์ ลานนาบีฟ ซึ่งจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงในร้านอาหาร “สวนลุงดี”

ปัญหาและแนวทางแก้ไขในอุตสาหกรรมโคเนื้อ

นายนเรศ ระบุว่า อุตสาหกรรมโคเนื้อในประเทศไทยยังคงเผชิญปัญหาหลายประการ เช่น การแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกับเนื้อโคนำเข้า การขาดมาตรฐานและการตรวจสอบย้อนกลับ ต้นทุนการผลิตสูง และการสนับสนุนจากภาครัฐที่ไม่เพียงพอ

เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เครือข่ายฯ ได้เสนอแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น

  1. การพัฒนาพันธุกรรมและการเลี้ยงดูที่มีประสิทธิภาพ
  2. การสร้างระบบผลิตเนื้อกล่อง (Boxed Beef)
  3. การจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System)
  4. การส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร
  5. การกระตุ้นการบริโภคเนื้อโคในประเทศ

นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้รับทราบสถานการณ์และราคาเนื้อโคในปัจจุบันซึ่งน่าเห็นใจผู้เลี้ยงโคและผู้ประกอบการ ขอให้กำลังใจส่วนปัญหาต่างๆที่นำเสนอ จะได้นำไปปรึกษาเพื่อช่วยกันแก้ไขต่อไป

ตรวจเยี่ยมด่านกักกันสัตว์เชียงราย

จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังด่านกักกันสัตว์เชียงราย ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ เพื่อรับฟังข้อมูลและตรวจเยี่ยมโครงการสถานกักกันสัตว์สำหรับส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ด่านกักกันสัตว์แห่งนี้มีความสามารถในการกักสัตว์ชนิดโค-กระบือจำนวน 200-300 ตัว และเป็นจุดพ่นยาฆ่าเชื้อยานพาหนะขนส่งสัตว์

นายอิทธิ  ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า วันนี้มาดูสถานที่กักกันสัตว์ เพื่อดูสถานที่ที่จะก่อสร้างที่กักกันสัตว์ ก่อนที่จะส่งออก และฝากถึงผู้เลี้ยงโคกระบือ ช่วยดูแลโค กระบือ ไม่ให้เกิดโรค ต้องพยายามฉีดวัคซีนให้ครบ และอย่าใช้สารเร่งเนื้อแดง พร้อมขอบคุณเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ และสุกรที่ให้ความร่วมมือกับทางกรมปศุสัตว์ด้วย สินค้าส่งออกที่สำคัญของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ได้แก่ เมล็ดถั่วและธัญพืช  เบียร์  สินค้าอุปโภค บริโภคและรถยนต์  สำหรับการส่งออกสัตว์และซากสัตว์ ตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 มีการส่งออกสัตว์ ได้แก่ โค  424  ตัวกระบือ 95 ตัว สุกร  42,894 ตัว ลูกสุกร 8,055 ตัว การส่งออกซากสัตว์ สุกร 919,553 กิโลกรัม  ไก่ 573,942 กิโลกรัม และโค 1,400 กิโลกรัม

ปัจจุบัน ด่านกักกันสัตว์เชียงรายมีแผนการขยายพื้นที่เพื่อสร้างสถานกักกันสัตว์ปลอดโรคเพิ่มเติม โดยมีพื้นที่ขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก.) ประมาณ 37 ไร่ เพื่อรองรับการส่งออกสัตว์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

สรุปและข้อเสนอแนะ

นายอิทธิ ศิริลัทธยากร กล่าวปิดท้ายว่า การพัฒนาการส่งออกสัตว์และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างรายได้ให้เกษตรกร พร้อมยืนยันว่าจะผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหาที่ได้รับฟังจากเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยต่อไป

สำหรับด่านกักกันสัตว์เชียงราย มีสถานที่ปฏิบัติงานจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย ปฏิบัติงานด้านสารบัญ อำนวยการ และการตรวจสอบสินค้าปศุสัตว์เข้า – ออก เขตด่านศุลกากรแม่สาย และท่าปศุสัตว์เชียงแสน ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน เป็นจุดตรวจสอบส่งออกสัตว์มีชีวิต ชนิด โค กระบือ สุกร และเป็นที่ตั้งของจุดทำความสะอาดยานพาหนะขนส่งสัตว์ และด่านกักกันสัตว์เชียงราย ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ใช้เป็นสถานที่กักกันสัตว์ซึ่งสามารถกักสัตว์ชนิด โค – กระบือ ได้จำนวน 200 ถึง 300 ตัว ซึ่งที่อำเภอเชียงของ สามารถส่งออก โค กระบือ สุกร และแพะมีชีวิต ซากสัตว์ และอาหารสัตว์ ผ่านทางสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 เชียงของ – ห้วยทราย และส่งออกสัตว์ปีก ซากสัตว์ และอาหารสัตว์ ไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผ่านทางท่าเรือผาถ่าน ตำบลเวียง 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ตำรวจเชียงรายสกัดขบวนการนำพาชาวจีนเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย

ตำรวจท่องเที่ยวเชียงรายจับกุมขบวนการนำพาต่างด้าวชาวจีนเข้าประเทศ

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย นำโดย พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พร้อมด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และ พล.ต.ต.ฐากูร นิ่มสมบุญ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ธนวินท์ พวงมะลิ สารวัตรสถานีตำรวจท่องเที่ยว 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 2 นำกำลังชุดสืบสวนลงพื้นที่ขยายผลกรณีที่ชายชาวจีน 1 คนถูกทำร้ายร่างกายและขอความช่วยเหลือจากตำรวจ สภ.เมืองเชียงราย

การตรวจสอบเบื้องต้นและหลักฐานจากกล้องวงจรปิด

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเริ่มต้นจากการสอบปากคำชายชาวจีนผู้เสียหาย พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ที่เกิดเหตุ บริเวณถนนพ่อขุน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พบข้อมูลที่ชี้ว่ามีรถยนต์ต้องสงสัย 2 คันเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยรถทั้งสองคันมีความเคลื่อนไหวที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งใกล้สนามกีฬากลางเชียงราย เจ้าหน้าที่จึงวางแผนขยายผลและเฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด

การจับกุมขบวนการนำพาต่างด้าว

ในเวลา 03.00 น. ของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คันกำลังออกจากโรงแรมม่านรูด จึงเข้าตรวจสอบ พบชายคนขับรถหนึ่งคนพยายามวิ่งหลบหนี แต่ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมในที่สุด ภายในรถพบชาวจีน 3 คน แบ่งเป็นชาย 1 คนและหญิง 2 คน ซึ่งไม่สามารถแสดงเอกสารการเข้าเมืองได้ รวมถึงชายชาวไทยอีก 1 คนที่ให้การรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างให้นำพาชาวจีนมาจากพื้นที่อำเภอเชียงแสนไปยังจังหวัดลำปาง

การตรวจค้นเพิ่มเติม

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นในห้องพักของโรงแรมม่านรูดดังกล่าว และพบชายชาวจีนอีก 1 คนที่ไม่มีเอกสารการเข้าเมือง เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาต่อผู้ต้องสงสัยทั้งหมด โดยชายชาวไทย 2 คน อายุ 34 ปี และ 44 ปี ถูกแจ้งข้อหา “ร่วมกันซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” ส่วนชาวจีนทั้งหมดถูกแจ้งข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

เครือข่ายนำพาต่างด้าวทำงานเป็นขบวนการ

จากการสืบสวนพบว่าขบวนการนำพาชาวจีนเข้าประเทศมีการทำงานเป็นขบวนการเริ่มต้นจากชายแดน อำเภอเชียงแสน โดยจะลักลอบนำพาชาวจีนเข้าประเทศ จากนั้นนำตัวมาพักไว้ตามโรงแรมม่านรูดในตัวเมืองเชียงราย ก่อนรอเวลาเพื่อขนส่งไปยังจุดหมายปลายทาง เช่น จังหวัดลำปาง โดยผู้ต้องสงสัยชาวไทย 2 คนให้การว่าได้รับค่าจ้างคนละ 6,000 บาทต่อการนำพาชาวจีน 1 คน

ผลกระทบและการดำเนินคดี

เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมทั้งเพิ่มมาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบและป้องกันการลักลอบนำพาต่างด้าวเข้าประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว

การทำงานของตำรวจท่องเที่ยว

การจับกุมในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ และการปฏิบัติหน้าที่เชิงรุกของตำรวจท่องเที่ยวในการดูแลและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของพื้นที่ รวมถึงการประสานงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการลักลอบนำพาต่างด้าวอย่างเป็นระบบ

สรุป

 การจับกุมขบวนการนำพาชาวจีนในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของตำรวจท่องเที่ยวในการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยในพื้นที่ โดยเฉพาะการลักลอบนำพาต่างด้าวซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ทั้งนี้การดำเนินคดีและเพิ่มความเข้มงวดจะช่วยป้องกันเหตุการณ์ลักษณะนี้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

สลาก N3 เผยยอดขายลด คลังเล็งปรับกลยุทธ์ดึงผู้ซื้อ

สถานการณ์การจำหน่ายสลาก N3: ความท้าทายและโอกาสแก้ไขปัญหาหวยใต้ดิน

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงสถานการณ์การจำหน่ายสลากตัวเลขสามหลัก (สลาก N3) ซึ่งอยู่ในช่วงทดลองขายผ่านแซนด์บ็อกซ์ไปแล้ว 2 งวด โดยพบว่ายอดจำหน่ายในงวดล่าสุดอยู่ที่ 1,338,335 ใบ ลดลงจากงวดแรกที่มียอดจำหน่าย 1,898,869 ใบ หรือลดลงถึง 506,534 ใบ การลดลงนี้ส่งผลให้มูลค่าเงินรางวัลลดลงและขาดแรงจูงใจเมื่อเทียบกับหวยใต้ดิน

นายจุลพันธ์ระบุว่า หวยใต้ดินยังคงเป็นตัวเลือกที่ดึงดูดผู้ซื้อได้มากกว่า เนื่องจากมีเงื่อนไขการชำระเงินที่ยืดหยุ่นกว่า เช่น การจ่ายเงินแบบงวดชนงวดหรือชำระในงวดถัดไป ซึ่งสลาก N3 ยังไม่มีระบบดังกล่าว จึงเป็นโจทย์สำคัญที่สำนักงานสลากฯ ต้องพิจารณาว่า สลาก N3 สามารถแก้ไขปัญหาหวยใต้ดินได้หรือไม่

“เป้าหมายของสลาก N3 คือการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ซื้อหวยใต้ดินหันมาซื้อสลากที่ถูกกฎหมาย ยอดขายที่ลดลงในช่วงทดลองนี้ต้องมีการประเมินและปรับปรุงให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค” นายจุลพันธ์กล่าว พร้อมย้ำว่า จะต้องให้เวลาสำนักงานสลากฯ อีก 2-3 งวดในการปรับปรุงรูปแบบ หากพบว่าสลาก N3 ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ และยังส่งผลกระทบต่อการจำหน่ายสลาก L6 (สลาก 6 หลัก) ทั้งแบบใบและแบบดิจิทัล อาจต้องพิจารณายกเลิกการจำหน่ายสลาก N3

ยอดขายสลาก N3 ลดลงแต่ไม่กระทบผู้ค้าสลาก

นายจุลพันธ์ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า ยอดขายสลาก N3 ที่ลดลงไม่ได้ส่งผลกระทบมากต่อตัวแทนผู้ค้าสลาก เนื่องจากผู้ค้าสลาก N3 เป็นเพียงผู้ได้รับสิทธินำสลากไปจำหน่าย และสลากที่ขายไม่หมดจะถูกส่งคืนเข้าสู่ระบบ ส่วนรายได้ที่เกิดขึ้นจากยอดขาย จะนำมาหารสัดส่วนเพื่อกระจายในเงินรางวัลต่างๆ ต่างจากสลากแบบใบที่ผู้ค้าต้องชำระค่าสลากล่วงหน้าก่อนนำไปจำหน่าย

การจำหน่ายสลาก L6 แบบดิจิทัล

สำหรับกรณีสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบดิจิทัล (สลาก L6) งวดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งขายไม่หมดเป็นงวดแรก โดยมียอดจำหน่ายที่เหลือเกือบ 1 ล้านใบ นายจุลพันธ์กล่าวว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยสาเหตุหลักมาจากปัจจัยชั่วคราว เช่น การใช้จ่ายในช่วงเทศกาลลอยกระทง และสถานการณ์น้ำท่วมที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน

ความท้าทายของสลาก N3

นายจุลพันธ์กล่าวสรุปว่า การจำหน่ายสลาก N3 เป็นแนวทางใหม่ที่ต้องการตอบโจทย์ผู้ซื้อหวยใต้ดินและส่งเสริมการซื้อสลากที่ถูกกฎหมาย แต่ยังต้องมีการปรับปรุงรูปแบบการขายให้มีแรงจูงใจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยสำนักงานสลากฯ จะต้องประเมินผลการทดลองขายในช่วงต่อไป และปรับปรุงกลไกเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการจำหน่ายสลาก N3 และสลาก L6

“สุดท้ายแล้ว การจำหน่ายสลากต้องมุ่งสร้างความยั่งยืนทั้งในแง่รายได้ของรัฐและการตอบสนองความต้องการของประชาชน” นายจุลพันธ์กล่าว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

กสม.เร่งยุติความรุนแรงต่อสตรี ย้ำปัญหาสำคัญที่สังคมต้องแก้

กสม. ย้ำวันยุติความรุนแรงต่อสตรี ปัญหาสำคัญที่สังคมต้องร่วมมือแก้ไข

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกสารเนื่องในโอกาส “วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล” ประจำปี 2567 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี โดยย้ำถึงความรุนแรงต่อสตรีว่าเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำทั้งทางร่างกาย จิตใจ รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม

สถานการณ์ความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย

ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 30,000 คนที่ถูกกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการกระทำของคนใกล้ชิด เช่น คู่รัก หรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งรากเหง้าของปัญหามาจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) และยังพบว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะและโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

ผู้หญิงบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม ต้องเผชิญกับปัญหาในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีกรณีที่ผู้หญิงยากจนถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการรับจ้างอุ้มบุญข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิและกฎหมาย รวมถึงการกลายเป็นผู้ต้องหาในอาชญากรรมข้ามชาติ

 

สถานการณ์ความรุนแรงต่อสตรีในประเทศไทย

ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ในแต่ละปีมีผู้หญิงประมาณ 30,000 คนที่ถูกกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ โดยปัญหาส่วนใหญ่มาจากการกระทำของคนใกล้ชิด เช่น คู่รัก หรือบุคคลในครอบครัว ซึ่งรากเหง้าของปัญหามาจากค่านิยมชายเป็นใหญ่ (Patriarchy) และยังพบว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะและโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น

ผู้หญิงบางกลุ่ม เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่พร้อม ต้องเผชิญกับปัญหาในการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีกรณีที่ผู้หญิงยากจนถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการรับจ้างอุ้มบุญข้ามชาติ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิและกฎหมาย รวมถึงการกลายเป็นผู้ต้องหาในอาชญากรรมข้ามชาติ

เป้าหมายและการดำเนินงานของ กสม.

เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ ปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี (Beijing Declaration and Platform for Action – BDPA) และตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) กสม. ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการในหลายด้าน ได้แก่

  1. ยุติความรุนแรงต่อสตรี

    • เน้นให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นวาระแห่งชาติ
    • สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง
  2. สร้างกลไกป้องกันและช่วยเหลือ

    • พัฒนาบุคลากรที่มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ
    • จัดตั้งฐานข้อมูลกลางเพื่อรวบรวมปัญหาและแนวทางแก้ไข
  3. ส่งเสริมความเสมอภาคและความตระหนักรู้ในสังคม

    • ปรับเปลี่ยนทัศนคติเรื่องความรุนแรงต่อสตรี
    • เน้นย้ำถึงสิทธิของผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้พิการ และแรงงานข้ามชาติ
  4. พัฒนากฎหมายและบริการที่เกี่ยวข้อง

    • เร่งออกกฎหมายคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
    • พัฒนาระบบบริการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้

ความสำคัญของปัญหาความรุนแรงต่อสตรี

กสม. ย้ำว่าปัญหาความรุนแรงต่อสตรีไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสาธารณะที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมแก้ไข เพื่อสร้างสังคมที่ไม่ยอมรับการกระทำความรุนแรงต่อสตรีในทุกรูปแบบ ทั้งนี้ กสม. ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรสาธารณะ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความเสมอภาคทางเพศอย่างยั่งยืน

ด้วยความร่วมมือที่เข้มแข็งและการตระหนักรู้ในปัญหา สังคมไทยสามารถร่วมกันยุติความรุนแรงต่อสตรี และสร้างสังคมที่ทุกคนได้รับความปลอดภัยและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกันในทุกมิติ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE