Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

โค้งสุดท้าย! เจาะลึกจุดเด่น “ผอ.แซน-วันชัย” ชิงเทศบาลนครเชียงราย

วิเคราะห์ศึกชิงนายกเทศมนตรีนครเชียงราย ‘วันชัย vs ดร.แซน’ เปิดจุดเด่น-คาดการณ์ผล

เชียงราย, 4 พฤษภาคม 2568 – เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก่อนที่ชาวนครเชียงรายจะได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงราย ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 นี้ โดยศึกชิงเก้าอี้ครั้งนี้ ถือเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นที่สุดในรอบหลายปี ระหว่างสองผู้สมัครที่โดดเด่นด้วยวิสัยทัศน์และกลยุทธ์การหาเสียงที่แตกต่างกัน ได้แก่ นายวันชัย จงสุทธานามณี ผู้สมัครหมายเลข 2 อดีตนายกเทศมนตรีที่คร่ำหวอดในวงการการเมืองท้องถิ่น และ ดร.ศราวุธ สุตะวงค์ หรือ ดร.แซน ผู้สมัครหมายเลข 1 ผู้ท้าชิงไฟแรงจากพรรคประชาชน

เปิดจุดเด่น ‘วันชัย’ ผู้สมัครหมายเลข 2 กับผลงานที่จับต้องได้

นายวันชัย จงสุทธานามณี มีจุดแข็งที่ชัดเจนจากผลงานในอดีตที่สร้างไว้ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครเชียงรายหลายสมัย โดยเฉพาะการสร้างโรงเรียนเทศบาล 6 และ 7, การพัฒนาสวนตุงและโคม บนพื้นที่เรือนจำเก่า, การก่อสร้างหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองเชียงราย รวมถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสร้างความพึงพอใจในกลุ่มประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและวัยทำงาน

นายวันชัยยังคงใช้กลยุทธ์เดิมที่เคยประสบความสำเร็จ คือการเคาะประตูบ้านเพื่อเข้าถึงประชาชนแบบตัวต่อตัวตั้งแต่เริ่มเปิดรับสมัคร และยังเพิ่มการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น ประเพณีรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ใกล้ชิดประชาชนได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและชุมชนในพื้นที่รอบนอกของเทศบาลนครเชียงราย

อย่างไรก็ตาม นายวันชัยยังมีจุดอ่อนจากการลดระดับการเคลื่อนไหวบนโซเชียลมีเดีย โดยล่าสุดหายไปจากการอัปเดตข้อมูลมาแล้วถึง 2 วัน (ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2568) ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสในการรักษาฐานเสียงจากกลุ่มวัยทำงาน (21-37 ปี) ที่นิยมรับข่าวสารผ่านช่องทางออนไลน์

เจาะจุดเด่น ‘ดร.แซน’ ผู้สมัครหมายเลข 1 กับภาพลักษณ์ทันสมัย

ในขณะเดียวกัน ดร.ศราวุธ สุตะวงค์ หรือ ดร.แซน ผู้สมัครหน้าใหม่จากพรรคประชาชน ได้ชูวิสัยทัศน์สำคัญในการเปลี่ยนเชียงรายจาก “เมืองที่ตายแล้ว” ให้กลับมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว พร้อมกับนโยบายแก้ไขปัญหาการอพยพของประชากรวัยรุ่นและวัยทำงานที่มักจะย้ายไปทำงานที่จังหวัดเชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ วิสัยทัศน์นี้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในเขตเทศบาลนครเชียงราย (18,359 คน)

นอกจากนี้ ดร.แซน ยังได้รับแรงหนุนจากหัวหน้าพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และ ส.ส.ชื่อดังอีกหลายคน โดยเฉพาะ ส.ส.ปั๋น ชิตวัน และ ส.ส.หญิง จุฬาลักษณ์ ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ

ในเรื่องกลยุทธ์การหาเสียง ดร.แซน ผสมผสานการเคาะประตูบ้านแบบตัวต่อตัวเข้ากับการใช้โซเชียลมีเดียและเวทีปราศรัยขนาดใหญ่ ล่าสุดที่ Center Point Night Bazaar เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา สามารถดึงดูดประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมรับฟัง ซึ่งช่วยเพิ่มแรงสนับสนุนในพื้นที่เขตเมืองได้เป็นอย่างดี

วิเคราะห์การแข่งขัน “เข้าถึงประชาชน” คือปัจจัยชี้ขาด

การแข่งขันระหว่างนายวันชัยและดร.แซน จะตัดสินด้วยกลยุทธ์การเข้าถึงประชาชน โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มผู้สูงอายุ (54-72 ปี) จำนวน 17,146 คน ที่นิยมการสื่อสารโดยตรงกับผู้สมัคร และกลุ่มวัยทำงาน (21-37 ปี) จำนวน 18,359 คน ที่รับข้อมูลข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดีย

นายวันชัยมีข้อได้เปรียบจากฐานเสียงที่แข็งแกร่งในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งยังคงชื่นชมในผลงานและการลงพื้นที่แบบใกล้ชิด ขณะที่ดร.แซน มีความได้เปรียบจากการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานผ่านการใช้สื่อสังคมออนไลน์และนโยบายทันสมัยที่โดนใจคนรุ่นใหม่

อย่างไรก็ตาม การตัดสินผลการเลือกตั้งครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขยายฐานเสียงเพิ่มเติมในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยเฉพาะนายวันชัยต้องกลับมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้คะแนนจากกลุ่มวัยทำงานหลุดมือไป ขณะที่ดร.แซนต้องเร่งขยายพื้นที่หาเสียงให้เข้าถึงผู้สูงอายุในพื้นที่รอบนอกมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงราย

ข้อมูลจากสำนักงานทะเบียนราษฎร์ (City Data Information, 2566) ระบุว่าเทศบาลนครเชียงรายมีประชากรทั้งหมด 77,760 คน แบ่งเป็นกลุ่มวัยทำงานอายุ 21-37 ปี มีจำนวนมากที่สุดถึง 18,359 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 23.6 ของประชากรทั้งหมด ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ 54-72 ปี มีจำนวน 17,146 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 22 ของประชากร ทั้งนี้ จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 50,000 คน มีอัตราการมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 70.3 (ข้อมูลจาก กกต.เชียงราย)

จากสถิติข้างต้น แสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์สูงเช่นกัน และกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งวัย 21-37 ปี จะเป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงรายในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 นี้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘เชียงราย’ ทดสอบเตือนภัยมือถือ Cell Broadcast ครั้งแรกไทย

เชียงรายนำร่องทดสอบระบบเตือนภัย Cell Broadcast ครั้งแรกในประเทศไทย

เชียงราย 3 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายร่วมมือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และผู้ให้บริการโทรคมนาคม จัดทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Broadcast) ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

จุดเริ่มต้นของระบบเตือนภัยแห่งอนาคต

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการทดสอบระบบ Cell Broadcast อย่างเป็นทางการ ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

การทดสอบครั้งนี้ดำเนินการโดยความร่วมมือจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.), กรมประชาสัมพันธ์ และบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ได้แก่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT), บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (AIS)

จังหวัดเชียงรายได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสี่จังหวัดที่ร่วมทดสอบระบบในครั้งนี้ ร่วมกับจังหวัดสุพรรณบุรี อุบลราชธานี และสงขลา ซึ่งดำเนินการพร้อมกันเวลา 13.00 น.

Cell Broadcast สู่ความปลอดภัยอย่างแท้จริง

การทดสอบส่งข้อความแจ้งเตือนประเภท “National Alert” จำนวน 1 ครั้ง ระยะเวลาแสดงผลบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ 10 นาที ครอบคลุมรัศมี 2 กิโลเมตรรอบศาลากลางจังหวัดเชียงราย ข้อความที่ส่งระบุว่า:

“ทดสอบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โปรดอย่าตื่นตระหนก This is a test message from Department of Disaster Prevention and Mitigation (DDPM). No action required.”

จากการรายงานผล พบว่าโทรศัพท์มือถือที่ใช้เครือข่าย AIS ได้รับข้อความเป็นลำดับแรก ตามมาด้วย True และ NT ตามลำดับ โดยใช้เวลาส่งไม่ถึง 1 นาที ถือว่าการทดสอบผ่านไปได้ด้วยดี

ประชาชนเชียงรายรับทราบอย่างทั่วถึง

จากการสอบถามประชาชนในชุมชนน้ำลัด และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ศาลากลางเชียงราย ทุกฝ่ายได้รับข้อความแจ้งเตือนตามที่กำหนดไว้ ประชาชนส่วนใหญ่รับทราบล่วงหน้าว่าจะมีการทดสอบ เพราะมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนอื่อตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น กลุ่มไลน์ หน่วยงานราชการ และใบปลิวที่แจกในพื้นที่ ทำให้ไม่มีความตื่นตระหนกเกิดขึ้น

ปัญหาเล็กน้อยที่ต้องปรับปรุง

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จากการทดสอบพบปัญหาบางประการ เช่น โทรศัพท์บางรุ่นไม่สามารถเก็บข้อความแจ้งเตือนไว้ได้ บางเครื่องที่เก่าหรือไม่ได้อัปเดตระบบ ก็ไม่สามารถรับข้อความได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะถูกส่งไปให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแก้ไขในขั้นตอนต่อไป

กรมปภ.พร้อมเดินหน้าขยายผล

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ผลการทดสอบระบบ Cell Broadcast ครั้งแรกนี้ถือว่าน่าพอใจมาก เพราะสามารถส่งข้อความถึงประชาชนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในอนาคตกรมฯ จะมีการทดสอบเพิ่มอีกในพื้นที่ขนาดกลางและใหญ่ เพื่อให้ระบบมีความพร้อมใช้งานจริงในสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว และโรคระบาด

Cell Broadcast เทคโนโลยีเพื่ออนาคต

ระบบ Cell Broadcast เป็นระบบส่งข้อความแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยไม่จำเป็นต้องทราบหมายเลขโทรศัพท์ผู้รับ แตกต่างจากระบบ SMS ที่ต้องส่งรายบุคคล ระบบนี้เหมาะสมสำหรับสถานการณ์ที่ต้องแจ้งเตือนประชาชนอย่างเร่งด่วนในพื้นที่เสี่ยง

จุดแข็งของระบบ Cell Broadcast คือการส่งข้อความที่รวดเร็ว เข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกัน มีประสิทธิภาพสูง เหมาะกับการเตือนภัยธรรมชาติร้ายแรง เช่น แผ่นดินไหว น้ำป่าไหลหลาก พายุ และเหตุฉุกเฉินอื่นๆ

การวิเคราะห์ความพร้อมใช้ของระบบ

อย่างไรก็ตาม การทดสอบในครั้งนี้เผยให้เห็นปัญหาเกี่ยวกับความเข้ากันได้ของโทรศัพท์มือถือบางรุ่น ซึ่งอาจกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญได้หากนำไปใช้งานจริง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว รวมถึงปรับปรุงการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวเข้าใจระบบนี้อย่างชัดเจน และสามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด

สถิติที่เกี่ยวข้องกับระบบแจ้งเตือนภัย

จากข้อมูลของ International Telecommunication Union (ITU) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระบุว่า การใช้ระบบ Cell Broadcast ช่วยลดเวลาการแจ้งเตือนภัยจากเดิมที่ใช้ระบบ SMS จาก 10-15 นาที เหลือเพียงไม่ถึง 1 นาที ซึ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้มากถึง 50% นอกจากนี้ รายงานจาก ITU ในปี 2024 ยังระบุว่า ประเทศที่มีระบบ Cell Broadcast ครอบคลุมพื้นที่กว่า 90% มีอัตราการเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 30-40%

จังหวัดเชียงรายจะเป็นต้นแบบสำคัญในการใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast เพื่อนำไปสู่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้นี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • สำนักงาน กสทช.
  • International Telecommunication Union (ITU) Report 2024
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

โพลชี้! คนไทยเอือมโกงเลือกตั้งท้องถิ่นหวังโปร่งใส

ผลสำรวจเลือกตั้งเทศบาลสะท้อนปัญหาทุจริต ประชาชนต้องการผู้นำโปร่งใส

ผลสำรวจล่าสุดจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ประเทศไทย,2 พฤษภาคม 2568 – มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เปิดผลสำรวจการเลือกตั้งระดับเทศบาล วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 โดยสำรวจประชาชน 1,020 คน ทั่วประเทศ ช่วงวันที่ 16-25 เมษายน 2568 กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 711 คน เยาวชนอายุ 15 ปี จำนวน 309 คน

ประชาชนย้ำชัด “ไม่เลือกคนโกง”

จากผลสำรวจ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการคอร์รัปชันคือปัญหาใหญ่ ต้องการผู้นำที่โปร่งใส ผลสำรวจระบุชัดเจน หากรู้ว่าผู้สมัครทุจริตหรือมีประวัติไม่ดี ประชาชนจะปฏิเสธทันที แม้ในอดีตมีการซื้อเสียงอย่างหนัก พบการซื้อเสียงขั้นต่ำ 1,100 บาท สูงสุดถึง 2,000 บาทต่อคนในบางพื้นที่

เยาวชนไทยเน้นความโปร่งใสเป็นอันดับหนึ่ง

เยาวชนอายุ 15-17 ปี ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสมากที่สุด กลุ่มนี้ถือเป็นความหวังสำคัญของการเมืองไทยในอนาคต ขณะที่ประชาชนวัยผู้ใหญ่ยังมองความโปร่งใสเป็นเรื่องรอง

ทุจริตท้องถิ่นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชาติ

ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า ปัญหาคอร์รัปชันในระดับท้องถิ่น ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างมาก ดัชนีการคอร์รัปชันของไทย (CPI) อยู่ที่อันดับ 108 ได้คะแนนเพียง 34 คะแนนเท่านั้น ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไทยไม่เคยทำได้เกิน 40 คะแนนเลย ต่างจากเวียดนามที่คะแนนสูงกว่าอย่างชัดเจน

ประชาชนต้องการร่วมตรวจสอบการทุจริต

นายวิเชียร พงศธร ประธานมูลนิธิเพื่อคนไทย ระบุชัดจากผลสำรวจ ประชาชนไม่ยอมรับการโกง แม้จะมีการซื้อเสียงอยู่ แต่ประชาชนยืนยันว่าจะไม่เลือกคนโกง ส่วนใหญ่แสดงความไม่พอใจต่อการบริหารของผู้นำท้องถิ่นที่ผ่านมา มีประชาชนพอใจผลงานเพียง 10% เท่านั้น

เม็ดเงินสะพัดในการซื้อเสียงสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท

ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า เม็ดเงินที่หมุนเวียนในการเลือกตั้งเทศบาลอยู่ที่ประมาณ 2-4 หมื่นล้านบาท เทียบได้กับการเลือกตั้ง อบจ. และใกล้เคียงกับระดับประเทศที่ 3-5 หมื่นล้านบาท หากสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงหลังเดือนพฤษภาคม เงินสะพัดอาจสูงขึ้นอีก

ท้องถิ่นเข้มข้นขึ้นกับการต่อต้านคอร์รัปชัน

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เผยว่า ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่จริง การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญมาก หากประชาชนปฏิเสธเงินซื้อเสียง และตัดสินใจเลือกผู้นำด้วยความโปร่งใส การเมืองระดับท้องถิ่นจะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างแน่นอน

กกต. ถูกตั้งคำถามกับบทบาทจับทุจริต

การดำเนินคดีจากการซื้อเสียงที่ผ่านมา มีการจับกุมน้อยมาก หน่วยงาน กกต. ไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้มากนัก ประชาชนจึงต้องการให้ กกต. ทำงานเชิงรุกมากขึ้น พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนช่วยเฝ้าระวังผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นหลักฐานในการจัดการกับปัญหานี้

แนวทางอนาคตของประชาธิปไตยไทย

ผู้ร่วมแถลงข่าวเห็นร่วมกันว่า คนรุ่นใหม่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประชาธิปไตยไทย เยาวชนอายุ 15-17 ปี จะเป็นกลุ่มที่นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบการเมือง แม้ผลลัพธ์อาจไม่ทันใจ แต่พัฒนาการด้านประชาธิปไตยไทยจะดีขึ้นแน่นอน

ข้อเสนอแนะสำคัญจากผลสำรวจ

ประชาชนเสนอให้ กกต. ปรับปรุงกระบวนการคัดกรองผู้สมัครให้เข้มงวดขึ้น และมีมาตรการติดตามตรวจสอบที่โปร่งใสมากขึ้น เพื่อให้ได้ผู้นำท้องถิ่นที่ดีในอนาคต ประชาชนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แม้บางพื้นที่จะไม่มีตัวเลือกที่ถูกใจ แต่ประชาชนยังพร้อมออกไปเลือก “โนโหวต” แทนที่จะสนับสนุนคนโกง

สรุปทิศทางการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น

ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนชัดว่าประชาชนไทยต้องการเปลี่ยนแปลงจริงจังในระดับท้องถิ่น มองการทุจริตเป็นปัญหาสำคัญที่สุด หากแก้ไขปัญหานี้ได้ เศรษฐกิจและการเมืองไทยจะมั่นคงและโปร่งใสมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

  • Transparency International (Corruption Perception Index – CPI 2024)

  • สถิติการซื้อเสียงจาก กกต. และ ACT Ai (องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

AOT สะเทือน “กีรติ” ลาออก เอฟเฟกต์การเมือง หรือดูแลครอบครัว

กีรติ ลาออกจาก AOT อย่างเป็นทางการ “สุริยะ” ยันไม่มีแรงกดดันทางการเมือง พร้อมย้ำความต่อเนื่องขององค์กรการบินแห่งชาติ

เริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านในองค์กรสนามบินแห่งชาติ

ประเทศไทย, 23 เมษายน 2568 – วงการคมนาคมและอุตสาหกรรมการบินของไทยเกิดความเคลื่อนไหวสำคัญ เมื่อ ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ มีผลตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2568 เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลเรื่องความจำเป็นในการดูแลบิดามารดาซึ่งมีอายุมากและสุขภาพไม่ดี

แม้เป็นการตัดสินใจที่สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย แต่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ออกมายืนยันในทันทีว่า การลาออกของนายกีรติไม่มีความเกี่ยวข้องกับแรงกดดันทางการเมืองแต่อย่างใด

การแถลงยืนยันจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

นายสุริยะ กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า ตนเองได้รับหนังสือลาออกจากนายกีรติแล้ว และยืนยันว่าทั้งหมดเป็นการตัดสินใจส่วนตัวของเจ้าตัว ไม่ได้มีแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง หรือปัจจัยภายนอกเกี่ยวกับพรรคการเมืองใดเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้ยังปฏิเสธข่าวลือที่ระบุว่านายวิม รุ่งวัฒนจินดา หนึ่งในกรรมการ AOT และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จะเข้ารับหน้าที่รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่แทนว่า “ไม่เป็นความจริง”

เขาย้ำด้วยว่า หากมีแรงกดดันทางการเมืองจริง นายกีรติคงไม่สามารถดำรงตำแหน่งมาได้นานถึง 2 ปี และหากตนจะใช้อำนาจแทรกแซงจริงก็มีโอกาสที่จะให้ลาออกได้ตั้งแต่เริ่มเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว

ภาพรวมผลงาน AOT ภายใต้การนำของกีรติ

ก่อนการลาออกเพียงไม่กี่วัน AOT ได้รายงานผลการดำเนินงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการระบบสนามบินทั้ง 6 แห่งทั่วประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผู้โดยสารรวมกว่า 2.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 4.3% และเที่ยวบินรวมกว่า 16,000 เที่ยว เพิ่มขึ้น 7.6%

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งนับเป็นผลงานสำคัญภายใต้การนำของดร.กีรติ

นวัตกรรมที่ช่วยยกระดับบริการผู้โดยสาร

หนึ่งในผลงานเด่นของ AOT ภายใต้การบริหารของดร.กีรติ คือ การนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการบริการ อาทิ

  • เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ (CUSS)
    ลดเวลาเช็กอินจาก 20 นาที เหลือเพียง 1 นาที
  • ระบบ Biometric
    ลดเวลาในการยืนยันตัวตนจาก 3 นาที เหลือ 1 นาที
  • Automated Border Control (ABC)
    ลดเวลาการตรวจหนังสือเดินทางจาก 15 นาที เหลือไม่ถึง 2 นาที

สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้ระยะเวลาโดยรวมของการเดินทางผ่านสนามบินลดลงอย่างชัดเจน ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ และทำให้ AOT สามารถรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีขึ้นกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้

เป้าหมายระยะยาว มุ่งสู่สนามบินระดับโลก

ในรายงานฉบับล่าสุด AOT ระบุว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ขยับอันดับสนามบินที่ดีที่สุดในโลกขึ้นจากอันดับที่ 58 เป็นอันดับที่ 39 ในปี 2568 โดยมีเป้าหมายที่จะขยับเข้าสู่ “Top 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก” ภายใน 5 ปีข้างหน้า

AOT ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาพื้นที่ให้บริการที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ผู้โดยสาร เช่น การจัดพื้นที่พักผ่อน การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย และกิจกรรมสันทนาการภายในสนามบิน เพื่อสร้างความประทับใจตลอดการเดินทาง

ข่าวลือในช่วงสงกรานต์ และแรงกดดันภายใน

รายงานจากแหล่งข่าววงในระบุว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมามีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่า ดร.กีรติ อาจลาออกก่อนครบวาระในปี 2570 โดยมีการเชื่อมโยงไปถึงแรงกดดันจากภายในองค์กร รวมถึงปัญหาทางการเงินที่เกิดจากการเจรจาขอเลื่อนชำระค่าตอบแทนขั้นต่ำจากผู้ประกอบการรายสำคัญ ซึ่งส่งผลต่อฐานะการเงินของ AOT และการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

โดย AOT ต้องเผชิญกับการปรับลดราคาหุ้นกว่า 20% ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี หลังการประกาศผลประกอบการล่าสุด

ประวัติและบทบาทในองค์กรของดร.กีรติ

ดร.กีรติ เป็นผู้บริหารที่เติบโตจากสายงานภายในของ AOT ผ่านประสบการณ์ด้านการพัฒนาธุรกิจและบริหารจัดการสนามบิน ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่เมื่อกลางปี 2566 ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลังโควิด-19

ภายใต้การนำของเขา AOT ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างรายได้ และวางกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบิน (Non-Aviation) ให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก และสร้างเสถียรภาพในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ผู้โดยสารช่วงสงกรานต์ 2568
    รวม 2.6 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 4.3%)
  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ
    1.6 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 3.1%)
  • ผู้โดยสารภายในประเทศ
    1 ล้านคน (เพิ่มขึ้น 6.2%)
  • เที่ยวบินทั้งหมด
    16,064 เที่ยวบิน (เพิ่มขึ้น 7.6%)
  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
    1.3 ล้านผู้โดยสาร, 7,345 เที่ยวบิน
  • อันดับสนามบินในโลก (Skytrax)
    อันดับ 39 ในปี 2568 (เพิ่มขึ้นจากอันดับ 58)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • กระทรวงคมนาคม
  • รายงานการประเมินสนามบินจาก Skytrax
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
  • ข่าวจากสื่อมวลชนสายคมนาคม – กรุงเทพธุรกิจ, มติชน, ฐานเศรษฐกิจ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

“ระเบิดสะพานโจร”ตำรวจผนึก 32 หน่วยงาน ใช้ไม้แข็งชายแดน

เชียงรายเดินหน้าปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฉก.88 จับมือ 32 หน่วยงาน ใช้มาตรการ “ระเบิดสะพานโจร” หวังเห็นผลใน 3 เดือน

แถลงข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

กรุงเทพฯ, 21 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) เป็นประธานการประชุมสำคัญร่วมกับผู้บัญชาการระดับสูงและตัวแทนจาก 32 หน่วยงาน เพื่อกำหนดทิศทางปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติรูปแบบใหม่

ตั้งคณะทำงานตามนโยบายนายกรัฐมนตรี

การประชุมในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากคำสั่งของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 83/2568 ที่ให้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน โดยเน้นการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อควบคุมอาชญากรรมชายแดนที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้น โดยเฉพาะการลักลอบเข้า-ออกประเทศ และการใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

รายงานสถานการณ์ปัจจุบันของอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์

ในการประชุมมีการรายงานสถานการณ์ล่าสุดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งมีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ โดยอาศัยช่องว่างชายแดนไทย-เมียนมา และไทย-กัมพูชา เป็นทางผ่าน ผู้ต้องหาส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นเหยื่อค้ามนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี แต่จากการตรวจสอบเชิงลึกพบว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้มีพฤติกรรมร่วมกระทำความผิดอย่างมีนัยสำคัญ

สถิติการจับกุมล่าสุด

ในการปฏิบัติการฝั่งประเทศกัมพูชา มีการจับกุมผู้เกี่ยวข้องชาวไทยจำนวน 175 คน ซึ่งไม่พบว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์แต่อย่างใด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินคดีในประเทศไทยใน 4 ข้อหาหลัก ได้แก่

  1. สมคบคิดฉ้อโกงประชาชน
  2. ฟอกเงิน
  3. กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
  4. มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

นโยบาย “ระเบิดสะพานโจร” สกัดวงจรอาชญากรรม

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ได้รับการกล่าวถึงในที่ประชุมคือ “ระเบิดสะพานโจร” ซึ่งเน้นการตัดวงจรเชื่อมโยงของอาชญากรรมทุกมิติ ประกอบด้วย:

  1. ปราบปรามเทคโนโลยีสนับสนุนอาชญากรรม
  • ดำเนินการตัดสายเคเบิลเถื่อน
  • ทำลายเสาสัญญาณเถื่อน
  • ปิดกั้นซิมผี
  • วิเคราะห์ข้อมูลจาก IP address เพื่อระบุแหล่งต้นตอของแก๊ง
  1. ควบคุมเส้นทางการเงินทั้งระบบธนาคารและคริปโต
  • ตรวจสอบการเปิดบัญชีม้า
  • ติดตามการถอนเงินบริเวณแนวชายแดน
  • ปิดช่องโหว่การขนเงินสดข้ามแดน
  • วิเคราะห์เครือข่ายบัญชีคริปโตเพื่อหาจุดเชื่อมโยงถึงหัวหน้าเครือข่าย
  1. ควบคุมการเดินทางเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด
  • ตรวจสอบบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย
  • ปิดช่องทางธรรมชาติที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • สกัดไม่ให้ไทยกลายเป็นทางผ่านของแรงงานผิดกฎหมายและกลุ่มแก๊ง

การวิเคราะห์เชิงนโยบาย

พล.ต.อ.ธัชชัย ระบุว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในยุคปัจจุบันถือเป็นภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่หรือ “สงครามไซเบอร์” (Cyber War) ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการของทุกหน่วยงานอย่างแท้จริง ไม่เพียงแค่การใช้กำลังหรือกฎหมาย แต่ต้องควบคู่กับการวิเคราะห์ข้อมูล ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีของเจ้าหน้าที่รัฐ

ความหวังในระยะ 3 เดือน

เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจนในการประชุมครั้งนี้คือ การทำให้มาตรการปราบปรามเห็นผลสัมฤทธิ์ภายใน 3 เดือน โดยมีการวางตัวชี้วัด (KPI) ครอบคลุมทั้งด้านการจับกุม ด้านการปราบเทคโนโลยีสนับสนุนอาชญากรรม และด้านการป้องกันล่วงหน้า

บทสรุปและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องอาศัยทั้งยุทธศาสตร์ระยะสั้นและระยะยาว โดยต้องเน้นการสร้างฐานข้อมูลกลาง การสื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจไม่ร่วมสนับสนุนการกระทำผิด การขยายความร่วมมือระหว่างประเทศ และการใช้เครื่องมือทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการปฏิรูปกระบวนการรับข้อมูลข่าวสารในพื้นที่แนวชายแดนให้รวดเร็วและเท่าทันสถานการณ์

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ปี 2567 มีการแจ้งความเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั่วประเทศมากกว่า 13,200 คดี
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของไทยเผยว่า ปี 2566 มีประชาชนถูกหลอกโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากกว่า 1.6 แสนราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 38,000 ล้านบาท
  • รายงานของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.สอท.) ระบุว่า เฉพาะไตรมาสแรกของปี 2568 มีการจับกุมซิมผีและบัญชีม้าแล้วกว่า 6,000 รายการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
  • กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘เชียงราย’ เยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมกว่า 3 หมื่นครัวเรือน

เชียงรายเร่งติดตามความคืบหน้าแผนฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ระยะที่ 2

ประชุมติดตามแผนปฏิบัติการเยียวยาเร่งด่วน จังหวัดเชียงราย

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – ที่ห้องประชุมธรรมลังกา ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมติดตามผลการดำเนินโครงการและกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการและระบบติดตามการฟื้นฟูเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่มในจังหวัดเชียงราย ระยะที่ 2 โดยเน้นยุทธศาสตร์ที่ 3 การเร่งรัดการชดเชยเยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรายงานความคืบหน้าอย่างพร้อมเพรียง

การช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาจากมติคณะรัฐมนตรี

ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 และ 8 ตุลาคม 2567 จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการรับคำร้องขอความช่วยเหลือจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยรวมจำนวนทั้งสิ้น 35,124 ครัวเรือน โดยธนาคารออมสินได้ดำเนินการโอนเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยครบถ้วนแล้ว เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 316,116,000 บาท

กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พ.ศ. 2567

สำหรับกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายปี 2567 มียอดเงินบริจาครวม 9,839,079.03 บาท ซึ่งได้มีการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • สมทบค่าวัสดุก่อสร้างบ้าน จำนวน 174 หลัง เป็นเงิน 8,370,000 บาท
  • สมทบค่าดำรงชีพแก่ผู้ประสบภัยบ้านพังทั้งหลัง 160 ราย เป็นเงิน 1,398,000 บาท

รวมเป็นเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ ทั้งสิ้น 9,768,000 บาท

เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน

ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2562 จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 100 ล้านบาท และได้ดำเนินการช่วยเหลือแล้วทั้งสิ้น 95,179,184 บาท โดยเฉพาะในส่วนของค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน ครัวเรือนละ 10,000 บาท ซึ่งมีผู้ขอรับความช่วยเหลือจำนวน 18,362 ครัวเรือน ได้รับการช่วยเหลือแล้ว 4,994 ครัวเรือน และยังคงเหลืออีก 13,368 ครัวเรือนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ

เงินช่วยเหลือจากสำนักนายกรัฐมนตรีและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

จากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี มีการขอรับความช่วยเหลือรวมทั้งสิ้น 13,570,000 บาท โดยดำเนินการช่วยเหลือแล้วในรอบที่ 1 และ 2 ครอบคลุม:

  • ผู้เสียชีวิต 12 ราย เป็นเงิน 1,080,000 บาท
  • บ้านพังทั้งหลัง 73 หลัง เป็นเงิน 12,490,000 บาท

ส่วนการขอรับความช่วยเหลือครั้งที่ 3 อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักนายกรัฐมนตรี ครอบคลุมผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 2 ราย และบ้านเสียหายทั้งหลังอีก 39 หลัง

สำหรับความช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย โดยใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ ได้ดำเนินการแล้วดังนี้:

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ช่วยเหลือ 48,937,375 บาท
  • เทศบาลนครเชียงราย ช่วยเหลือ 19,157,500 บาท
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ช่วยเหลือ 44,057,118 บาท

รวมเป็นเงินช่วยเหลือจาก อปท. ทั้งหมด 112,151,993 บาท

บทวิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

การประชุมติดตามครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญที่สะท้อนถึงความร่วมมือเชิงรุกของจังหวัดเชียงรายในการเร่งแก้ไขและฟื้นฟูความเสียหายจากภัยธรรมชาติในเชิงระบบ การประสานงานระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น มีความสำคัญยิ่งในการลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย

ทั้งนี้การขับเคลื่อนภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 3 จะต้องสอดคล้องกับแนวทางการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน ได้แก่ การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การบริหารงบประมาณแบบมีประสิทธิภาพ และการสร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอนของการช่วยเหลือ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายเผชิญเหตุอุทกภัยรวมทั้งสิ้น 48 ครั้ง โดยมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 14 อำเภอ และมีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 87,000 คน

ขณะที่รายงานจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ปี 2567 ระบุว่า ความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงรายคิดเป็นมูลค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตรสูงถึง 2,043 ล้านบาท

รายงานการเงินจากสำนักงานจังหวัดเชียงราย ประจำเดือนเมษายน 2568 ระบุว่า การเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่แล้วเสร็จถึง 91.7% ของงบประมาณทั้งหมด โดยตั้งเป้าให้การช่วยเหลือทั้งหมดแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568

การประชุมในครั้งนี้จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และเป็นการยืนยันถึงการดำเนินงานที่โปร่งใส รอบด้าน และเป็นธรรมภายใต้หลักการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

เข้าไทยง่ายขึ้น ต่างชาติใช้บัตร ขาเข้าดิจิทัล “TDAC” เริ่ม 1 พ.ค. นี้

ตม. เปิดตัวระบบบัตรขาเข้าดิจิทัล TDAC รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีผล 1 พ.ค. นี้

จุดเริ่มต้นนวัตกรรมด้านการตรวจคนเข้าเมือง

ประเทศไทย, 19 เมษายน 2568 – สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ประกาศเปิดใช้ระบบบัตรขาเข้าแบบดิจิทัล หรือ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) สำหรับชาวต่างชาติทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการและเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางเข้าประเทศ โดยนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับระบบนี้อย่างเป็นทางการ

ขั้นตอนการใช้งานระบบ TDAC

ระบบ TDAC จะถูกนำมาใช้กับผู้เดินทางเข้าประเทศทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางเรือ หรือทางอากาศ โดยชาวต่างชาติจำเป็นต้องลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ tdac.immigration.go.th อย่างน้อย 3 วันก่อนวันเดินทาง โดยต้องระบุข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลหนังสือเดินทาง รายละเอียดการเดินทาง ที่พักอาศัยในประเทศไทย รวมถึงข้อมูลด้านสุขภาพ ตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้ การลงทะเบียนผ่านระบบ TDAC มีทั้งหมด 4 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่

  1. เข้าเว็บไซต์ tdac.immigration.go.th หรือสแกน QR code ที่กำหนด
  2. กรอกข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการเดินทางอย่างครบถ้วน
  3. ส่งข้อมูลและรอรับอีเมลยืนยันการลงทะเบียน
  4. นำเอกสารยืนยันการลงทะเบียนและเอกสารการเดินทางมาแสดงแก่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย

การสนับสนุนหลายภาษาและสื่อแนะนำการใช้งาน

เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทาง เว็บไซต์ TDAC ยังมีคู่มือแนะนำการใช้งานถึง 5 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ จีน เกาหลี รัสเซีย และญี่ปุ่น รวมทั้งแผ่นพับและวิดีโอประชาสัมพันธ์ที่สามารถเข้าใช้งานได้ตลอดเวลา ช่วยลดปัญหาด้านภาษาและความสับสนในการกรอกข้อมูล

การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน

นายอนุกูลกล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบ TDAC ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล และไม่ใช่ระบบวีซ่าออนไลน์ แต่เป็นระบบลงทะเบียนบัตรขาเข้าแบบดิจิทัล ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาแอปพลิเคชันเพิ่มเติมเพื่อให้บริการครบวงจรยิ่งขึ้น

ระบบ TDAC ยังถูกเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบ E-Visa ของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ, ระบบคัดกรองสุขภาพของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อให้การบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากระบบ TDAC

ระบบ TDAC จะช่วยลดความแออัดในขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน ด่านชายแดน และท่าเรือต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล ลดความผิดพลาดจากการเขียนข้อมูลด้วยมือ และช่วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนการรองรับนักท่องเที่ยวได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีเทคโนโลยีทันสมัย สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

จุดวิเคราะห์และข้อเสนอแนะในการดำเนินการต่อไป

แม้ว่าระบบ TDAC จะมีความสะดวกและทันสมัย แต่การบังคับใช้ในช่วงแรกอาจมีปัญหาเรื่องการรับรู้และความเข้าใจของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ระบบออนไลน์ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการประชาสัมพันธ์เชิงรุกผ่านสื่อออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเตรียมเจ้าหน้าที่สนับสนุนเพื่อช่วยเหลือและให้คำแนะนำนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยในช่วงแรก

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งข้อมูลอ้างอิง

จากข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่า 30 ล้านคน โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งระบบ TDAC คาดว่าจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวและลดเวลาในการตรวจสอบเอกสารที่สนามบินได้ถึง 30% (ที่มา: รายงานสถิติการเข้าเมืองของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, 2567)

ด้วยความพร้อมในการเปิดใช้ระบบ TDAC อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 นี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบตรวจคนเข้าเมืองของประเทศไทยให้มีมาตรฐานระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สงกรานต์ 6 วันดับ 200 เชียงรายเสียชีวิต 8 คุมเข้มต่อ

เชียงรายเข้มงวดลดอุบัติเหตุสงกรานต์ 2568 วิเคราะห์สาเหตุเพื่อป้องกันอนาคต

เชียงราย, 17 เมษายน 2568 – เทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่ชาวไทยเฉลิมฉลองด้วยความสนุกสนาน แต่ก็มาพร้อมความท้าทายด้านความปลอดภัยบนท้องถนน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์ ได้ดำเนินมาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 นี้ จังหวัดได้จัดการประชุมเพื่อสรุปผลการดำเนินงานและวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เพื่อนำไปสู่แนวทางการป้องกันที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การประชุมสรุปผลและขอบคุณทุกฝ่าย

เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 ณ ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พ.ต.อ.สิริมล วิสุทธิกุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2568 โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเพื่อสรุปผลการปฏิบัติงานระหว่างวันที่ 11-16 เมษายน 2568 พ.ต.อ.สิริมลกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ส่งผลให้จำนวนอุบัติเหตุและการเสียชีวิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน พร้อมมอบหมายให้เลขานุการศูนย์ฯ วิเคราะห์สาเหตุและปัจจัยของอุบัติเหตุ เพื่อพัฒนาแนวทางป้องกันในอนาคต

สถิติอุบัติเหตุและผลการดำเนินงาน

จากข้อมูลสะสมช่วงวันที่ 11-16 เมษายน 2568 จังหวัดเชียงรายเกิดอุบัติเหตุรวม 39 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 38 ราย และเสียชีวิต 8 ราย โดยวันที่ 16 เมษายน 2568 เกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 1 ราย สาเหตุหลัก ได้แก่ การไม่สวมหมวกนิรภัย การดื่มแล้วขับ การขับรถเร็วเกินกำหนด และการตัดหน้ากระชั้นชิด โดยยานพาหนะที่เกิดเหตุส่วนใหญ่เป็นรถจักรยานยนต์ ตำรวจภูธรจังหวัดจับกุมผู้กระทำผิด 1,944 ราย ตักเตือน 76 ราย และศาลสั่งคุมประพฤติ 59 คดี

หน่วยงานต่างๆ รายงานผลการปฏิบัติงาน โดยมีการตั้งจุดตรวจหลัก 33 จุด ด่านชุมชน 218 ด่าน และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 1,069 คน สำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจรถโดยสารสาธารณะ 425 คัน และพนักงานขับรถ 459 คน เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร จุดตรวจและด่านชุมชนมีบทบาทสำคัญในการสกัดพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะการดื่มแล้วขับ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุ

วิเคราะห์ปัจจัยและแนวทางแก้ไข

การวิเคราะห์สาเหตุพบว่า การขับรถเร็วและการดื่มแล้วขับเป็นปัจจัยหลักที่นำไปสู่อุบัติเหตุรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 83.76 ของยานพาหนะที่เกิดเหตุ อายุของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 20-29 ปี แสดงถึงความจำเป็นในการรณรงค์ให้กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานตระหนักถึงความปลอดภัยมากขึ้น พ.ต.อ.สิริมลเน้นย้ำให้หน่วยงานควบคุมการจำหน่ายและบริโภคแอลกอฮอล์อย่างเข้มงวด และให้ด่านชุมชนปฏิบัติหน้าที่เป็นด่านหน้าสกัดผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงก่อนออกสู่ถนนสายหลัก

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้สำนักงานขนส่งและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ประชาสัมพันธ์ความสำคัญของประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงให้ควบคุมพื้นที่จุดเสี่ยง เช่น ถนนสายตรงและบริเวณจัดงานเทศกาล เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการหลับในและการขับขี่โดยประมาท

การดำเนินงานต่อเนื่องและการเยียวยา

แม้เทศกาลสงกรานต์จะสิ้นสุดลง แต่จังหวัดเชียงรายยังคงคุมเข้มการเฝ้าระวังและตรวจตรา โดยเฉพาะในช่วงที่ประชาชนบางส่วนยังเดินทางกลับหรือหยุดต่อเนื่อง มีการอำนวยความสะดวกที่จุดบริการประชาชนและจุดพักรถ รวมถึงตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงจากความเหนื่อยล้าและการขับขี่เป็นเวลานาน

ด้านการเยียวยา มีการประสานงานเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุอย่างทันท่วงที โดยศูนย์ฯ ได้จัดชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน และประสานกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขเพื่อดูแลผู้บาดเจ็บอย่างใกล้ชิด การดำเนินงานเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดในการลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด

สถิติระดับประเทศและบทเรียน

จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2568 สถิติสะสมทั่วประเทศระหว่างวันที่ 11-16 เมษายน 2568 เกิดอุบัติเหตุ 1,377 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 1,362 คน และเสียชีวิต 200 ราย สาเหตุหลักคือการขับรถเร็ว (ร้อยละ 39.35) การตัดหน้ากระชั้นชิด (ร้อยละ 19.35) และทัศนวิสัยไม่ดี (ร้อยละ 18.06) โดยรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เกิดเหตุสูงสุด (ร้อยละ 83.32) ช่วงเวลาที่เกิดเหตุมากที่สุดคือ 15.01-18.00 น. และถนนสายตรงเป็นจุดเสี่ยงหลัก (ร้อยละ 82.58)

จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุดคือกรุงเทพมหานคร (16 ราย) ขณะที่ 15 จังหวัดไม่มีผู้เสียชีวิต ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงความสำเร็จในบางพื้นที่ แต่ยังคงต้องพัฒนาการป้องกันในจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูง นายขจร ศรีชวโนทัย ประธานแถลงผล ระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายและการประชาสัมพันธ์เรื่องหมวกนิรภัยและพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดอุบัติเหตุในอนาคต

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • อุบัติเหตุทางถนนช่วงสงกรานต์ 2568 (11-16 เมษายน 2568) ทั่วประเทศ: 1,377 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 1,362 คน เสียชีวิต 200 ราย
  • จังหวัดเชียงราย: อุบัติเหตุ 39 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 38 คน เสียชีวิต 8 ราย
  • สาเหตุหลัก: ขับรถเร็ว (39.35%) รถจักรยานยนต์เกิดเหตุสูงสุด (83.32%)
  • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (DDPM), รายงานสรุปอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568, เผยแพร่เมื่อ 17 เมษายน 2568, เข้าถึงได้ที่เว็บไซต์ www.disaster.go.th

มุมมอง

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการเข้มงวด การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เช่น การตั้งด่านชุมชนและควบคุมแอลกอฮอล์ ได้พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตได้จริง โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ สถิติที่ลดลงในเชียงรายเมื่อเทียบกับปีก่อนแสดงถึงความสำเร็จของแนวทางนี้ การรณรงค์เรื่องหมวกนิรภัยและประกันภัยยังช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบจากอุบัติเหตุ

มุมมองว่ามาตรการอาจจำกัดความสนุก บางส่วนมองว่าการตั้งด่านตรวจและควบคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มงวดอาจทำให้ประชาชนรู้สึกถูกจำกัดในช่วงเทศกาลที่ควรเป็นเวลาแห่งความสนุกสนาน โดยเฉพาะในชุมชนที่การเฉลิมฉลองเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม การบังคับใช้กฎหมายที่มากเกินไปอาจสร้างความไม่สะดวก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มีการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์เป็นหลัก

มุมมองการลดอุบัติเหตุ การลดอุบัติเหตุเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทุกฝ่ายเห็นพ้อง แต่การบังคับใช้กฎหมายต้องสมดุลกับการรักษาบรรยากาศเทศกาล การประชาสัมพันธ์ที่เน้นการสร้างจิตสำนึกมากกว่าการลงโทษ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างถนนและจุดเสี่ยง จะช่วยให้มาตรการมีประสิทธิภาพโดยไม่กระทบต่อความสุขของประชาชน การถอดบทเรียนจากสงกรานต์ 2568 จะเป็นก้าวสำคัญสู่ความปลอดภัยที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ศปภ.) www.disaster.go.th

  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน www.roadsafetythai.org

  • กรมการขนส่งทางบก www.dlt.go.th

  • กรมควบคุมโรค www.ddc.moph.go.th

  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ www.royalthaipolice.go.th

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สงกรานต์เชียงราย 5 วัน ดับ 7 เจ็บ 38 เมา-ขับเร็วไม่สวมหมวก

เชียงรายสรุปผลลดอุบัติเหตุสงกรานต์ 5 วัน พบผู้เสียชีวิต 7 ราย บาดเจ็บ 38 ราย ย้ำทุกภาคส่วนเร่งมาตรการเชิงรุกต่อเนื่อง

ประชุมวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุช่วง 7 วันอันตราย หวังป้องกันซ้ำซาก พร้อมเดินหน้าสร้างวินัยจราจรอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 16 เมษายน 2568 – ณ ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2568 ประจำวันที่ 15 เมษายน 2568 โดยมีหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง อาทิ มณฑลทหารบกที่ 37, ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด, สำนักงานประชาสัมพันธ์, ขนส่งจังหวัด, แขวงทางหลวง, แขวงทางหลวงชนบท, โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์, และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียง

รายงานผลการดำเนินงาน 5 วัน พบอุบัติเหตุรวม 38 ครั้ง เสียชีวิต 7 ราย

จากการรายงานของศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดเชียงราย พบว่า ระหว่างวันที่ 11–15 เมษายน 2568 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นรวม 38 ครั้ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 38 คน และมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 7 ราย โดยในวันที่ 15 เมษายน เพียงวันเดียว เกิดอุบัติเหตุ 4 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย

ทั้งนี้ ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือรถจักรยานยนต์ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่พบมากที่สุดได้แก่

  • ขับรถเร็วเกินกำหนด
  • ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับ
  • ทัศนวิสัยไม่ดี
  • ไม่สวมหมวกนิรภัย
  • การนั่งท้ายรถกระบะ

ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับสถิติจากปีก่อนที่ระบุว่า อุบัติเหตุทางถนนในช่วงสงกรานต์ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมักเกิดขึ้นในเขตชุมชน เส้นทางระหว่างอำเภอ และบริเวณจัดงานเฉลิมฉลอง โดยผู้ประสบเหตุส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มวัยทำงานและวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่นิยมใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลัก

ที่ประชุมเสนอแนวทางยกระดับมาตรการป้องกัน เน้นตรวจรถ–ตรวจคน–ตรวจจุดเสี่ยง

นายครรชิต ชมภูแดง กล่าวว่า แม้จะมีการดำเนินการเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเทศกาล แต่จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บยังคงอยู่ในระดับที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ พร้อมเสนอแนวทางเพิ่มเติมจากที่ประชุม ดังนี้

  1. การตรวจสอบสภาพรถและร่างกายผู้ขับขี่ โดยเน้นหนักในช่วงก่อนการเดินทางกลับบ้านของประชาชนหลังสงกรานต์
  2. การเพิ่มจำนวนด่านตรวจจุดเสี่ยง ทั้งในเขตเมืองและตามเส้นทางรองที่เป็นเส้นทางลัด
  3. การตั้งจุดบริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะบริเวณสถานีขนส่งและจุดพักรถ
  4. รณรงค์สร้างจิตสำนึกในสถานศึกษาและชุมชน ทั้งก่อนและหลังเทศกาล เพื่อปลูกฝังวินัยจราจรในระยะยาว

การบูรณาการภาคีเครือข่าย และบทบาทของชุมชนสำคัญต่อการลดอุบัติเหตุอย่างยั่งยืน

ที่ประชุมยังเน้นย้ำว่า ความสำเร็จในการลดอุบัติเหตุไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น หากแต่ต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคประชาชน และชุมชน โดยเฉพาะการขับเคลื่อนงานผ่านกลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และอาสาสมัครที่สามารถเฝ้าระวังและให้คำแนะนำแก่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง

ผลการประชุมจะถูกรายงานต่อศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนส่วนกลาง เพื่อพัฒนานโยบายระดับชาติ

นายครรชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดเชียงรายจะได้นำข้อมูลที่ได้จากการประชุมครั้งนี้ สรุปเป็นรายงานเสนอไปยังศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนส่วนกลาง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพัฒนานโยบายด้านความปลอดภัยทางถนนในระดับประเทศ พร้อมยืนยันว่า จังหวัดเชียงรายจะยังคงเดินหน้าปรับปรุงแผนงานการป้องกันและลดอุบัติเหตุให้มีความทันสมัย ครอบคลุม และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยจะไม่รอให้เกิดเหตุแล้วจึงแก้ไข

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานจาก ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ปี 2567 ระบุว่า สถิติอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ทั่วประเทศมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 37 ราย โดยสาเหตุอันดับ 1 คือ ดื่มแล้วขับ
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนในปี 2567 มีถึง 64% ที่ไม่ได้สวมหมวกนิรภัย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า การตั้งด่านตรวจจราจรเชิงรุกช่วยลดอุบัติเหตุได้เฉลี่ย 19% ในช่วงเทศกาลที่มีการดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่ง สงกรานต์นี้ ดื่มแล้วขับ เจอจับแน่

เชียงรายเปิดศูนย์ฯ เข้มมาตรการลดอุบัติเหตุสงกรานต์ 2568

เชียงรายเดินหน้าแผนงานความปลอดภัย ชูมาตรการเข้มสกัดพฤติกรรมเสี่ยง

เชียงราย, 10 เมษายน 2568 – ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิด “ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568” อย่างเป็นทางการ ท่ามกลางความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรท้องถิ่น ที่พร้อมใจเดินหน้ารับมือสถานการณ์เสี่ยงในช่วงวันหยุดยาว

ผนึกกำลังทุกภาคส่วน สร้างเกราะความปลอดภัยให้ประชาชน

ในโอกาสนี้ มีการส่งมอบอุปกรณ์จราจร น้ำดื่ม และเครื่องบริโภคจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจังหวัดเชียงราย ชมรมวินาศภัยเชียงราย และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นการร่วมแรงร่วมใจครั้งสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกพื้นที่

ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เชื่อมโยงทั่วประเทศ

ก่อนเข้าสู่พิธีเปิดศูนย์ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ได้เข้าร่วมประชุมเปิดศูนย์ฯ ระดับประเทศผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ณ ห้องประชุม 1 ปภ. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการประสานงานแบบเรียลไทม์กับทุกจังหวัด

3 ปัจจัยเสี่ยงหลักของอุบัติเหตุ ต้องเร่งแก้ไข

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า อุบัติเหตุทางถนนช่วงสงกรานต์ มักเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
  2. สภาพรถยนต์ที่ไม่พร้อมใช้งาน
  3. พฤติกรรมเสี่ยงของผู้ขับขี่ อาทิ ดื่มแอลกอฮอล์ ง่วงนอน หรือขาดทักษะในการขับขี่

มาตรการที่จังหวัดเน้นหนักในปีนี้ คือ การตั้งด่านตรวจ โดยเฉพาะ “ด่านชุมชน” เพื่อป้องกันการออกสู่ถนนของผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง ทั้งยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดตั้งด่านในพื้นที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการตั้งใกล้ถนน และควบคุมการจำหน่ายสุราให้เข้มงวดตามกฎหมาย

รณรงค์หยุดพักรถทุก 2 ชั่วโมง ลดง่วงหลับใน

จุดพักรถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้รับคำสั่งให้รณรงค์ให้ผู้ขับขี่หยุดพักทุก 2 ชั่วโมง หรือทุกระยะทาง 150 กิโลเมตร เพื่อป้องกันอาการง่วงหลับใน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่มักนำไปสู่อุบัติเหตุรุนแรง

ถ่ายทอดสดประชุมศูนย์ทุกวัน เสริมประสิทธิภาพติดตาม

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จังหวัดเชียงรายจะมีการประชุมศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางถนนทุกวันตลอด 7 วันของช่วงควบคุมเข้ม พร้อมถ่ายทอดสดการประชุมของศูนย์ฯ จังหวัดทุกวัน เพื่อให้ทุกหน่วยงานรับทราบข้อมูลและแนวทางอย่างทันท่วงที และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

เป้าหมายสูงสุดคือศูนย์อุบัติเหตุและการสูญเสีย

จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าลดจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยยึดแนวทาง “ความร่วมมือ ความพร้อม และความต่อเนื่อง” ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์ การจัดกำลังเจ้าหน้าที่ และการใช้เทคโนโลยีช่วยสอดส่องการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีจำนวนอุบัติเหตุทางถนนในช่วงสงกรานต์รวม 68 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และผู้บาดเจ็บ 72 ราย โดยสาเหตุหลักมาจากเมาแล้วขับถึง 58% ขับเร็วเกินกำหนด 27% และหลับใน 15%

ในระดับประเทศ สถิติของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ระบุว่า ในช่วงสงกรานต์ปี 2567 ทั่วประเทศมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 2,203 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 264 ราย และผู้บาดเจ็บรวม 2,208 ราย โดยจังหวัดที่มีอุบัติเหตุสูงสุดคือ เชียงใหม่ นครราชสีมา และอุดรธานี ตามลำดับ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.)
  • รายงานสถิติอุบัติเหตุสงกรานต์ 2567, www.roadaccidentdata.go.th
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE