Categories
NEWS NEWS UPDATE

เด็กไทยสร้างชื่อ คว้ารางวัลฟิสิกส์โอลิมปิก ระดับทวีปเอเชีย จากมองโกเลีย

เด็กไทยสร้างชื่อ คว้ารางวัลฟิสิกส์โอลิมปิก ระดับทวีปเอเชีย จากมองโกเลีย

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมผลงานจากความสามารถของเด็กไทยที่ไปแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชีย ครั้งที่ 23 ประจำปี 2566 (The 23rd Asian Physics Olympiad : APhO 2023) ระหว่างวันที่ 19 – 29 พฤษภาคม 2566 ณ กรุงอูลันบาตอร์ (Ulan Bator) ประเทศมองโกเลีย ประสบความสำเร็จได้รับ 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 2 เกียรติคุณประกาศ และ 4 เกียรติบัตร 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการแข่งขันฟิสิกส์โอลิมปิกระดับทวีปเอเชียในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน 200 คน จาก 28 ประเทศ โดยตัวแทนเด็กไทยด้วยความร่วมมือของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ทำผลงานการแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยม ประสบความสำเร็จรับ 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน 2 เกียรติคุณประกาศ และ 4 เกียรติบัตร ประกอบด้วย
1. นายธนัชสรศ์ จันทร์เกษมสัตย์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร เหรียญทอง
2. นายธงไชย อาชาบุณยเสก โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร  เหรียญเงิน
3. นายณัฏฐ์เดช เผด็จสุวันนุกูล โรงเรียนเซนต์คาเบรียล กรุงเทพมหานคร รางวัลเกียรติคุณประกาศ
4. นายนพรุจ สอดศรี โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง รางวัลเกียรติคุณประกาศ
5. นายภัทรพล พันธ์เลิศระพี โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน
6. นายอัศวัศ บัวจงกล โรงเรียนชลราษฎรอำรุง จังหวัดชลบุรี เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน
7. นายปัณณธร เทียนกิ่งแก้ว โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพมหานคร เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน
8. นายรวินภ โสดาดี โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง เกียรติบัตรเข้าร่วมการแข่งขัน

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมในความสามารถของเยาวชนไทยที่เข้าร่วมในการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้รับรางวัล แสดงถึงศักยภาพทางความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของเยาวชนไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีการแข่งขันระดับเอเชีย พร้อมเชื่อมั่นว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กไทยอีกหลายคนในการพัฒนาความรู้ความสามารถต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะอาจารย์ผู้ควบคุมทีม และคณะอาจารย์ทุกท่านที่ร่วมกันฝึกฝน และผลักดันให้เยาวชนไทยได้เข้าร่วมการแข่งขัน เป็นผู้นำความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ และชื่อเสียงกลับมาให้กับประเทศไทย” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Olympic ipst

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS NEWS UPDATE

ย้ำ ผู้มีสิทธิบัตรทอง (บัตร 30 บาท) สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาล ได้ 4 ครั้งต่อปี

ย้ำ ผู้มีสิทธิบัตรทอง (บัตร 30 บาท) สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาล ได้ 4 ครั้งต่อปี

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพประชาชนและการเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ได้เพิ่มคุณภาพและบริการให้ผู้ถือบัตรทอง (บัตร 30 บาท) สามารถเข้ารับการรักษาได้สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้  เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาล สามารถเปลี่ยนสิทธิรักษามีผลทันทีไม่ต้องรอ 15 วัน ผ่านแอปพลิเคชันของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. โดยเปลี่ยนได้ได้ง่าย ๆ 3 ช่องทางดังนี้
 
1 Application สปสช. เพียงดาวน์โหลดแอป สปสช. ดาวน์โหลดฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ทั้งระบบ Android และ iOS ระบบ Android https://play.google.com/store/apps/developer ระบบ OShttps://apps.apple.com/us/app/สปสช/id1111681040
2 Line Official Account สปสช.” add เป็นเพื่อน… เพียงสแกน QR Code หรือพิมพ์ค้นหาใช้ช่อง ID ว่า @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6
3 ติดต่อด้วยตนเอง ดังนี้  กรณีต่างจังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต) สถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง โรงพยาบาลของรัฐ ในส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ชั้น 2 อาคารบี (ทิศตะวันตก) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ในวันเวลาราชการ หรือ โทรสายด่วน 1330
 
สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ดังนี้ – บัตรประจำตัวประชาชน – เด็กเล็กใช้สูติบัตร (ใบเกิด) คู่กับบัตรประจำตัวประชาชนผู้ปกครอง  เลือกสถานพยาบาล (หน่วยบริการ) หากไม่ตรงตามที่อยู่บัตรประชาชน ให้แสดงหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้ 1 หนังสือรับรองของเจ้าบ้าน 2 หนังสือรับรองของผู้นำชุมชน 3 หนังสือรับรองผู้ว่าจ้างหรือนายจ้าง 4 เอกสารหรือหลักฐานที่มีชื่อของผู้ประสงค์ลงทะเบียน เช่น ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าที่พัก สัญญาเช่าที่พัก ฯลฯ
 
“ผู้มีสิทธิบัตรทอง (บัตร 30 บาท) หากย้ายที่พักอาศัย สามารถเปลี่ยนสถานพยาบาล (หน่วยบริการ) ประจำตัวได้ 4 ครั้งต่อปี ใช้สิทธิรักษาได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รัฐบาลพร้อมดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งมั่นยกระดับเพิ่มสิทธิการดูแลด้านสาธารณสุขไทยให้ครอบคลุมอย่างมีคุณภาพ” นางสาวรัชดา กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS NEWS UPDATE

ภาครัฐจับมือผู้ประกอบการจัดมหกรรมใหญ่ “Job Expo Thailand 2023”

ภาครัฐจับมือผู้ประกอบการจัดมหกรรมใหญ่ “Job Expo Thailand 2023”

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ข้อมูลชี้วัดเกี่ยวกับภาคแรงงานได้ปรับตัวดีขึ้นโดยต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยว่าไตรมาส1/66 (ม.ค.-มี.ค.) ทั่วประเทศมีการจ้างงาน 39.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ดีขึ้นทั้งในภาคเกษตร บริการ และอุตสาหกรรม
 
ส่วนผู้ว่างงานมีจำนวน 4.2 แสนคน หรือร้อยละ 1.05 ของผู้อยู่ในกำลังแรงงาน ลดลงเมื่อเทียบกับร้อยละ 1.53 ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่อัตราค่าจ้างโดยเฉลี่ย (อัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นหักด้วยเงินเฟ้อ) เพิ่มขั้นร้อยละ 1.3 เฉพาะค่าจ้างแท้จริงภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 2.8% สะท้อนกำลังการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า แม้สถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นแต่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องยังคงขับเคลื่อนแผนงานตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่เน้นย้ำว่าต้องสร้างโอกาสการมีงานทำ มีรายได้เพิ่มตามศักยภาพและความสามารถของประชาชนโดยต่อเนื่อง
 
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 8-10 มิ.ย. 66 กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้จัดมหกรรมการจัดหางานครั้งใหญ่ระดับประเทศ “Job Expo Thailand 2023” ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall EH 100 – 102 กรุงเทพฯ  โดยได้รวบรวมงานทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 500,000 อัตรา จากสถานประกอบการเกือบ 400 แห่ง ที่จะมีการเปิดรับพนักงานทุกช่วงวัย ทุกระดับวุฒิการศึกษาไว้ในงานเดียว
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลจึงขอเชิญชวนผู้ที่กำลังมองหางานและโอกาสใหม่ๆ เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาใหม่ ผู้ว่างงาน หรือทุกคนที่ต้องการมีงานทำมองหาโอกาสทางการชีพใหม่ๆ และภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจจากหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน อาทิ การแนะแนวอาชีพ คำปรึกษาด้านอาชีพ การเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้มีสูงขึ้น
 
มีกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพแรงงานในกลุ่มเปราะบาง การให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ผู้ประกันตน ให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิผู้ประกันตนทุกมาตรา พร้อมเปิดรับสมัครผู้ประกันตนตามมาตรา 40 การให้ความรู้เกี่ยวกับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับกฎหมายพื้นฐานสำหรับแรงงานด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงแรงงาน

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS NEWS UPDATE

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

กรมศุลกากร อัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา เวลา 11.29 น. สมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีอัญเชิญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประดิษฐานบนแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร่วมด้วยคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมพิธีฯ ณ กรมศุลกากร คลองเตย

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากร เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ พระองค์ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รวมการภาษีขาเข้า 100 ชัก 3 กับการภาษีขาออกเบ็ดเสร็จ เข้าด้วยกัน และตั้งเป็นกรมศุลกากรเพื่อทำหน้าที่จัดเก็บภาษีขาเข้า – ขาออกเป็นรายได้ของแผ่นดิน กอปรกับตราสัญลักษณ์ของกรมศุลกากรได้ใช้รูปพระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎ เป็นตราสัญลักษณ์มาโดยตลอด นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้  ที่พระองค์ท่านทรงให้กำเนิดกรมศุลกากร ซึ่งนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน

กรมศุลกากร จึงก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นที่บริเวณด้านหน้าอาคาร 1 กรมศุลกากร เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นราชสักการะและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อระบบการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศไทยและกรมศุลกากร ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ปวงชนชาวไทยสืบจนปัจจุบันและเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในวาระครบ 168 ปีหรือ 14 รอบในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สำหรับพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สร้างในพระอิริยาบถประทับเก้าอี้สูง 1.99 เมตร มีแท่นรองรับเป็นศิลาหินอ่อนสามชั้น สูงจากพื้นรวมทั้งหมดประมาณ 5.25 เมตร และกรมศุลกากรได้ทำหนังสือขออนุญาตในการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยกรมศุลกากรได้มีพิธีวางศิลาฤกษ์แท่นประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2565 โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ บริเวณหน้าอาคาร 1 กรมศุลกากรและเมื่อวันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 มีพิธีเททองหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ

Facebook
Twitter
Email
Print

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมศุลกากร

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS NEWS UPDATE

กยศ. เปิดให้กู้ยืม ปี 66 ผ่านมือถือ รายใหม่ – รายเก่า ถึงวันที่ 31 ส.ค. 66

กยศ. เปิดให้กู้ยืม ปี 66 ผ่านมือถือ รายใหม่ – รายเก่า ถึงวันที่ 31 ส.ค. 66

Facebook
Twitter
Email
Print

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดให้กู้ยืมเงินประจำปีการศึกษา 2566 ผู้กู้ยืมรายใหม่  ยื่นขอกู้ยืมได้ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ผู้กู้ยืมรายใหม่/รายเก่า ยื่นแบบยืนยันการกู้ยืมได้ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ผ่านทางแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” หรือทางเว็บไซต์ กยศ. โดยให้กู้ยืม 4 ลักษณะ เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาเข้าถึงโอกาสทางการศึกษามากขึ้น
     
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า “ขณะนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาได้เปิดระบบให้กู้ยืมเงินประจำปีการศึกษา 2566 โดยนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมรายใหม่สามารถยื่นแบบคำขอกู้ยืมเงินผ่านทางแอปพลิเคชัน “กยศ. Connect” หรือทางเว็บไซต์ กยศ. ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 และสำหรับผู้กู้ยืมเงินรายใหม่/รายเก่า ต้องยื่นแบบยืนยันการเบิกเงินกู้ยืม และลงนามแบบยืนยันเบิกเงินกู้ยืมถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมจะได้รับเงินค่าครองชีพเดือนแรกภายใน 30 วัน นับจากวันที่สถานศึกษาทำการตรวจสอบยืนยันข้อมูล และแนบเอกสารการกู้ยืม   ของผู้กู้ยืมในระบบ DSL เรียบร้อยแล้ว และสถานศึกษาจะต้องจัดส่งเอกสารการกู้ยืมที่ถูกต้องและครบถ้วน  ให้ธนาคารเพื่อกองทุนจะโอนเงินในงวดถัดไป
    
ทั้งนี้ การให้กู้ยืมในปีการศึกษา 2566 กองทุนได้จัดเตรียมวงเงินกู้ยืมกว่า 40,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียน นักศึกษากว่า 640,000 ราย ที่ขอกู้ยืมใน 4 ลักษณะ ได้แก่ ลักษณะที่ 1 นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลักษณะที่ 2 ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ลักษณะที่ 3 ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลน หรือที่กองทุน   มุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ และลักษณะที่ 4 เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศ (ระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตและปริญญาโท) และกองทุนจะเป็นหลักประกันให้กับทุกครอบครัวว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาในประเทศนี้จะมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันทุกคน เพราะความยากจนจะไม่ใช่อุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษาอีกต่อไปโดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.studentloan.or.th” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS NEWS UPDATE SOCIETY & POLITICS

วันสุดท้าย รีบแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ เลือกตั้งได้ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน

วันสุดท้าย รีบแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ เลือกตั้งได้ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน

Facebook
Twitter
Email
Print
 

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2566นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่มีเหตุจำเป็นที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สามารถแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งวันนี้วันสุดท้าย (21 พฤษภาคม 2566 )

 

นางสาวรัชดา กล่าวว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอ หรือนายทะเบียนท้องถิ่น ที่ตนเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นไปยื่นแทนหรือจัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน รวมไปถึงการแจ้งผ่านเว็บไซต์สำนักบริหารการทะเบียน stat.bora.dopa.go.th หรือทางแอปพลิเคชัน Smart Vote

 

สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และไม่แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วแต่เหตุนั้นไม่ใช่เหตุอันสมควร จะถูกจำกัดสิทธิ ดังต่อไปนี้

1. สิทธิในการยื่นคำร้องคัดค้าน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2. สิทธิในการสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมัครรับเลือกเป็นสมาซิกวุฒิสภา

3. สิทธิในการสมัครรับเลือกเป็นกำนัน และผู้ใหญ่บ้าน

4. ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง และข้าราซการรัฐสภาฝ่ายการเมือง

5. ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการ ผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น

 

” การจำกัดสิทธิ มีกำหนดเวลาครั้งละ 2 ปี นับแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและหากในการเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งอีก ให้นับเวลาการจำกัดสิทธิจากวันที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งใหม่” นางสาวรัชดา ย้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS NEWS UPDATE

ประชาชนกลุ่มเสี่ยงบัตรทองฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรี

เฝ้าระวังป้องกันโรคไข้เลือดออกช่วงหน้าฝน ย้ำช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์

Facebook
Twitter
Email
Print
 

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยบริการทั่วประเทศที่ร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท ได้เปิดให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในประชากรกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมาถึง 31 สิงหาคม 2566 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมดลง จากภาพรวมของการให้บริการในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา จากการรายงานในระบบของ สปสช. (ข้อมูล ณ 17 พ.ค. 66) มีประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการฉีดวัคซีนฯ แล้วจำนวน 100,604 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 3.46 ของกลุ่มเป้าหมาย 
 
นางสาวรัชดา กล่าวว่า  เมื่อดูหน่วยบริการที่ร่วมให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สูงสุด 5 อันดับแรก ปรากฏว่า  รพ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ได้ให้บริการฉีดวัคซีนฯ แล้วกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดอยู่ที่จำนวน 4,118 คน  รองลงมาคือ รพ.สามพราน จ.นครปฐม จำนวน 2,957 คน, รพ.ศรีสะเกษ จำนวน 1,455 คน, รพ.สุรินทร์  จำนวน 1,226 คน และ รพ.สงขลา จำนวน 1,187 คน    
 
ส่วนข้อมูลรายงานการให้บริการระดับจังหวัด 5 อันดับแรก ของจังหวัดที่มีการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่มากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร มีประชาชนกลุ่มเป้าหมายรับบริการแล้ว 19,585 คน รองลงมาคือ ปทุมธานี จำนวน 6,162 คน, ชลบุรี จำนวน  5,267 คน, นครปฐม จำนวน 4,569 คน และ สงขลา จำนวน 3,550 ราย เมื่อเปรียบเทียบตามประชากรกลุ่มเป้าหมายในการให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่นั้น พบว่ากลุ่มผุ้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนฯ มากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มผุ้ป่วยโรคเรื้อรัง ซึ่งเป็นไปตามสัดส่วนของประชากรในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย

“ขณะนี้เริ่มใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูฝน เป็นช่วงการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ขอเชิญชวนประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้ง 7 กลุ่ม ที่ได้รับสิทธิในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ให้รีบมารับบริการฉีดวัคซีนโดยเร็ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคไข้หวัดใหญ่ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่นี้ยังสามารถรับบริการฉีดพร้อมกับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประชาชนทั้ง 7 กลุ่มเสี่ยงก็สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 พร้อมกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ โดยฉีดที่ต้นแขนคนละข้าง แต่หากไม่ได้ฉีดพร้อมกัน สามารถฉีดเมื่อไรก็ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงระยะห่าง” นางสาวรัชดา กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY NEWS NEWS UPDATE

ไทยส่งออกข้าว 4 เดือนแรกกว่า 2.79 ล้านตัน มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านบาท

ไทยส่งออกข้าว 4 เดือนแรก กว่า 2.79 ล้านตัน มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านบาท

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกข้าวไทย และยินดีที่เห็นตัวเลขข้าวไทยเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม – เมษายน) ไทยส่งออกข้าวสูงถึง 2.79 ล้านตัน มูลค่ารวมกว่า 1,514 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 51,281 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ในช่วงเวลาเดียวกัน ปริมาณเพิ่มร้อยละ 23.61 และมูลค่าเพิ่มร้อยละ 28.03 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งทำงานเชิงรุก หาแนวทางส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตและผลักดันราคาข้าวอย่างยั่งยืน เพื่อการเติบโตของการส่งออกข้าวไทย และเพิ่มรายได้แก่เกษตรกร

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปริมาณการส่งออกข้าวไทยในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากความต้องการนำเข้าข้าวไทยปริมาณมากในหลายประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน ไทยถือเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก รองจากอินเดีย โดยในเดือนเมษายน 2566 ราคาเฉลี่ยข้าวไทยทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ ทำให้ราคาส่งออกสามารถแข่งขันได้ และส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศเกือบทุกชนิดสูงเกินราคาประกันรายได้ นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คาดการณ์ว่า ในปี 2566 ไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7.5 ล้านตัน และมีแนวโน้มสูงกว่าการส่งออกข้าวโดยรวมในปี 2565 ซึ่งมีปริมาณรวมอยู่ที่ 7.69 ล้านตัน โดยปริมาณการส่งออกข้าวไทยล่าสุด จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 มีปริมาณรวมแล้วกว่า 3.05 ล้านตัน ซึ่งน่ายินดีที่คงมีความต้องการในตลาดต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย ได้แก่ อิรัก อินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา แอฟริกาใต้ เซเนกัล บังกลาเทศ จีน ญี่ปุ่น แคเมอรูน และโมซัมบิก โดยไทยส่งออกข้าวขาวมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่ ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง ข้าวหอมไทย ข้าวเหนียว และข้าวกล้อง ตามลำดับ 

“นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ที่บูรณาการการทำงานร่วมกัน ตามยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต ร่วมกันพัฒนาข้าวไทยให้มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด ส่งผลให้ข้าวไทยเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพของข้าวไทย พร้อมขอให้ดูแลมาตรฐานและคุณภาพ ระมัดระวังพันธุ์ข้าว ไม่ให้เกิดการปลอมปนข้าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพข้าวและชื่อเสียงคุณภาพสินค้าไทย” นายอนุชาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงพาณิชย์

 
Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS NEWS UPDATE

สธ. ส่งทีมแพทย์ ดูแลชาวไทยมุสลิม พิธีฮัจย์ ซาอุดีอาระเบีย

สธ. ส่งทีมแพทย์ ดูแลชาวไทยมุสลิม พิธีฮัจย์ ซาอุดีอาระเบีย

Facebook
Twitter
Email
Print

   กระทรวงสาธารณสุข จัดทีมแพทย์พร้อมบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 3 ทีม รวม 42 คน ผลัดเปลี่ยนดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจำปี 2566 ณ นครมักกะห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยทีมแพทย์ชุดแรก 15 คน ออกเดินทางแล้ววันนี้

          วันนี้ (20 พฤษภาคม 2566) ที่ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ นายแพทย์สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับมอบหมายจาก นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มาให้กำลังใจกับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สำนักงานแพทย์เพื่อกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย ที่จะเดินทางไปดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่ไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครมักกะห์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียประจำปี 2566 (ฮศ.1444) โดยปีนี้มีชาวไทยมุสลิมเดินทางไปร่วมประกอบพิธีประมาณ 1.2 หมื่นคน​  เริ่มออกเดินทางไปตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม – 23 มิถุนายน 2566 และจะทยอยเดินทางกลับประเทศไทยช่วงวันที่ 3 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2566 โดยช่วงก่อนเดินทางไปประกอบพิธี กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมให้กับผู้เดินทาง โดยมีการคัดกรองความเสี่ยง ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพ รวมถึงฉีดวัคซีนป้องกัน 3 โรค ได้แก่ โควิด 19 ไข้หวัดใหญ่ และไข้กาฬหลังแอ่น พร้อมออกเอกสารรับรองการได้รับวัคซีน และยังจัดอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขฮัจย์ (อสม.ฮัจย์) เพื่อประสานงานและดูแลสุขภาพเบื้องต้น​ รวมทั้งมีส่วนร่วมในการบริการภาคสนามกับทีมแพทย์ด้วย

          นายแพทย์สุภโชคกล่าวต่อว่า ช่วงระหว่างวันที่ 21 พฤษภาคม – 2 สิงหาคม 2566 ที่พี่น้องชาวไทยมุสลิมพำนักในราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เพื่อประกอบพิธีฮัจย์ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ประกอบด้วย แพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวม 42 คน โดยมี นายแพทย์ซุลกิฟลี ยูโซะผู้อำนวยการโรงพยาบาลไม้แก่น จังหวัดปัตตานี และรองผู้อำนวยการศูนย์บริหารการพัฒนาสุขภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปฎิบัติหน้าที่หัวหน้าสำนักงานแพทย์เพื่อกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย และแบ่งชุดการเดินทางเป็น 3 ชุด ซึ่งในวันนี้ทีมแพทย์ชุดแรก จำนวน 15 คน จะออกเดินทางปฏิบัติหน้าที่จนถึงวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 ส่วนทีมที่ 2 จะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน – 21 กรกฎาคม 2566 และทีมที่ 3 ระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน – 3 สิงหาคม 2566 ทั้งนี้ หลังจากผู้แสวงบุญเดินทางกลับถึงประเทศไทย จะมีการติดตามเฝ้าระวังสุขภาพต่อเนื่องอีก 14 วันด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS NEWS UPDATE TRAVEL

เชียงรายชวนเที่ยวฟินกินผลไม้ งานสับปะรดลิ้นจี่และของดี นครเชียงราย

เชียงรายชวนเที่ยวฟินกินผลไม้ งานสับปะรดลิ้นจี่และของดี นครเชียงราย

Facebook
Twitter
Email
Print

เมื่อวันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 เทศบาลนครเชียงราย โดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงรายร่วมกับจังหวัดเชียงราย จัดงานสับปะรดลิ้นจี่ และของดีนครเซียงรายประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 19-26 พฤษภาคม 2566 ณ ลานรำวงย้อนยุค สวนตุงและโคมเทศบาลนครเชียงราย โดยจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกษตรกรชุมชนโดยเฉพาะลิ้นจี่และสับปะรด ผลิตภัณฑ์เกษตรปลอดภัย ผักผลไม้ ผลิตภัณฑ์กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสินค้าโอทอป โดยเปิดโอกาสให้ชาวสวนนำผลผลิตทางการเกษตรสับปะรดนางแลภูแลลิ้นจี่ฤดูกาลแรก ของสวนในเขตอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่จันมาจัดจำหน่ายโดยตรง 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าเกษตรผลไม้และสินค้าประจำจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย สามารถกระตุ้นการบริโภคและการขยายธุรกิจอันจะนำไปสู่การสร้างรายได้เพิ่มมูลค่าสินค้าให้กับเกษตรกร ชุมชนและผู้ประกอบการอย่างแท้จริง ส่งเสริมการจำหน่ายผลไม้ตามฤดูกาลและสินค้าพื้นเมืองประจำจังหวัดเชียงราย ไห้เป็นที่รู้จักและดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว กระตุ้นสภาพเศรษฐกิจของภาคการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของจังหวัดเชียงรายให้เติบโตสูงขึ้น เพื่อสร้างพื้นที่ให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายมา

พบกันอย่างเป็นธรรมชาติตามแนวทางตลาดประชารัฐและช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายตามแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม จากผลกระทบของไวรัสโควิด-19
 
ขอเชิญชวนพี่น้องชาวจังหวัดเชียงราย นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่เดินทางมาเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ได้มาร่วมชม ชิม ชอป งานลิ้นจี่ สับปะรดและของดีนครเชียงราย พร้อมสินค้าโอทอป 5 ดาว”โครงการร่วมค้าเพื่อพัฒนาเศรษกิจชุมชน” มาจำหน่าย นอกจากนี้ยังได้ชมการแสดงแสง สี เสียงสุดยิ่งใหญ่กับงาน “วิจิตร 5 ภาค @เชียงราย หลงแสงเวียง ที่เจียงฮาย” ที่จะพาทุกท่านหลงใหลไปกับเส้นทางแห่งกาลเวลาบนท้องถนนที่สว่างไสวด้วยแสงแห่งประวัติศาสตร์ ของเมืองเชียงราย ถ่ายทอดผ่านสถาปัตยกรรมของเมืองอันทรงคุณค่า
ณ ลานรำวงย้อนยุค สวนตุงและโคมเทศบาลนครเชียงราย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
Facebook
Twitter
Email
Print
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE