Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

สกสว. หนุนวิศวกรจิตอาสาร่วมฟื้นฟู เมืองเชียงรายอัจฉริยะ ‘รับมือทุกภัยพิบัติ’

 

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้สนับสนุนทีมวิศวกรจิตอาสาจากสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทยและมูลนิธินายช่างไทยใจอาสา ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อตรวจสอบความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมและดินโคลนถล่มในเขตอำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย พร้อมวางแนวทางฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน โดยมี ศ. ดร.อมร พิมานมาศ นักวิจัยศูนย์เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย เป็นผู้นำทีม

สำรวจความเสียหายพร้อมวางแผนฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน

ทีมวิศวกรจิตอาสาได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายทั้งในเขตอำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบระบบโครงสร้าง ระบบไฟฟ้า ถนนและบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในการซ่อมแซมเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ พร้อมสนับสนุนการสร้างบ้านใหม่ในพื้นที่ปลอดภัย รวมถึงการจัดทำรูปแบบและประมาณราคาในการก่อสร้างเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่

นายชูเลิศ จิตเจือจุน อุปนายกสมาคมฯ ได้สรุปสถานการณ์ในอำเภอแม่สายว่าความเสียหายยังคงรุนแรง และคาดว่าต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอย่างน้อย 3 เดือน เนื่องจากการเข้าถึงพื้นที่ประสบปัญหาเป็นไปได้ยาก ต้องใช้เครื่องจักรขนาดเล็กและการขนส่งด้วยเท้า โดยเฉพาะพื้นที่ริมน้ำที่มีดินโคลนจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการวางแผนจัดการน้ำอย่างละเอียดอ่อนเนื่องจากแม่สายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและมีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางชายแดน

อบจ.เชียงรายร่วมมือวิศวกรวางแผนฟื้นฟูและเสริมความปลอดภัยในพื้นที่

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) ได้กล่าวว่า อบจ.เชียงรายจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับทีมวิศวกรจิตอาสาและหน่วยงานท้องถิ่น เช่น นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน เพื่อสำรวจความเสียหายอย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่ โดยจุดสำรวจเร่งด่วนได้แก่ บ้านอยู่สุข อ.เวียงแก่น ซึ่งมีบ้านเรือนเสียหายจำนวน 13 หลัง และ บ้านห้วยทรายขาว อ.เวียงป่าเป้า ที่ดินถล่มทำลายบ้านเรือนกว่า 10 หลัง

สำหรับการฟื้นฟูโรงเรียนที่บ้านห้วยหินลาด อ.เวียงป่าเป้า นั้น ทีมวิศวกรได้เสนอแนวทางเสริมโครงสร้างเหล็กพิเศษเพื่อรองรับแรงลมและแรงแผ่นดินไหว หากต้องสร้างโรงเรียนในพื้นที่เดิม ส่วนถนนบริเวณบ้านเมืองงิมที่ได้รับความเสียหายจากแรงดันน้ำจนพนังกั้นน้ำแม่กกแตก ทีมวิศวกรเสนอให้เสริมพนังคอนกรีตและยกคันดินให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันน้ำกัดเซาะในอนาคต

เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สร้างโมเดลเชียงรายเมืองอัจฉริยะ

แผนการฟื้นฟูระยะสั้นของ อบจ.เชียงราย คือการเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมามีสภาพใกล้เคียงปกติอย่างน้อย 80% ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับฤดูกาลท่องเที่ยว โดยอบจ.มีแผนจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงรายริมน้ำกก และกิจกรรมการค้าขายในพื้นที่อำเภอแม่สาย ต.โป่งงาม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาติพันธุ์ต่าง ๆ

นอกจากนี้ในระยะยาว ทีมวิศวกรจิตอาสาและ อบจ.เชียงราย ได้เสนอแนวคิด “โมเดลเชียงราย เมืองสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ” เพื่อปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมให้มีความยั่งยืน รวมถึงการวางระบบเตือนภัยที่ครอบคลุมทุกด้าน เช่น แผ่นดินไหว ดินถล่ม น้ำท่วม และฝุ่นควัน PM2.5 โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการเพื่อสร้างความปลอดภัยและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

การบูรณาการและการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน

การฟื้นฟูครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังรวมถึงการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงเพื่อการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในอนาคตอย่างรอบด้าน โดยมี ศ. ดร.รัฐพล เกติยศ รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ร่วมเสนอแนวทางในการจัดทำระบบแก้มลิงและการระบายน้ำในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ สกสว. ยังสนับสนุนการวิจัยเพื่อประยุกต์ใช้ข้อมูลทางวิชาการและเทคโนโลยีในการจัดการภัยพิบัติ โดยจะร่วมกับคณะกรรมาธิการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในด้านต่าง ๆ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment)

โดย ผศ.ดร.รัฐพล เกติยศ รองคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย กล่าวว่าการจัดการเมืองที่คำนึงถึง ผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ และการเตรียมตัวเพื่อรับมือเหตุจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ลาดดินถล่ม ฝุ่น PM 2.5 ฯลฯ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เช่น การจัดการทรัพยากรน้ำ การดูแลสภาพอากาศ การบริหาร จัดการของเสีย และการเฝ้าระวังภัยพิบัติ ตลอดจนเพิ่ม การมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข  อย่างยั่งยืน 

บทสรุป: เชียงราย เมืองอัจฉริยะเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

การฟื้นฟูและการพัฒนาพื้นที่เชียงรายครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาในระยะยาว โดยมีการใช้เทคโนโลยีและการจัดการเมืองอย่างครบวงจร เพื่อให้เชียงรายกลายเป็นเมืองต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะและมีความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

‘ตุ๊กตาหมีเกย’ วาดหวัง ฟื้นฟู ชูใจ เจียงฮายบ้านเฮา โดย อ.สืบสกุล

 

อาจารย์สืบสกุล กิจนุกร จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และผู้ก่อตั้งศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติเชียงราย ได้ริเริ่มโครงการ “หมีเกย วาดหวัง” เพื่อฟื้นฟูจิตใจของผู้ประสบภัยหลังเกิดมหาอุทกภัยในตัวเมืองเชียงราย ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2567 โดยโครงการนี้เริ่มต้นจากการเก็บตุ๊กตาหมีตัวแรกที่ถูกทิ้งไว้ริมขอบกำแพง จากนั้นขยายเป็นการรวบรวมตุ๊กตาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทั้งหมดกว่า 200 ตัวเพื่อนำมาทำความสะอาดและหาวิธีส่งคืนเจ้าของเดิม

 “ผมตระหนักดีว่าจะมีหนทางใดที่ช่วยฟื้นฟูจิตใจผู้สูญเสียให้กลับมามีความหวังอีกครั้ง”
 จากหมีเกยสู่การสร้างความหวัง

ผลงานที่อาจารย์ได้ริเริ่มเป็นท่านแรกนี้ ทางโครงการ “วาดหวัง” จะขอนำไปเสนอในงาน UCCN (UNESCO Creative Cities Network) ที่จัดขึ้น ณ เมืองอาซาฮิกาวะ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 21-25 ตุลาคม 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อแสดงถึงการฟื้นฟูจิตใจและการสร้างความหวังให้กับเด็กๆ และครอบครัวในเชียงรายที่สูญเสียข้าวของสำคัญหลังน้ำท่วม

“ผมจะเล่าผ่านเรื่องราวของตุ๊กตาหมีเกย วาดหวัง ฟื้นฟู ชูใจ เจียงฮาย บ้านเฮา”

อาจารย์สืบสกุลเล่าว่า ตุ๊กตาหลายตัวที่เก็บได้มักอยู่ในสภาพเปื้อนโคลน บางตัวเปรอะเปื้อนจนแทบจำไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่ตุ๊กตาได้รับการทำความสะอาดและจัดแสดง ผู้คนที่พบเห็นกลับมีความยินดีและซาบซึ้งกับสิ่งเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งของที่เคยสูญเสีย

พลังของชุมชนและการมีส่วนร่วม
 

นอกจากการเก็บและทำความสะอาดตุ๊กตา โครงการยังมีการเชิญชวนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครกว่า 600 คน ช่วยกันล้างบ้านและฟื้นฟูชุมชนในพื้นที่ประสบภัยทั่วเชียงราย รวมถึงช่วยกันจัดเก็บขยะน้ำท่วมกว่า 50,000 ตัน เพื่อให้บ้านและชุมชนกลับมามีสภาพพร้อมใช้งานอีกครั้ง

โครงการนี้ไม่ได้เพียงแต่ให้ความสำคัญกับการคืนสภาพบ้านเรือน แต่ยังเน้นการฟื้นฟูจิตใจและสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ที่ต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่

 ตุ๊กตากลับบ้านและการประมูลเพื่อฟื้นฟูชุมชน
 

โครงการได้กำหนดจัดแสดงตุ๊กตาที่เก็บมาได้ทั้งหมดในงาน “จดหมายเหตุฉบับประชาชน มหาอุทกภัยเชียงราย 2567” ที่ขัวศิลปะ จ.เชียงราย ในวันที่ 19 ตุลาคม 2567 เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าของเดิมมาตามหาตุ๊กตาของตนเอง โดยจะมีการเก็บรักษาและตามหาเจ้าของจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2567 หากยังมีตุ๊กตาที่ไม่ได้รับการติดต่อกลับ โครงการจะนำตุ๊กตาเหล่านั้นไปประมูลเพื่อนำรายได้เข้าสู่กองทุนฟื้นฟูชุมชนและเมืองเชียงรายต่อไป

อาจารย์สืบสกุลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้จะไม่หยุดเพียงแค่การฟื้นฟูชุมชนเท่านั้น แต่ยังมีแผนในการพัฒนาความร่วมมือกับกลุ่มศิลปิน นักธุรกิจ และหน่วยงานท้องถิ่นในเชียงราย เพื่อสร้างเครือข่ายการช่วยเหลือและการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต โดยตั้งเป้าหมายให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมและสามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“ผมตระหนักดีว่าจะมีหนทางใดที่ช่วยฟื้นฟูจิตใจผู้สูญเสียให้กลับมามีความหวังอีกครั้ง”

อาจารย์สืบสกุลเล่าให้ฟังอีกว่า ทุกวันๆ ที่ออกไปทางานร่วมกับอาสาสมัคร ผมพบว่าประชาชนจ่อมจมอยู่ในความเศร้าโศก ท้อแท้ และสิ้นหวัง เนื่องจากการล้างบ้านเป็นงานหนักและใช้เวลานานหลายวัน อีกทั้งขยะน้าท่วมคือข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจาวัน ตั้งแต่ของชิ้นใหญ่เช่นทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เตียง โซฟา ที่นอนไปจนถึงของชิ้นเล็กๆ เช่น ของเล่น และตุ๊กตาผ้า ข้าวของทั้งหมดที่จมน้าและกองโคลนคือทรัพย์สิน ความรัก และความผูกพันของผู้คน นอกเหนือจากการล้างบ้านแล้ว

 การร่วมมือระดับสากลและแนวทางในอนาคต
 

การนำเสนอ “โครงการวาดหวัง” ในเวที UCCN ณ ประเทศญี่ปุ่น ช่วยให้เชียงรายได้รับการยอมรับในระดับสากลและกลายเป็นเมืองตัวอย่างในการฟื้นฟูจิตใจผู้ประสบภัยหลังภัยพิบัติ โครงการนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากองค์กรท้องถิ่น เช่น Chiang Rai Creative City Network, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติเชียงราย และกลุ่มศิลปินเชียงราย

อาจารย์สืบสกุลสรุปว่า สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เพียงแค่การจัดการภัยพิบัติ แต่คือการสร้างขวัญกำลังใจและความหวังให้กลับคืนสู่ผู้ประสบภัย เพราะทุกคนต่างมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูชุมชนและสร้างอนาคตใหม่ให้กับบ้านเกิดของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อาจารย์สืบสกุล กิจนุกร สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

น้ำท่วมเชียงใหม่ปี 67 หนักสุดในรอบ 200 ปี แม่น้ำปิงรับน้ำไม่ไหว

 

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐ มาแจ้ง อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งระบุว่า น้ำท่วมปีนี้ถือว่าเป็นน้ำท่วมระดับ “รอบ 200 ปี” แม้ว่าอัตราการไหลของน้ำจะน้อยกว่าปี 2554 แต่ระดับน้ำกลับสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

จากการเปรียบเทียบข้อมูลระดับน้ำและอัตราการไหลของแม่น้ำปิง พบว่า ปี 2567 นี้ มีอัตราการไหลสูงสุดที่ 656 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งน้อยกว่าปี 2554 ที่มีอัตราการไหลสูงสุดถึง 816.8 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ในทางกลับกัน ระดับน้ำสูงสุดในปีนี้กลับอยู่ที่ 305.8 เมตรรทก. ซึ่งสูงกว่าปี 2554 ที่ระดับ 305.44 เมตรรทก. แสดงให้เห็นว่าแม่น้ำปิงในปัจจุบันมีความสามารถในการระบายน้ำได้น้อยลงมากเมื่อเทียบกับอดีต

ผศ.ดร.ณัฐ ได้วิเคราะห์ว่า การที่แม่น้ำปิงมีความสามารถในการระบายน้ำลดลง อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การรุกล้ำแนวทางน้ำ การทับถมของตะกอนในลำน้ำ หรือมีสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำ ซึ่งทำให้แม้ปริมาณน้ำไหลจะน้อยกว่า แต่ระดับน้ำกลับสูงขึ้นมาก เป็นสัญญาณว่าลำน้ำมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอย่างชัดเจน

เมื่อนำข้อมูลอัตราการไหลและระดับน้ำมาคำนวณเป็นรอบปีการเกิดซ้ำ พบว่า ระดับน้ำสูงสุดในปี 2567 อยู่ในระดับที่เกิดซ้ำได้ทุก ๆ 200 ปี ขณะที่ระดับน้ำสูงสุดในปี 2554 อยู่ที่รอบการเกิดซ้ำ 46 ปี แต่อัตราการไหลกลับตรงกันข้าม โดยปี 2567 อัตราการไหลสูงสุดอยู่ในรอบการเกิดซ้ำเพียง 17 ปี ขณะที่ปี 2554 อัตราการไหลสูงสุดอยู่ในระดับ 62 ปี แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบระบายน้ำและลักษณะทางกายภาพของแม่น้ำปิงที่มีแนวโน้มแย่ลง

ดร.ณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม่น้ำปิงที่ไหลผ่านตัวเมืองเชียงใหม่มีความสามารถในการระบายน้ำลดลงอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีการเตรียมรับมือและระบบระบายน้ำที่ดี แต่หากยังมีการรุกล้ำลำน้ำหรือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของแม่น้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำท่วมในอนาคตอาจจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่โดยตรง

นอกจากนี้ เขายังเน้นว่าการปรับปรุงลำน้ำ คูคลอง และเส้นทางน้ำในพื้นที่เชียงใหม่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ระบบระบายน้ำสามารถรองรับน้ำท่วมได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมืองซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างและการพัฒนาเมืองที่รุกล้ำพื้นที่ทางน้ำมากกว่าที่ควรจะเป็น หากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงใหม่อาจเกิดซ้ำบ่อยครั้ง และความรุนแรงของน้ำท่วมจะสูงขึ้นตามลำดับ

จากการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ข้อมูลระดับน้ำและอัตราการไหลของแม่น้ำปิง ผศ.ดร.ณัฐ มาแจ้ง จึงสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของลำน้ำปิงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น แม้จะมีอัตราการไหลของน้ำที่ลดลงก็ตาม สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป และการปรับตัวของมนุษย์ที่มีผลต่อระบบนิเวศน้ำในพื้นที่

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการน้ำและการฟื้นฟูลำน้ำ เพื่อให้ลำน้ำสามารถรองรับปริมาณน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต” นอกจากนี้ การป้องกันและเตรียมการล่วงหน้าจำเป็นต้องวางแผนระยะยาว โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งจากธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์เป็นหลัก เพื่อป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Nat MJ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

สกสว.หนุนนักวิจัยปรับระบบเตือนภัย น้ำท่วม-ดินถล่ม เร่งทำ แผนที่น้ำท่วม

 

3 ตุลาคม 2567 รศ. ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดการประชุมและแถลงข่าว “แนวทางการปรับปรุงระบบเตือนภัยพิบัติเพื่อลดความเสียหาย (น้ำท่วม ดินถล่ม)” ณ ห้องประชุม สกสว. เพื่อรับทราบสถานะของระบบป้องกันและแจ้งเตือนภัยในปัจจุบัน เทคโนโลยีของการป้องกันและเตือนภัย ข้อจำกัดและการปรับปรุงที่ควรมี ตลอดจนแนวทางการจัดการในพื้นที่ และงานวิจัยที่ควรดำเนินการในอนาคต

 

ผู้อำนวยการ สกสว. ระบุว่า ระบบป้องกันและเตือนภัยพิบัติน้ำท่วมและดินถล่มในปัจจุบันยังบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานไม่ทันกาล ทำให้การประมวลผลและตัดสินใจล่าช้า รวมถึงปัญหาความแม่นยำของการคาดการณ์สถานการณ์ และโครงสร้างพื้นฐานทั้งอุปกรณ์ตรวจวัดและระบบเครือข่ายยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยง จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง และใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัยเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์และเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ สกสว.เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าวและได้หนุนเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาระบบป้องกันและแจ้งเตือนภัยพิบัติที่มาโดยตลอด การจัดประชุมและแถลงข่าวในครั้งนี้ได้ระดมความเห็นจากหน่วยงานในระดับปฏิบัติการ ภาควิชาการ และผู้นำท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การวางแผนและจัดสรรงบประมาณสนับสนุนทุนวิจัยในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์แก่หน่วยงานต่าง ๆ และชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความแม่นยำและแจ้งเตือนได้ทันท่วงทีต่อสถานการณ์ และลดความสูญเสียต่อประชาชน

ด้าน รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ ด้านการบริหารจัดการน้ำ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า ระบบเตือนภัยของไทยยังมีปัญหาในระดับปฏิบัติการ การเชื่อมโยง ข้อมูลที่เข้าถึงพื้นที่ยังไม่เพียงพอและไม่ทันการณ์ สื่อสารไม่ทั่วถึงและเข้าใจยากสำหรับชุมชน กระทรวง อว.จึงควรเข้ามามีบทบาทหนุนเสริมทางวิชาการโดยเน้นการสร้างองค์ความรู้ พัฒนาระบบเตือนภัย และร่วมพัฒนาความสามารถของชุมชนในพื้นที่ให้สามารถตอบโจทย์ในพื้นที่ ทั้งการสนองต่อสถานการณ์ได้จริงและเข้าถึงประชาชนได้ง่าย โดยจากนี้ไปจะต้องจัดลำดับความสำคัญเพื่อพัฒนางานวิจัยและทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อให้เห็นว่าวิชาการช่วยประชาชนในพื้นที่ได้จริง โดยมีสถาบันการศึกษาในพื้นที่เป็นพี่เลี้ยง สิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดทำแผนที่น้ำท่วมเพื่อเตรียมรับมือในพื้นที่เสี่ยงสูง

ที่ผ่านมา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน. )ได้พัฒนาขีดความสามารถของเทคโนโลยีเฝ้าระวังและคาดการณ์อุทกภัย ทั้งการคาดการณ์จากดัชนีอุณหภูมิผิวน้ำทะเลและปริมาณฝนล่วงหน้า 6-12 เดือน เทคโนโลยีข้อมูลจากการสำรวจ โทรมาตร ดาวเทียมและเรดาร์ รวมถึงระบบคาดการณ์ 1-7 วัน เพื่อเตือนภัยและสนับสนุนการปฏิบัติงาน พัฒนาต่อยอดเพื่อใช้งานทุกระดับและเป็นระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติและศูนย์ข้อมูลน้ำจังหวัดที่ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา สสน.ได้เชื่อมโยงข้อมูลกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้ดี มีข้อมูลออกสู่สาธารณชนมากขึ้น และเริ่มถึงเชิงลึกรายพื้นที่ แต่ปัญหาในพื้นที่เฉพาะยังไม่ตอบสนองสถานการณ์ได้เพียงพอ มีผู้ประสบภัยติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม และรถจมน้ำจำนวนมาก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยและการบริหารจัดการน้ำท่วม

 

ขณะที่ รศ. ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า การปรับปรุงระบบเตือนภัยและบริหารจัดการน้ำต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากชุมชน โดยมีภาควิชาการเข้าไปช่วยเหลือ ชุมชนต้องแข็งแรงและมีความรู้ ไม่เน้นเทคนิคมากมายแต่เน้นการพัฒนาชุมชนให้มีระบบเตือนภัยฐานชุมชน ซักซ้อมเพื่อช่วยเหลือกันเอง รวมถึงสนับสนุนปราชญ์ชุมชนด้านภัยพิบัติ และพร้อมรับข้อมูลจากวิทยาการภายนอกเข้าเสริม เช่นเดียวกับ รศ. ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์วิชาการสนับสนุนด้านการบริหารจัดการน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึง ระบบเตือนภัยน้ำท่วมสำหรับพื้นที่เสี่ยงสูงต้องเริ่มมาจากการพยากรณ์น้ำล่วงหน้าที่แม่นยำและมีเวลามากพอ มีเครื่องมือสนับสนุนให้ประชาชนตะหนักถึงความลึกของระดับน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในบริเวณต่าง ๆ โดยเครื่องที่ทำได้ก่อนใช้งบประมาณและเวลาไม่มาก ได้แก่ แผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมและหมุดหมายระดับน้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่น้ำท่วม ซึ่ง อว. สามารถสนับสนุนองค์ความรู้ให้ภาคส่วนต่าง ๆ ได้

สำหรับเสียงสะท้อนจากตัวแทนผู้นำชุมชนซึ่งเป็นเครือข่ายวิจัย พบว่าทิศทางการพัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพจะต้องได้รับความร่วมมือจากส่วนราชการและวิชาการ  ปัจจุบันชาวบ้านในชุมชนเ                                                                                                                                                                          น้     นการแจ้งเตือนกันเองตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น การโทรศัพท์ ใช้วิทยุสื่อสาร รวมถึงปัญหาสำคัญในการสื่อสารด้วยศัพท์ทางวิชาการของหน่วยงานที่เข้าใจยาก การสื่อสารข้อมูลจากส่วนกลางที่น่าเชื่อถือ รับฟังและนำไปปฏิบัติได้ยังเป็นจุดอ่อนที่ต้องหาทางแก้ไข นอกจากนี้ยังต้องซ้อมแผนเผชิญเหตุในเชิงนโยบายและระบุอำนาจของผู้นำ อปท. ว่าสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง และจะมีหน่วยงานใดเข้าไปช่วยเหลือได้ทันที

ทั้งนี้ นายอาร์ม จินตนาดิลก ผู้อำนวยการส่วนวิชาการการเตือนภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เสริมว่า ปกติจะมีการทบทวนแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุก 5 ปี แต่ประชาชนต้องให้ความตระหนักในการฝึกซ้อมด้วย รวมถึงส่งเสริมอุปกรณ์ที่จำเป็นตามงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร ขณะนี้แผนของจังหวัดมีอยู่แล้วแต่แผนของ อปท. ยังไม่ครอบคลุมแต่จะส่งเสริมให้เต็มทั่วทุกพื้นที่ และจะรื้อฟื้นเครือข่าย “มร.เตือนภัย” ให้ใช้ได้อีกครั้ง

นอกจากนี้ในเวทียังมีข้อเสนอในระยะยาวว่าควรออกกฎหมายการควบคุมการก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยง การควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินและวางระบบการบริหารจัดการน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง โดยปรับโครงสร้างเดิมที่จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำมาเป็นสถาบันมืออาชีพ  มีกลไกจัดการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินเนื่องจากเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและต้องทำจากพื้นที่ เพื่อจะได้ทราบว่ามีพื้นที่ใหม่ ๆ ที่น้ำท่วมอยู่ตรงไหน และหารือเรื่องออกผังน้ำกับกรมโยธาธิการและผังเมือง เพื่อปรับเปลี่ยนเกณฑ์การก่อสร้าง พื้นที่สีเขียว การวางระบบจัดการ การควบคุมการใช้ที่ดิน และการจัดการของชุมชนให้ไปด้วยกันอย่างเหมาะสม มีการแบ่งอำนาจส่วนกลางกับท้องถิ่นให้สอดคล้องและชัดเจน ซึ่งรัฐบาลต้องเข้าใจและวางระบบบริหารจัดการภัยพิบัติใหม่ และหวังว่านักการเมืองจะเริ่มเข้าใจถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการภัยพิบัติตามแนวคิดใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรม (สกสว.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

นักวิจัยเตือนฝนตกหนักปลายสัปดาห์เฝ้าระวังกทม.-ปริมณฑลและอยุธยา

 

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ ด้านการบริหารจัดการน้ำ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำและน้ำท่วมในขณะนี้ว่า ภาคเหนือน้ำเริ่มลดแล้วแต่ต้องเฝ้าระวังภาคกลางเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ระดับน้ำสูงขึ้นไล่มาตั้งแต่จังหวัดกำแพงเพชร พิษณุโลก อุทัยธานี นครสวรรค์ ลงมาถึงพระนครศรีอยุธยา อาจมีน้ำท่วมริมตลิ่งและมีโอกาสล้นคันกั้นน้ำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระนครศรีอยุธยาระดับน้ำเพิ่มจาก 1,832 ลบ.ม./วินาที เป็น 2,682 ลบ.ม./วินาที ถือว่าใกล้ปริ่มน้ำมาก หากเกิน 3,000 ลบ.ม./วินาที อาจต้องปล่อยน้ำเข้าพื้นที่อำเภอบางบาลและบางไทรซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำ

“การคาดการณ์ฝนในช่วงนี้ ร่องความกดอากาศต่ำจะทำให้ปลายสัปดาห์นี้ มีโอกาสฝนตกหนักในพื้นที่บริเวณภาคกลาง จึงต้องเฝ้าระวังและเตรียมรับมือทั้งพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะบ้านเรือนริมน้ำ ซึ่งได้ส่งข้อมูลให้กรุงเทพมหานครแล้ว โดยทาง กทม. ได้เตรียมขุดลอกคูคลองและท่อระบายน้ำ แก้ปัญหาพื้นที่ฟันหล่อพร้อมรับมือ กับสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นตามแผนรับมือหน้าฝนปี 2567 แล้ว” รศ. ดร.สุจริตระบุ

สำหรับสถานการณ์น้ำ ฝนคาดการณ์ การบริหารเขื่อน และสภาพน้ำท่าท้ายเขื่อน ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน ถึง 14 ตุลาคม 2567 จากการวิเคราะห์ข้อมูลของทีมวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน พบว่ามีพื้นที่น้ำท่วมครอบคลุมภาคเหนือตอนบนและภาคกลางในเขตลุ่มน้ำโขงเหนือ น่าน ยม วัง และเจ้าพระยารวม 20 จังหวัด จำนวน 1.347 ล้านไร่ โดยจะยังคงมีปริมาณน้ำฝนสูงในบริเวณพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และเริ่มลงภาคใต้ โดยปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนภูมิพลอยู่ที่ร้อยละ 61 เขื่อนสิริกิติ์ร้อยละ 91 เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนร้อยละ 68 และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ร้อยละ 64

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ข้อคิดคำนึงเรื่องแจกเงิน 10,000 บาท โดย ผศ.ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย

 

ข้อคิดคำนึงเรื่องแจกเงิน 10,000 บาท ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567” กำลังเริ่มจ่ายโอนเงิน 10,000 บาท เพื่อเข้าบัญชีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรผู้พิการ ตั้งแต่วันที่ 25-30 ก.ย. จำนวน 14.4 ล้านคน คิดเป็นเงิน 1.44 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลไม่มีข้อจำกัดด้านการใช้จ่าย

ในด้านอุปสงค์ของระบบเศรษฐกิจ ผู้รับเงิน คือ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เคยมีข่าวกรณีที่ สตง. ลองสุ่มตรวจผู้เสียชีวิตจำนวน 100 กว่าคน แล้วพบว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตที่ยังใช้สิทธิ์บัตรประชารัฐประมาณ 22 คน เมื่อช่วงปี 2564 (‘ก้าวไกล’ พบพิรุธ ‘กองทุนสวัสดิการแห่งรัฐ’ หากินกับคนตาย บนความทุกข์คนเป็น  ‘วรรณวิภา’  เผย ผลสุ่มตรวจ สตง. เจอชื่อคนตายยังได้รับเงินเกือบ 1 ใน 5 https://voicetv.co.th/read/X756rNYip)

ในด้านอุปทานของระบบเศรษฐกิจ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ แสดงให้เห็นว่า ปีล่าสุด 2566 บริษัทค้าปลีก CPALL มีรายได้ 9.2 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 1.8 หมื่นล้านบาท, เซ็นทรัลรีเทล (CRC) มีรายได้ 2.5 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 8 พันล้านบาท, และ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) มีรายได้ 1.7 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 4.7 พันล้านบาท คิดเป็นรายได้ธุรกิจค้าปลีกของ 3 ตระกูล คือ 1.3 ล้านล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลประมาณการ GDP ปี 2566 (สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์) โดยสภาพัฒน์ อยู่ที่ 2.6 ล้านล้านบาท

ปัจจุบัน ร้าน 7-Eleven มีสาขาทั่วประเทศ 14,545 แห่ง มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน ประมาณ 8 หมื่นบาท มีจำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ยเกือบ 1 พันคน ซึ่ง CPALL มีกำไรธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 35% ในปี 2566 ซึ่งเป็นกำไรสูงสุดตั้งแต่หลังโควิด อีกทั้งคิดเป็นกำไรมากกว่า  80% ของ CPALL มาจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ยิ่งไปกว่านั้น ปี 2566 ที่ผ่านมา รายได้ธุรกิจร้าน 7-Eleven มีมูลค่า 3.99 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

คำถามพื้นฐาน คือ เป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะได้ผลจริงจังมีเงินจะหมุนเวียนตามทฤษฎี `ตัวทวีคูณทางการคลัง’ (fiscal multiplier) มากน้อยเพียงใด? แต่อย่างน้อยก็จะพอช่วยต่อชีวิตคนจนจริงที่ได้รับสิทธิ์ไปได้บ้าง และ อาจจะพอทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีกำลังซื้อในชุมชนเพิ่มขึ้นตามกำลัง

ทั้งนี้ ในฐานะคนไทยผู้รักชาติ ผู้เขียนก็ยังคงหวังที่จะเห็นรัฐบาลสร้างความหวังให้มีอนาคตสำหรับประชาชนได้เหมือนนโยบายสมัยก่อนที่มีกองทุนหมู่บ้าน การจัดตั้งธนาคารประชาชน เป็นยุคที่ OTOP SMEs รุ่งเรือง และ ประชาชนจับจ่ายใช้สอยทำให้ธุรกิจคึกคัก เพียงแต่ในสมัยยุคปัญญาประดิษฐ์ผสมผสานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ จะทำอย่างไรให้คนไทยส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ทันก่อนแก่ หากสามารถนำแนวทางที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อ 26 ก.พ. 2544 คือ จะต้องมี “การลงทุนเพื่อสร้างรายได้ใหม่ให้กับประชาชนและให้กับรัฐในที่สุด” เพื่อมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ก็น่าจะเป็นคุณูปการอันใหญ่หลวง และ ได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า 

อ่านเพิ่มเติม เศรษฐศาสตร์เรื่องการแจกเงินดิจิทัล… https://www.isranews.org/article/isranews-article/126307-digital-5.html

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

‘ช่างเบน’ กับการให้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด จิตอาสาฟิ้นฟูล้างโคลนในบ้านไม่คิดค่าแรง

 

หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ซึ่งถือเป็นอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี น้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก โดยมีผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัตินี้ นอกจากนั้น มวลน้ำยังไหลทะลักเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย แม้ว่าระดับน้ำจะลดลงแล้ว แต่การฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วมยังคงต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีดินโคลนสะสมอยู่ในบ้านเรือนและบริเวณโดยรอบ ทำให้ชาวบ้านต้องลงแรงทำความสะอาดเองด้วยความลำบาก

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ได้สัมภาษณ์ครอบครัวจิตอาสาที่เข้ามาช่วยเหลือในพื้นที่ พี่เบน คุณสุวิชา ไชยเลิศ วัย 39 ปี พร้อมภรรยา คุณสิทธิชยา สุกฤติยานันท์ (เอ๋) วัย 40 ปี และลูกชายสองคน ด.ช.ตปัสวิน ไชยเลิศ (โมโน) วัย 7 ปี และ ด.ช.ฌานิน ไชยเลิศ (โมนิน) วัย 6 เดือน บ้านของ พี่เบน คุณสุวิชา อยู่ในบริเวณที่น้ำท่วมไม่ถึง แต่ชุมชนรอบข้างได้รับความเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากน้ำท่วมและดินโคลนที่เข้าท่วมบ้านเรือนของผู้ประสบภัย

 พี่เบน คุณสุวิชา เล่าว่า เขาและภรรยาได้คุยกันว่าจะช่วยเหลือผู้เดือดร้อนอย่างไร โดยเริ่มต้นจากการนำเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงที่มีอยู่มาใช้ในการทำความสะอาดบ้านของชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมหนัก ในวันแรกมีเพียงเขาและภรรยาเข้าร่วมทำความสะอาด แต่หลังจากนั้นก็ได้มีอาสาสมัครเข้าร่วมเพิ่มเติม จนมีสมาชิกกลุ่มมากถึง 8 คนในบางวัน ซึ่งทุกคนที่เข้ามาร่วมทำงานก็ทำด้วยใจ โดยไม่ขอรับเงินหรือสิ่งของตอบแทน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มจิตอาสาที่มีอุดมคติที่ชัดเจนว่าจะไม่รับเงินจากการช่วยเหลือ แต่หากมีผู้ใจบุญที่ต้องการสนับสนุน พวกเขาขอเป็นอุปกรณ์ทำความสะอาดแทน เช่น เครื่องฉีดน้ำ แปรงขัดพื้น ผงซักฟอก และไม้กวาด เพื่อให้สามารถใช้ในการช่วยเหลือคนอื่นได้ต่อไป
 

พี่เบน คุณสุวิชา กล่าวต่อว่า ตอนนี้พวกเขาได้เน้นช่วยเหลือ ‘เฉพาะในตัวอำเภอเมืองเชียงราย’ โดยช่วยกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือก่อน เช่น ผู้สูงอายุและครอบครัวที่ไม่สามารถทำความสะอาดบ้านเองได้ พวกเขาใช้เครื่องฉีดน้ำในการล้างดินโคลนออกจากบ้าน และถอดเฟอร์นิเจอร์ที่ผุพังออก ทั้งนี้ การดำเนินงานขึ้นอยู่กับขนาดและสภาพของพื้นที่เป็นหลัก หากชาวบ้านต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม หรือคนไหนที่อยากจ้างช่างต่อเติมที่มีจิตอาสาสามารถติดต่อผ่านไลน์ไอดี Suvicha.cr ได้โดยตรง

 

วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังทำให้เห็นถึงน้ำใจของจิตอาสาจากทุกภาคส่วนที่เข้ามาช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้ว่าหลายคนจะประสบกับความลำบากเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมชุมชน เจ้าของบ้านหลายคนที่ได้รับการช่วยเหลือต่างแสดงความขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ซึ่งเป็นสิ่งตอบแทนที่มีค่าสำหรับจิตอาสาเหล่านี้

การช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายยังคงดำเนินต่อไป ทั้งในตัวเมืองและชุมชนต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ศบภ.มทบ.37 นำรถครัวสนามทำอาหาร “อิ่มท้อง ของครบ รบเงียบ เฉียบบริการ”

 
รถครัวสนาม อีกหนึ่งยุทโธปกรณ์จากกองทัพ ที่คอยช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในทุกสถานการณ์ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน กองทัพบกได้ดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาโดยตลอดเท่าที่จะสามารถช่วยเหลือได้ โดยเฉพาะการดูแลในเรื่องของปากท้องให้กับผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ต่างๆ ที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ สามารถสังเกตุและพบเห็นได้อยู่เป็นประจำเสมอ นั่นคือรถ 6 ล้อสีเขียวขี้ม้าที่จอดอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ที่บนรถจะมี เจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังต้ม ผัด แกง ทอด ประกอบเมนูต่างๆ วุ่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนและ เจ้าหน้าที่หรือบุคลากรทางการแพทย์ต่างๆ ที่จะมาเข้าคิวรอรับอาหารกล่องเพื่อนำไปทานกันอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ 
 
ซึ่งรถคันนี้ ก็คือรถครัวสนามของกองทัพบกนั่นเอง และถึงแม้จะไม่ใช่ยุทโธปกรณ์ในการรบอย่างเช่นรถถังหรือยานเกราะ แต่บทบาทของรถครัวสนามที่กล่าวถึง ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ารถรบเหล่านั้นเลย ซึ่งในวันนี้แอดมินจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับรถครัวสนามกันอย่างละเอียด รวมไปถึงบทบาทและความสำคัญของยุทโธปกรณ์ ชนิดนี้กันอีกครั้ง ก่อนอื่นเลย ก็ขอย้อนไปถึงความเป็นมาของรถครัวสนามกันเสียก่อน รถครัวสนาม คือยุทโธปกรณ์ชนิดหนึ่งในสายเหล่าทหารพลาธิการ ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 2547 ในเหตุการณ์สึนามิพัดถล่มจังหวัดทางภาคใต้ของไทย 
 
เหตุการณ์ในครั้งนั้นก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมายประเมินค่าไม่ได้ กองทัพบกเองในขณะนั้นได้ส่งกำลังพลต่างๆ ทั้งทีมแพทย์ทหาร ชุดพยาบาลทหารบก พร้อมยุทโธปกรณ์ต่างๆ เข้าช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงมีการต่อรถครัวสนามขึ้นมาเพื่อประกอบอาหารเลี้ยงทั้งประชาชนและ จนท. โดยครัวสนามแรกเริ่มในตอนนั้นเป็นรถพ่วงแบบลากจูงจำนวน 2 คัน และเมื่อนำเข้าไปในพื้นที่ประสบภัยแล้ว มันก็แสดงศักยภาพออกมาให้เห็น ด้วยการผลิตอาหารออกแจกจ่ายให้กับประชาชนและ จนท. อย่างต่อเนื่องได้เป็นจำนวนไม่น้อยในแต่ละวันในขณะนั้น แต่ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพ แต่ด้วยจำนวนที่มีเพียงแค่ 2 คัน ก็ไม่สามารถที่จะผลิตอาหารแจกจ่ายให้กับประชาชนได้ทั่วถึง 
 
แต่ ณ ตอนนั้นก็มีหน่วยงานและองค์ต่างๆ หลายองค์กรที่สนับสนุนข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มให้กับประชาชนและ จนท.ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน จนสถานการณ์คลี่คลายลง และสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ หลังจากเหตุการณ์สึนามิผ่านพ้นไป กองทัพบกได้เล็งเห็นความสำคัญของรถครัวสนาม ที่จะสามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นในอนาคต เพราะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือพิบัติภัยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการจัดสร้างรถครัวสนามเพิ่มอีก 4 คัน และส่งไปประจำตามกองทัพภาคต่างๆ ทัพภาคละ 1 คัน แต่ถึงแม้รถครัวสนามเหล่านี้จะออกปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 
 
โดยเฉพาะเหตุการน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดต่างๆ จนมาถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ครัวสนามเคลื่อนที่กองทัพบกนี้ ก็ได้ออกปฏิบัติภารกิจของมันอย่างไม่หยุดหย่อน แม้แต่เหตุการณ์ปะทะกันที่เขาพระวิหาร ทบ. ก็จัดรถครัวสนามเข้าไปในพื้นที่ ทำอาหารแจกจ่ายให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจนเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ จากปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าว กองทัพบกจึงได้มีการจัดสร้างรถครัวสนามเพิ่มเติม รวมถึงปรับปรุงให้มีความทันสมัยและเพิ่มประสิทธิภาพให้มีมากขึ้น จากเดิมที่เป็นรถพ่วง ก็เปลี่ยนมาเป็นรถ 6 ล้อที่มีอุปกรณ์จำเป็นในการประกอบอาหารครบถ้วนในคันเดียว เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายไปตามสถานที่ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวอย่างที่พวกเราเห็นกันทุกวันนี้นี่ล่ะครับ และจากเดิมที่มีเพียงแค่หลักหน่วย ก็เพิ่มมาเป็นหลักสิบ จนปัจจุบันนี้ กองทัพบกมีรถครัวสนามอยู่ในประจำการราวๆ 160 คัน กระจาย อยู่ตามหน่วยทหารต่างๆ ทั่วประเทศ 
 
สำหรับข้อมูลทางเทคนิคนั้น “รถครัวสนาม” เป็นรถครัวสำหรับประกอบเลี้ยงให้กับกำลังพล (หน่วยทหารระดับกองร้อย) ในการปฏิบัติภารกิจของทางราชการ งานในราชการสนาม และประกอบเลี้ยง ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัยหรือตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เป็นรถ 6 ล้อ ความยาวส่วนบรรทุก 5.5 เมตร กว้าง 2 เมตร เครื่องยนต์ดีเซล 5000 cc ติดกล้องสำหรับมองภาพด้านหน้า/หลัง ด้านหลังติดไฟพรางทางยุทธวิธี มีอุปกรณ์สำหรับประกอบเลี้ยง และชุดเลี้ยงดูวางอยู่ในตำแหน่งส่วนบรรทุกส่วนครัวทั้งด้านขวาและด้านซ้าย 
 
โดยส่วนบรรทุกส่วนครัวด้านขวาประกอบด้วยอ่างล้างจาน, ปั๊มน้ำพร้อมอุปกรณ์และระบบเชื่อมต่อน้ำภายนอก, หัวเตาแก๊ส 2 หัวเตาพร้อมโครง, เตาสำหรับวางกระทะและหม้อต้ม, เตาทอดอาหารแบบ Deep–Frying, ตู้เก็บของ และถังเก็บน้ำดื่มขนาดไม่น้อยกว่า 200 ลิตร ชนิดเปิด – ปิดด้วยเท้าเหยียบ สำหรับส่วนครัวด้านซ้ายประกอบด้วยถังบรรจุข้าวสารขนาด 60 กก., หม้อหุงข้าวแบบใช้แก๊สขนาดความจุ 10 ลิตร จำนวน 4 หม้อ, ตู้เก็บของและถังแก๊สขนาดความจุแก๊ส 48 กิโลกรัมจำนวน 4 ถัง, ตู้แช่แบบบานเปิด 4 บาน ความจุ 36 คิวบิก, ตู้เก็บของ, ถังหูหิ้ว กระทะใบบัว, หม้อต้ม, เครื่องบด/สับอาหาร, โต๊ะประกอบเลี้ยง และมีระบบไฟส่องสว่างในจุดต่างๆ ของตัวรถ 
 
โดยรถครัวสนาม 1 คัน จะมี จนท.ทหารประจำรถทั้งหมด 12 นาย แบ่งเป็นนายทหารควบคุมรถ 1 นาย, จ่า/นายสิบทำหน้าที่พลขับ 2 นาย, ช่างประจำรถ 2 นาย, พ่อครัว 2 นาย, และน้องๆ พลทหารอีก 5 นายคอยเป็นลูกมือ แต่ที่บอกไปนั่น ก็คือการแบ่งตามอัตราการจัดครับ พอถึงเวลาจริงทุกๆ คนก็จะมาช่วยเหลือในการประกอบอาหารกันทั้งหมดนั่นล่ะครับ ไม่มีใครที่จะทำแต่หน้าที่หลักของตนเองอย่างเดียว สุดท้ายทั้ง 12 นายนี้ก็จะทำงานร่วมกันเป็นทีม เรียกว่าทีมครัวสนาม และโดยประสิทธิภาพของรถครัวสนามนี้ ร่วมกับทีมครัวสนามประจำรถ ทำให้สามารถผลิตข้าวกล่องได้ถึง 3000 กล่อง/มื้อ/คัน และนอกจากประสิทธิภาพในการผลิตแล้ว การประกอบอาหารแต่ละวัน พ่อครัวก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเมนูอยู่ตลอด 
 
เพื่อไม่ให้เกิดความน่าเบื่อจำเจ และที่สำคัญต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย เห็นแบบนี้แล้วรู้เลยว่าทหารเหล่าพลาฯ ก็เหนื่อยไม่น้อยไปกว่าเหล่าอื่นๆ ยิ่งในช่วงที่เกิดภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ พวกเขาเหล่านี้ต้องระดมลงแรงกันโดยไม่ได้หยุด เพื่อให้มีอาหารแจกจ่ายประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน แต่พอเห็นรอยยิ้มของประชาชนที่มารับอาหารรับข้าวกล่องไปกินกัน พวกเขาก็หายเหนื่อย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ถนนคนข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

บทความ : เกษตรกรไทยและผลกระทบ ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

อุณหภูมิที่สูงขึ้นสร้างความเสียหายต่อมูลค่าการผลิตทางการเกษตรของครัวเรือนแล้ว โดยเฉพาะครัวเรือนที่ไม่มีระบบชลประทานหรือมีพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ แต่การทำกิจกรรมการเกษตรหลากหลายประเภท เช่น ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และประมง หรือการปลูกพืชผสมผสานหลายชนิด จะช่วยบรรเทาผลกระทบได้ ทั้งนี้ ถึงแม้มนุษยชาติจะควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกได้ มูลค่าผลผลิตทางการเกษตรของไทยจะยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องไป ดังนั้น เราควรเร่งสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าถึงระบบชลประทาน ส่งเสริมการทำเกษตรผสมผสาน และพัฒนาวิธีการเกษตรที่ยั่งยืน จึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวและการสนับสนุนจากภาคเอกชนและภาครัฐอย่างเร่งด่วน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้ปริมาณฝนตกในประเทศไทยมีความผิดปกติ ปี พ.ศ. 2567 มีปริมาณน้ำฝนสะสมต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ และอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยรายปีเพิ่มสูงทำลายสถิติทุกปี โดยข้อมูลแสดงแนวโน้มสภาวะอากาศร้อนจัดอุณหภูมิสูงสุดเกิน 43 องศาเซลเซียสเกิดขึ้นเพียงไม่กี่จังหวัดตั้งแต่ปี 2562 แต่เมื่อเดือนเมษายน 2567 มีรายงานอุณหภูมิสูงเกิน 43 องศาเซลเซียส ถึง 16 จังหวัด

 

ปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) และ เอลนีโญ (El Niño) จะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสภาพภูมิอากาศในประเทศ และสร้างผลกระทบเกิดขึ้นทั่วโลกในรูปแบบต่างกัน ปรากฏการณ์เอลนีโญในปี 2567 เป็นปัจจัยทำให้อุณหภูมิในประเทศไทยและทั่วโลกเพิ่มสูงสุดและเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะภัยแล้ง ขณะที่ปรากฏการณ์ลานีญากลับมาช่วยให้ฝนชุ่มฉ่ำในช่วงกลางปี 2567 แต่ก็นำไปสู่น้ำท่วมฉับพลันและรุนแรงในหลายจังหวัด

 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้การจัดสรรน้ำสำหรับชลประทานในภาคการเกษตรมีความเสี่ยงและการแข่งขันมากขึ้น ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้งและรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นของกลยุทธ์การปรับตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะครัวเรือนเกษตรกรที่มีอนาคตเปราะบางต่อความยากจน

 

งานวิจัย Impacts of Climate Change and Agricultural Diversification on Agricultural Production Value of Thai Farm Households ได้รับทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ Climatic Change และ ได้รับการอ้างอิงในบทความ Telegraph โดยงานวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลสำรวจครัวเรือนเกษตรกรในช่วงปี ค.ศ. 2006-2020 (พ.ศ. 2550-2563) และใช้การวิเคราะห์ทางเศรษฐมิติและสถิติแสดงว่า “อุณหภูมิที่สูงขึ้นได้สร้างความเสียหายต่อมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรแล้ว และ การกระจายความเสี่ยงด้านการเกษตร เช่น การทำเกษตรหลายประเภทหรือปลูกพืชผสมผสาน ช่วยบรรเทาผลกระทบได้”

 

ดังนั้น ข้อพิจารณาเชิงนโยบายสำหรับอนาคตของครัวเรือนเกษตรกรไทยที่ไม่ค่อยจะสดใส ก็คือ ควรได้รับความใส่ใจจากรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาวิธีการเกษตรที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

การพิจารณาแนวทางนโยบายโดยเร่งด่วน คือ ช่วยเหลือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ผลาญแต่งบประชาสัมพันธ์ที่เกษตรกรได้รับประโยชน์แค่หลักหมื่นราย จากเกือบ 8 ล้านครัวเรือนเกษตรกร  หรือ การใช้งบประมาณในกระทรวงเกรดเอที่มีข่าวความขัดแย้งและการทุจริตเกิดขึ้นเสมอมา

 

ในขณะเดียวกัน นโยบายที่ระดับท้องถิ่นช่วยสนับสนุนได้ คือ การปรับตัวได้อย่างยั่งยืน โดยจูงใจและสนับสนุนให้กระจายความเสี่ยง โดยควรกำหนดเป้าหมายสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น การลดความยากจน การพัฒนาอย่างยั่งยืน และความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็น “ผลงานรัฐบาล” ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในมิติที่กว้างขึ้น ตามแนวทาง Sustainable Development Goals (SDGs)

 

ทั้งนี้ Goal 13: Climate action ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ระบุไว้และสามารถแปลใจความเป็นไทยว่า:

“ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบ ทุกคนในทุกประเทศของทุกทวีปจะได้รับผลกระทบในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะภัยพิบัติรุนแรง หรือ cataclysm ทางสภาพภูมิอากาศกำลังคืบคลานเข้ามา และเรายังไม่พร้อมรับมือ” (Take urgent action to combat climate change and its impacts. Every person, in every country in every continent will be impacted in some shape or form by climate change. There is a climate cataclysm looming, and we are underprepared for what this could mean.)

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หมายเหตุ: สรุปจากบทความต้นฉบับ “ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการกระจายความเสี่ยงต่อมูลค่าผลผลิตของครัวเรือนเกษตรกรไทย” เผยแพร่บนเว็บไซต์ “เศรษฐสาร” คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

บทความ : ปลาหมอคางดำประเทศไทย ผลกระทบต่อระบบนิเวศ

 

เมื่อเร็วๆนี้ ปัญหาเรื่องการขยายพันธุ์ของปลาหมอคางดำในประเทศไทย เริ่มแพร่ขยายมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ในประเทศไทย อย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้

เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษของปลาหมอคางดำ ที่เหนือกว่าปลาสายพันธุ์อื่นๆ อาทิเช่น ความสามารถในอาศัยได้ ทั้งในน้ำเค็มและน้ำจืด และ ความสามารถในการหากินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยอาหารหลักของพวกมัน ได้แก่ สาหร่ายและเศษซากพืช รวมไปถึงหอยสองฝา และแพลงก์ตอนสัตว์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นห่วงโซ่อาหารแรกๆ ที่สัตว์ประเภทอื่นต้องการในการดำรงชีพ

โดยปกติแล้ว ปลาหมอคางดำมักอยู่รวมกันเป็นฝูง จึงทำให้ยากต่อการที่ปลาสายพันธุ์อื่นๆ จะมาทำอันตราย และที่สำคัญ ปลาหมอคางดำ เป็นปลาที่สามารถผสมพันธุ์ได้ในทุกฤดูกาล ทั้งเพศผู้และเพศเมีย ก็สามารถที่จะฟักไข่ได้ในปากของมัน ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ปลาหมอคางดำ จัดอยู่ในปลาสายพันธุ์อันตรายต่อระบบนิเวศน์ของไทย

อย่างไรก็ตาม วิธีการกำจัดปัญหา ปลาหมอคางดำ ในปัจจุบัน ก็มีได้อย่างหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น

1. การบริโภคทั่วไป (Traditional Consumption) :

ผู้บริโภค เช่น ชาวบ้านทั่วไป สามารถทำการจับ ปลาหมอคางดำ มาต้ม, ผัด, แกง, ทอด และรับประทานได้โดยตรง วิธีการนี้ ถือได้ว่าไม่ยุ่งยากและซับซ้อน แต่มีข้อควรระวังคือ ควรตรวจสอบแหล่งที่มาของปลา ควรจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำสะอาด ไม่ได้มาจากแหล่งน้ำเน่า ที่อาจมีโอกาสเสี่ยงจากสารพิษและเชื้อโรค ที่สามารถปะปนมากับตัวปลาได้

2. การแปรรูปอาหาร (Food Processing) :

ผู้ประกอบการอาหาร สามารถนำปลาหมอคางดำ มาผ่านกระบวนการแปรรูปอาหารต่างๆ อาทิเช่น การทำปลาป่น (สำหรับอาหารสัตว์), การทำปลากระป๋อง, การทำเนื้อปลาบด, การทำลูกชิ้นปลา, การทำน้ำปลาร้าบรรจุขวด หรือ การทำอาหารเสริม (แคลเซียม) ฯลฯ ซึ่งวิธีการเหล่านี้ จะช่วยยกระดับคุณภาพอาหารให้มีคุณภาพมากขึ้น ทั้งในเรื่องความสะอาดและอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์

3. การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Cutting-Edge Technology) :

วิธีการนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่แปลกใหม่ และไม่ค่อยถูกพูดถึงกันในวงกว้างมากนัก เนื่องจากต้องอาศัยองค์ความรู้และนวัตกรรมขั้นสูง อาทิเช่น การใช้หลักการของพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) ในการปรับแต่งสายพันธุ์ของปลา โดยลงลึกไปถึงระดับ DNA และ ยีนส์

โดยในต่างประเทศ ได้มีการนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้จริงในเชิงอุตสาหกรรม อาทิเช่น ‘AquAdvantage Salmon’ คือ ปลาแซลมอนแอตแลนติก (Atlantic Salmon) ที่มีการตัดต่อพันธุกรรม เพื่อช่วยเพิ่มขนาดตัวปลาแซลมอน จากขนาดตัวปกติ ให้มีขนาดตัวที่ใหญ่มากขึ้น เทียบเท่ากับปลาแซลมอนสายพันธุ์แปซิฟิก (Pacific Chinook Salmon)

หรือแม้กระทั่ง นักวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศ ได้มีการคิดค้นหาสายพันธุ์วัวต่างๆ ผ่านโพรเจกต์ที่ชื่อ ‘1000 Bull Genomes Project‘ โดยจะวิจัยและค้นหาข้อมูลทางพันธุกรรมของวัวแต่ละชนิด มาทำการปรับปรุงสายพันธุ์วัว เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่เหมาะสม เช่น การปรับปรุงสายพันธุ์วัว ให้ได้วัวที่มีรูปร่างสูงใหญ่, ให้ปริมาณเนื้อที่เยอะกว่าวัวสายพันธุ์อื่นๆ และ มีความทนทานต่อเชื้อโรคต่างๆ ได้อีกด้วย

หากประเทศไทย ได้นำหลักการต่างๆที่ว่านี้ มาประยุกต์ใช้เข้ากับ ปลาหมอคางดำ เช่น การเอายีนส์ที่ใช้ผลิต เนื้อปลาแซลมอน มาฝังใน DNA ของปลาหมอคางดำ เพื่อให้ปลาหมอคางดำ มีเนื้อสัมผัส, รสชาติ และ สารอาหารที่มีคุณประโยชน์ เทียบเท่ากับปลาแซลมอน แต่ยังคงความดุดันของปลาหมอคางดำไว้ ( แพร่พันธุ์ได้ไว, ทนทานได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม) ก็คงจะสามารถ ลดคำครหาให้กับปลาสายพันธุ์นี้ ได้อย่างไม่มากก็น้อย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.จักรพันธุ์ รัตนภูมิภิญโญ

ผู้เขียน : ดร.จักรพันธุ์ รัตนภูมิภิญโญ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News