Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มทร.ล้านนาเชียงรายยุติรับน้องถาวร ตั้งกรรมการสอบ “รุ่นพี่-ผู้กำกับดูแล”

มทร.ล้านนา เชียงราย ยุติรับน้องถาวร–ตั้งกก.สอบสวน “รุ่นพี่–ผู้กำกับดูแล” เดินหน้าปฏิรูปวัฒนธรรมสถาบัน หลังเหตุร้องเรียนพฤติกรรมรุนแรง

เชียงราย, 15 สิงหาคม 2568 — มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (มทร.) วิทยาเขตเชียงราย ประกาศ “ปิดฉาก” กิจกรรมรับน้องทุกรูปแบบอย่างถาวร พร้อมขยับยุทธศาสตร์จัดการเชิงระบบ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อร้องเรียนและพิจารณา “ความรับผิดชอบร่วม” ของบุคลากรผู้กำกับดูแล หลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์และข้อร้องเรียนอย่างเป็นทางการต่อ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เข้าข่ายใช้ความรุนแรง ข่มขู่ และนัดหมายทำกิจกรรมนอกเวลาของนักศึกษาบางกลุ่มในช่วงก่อนเปิดภาคการศึกษาใหม่ โดยฝั่งมหาวิทยาลัยตอกย้ำว่า “กรณีคลิป–ภาพ” ที่ถูกแชร์ซ้ำคือเหตุการณ์ก่อนประกาศงดรับน้อง และขณะนี้ได้เดินหน้ามาตรการเชิงวินัยและเชิงปฏิรูปควบคู่กัน

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงที่ต้องจับตา

  • 31 ก.ค. 2568: วันที่ประกาศงดรับน้องทุกรูปแบบ เผยแพร่ผ่านเพจทางการของวิทยาเขต และต่อมาถูกสื่อท้องถิ่นเผยแพร่ซ้ำ ยืนยันนโยบายยุติกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการละเมิดในคราวเดียว (หลักฐานตามลิงก์โพสต์ทางการ)
  • 8 ก.ค. 2568: วันเริ่มร้องเรียนผ่านช่องทาง สป.อว. ซึ่งเป็นระบบที่ประชาชน–นักศึกษาสามารถยื่นเรื่องออนไลน์และติดตามผลได้ (อ้างถึงหน้าช่องทางร้องเรียนอย่างเป็นทางการ)
  • พฤติกรรมที่ถูกเปิดโปง: บังคับวิดพื้นกำหมัด–หมอบ–คลาน–กลิ้ง วาจารุนแรง นัดกิจกรรมนอกเวลา–นอกสถานที่ ตามข้อมูลที่เพจภาคประชาชนเผยแพร่ในปีการศึกษา 2568 (ใช้เพื่อประกอบบริบททางสังคม–ไม่ใช่คำตัดสินทางกฎหมาย)

จากร้องเรียน 8 ก.ค. สู่คำสั่งยุติกิจกรรม 31 ก.ค.

เส้นเวลาที่ถูกจับตามองเริ่มจาก 8 กรกฎาคม 2568 เมื่อมีการร้องเรียนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของ สป.อว. ให้ตรวจสอบและยุติกิจกรรมรับน้องระบบโซตัสของ มทร.ล้านนา เชียงราย โดยระบุพฤติกรรมที่เข้าข่ายความรุนแรงและเกินขอบเขต ทั้งการบังคับให้ออกกำลังกายหนัก การใช้วาจารุนแรง และการนัดหมายทำกิจกรรมนอกเวลาและนอกสถานที่ ซึ่งเป็น “พื้นที่มืด” ที่ยากต่อการควบคุมตามระเบียบมหาวิทยาลัยช่องทางร้องเรียนของ สป.อว.

ก่อนหนังสือร้องเรียนจะมาถึงมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการ (1 ส.ค. 68) ผู้ปกครองและนักศึกษาบางส่วนได้เข้าพบผู้บริหารเมื่อ 29 ก.ค. 68 เพื่อแจ้งข้อกังวลคล้ายกัน จากนั้นใน 31 กรกฎาคม 2568 เวลา 16:14 น. มทร.ล้านนา เชียงราย ออกประกาศ งดจัดกิจกรรมรับน้องนักศึกษาใหม่ทุกรูปแบบ ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” โดยเผยแพร่ผ่านเพจทางการของวิทยาเขต และต่อมาถูกสื่อท้องถิ่นนำไปเผยแพร่ต่อเนื่อง ยืนยัน “ยุติทุกกิจกรรมรับน้อง” เพื่อป้องกันผลกระทบต่อนักศึกษา บุคลากร และภาพลักษณ์องค์กร พร้อมแจ้งให้ทุกหน่วย–ทุกคณะถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

แม้ประกาศดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้แล้ว กระนั้นเมื่อ 1 ส.ค. มหาวิทยาลัยได้รับหนังสือจาก สป.อว. พร้อมหลักฐานภาพถ่ายประกอบ ทำให้จำเป็นต้องตั้ง “คณะกรรมการสอบสวนและติดตามข้อร้องเรียน” ชุดที่สอง เพื่อทำความจริงให้กระจ่างในรายละเอียดเชิงพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้อง และเพื่อกำหนดมาตรการเชิงวินัย–เชิงระบบที่ครอบคลุมกว่าเดิม โดยการประชุมพิจารณาเกิดขึ้นใน 14 ส.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ฝ่ายบริหารชี้แจงภาพรวมต่อสาธารณะ

ภาพที่สังคมเห็น คลิป–ภาพพฤติกรรมที่ข้ามเส้น และแรงสั่นสะเทือนของ “โซตัส”

บนโซเชียลมีเดีย มีการเผยแพร่ภาพ–คำบรรยายถึงพฤติกรรมที่เข้าข่ายไม่เหมาะสม ทั้งการให้ “วิดพื้นด้วยกำหมัด”, บังคับให้ “หมอบ–คลาน–กลิ้ง” การตะคอกดุด่า ใช้วาจารุนแรง และกดดันให้น้องปี 1 ทำกิจกรรมที่ไม่อยู่ในกรอบเวลามหาวิทยาลัย ตลอดจนข้อกล่าวหาเรื่อง “บังคับดื่มสุรา” เพื่อ “ทดสอบความอดทน” สะท้อนวัฒนธรรมโซตัสในบางวงการที่ยังคงตีความ “ความผูกพัน” ด้วยวิธีการกดทับรุ่นน้องมากกว่าการโอบอุ้ม ซึ่งถูกสังคมตั้งคำถามอย่างกว้างขวางว่าถูกต้องตามยุคสมัยหรือไม่ มีเพจภาคประชาชนรวบรวมข้อมูลและภาพจากเหตุการณ์ที่อ้างว่าเกิดในปีการศึกษา 2568 ที่เชียงราย

ขณะเดียวกัน เว็บไซต์–เพจทางการของระบบรับนักศึกษาใหม่ของ มทร.ล้านนา ในส่วนกลาง ระบุแนวทางกิจกรรมปรับพื้นฐานเตรียมความพร้อมที่มีคำชี้แจงเชิงนโยบาย “รักน้องสร้างสรรค์ NoS NoL” ในบางวิทยาเขต สะท้อนทิศทางของมหาวิทยาลัยแม่ที่ต้องการกำกับกิจกรรมนิสิต–นักศึกษาให้อยู่ในกรอบที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ แต่การนำไปสู่การปฏิบัติในบางพื้นที่ยังมี “หลุม” ที่ต้องอุดให้สนิทด้วยมาตรการเชิงระบบ

มาตรการของมหาวิทยาลัยลงโทษเชิงวินัย ยุติรับน้องถาวรพร้อมชง “ความรับผิดชอบร่วม” ของผู้กำกับดูแล

มาตรการเชิงวินัยต่อผู้กระทำฝ่ายบริหารยืนยันว่ากลุ่มนักศึกษารุ่นพี่ที่เกี่ยวข้องถูก “ภาคทัณฑ์” และกำหนดทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ โดยจะมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมหลักเกณฑ์ประเมินผล หากคะแนนวินัย–บำเพ็ญประโยชน์ไม่ถึงเกณฑ์ 50% อาจนำไปสู่ “พักการเรียน” ตามระเบียบ ทั้งนี้ กรณีนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บสาหัส จึงยังไม่ถึงขั้น “ไล่ออก” อย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

คำสั่งเชิงระบบ: มหาวิทยาลัยประกาศ “ยุติกิจกรรมรับน้องถาวร” ทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้ชื่อใด–จัดที่ใด–เวลาใด เพื่อปิดช่องว่างการตีความ และจะทบทวนกิจกรรม “ประชุมเชียร์–แข่งขัน” ที่มักเป็นแรงกดให้มีการนัดซ้อมนอกเวลา ซึ่งเป็น “บันไดขั้นแรก” ไปสู่พฤติกรรมเกินขอบเขต (ยืนยันจากประกาศทางการ 31 ก.ค. 2568) ความรับผิดชอบร่วมของผู้กำกับดูแล: คณะกรรมการสอบสวนชุดที่สองกำลังพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่ เพราะระเบียบเดิมยัง “ไม่เจาะจง” วิธีลงโทษอาจารย์–บุคลากรกรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการฝ่าฝืน แม้มีสัญญาณเตือนมาก่อน มาตรการใหม่จึงมุ่ง “แบ่งความรับผิดชอบ” ให้ชัดเจนว่า เมื่อมีนโยบายของสถาบันแล้ว ผู้กำกับดูแลต้องถือปฏิบัติจริง มิใช่เพียงแจ้งเป็นพิธี แล้วปล่อยให้วัฒนธรรมรุ่นพี่–รุ่นน้อง “ขยายผลนอกเวลา” จนยากควบคุม

ช่องทางร้องเรียน–คุ้มครองผู้เสียหาย มหาวิทยาลัยย้ำช่องทางรับร้องเรียนโดยตรงถึงผู้บริหารและผู้ดูแลวินัย ผ่านเพจทางการ–แบบฟอร์มออนไลน์ โดยจำกัดผู้เห็นข้อมูลเพื่อคุ้มครองผู้ร้องเรียนและป้องกันการบูลลี่ ซ้ำเติม ทั้งยังสอดคล้องกับช่องทางของ สป.อว. ซึ่งเป็น “ทางด่วน” ระดับกระทรวงเพื่อเรื่องร้องเรียนด้านวินัย–ความปลอดภัยในสถาบันอุดมศึกษา

ใคร “ได้–เสีย” อะไรบ้าง มองให้ลึกกว่าข่าว

นักศึกษาใหม่–ผู้ปกครอง สิ่งที่ได้คือ “หลักประกันเชิงนโยบาย” ว่ากิจกรรมเซนซิทีฟถูกยุติอย่างเบ็ดเสร็จ ผู้ปกครองจึงตัดสินใจได้ด้วยข้อมูลที่ชัดขึ้น ขณะที่ผู้ได้รับผลกระทบเดิมควรเข้าถึงการฟื้นฟูด้านจิตใจ–การเรียน เช่น โอนย้ายสาขา–ย้ายคณะ หรือแม้แต่ย้ายวิทยาเขตในเครือหากจำเป็น โดยมี “มือกลาง” จากส่วนกลางคอยอำนวยความสะดวก

นักศึกษารุ่นพี่–กิจกรรมชมรม ฝั่งที่เห็นด้วยกับโซตัสเชิงวินัย เพื่อยอมรับว่าการปลูกฝังค่านิยม–ความเป็นพี่น้องทำได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง มหาวิทยาลัยควรเปิดพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ทดแทน เช่น โครงงานบริการสังคม Hackathon ทักษะอาชีพ หรือ Service Learning ที่ให้เครดิตพัฒนาความเป็นผู้นำอย่างเป็นรูปธรรม

มหาวิทยาลัย–บุคลากร ระยะสั้นอาจต้องเผชิญแรงเสียดทานจากศิษย์เก่าบางส่วน แต่ระยะยาวคือ “แบรนด์ความปลอดภัย” ที่แข็งแรงขึ้น การยืนบนมาตรฐานวินัย–ความปลอดภัยที่ตรวจสอบได้คือสินทรัพย์เชิงความเชื่อมั่นของสถาบัน

เสียงของผู้เกี่ยวข้อง โซตัส “สร้างคน” หรือ “ทำร้ายคน”

จากการสังเคราะห์ความคิดเห็นในพื้นที่สาธารณะ พบ “สองขั้ว” ที่ยืนคนละฟากต่อระบบโซตัส

  • ฝ่ายที่เห็นด้วยภายใต้กรอบ ชี้ว่าช่วยสร้างวินัย ความอดทน และความสามัคคี เชื่อมรุ่นพี่–รุ่นน้อง ลดอัตตา–เพิ่มความรับผิดชอบ แต่ยอมรับว่า “ต้องอยู่ในกรอบกติกา–ภายใต้การกำกับดูแลใกล้ชิด และไม่ละเมิดสิทธิ”
  • ฝ่ายคัดค้าน ย้ำว่าโซตัสที่ใช้ความกลัว–ความรุนแรง ล้าสมัย ไม่สอดคล้องโลกการทำงานจริง บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของสถาบัน และผลักนักศึกษาบางส่วนออกจากระบบการศึกษา

ข้อเท็จจริงสำคัญคือ มทร.ล้านนา เชียงราย เลือก “ตัดไฟต้นลม” ด้วยคำสั่งยุติรับน้องถาวร ลดพื้นที่ตีความ และโยกน้ำหนักการสร้างวัฒนธรรมองค์กรไปที่กิจกรรมเสริมสร้างคุณภาพ–ความปลอดภัยแทน (ยืนยันด้วยประกาศ 31 ก.ค.)

แกนหลักของการปฏิรูปนโยบาย–กระบวนการ–คน

นโยบายประกาศยุติรับน้องถาวร คือเส้นแดงที่ชัดเจน ลด “เขตเทา” ของกิจกรรมที่มักไหลลื่นออกนอกเวลา–นอกพื้นที่

กระบวนการ ระบบรับเรื่องร้องเรียนต้องเร็ว–ปลอดภัย–คุ้มครองผู้ร้อง โดยมี SLA กำกับเวลา และแดชบอร์ดความคืบหน้าแบบเปิดเผย (เท่าที่กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลอนุญาต) การทำงานประสานกับช่องทางของ สป.อว. จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันเชิงบวกให้เกิดผลลัพธ์จริง

คนพัฒนาบทบาท “Advisor–Mentor” ของอาจารย์ที่ดูแลกิจกรรม เปลี่ยนจาก “อนุญาตแบบเป็นพิธี” เป็น “กำกับแบบมีหลักฐาน” เช่น แผนกิจกรรมที่มี Risk Assessment, รายงานหลังจบกิจกรรม, และการสุ่มตรวจนอกเวลา หากพบฝ่าฝืนต้องมี “โครงสร้างโทษ” ที่ชัดสำหรับทั้งนักศึกษาและผู้กำกับดูแล

เช็คพอยต์สำหรับการติดตามผล (90–180 วัน)

  1. สรุปผลสอบสวน: เปิดเผยผลสอบในประเด็นข้อเท็จจริง–มาตรการวินัย–มาตรการป้องกันซ้ำ พร้อมเส้นเวลา
  2. คู่มือกิจกรรมนักศึกษาใหม่ฉบับยกเครื่อง: ระบุ “ห้าม–ได้–ต้อง” ชัดเจน พร้อมโทษ และกลไกติดตาม
  3. ระบบร้องเรียน–คุ้มครอง: วัดผลด้วยจำนวนเรื่อง–เวลาเฉลี่ยการปิดเรื่อง–ระดับความพึงพอใจของผู้ร้อง
  4. การสื่อสารแบรนด์ความปลอดภัยของสถาบัน: รายงานความก้าวหน้าเป็นระยะ เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้ปกครอง–นักศึกษาใหม่

จาก “ยุติรับน้อง” สู่ “วัฒนธรรมความปลอดภัยที่พิสูจน์ได้”

กรณี มทร.ล้านนา เชียงราย ชี้ชัดว่าการ “ประกาศยุติ” เพียงอย่างเดียวไม่พอ หากไม่ตามด้วย “ระบบรับผิดชอบร่วม” และ “กลไกบังคับใช้” ที่ทำงานจริง การตั้งคณะกรรมการสอบสวนรอบสอง–การกำหนดโทษเชิงวินัย–การออกแบบกิจกรรมสร้างสรรค์ทดแทน และการเชื่อมช่องทางร้องเรียนระดับมหาวิทยาลัย–ระดับกระทรวง คือสี่เสาหลักของการเปลี่ยนผ่าน

ท้ายที่สุด การปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่เรื่องวันเดียว แต่คือ “ระยะทาง” ที่ต้องเดินต่อเนื่อง สิ่งที่มหาวิทยาลัยทำในวันนี้—ยุติรับน้องถาวร–โยกน้ำหนักไปที่ความปลอดภัย–ความสมัครใจ–ความรับผิดชอบ—คือสัญญาณบวกต่อสังคมอุดมศึกษาไทย และคือคำตอบที่ผู้ปกครอง–นักศึกษา–ผู้เสียหาย ควรได้รับมาตั้งแต่แรกเริ่ม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ประกาศยุติรับน้อง มทร.ล้านนา เชียงราย (31 ก.ค. 2568) — โพสต์เพจทางการวิทยาเขต: ประกาศ… การงดจัดกิจกรรมรับน้องนักศึกษาใหม่”
  • บริบทข้อมูล–ภาพพฤติกรรมที่ถกเถียง — เพจภาคประชาชน “รับน้องสร้างสรรค์ระดับโคตรมหากาฬ” รวบรวมพฤติกรรมที่อ้างว่าเกิดขึ้นในปีการศึกษา 2568 ที่เชียงราย
  • ช่องทางร้องเรียน สป.อว. — เว็บไซต์สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม: หน้าระบบรับเรื่องร้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมพร รัตนเจริญชัย ในฐานะผู้บริหารวิทยาเขตเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

โครงการ “ลำไยไปแนวหน้า” ช่วยเกษตรกรเชียงรายระบายผลผลิต 2.3 ตันสู่ทหาร

เชียงราย “ลำไยไปแนวหน้า” ส่ง 2,300 กิโลกรัมเสริมขวัญทหารชายแดน–บรรเทาวิกฤตราคาตก ขับเคลื่อนความร่วมมือรัฐ–เอกชน–ชุมชน

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 – เช้าตรู่ที่อาคารคลังสินค้า ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย บรรยากาศคึกคักอย่างเป็นระเบียบ รถบรรทุกผลไม้ทยอยเข้าคิว เจ้าหน้าที่สนามบินตรวจเช็คบรรจุภัณฑ์ ขณะที่อาสาสมัครช่วยกันขนลำไยอย่างคล่องแคล่ว ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นตรงกลางลาน เพื่อเปิดภารกิจ “ลำไยไปแนวหน้า” โครงการที่ตั้งใจส่งลำไยคุณภาพจากเชียงรายกว่าสองตันครึ่งสู่กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อเติมแรงใจ และในขณะเดียวกันช่วยบรรเทาผลกระทบจาก “ลำไยล้นตลาด” ที่กำลังกดดันราคาหน้าสวนในภาคเหนืออยู่ในเวลานี้.

เวลา 08.00 น. นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ภายใต้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)) เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมของจังหวัดเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภารกิจครั้งนี้เป็น “ภาพจำใหม่” ที่ประกอบด้วยความห่วงใย ความร่วมมือ และความหวัง ว่าผลไม้หนึ่งลูกจะส่งต่อพลังใจได้ไกลกว่าที่คาดคิด และยังทำให้ผลผลิตของเกษตรกรถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า.

ภารกิจเชื่อม “แนวหลัง–แนวหน้า” เส้นทางลำไย 2,300 กิโลกรัมจากเชียงรายสู่แนวชายแดน

สาระสำคัญของปฏิบัติการนี้อยู่ที่ “ระบบขนส่งแบบบูรณาการ” ลำไยรวมประมาณ 2,300 กิโลกรัม ถูกบรรทุกขึ้นเครื่องสายการบินนกแอร์ เที่ยวบิน DD 101 เส้นทางเชียงราย–ดอนเมือง เวลา 09.20 น. ก่อนถ่ายต่อสู่เที่ยวบิน DD 324 ดอนเมือง–อุบลราชธานี เวลา 14.30 น. จากนั้นมอบให้ กองพลทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อนำไปกระจายต่อให้กำลังพลในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างทั่วถึง รายละเอียดเที่ยวบินและปริมาณผลผลิตได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวท้องถิ่นและสื่อกระแสหลักหลายสำนัก รวมถึงโพสต์ของสนามบินบนโซเชียลมีเดียด้วย.

นอกจากเส้นทางอากาศที่ “ต่อเดียวถึง” จุดหมาย โครงการยังสะท้อนกลไกประสานงานข้ามหน่วยงานที่ลงล็อกพอดี ตั้งแต่ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย, ตำรวจภูธรเมืองเชียงราย, สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย, หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35, ฝูงบิน 416 เชียงราย, สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย, ไปจนถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และภาคเอกชนในพื้นที่ ที่ช่วยกันสนับสนุนทรัพยากรและโลจิสติกส์เพื่อให้งานเดินหน้าได้จริง ไม่สะดุด

เพื่อความครบถ้วนเชิงข้อเท็จจริง ทีมข่าวได้ตรวจทานตารางเดินทางของเที่ยวบิน DD101 ในวันที่ 14 สิงหาคม พบว่ามีกำหนดออกจากเชียงรายเวลา 09.20 น. ตามฐานข้อมูลติดตามเที่ยวบินจากสนามบิน

บริบท “แนวหน้า” ทำไมกำลังใจจึงสำคัญยิ่งในห้วงเวลาเช่นนี้

คำถามที่หลายคนอาจสงสัยคือ เหตุใดจึงส่งตรงไปยังแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในเวลานี้? คำตอบอยู่ในบริบทความตึงเครียดที่ยังอ่อนไหว หลังเกิดเหตุทหารไทยบาดเจ็บจากกับระเบิดหลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ แม้สองประเทศจะมีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม แต่สถานการณ์ภาคสนามยังเปราะบาง เหตุการณ์บาดเจ็บล่าสุดในวันที่ 12 สิงหาคม ยิ่งสะท้อนความจำเป็นของการสนับสนุนกำลังพลในพื้นที่ปฏิบัติการต่อเนื่อง

รายงานจากสื่อต่างประเทศระบุว่า วันที่ 9 สิงหาคม มีทหารไทย 3 นายได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดตามแนวชายแดนฝั่งศรีสะเกษ ด้านกัมพูชาปฏิเสธการวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยชี้อาจเป็นซากจากความขัดแย้งในอดีต ขณะที่ฝ่ายไทยย้ำการเคารพอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดบุคคล (Ottawa Convention) สถานการณ์ดังกล่าวจึงต้องอาศัย “สมดุลระหว่างการคลี่คลายทางการทูต” กับ “การดูแลขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน” อย่างเท่าเทียมกัน.

บริบท “แนวหลัง” วิกฤตราคาลำไยและโจทย์ใหญ่ของชาวสวนภาคเหนือ

ขณะเดียวกัน ความเดือนร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกำลังปะทุ ผลผลิตปี 2568 สูงกว่า 1.06 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ กระทรวงพาณิชย์จึงตั้งเป้าระบายผลผลิต 9.5 แสนตัน ผ่าน 8 มาตรการเร่งด่วน ทั้งการกระตุ้นบริโภคในประเทศ การส่งออก และการแปรรูป พร้อมตั้ง “วอร์รูม” ติดตามสถานการณ์แบบใกล้ชิดเพื่อพยุงราคา ไม่ให้ตกต่ำจนกระทบฐานรายได้ครัวเรือนในวงกว้าง.

ภาพราคาหน้าสวนในหลายพื้นที่ยังผันผวนอย่างมาก มีรายงานต่อเนื่องว่าราคาในระดับ AA/A ลดลงรวดเร็ว สวนจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องเร่งระบายหรือยอมขาดทุนเพื่อรักษาสภาพเงินสดสำหรับฤดูกาลถัดไป ขณะที่บทวิเคราะห์เชิงสังคมชี้ว่า วิกฤตราคาลำไยปีนี้กระทบครัวเรือนเกษตรกรจำนวนมาก และอาจทำให้รายได้รวมภาคครัวเรือนลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่สามารถเร่งเครื่องมือระบายผลผลิตได้ทัน

ภายใต้แรงกดดันด้านอุปทานและราคา “ลำไยไปแนวหน้า” จึงทำหน้าที่เป็น “วาล์วระบาย” ขนาดย่อมที่จับต้องได้ ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงปริมาณ เพราะทุกกิโลกรัมที่ถูกซื้อจากชาวสวนและเคลื่อนย้ายอย่างเป็นระบบ คือยอดที่หักออกจากสต็อกส่วนเกิน ขณะเดียวกันยังสร้างเรื่องเล่าบวกต่อผลผลิตภาคเหนือ ซึ่งช่วยหนุนความต้องการบริโภคภายในประเทศในช่วงเวลาสำคัญของฤดูกาล

สามเหลี่ยมความร่วมมือ” ที่ทำให้ของถึงมือผู้รับจริง

ความสำเร็จของการส่งมอบครั้งนี้เกิดจาก “สามเหลี่ยมความร่วมมือ” ที่คล้องจองกันพอดี

  1. กลไกสนามบินและสายการบิน – สนามบินทำหน้าที่เป็น “ตัวคูณประสิทธิภาพ” ให้โลจิสติกส์ระยะไกลเกิดขึ้นจริงในเวลาอันสั้น เที่ยวบินพาณิชย์ที่ประสานกับภารกิจสาธารณะ ช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงด้านเวลาอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลเที่ยวบินที่เชื่อถือได้ช่วยยืนยันความตรงต่อเวลาตามมาตรฐานการบินพาณิชย์
  2. ข้อต่อระหว่างจังหวัด–ชายแดน – เมื่อของถึงอุบลราชธานี การเชื่อมต่อกับ กองพลทหารราบที่ 6 ทำให้การกระจายต่อไปยังแนวชายแดนดำเนินไปอย่างปลอดภัยและมีวินัย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่หลายโครงการสาธารณะมักสะดุด หากขาดผู้รับผิดชอบปลายทางที่ชัดเจนและมีศักยภาพ
  3. ชุมชน–ผู้ประกอบการท้องถิ่น – ร้านอาหาร โรงแรม สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว และภาคประชาชน ทำให้ “คนตัวเล็ก” กลายเป็นกำลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในรูปแบบเงินสมทบ แรงงานอาสา และการรณรงค์สื่อสาร ช่วยให้โครงการไม่เป็นเพียงข่าวประชาสัมพันธ์ หากแต่เป็นการลงมือจริงที่มีผลลัพธ์วัดได้

จาก “กิโลกรัม” สู่ “ผลกระทบ”

  • 2,300 กิโลกรัม คือปริมาณลำไยที่เดินทางจากเชียงรายสู่แนวหน้าในรอบนี้ หากประเมินอัตราเฉลี่ยการบริโภคของกำลังพลต่อวัน จะเท่ากับเสบียงผลไม้สดได้หลายพันเสิร์ฟ ซึ่งมีความหมายมากในสภาพแวดล้อมปฏิบัติการ
  • 1.06 ล้านตัน คือผลผลิตลำไยทั้งฤดูกาลปี 2568 (รวม 8 จังหวัดภาคเหนือ) ตัวเลขนี้อธิบายแรงกดดันด้านอุปทานที่ทำให้ราคาตลาดอ่อนแรง
  • 950,000 ตัน คือเป้าระบายผลผลิตของกระทรวงพาณิชย์ผ่าน 8 มาตรการ ซึ่งเป็นเป้าหมายเชิงนโยบายที่ต้องติดตามว่าเดินหน้าได้ตามแผนเพียงใด เมื่อฤดูกาลเข้าสู่ช่วงพีก
  • หลายเหตุการณ์ด้านความมั่นคง บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นบริบทที่อ่อนไหว และความจำเป็นในการดูแลขวัญกำลังใจแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง

เสียงจากพื้นที่ เมื่อ “ขวัญกำลังใจ” พบ “ราคาที่ยุติธรรม”

แหล่งข่าวจากฝ่ายจัดกิจกรรมอธิบายตรงกันว่า ภารกิจนี้มีสองเป้าในหนึ่งครั้ง คือ ยกขวัญกำลังใจทหาร และ ช่วยเกษตรกรขายผลผลิตคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม การคัดเกรดและบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานช่วยให้ผลไม้ถึงมือผู้รับสภาพดี สอดคล้องกับภารกิจด้านความปลอดภัยของหน่วยทหารที่ต้องคุมคุณภาพเสบียงอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ โครงการย้ำ “ความสมัครใจ” ของผู้ร่วมสมทบ และใช้โครงสร้างโลจิสติกส์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดภาระงบประมาณสาธารณะ.

ในเชิงนโยบาย ภารกิจสอดรับยุทธศาสตร์ “ระบายผลผลิต–สร้างการรับรู้” ที่กระทรวงพาณิชย์ผลักดันอยู่แล้ว การส่งของจริงถึงมือผู้รับช่วยสร้าง “เรื่องเล่าบวก” ต่อผลไม้ภาคเหนือ ควบคู่กับแคมเปญตลาดดิจิทัลและห้างค้าปลีก จึงเกิดอานิสงส์ด้านดีมานด์ในประเทศที่ชัดเจนยิ่งขึ้น.

เชื่อมโยงมาตรการรัฐ จาก “วอร์รูม” ถึง “การแปรรูป”

เมื่อมองภาพรวมระดับชาติ มาตรการ 8 ข้อของกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่การจับคู่ซื้อกับค้าปลีก การขยายตลาดส่งออก ไปจนถึงการหนุนแปรรูปและอบแห้ง รวมทั้งตั้ง “วอร์รูม” เฝ้าระวังรายวัน คือเฟืองหลักของเครื่องยนต์นโยบาย การมีโครงการในพื้นที่อย่าง “ลำไยไปแนวหน้า” จึงทำหน้าที่เป็น ฟันเฟืองหน้างาน ที่ช่วยหมุนเครื่องให้ติดในระดับชุมชน ผลที่ตามมาคือ สต็อกส่วนเกินในจังหวัดต้นทางลดลงทีละก้อน เกษตรกรได้ราคาตามตลาดที่ยุติธรรมขึ้น และเกิดการรับรู้เชิงบวกระหว่างผู้บริโภคกับผลไม้ไทย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องติดตามคือ ความต่อเนื่อง หากภารกิจเช่นนี้ทำได้สม่ำเสมอและครอบคลุมหลายจังหวัด แรงสะเทือนเชิงบวกต่อราคาและรายได้ครัวเรือนจะชัดเจนขึ้น สอดคล้องกับข้อเสนอเชิงระบบของนักวิชาการที่ชี้ว่า “เครื่องมือระบาย” ต้องวิ่งทันฤดูกาล ไม่ใช่ตามหลังภัยราคา

ตรวจสอบข้อเท็จจริง–ลดข่าวลวงบทเรียนจากสถานการณ์ชายแดน

ท่ามกลางกระแสข้อมูลบนโซเชียลที่เคลื่อนไหวเร็ว ศูนย์ตรวจข้อเท็จจริงภาครัฐเตือนประชาชนแยกแยะข่าวปลอมเกี่ยวกับปฏิบัติการตามแนวชายแดน โดยย้ำให้ติดตามประกาศทางการและสื่อกระแสหลักที่ตรวจสอบแหล่งข่าวได้ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญของสังคมดิจิทัลในห้วงสถานการณ์อ่อนไหว ความถูกต้องของข้อมูลคือฐานความเชื่อมั่นที่จะช่วยป้องกันความตื่นตระหนก และหนุนความร่วมมือของสังคมให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน.

เมื่อ “ผลไม้หนึ่งลูก” เชื่อมคนไทยจากเชียงรายถึงด่านหน้า

ภารกิจ “ลำไยไปแนวหน้า” ของเชียงรายวันนี้แสดงพลังของ การลงมือทำ ในยามที่ประเทศต้องการทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนโยน มันคือภาพของระบบราชการที่คล่องตัว เอกชนที่ร่วมแรง และชุมชนที่ไม่ทอดทิ้งกัน ผลไม้หนึ่งลูกจึงเป็นมากกว่าอาหาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์ที่ยาวไกลจากแนวหลังสู่แนวหน้า

คำถามต่อไปคือ เราจะต่อยอดอย่างไรให้เกิด ผลยั่งยืน? คำตอบเบื้องต้นชัดเจน: ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างโปร่งใส ทำให้วัดผลได้ และทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง หากทำได้ โครงการขนาดย่อมเช่นนี้จะไม่ใช่เพียง “ข่าวดีประจำวัน” แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือบริหารจัดการผลผลิตการเกษตรและการดูแลขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ประเทศต้องพึ่งพาในยามวิกฤต

ท้ายที่สุด แม้สถานการณ์ชายแดนยังต้องอาศัยกระบวนการทางการทูตและความร่วมมือระดับรัฐชาติ แต่การมี “หลังบ้านที่มั่นคง” ก็สำคัญไม่แพ้กัน และวันนี้ เชียงรายได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เมืองหนึ่งเมือง เมื่อเชื่อมคนและทรัพยากรเข้าด้วยกัน ก็สามารถส่งพลังใจไปได้ไกลกว่าที่คิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  •  Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport (CEI): โพสต์ประชาสัมพันธ์งานและเวลาเที่ยวบิน DD101 วันที่ 14 ส.ค. 2568.
  • Trip.com Flight Status: สถานะเที่ยวบินนกแอร์ DD101 เชียงราย–ดอนเมือง เวลาออก 09.20 น. วันที่ 14 ส.ค.
  • The Associated Press (AP): ข่าวเหตุกับระเบิดบาดเจ็บทหารไทยบริเวณชายแดน – บริบทความตึงเครียดล่าสุด
  • Reuters: ข่าวเหตุกับระเบิด 12 ส.ค. ใกล้พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ – สภาวะแนวชายแดนที่ยังเปราะบาง
  • The Guardian: รายงานกรณีบาดเจ็บ 9 ส.ค. และภาพรวมข้อตกลงหยุดยิงปลายก.ค. – เสริมกรอบบริบทระหว่างประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายส่งสตรีดีเด่นสองท่านรับโล่เกียรติยศเวทีชาติ ตอกย้ำพลังสตรีท้องถิ่น

เชียงรายนำ 2 สตรีดีเด่นรับโล่ระดับประเทศ ตอกย้ำ “พลังสตรีไทย” ขับเคลื่อนชุมชนสู่ความยั่งยืน

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 กระทรวงมหาดไทยจัดพิธีมอบ “รางวัลสตรีดีเด่นการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2568” ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี และมอบรางวัลรวม 152 รายชื่อ พร้อมผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนเข้าร่วม

เวทีที่สะท้อนแรงบันดาลใจของผู้หญิงทำงานเพื่อชุมชน

แสงไฟสว่างไสวในฮอลล์อิมแพ็คคลี่ม่านขึ้นพร้อมเสียงปรบมือแน่นขนัด ตัวแทนสตรีจากทุกภูมิภาคก้าวขึ้นสู่เวทีด้วยความภาคภูมิ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยยืนรอต้อนรับพร้อมมอบโล่เกียรติยศทีละราย ชื่อถูกประกาศสลับกับเสียงชื่นชมจากเพื่อนร่วมเครือข่าย “พลังสตรี” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำ แต่คือสิ่งที่ทุกคนในห้องพิสูจน์ผ่านการลงมือทำจริงในหมู่บ้าน ตำบล และจังหวัดของตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ในงานเดียวกัน เครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาสตรี 76 จังหวัดเข้าร่วมประชุมถอดบทเรียนความสำเร็จ รวบรวมกรณีศึกษาจากพื้นที่ นำเสนอแนวทางต่อยอดนโยบายให้เกิดผลจริงระดับครัวเรือนและชุมชน ตัวเลขผู้เข้าร่วมกว่า 300 คนสะท้อนพลังเครือข่ายที่จับต้องได้ ไม่ใช่งานพิธีการที่จบเพียงวันเดียว

รางวัลนี้คืออะไร และเชื่อมโยงกับประชาชนอย่างไร

“สตรีดีเด่นการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวงมหาดไทย” เป็นการเชิดชูสตรีผู้ทำงานขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในมิติต่าง ๆ ตั้งแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ยกระดับรายได้ครัวเรือน ส่งเสริมอาชีพ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ไปจนถึงการจัดการสวัสดิการชุมชน รางวัลสะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต้องอาศัยคนทำงานหน้างาน โดยเฉพาะเครือข่ายสตรี ซึ่งเป็นแรงขับสำคัญของนโยบายด้านชุมชนของกระทรวงมหาดไทยและกรมการพัฒนาชุมชน.

ในพิธีมอบรางวัลปีนี้ ผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชนเข้าร่วมครบถ้วน พร้อมย้ำบทบาทสตรีในฐานะ “ภาคีร่วมพัฒนา” ที่เชื่อมรัฐกับชุมชน และเป็นแรงหลักในการนำโครงการลงสู่ครัวเรือนได้จริง ตั้งแต่ OTOP, กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี, ไปจนถึงโครงการพัฒนาศักยภาพอาชีพและเศรษฐกิจฐานราก.

เชียงรายบนเวทีประเทศ 2 รายชื่อ 2 พื้นที่ 1 ความภาคภูมิ

สำหรับจังหวัดเชียงราย นำโดย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดเชียงราย เชียงรายส่งตัวแทนสตรีดีเด่นสองท่านขึ้นรับโล่เกียรติยศ ได้แก่

  • นางแว่นแก้ว ภิรมย์พลัด ตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
  • นางนงลักษณ์ เทพทองพันธ์ ตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย

ทั้งสองรายชื่อได้รับการประกาศยืนยันจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 และปรากฏตัวในเวทีระดับประเทศช่วงสัปดาห์งานดังกล่าว นี่ไม่ใช่เพียงความสำเร็จของบุคคล แต่เป็นความภูมิใจของชุมชนและทีมคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดที่ร่วมผลักดันโครงการต่อเนื่อง.

กลไกที่ทำให้ “พลังสตรี” ขับเคลื่อนได้จริง

หัวใจของรางวัลนี้อยู่ที่โครงสร้างการมีส่วนร่วมของ คณะกรรมการพัฒนาสตรี (กพส.) ซึ่งตั้งได้ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงจังหวัด ทำงานเชื่อมการรับรู้ปัญหาในพื้นที่กับการออกแบบโครงการและการเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ ระเบียบและแนวทางปฏิบัติที่วางไว้ทำให้เครือข่ายสตรีเติบโตอย่างเป็นระบบและมีบทบาทกำกับการพัฒนาท้องถิ่นร่วมกับหน่วยงานรัฐ

อีกกลไกสำคัญคือ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งทุนหมุนเวียนและเงินสนับสนุน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของสมาชิก โดยมีเครือข่ายสมาชิกในทุกจังหวัด และมีการขับเคลื่อนต่อเนื่องผ่านเวทีระดับชาติและระดับจังหวัด ตัวเลขสมาชิกและผู้ได้รับประโยชน์จำนวนมากจากคำแถลงของรัฐบาลสะท้อนขนาดและความครอบคลุมของนโยบายเชิงโครงสร้างนี้

ภาพใหญ่ระดับชาติ สถิติเพศภาวะและแรงงาน

เมื่อนำรางวัลไปวางไว้ในบริบทระดับประเทศ ภาพรวมความก้าวหน้าของไทยด้านความเสมอภาคระหว่างเพศยังต้องเดินหน้าต่อ รายงาน Global Gender Gap 2025 ระบุไทยอยู่ในอันดับที่ 66 ของโลก และอันดับ 3 ในอาเซียน สะท้อนความก้าวหน้าบางมิติ แต่ยังมี “ช่องว่าง” ให้ขยายบทบาทสตรีทั้งในเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

ในตลาดแรงงาน ข้อมูล สำนักงานสถิติแห่งชาติ ไตรมาส 1/2568 ชี้ให้เห็นแนวโน้มการมีงานทำและกำลังแรงงานที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่สัดส่วนสตรีในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางและสูงของไทยอยู่ราว 34.7% ตามฐานข้อมูล World Bank ตัวเลขดังกล่าวชี้ถึงโอกาสและภารกิจต่อเนื่องในการเพิ่มจำนวนสตรีในบทบาทตัดสินใจ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG 5.5

ทำไม “รางวัลเชิดชูสตรี” จึงมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานราก

การยกระดับบทบาทสตรีในชุมชนไม่ได้หยุดที่เวทีรับรางวัล แต่ส่งผลเชื่อมโยงกับรายได้ครัวเรือน โอกาสการจ้างงาน และศักยภาพการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ชุมชน ตั้งแต่การยกระดับ OTOP ผ่านมาตรฐานและบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชน กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทำงานประสานเพื่อ “ต่อท่อน้ำเลี้ยง” เข้าสู่โครงการจริง และกำกับติดตามผ่านระบบข้อมูลของกรมการพัฒนาชุมชน.

เชียงรายเองมีกรณีศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเวทีคัดเลือกครัวเรือนสัมมาชีพดีเด่น การพัฒนาทักษะดิจิทัลของผู้ประกอบการ และการนำเสนอผลงานต่อผู้กำหนดนโยบายระดับชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้ “เวทีระดับประเทศ” ไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็นจุดเริ่มของรอบการทำงานใหม่ ๆ ที่ขยายผลสู่คนในพื้นที่.

น้ำเสียงจากผู้กำหนดนโยบาย ข้อความที่ส่งถึงพื้นที่

สารหลักที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยส่งถึงเครือข่ายสตรีคือ “สนับสนุนพลังสตรีให้ขับเคลื่อนสิ่งที่ดีงามเพื่อความยั่งยืนของประเทศ” พร้อมย้ำบทบาทกรมการพัฒนาชุมชนในการเป็น “ตัวเร่ง” ให้เกิดโครงการที่มีผลจริงในพื้นที่ ข้อความดังกล่าวสะท้อนแนวทางที่ให้ความสำคัญกับ คนหน้างาน มากกว่างานเชิงเอกสาร และยืนยันการบูรณาการระหว่างนโยบายระดับชาติกับงานระดับตำบล

ในมิติการสื่อสารสาธารณะ พรรคการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น และสื่อกระแสหลักหลายสำนักร่วมรายงานข่าวและเผยแพร่สารจากเวทีนี้ ช่วยเพิ่มการรับรู้และแรงจูงใจให้เครือข่ายสตรีในจังหวัดต่าง ๆ กลับไป “ทำงานต่อ” ด้วยพลังที่มากขึ้น.

จากรางวัลสู่การเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่อง

พิธีมอบรางวัลสตรีดีเด่นปีนี้ไม่ใช่ภาพจำเฉพาะหน้าเวที แต่คือ “จุดนัด” ของคนทำงานชุมชนที่กำลังผลักดันเศรษฐกิจฐานรากและสวัสดิการสังคมให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน เชียงรายมีชื่อสองสตรีดีเด่นขึ้นเวทีระดับชาติ ท่ามกลางเครือข่าย 76 จังหวัดที่กำลังขยายผลนโยบายจากส่วนกลางสู่ครัวเรือน ความสำเร็จนี้ยืนอยู่บนกลไก กพส. และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าช่วยต่อยอดโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสอดคล้องกับสัญญาณเชิงข้อมูลจากรายงานสากลและสถิติแรงงานไทย

เส้นทางข้างหน้าจึงชัดเจนขึ้น: ทำให้ “พลังสตรี” เคลื่อนต่อด้วยเป้าหมายที่วัดผลได้ สนับสนุนทักษะจำเป็นในตลาดจริง เพิ่มบทบาทผู้หญิงในตำแหน่งตัดสินใจ และบริหารทรัพยากรอย่างโปร่งใส หากทำได้ต่อเนื่อง รางวัลในวันนี้จะกลายเป็น “ทุนทางสังคม” ที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจฐานรากเติบโต และความเสมอภาคทางเพศเดินหน้าไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี: ข่าว “ธีรรัตน์ มอบรางวัลสตรีผู้ขับเคลื่อนงานบำบัดทุกข์ บำรุงสุขดีเด่น” (14 ส.ค. 2568). Thai Government
  • สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลระเบียบ–โครงสร้าง กพส.: กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (เอกสารระเบียบคณะกรรมการพัฒนาสตรี). Department of Land Affaires
  • กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี: เว็บไซต์กลางและข่าวรัฐบาลเกี่ยวกับจำนวนสมาชิกและการดำเนินงาน. womenfund.in.thThai Government
  • รายงาน Global Gender Gap 2025: เอกสารของ World Economic Forum และบทความสรุปข้อมูลโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย/Nation. World Economic Forum ReportsChulalongkorn Universitynationthailand
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ: สำรวจภาวะการทำงานของประชากร ไตรมาส 1/2568. National Statistical Office
  • World Bank Gender Data Portal: Female share of employment in senior and middle management (%), Thailand 2023.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เชียงรายจ่อเจ้าภาพ Spartan World Championships 3 ปี เปิดเกมยกระดับเมือง

เชียงรายสู่เวทีโลก เดินหน้าชิงเจ้าภาพ Spartan Super 2026–2028

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 – เชียงรายยกระดับสู่เมืองกีฬา จังหวัดเดินหน้าชิงสิทธิ์เจ้าภาพ Spartan Super World Championships ต่อเนื่องสามปี หน่วยงานรัฐจัดประชุมเตรียมความพร้อมอย่างเป็นทางการเมื่อ 13 สิงหาคม วัตถุประสงค์คือจัดทำข้อเสนอเมืองเจ้าภาพที่ครบถ้วนเอกชนและเครือข่ายท้องถิ่นร่วมกำหนดทิศทางร่วมกัน

ภาพรวมสถานการณ์ล่าสุดของ Spartan ในไทย

ปี 2568 ไทยจัดซีรีส์ Spartan ระดับประเทศเต็มรูปแบบกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแถลงร่วมกับผู้จัดลิขสิทธิ์ งานดังกล่าวถือเป็นเทศกาลวิ่งวิบากระดับโลกในไทยเป้าหมายคือยกระดับกีฬาและการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม

รัฐบาลประเมินผลเชิงเศรษฐกิจไว้ชัดเจนการจัดซีรีส์ปี 2568 คาดดึงนักกีฬากว่า 60 ประเทศ มูลค่ากระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 1,500 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนศักยภาพของกิจกรรมระดับนานาชาติ

สนามแรกปี 2568 จัดที่หัวหินสำเร็จด้วยดี ผู้จัดลิขสิทธิ์ไทยเข้าร่วมดูแลงานอย่างใกล้ชิด สื่อมวลชนไทยรายงานภาพรวมการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โมเมนตัมจึงเกิดขึ้นทั้งในเชิงกีฬาและการท่องเที่ยว

คำถามใหญ่ เชียงราย “ได้สิทธิ์แล้ว” หรือยัง

วันนี้ยังไม่มีประกาศ “ยืนยัน” จาก Spartan Global เว็บไซต์ชิงแชมป์โลกของ Spartan แสดงกำหนดการถึงปี 2025 รายการ 10K Super World Champs ปี 2025 จัดที่ Mammoth, แคลิฟอร์เนีย ยังไม่ระบุเจ้าภาพ Super ปี 2026–2028 บนเว็บไซต์หลัก spartan.com

เพจ Find a Race ของ Spartan ระบุรายการ 2025 ชัดเจน รวมถึงหน้ารวมกิจกรรมที่อัปเดตเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบหน้าประกาศ Super Worlds ปี 2026 นักอ่านจึงควรติดตามประกาศอย่างเป็นทางการต่อเนื่อง

ด้านการแข่งขันระดับโลกปี 2026 มีข้อมูลสำคัญ Spartan ขึ้นหน้าอีเวนต์ Morzine Ultra World Championship 2026 กำหนดจัด 3–5 กรกฎาคม ที่มอรซีน ฝรั่งเศส ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนกลยุทธ์กระจายปลายทางการแข่งขัน

ขณะเดียวกัน โพสต์โซเชียลของ Spartan ระบุอีกข้อมูลหนึ่ง คลิปอินสตาแกรมสื่อสารว่า Ultra Worlds 2026 ไป Big Bear วันที่ 16–17 พฤษภาคมตามที่โพสต์เผยแพร่ประเด็นนี้ชี้ว่ากำหนดการอาจยังปรับได้ จึงต้องอ้างอิงประกาศสุดท้ายจากเว็บไซต์ทางการ

สรุปสถานะล่าสุดของ “เชียงรายปี 2026–2028” จังหวัดอยู่ในขั้นเดินหน้า “เสนอตัวและเตรียมพร้อม” หลายหน่วยงานประชุมเพื่อทำแผนเจ้าภาพสามปีแต่ยัง “ไม่ใช่” การประกาศสิทธิ์อย่างเป็นทางการจาก Spartan

2022 Spartan World Championship Recap Webster Becomes First Four-Time World Champion, Atkins Dethroned

ทำไม “เชียงราย” จึงมีโอกาสสูง

เชียงรายมีภูมิประเทศหลากหลายและท้าทายภูเขา ป่า แม่น้ำ เอื้อต่อสนาม OCR มาตรฐานโลก นักกีฬาได้เจอทั้งสภาพทางชันและด่านธรรมชาติ เมืองมีสนามบินนานาชาติและที่พักพร้อมรองรับข้อมูลนี้หนุนภาพเมืองกีฬาปลายทางอย่างชัดเจน

ไทยยังมีประสบการณ์จัดสนามหลายพื้นที่หัวหินเปิดซีซันปี 2568 ด้วยความสำเร็จ ขยายต่อที่เขาใหญ่และเชียงใหม่ในแผนงานปีนี้ ระบบจัดการอีเวนต์และอาสาสมัครพัฒนาอย่างต่อเนื่องฐานแฟนและนักกีฬาก็เพิ่มขึ้นทุกฤดูกาล

นอกจากนี้ ไทยมีกรณีศึกษาด้านอีเวนต์กีฬาแล้ว หน่วยงานไมซ์ชี้ตัวอย่างงานระดับนานาชาติหลายรายการ ระบบออดิทผลกระทบทางเศรษฐกิจเริ่มเป็นระบบ ความสามารถเช่นนี้สนับสนุนการยื่นข้อเสนอเชียงราย เมืองจึงพร้อมยกระดับมาตรฐานการจัดงาน

โครงสร้างสิทธิ์ชิงแชมป์โลกของ Spartan

Spartan จัดชิงแชมป์ตามประเภทระยะและรูปแบบ ปี 2025 มีชุดชิงแชมป์ครบทั้ง Ultra, Trifecta, Super รายการ 10K Super World Champs 2025 อยู่ที่ Mammothต่อด้วย 100M World Champs ในสัปดาห์ถัดไปปฏิทินแสดงโครงสร้างเวิลด์ซีรีส์ที่ชัดเจน

เว็บไซต์อีเวนต์ของ Morzine ยังตอกย้ำอีกมุมงานปี 2026 ระบุ Ultra Worlds และ Trifecta Weekend ปลายทางยุโรปรับช่วงจากปี 2025 อย่างต่อเนื่องรูปแบบนี้สะท้อนแนวคิดโรเตชันของปลายทางเมืองเจ้าภาพหมุนเปลี่ยนเพื่อขยายฐานนักกีฬา

ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่ “จับต้องได้”

ตัวเลขจากรัฐบาลไทยระบุภาพรวมชัดเจนซีรีส์ปี 2568 คาดเม็ดเงิน 1,500 ล้านบาท นักกีฬาต่างชาติเดินทางเข้าร่วมจำนวนมากโรงแรมและบริการท่องเที่ยวได้รับอานิสงส์ทันทีตัวเลขนี้เป็นฐานอ้างอิงที่มีนัยต่อเชียงราย

เมื่อโยงกับโครงสร้างเมืองเชียงราย รายได้กระจายสู่ที่พัก ร้านอาหาร และชุมชน ผู้ประกอบการท้องถิ่นรับโอกาสจากอุปสงค์ใหม่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬาเติบโตต่อเนื่อง เมืองจึงได้ทั้งชื่อเสียงและรายได้ยั่งยืน

จาก “สนามภาคเหนือ” สู่ “เจ้าภาพโลก”

ไทยเริ่มสะสมประสบการณ์จากหลายเมืองหัวหินสร้างความเชื่อมั่นด้านออแกไนซ์ เขาใหญ่เพิ่มมิติสนามภูเขาอย่างเข้มข้น. เชียงใหม่เตรียมจัด Trifecta ปลายปี 2568 ภาคเหนือจึงถูกจับตาในฐานะภูมิภาคศักยภาพ

เชียงรายก้าวตามด้วยแผนเสนอสิทธิ์หลายปีทีมจังหวัดทำการบ้านตามกรอบสากลใช้วิธีประเมินพื้นที่และโครงสร้างรองรับวางผังสนามท้าทายแต่ปลอดภัยตามมาตรฐาน ร่วมมือเอกชนและชุมชนอย่างเป็นระบบ

สตอรี่จึงค่อยๆ พาไปสู่แกนหลักเมืองพร้อมทั้ง “สถานที่จริง” และ “ทีมงานจริง”เป้าคือมาตรฐานระดับโลกที่ตรวจสอบได้เมืองต้องผ่านเงื่อนไขด้านความปลอดภัยเข้มงวดและต้องบริหารประสบการณ์ผู้ชมได้ราบรื่น

ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

กำหนดการชิงแชมป์โลกปี 2026–2028. Spartan มีสิทธิ์ปรับประเภทและปลายทางผู้เกี่ยวข้องต้องอ้างอิงประกาศบนเว็บไซต์หลักสื่อโซเชียลอาจเป็นเพียงการสื่อสารเบื้องต้น การตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่ Spartan Globalกระบวนการเสนอสิทธิ์ของเชียงรายจังหวัดเผยภาพรวมการประชุมเตรียมพร้อมแล้ว ต้องจัดทำข้อเสนอด้านความปลอดภัยและโลจิสติกส์. ต้องมีแผนบริหารสิ่งแวดล้อมและมรดกท้องถิ่น และต้องสะท้อนผลประโยชน์สู่ชุมชนตัวชี้วัดผลกระทบทางเศรษฐกิจไทยมีกรอบประเมินของหน่วยงานไมซ์อยู่แล้วข้อมูลการออดิทช่วยยืนยันความคุ้มค่า เมืองควรตั้ง KPI ด้านรายได้และการจ้างงานรวมถึงความพึงพอใจของนักกีฬาและผู้ชม

ข้อเสนอเชิงนโยบายและปฏิบัติการ

เชื่อมแบรนด์เมืองกับแบรนด์รายการ สร้างธีม “Chiang Rai Sport Destination” ผสานวัฒนธรรมท้องถิ่นกับดีไซน์สนามสร้างเอกลักษณ์ที่จดจำได้ในทันที.

บริหารฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างชาญฉลาดวางวันแข่งให้สอดรับฤดูกาลกระจายกิจกรรมสู่ชุมชนโดยรอบทำแพ็กเกจท่องเที่ยวที่เชื่อมหลายอำเภอ

ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอัพเดตโปรโตคอลด้านการแพทย์และกู้ภัยซ้อมแผนร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ใช้เทคโนโลยีติดตามนักกีฬาที่โปร่งใส.

สร้างคนและอาสาสมัครท้องถิ่นเปิดคอร์สอบรมตามมาตรฐานผู้จัดระดับโลกพัฒนาเส้นทางอาชีพด้านอีเวนต์กีฬา. ต่อท่อบุคลากรสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว

สื่อสารเชิงข้อมูลแบบเรียลไทม์ตั้งศูนย์ข้อมูลสาธารณะหลายภาษาอัปเดตเส้นทางจราจรและบริการขนส่ง เปิดแดชบอร์ดสถิติผู้ร่วมงานแบบโปร่งใส

บทสรุป

เชียงรายกำลัง “สตาร์ตเครื่อง” สู่เจ้าภาพโลก. เมืองแสดงความพร้อมทั้งภูมิประเทศและระบบรองรับ. การประชุมล่าสุดยืนยันความตั้งใจของจังหวัดแต่การได้สิทธิ์ยังรอประกาศทางการของ Spartan ดังนั้น การสื่อสารต้องเที่ยงตรงและตรวจสอบได้

หากเชียงรายได้สิทธิ์สามปีจริงเมืองจะยกระดับสู่ปลายทางกีฬาในเอเชีย เศรษฐกิจท้องถิ่นจะได้รับผลเชิงบวกชัดเจน. ชุมชนจะได้ส่วนแบ่งโอกาสจากนักท่องเที่ยวคุณภาพ. และประเทศไทยจะเด่นชัดในแผนที่กีฬาโลก.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. ข่าวเปิดตัว Spartan Race Thailand 2025. Royal Thai Government
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“สมชนก” ผอ.สนามบินแม่ฟ้าหลวงเผยกลยุทธ์ “สองรางขนาน” พัฒนาโครงสร้าง-แก้จุดสำคัญก่อนเฟสใหญ่

TEAMG คว้าบิ๊กโปรเจกต์ ทอท. 205 ล้านบาท วาง “แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย เฟส 1” สู่สนามบินภูมิภาคอัจฉริยะเชื่อมเหนือ–ลุ่มโขง ยกระดับรองรับ 6 ล้านคน/ปี

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 –ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปลี่ยนแปลง “เล็กแต่ไว” ทีมบริหารสนามบินลงมือแก้จุดติดขัดรายวันกำลังเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับ “แผนใหญ่” ที่เพิ่งถูกจุดติดเครื่องเมื่อ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG นำทัพพันธมิตรคว้าสัญญา สำรวจและออกแบบระยะที่ 1 ของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) มูลค่า 205.20 ล้านบาท

หัวใจของเฟส 1 คือ “ยกระดับศักยภาพรองรับผู้โดยสารไม่น้อยกว่า 6 ล้านคน/ปี” แบ่งเป็น ระหว่างประเทศ 1 ล้าน และ ภายในประเทศ 5 ล้าน พร้อมจัดโครงสร้างพื้นฐานเขตการบินอาคารผู้โดยสารระบบสนับสนุนให้สอดรับทิศทางการเดินทางและเศรษฐกิจของห่วงโซ่ เชียงรายลุ่มโขง ที่เติบโตต่อเนื่อง และวางตัวเป็น “ประตูเหนือ” สู่เมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้

คำให้สัมภาษณ์เด่น

  • ชวลิต จันทรรัตน์ (TEAMG): “งานของเราคือวางพิมพ์เขียวที่รองรับอนาคต 6 ล้านคน/ปี โดยไม่ลดทอนความสะดวก–ปลอดภัย และต่อยอดได้จริง”
  • น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ (ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง): “สิ่งที่เผยแพร่คือ conceptual design ส่วนปัจจุบันเราลงมือแก้ ‘จุดสำคัญ’ แล้ว และจะใช้เทคโนโลยีทำให้ทั้งอาคารเป็นเสมือนเลาจน์ขนาดใหญ่ ผู้โดยสารอยู่สบาย–รู้เวลา–ไม่แออัด”
Scoot will also start to fly five times a week to Chiang Rai from 1 January 2026 – a new route for Changi Airport!

หลังสายการบินสกู๊ตเปิดเส้นทางบินตรง สิงคโปร์-เชียงราย เริ่ม 1 มกราคม 2569

การเชื่อมโยงเส้นทางบินตรงระหว่างเชียงรายและสิงคโปร์จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่ต้องการเดินทางระหว่างสองเมืองได้อย่างมาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและยกระดับเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

วงการท่องเที่ยวและธุรกิจในเชียงรายเตรียมคึกคักรับปีใหม่ เมื่อ สายการบินสกู๊ต (Scoot) สายการบินราคาประหยัดในเครือสิงคโปร์แอร์ไลน์ (SIA) ประกาศเปิดเส้นทางบินตรงใหม่จาก สิงคโปร์ (SIN) สู่เชียงราย (CEI) โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

การเปิดเส้นทางบินนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่เชียงรายเท่านั้น แต่ยังเป็นการขยายเครือข่ายการเดินทางของสกู๊ตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจะทำให้สกู๊ตมีจำนวนเที่ยวบินสู่ประเทศไทยรวมเป็น 111 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เลยทีเดียว

รายละเอียดเที่ยวบินตรง สิงคโปร์-เชียงราย

  • จำนวนเที่ยวบิน: 5 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
  • วันทำการบิน: ทุกวันจันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี, ศุกร์ และเสาร์
  • รุ่นเครื่องบิน: Embraer E190-E2 ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก-กลางที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
  • ตารางบิน (เวลาท้องถิ่น):
    • เที่ยวบินขาไป (สิงคโปร์-เชียงราย):
      • TR670: ออกจากสิงคโปร์ 16:40 น. ถึงเชียงราย 18:50 น. (วันจันทร์, พฤหัสบดี, ศุกร์)
      • TR660: ออกจากสิงคโปร์ 05:50 น. ถึงเชียงราย 08:00 น. (วันอังคาร, เสาร์)
    • เที่ยวบินขากลับ (เชียงราย-สิงคโปร์):
      • TR671: ออกจากเชียงราย 19:25 น. ถึงสิงคโปร์ 23:45 น. (วันจันทร์, พฤหัสบดี, ศุกร์)
      • TR661: ออกจากเชียงราย 08:35 น. ถึงสิงคโปร์ 12:55 น. (วันอังคาร, เสาร์)

จากแบบสู่สนามบินที่ใช้งานได้จริง” TEAMG เปิดแผนงาน 3 กลุ่ม ปรับสมดุลรันเวย์–อาคาร–ระบบหลังบ้าน

นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TEAMG อธิบายกรอบงานสำรวจออกแบบของเฟส 1 ว่าจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มงานหลัก เพื่อให้สนามบิน “ไหลลื่น ปลอดภัย ต่อยอดได้”

  1. กลุ่มงานเขตการบิน (Airside): ออกแบบ ทางขับขนานด้านทิศใต้ (Southern Parallel Taxiway) ให้ทำงานประสานกับรันเวย์และจุดรอ เพื่อเพิ่ม “อัตราหมุนเวียน” เข้า–ออกของเครื่องบิน พร้อม ขยายลานจอดอากาศยานด้านทิศใต้ ให้รองรับอากาศยานหลายขนาดมากขึ้น ลดการคอขวดในชั่วโมงเร่งด่วน
  2. กลุ่มงานอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน (Terminal & Facilities): เชื่อม อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เข้ากับอาคารเดิมผ่าน “โถงทางเดินเทียบเครื่องบิน” เพิ่มพื้นที่บริการและการไหลของผู้โดยสาร (passenger flow) ทั้ง ขาเข้า ขาออก โดยคำนึงถึงการขยายตัวของเส้นทางระหว่างประเทศในอนาคต
  3. กลุ่มงานระบบสนับสนุน (Systems & Utilities): ออกแบบระบบไฟฟ้า สื่อสาร ความปลอดภัย จราจรภายใน ให้พร้อมรองรับระบบปฏิบัติการสนามบินอัจฉริยะ (Smart Airport) เช่น ป้าย–จอข้อมูลแบบเรียลไทม์ การนับคิว/ความหนาแน่น และการจัดการพลังงาน

“ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาคที่ส่งผลคูณต่อเศรษฐกิจ–สังคมของเชียงราย งานของเราจึงไม่ใช่แค่ ‘เขียนแบบ’ แต่คือต้องวางพิมพ์เขียวที่ต่อยอดได้จริง รองรับ 6 ล้านคน/ปี โดยไม่เสียความสะดวกปลอดภัยของผู้โดยสาร” ชวลิต จันทรรัตน์, TEAMG

เสียงจากหน้างาน ผอ.สนามบินชี้ “ยังเป็นแบบแนวคิด” แก้ปัญหาความแออัดรายวันแล้ว และกำลังยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสารทั้งอาคาร

ด้าน น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า แผนพัฒนาที่เผยแพร่ขณะนี้ อยู่ในระดับ “Conceptual Design” ที่ผู้ออกแบบจะเสนอแนวทางให้เกิดขึ้นในอนาคต เพื่อรองรับเมื่อผู้โดยสารโตถึง Capacity 6 ล้านคน/ปี แต่ วันนี้” สนามบินยังไม่แตะขีดความสามารถนั้น และทีมบริหารได้ แก้ปัญหาความคับคั่งหลายจุดแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่ Gate ที่ “เจาะทะลุ Gate ทั้งคู่ให้เดินถึงกันได้” ช่วยไหลเวียนผู้โดยสาร ลดการออรอสะสมในช่วง Boarding

ผอ.สนามบินยังอธิบายแนวคิด “Free Lounge” และการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารความหนาแน่น ให้ผู้โดยสารอยู่ “ด้านนอก” ให้นานที่สุด แล้วจึงเข้าสู่พื้นที่ภายใน เมื่อถึงเวลา Boarding โดยจะมี จอแสดงผล–ระบบตรวจจับจำนวนผู้โดยสาร–อัลกอริทึมคำนวณเวลาบอร์ดดิ้ง และเวลาผ่านจุดตรวจค้น เพื่อให้คนที่นั่งรอด้านนอก “รับรู้สถานะเหมือนนั่งอยู่ด้านใน” ขณะเดียวกัน ชั้น 2 ของอาคารผู้โดยสารจะปรับเป็น “Free Lounge + จุดชมเครื่องบิน + Meeting Point + Co-working Space” เพิ่มร้านค้า พื้นที่นั่งบรรยากาศเสมือนเลาจน์เพื่อกระจายคน ลดความอึดอัดหน้า Gate

“สิ่งที่สื่อสารคือภาพอนาคต (conceptual design) ที่เราอยากไปให้ถึง แต่ในปัจจุบันเราลงมือแก้ ‘จุดสำคัญ’ แล้ว ทั้งการทะลุ Gate ให้เชื่อมกัน และการออกแบบประสบการณ์ใหม่แบบ Free Lounge พร้อมข้อมูลเรียลไทม์ เพื่อให้คนอยู่สบายขึ้น ไม่ต้องไปออหน้าประตูขึ้นเครื่อง” — น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์

ที่จอดรถ–พลังงานสะอาด–MRO รายละเอียดเล็กที่ส่งผลใหญ่

หนึ่งใน “คอขวดนอกอาคาร” คือ ลานจอดรถ ฝั่งตรงข้ามเทอร์มินัลที่ “คับคั่ง” ขณะที่ ลานจอดรถด้านทิศเหนือ ยังไม่เป็นที่นิยมเพราะ ไม่มีหลังคา ผอ.สนามบินเผยแผน ทำหลังคาพร้อมติดตั้ง Solar Rooftop ให้ทั้งสองลาน เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในอาคารผู้โดยสาร ลดภาระพลังงานและสร้างแรงจูงใจให้ผู้โดยสารกระจายไปใช้ลานที่สองมากขึ้น ทั้งยังเตรียม ย้ายพนักงานและผู้ให้บริการ บางส่วนไปใช้พื้นที่ใหม่นี้ เพื่อลดการแออัด

อีกหมุดหมายที่ “ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยว” คือ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งสนามบินได้ ถมที่ดินไว้แล้ว อยู่ระหว่างที่บริษัท CAH เข้าตรวจพื้นที่และเตรียม ขออนุญาตก่อสร้างใหม่ต่อสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เป้าหมายคือให้เริ่มเดินงานได้ภายในปีนี้ หากเดินหน้าได้ตามแผน MRO จะดึงเม็ดเงินลงทุนทักษะงานวิศวกรรมโอกาสการจ้างงานท้องถิ่นเข้ามาในห่วงโซ่อุตสาหกรรมการบินของเชียงราย

BCP ซ้อม “อุทกภัย” สนามบินต้องให้บริการได้ “แม้วันไม่ปกติ”

การพัฒนาโครงสร้างไม่เพียงพอ หากขาด “ความต่อเนื่อง” ของการให้บริการในวันวิกฤต น.ต.ดร.สมชนก ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานจึงนัดประชุม ซ้อมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) ประจำปี 2568 โดยเลือก สถานการณ์สมมติ “อุทกภัย” ในวันที่ 27 สิงหาคม ตามกรอบ ISO 22301:2019 เพื่อทดสอบว่า หากน้ำหลากเข้าพื้นที่ ระบบใดต้องย้ายเสริมสลับ, ทางเข้า–ออกผู้โดยสารปรับจุดอย่างไร, การไฟฟ้า–สื่อสาร–เชื้อเพลิงสำรองมีพอหรือไม่เพราะ สนามบินหยุดไม่ได้” แม้วันไม่ปกติ

ทำไมโครงการนี้ “มีความหมาย” ต่อคนเชียงรายและผู้เดินทางทั้งภูมิภาค

เชื่อมการเดินทาง–เศรษฐกิจลุ่มโขง เชียงรายคือจุดตัดการเดินทางของ ไทย–เมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ การมีสนามบินที่รองรับ ผู้โดยสาร 6 ล้านคน/ปี พร้อมขีดความสามารถ Airside ที่ราบรื่น จะสร้างแรงดึงดูดสายการบิน–เส้นทางบินใหม่ ๆ โดยเฉพาะ Regional International ที่ต่อยอดทั้งท่องเที่ยว–การค้า–ไมซ์ (MICE) และ โลจิสติกส์สินค้าอากาศ ในวงจำกัด (niche) ที่ต้องการความรวดเร็ว ประสบการณ์ผู้โดยสารที่ “ฉลาดขึ้น” แนวคิด Free Lounge + ข้อมูลเรียลไทม์ เปลี่ยนวิธีรอเครื่องจาก “ยืนออหน้าประตู” เป็น “นั่งสบาย–รู้เวลา–จัดการตัวเองได้” ทำให้ ความเครียด ลดลง ขณะเดียวกันสนามบินก็สามารถ บริหารความหนาแน่น ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปรับทรัพยากรบุคคล–จุดคัดกรองตามโหลดจริง

เมือง–สนามบินที่เป็นมิตรต่อพลังงาน

Solar Rooftop บนลานจอดรถเป็น “สัญลักษณ์เล็ก ๆ แต่ชัด” ว่าท่าอากาศยานภูมิภาคเดินหน้าเรื่องพลังงานสะอาด ลดต้นทุนระยะยาว และ—สำคัญกว่านั้น—ทำให้ลานจอดรถทางเลือก กลายเป็นพื้นที่ที่ “น่าใช้ขึ้น” ช่วยถ่ายเทความคับคั่งหน้าสถานีผู้โดยสาร งานวิศวกรรมคุณภาพ–โอกาสทักษะท้องถิ่น การมี MRO และงานปรับปรุงสนามบินต่อเนื่อง สร้าง ตลาดแรงงานทักษะสูง ในพื้นที่ ตั้งแต่วิศวกรเครื่องกล–อากาศยาน–อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงซัพพลายเชนชิ้นส่วน–เครื่องมือ–บริการสนับสนุน ซึ่งหมายถึงรายได้กระจายสู่จังหวัด ไม่ใช่เฉพาะย่านท่องเที่ยว

ความพร้อมต่อวิกฤตที่วัดได้ การซ้อม BCP ตามมาตรฐาน ISO 22301 ไม่ใช่ “พิธี” หากแต่เป็น ตัวคูณความเชื่อมั่น ว่าแม้วันฝนใหญ่น้ำหลากสนามบินยัง ให้บริการต่อเนื่อง ได้ ใครที่ต้องบินต่อเครื่องตารางงานไมซ์ขนส่งสินค้าด่วนยังเดินต่อได้โดยความเสี่ยงต่ำลง

เพื่อให้เงินภาษี–ค่าธรรมเนียมไปได้ไกลที่สุด

  1. จังหวะเวลา–อุปสงค์จริง: แม้โครงร่างรองรับ 6 ล้านคน/ปี แต่วิถีการเดินทางหลังโควิด–พฤติกรรมผู้โดยสารกำลังเปลี่ยน สนามบินจะจับ “สัญญาณอุปสงค์จริง” อย่างไร เพื่อเลือกช่วงลงทุนให้ คุ้ม–ทัน–ไม่ล้ำหน้าเกินจำเป็น
  2. เส้นทางระหว่างประเทศ: เพื่อบรรลุ 1 ล้านคน/ปี ระหว่างประเทศ ต้องเชื่อมเมืองใดในลุ่มโขง–จีนตอนใต้–อาเซียน และมี แพ็กเกจจูงใจสายการบิน พร้อมหรือไม่ (เช่น สลอต–บริการภาคพื้น–โปรโมชันร่วม)
  3. ข้อมูลแบบเปิด (Open Data) ของท่าอากาศยาน: ระบบจอ–การนับคิว–โหลดในเทอร์มินัล หากเปิดข้อมูลเชิงสถิติ (ไม่ระบุตัวบุคคล) เป็น แดชบอร์ดสาธารณะ จะช่วยผู้โดยสาร–ผู้ให้บริการ–ท้องถิ่นวางแผนได้แม่นขึ้น
  4. สมดุลงบสิ่งแวดล้อม–ประสบการณ์ผู้โดยสาร: Solar Rooftop, โลจิสติกส์ขยะ, คุณภาพอากาศในอาคาร, และการออกแบบสัญลักษณ์ล้านนา–พื้นที่สาธารณะ ควรเดินคู่กันให้สนามบิน “เป็นของเมือง” ไม่ใช่แค่ “ของการบิน”

 “สองรางขนาน”—รางหนึ่งคือแบบใหญ่ อีกหนึ่งคือการปรับเล็ก ๆ ทุกวัน

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย วันนี้สะท้อน สองรางขนาน ที่สนามบินยุคใหม่ต้องเดินพร้อมกัน

  • รางที่หนึ่ง: พิมพ์เขียวระยะยาว—TEAMG กับพันธมิตรวาง “เฟส 1” ให้รองรับ 6 ล้านคน/ปี พร้อมโครงสร้าง Airside–Terminal–Systems ที่ต่อยอดได้
  • รางที่สอง: ปรับเล็ก–ไว–ทุกวัน—ทีมบริหารสนามบินลงมือแก้ Gate, ทดลอง Free Lounge, ปั้นลานจอดรถพลังงานสะอาด, เร่ง MRO, และ ซ้อม BCP ให้พร้อมวันไม่ปกติ

หากทั้งสองรางขับเคลื่อนต่อเนื่องโดย “ฟังข้อมูลจริง–ฟังเสียงผู้โดยสาร–ฟังเมือง” เชียงรายจะไม่เพียงได้สนามบินที่สวยและใหม่ขึ้น แต่จะได้ สนามบินที่ฉลาด–ยืดหยุ่น–เป็นของทุกคน รองรับอนาคตของ “เหนือ–ลุ่มโขง” อย่างสมศักดิ์ศรี

ข้อมูลโครงการ (ย่อ)

  • เจ้าของโครงการ: บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – ทอท.
  • ผู้รับจ้างสำรวจ–ออกแบบ (เฟส 1): TEAMG และพันธมิตร
  • มูลค่า: 205.20 ล้านบาท
  • เป้าหมายรองรับผู้โดยสาร: ≥ 6 ล้านคน/ปี (ระหว่างประเทศ 1 ล้าน + ภายในประเทศ 5 ล้าน)
  • ขอบเขตออกแบบหลัก: ทางขับขนานทิศใต้, ขยายลานจอดด้านทิศใต้, เชื่อมอาคารผู้โดยสารใหม่–เดิม, ระบบสนับสนุนท่าอากาศยานอัจฉริยะ
  • มาตรฐานความต่อเนื่องทางธุรกิจ: ISO 22301:2019 (ซ้อม BCP สถานการณ์ “อุทกภัย” 27 ส.ค. 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) – AOT: ข้อมูลเชิงนโยบายและกรอบการพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาค
  • บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) – TEAMG: ข่าวการได้รับงานสำรวจ–ออกแบบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 (14 ส.ค. 2568)
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT): กรอบการกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยสนามบินและการอนุญาตโครงการ MRO
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย: ข้อมูลการบริหารจัดการอาคารผู้โดยสารและมาตรการลดความคับคั่ง น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
  • ISO 22301:2019Security and resilience — Business continuity management systems — Requirements: กรอบมาตรฐานการจัดทำและทดสอบแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP)
  • นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS LIFESTYLE

อินฟลูเอนเซอร์ไทยต้องรับผิด! บทบาทเปลี่ยนสู่ “ผู้โฆษณา” ความรับผิดทางกฎหมายทวีคูณ

เปิดโปงเงื่อนงำโลกอินฟลูเอนเซอร์ไทย: เมื่อบทบาทเปลี่ยนสู่ “ผู้โฆษณา” ความรับผิดทางกฎหมายจึงทวีคูณ และผู้บริโภคต้องรับมืออย่างไร

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 ในยุคดิจิทัลที่ “อินฟลูเอนเซอร์” หรือผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2567-2568 ได้เผยให้เห็นถึงภูมิทัศน์ทางกฎหมายและธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อผู้เสียหายจำนวนมากเริ่มรวมตัวกันใช้ช่องทางกฎหมายอย่างจริงจัง สะท้อนภาพว่าอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียง “ผู้มีอิทธิพล” อีกต่อไป แต่ได้รับการปฏิบัติในฐานะ “ผู้โฆษณา” หรือ “ผู้จำหน่าย” ซึ่งต้องเผชิญกับความรับผิดทางกฎหมายที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ รายงานข่าวเชิงลึกฉบับนี้จะเจาะลึกถึงการเติบโตของอุตสาหกรรม, ปัญหา “รีวิวไม่ตรงปก” ที่สร้างความเสียหายแก่ผู้บริโภค, ความเสี่ยงทางกฎหมายที่อินฟลูเอนเซอร์ต้องเผชิญ, และข้อเสนอแนะในการสร้างมาตรฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของวงการนี้

เบื้องหลังตัวเลขการเติบโตของอาณาจักรอินฟลูเอนเซอร์ไทยมูลค่าหลายหมื่นล้าน

อุตสาหกรรมคอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทยได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจาก Tellscore (เทลล์สกอร์) ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ระบุว่าตลาดอินฟลูเอนเซอร์ไทยมีมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 25-30% ติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว ตัวเลขที่น่าตกใจคือ ประเทศไทยมีคอนเทนต์ครีเอเตอร์จำนวนมากถึง 9,000,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 12.86% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด และในจำนวนนี้ มีถึง 2 ล้านคนที่เป็นครีเอเตอร์แบบ “ฟูลไทม์” หรือทำอาชีพนี้อย่างเต็มตัว ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั่วโลกที่มีประมาณ 200 ล้านคน หรือ 3% ของประชากรโลก

นางสาวสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscore ได้กล่าวถึงภาพรวมตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในประเทศไทยในปีนี้ว่า แม้เศรษฐกิจไทยโดยรวมอาจไม่สดใส แต่ภาคเอกชนไทยยังคงรุกทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทุ่มงบการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์มากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ กลุ่มเพื่อสุขภาพและความงาม (Health & Beauty), กลุ่มไลฟ์สไตล์ (Lifestyle), และกลุ่มการเงินและซุปเปอร์แอปฯ (Finance & Superapps) ในทางกลับกัน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์กลับชะลอการใช้งบประมาณลงตามภาพรวมตลาดที่หดตัว การขยายตัวนี้ทำให้บทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ไม่จำกัดอยู่เพียงการสร้างความบันเทิงหรือให้ความรู้ แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้กำหนดแนวคิดและพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยตรง

เปิดตัวเลขคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย พุง 9 ล้านคน - เจาะลึกคอนเทนต์ไหน “รุ่งปังๆ -ร่วง หลุดกระแสแล้ว”

ฝันร้ายวันเกิด: เมื่อ “รีวิว” ไม่ใช่แค่ความเห็น แต่คือ “โฆษณา” ที่ไม่ตรงปก

ภายใต้ความเจิดจรัสของตัวเลขทางเศรษฐกิจ ปัญหาด้านจริยธรรมและความโปร่งใสกลับเป็น “ภัยเงียบ” ที่กำลังคุกคามผู้บริโภค กรณีที่ผู้ใช้โซเชียลรายหนึ่งได้โพสต์เรื่องราวในกลุ่ม “พวกเราคือผู้บริโภค” ที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เกี่ยวกับประสบการณ์การเข้าพัก “รีสอร์ทไม่ตรงปก” ที่รีสอร์ทชื่อดังแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากในวงการนี้ ผู้เสียหายรายนี้ตั้งใจจองที่พักเพื่อฉลองวันเกิดผ่านแอปพลิเคชันจองออนไลน์ โดยมีภาพที่พักที่สวยงามน่าดึงดูดใจ แต่เมื่อไปถึงสถานที่จริงกลับพบว่าบรรยากาศโดยรอบเป็นเหมือน “ที่รกร้าง” เต็มไปด้วยขยะ และสภาพที่พักก็ทรุดโทรมอย่างหนัก

เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นการเกิดขึ้นเพียงกรณีเดียว แต่ยังมีเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคคนอื่น ๆ ที่เคยมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการติดตามรีวิวของอินฟลูเอนเซอร์ สายกินสายรีวิวชื่อดังที่มีผู้ติดตามหลักล้าน ในจังหวัดชลบุรี ที่ผู้บริโภคจำนวนมากออกมายืนยันว่า “รีวิวไม่ตรงปกเกือบทุกที่” จนเลิกเชื่อถือ และเลิกติดตาม ปัญหานี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ในยุคที่ผู้บริโภคอาศัย “รีวิว” และ “อินฟลูเอนเซอร์” เป็นหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ ความน่าเชื่อถือของข้อมูลเหล่านั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และการรีวิวที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง หรือการใช้ภาพเก่ามาประกอบการโฆษณา ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่าย การโฆษณาเกินจริง” หรือ “การโฆษณาที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด” ซึ่งผิดตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคบางรายถึงขั้นระบุว่าอินฟลูเอนเซอร์รายดังกล่าวมีพฤติกรรมเข้าข่าย “มิจฉาชีพ” และเคยถูกโกงเงินไปหลายพันบาทจากการจองที่พักผ่านเพจนั้น แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้หยุดอยู่แค่ความไม่ตรงปก แต่ลุกลามไปถึงขั้นการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายทางการเงินอย่างร้ายแรงแก่ประชาชน

ราคาที่ต้องจ่าย ความรับผิดทางกฎหมายที่อินฟลูเอนเซอร์ต้องเผชิญ

การเปลี่ยนผ่านบทบาทของอินฟลูเอนเซอร์จาก “ผู้มีอิทธิพล” ธรรมดาไปสู่ “ผู้โฆษณา” โดยตรง ได้นำมาซึ่งความรับผิดชอบทางกฎหมายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายเฉพาะสำหรับอินฟลูเอนเซอร์โดยตรง กฎหมายที่มีอยู่เดิมจึงถูกนำมาปรับใช้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและควบคุมการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งการโฆษณาเกินจริงอาจนำไปสู่การดำเนินคดีภายใต้กฎหมายหลายฉบับพร้อมกัน ทำให้ความเสี่ยงและบทลงโทษเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ

  1. ความผิดฐานหมิ่นประมาทและการใช้สื่อออนไลน์: การโพสต์ข้อความหรือรูปภาพบนโซเชียลมีเดียที่เปิดเป็นสาธารณะและทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และมักถูกฟ้องควบคู่กับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท การมีผู้ติดตามจำนวนมากของอินฟลูเอนเซอร์จึงเป็นทั้งทรัพย์สินและความเสี่ยงทางกฎหมายที่สำคัญ
  2. คดีการโฆษณาและการหลอกลวงผู้บริโภคการโฆษณาของอินฟลูเอนเซอร์อยู่ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งกำหนดให้การโฆษณาต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นเท็จ เกินจริง หรืออาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ผู้ที่ใช้ข้อความโฆษณาที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากอินฟลูเอนเซอร์เป็นเจ้าของสื่อที่รับโฆษณา จะต้องรับโทษในอัตรากึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ

ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ กฎหมายเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ซึ่งมีการกำหนดโทษที่รุนแรงกว่ากฎหมายทั่วไป การโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จหรือหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยไม่สมควร มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท รวมถึงข้อความต้องห้ามที่ อย. กำหนดอย่างชัดเจน เช่น คำที่สื่อว่า “รักษาโรค” หรือ “เปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกาย” เช่น ลดโคเลสเตอรอล, ลดน้ำหนักถาวร, อัพไซส์ สำหรับเครื่องสำอาง การโฆษณาเกินจริงก็มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท

  1. ความรับผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน: หากการโฆษณามีเจตนาทุจริตเพื่อหลอกลวงประชาชนจนทำให้เสียทรัพย์ อาจเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งแตกต่างจากความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคตรงที่ต้องพิสูจน์ “เจตนาทุจริต” ของผู้กระทำ อินฟลูเอนเซอร์ที่ร่วมมือกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่รู้ว่าเป็นความเท็จและมีเจตนาหลอกลวงประชาชน อาจถูกยกระดับความผิดจากผู้โฆษณาไปเป็น ผู้สนับสนุน” หรือ “ตัวการร่วม” ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนได้
  2. คดีความรับผิดทางอาญาจากความประมาท: ในบางกรณี การสร้างคอนเทนต์อันตรายหรือท้าทายที่นำไปสู่การบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท กรณีศึกษาที่สะเทือนใจคือ การเสียชีวิตของ “แบงค์ เลสเตอร์” อินฟลูเอนเซอร์ผู้สู้ชีวิต หลังจากถูกจ้างให้ดื่มเหล้าปริมาณมาก ซึ่งอัยการได้ให้ความรู้ทางกฎหมายว่าผู้ที่ “ยุยง” หรือ “เชียร์” ให้ดื่ม โดยรู้ว่าการกระทำนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาจเข้าข่าย “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”

บทเรียนจากคดีสำคัญจุดเปลี่ยนของวงการอินฟลูเอนเซอร์

สถานการณ์การฟ้องร้องที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2567-2568 ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม และส่งสัญญาณว่าการบังคับใช้กฎหมายได้เปลี่ยนผ่านจากการกำกับดูแลแบบตั้งรับไปสู่การบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก โดยมีคดีสำคัญหลายกรณีที่สะท้อนถึงความซับซ้อนและความรุนแรงของบทลงโทษ:

  • คดี The iCon Group: เป็นตัวอย่างสำคัญของการฟ้องร้องแบบกลุ่ม (Class Action-style) ที่มีผู้เสียหายเข้าร้องเรียนกว่า 250 คน มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 95 ล้านบาท คดีนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานในการสืบสวนสอบสวน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดย สคบ. ได้เรียกอินฟลูเอนเซอร์และผู้เกี่ยวข้องเข้ามาให้ปากคำเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งทนายความชื่อดังแนะนำว่าอินฟลูเอนเซอร์ควรโฆษณาแค่สินค้าเท่านั้น และไม่ควรโฆษณาระบบธุรกิจเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีแชร์ลูกโซ่
  • คดีอินฟลูเอนเซอร์ฟ้องเอเจนซี่ฉ้อโกง: ในเดือนมีนาคม 2568 กลุ่มผู้เสียหายกว่า 50 คน ซึ่งประกอบด้วยอินฟลูเอนเซอร์ เจ้าของแบรนด์ และอดีตพนักงาน ได้รวมตัวกันแจ้งความ บก.ป. เพื่อดำเนินคดีกับบริษัทเอเจนซี่แห่งหนึ่ง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 20 ล้านบาท บริษัทมีพฤติกรรมไม่จ่ายค่าจ้าง, ไม่ผลิตงานตามสัญญา, และมีการข่มขู่ฟ้องกลับ การรวมตัวกันเพื่อดำเนินคดีอาญาในครั้งนี้เป็นการยกระดับข้อพิพาทเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่อินฟลูเอนเซอร์เองก็อาจตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงได้เช่นกัน
  • คดีไลฟ์สดขายทอง “แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์”: กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการโฆษณาที่ไม่ตรงปกอาจถูกยกระดับเป็นคดีอาญาฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” และ “พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์” เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระบุว่าจะเรียกอินฟลูเอนเซอร์ที่เคยร่วมไลฟ์สดเข้ามาให้ปากคำ เพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดหรือไม่
  • คดีโฆษณาเว็บพนันออนไลน์: กรณีของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง “อิงฟ้า อารยา” ที่ถูกจับกุมจากการโฆษณาชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ แสดงให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดบนโลกออนไลน์ โดยตำรวจไซเบอร์ได้เปิดเผยว่ามีการจับกุมอินฟลูเอนเซอร์ในลักษณะดังกล่าวไปแล้วกว่า 100 คน

การดำเนินคดีเหล่านี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังผู้กระทำความผิดว่า การหลอกลวงหรือการทำผิดกฎหมายจะไม่สามารถลอยนวลได้อีกต่อไป

ข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้อง สร้างจริยธรรมสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

เพื่อป้องกันปัญหาที่ซับซ้อนและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผู้บริโภคและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมในระยะยาว การสร้างมาตรฐานและจริยธรรม จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะที่กฎหมายเฉพาะสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ยังไม่มีการบัญญัติขึ้นอย่างชัดเจน การขับเคลื่อน ร่างจริยธรรมของอินฟลูเอนเซอร์” จึงถือเป็นการตอบสนองเชิงรุกของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่างจริยธรรมดังกล่าวซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการคุ้มครองผู้บริโภค ประกอบด้วยข้อปฏิบัติ 5 ข้อหลัก ได้แก่:

  1. ตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า: ก่อนรับโฆษณา ต้องขอตรวจสอบใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. หรือ มอก.
  2. ทดลองใช้สินค้าจริง: และมีหลักฐานแสดงผลการใช้ที่เป็นไปตามที่โฆษณา
  3. ยอมรับว่าการรีวิวคือการโฆษณา: และต้องมีความโปร่งใส รวมถึงเข้าใจขอบเขตทางกฎหมาย
  4. หลีกเลี่ยงสินค้าผิดกฎหมาย: เช่น บุหรี่ไฟฟ้าหรือการพนัน
  5. มีการเยียวยาผู้บริโภค: หากเกิดผลกระทบเชิงลบจากเนื้อหาที่ตนเองโฆษณาไป

การสร้าง “จริยธรรม” นี้เป็นการลดความเสี่ยงทั้งสำหรับผู้ผลิตเนื้อหาและผู้บริโภค โดยเป็นการสร้างมาตรฐานที่สูงขึ้นจากภายในอุตสาหกรรมเอง

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

  • ยกระดับการกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์: หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรผลักดันให้แพลตฟอร์มจองที่พักและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่โฆษณา เพื่อป้องกันการนำภาพเก่าหรือไม่ตรงกับสถานที่จริงมาใช้งาน
  • สร้างมาตรฐานและจรรยาบรรณนักรีวิว: ควรมีการส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้ถึงจรรยาบรรณของนักรีวิว ว่าการนำเสนอข้อมูลต้องเป็นไปตามความเป็นจริงและโปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการรับเงินจากผู้ประกอบการในการรีวิว
  • ให้ความรู้แก่ผู้บริโภค: สภาผู้บริโภค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคถึงวิธีการสังเกตและตรวจสอบรีวิวที่น่าเชื่อถือ เช่น การดูรีวิวจากหลาย ๆ แหล่ง การตรวจสอบคะแนนรีวิวจากแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ และการพิจารณาภาพที่มาจากการโพสต์ของผู้ใช้บริการจริง

ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับทุกภาคส่วน

  • สำหรับอินฟลูเอนเซอร์: ควรยึดหลัก ตรวจสอบ-ทดลอง-เปิดเผย” คือ ตรวจสอบข้อมูลสินค้าและบริษัทคู่ค้าอย่างละเอียด พร้อมขอเอกสารการอนุญาตที่ถูกต้อง ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จริงด้วยตนเองและรีวิวตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง และที่สำคัญที่สุดคือ เปิดเผยให้ชัดเจนว่าเป็น “โฆษณา” หรือ “สปอนเซอร์” โดยใช้ภาษาและแฮชแท็กที่เข้าใจง่าย ควรระมัดระวังการสร้างคอนเทนต์ที่เสี่ยงอันตราย หรือการโฆษณาระบบธุรกิจที่ซับซ้อนที่อาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ รวมถึงระวังการแสดงความคิดเห็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการหมิ่นประมาท โดยควรทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสมอ นอกจากนี้ ควรจัดทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่รัดกุมและตรวจสอบเงื่อนไขอย่างละเอียดก่อนรับงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและขอบเขตความรับผิดชอบ.
  • สำหรับแบรนด์และเอเจนซี่: ควรจัดทำสัญญาที่รัดกุม ระบุขอบเขตความรับผิดชอบของอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นความถูกต้องของข้อมูล การเปิดเผยความสัมพันธ์ในการโฆษณา และการหลีกเลี่ยงข้อความที่เกินจริง ควรมีนโยบายตรวจสอบอินฟลูเอนเซอร์และเนื้อหาที่สร้างขึ้นอย่างเข้มงวด รวมถึงตรวจสอบความน่าเชื่อถือของพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อป้องกันการเข้าไปพัวพันกับการฉ้อโกง และควรสนับสนุนการออกกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและสร้างมาตรฐานที่ยอมรับร่วมกันในอุตสาหกรรม.
  • สำหรับผู้บริโภค: หากได้รับความเสียหายจากการโฆษณาเกินจริงหรือผลิตภัณฑ์ที่อันตราย ควรใช้สิทธิในการร้องเรียนผ่าน

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

สายด่วน อย. 1556 หรือ สคบ. ได้โดยตรง ควรใช้วิจารณญาณที่สูงขึ้นในการพิจารณาข้อมูลจากการรีวิว และตระหนักว่าการโฆษณาและการรับรองจากอินฟลูเอนเซอร์อาจมีแรงจูงใจทางการเงินแฝงอยู่ ที่สำคัญคือ หากพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย ควรเก็บหลักฐานให้ครบถ้วนที่สุด เช่น ภาพหน้าจอการจอง, ภาพโฆษณา, ภาพถ่ายและวิดีโอของสภาพที่พักจริง และหลักฐานการติดต่อ เพื่อใช้ในการแจ้งความต่อไป.

การวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ไทยกำลังเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดจะต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบและจริยธรรมที่เข้มแข็ง การร่วมมือกันระหว่างอินฟลูเอนเซอร์ แบรนด์ เอเจนซี่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาครัฐ ในการสร้างมาตรฐานที่โปร่งใส จะเป็นกุญแจสำคัญในการส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมมูลค่าหลายหมื่นล้านนี้ในระยะยาว ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนผู้บริโภคทั่วไปจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการได้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นจริง และได้รับการคุ้มครองสิทธิ์อย่างเต็มที่.

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Tellscore: รายงานวิจัย “Futures of Content Creators 2035” และข้อมูลอินไซต์ตลาดจาก “เปิดตัวเลขคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย พุง 9 ล้านคน ทำงานแบบ Full-time 2 ล้าน”.
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.): ข้อมูลและอำนาจการกำกับดูแลจาก “รายงานวิเคราะห์ความรับผิดทางกฎหมายของอินฟลูเอนเซอร์จากการโฆษณาเกินจริง”.
  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค): ข้อมูลและข้อเสนอแนะจาก “รีสอร์ทไม่ตรงปก: ภัยรีวิวไร้จรรยาบรรณและการปกป้องสิทธิ์ผู้บริโภค”.
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.): บทลงโทษและข้อห้ามในการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ.
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.): บทบาทในการสืบสวนคดีสำคัญ เช่น The iCon Group และคดีฉ้อโกง.
  • ประมวลกฎหมายอาญา: มาตราที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานหมิ่นประมาท, ฉ้อโกง, และประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย.
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (และฉบับแก้ไข): มาตราที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ.
  • รายงานการวิเคราะห์คดีความและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทย พ.ศ. 2567-2568″: ข้อมูลเชิงลึกและกรณีศึกษาในภาพรวม.
  • หน่วยงานและสื่อที่อ้างอิงในแหล่งข้อมูล: เช่น Linktree, FTC (คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ สหรัฐอเมริกา), Thaipost.net, Thai PBS News, Sanook.com.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายรุกฉีดวัคซีนโปลิโอพื้นที่ชายแดน หลังเมียนมาพบเชื้อกลายพันธุ์ ปิดประตูความเสี่ยง

เชียงรายรุกฉีดวัคซีนโปลิโอพื้นที่ชายแดน หลังเมียนมาพบเชื้อกลายพันธุ์ปิดประตูความเสี่ยงก่อนฤดูการเดินทางไฮซีซัน

เชียงราย,13 สิงหาคม 2568 – ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงรายคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดประชุมด่วน โดยมี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน เพื่อติดตามสถานการณ์โรคโปลิโอที่ฝั่งเมียนมาและกำหนดมาตรการเชิงรุกฝั่งไทย สาระสำคัญคือ “ยืนยัน” แผนรณรงค์ ให้ OPV เสริม 2 รอบ ในพื้นที่ชายแดนพื้นที่ครอบคลุมวัคซีนต่ำและจุดที่มีการเคลื่อนย้ายประชากรสูง โดย

  • รอบที่ 1: 20 สิงหาคม 2568
  • รอบที่ 2: 24 กันยายน 2568

กลุ่มเป้าหมายคือ เด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี และ เด็กต่างชาติอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่อาศัยในแนวชายแดน ครอบคลุม เชียงราย–เชียงใหม่–แม่ฮ่องสอน เพื่อหยุดยั้งโอกาสแพร่เชื้อ หากมีการนำเข้ามาจริงในช่วงฤดูท่องเที่ยวที่กำลังใกล้เข้ามา

หมายเหตุ: รายละเอียดข้างต้นอ้างอิงจากการแถลงของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงราย (13 ส.ค. 2568) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

cVDPV1 คืออะไร ทำไม “ต้องรีบ” แม้ไทยปลอดโปลิโอมานาน

หลายคนสงสัยถ้าไทยปลอดโปลิโอแล้ว ทำไมยังต้องฉีดซ้ำ? คำตอบอยู่ที่พลวัตของไวรัสและภูมิคุ้มกันชุมชน

  1. โปลิโอและความรุนแรง: โปลิโอส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้วไม่แสดงอาการ แต่ ประมาณ 1 ใน 200 รายอาจเกิดอัมพาตถาวร และในบางกรณีถึงชีวิต องค์การอนามัยโลกย้ำว่า “ภูมิคุ้มกันครอบคลุมสูงทั่วชุมชน” คือปราการสำคัญที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสชนิดนี้ ซึ่งติดต่อผ่าน ทางอุจจาระ–ปาก จึงแพร่เร็วในพื้นที่แออัด สุขาภิบาลจำกัด หรือมีการเคลื่อนย้ายเข้าออกจำนวนมาก
  2. cVDPV คืออะไร: cVDPV ย่อมาจาก “circulating vaccine-derived poliovirus” คือไวรัสโปลิโอที่กลายพันธุ์ย้อนกลับไปสู่สภาพก่อโรคและสามารถแพร่ระบาดได้ในชุมชนที่ ภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ได้หมายความว่าวัคซีน “อันตราย” แต่สะท้อนปัญหา “ช่องว่างความครอบคลุมวัคซีน” หากปล่อยให้มีเด็กตกหล่นจำนวนมาก เชื้อจะมีพื้นที่หมุนเวียนและวิวัฒน์จนก่อปัญหาได้ WHO และ GPEI อธิบายกลไกนี้ไว้อย่างเป็นระบบและใช้เป็นฐานคิดหลักของยุทธศาสตร์กำจัดโปลิโอทั่วโลก
  3. ภาพรวมโลกและกรอบฉุกเฉิน: นับถึงกลางปี 2025 คณะกรรมการฉุกเฉินภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) ของ WHO รายงานว่า ยังมีผู้ป่วยและการตรวจพบเชื้อทั้ง WPV1 และ cVDPV ในหลายประเทศ จึงประกาศต่ออายุสถานะ PHEIC ต่อไป และย้ำว่าความเสี่ยงของ cVDPV ขับเคลื่อนด้วย “เด็กตกหล่น–เข้าถึงยาก–ย้ายถิ่น–พื้นที่ไม่มั่นคง” เป็นสำคัญ แม้ในปี 2025 จะไม่พบ cVDPV1 รายใหม่ ณ วันที่รายงาน แต่ปี 2024 โลกยังพบ cVDPV1 รวม 11 ราย
  4. บริบทภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน: ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมไทย) รับรองปลอดโปลิโอปี 2557 แต่ เมียนมาเคยมีการระบาด cVDPV1 ในอดีตและยังเป็นพื้นที่เปราะบางด้านสาธารณสุข การที่เชียงรายอยู่แนวชายแดนจึงต้องไม่ประมาทกับความเสี่ยงเชิงภูมิศาสตร์และการเดินทางของผู้คนซึ่งยากต่อการควบคุม

ทำไม “ต้องเป็น OPV” และทำไม “ต้อง 2 รอบ”

  • เหตุผลด้านภูมิคุ้มกัน: กรณีรับมือการระบาดในพื้นที่เสี่ยง WHO/GPEI แนะนำให้ใช้ OPV เพราะสร้าง ภูมิคุ้มกันที่ลำไส้ ได้ดี ช่วยหยุดการขับไวรัสทางอุจจาระ–ลดการแพร่ในชุมชน ซึ่งเป็น “หัวใจ” ของการตัดวงจรระบาด ต่างจาก IPV ที่เด่นด้านภูมิคุ้มกันเลือด ป้องกันอาการรุนแรง แต่หยุดการแพร่ในลำไส้สู้ OPV ในสถานการณ์ระบาดไม่ได้
  • เหตุผลด้านจำนวนรอบ: เอกสาร SOP ของ WHO/GPEI สำหรับการตอบสนองการระบาดเน้น การฉีดอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องอย่างน้อย 2 รอบ ห่างกันราว 4 สัปดาห์ เพื่อยกระดับภูมิในชุมชนให้สูงพออย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับไทม์ไลน์รอบ 20 ส.ค. และ 24 ก.ย. ของเชียงรายในครั้งนี้

ไทยกับตารางวัคซีนตามปกติเสริม “ระบบประจำ” ด้วย “ปฏิบัติการเฉพาะกิจ”

ประเทศไทยมีแผนวัคซีนพื้นฐานที่ปรับตามหลักฐานใหม่ต่อเนื่อง โดยเพิ่ม IPV 2 เข็ม เป็นมาตรฐาน เพื่อเสริมความปลอดภัยด้านอาการรุนแรง และยัง คงบทบาท OPV ในปฏิบัติการเฉพาะกิจ เสริม/SIA เมื่อมีความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แนวทางนี้ตรงกับคำอธิบายเชิงนโยบายของ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และการสื่อสารจาก กรมควบคุมโรค ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ปลอดโปลิโอถาวรของไทย

ภาพรวมโรคติดต่ออื่นในเชียงรายเสียงเตือนจากข้อมูลจริง

นอกจากโปลิโอ ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดยังสรุปสถานการณ์โรคเด่นในพื้นที่ (อัปเดต 10 ส.ค. 2568) ระบุว่า

  • ไข้เลือดออก ผู้ป่วยสะสม 953 ราย (สูงใน อ.ป่าแดด เวียงชัย เวียงป่าเป้า เมือง แม่สาย)
  • โควิด-19 สะสม 4,701 ราย (สูงใน อ.ป่าแดด แม่ลาว เมือง พาน เวียงชัย)
  • ไข้หวัดใหญ่ สะสม 9,241 ราย (สูงใน อ.แม่แดด* แม่จัน แม่ลาว เวียงชัย เมือง)
  • อาหารเป็นพิษ สะสม 2,291 ราย (สูงใน อ.แม่สรวย เทิง เชียงแสน พญาเม็งราย เมือง)
  • โรคฉี่หนู สะสม 151 ราย (สูงใน อ.แม่ฟ้าหลวง แม่สรวย เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง ป่าแดด)
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สะสม 1,979 ราย แนวโน้มเพิ่ม (สูงใน อ.เมือง เวียงชัย แม่สรวย เวียงเชียงรุ้ง ป่าแดด)

*หมายเหตุ: ชื่ออำเภอ “แม่แดด” ไม่มีในเชียงรายในทางปกครอง อาจหมายถึงหน่วยบริการหรือพื้นที่สำรวจเฉพาะกิจตามนิยามทางระบาดวิทยา

ภาพรวมนี้สะท้อนว่าระบบสาธารณสุขเชียงราย ทำงานหลายสมรภูมิพร้อมกัน การรณรงค์ OPV เสริมจึงต้อง “เกาะไปกับระบบเดิม”ตั้งจุดบริการที่ รพ.สต., โรงเรียน, จุดผ่านแดน, คลินิกชุมชน และทำงานกับ อสม.–ผู้นำชุมชน–ด่านควบคุมโรค ให้เข้าถึงครัวเรือนที่เด็กตกหล่นมากที่สุด

บทเรียนจากชายแดนลอจิสติกส์การสื่อสารความไว้วางใจ

จุดเสี่ยงจริง ไม่ได้อยู่แค่ “แนวเส้นเขตแดน” แต่อยู่ใน ชุมชนเคลื่อนย้าย เช่น แคมป์คนงาน การค้า–ท่องเที่ยวชายแดน ตลาดนัด และโรงเรียนที่มีเด็กข้ามแดน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จึงต้องมี “ทะเบียนเด็กเสี่ยง” ที่อัปเดตตลอดเวลา และเชื่อมกับข้อมูลโรงเรียน–ด่านควบคุมโรค–หน่วยงานปกครองท้องถิ่น

ด้านการสื่อสาร สิ่งสำคัญคือ ภาษาที่ชุมชนเข้าใจได้จริง ไทย, ภาษาชนเผ่า, พม่าพร้อมตอบข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนอย่างตรงไปตรงมา โดยใช้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ของ WHO/GPEI ซึ่งย้ำชัดว่าความเสี่ยง cVDPV เกิดจาก เด็กไม่ได้รับวัคซีนจำนวนมาก” ไม่ใช่จาก “วัคซีนที่มีปัญหา” การเพิ่มความครอบคลุมวัคซีนคือคำตอบเดียวที่ปิดความเสี่ยงนี้ได้อย่างยั่งยืน

มองให้ไกลกว่าการฉีด ผลลัพธ์ต่อครัวเรือนชุมชนเศรษฐกิจ

  1. ครัวเรือน: ลดความเสี่ยง “อัมพาตถาวร” ที่เปลี่ยนชีวิตเด็กและครอบครัวทั้งชีวิต ต้นทุนการดูแลระยะยาวลดลงอย่างประเมินค่าไม่ได้
  2. ชุมชน: ภูมิคุ้มกันหมู่สูงขึ้น ลดความกังวลข่าวลือความตื่นตระหนก เมื่อมีการพบเหตุเตือนบริเวณชายแดน
  3. เศรษฐกิจพื้นที่ท่องเที่ยว: เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางฤดูหนาว หากมีข่าวเหตุระบาดฉับพลันจะกระทบความเชื่อมั่นทันที การรณรงค์เชิงรุกส่งสัญญาณว่าระบบสาธารณสุข ทันเกมพร้อมรับมือ” สอดคล้องกับกรอบ PHEIC ของ WHO ที่เน้นการป้องกันการแพร่ข้ามพรมแดนเป็นหัวใจ

สิ่งที่ประชาชนควรทำตอนนี้

  • พ่อแม่ผู้ปกครอง:
    • ตรวจ สมุดวัคซีน ของบุตรหลาน ถ้าอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย ให้พามารับ OPV เสริมทั้ง 2 รอบ ตามวันนัด
    • หากลูกได้ IPV ครบ ตามตารางปกติแล้ว ยังควรรับ OPV เสริม ในพื้นที่เสี่ยงตามประกาศ เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันที่ลำไส้  
  • ครู–โรงเรียน–ศูนย์เด็กเล็ก: จัดทำรายชื่อเด็กตกหล่น ประสาน รพ.สต./อสม. นำทีมฉีดเชิงรุกในสถานศึกษา
  • ผู้ประกอบการ–แรงงานเคลื่อนย้าย: สนับสนุนวัน–เวลา ให้ครอบครัวพาเด็กไปรับวัคซีน และสื่อสารข้อมูลหลายภาษาในสถานประกอบการ
  • ชุมชน: เฝ้าระวังสุขอนามัยพื้นฐานห้องน้ำสะอาด ล้างมือ ส่วนน้ำดื่มอาหารต้องผ่านการปรุงสุก

คำถามชวนคิด “สองรอบพอไหมยั่งยืนจริงหรือ”

ในเชิงเทคนิค การทำ SIA 2 รอบ เป็น “ขั้นต่ำจำเป็น” ให้ภูมิชุมชนดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หากบริเวณชายแดนยังมีการเคลื่อนย้ายสูงและพบสัญญาณความเสี่ยงเพิ่มเติม หน่วยงานสาธารณสุขสามารถ ขยายรอบขยายพื้นที่ ได้ตามหลักฐานจริง ณ เวลาเกิดเหตุ (evidence-based) ตามคู่มือรับมือการระบาดของ WHO/GPEI ซึ่งเน้น ความเร็วความครอบคลุมการติดตามคุณภาพหลังจบแต่ละรอบ เป็นตัวชี้วัดสำคัญ

นอกเหนือจากนั้น “ความยั่งยืน” ต้องพึ่ง ระบบวัคซีนประจำ ที่ เก็บตกเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กไร้เอกสาร–ย้ายถิ่น–อยู่ไกลบริการ รวมถึง ระบบสื่อสารความเสี่ยง ที่ลดความลังเลวัคซีน (vaccine hesitancy) ด้วยข้อมูลโปร่งใส เข้าใจง่าย และ การร่วมมือข้ามหน่วยงาน ด่านควบคุมโรค–พื้นที่การศึกษา–ท้องถิ่น–ภาคเอกชน จึงจะป้องกันปัญหา cVDPV ได้อย่างถาวร

ไทม์ไลน์–พื้นที่–กลุ่มเป้าหมาย

  • พื้นที่: แนวชายแดนและพื้นที่คุ้มครองต่ำใน เชียงราย–เชียงใหม่–แม่ฮ่องสอน
  • กลุ่มเป้าหมาย:
    • เด็กไทย อายุ < 5 ปี
    • เด็กต่างชาติ อายุ < 15 ปี ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
  • วัคซีน: OPV เสริม (ชนิดกิน) ตามมาตรฐานการตอบสนองการระบาด
  • กำหนดการ:
    • รอบ 1 – 20 ส.ค. 2568
    • รอบ 2 – 24 ก.ย. 2568
  • หน่วยปฏิบัติ: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด–อำเภอ, รพ.สต., โรงพยาบาลเครือข่าย, อสม., ด่านควบคุมโรค

ปิดประตูความเสี่ยงด้วย “ความพร้อม–ความครอบคลุม–ความร่วมมือ”

เชียงรายกำลังทำในสิ่งที่ระบบสาธารณสุขสมัยใหม่เรียกว่า การป้องกันก่อนเกิดเหตุ”ฉีด OPV เสริมแบบเจาะจงพื้นที่–ช่วงเวลา ตามกรอบ WHO/GPEI เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันชุมชนชายแดนให้ “สูงพอและเร็วพอ” ทันก่อนฤดูกาลท่องเที่ยวและการเคลื่อนย้ายใหญ่ปลายปี

ในมุมของประชาชนทั่วไป สิ่งนี้คือ ประกันความเสี่ยงระดับจังหวัด ที่ต้นทุนต่ำกว่าแต่คุ้มค่ากว่าการรับเคราะห์จากเหตุระบาดฉับพลันในภายหลัง และในระยะยาว หากเราร่วมกัน รักษาความครอบคลุมวัคซีนพื้นฐานให้สูงลดเด็กตกหล่น เชียงรายก็จะไม่เพียงรักษาสถานะความปลอดภัยของตนเอง แต่ยังทำหน้าที่เป็น “แนวกันชน” สำคัญของประเทศ ในการป้องกันการนำเชื้อเข้าจากต่างแดนตามเจตนารมณ์ PHEIC ของ WHO ได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO), Poliomyelitis – Fact sheet (อธิบายโรค เส้นทางการแพร่เชื้อ ความเสี่ยงอัมพาต และหลักการควบคุม) World Health Organization
  • WHO & Global Polio Eradication Initiative (GPEI), Outbreak Response SOP / แนวทางการรับมือการระบาด (เหตุผลการใช้ OPV ในการ SIA หลายรอบเพื่อหยุดการแพร่ในลำไส้) CDC
  • WHO – IHR Emergency Committee, Statement of the Forty-second meeting on the international spread of poliovirus (สถานะ PHEIC และภาพรวมตัวเลข WPV1/cVDPV ในปี 2024–2025) World Health Organization
  • WHO South-East Asia Region, เอกสารสื่อสาร Polio-free certification of the Region (2014) (กรอบภูมิภาคปลอดโปลิโอและบริบทประวัติศาสตร์) World Health Organization
  • Disease Outbreak News – WHO, Circulating vaccine-derived poliovirus type 1 – Myanmar (2019) (หลักฐานเชิงประวัติว่าพื้นที่เมียนมาเคยพบ cVDPV1 สะท้อนความเปราะบางทางภูมิคุ้มกัน)
  • สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (NVI), นโยบายเพิ่มเข็มวัคซีนโปลิโอชนิดฉีด (IPV) และบทบาทของวัคซีนในระบบไทย (อ้างเพื่ออธิบายความสัมพันธ์ IPV/OPV ในเชิงนโยบาย)
  • ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ/สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย (บทความวิชาการเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันจาก OPV เทียบ IPV ในบริบทการหยุดยั้งการแพร่เชื้อทางลำไส้) GPEI
  • CIDRAP–มหาวิทยาลัยมินนิโซตา, Polio this week: global update based on GPEI (ภาพรวมแนวโน้มทั่วโลกและกรอบการเฝ้าระวังล่าสุด) World Health Organization
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

อนาคตเชียงราย 472 ความเห็นชี้ทางเทศกาลปลายปี ต้องดุลยภาพระหว่างเมืองและท่องเที่ยว

เทศกาลปลายปีเชียงราย” จะไปต่อแบบไหน? ถอดบทเรียนจากเสียงประชาชน 472 ความเห็นเชื่อมข้อมูลท่องเที่ยวและความปลอดภัย สู่ทางเลือกที่ยั่งยืน

เชียงราย, 13 สิงหาคม 2568 — “ถ้าปลายปีเชียงรายไม่จัด ‘เทศกาลดอกไม้’ ควรเปลี่ยนเป็นเทศกาลอะไรดี?” คำถามปลายเปิดจากเพจ นครเชียงรายนิวส์ โพสต์เมื่อ 10 สิงหาคม กลายเป็นจุดสตาร์ทย่อยๆ ที่ปลุกให้คนเมืองและชาวเชียงรายบางส่วนได้ออกมาแสดงความเห็นแบบหลากหลายทั้งสนับสนุนให้จัดต่อ ปรับรูปแบบ หรือเปลี่ยนใหม่ไปเลย สะท้อนความคาดหวังต่ออนาคตเศรษฐกิจท่องเที่ยวท้องถิ่นในฤดูไฮซีซันปลายปี

เพียงไม่กี่ชั่วโมง โพสต์ดังกล่าวมียอดแสดงความเห็นรวม 472 คอมเมนต์ พร้อมปฏิกิริยาและการแชร์อีกจำนวนมาก แม้จะเป็น “แบบสำรวจไม่เป็นทางการ” แต่ปริมาณการมีส่วนร่วมที่สูงพอสะท้อนพลังการถกเถียงที่กว้างขวางและสำคัญยิ่งสำหรับหน่วยงานที่กำลังคลิกเครื่องวางแผนงบประมาณ และโปรแกรมกิจกรรมฤดูท่องเที่ยวปลายปีของจังหวัด

จาก 472 ความเห็น 5 เส้นเรื่องใหญ่

เมื่อนำสาระจากคอมเมนต์ทั้งหมดมาคลี่เป็นประเด็น จะพบ “5 เส้นเรื่อง” ที่ประชาชนพูดถึงมากที่สุด เรียงจากมากไปน้อย ดังนี้

  1. โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค — กลุ่มนี้เสนอให้ “หยุด-พัก” งบเทศกาล แล้วหันไปอุด “คอขวดเมือง” แทน ตั้งแต่ถนน หลุมบ่อ ฟุตพาท ระบบระบายน้ำป้องกันน้ำท่วม ไฟส่องสว่าง และกล้องวงจรปิดในจุดเสี่ยง โดยมีเสียงย้ำเรื่อง “ปลอดภัย เดินง่าย ใช้ได้จริง” เป็นธงนำ
  2. เทศกาลรูปแบบใหม่ — แนวคิดแตกแขนงหลากหลาย ตั้งแต่งานดนตรีริมโขง คอนเสิร์ต K-pop/T-pop เทศกาลศิลปะร่วมสมัย สตรีทอาร์ต เทศกาลอาหารชากาแฟ จนถึงมหกรรมกีฬา สะท้อนภาพจำ “เมืองศิลปะธรรมชาติกาแฟ” ที่เชียงรายสั่งสมมานาน
  3. จัด “เทศกาลดอกไม้” ต่อ แต่ปรับปรุง — เหตุผลหลักคือ “เป็นแบรนด์ของเมืองแล้ว” ข้อเสนอเชิงรูปธรรม เช่น รวมจัด “ที่เดียว-ให้ยิ่งใหญ่” เพิ่มกิจกรรมวัฒนธรรม จุดพลุ แผนการเดินทางจราจรที่จอดรถ และปรับการสื่อสารการตลาดให้ทันสมัยขึ้น
  4. กระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว — เน้นว่าช่วงปลายปีคือ “โอกาสทอง” ของผู้ประกอบการ ต้องมี “กิจกรรมแม่เหล็ก” ดึงคนเข้าเมือง พร้อมเสียงเรียกร้อง “โควตาพื้นที่ขายให้คนท้องถิ่นก่อน” เพื่อให้รายได้กระจายจริง
  5. อนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น — เสนอเทศกาลชาติพันธุ์ล้านนาชนเผ่า ประเพณียี่เป็ง รำวงพื้นบ้าน และการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์เมือง เพื่อ “ยึดโยงอัตลักษณ์” ควบคู่การท่องเที่ยว

คำถามชวนคิด: เมื่อเสียงส่วนหนึ่งเรียกร้องให้โยกงบเทศกาลไปแก้ “พื้นฐานเมือง” และอีกส่วนอยากได้ “งานแม่เหล็ก” เพื่อรายได้ช่วงไฮซีซันเชียงรายจะสร้าง “ดุลยภาพ” ระหว่าง คุณภาพชีวิตคนเมือง กับ ภาพจำปลายปี ได้อย่างไร?

ภูมิทัศน์ท่องเที่ยวตัวเลขบอกอะไรเรา

ระดับประเทศ. ปี 2567 (ค.ศ.2024) ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 35.54 ล้านคน รายได้รวมจากการท่องเที่ยว (ต่างชาติ + ไทยเที่ยวไทย) ประมาณ 2.62 ล้านล้านบาท สัญญาณฟื้นตัวชัดเจนเมื่อเทียบปีก่อน แม้ยังต่ำกว่าเป้าหมายบางหน่วยงาน แต่สะท้อนอุปสงค์กลับมาเด่นชัดและฐานเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทยยังแข็งแรงในภาพรวม

ระดับจังหวัด. ฝั่งเชียงรายเอง ข้อมูลอัปเดตจากภาครัฐระบุว่า รายได้จากการท่องเที่ยวปี 2567 ติดท็อป 10 ของประเทศ อยู่ที่ประมาณ 49,420 ล้านบาท (อันดับ 9) แสดงศักยภาพของเมืองที่ไม่ได้พึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเดียว แต่ยืนบนฐานนักท่องเที่ยวไทยและเส้นทาง-ประสบการณ์หลากหลายที่กระจายทั่วทั้งจังหวัด

สัญญาณอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจเชียงราย. เมืองยังมี “สินทรัพย์วัฒนธรรม-ธรรมชาติ-งานศิลป์” เป็นแม่เหล็ก ทั้ง วัดร่องขุ่น และ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ที่ยืนยันภาพ “เมืองศิลปะร่วมสมัย” ควบคู่กับแลนด์สเคปภูเขา ไร่ชา และวิถีชนเผ่า

ปฏิทินเทศกาลจาก “ดอกไม้ปลายปี” สู่พหุเทศกาล

เพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย ควรเห็นภาพ “แพลตฟอร์มเทศกาล” ทั้งปีโดยเฉพาะ ครึ่งหลังของปี ที่เป็นหน้าหนาวและท่องเที่ยวคึกคัก

  • มหกรรมไม้ดอกอาเซียน เชียงราย: งานดอกไม้เชิงพฤกษศาสตร์ช่วง ธ.ค.–ม.ค. ที่ “สวนไม้งามริมกก” เพิ่มน้ำหนักด้านการเรียนรู้และเครือข่ายอาเซียน มากกว่าเชิงตกแต่งล้วนๆ
  • งานเชียงรายดอกไม้งาม: เทศกาลดอกไม้ “แบรนด์เมือง” ที่คนจดจำ จัดช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงก.พ. เป็นสินทรัพย์ทางการตลาดที่มีมูลค่าทางอารมณ์สูง หากปรับวิธีบริหารจัดการให้ยั่งยืน จะยิ่งทวีคูณผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์

แกนคิดสำคัญ การบริหารพอร์ตอีเวนต์ที่ ไม่ทับซ้อนกัน และ ไม่กินงบกันเอง จึงสำคัญกว่าการถกเถียงแบบ “เอา-ไม่เอา” งานใดงานหนึ่ง

มิติความปลอดภัย เหตุผลที่ “เชียงราย” น่าสนใจในสายตาโลก

ปัจจัยความปลอดภัย โดยเฉพาะ ความปลอดภัยเชิงเพศสภาพ กำลังกลายเป็นตัวชี้ขาดเส้นทางการท่องเที่ยวและการอยู่นานของดิจิทัลโนแมด งานศึกษาของ Holidu (แพลตฟอร์มท่องเที่ยวในยุโรป) จัดทำ ดัชนีเมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดหญิง จากหลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยเวลาเดินคนเดียวกลางคืน ความเป็นมิตรต่อผู้หญิง/ชาวต่างชาติ อัตราส่วนเพศในชุมชนโนแมด และกฎหมายคุ้มครองจากการคุกคามในที่ทำงาน—โดยผลลัพธ์หนึ่งระบุว่า เชียงรายติดอันดับ 2 ของโลก รองจากไทเป ในปีล่าสุดที่มีการเผยแพร่ ซึ่งเป็น “ตราประทับ” ด้านภาพลักษณ์ความปลอดภัยที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการตลาดเมืองในยุคโนแมดกำลังเติบโต

นอกจากภาพลักษณ์ระดับโลก สิ่งที่หน่วยงานท้องถิ่นทำได้ทันที คือการ ย้ำมาตรการความปลอดภัยผ่านบริการที่จับต้องได้ เช่น ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (Tourist Assistance Center) และงานตำรวจท่องเที่ยวเชิงรุกในย่านท่องเที่ยว/งานเทศกาล ตลอดจนการสื่อสารหลายภาษาเพื่อแปลง “อันดับ” ให้เป็น “ประสบการณ์จริง” ของผู้มาเยือน

ข้อเสนอทางปฏิบัติ (เชิงความปลอดภัยงานเทศกาล)

  • จัดทำ เส้นทางปลอดภัย (Safe Walk) และจุด SOS ในลานกิจกรรม
  • เพิ่มไฟส่องสว่าง-กล้องวงจรปิดในจุดมืด พร้อมจุดสังเกตง่าย
  • จัดเวรยามอาสาสมัครชุมชนและทีมแพทย์สนาม
  • เปิดข้อมูลเหตุการณ์-การตอบสนองแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนรับรู้ (“Open Safety Dashboard”) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นล่วงหน้า

ทางเลือกเชิงนโยบายเมื่อ “เทศกาล” คือเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย

1) โมเดล “เทศกาลหลัก 1 + ดาวเทียมหลายจุด”
แทนที่จะจัดหลายเทศกาลใหญ่ทับซ้อนในเมืองเดียว เสนอให้ยกระดับ “งานดอกไม้” เป็น Flagship ที่เดียว ยกระดับคุณภาพการจัด-ระบบจราจร-การเข้าถึง-ศิลปกรรมร่วมสมัยและใช้ “งานดาวเทียม” กระจายรอบจังหวัดเชื่อม ชุมชนกาแฟ-ศิลปะ-ชาติพันธุ์ ให้เกิด เส้นทางท่องเที่ยว ที่คนใช้เวลาในจังหวัดได้นานขึ้น และกระจายรายได้ดีขึ้นพร้อมขนส่งสาธารณะเฉพาะกิจช่วงพีกที่เชื่อมตัวเมืองกับจุดกระจาย

2) จัดสรรงบ “เทศกาล 70: เมือง 30”
ตอบโจทย์สองฝ่ายด้วยการกันงบ 30% เพื่อโครงสร้างพื้นฐานด่วน ในย่านท่องเที่ยวที่ชาวบ้านใช้งานจริง ฟุตพาท ทางข้ามคนเดินเท้า ไฟส่องสว่าง กล้องฯ และระบายน้ำ โดยสื่อสารให้สังคมเห็น “ผลงานจับต้องได้” ควบคู่แผนงานเทศกาลจะช่วยลดแรงเสียดทานทางสังคมและสร้างทุนทางความไว้วางใจ

3) เทศกาลเนื้อหา (Content Festival) แทนงานก่อสร้างหนาแน่น
ลดการใช้ดอกไม้สดจำนวนมาก เพื่อความยั่งยืนและต้นทุนหันไปเน้น คอนเทนต์ศิลปะเทคโนโลยีแสงเสียงเรื่องเล่าเมือง และ อีเวนต์เชิงความรู้ เช่น เสวนา “เมืองศิลปะและท่องเที่ยวยั่งยืน” เวิร์กช็อปศิลปะร่วมสมัย เวทีโชว์งานคราฟต์ชาติพันธุ์สิ่งเหล่านี้ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าการตกแต่งมวลดอกไม้ แต่ให้ “คุณค่าจดจำ” สูงกว่าและยืดอายุการใช้งานเนื้อหาออนไลน์

4) การตลาดเชิงหัวข้อใหม่ (New Angles)
ต่อยอดความปลอดภัยและภาพลักษณ์ “เมืองทำงานได้เที่ยวง่าย” ด้วยแพ็กเกจ Workation/Remote Year สำหรับกลุ่มดิจิทัลโนแมดหญิงและครอบครัว โรงเรียนระยะสั้น ค่ายเด็ก กิจกรรมธรรมชาติควบคู่การสื่อสาร “Safety First City”—ให้เชียงรายเป็น จุดหมายปลายทางที่รู้สึกปลอดภัย ตั้งแต่วินาทีที่วางแผนจนกลับบ้าน

ประชาชนได้อะไร ถ้าตัดสินใจ “ถูกแกน” ตั้งแต่วันนี้

เมืองเดินได้-อยู่ดีขึ้น งบเทศกาลที่ออกแบบควบคู่การซ่อมเมือง จะทำให้ฟุตพาท ทางข้าม และไฟส่องสว่างดีขึ้นถาวรประชาชนใช้ได้ทุกวัน มิใช่เฉพาะช่วงอีเวนต์ รายได้กระจายไป “รอบนอก” เมื่อเทศกาลหลักโยงเส้นทางนอกเมือง ไร่ชา ดอย ชุมชนกาแฟ ชาติพันธุ์ ร้านเล็กๆ โฮมสเตย์ และบริการขนาดย่อมจะมีลูกค้าเพิ่มเงินกระจายกว้างขึ้น ลดการกระจุกตัว ภาพจำจังหวัดชัดขึ้น เชียงรายไม่เพียง “สวยเพราะดอกไม้” แต่ “สวยเพราะเรื่องเล่าศิลปะวัฒนธรรมปลอดภัย” ซึ่งแปลงเป็นข้อได้เปรียบระยะยาว ดึงคนคุณภาพและกลุ่มครอบครัวกลับมาเยือนซ้ำต้นทุนสิ่งแวดล้อมลดลง การย้ายจาก “มหกรรมดอกไม้สดมวลมาก” ไปสู่ “คอนเทนต์เทคโนโลยีศิลปะร่วมสมัย” ช่วยลดขยะ ลดการใช้น้ำ ลดพลังงาน และทำให้งาน “สเกลได้” โดยไม่ขยายภาระ

มอนิเตอร์ภาพลักษณ์ออนไลน์

โพสต์ถามใจคนเชียงรายเพียงหนึ่งโพสต์จุดกระแสให้เห็น “เส้นเลือดใหญ่ของเมือง” ที่วิ่งควบคู่กันอยู่เสมอ คือ เศรษฐกิจ-วัฒนธรรม-คุณภาพชีวิต ถ้าต้องเลือกระหว่าง “จัดไม่จัด” เทศกาลคำตอบอาจเป็น “จัดให้ตรงแกน” มากกว่าจัดแบบพอเหมาะ พอเพียง สื่อสารเรื่องเล่าของเมืองอย่างมีสไตล์ เชื่อมเส้นทางเที่ยวทั้งจังหวัด เกลี่ยงบไปซ่อมเมืองที่คนใช้จริง และตอกย้ำมาตรการความปลอดภัย เพื่อให้ “ประสบการณ์จริง” สอดคล้องกับ “ภาพลักษณ์โลก” ที่เชียงรายได้บนเวทีสากล

ท้ายที่สุด เทศกาลคือ เครื่องมือ ไม่ใช่ เป้าหมายเครื่องมือที่ดีต้องทำให้คนอยู่ดีขึ้น เมืองยั่งยืนขึ้น และเศรษฐกิจกระจายกว้างขึ้น หากเชียงรายจัดสมดุลสามขานี้ได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ เมืองก็มีสิทธิ์กลายเป็น ต้นแบบการจัดเทศกาลเชิงคุณภาพ ของภาคเหนือได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถิติการท่องเที่ยวไทย ปี 2567: “ภาพรวมรายได้จากการท่องเที่ยว 2.62 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35.54 ล้านคน” โดย ฐานเศรษฐกิจ สรุปจากข้อมูลหน่วยงานด้านท่องเที่ยว (เข้าถึง ส.ค. 2568)
  • ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2024: รายการสถิติ “Tourism in Thailand” (อัปเดตปี 2025) รวมตัวเลขสิ้นปี 2024 เพื่อการอ้างอิงสากล (ใช้ตรวจทานข้ามแหล่ง)
  • รายได้ท่องเที่ยวจังหวัด ปี 2567 (Top 10): ประกาศอ้างอิงข้อมูลกรมการท่องเที่ยว ระบุ “เชียงราย 49,420.04 ล้านบาท” (อันดับ 9) เผยแพร่ มี.ค. 2568
  • Holidu Magazine ว่าด้วย “เมืองที่ปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดหญิง” ระบุไทเปอันดับ 1 และเชียงรายอันดับ 2 (อ้างอิงชุดข้อมูลจากแพลตฟอร์มโนแมด)
  • โพสต์จากสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ วันที่ 10 สิงหาคม 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

เสียดายโอกาสประเทศไทย! ACT จี้รัฐบาลแพรทองธาร ไร้ทิศทางปราบโกงจริงจัง

ACT ชำแหละ “หนึ่งปีรัฐบาลแพรทองธาร” สังคมเสียดายโอกาสชี้ไร้ทิศทางปราบโกง เสนอ “รัฐโปร่งใส” เป็นวาระแห่งชาติฟื้นศรัทธา

ประเทศไทย, 13 สิงหาคม 2568 — ในบ่ายวันที่อากาศอบอ้าว กระแส “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT แผ่กว้างบนหน้าฟีดและโต๊ะเสวนาทั่วเมือง ข้อเขียนชิ้นนี้โดย มานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ตั้งคำถามตรง ๆ ต่อรัฐบาลที่เพิ่งครบรอบหนึ่งปีภายใต้การนำของ “แพรทองธาร” ว่า เอาจริงกับการปราบโกงหรือไม่” พร้อมเรียงเหตุผลเจ็ดข้อที่สะท้อนภาพ “ไร้ทิศทางไร้กลไกไม่ตั้งใจปราบโกง” และลงท้ายด้วยข้อเสนอเชิงระบบเพื่อฟื้นศรัทธาผ่านการสร้าง “รัฐโปร่งใส” แบบเปิดเผยข้อมูลและเอื้อต่อการตรวจสอบของสาธารณะ

ท่ามกลางเสียงถกเถียงทางการเมือง ตัวเลขสากลอย่างดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ก็ทิ่มตาไทยได้ 34 คะแนน อยู่อันดับที่ 107 ของโลกในปี 2024 ซึ่งไม่เพียงต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยโลกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกเกินกว่าแค่มาตรการ “ตามเหตุการณ์” จะเยียวยาได้ทันใจ (อ้างอิงรายงานข่าวเศรษฐกิจและหน้าการเมืองไทยหลายสำนักที่ถ่ายทอดตัวเลขจาก Transparency International)

โครงเรื่องจากความหวังสู่ “เสียดายโอกาส”

หนึ่งปีก่อน สังคมตั้งคำถามต่อรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเดินหน้า “ปฏิรูปเชิงระบบ” สลายป่ามรดกกฎระเบียบซับซ้อน และยกระดับธรรมาภิบาลรัฐ ทว่าตลอดปีที่ผ่านมา ข่าวเศรษฐกิจหลักชิ้นหนึ่งกลับเป็นการโยกวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ไปขับเคลื่อนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานชุมชน ท่องเที่ยว ไปจนถึงดิจิทัลพร้อมกรอบการประเมินผลต่อจีดีพีและการจ้างงานอย่างเป็นทางการ แต่ในอีกมุม สังคมก็ย้อนถามว่า “เมื่อการใช้จ่ายของรัฐขยายตัว เราได้เห็นระบบป้องกันการรั่วไหลเข้มแข็งขึ้นแค่ไหน” คำถามนี้เองที่บ่มเพาะความกังขาในวงกว้าง

ACT จึงหยิบ “วิกฤตความไว้วางใจ” ขึ้นมาเล่าแบบตรงไปตรงมา: เมื่อประเทศเผชิญคอร์รัปชันเรื้อรัง แต่การเมืองยังไม่พิสูจน์ความตั้งใจปราบโกงให้สังคมเห็นความศรัทธาย่อมถดถอย ข้อเขียนของ ACT ไม่ใช่เพียงเสียงวิจารณ์ หากเป็น “ขอร้อง” ให้รัฐสานต่อมาตรการเชิงระบบ นำข้อเสนอที่ถูกศึกษาไว้นานแล้วมาลงมือจริง และเปิดข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบร่วมกันได้

7 เหตุผลที่ทำให้สังคมรู้สึก “รัฐไม่ตั้งใจปราบโกง”

ข้อหนึ่ง ไม่มี “แถลงนโยบายต้านโกงที่จับต้องได้” ต่อสายตาสาธารณะ แม้กรอบเป้าหมาย CPI ที่พูดถึงบนเวทีสภาจะดูท้าทาย แต่ตราบใดที่สังคมยังไม่เห็น “แผนตัวชี้วัดความคืบหน้าเป็นรอบปี” ความเชื่อมั่นก็ยากเกิดจริง

ข้อสอง กลไกเดิมอ่อนแรงกลไกใหม่ไม่ชัด ACT ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐเลิกใช้ “ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.)” ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือบูรณาการหน่วยงาน แม้ศูนย์ฯ ก่อตั้งมาจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2557 เพื่อเร่งคดีสำคัญและอุดช่องโหว่ระบบราชการ แต่ปัจจุบันไม่เห็นบทบาทที่ชัดเจนเท่าเดิม ขณะที่กลไกใหม่ก็ไม่ปรากฏภาพรวมการทำงานต่อสาธารณะอย่างเป็นระบบ

ข้อสาม บริหารแบบ “แก้เฉพาะหน้า” กับเหตุสะเทือนสังคมจากอุบัติภัยสาธารณะ ไปจนถึงข้อกังขาเรื่องงานรัฐ รัฐมักสั่งสอบเยียวยา แต่สังคมยังไม่เห็นรายงานสรุปที่ชี้ “สาเหตุผู้รับผิดชอบมาตรการป้องกันซ้ำ” อย่างเป็นระบบ และสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากหลายกรณีที่ ACT ออกมาตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐและหน่วยตรวจสอบอิสระเองด้วยซ้ำ

ข้อสี่ คำมั่น “ปฏิรูประบบราชการปฏิรูปกฎหมาย” ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร ทั้งที่แนวทางอย่าง Regulatory Guillotine การทบทวนยุบปรับเกณฑ์ที่ซ้ำซ้อนเพื่อปิดช่องทุจริตถูกพูดถึงในยุทธศาสตร์ชาติมาหลายปี และถูกแนะนำโดยนักวิชาการ–หน่วยงานกำกับการเงินมาโดยตลอด หากไม่ขยับจริง ความซับซ้อนของใบอนุญาตและกฎเกณฑ์จะยังเป็น “ค่าผ่านด่าน” โดยพฤตินัยต่อไป

ข้อห้า ข้อเสนอของ ป.ป.ช. ถูกวางไว้บนหิ้ง ACT ชี้ว่าปัญหา “แปะเจี๊ยะนมโรงเรียน ส่วยสินบนใบอนุญาต คอร์รัปชันเชิงนโยบาย” ถูกศึกษาและเสนอทางแก้ต่อครม.ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สังคมยังไม่เห็น “แดชบอร์ดความคืบหน้า” ที่รายงานผลสัมฤทธิ์อย่างสม่ำเสมอ จึงยากจะวัดว่ารัฐบาล “ลงมือจริง” ในระดับนโยบายแค่ไหน

ข้อหก สับสนบทบาทหน่วยงานต้านโกงการให้ ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) เป็น “แม่งานหลัก” ผลัก CPI แทน ป.ป.ช. (ซึ่งมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญและทรัพยากรมากกว่า) อาจสะท้อนความเข้าใจต่อโครงสร้างที่ยัง “ไม่เข้าที่” ยิ่งกว่านั้น หากไม่มีกรอบบูรณาการกับสตง.–สำนักงานอัยการ–ตำรวจ คดีสำคัญก็เสี่ยง “ติดคอขวด” ตามมา

ข้อเจ็ด “เกียร์ว่าง” ระดับพื้นที่เมื่อผู้นำไม่ส่งสัญญาณชัด ข้าราชการต้นน้ำ–ปลายน้ำก็ทำงานแบบ “พิธีกรรม” มากกว่ากัดติดเป้าหมาย วงจรนี้ทำให้คณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันระดับจังหวัดซึ่งควรถกเคสเร่งปิดช่องโหว่ กลายเป็นเพียงการประชุมเพื่อ “เช็กชื่อ” มากกว่า “เช็กความคืบ”

ประเด็นทั้งเจ็ดสรุปง่าย ๆ ว่า นโยบายต้านโกงยังไม่ถูกทำให้ ‘จับต้องได้’ ด้วยเป้าหมาย–แผน–ระบบรายงานผล” นี่คือหัวใจที่ ACT มองว่า “เสียโอกาส” ต่อการฟื้นศรัทธา

ตัวเลขไม่โกหก CPI 34 คะแนน กับความจำเป็นของ “รัฐเปิดเผย”

ปี 2024, Transparency International รายงานว่าไทยได้ 34 คะแนน (จาก 100) รั้งอันดับ 107 จาก 180 ประเทศ เทียบย่านอาเซียน ภูมิภาคมีทั้งประเทศคะแนนสูงกว่าเราอย่างต่อเนื่อง และประเทศที่ไต่อันดับขึ้นด้วยแพ็กเกจ “รัฐเปิดเผยคุมข้อตกลงผลประโยชน์ทับซ้อนปกป้องผู้เป่านกหวีด” ตัวเลขนี้ถูกยกเป็น “ไฟแดง” ว่าถ้ารัฐจะตั้งเป้าผลักคะแนนขึ้น สังคมจำเป็นต้องเห็น แผน Open Government ที่ลงรายละเอียดว่าข้อมูลอะไรจะเปิด เมื่อไรในรูปแบบใดโดยใครรับผิดชอบ และวางระบบร้องเรียน–ติดตามผลที่ประชาชนใช้งานง่ายจริง ไม่ใช่เพียงสโลแกน

ประเทศไทยมีฐาน Open Government Data ผ่านพอร์ทัล data.go.th ที่ดูแลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ซึ่งประกาศชัดเจนว่ามุ่งยกระดับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐสู่นวัตกรรมและความโปร่งใส คำถามคือ “จะยกระดับจาก เปิดข้อมูล ไปสู่ เปิดสัญญา–เปิดงบ–เปิดผลลัพธ์ ได้เร็วแค่ไหน” โดยเฉพาะเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทที่กำลังไหลลงพื้นที่จำนวนมาก

โยกงบ 1.57 แสนล้าน” บททดสอบรัฐโปร่งใส

กระทรวงการคลัง–สำนักงบประมาณ และคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจระบุว่า งบ 1.57 แสนล้านจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นราว 0.4%, กระจายการลงทุนไปยังโครงสร้างพื้นฐานน้ำคมนาคมท่องเที่ยวดิจิทัลชุมชน พร้อมเป้าหมายการจ้างงาน และการยกเครื่องคุณภาพชีวิตระดับจังหวัด รายละเอียดเชิงโครงการพื้นที่ผู้รับจ้างกรอบเวลาตรวจรับงาน ถูกประกาศบางส่วนแล้ว แต่การสะสม “ความเชื่อมั่น” อยู่ที่การเปิดสัญญาผลการเบิกจ่ายตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์และการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลต้องสื่อสารเชิงรุกเมื่อถูกตั้งคำถาม เช่น ประเด็น “โยกงบเพื่อวาระอื่น” เพื่อไม่ให้ข่าวลือบดบังข้อเท็จจริงทางการคลัง

บทเรียนจากกลไกเดิม ศอ.ตช. และบทบาทหน่วยบังคับใช้

ย้อนดู ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ซึ่งจัดตั้งด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี 226/2557 บทบาทของศูนย์ฯ คือรวบรวมเร่งรัดบูรณาการข้อมูลคดีทุจริตสำคัญกับตำรวจ–ป.ป.ช.–ป.ป.ท.–สตง.–อัยการ เพื่อให้ “ลงมือแก้ปัญหาแบบทีม” ช่วงที่ศูนย์ฯ ทำงานเข้ม สังคมเห็นความพยายามผลักเคสข้าม “คอขวด” แต่เมื่อเวลาผ่านไป บทบาทนี้จางลงตามโครงสร้างการเมือง นี่ย้ำว่าหากรัฐบาลปัจจุบันอยาก “ส่งสัญญาณจริง” ก็สามารถ “รีบูตกลไกบูรณาการ” ด้วยกรอบอำนาจ–เส้นตาย–ระบบรายงานต่อสาธารณะที่ชัดเจนอีกครั้ง

ด้าน ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) มีภารกิจสอบสวนความผิดวินัยและอาญาเจ้าหน้าที่รัฐ ควบคู่กับการเสนอแนวทางป้องกันทุจริตเชิงระบบ หากรัฐบาลวางให้ ป.ป.ท. เป็นแกนกลางขับเคลื่อน ต้องจัด ทรัพยากรอำนาจแดชบอร์ดข้อมูล ให้เหมาะสม และเชื่อมโยงกับ ป.ป.ช. (องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ) และ สตง. อย่างไม่มีรอยต่อ ซึ่งสังคมคาดหวัง “รูปธรรมความร่วมมือ” มากกว่า “คำประกาศ”

จาก “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” สู่ “ปีแห่งรัฐเปิดเผย”

ในทุกวันที่ 6 กันยายน ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม จะร่วมกิจกรรม “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” ซึ่ง ACT ทำหน้าที่เสาค้ำเวทีมาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ ACT ประกาศเชิญชวนประชาชน องค์กร สื่อมวลชน ร่วมออกแบบ “ระบบใหม่ที่เปิดทางให้คนดีเติบโต” ผ่านกิจกรรมออนไลน์ออฟไลน์ หัวใจคือ เปลี่ยนพลังรายวันของประชาชนให้เป็นแรงกดดันเชิงบวก ต่อรัฐและองค์กรทุกระดับ ให้ “เปิดอธิบายรับผิดชอบ” เป็นกิจวัตร ไม่ใช่เฉพาะเวลาเกิดเรื่อง

“เราต้องทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็น วาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนมีบทนักการเมืองต้องสร้างพรรคที่มีธรรมาภิบาล นักธุรกิจหยุดจ่ายใต้โต๊ะ ข้าราชการทำงานตามหลักคุณธรรม และประชาชนไม่ยอมรับการโกงทุกรูปแบบ” แนวทางแกนกลางที่ ACT เน้นย้ำตลอดทศวรรษที่ผ่านมา (ถอดแก่นจากคำประกาศสาธารณะและภารกิจของ ACT)

ประชาชน “ได้อะไร” หากรัฐเดินหน้าตามโจทย์ ACT

  1. ความโปร่งใสเชิงรุก — หากรัฐเปิดข้อมูลโครงการสัญญาผู้รับจ้างผลเบิกจ่าย แบบติดตามได้ทุก 30 วัน ผู้เสียภาษีจะ “เห็น” การเคลื่อนเม็ดเงินและผลลัพธ์จริง ลดพื้นที่การคาดเดา–ข่าวลือ และทำให้สื่อกับสังคมเข้ามาช่วยสอดส่องเชิงข้อมูลได้ทันเวลา
  2. ต้นทุนธุรกิจลดลง — การทบทวนกฎ (Regulatory Guillotine) ตัดขั้นตอนใบอนุญาตซ้ำซ้อน จะลด “รอยรั่ว” และ “ค่าลูบคม” เปิดทางการแข่งขันที่เป็นธรรมเอื้อ SMEs และสตาร์ตอัปที่เดิมเสียเปรียบเพราะ “ต้นทุนมืด” สูงเกินมาตรฐาน
  3. บริการรัฐดีขึ้น — เมื่อหน่วยงานรู้ว่าข้อมูลผลการประเมินจะถูกเปิดเผยและเทียบเคียง ทุกคนจะจริงจังกับการวัดผล–ส่งมอบบริการ เกิดวัฒนธรรม “ทำจริงอธิบายได้” แทน “ทำตามพิธี”
  4. CPI มีโอกาสขยับด้วยพิมพ์เขียวง่าย ๆ — ประเทศที่คะแนนดีขึ้นในรอบ 5–10 ปีมักทำ 3 เรื่องพร้อมกัน: เปิดข้อมูลเชิงรุก, คุมผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองข้าราชการระดับสูง, และ คุ้มครองผู้เปิดโปงทุจริต หากไทยทำครบพร้อมระบบติดตามผลไม่ใช่แค่แถลงการณ์คะแนนความเชื่อมั่นจากภาคธุรกิจ–นักลงทุน–องค์กรสากลย่อมตอบสนองเป็นรูปธรรม

เสียง–สถิติ–คำถามชวนคิด

  • 34 คะแนน บอกอะไรเรา? วัด “การรับรู้” จากผู้เชี่ยวชาญและภาคธุรกิจต่อความเสี่ยงคอร์รัปชัน หากคะแนนต่ำต่อเนื่อง ต้นทุนกู้เงินการลงทุนการทำธุรกิจก็มักสูงกว่าประเทศคู่แข่ง
  • 1.57 แสนล้านบาท จะกลายเป็น เครื่องฟอกศรัทธา หรือ เชื้อเพลิงความกังขา? คำตอบอยู่ที่ “ระดับความเปิดเผย” ของสัญญาผลสัมฤทธิ์การตรวจรับงาน และการรับมือข้อร้องเรียนอย่างมืออาชีพ
  • เราจะออกจากวังวน “ตั้งคณะกรรมการแถลงข่าวเงียบหาย” ได้อย่างไร?  กลไกบูรณาการแบบ ศอ.ตช. ที่ปรับให้ทันสมัย อาจเป็นคำตอบ หากวางกรอบอำนาจเส้นตายดัชนีวัดผล และเผยแพร่ต่อสาธารณะทุกไตรมาส

ทางออกเชิงนโยบาย จากคำประกาศสู่ “ระบบ”

  1. ประกาศโรดแมปต้านโกง 12–24 เดือน กำหนด 5 เป้าเร่งด่วน เช่น เปิดสัญญารัฐทั้งหมดที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท, ฐานข้อมูลทรัพย์สินนักการเมือง–บอร์ดรัฐวิสาหกิจรูปแบบ machine-readable, ดัชนีผลประโยชน์ทับซ้อนประจำกระทรวง, ระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส, และแดชบอร์ดความคืบหน้าคำแนะนำ ป.ป.ช.
  2. เปิดงบกระตุ้น–เปิดผล เผยแพร่รายงาน “เงินถึงใครจ้างงานไหนเสร็จเมื่อไรผลลัพธ์คืออะไร” สำหรับ 1.57 แสนล้านแบบรายจังหวัด/รายโครงการ พร้อมช่องทางร้องเรียนและ SLA ตอบกลับ 15 วัน
  3. รีบูตกลไกบูรณาการคดีทุจริต ยกระดับความร่วมมือ ป.ป.ช.–ป.ป.ท.–สตง.–ตำรวจ–อัยการ ใต้กรอบเส้นตาย–เจ้าภาพชัดเจน ให้ประชาชนติดตามสถานะคดีสำคัญได้เสมือน “ระบบติดตามพัสดุ”
  4. เร่ง Regulatory Guillotine ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐเอกชนวิชาการ คัด 100 กฎใบอนุญาตต้นน้ำที่ซ้ำซ้อนสูงสุด ล้มลดรวมย้ายขั้นตอน พร้อมรายงานประหยัดเวลาต้นทุนทุกไตรมาส
  5. ยกระดับ Open Government Data → Open Contracting ผ่านพอร์ทัลเดียว (เชื่อมกับ data.go.th) ครอบคลุม TOR, ราคากลาง, ผู้ยื่นผู้ชนะ, สัญญา, งวดงานงวดเงิน, และรายงานตรวจรับ แก้ไขได้ด้วยมาตรฐานสากล OCDS

“พยานหลักฐาน–ข้อมูลเปิด” มากกว่า “คำประกาศ” ตัวเลข

ข้อเขียน “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ของ ACT ไม่ได้เพียงวิจารณ์ หาก “ปักหมุดทางออก” ว่ารัฐบาลต้องเป็น ผู้นำการต่อต้านคอร์รัปชัน อย่างแท้จริงด้วยการเปิดเผยข้อมูลเชิงรุก, ทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนมีบทบาท, และทำงานบน “พยานหลักฐาน–ข้อมูลเปิด” มากกว่า “คำประกาศ” ตัวเลข CPI 34 คะแนนและอันดับ 107 ของไทยในปีล่าสุด เป็นสัญญาณเตือนว่า การสื่อสารการเปิดข้อมูลการลงมือ ต้องเกิด “พร้อมกัน” จึงจะดันความเชื่อมั่นขึ้นได้อย่างยั่งยืน

คำถามสำคัญถึงผู้อ่าน–ผู้เสียภาษี–ผู้ประกอบการ–ข้าราชการ คือ: เราพร้อมหรือยังที่จะไม่ยอมรับ “การโกงเล็ก ๆ” ในชีวิตประจำวัน, พร้อมติดตามข้อมูลโครงการรัฐด้วยสายตาของพลเมือง และพร้อมเป็นพลังใน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” 6 กันยายนนี้ เพื่อผลักดันปีต่อไปให้เป็น “ปีแห่งรัฐเปิดเผย” จริง ๆ?

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Transparency International – Corruption Perceptions Index 2024: สะท้อนคะแนนและอันดับของประเทศไทยปีล่าสุด (ไทย 34 คะแนน อันดับ 107) และบริบทเปรียบเทียบกับภูมิภาค/โลก. Transparency.orgnationthailand
  • Bangkok Biz News / Post Today / Thai PBS: ข่าวนโยบาย “โยกงบ/จัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท” ตัวเลขกรอบวงเงิน–จำนวนโครงการ–ผลต่อจีดีพี–การสื่อสารเชิงนโยบาย. bangkokbiznewsposttodayThai PBS
  • ACT – Anti-Corruption Organization of Thailand: ภารกิจและบทบาทการขับเคลื่อน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” และข้อเรียกร้องต่อรัฐเรื่องความโปร่งใส–ตรวจสอบได้. Facebook
  • Hfocus และ เพจ ACT: ตัวอย่างการออกมาเรียกร้องความโปร่งใสกรณีสาธารณะสำคัญและการตั้งคำถามต่อกระบวนการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ. oja.go.thYouTube
  • คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 226/2557 จัดตั้ง ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ฐานอำนาจ–โครงสร้างความร่วมมือ. YouTube
  • สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) – data.go.th: โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเปิดภาครัฐ และทิศทางการยกระดับสู่ธรรมาภิบาลข้อมูล. nacc.go.th
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (หอสมุดรัฐสภา): บทความอธิบายบทบาท ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) และกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง. dga.or.th
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย – Regulatory Guillotine: แนวคิด–ความจำเป็น–ผลต่อการแข่งขันและธรรมาภิบาลเศรษฐกิจ หากนำมาปรับใช้จริงจังในไทย. pacc.go.th
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS WORLD PULSE

พลังสามัคคีลาบวน! 3,000 คนชุมนุมเรียกร้องความจริงคดีนักเรียนหญิง Zara

มาเลเซียช็อกทั้งประเทศ “Justice for Zara” จุดไฟยุติความรุนแรงในโรงเรียน—เสียงสามัคคีกว่า 3,000 คนที่ลาบวน กดดันรัฐคลี่คดีให้โปร่งใส

ลาบวน/โกตาคินาบาลู, 12 สิงหาคม 2568—เสียงตะโกน “Justice for Zara” ดังก้องลานจอดรถหน้า Labuan Food Court ตลอดบ่ายวันอาทิตย์ ผู้คนแต่งชุดดำแน่นพื้นที่ ท่ามกลางแดดจัดและป้ายผ้าข้อความ “Stop Bullying” โบกสะบัดเหนือศีรษะกว่า 3,000 คน งานนี้ไม่ได้แบ่งสีการเมือง เพราะแกนนำจากหลากพรรคขึ้นเวทีร่วมเรียกร้อง “ความจริง” และ “ความยุติธรรม” ให้ซาร่า ไกรีนา มหาธีร์ เด็กหญิงวัย 13 ปี จากซีปิตัง ที่เสียชีวิตหลังถูกพบหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำของโรงเรียนประจำศาสนาในปาปาร์ รัฐซาบาห์ เมื่อรุ่งสาง 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนสิ้นใจในโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ 1 วันถัดมา ความสูญเสียครั้งนี้จุดระเบิดสังคมให้ลุกขึ้นทวงความจริง และหยุดยั้งการรังแกในสถานศึกษาอย่างเด็ดขาด

ลาบวน (Labuan) คือที่ไหน

ลาบวน (Labuan) เป็นดินแดนสหพันธ์แห่งหนึ่งของประเทศมาเลเซีย 🇲🇾 ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็กทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียวในทะเลจีนใต้ ใกล้กับประเทศบรูไน

เกาะลาบวนมีชื่อเสียงในฐานะ ศูนย์กลางทางการเงินนอกชายฝั่ง (offshore financial centre) และเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงจากซากเรือจมหลายลำ ซึ่งเป็นซากเรือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และซากเรืออื่นๆ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักดำน้ำและนักท่องเที่ยวที่สนใจประวัติศาสตร์

ผู้จัดคือ “Kelab Wanita Sejahtera” โดยมีดาโต๊ะ โมห์ด ราฟี อาลี ฮัสซัน แกนนำจากพรรครัฐบาลร่วมขึ้นนำ พร้อมตัวแทนจาก PKR และ Warisan ร่วมวงปราศรัย เนื้อหากดดันให้รัฐ “ไม่ปล่อยให้ความรุนแรงต่อเด็กถูกมองข้ามอีกต่อไป” ภาพผู้คนในชุดดำหลากวัย สะท้อนพลังสาธารณะข้ามสายงานและฐานะทางสังคมอย่างเด่นชัด ขบวนการนี้จึงก้าวพ้นพรมแดนการเมือง กลายเป็น “วาระมนุษยธรรม” ของทั้งประเทศ

ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าคดีเดินหน้าอย่างเข้ม สำนักงานอัยการสูงสุดมาเลเซีย (AGC) สั่งขุดศพเพื่อนำมาชันสูตรอย่างเป็นทางการ หลังเกิดข้อกังขาหลายด้าน ต่อมามีการขุดศพเมื่อคืน 9 ส.ค. และเคลื่อนร่างถึงโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ I เวลาราว 22.30 น. เริ่มชันสูตรเช้าวันที่ 10 ส.ค. โดยทีมพยาธิแพทย์ 4 คน และที่ปรึกษานิติเวช ร่วมตรวจอย่างละเอียดนานกว่า 8 ชั่วโมง ภายใต้การสังเกตการณ์จากทนายครอบครัวและตำรวจ

อย่างไรก็ดี กระแสข่าวลือที่ลุกลามทางออนไลน์โดยเฉพาะ “ทฤษฎีเครื่องซักผ้า” ถูกทนายครอบครัวปฏิเสธชัด ว่าเป็นเพียงการคาดเดา ไม่ใช่ข้อมูลที่มารดาของผู้ตายให้ไว้ พร้อมขอให้ลบข้อมูลที่สร้างความเสียหาย และให้ผู้โพสต์นำรายละเอียดส่งตำรวจเพื่อเอาผิดตามกฎหมายไซเบอร์ของมาเลเซียต่อไป เพื่อไม่ให้การสืบสวนไขว้เขว.

Public outcry for justice in Zara's case - Opinion

เส้นเวลาเหตุสะเทือนใจจากร่องรอยก่อนตาย สู่แรงกดดันให้รัฐเร่งคลี่คดี

คืนเกิดเหตุ 16 ก.ค. เวลาตีสามถึงตีสี่ มีผู้พบเด็กหญิงหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำ ในพื้นที่หอพักโรงเรียนประจำศาสนาในปาปาร์ เธอถูกนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตวันที่ 17 ก.ค. รายงานเบื้องต้นสื่อท้องถิ่นระบุว่า ครอบครัวพบรอยช้ำขณะทำพิธีอาบน้ำศพ ก่อนตัดสินใจยื่นรายงานตำรวจ เพิ่มคำให้การ และขอให้มีการขุดศพเพื่อตรวจสอบใหม่ โดยเฉพาะเมื่อคลิปเสียงความยาว 44 วินาทีของบทสนทนาระหว่างแม่กับลูก สร้างข้อสงสัยต่อ “ทฤษฎีตกจากที่สูงโดยไม่ตั้งใจ” ที่เธอถูกบอกเล่าในตอนแรก.

วันที่ 2 ส.ค. ตำรวจซาบาห์ยื่นสำนวนสืบสวนเบื้องต้นต่อ AGC และเริ่มกระบวนการให้ความเห็นทางคดี ขณะที่ผู้ว่าการรัฐซาบาห์และผู้นำการเมืองระดับชาติ ต่างออกมาขอ “คลี่ทุกเงื่อนงำ ไม่ละเว้นผู้ใด” นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ยังย้ำไม่ให้ “การเมืองแทรกแซงการสืบสวน” และขอประชาชนหลีกเลี่ยงการคาดเดาทำลายพยานหลักฐาน.

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจกลาง Bukit Aman รับไม้คุมสอบสวนต่อ เพื่อให้คดีเดินอย่างเป็นระบบระดับชาติ สร้างมาตรฐานการทำงานเดียวกัน และป้องกันอิทธิพลนอกคดี กระบวนการนี้สะท้อนความตั้งใจของรัฐในการ “เอาจริง” กับความรุนแรงต่อเด็กและการกลั่นแกล้งในสถานศึกษา.

ความจริงต้องไปต่อ” เมื่อกระแสสังคมกดดันให้ระบบยุติธรรมโปร่งใส

มุมหนึ่ง กระแส “Justice for Zara” คือบทเรียนสำคัญของการขับเคลื่อนสังคมแบบสันติ ผู้คนมารวมตัวโดยสมัครใจ แต่งชุดดำเป็นสัญลักษณ์ ไร้ความรุนแรง เนื้อหาบนเวทีชัดเจนหยุดความรุนแรงต่อเด็ก สืบสวนอย่างโปร่งใส ไม่ปกป้องผู้กระทำผิดและข้ามเส้นแบ่งทางการเมืองอย่างน่าจับตา สื่อมาเลย์หลายฉบับรายงานเอกภาพในพื้นที่ พร้อมยืนยันตัวเลขผู้เข้าร่วมหลักพันตั้งแต่เช้าจรดบ่าย.

อีกมุมหนึ่ง พลังของข่าวลือบนโลกออนไลน์ก็ท้าทายความยุติธรรมไม่แพ้กัน การแชร์ข้อมูลคาดเดาอาจทำลายกระบวนการสืบสวน สร้างบาดแผลซ้ำให้ครอบครัวผู้ตาย และเปิดช่อง “อาชญากรรมไซเบอร์ทับซ้อนคดีหลัก” ทนายครอบครัวจึงประกาศให้ลบและหยุดเผยแพร่ทันที พร้อมเรียกผู้โพสต์เข้าให้ปากคำ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อปกป้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริง.

คลี่ปมเชิงระบบ เมื่อ “บูลลี่” ไม่ใช่เรื่องเล็ก และโรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ประเด็นที่สังคมมาเลเซียถกเถียงไม่ใช่แค่ “ใครผิด” หากแต่คือ “ระบบผิดตรงไหน” เพราะความรุนแรงในสถานศึกษาไม่ควรถูกจัดการด้วยคำขอโทษหรือคำมั่นว่าจะ “ดูแลให้ดี” เท่านั้น นักจิตวิทยาและนักนโยบายศึกษาย้ำว่า สถานศึกษาต้องสร้างวัฒนธรรมไม่ยอมรับการรังแก และมีช่องทางร้องเรียนที่เชื่อถือได้ สอดคล้องกับสัญญาณเชิงนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย ที่ยืนยัน “เปิดทางให้ตำรวจทำงานเต็มที่” และพร้อมทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันเหตุซ้ำ.

ในอีกด้าน ประเทศไทยเองกำลังขยับ “ยกระดับความปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัย” หลายสถาบันประกาศงดกิจกรรมรับน้องรุนแรง ล่าสุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ออกประกาศงดกิจกรรมรับน้องทุกชนิด ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย พร้อมขู่ลงโทษวินัยร้ายแรงหากฝ่าฝืน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนเทรนด์ภูมิภาคที่เดินหน้า “สังคมการศึกษาไร้ความรุนแรง” อย่างจริงจัง.

ประชาชนได้อะไรจากการยืนหยัดเรียกร้องความจริง

ประการแรก ประชาชนได้ “ความโปร่งใส” เป็นเดิมพันร่วมกัน การขุดศพพร้อมชันสูตรโดยทีมแพทย์นิติเวชหลายฝ่าย เป็นขั้นตอนมาตรฐานที่ยกระดับความน่าเชื่อถือของผลทางการแพทย์ และช่วยลดข้อสงสัยในสังคม เมื่อผลชันสูตรมีฐานวิชาการแข็งแรง การตัดสินใจทางคดีจะยืนอยู่บนข้อเท็จจริงมากกว่าความรู้สึก.

ประการที่สอง สังคมได้ “บทเรียนการรู้เท่าทันข้อมูลผิด” คำชี้แจงจากทนายครอบครัวเกี่ยวกับข่าวลือเครื่องซักผ้า เป็นตัวอย่างการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา และเน้นให้ร่วมมือกับตำรวจแทนการแชร์ซ้ำบนโซเชียล ความรับผิดชอบร่วมกันของผู้ใช้แพลตฟอร์ม คือเกราะคุ้มกันคดีเด็กที่บอบบางจาก “ความโกลาหลดิจิทัล”.

ประการที่สาม การรวมตัวอย่างสันติในลาบวนได้ “สร้างแรงกดดันเชิงบวก” ต่อระบบยุติธรรม พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ความรุนแรงต่อเด็กเป็นเส้นแดง” ที่สังคมไม่ยอมรับอีกต่อไป พลังข้ามพรรคการเมือง ยังทำให้ข้อเรียกร้อง “ปลอดการเมือง” และดึงประเด็นกลับสู่สิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.

ประการที่สี่ เหตุการณ์นี้สะท้อน “ความจำเป็นของแนวทางป้องกันต้นน้ำ” โรงเรียนและหอพักต้องมีกติกาชัดเจน ช่องร้องเรียนปลอดภัย ระบบคุมความเสี่ยง 24 ชั่วโมง และการอบรมครู–นักเรียนเรื่องการแทรกแซงเมื่อเห็นเหตุรุนแรง การป้องกันที่ดีช่วยลดโอกาสการเกิดเหตุสุดโต่ง ก่อนกลายเป็นคดีร้ายแรง. (อ้างอิงทิศทางนโยบายและคำยืนยันจากฝ่ายการศึกษามาเลเซียในคดีนี้).

Vigils across Sabah demand justice for Zara Qairina Borneo Post Online

จากลาบวนถึงห้องชันสูตร สิบคำถามชวนคิด สังคมจะเดินไปอย่างไร

  1. เหตุใดการชันสูตรแรกเริ่มจึงไม่เกิดขึ้นทันที?
  2.  ใครมีอำนาจสั่งให้คืนความจริงทางการแพทย์แก่ครอบครัวได้เร็วขึ้น?
  3.  ระบบดูแลนักเรียนประจำปลอดภัยพอหรือยัง?
  4. กล้องวงจรปิดในพื้นที่เสี่ยงครอบคลุมเพียงพอหรือไม่?
  5. ครู–ผู้ดูแลได้รับการอบรมรับมือเหตุฉุกเฉินแค่ไหน?
  6. ช่องร้องเรียนภายในโรงเรียนเชื่อถือได้เพียงใด?
  7. ารบูรณาการตำรวจ–อัยการ–สาธารณสุขในคดีเด็กทำได้ไวแค่ไหน?
  8. กฎหมายคุ้มครองเด็กและความผิดไซเบอร์ใช้รับมือข่าวลือได้จริงหรือ?
  9. สื่อและประชาชนควรยืนเส้นแบ่งจริยธรรมตรงไหนเมื่อรายงานคดีเยาวชน? และ
  10. จะยกระดับวัฒนธรรม “ไม่ยอมรับการรังแก” ให้เป็นกติกาสังคมได้อย่างไร?

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่แค่โจทย์ของมาเลเซีย แต่เป็นกระจกสะท้อนทั้งภูมิภาค รวมถึงไทย ที่ต้องจัดสมดุล “สิทธิเด็กเสรีภาพสื่อความยุติธรรม” ให้เดินไปด้วยกันอย่างมีหลักฐานรองรับ

เสียงจากรัฐ “จะไม่ให้ใครแทรกแซง” และ “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย”

หลังแรงกดดันเพิ่มสูง นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ย้ำว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มีการเมืองแทรกแซง และจะเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานตามขั้นตอน ทั้งยังเรียกร้องให้สังคมยึดข้อเท็จจริง ไม่ด่วนสรุปต่อหน้าสื่อหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ขณะเดียวกัน Bukit Aman รับช่วงสอบสวน เพื่อให้มาตรฐานการสืบสวนอยู่ในมือหน่วยกลาง ลดอิทธิพลและเพิ่มความเป็นเอกภาพ.

เมื่อบ้านและโรงเรียนต้องเปิดใจคุยกัน

ข้อมูลเชิงลึกจากคุณ นุชนาฎ สุขเกตุ เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและอดีตนักจิตวิทยา ซึ่งทำงานในโครงการป้องกันการรังแกกันในโรงเรียนของมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้ให้ภาพที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่งว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน สู่ห้องเรียน และระบบนิเวศของสถานศึกษาในที่สุด

สัญญาณเตือนภัยที่ผู้ปกครองต้องสังเกต

ผู้ปกครองคือคนแรกที่จะต้องรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกหลาน แต่ปัญหาคือเด็กจำนวนไม่น้อยมักจะเก็บงำความลับนี้ไว้คนเดียวด้วยความกลัว อับอาย หรือไม่รู้ว่าจะบอกใคร . คุณนุชนาฎได้ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองควรสังเกตอย่างละเอียด:

  • พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด: หากลูกที่เคยร่าเริงและมีความสุขกับการไปโรงเรียนกลับแสดงอาการไม่อยากไปโรงเรียน เก็บตัวเงียบ หรือซึมเศร้า นี่คือสัญญาณแรกที่ไม่อาจมองข้ามได้
  • ร่องรอยทางร่างกาย: รอยช้ำ บาดแผล หรือร่องรอยบาดเจ็บที่ไม่สามารถอธิบายที่มาได้อย่างสมเหตุสมผล ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจ
  • การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์: ลูกอาจมีอาการหงอยเหงา ไม่สดใส หรือแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อถูกพูดถึงเรื่องที่โรงเรียน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการถูกกลั่นแกล้ง

การวิเคราะห์ การสังเกตสัญญาณเหล่านี้ถือเป็น การแก้ไขที่ต้นทาง” ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปสู่ความเสียหายที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม การที่เด็กตัดสินใจบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้ปกครองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเพราะความรู้สึกไว้วางใจที่ผู้ปกครองได้สร้างขึ้นมาก่อนหน้า ซึ่งคุณนุชนาฎได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ การสื่อสารเชิง

บวก” โดยใช้คำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้ลูกเล่าเรื่องราวได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญที่สุดคือการ ซัพพอร์ตทางอารมณ์” โดยปราศจากอคติหรือการตัดสินใดๆ และให้กำลังใจว่าผู้ปกครองจะอยู่เคียงข้างเสมอ

กลไก ‘ผู้บริโภค’ และความรับผิดชอบของสถานศึกษา

ประเด็นสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้คือ การวิเคราะห์สถานะของนักเรียนและผู้ปกครองในฐานะ ผู้บริโภค” ของบริการทางการศึกษา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการยืนยันและสร้างบรรทัดฐานที่ชัดเจนในคดีความรุนแรงในโรงเรียนเอกชนเมื่อไม่นานมานี้ การที่ผู้ปกครองส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐหรือเอกชน ถือเป็น การทำสัญญาบริการ” ที่โรงเรียนในฐานะ “ผู้ประกอบธุรกิจ” มีหน้าที่ต้องให้บริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและปลอดภัย ไม่เพียงแค่เรื่องวิชาการ แต่ยังรวมถึงการดูแลความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจของนักเรียน หากโรงเรียนบกพร่องในการดูแลจนเกิดความเสียหายขึ้น ถือเป็นบริการที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่คาดหวังตามระเบียบที่ระบุไว้ ซึ่งผู้ปกครองในฐานะผู้บริโภคสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในการเรียกร้องค่าเสียหายได้

“การที่สถานศึกษาไม่ได้ให้ความคุ้มครองความปลอดภัยอย่างที่ผู้ปกครองคาดหวัง จึงเป็น ‘ความเสียหาย’ ที่นอกเหนือไปจากมาตรฐานที่คาดหวังจากบริการ ซึ่งต้องมีการตีความทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อบังคับใช้สิทธิของผู้บริโภคอย่างแท้จริง” คุณนุชนาฏ สุขเกตุ (นักพัฒนาครอบครัว และอดีตนักจิตวิทยา) กล่าว ซึ่งเป็นมุมมองที่อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ในรายงานของนักพัฒนาครอบครัว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลไกและสิทธิทางกฎหมายในการรับมือความรุนแรงในโรงเรียน

ไทยต้องทำอะไรวันนี้เชื่อมบทเรียนสู่การปฏิบัติในพื้นที่ของเรา

ประเด็นความปลอดภัยในสถานศึกษาไทยยังมีโจทย์ท้าทาย ตั้งแต่การยุติ “รับน้องรุนแรง” ไปจนถึงการสร้างระบบแจ้งเหตุที่ไวและไว้วางใจได้ ตัวอย่างของ มทร.ล้านนา เชียงราย ที่ประกาศงดกิจกรรมรับน้องทุกชนิด และบังคับใช้วินัยอย่างจริงจัง เป็นก้าวเล็กแต่สำคัญ ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยควรตั้ง “ศูนย์สวัสดิภาพนักศึกษา” คู่กับสายด่วนภายนอก เพื่อให้ผู้เสียหายมีตัวเลือกที่เป็นอิสระจากโครงสร้างอำนาจภายใน.

นอกจากนี้ โรงเรียนประจำและหอพักควรทบทวนมาตรการกลางคืน ปรับผังพื้นที่เสี่ยงให้ปลอดภัย เพิ่มกล้องและแสงสว่าง ติดตั้งปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉิน และฝึกซ้อมแผนรับมือทุกเทอม เพราะ “นาทีแรก” ของเหตุฉุกเฉินอาจชี้ชะตาชีวิตได้ จากนั้นต้องเปิดพื้นที่ให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งในคณะกรรมการสถานศึกษาและแผนเฝ้าระวังชุมชน

มองไปข้างหน้าให้ความยุติธรรมเดินบนข้อเท็จจริง พร้อมเยียวยาใจ

ท้ายที่สุด สังคมควรย้ำหลักการสำคัญสามประการ เคารพกระบวนการยุติธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยหลักฐาน ปกป้องศักดิ์ศรีผู้เสียชีวิตและครอบครัวจากการสรุปผิดพลาด และเปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังนโยบายในห้องเรียนและหอพักทุกแห่ง หากผลชันสูตรยืนยันข้อเท็จจริงใด ก็ต้องเดินหน้าดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ละเว้น ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญา ทางวินัย และทางสังคม

การเสียชีวิตของซาร่าไม่ควรจบลงที่ “ไว้อาลัย” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องกลายเป็นจุดเริ่มของข้อตกลงใหม่ในสังคมว่า “โรงเรียนต้องปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน” และ “ข่าวลือไม่มีที่ยืนเหนือความจริง”

ไทม์ไลน์ย่อคดี “Zara Qairina” (อ้างอิงรายงานสื่อมาเลเซีย)

  • 16 ก.ค. พบหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำโรงเรียนในปาปาร์ ช่วงตี 3–ตี 4 นำส่งโรงพยาบาล.
  • 17 ก.ค. เสียชีวิตที่โรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ I เมืองโกตาคินาบาลู.
  • ปลาย ก.ค.–ต้น ส.ค. ครอบครัวแจ้งความเพิ่มเติม ส่งคลิปเสียง และร้องขอขุดศพ; ตำรวจส่งสำนวนเบื้องต้นให้ AGC.
  • 9 ส.ค. ขุดศพในซีปิตัง เคลื่อนร่างไปโกตาคินาบาลูช่วงดึก.
  • 10 ส.ค. ชันสูตรโดยทีมแพทย์ 4 คน ใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมง ท่ามกลางการสังเกตการณ์.
  • 10 ส.ค. จัดชุมนุมใหญ่ “Justice for Zara” ที่ลาบวน ผู้ร่วมกว่า 3,000 คน แต่งชุดดำ.
  • สัปดาห์เดียวกัน Bukit Aman รับไม้ดูแลสืบสวนต่อ.

สรุปเชิงบรรณาธิการ

คดีความจากข่าวข้างต้นนี้ยังอยู่ในชั้นสืบสวน ผลชันสูตรและความเห็นทางคดียังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ การรายงานจึงยึดข้อเท็จจริงจากเอกสารและคำให้สัมภาษณ์ของหน่วยงานรัฐและทนายครอบครัว โดยหลีกเลี่ยงการคาดเดาที่อาจกระทบสิทธิ์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สาระสำคัญคือ การยุติความรุนแรงในโรงเรียน หรือวิธีการรับมือเมื่อลูกหลานในการปกครองถูกกลั่นแกล้ง การเผชิญความรุนแรงในสถานศึกษา รวมไปถึงบทบาทของผู้ปกครองและสถานศึกษาในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Malay Mail: รายงานชุมนุมลาบวนและบริบทคดี, 10 ส.ค. 2025. Malay Mail
  • The Star: รายงานจำนวนผู้ร่วมและคำปราศรัย, 10 ส.ค. 2025. Malay Mail
  • MalaysiaGazette / Astro Awani / The Sun: ภาพรวมผู้ร่วมชุมนุมและถ้อยแถลงข้ามพรรค.
  • Free Malaysia Today: Bukit Aman รับช่วงตรวจสอบคดี. Yahoo News Malaysia
  • Wikipedia สรุปเหตุการณ์และพยานหลักฐานตามแหล่งข่าวหลัก (ใช้เพื่อยืนยันลำดับเหตุ). The Star
  • Malay Mail: ถ้อยแถลงทนายครอบครัว ปฏิเสธข่าวลือ “เครื่องซักผ้า” และขอให้ลบข้อมูล. Newswav
  • The Star: รายงาน AGC สั่งขุดศพและขั้นตอนนิติเวช.
  • Malaysiakini: รายละเอียดชันสูตรและการสังเกตการณ์. Mothership
  • Free Malaysia Today: คำยืนยันของนายกฯ อันวาร์ ไม่ให้การเมืองแทรกแซงสืบสวน. The Star
  • Matichon / เพจทางการ RMUTL เชียงราย: ประกาศงดกิจกรรมรับน้องในไทย. มติชนออนไลน์Facebook
  • คุณนุชนาฏ สุขเกตุ (นักพัฒนาครอบครัว และอดีตนักจิตวิทยา)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News