Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัด “ป๊ะกาด”! เปลี่ยนโฉมตลาด 100 ปี สู่แกลเลอรีศิลปะร่วมสมัย

ป๊ะกาด” ศิลปะบุกกาดหลวง เทศกาลที่จุดประกายชีวิตให้ตลาด 100 ปีแห่งเชียงราย

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ในใจกลางเมืองเชียงรายที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ตลาดกาดหลวง หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ “ตลาดเทศบาล 1” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่เต้นไม่หยุดของชุมชนมานานกว่า 100 ปี ด้วยกลิ่นหอมของอาหารล้านนา เสียงเจรจาค้าขาย และสีสันของวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลาดแห่งนี้ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการค้า แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สะท้อนวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชาวเชียงรายอย่างลึกซึ้ง ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ความคึกคักของกาดหลวงอาจลดลงตามยุคสมัย แต่ความทรงจำและเรื่องราวที่ฝังรากลึกยังคงรอวันถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้ง

ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 นี้ เทศกาลศิลปะสุดสร้างสรรค์ “ป๊ะกาด” (Pagad) จะมาถึง เพื่อเปลี่ยนโฉมกาดหลวงให้กลายเป็นแกลเลอรีแห่งศิลปะร่วมสมัยที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการเชื่อมโยง ด้วยแนวคิด “ศิลปะ กับ กาลเวลา” เทศกาลนี้จะนำเสนอผลงานศิลปะหลากหลายแขนงใน 16 จุดทั่วทั้งตลาด พร้อมเชิญชวนผู้คนจากทุกมุมให้มาร่วม “ป๊ะ” หรือพบปะกันที่ “กาด” เพื่อค้นหาความหมายของวัฒนธรรมและความทรงจำร่วมกัน

จากกาดสู่แกลเลอรีการเดินทางของ “ป๊ะกาด”

คำว่า “ป๊ะกาด” มาจากภาษาเหนือที่แปลว่า “พบกันที่กาด” ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณของงานนี้ที่มุ่งสร้างพื้นที่พบปะระหว่างศิลปะ ชุมชน และผู้มาเยือน เทศกาลนี้จัดโดย Everywhere Gallery กลุ่มศิลปะทางเลือกที่มุ่งมั่นนำศิลปะสู่ผู้คนในทุกพื้นที่ โดยในปีนี้ พวกเขาเลือกกาดหลวงเป็นผืนผ้าใบสำหรับการเล่าเรื่อง ด้วยการผสานศิลปะร่วมสมัยเข้ากับบริบทของชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

เทศกาล “ป๊ะกาด” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2568 โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น Art Fair ที่ชั้น 1 ของตึกโรงรับจำนำร้างใกล้หอนาฬิกาเก่า ซึ่งจะจัดแสดงผลงานจากศิลปินท้องถิ่นและศิลปินรับเชิญ, Workshop ที่ชวนผู้คนในชุมชนมาร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะ, Group Show และ Art Exhibition ที่กระจายอยู่ใน 16 จุดแลนด์มาร์คทั่วกาดหลวง ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการแสดงศิลปะ แต่ยังเป็นการสนทนาที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของชุมชน

หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือ #ป๊ะกาด Art Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จับคู่ศิลปินกับพื้นที่ในตลาด เพื่อสร้างผลงานที่สะท้อนเรื่องราวของกาดหลวง นอกจากนี้ยังมี กาด Talk เสวนาที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าและคนในชุมชนมาร่วมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตและอนาคตของตลาด ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง กิจกรรมเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมองว่างานนี้เป็นการฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาให้กับกาดหลวง

กาดหลวงหัวใจที่เต้นไม่หยุดของเชียงราย

กาดหลวง หรือตลาดเทศบาล 1 ไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อขายสินค้า แต่เป็นศูนย์รวมวิถีชีวิตที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเชียงราย ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 100 ปี ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งค้าขายหลักของชาวเชียงรายมาหลายชั่วอายุคน ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นกิจการครอบครัวที่สืบทอดกันมานาน บางร้านยังคงรักษาวิธีการค้าขายแบบดั้งเดิมไว้ สถาปัตยกรรมของอาคารยังคงสภาพดั้งเดิม สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมล้านนาที่ฝังรากลึกในชุมชน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวถึงความสำคัญของกาดหลวงว่า “ตลาดแห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่การค้า แต่เป็นศูนย์กลางที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเป็นชุมชนของเรา การจัดงาน ‘ป๊ะกาด’ เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนออัตลักษณ์ของเชียงรายสู่สายตาคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว”

ด้วยการดำเนินงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง กาดหลวงมีจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ตั้งแต่การค้าส่งผักผลไม้ในยามเช้าตรู่ ไปจนถึงร้านอาหารริมทางที่คึกคักในยามค่ำคืน ความหลากหลายนี้ทำให้กาดหลวงเป็นสถานที่ที่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวิถีชีวิตที่แท้จริงของภาคเหนือได้อย่างใกล้ชิด

ศิลปะจุดประกายอนาคต ผลกระทบของ “ป๊ะกาด”

เทศกาล “ป๊ะกาด” ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองศิลปะและวัฒนธรรม แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูและส่งเสริมกาดหลวงให้เป็นมากกว่าตลาดทั่วไป การนำศิลปะร่วมสมัยมาผสานกับพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ช่วยสร้างมุมมองใหม่ให้กับชุมชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อาจมองข้ามความสำคัญของตลาดดั้งเดิม การมีส่วนร่วมของศิลปินท้องถิ่น 16 คนและการจัดแสดงใน 16 จุดทั่วตลาด ยังเป็นการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้กับชุมชน

การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของงานนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการยกระดับกาดหลวงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งขึ้น การที่นักท่องเที่ยวและคนในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์ผ่านศิลปะและการเสวนา ช่วยสร้างความผูกพันและความเข้าใจในคุณค่าของมรดกท้องถิ่น นอกจากนี้ การจัดงานในพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย เช่น ใกล้หอนาฬิกาเก่าและสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น อนุสาวรีย์พญามังราย และศาลเจ้าปุงเถ่ากง ทำให้ “ป๊ะกาด” มีโอกาสดึงดูดผู้คนจากหลากหลายกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของงานนี้อยู่ที่การรักษาความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์อัตลักษณ์ดั้งเดิมของกาดหลวงและการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ผ่านศิลปะร่วมสมัย การที่เทศกาลนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนเป็นสัญญาณที่ดี แต่การจะรักษาความยั่งยืนของงานในระยะยาว จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านการจัดการทรัพยากรและการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

สู่การค้นพบครั้งใหม่ที่กาดหลวง

“ป๊ะกาด” ไม่ใช่แค่เทศกาลศิลปะ แต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และอนาคตของกาดหลวงเชียงราย ผ่านผลงานศิลปะที่เล่าเรื่องราวของชุมชน และกิจกรรมที่ชวนให้ทุกคนมีส่วนร่วม ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคมนี้ กาดหลวงจะไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อของ แต่จะกลายเป็นพื้นที่ที่ศิลปะและความทรงจำมาบรรจบกัน

สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์นี้ สามารถเดินทางมากาดหลวงได้อย่างง่ายดาย ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองเชียงราย ใกล้ถนนธนาลัย อุตรกิจ ไตรรัตน์ และสุขสถิต พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น หอนาฬิกาเชียงราย และวัดร่องขุ่น ที่รอให้คุณมาค้นพบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย. (2568). ข้อมูลเกี่ยวกับกาดหลวงเชียงรายและการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น.
  • Everywhere Gallery. (2568). รายละเอียดเทศกาล “ป๊ะกาด” และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง.
  • รายงานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2567.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก! ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ผู้ว่าเชียงรายนำทัพเปิดเส้นทาง Wellness Trail ครั้งแรก ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ขณะที่ขบวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม “ผู้ว่าเชียงราย พาเที่ยว เพื่อสุขภาพ” ครั้งที่ 1 สู่เส้นทางแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เปี่ยมด้วยประวัติศาสตร์และความหมายต่อชาวเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะลงพื้นที่เพื่อเปิดตัวโครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพควบคู่ไปกับการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ พญาเม็งราย ขุนตาล และเทิง

การเดินทางเพื่อสุขภาพและชุมชน

ในเวลา 08.00 น. คุ้มพญาเม็งรายกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไม่เพียงแต่เน้นการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวิถีชีวิตท้องถิ่นเข้ากับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คณะผู้เข้าร่วม ซึ่งประกอบด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายอำเภอทั้งสามพื้นที่ และหน่วยงานราชการ ได้รับการต้อนรับด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สะท้อนความงดงามของล้านนา ผู้มาเยือนยังได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น แชมพูจากอัญชัน น้ำผึ้งจากบ้านสวนพอเพียง กล้วยอบธัญพืช และสมุนไพรพอกเข่า ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างของการนำทรัพยากรท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

“เราต้องการให้เชียงรายเป็นมากกว่าแค่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่มอบสุขภาพที่ดีและความยั่งยืนให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชน” นายชรินทร์กล่าวขณะเดินชมบูธผลิตภัณฑ์ชุมชน

จากคุ้มพญาเม็งราย คณะเดินทางต่อไปยังบ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan ในอำเภอขุนตาลเมื่อเวลา 10.00 น. ที่นี่ ชาวบ้านได้แบ่งปันเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปโกโก้ ซึ่งกลายเป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ “ARAMP อารัมภ์” ความสำเร็จของชุมชนนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างรายได้จากเกษตรแปรรูปที่ยั่งยืน

ในช่วงบ่าย คณะมุ่งหน้าสู่ไร่รื่นรมย์ อำเภอเทิง ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์และพลังงานสะอาด ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การทำน้ำสมุนไพรออร์แกนิคและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรม DIY ที่สร้างความประทับใจและจุดประกายไอเดียให้ผู้มาเยือน

การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน

โครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้ปี 2568 เป็น “ปีทองแห่งการท่องเที่ยว” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ เส้นทาง Wellness Trail ไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีผ่านการเดินทางและกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์

“การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก และเชียงรายมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น” นายเสริฐ ไชยยานันตา กล่าว “เราต้องการให้ทุกคนที่มาเยือนได้รับทั้งความสุขและสุขภาพที่ดี พร้อมกับช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์การก้าวสู่เมืองแห่งสุขภาพ

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Wellness Trail ที่จะจัดต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2568 โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและบริการด้านการท่องเที่ยว จากข้อมูลย้อนหลัง ปี 2566 เชียงรายมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 46,773.91 ล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.1 ล้านคน การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail นี้คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้ให้สูงกว่า 50,000 ล้านบาทในปี 2568 โดยเฉพาะเมื่อรวมกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรท้องถิ่นและการจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การโปรโมทผ่านแพลตฟอร์ม OTA และการพัฒนาระบบจองท่องเที่ยวออนไลน์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและประสบการณ์ท้องถิ่น

มองไปข้างหน้าเพื่อโอกาสและความยั่งยืน

การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับจังหวัดในฐานะเมืองที่ผสานสุขภาพ วัฒนธรรม และธรรมชาติได้อย่างลงตัว การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและชุมชน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายก้าวสู่การเป็น Wellness City อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย. (2566). รายงานสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2566.
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.). (2568). แผนปฏิรูปการท่องเที่ยว 5 ปี (2568-2573).
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). นโยบายปีทองแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568.
  • ไร่รื่นรมย์. (2568). รายงานกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอินทรีย์ อำเภอเทิง.
  • บ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan. (2568). ข้อมูลผลิตภัณฑ์โกโก้และการท่องเที่ยวชุมชน.
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย. (2568). แผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน.
  • สิงห์ปาร์คเชียงราย. (2568). รายละเอียดการจัดงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ 2568.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลำไยเชียงใหม่ราคาไม่ตกเหลือ 1 บาท! รมช.พาณิชย์ยันแค่เกรด C พร้อมเดินหน้าอุ้มเกษตรกร

ราคาลำไยเชียงใหม่ไม่ตกเหลือ 1 บาท! รมช.พาณิชย์ยันแค่เกรด C พร้อมเดินหน้าอุ้มเกษตรกร

เชียงใหม่, 12 กรกฎาคม 2568 – ภาพของเกษตรกรชาวสวนลำไยในจังหวัดเชียงใหม่ที่ยืนมองผลผลิตในมือด้วยความกังวล กลายเป็นภาพที่สะท้อนใจผู้คนทั่วไป เมื่อกระแสข่าวในโลกออนไลน์ระบุว่าราคาลำไยในปีนี้ตกต่ำถึงขีดสุด เหลือเพียงกิโลกรัมละ 1 บาท ข่าวนี้สร้างความตื่นตระหนกและคำถามมากมายในหมู่เกษตรกรและประชาชนว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “ราชินีผลไม้” ของภาคเหนือ แต่ในวันนี้ (12 ก.ค. 68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงที่ทำให้ภาพของสถานการณ์เริ่มชัดเจนขึ้น พร้อมย้ำว่าราคาดังกล่าวเป็นเพียงลำไยเกรดต่ำสุด และกระทรวงพาณิชย์กำลังเร่งดำเนินมาตรการคู่ขนานเพื่อปกป้องเกษตรกร

ความจริงเบื้องหลังราคาลำไย 1 บาท

ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน โพสต์บนโซเชียลมีเดียที่ระบุว่าราคาลำไยในเชียงใหม่ตกต่ำถึงกิโลกรัมละ 1 บาท ได้ถูกแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว สร้างความตื่นตระหนกให้กับเกษตรกรในพื้นที่และผู้บริโภคทั่วประเทศ แต่จากการตรวจสอบของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่พบว่า ราคาดังกล่าวเป็นเพียงราคาของลำไยเกรด C ซึ่งเป็นลำไยรูดร่วงที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 20 มิลลิเมตร และไม่ได้สะท้อนภาพรวมของราคาลำไยในตลาดทั้งหมด

นายสุชาติ ชมกลิ่น เปิดเผยว่า “ลำไยเกรดดี เช่น เกรด AA ยังคงมีราคารับซื้ออยู่ที่ 19-20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าน่าพอใจสำหรับเกษตรกร ส่วนลำไยเกรด C ที่มีราคา 1 บาทนั้น เป็นระดับราคาที่สอดคล้องกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และไม่ได้บ่งชี้ว่าราคาลำไยโดยรวมตกต่ำอย่างที่เป็นข่าว” การชี้แจงนี้ช่วยคลายความกังวลของเกษตรกรได้ในระดับหนึ่ง แต่คำถามที่ตามมาคือ แล้วเกษตรกรจะรับมือกับสถานการณ์ผลผลิตเกรดต่ำนี้ได้อย่างไร?

มาตรการคู่ขนานส่งออก แปรรูป กระจายในประเทศ

เพื่อแก้ไขปัญหาและรักษาเสถียรภาพราคาลำไย กระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาตรการคู่ขนานที่มุ่งทั้งการส่งออก การแปรรูป และการกระจายผลผลิตภายในประเทศ โดยนายสุชาติได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ดังนี้:

  1. ผลักดันการส่งออกและแปรรูป
    • ส่งออก 15,000 ตัน ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดหนาแน่น โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงพีคของฤดูกาล
    • แปรรูปลำไยอบแห้ง 50,000 ตัน เพื่อดูดซับผลผลิตส่วนเกินและเพิ่มมูลค่าให้กับลำไยเกรดต่ำ
    • การแปรรูปนี้ไม่เพียงช่วยลดความกดดันในตลาด แต่ยังสร้างโอกาสให้เกษตรกรมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น
  2. กระจายผลผลิตในประเทศ
    • เชื่อมโยงการจำหน่ายผ่านช่องทางที่หลากหลาย ตั้งแต่ระบบพรีออร์เดอร์ ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดกลาง ตลาดสด ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
    • สนับสนุนการขายออนไลน์ด้วยการให้กล่องไปรษณีย์ส่งฟรี เพื่อกระจายผลผลิตจากภาคเหนือสู่ผู้บริโภคทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย
  3. เจาะตลาดต่างประเทศ
    • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) ได้เร่งประสานงานกับผู้นำเข้าจากจีน ฮ่องกง มาเลเซีย อินเดีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เพื่อเพิ่มคำสั่งซื้อลำไยสดและแปรรูป
    • จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างวันที่ 7-16 กรกฎาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้กว่า 200 ล้านบาท

สถานการณ์ล่าสุด ผลผลิตและราคา

ข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม 2568 ระบุว่าราคาลำไยในท้องตลาดมีดังนี้:

  • ลำไยสดรูดร่วง
    • เกรด AA: 19-20 บาท/กก.
    • เกรด A: 10-11 บาท/กก.
    • เกรด B: 5-6 บาท/กก.
    • เกรด C: 1 บาท/กก.
  • ลำไยสดช่อ (ตะกร้าขาว อินโดนีเซีย)
    • เกรดทอง: 25 บาท/กก.
    • เกรดแดง: 22 บาท/กก.
    • เกรดน้ำเงิน: 17 บาท/กก.
    • เกรดเขียว: 8 บาท/กก.
  • ลำไยสดมัดปุ๊ก
    • เกรด AA + A: 18-20 บาท/กก.
    • เกรด A + B: 12-15 บาท/กก.

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้ผลผลิตลำไยในจังหวัดเชียงใหม่เริ่มออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 22,409 ตัน หรือร้อยละ 8 ของผลผลิตทั้งหมด โดยกระจายอยู่ในพื้นที่อำเภอจอมทอง ดอยหล่อ แม่วาง สันป่าตอง ฮอด และดอยเต่า ซึ่งเกษตรกรยังคงส่งผลผลิตให้ล้งรับซื้อตามปกติ

ปมปัญหาเวียดนามชะลอคำสั่งซื้อ

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ราคาลำไยเกรด C ตกต่ำคือการชะลอคำสั่งซื้อจากเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของลำไยเกรดต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นายวิทยากรระบุว่า “ในปีนี้ เวียดนามมีผลผลิตลำไยภายในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการลำไยจากไทยลดลง” ภาวะนี้ทำให้ลำไยเกรด C ซึ่งมีขนาดเล็กและมักถูกใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านราคา

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ได้ประสานงานกับผู้ประกอบการแปรรูปเพื่อดูดซับผลผลิตส่วนเกิน โดยเน้นการผลิตลำไยอบแห้งและผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ เพื่อป้องกันภาวะล้นตลาดและรักษาเสถียรภาพราคา

วิเคราะห์ผลลัพธ์ทางออกที่ยั่งยืน

จากสถานการณ์ดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าราคาลำไยเกรด C ที่ตกต่ำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพรวม และไม่ได้สะท้อนความล้มเหลวของตลาดลำไยโดยรวม มาตรการคู่ขนานที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การส่งออกและแปรรูปจะช่วยลดแรงกดดันจากผลผลิตส่วนเกิน ขณะที่การกระจายผลผลิตในประเทศผ่านช่องทางที่หลากหลายจะช่วยให้ลำไยเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในอนาคตคือการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น เวียดนามและจีน ซึ่งอาจมีความผันผวนตามสถานการณ์ภายในของแต่ละประเทศ การขยายตลาดใหม่ เช่น อินเดียและ UAE รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีมูลค่าสูง จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมลำไยของไทย

ความหวังของเกษตรกร

จากกระแสข่าวที่สร้างความตื่นตระหนก สู่การชี้แจงข้อเท็จจริงและการดำเนินมาตรการที่รวดเร็วของกระทรวงพาณิชย์ เกษตรกรชาวสวนลำไยในเชียงใหม่เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ด้วยราคาลำไยเกรดดีที่ยังคงแข็งแกร่งและมาตรการที่ครอบคลุมทั้งการส่งออก แปรรูป และกระจายในประเทศ อนาคตของลำไยเชียงใหม่ยังคงมีความหวัง โดยกระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่เป็นธรรมและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.)
  • ข้อมูลสัมภาษณ์นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน วันที่ 12 กรกฎาคม 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

สหรัฐฯ กดดันเปิดตลาด! ภาษี 36% เขย่าหมูไทย เชียงรายเสี่ยงขาดทุนมหาศาล

วิกฤตหมูไทย 2568 เชียงรายกับมหันตภัยราคาดิ่ง โดมิโนเศรษฐกิจปศุสัตว์จากแรงกดดันสหรัฐฯ

สถานการณ์ล่าสุดไทยเจอแรงกดดันสหรัฐฯ เปิดตลาดเนื้อหมู

เชียงราย, 12  กรกฎาคม 2568  – อุตสาหกรรมเนื้อหมูไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ หลังสหรัฐอเมริกาประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้า 36% กับเนื้อหมูไทย เริ่ม 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้ไทยถูกกดดันให้นำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐฯ มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุชัด ไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่น้อยมาก แต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและประสิทธิภาพการผลิตสูงของหมูสหรัฐฯ ส่งผลต่อการแข่งขันและราคาหมูในประเทศโดยตรง

หมูสหรัฐฯ ราคาแรง ผลิตถูกกว่าไทย

ราคาหมูสหรัฐฯ เฉลี่ยเพียง 1.7 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ขณะที่หมูไทยแตะ 2.3 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม หมูสหรัฐฯ ถูกกว่าไทยถึง 1.3 เท่า ทำให้ยากต่อการแข่งขัน หากตลาดเปิดเสรี หมูราคาถูกจากสหรัฐฯ จะทะลักเข้าสู่ประเทศไทย สร้างแรงกดดันหนักต่อห่วงโซ่ปศุสัตว์

โดมิโนเอฟเฟกต์ผลกระทบครอบคลุมทุกภาคส่วน

เมื่อหมูราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนว่า จะเกิด Domino Effect ต่อทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมดังนี้

  • เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู: ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกว่า 1.49 แสนราย เสี่ยงขาดรายได้หรือเลิกกิจการ
  • ผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์: 5 ล้านครัวเรือน ผลิตภัณฑ์หลักอย่างรำสด ข้าวโพด จะราคาตกต่ำ
  • โรงชำแหละและเขียงหมู: อาจถูกกดดันให้ต้องเลิกกิจการ หรือรายได้ลดลงจากการแข่งขันกับหมูแปรรูปนำเข้า
  • ผู้บริโภค: แม้ราคาหมูถูกลง แต่เสี่ยงต่อสุขภาพจากสารเร่งเนื้อแดงในหมูสหรัฐฯ
    คาดการณ์ความสูญเสียตลาดหมูไทยสูงถึง 112,330 ล้านบาท หากไทยเปิดตลาดเต็มรูปแบบ

เชียงรายจังหวัดยุทธศาสตร์การค้าปศุสัตว์ชายแดน

เชียงรายคือประตูสำคัญของการส่งออกปศุสัตว์ไปยัง สปป.ลาว เมียนมา และจีน จุดผ่านแดนเช่น ด่านกักกันสัตว์เชียงของ และท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน มีบทบาทสูงในการขับเคลื่อนตลาดสุกรมีชีวิตและเนื้อสัตว์แปรรูป ข้อมูลล่าสุดระบุ เชียงรายมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร 3,722 ราย สุกร 95,268 ตัว ผลผลิตสุกรรวม 23,817 ตัน

ต้นทุนพุ่ง-อุปทานลดความท้าทายของอุตสาหกรรมหมู

แม้การผลิตสุกรปี 2567 ฟื้นตัวจากโรค ASF รวม 21.723 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 6.19% แต่ปี 2568 คาดผลิตลดเหลือ 21.370 ล้านตัว (-1.63%) เนื่องจากมาตรการควบคุมโรคและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าอาหารสัตว์ที่ผันผวน
โครงสร้างผู้ผลิตเปลี่ยนไป ฟาร์มขนาดกลางและใหญ่เพิ่มเป็น 74% ในปี 2567 เกษตรกรรายย่อยลดลง 22.6%
ราคาหมูหน้าฟาร์มเพิ่มสูงสุดในรอบ 2 ปี เฉลี่ย 75 บาทต่อกิโลกรัม (+14.1%)

ความท้าทายจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ปี 2567 อุปสงค์เนื้อสุกรในประเทศขยายตัว 2.5% จากราคาที่ลดลงและนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา ปี 2568 อุปสงค์คาดว่าจะลดลง 1.7% เพราะราคาสูงขึ้น ตลาดโลกเองก็มีแรงกดดันจากการลดการบริโภคในจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคหลัก
อีกทั้ง สังคมผู้สูงอายุในไทย ส่งผลให้การบริโภคเนื้อหมูมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว

กลยุทธ์ปกป้องอุตสาหกรรมสุกรไทย

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแนะรัฐบาล “อย่าเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ” ไม่ว่ากรณีใด เพื่อรักษาเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานและความอยู่รอดของเกษตรกรไทย

สำหรับผู้ประกอบการ

  • บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม
  • สร้างจุดขายด้วยคุณภาพสินค้า เน้นหมูปลอดสาร
  • ใช้ประโยชน์การค้าชายแดน เชื่อมตลาดเพื่อนบ้าน

สำหรับภาครัฐ

  • สนับสนุนวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำ
  • พัฒนาการค้าชายแดนให้ได้มาตรฐาน
  • รักษาเสถียรภาพราคา โดยไม่บิดเบือนกลไกตลาด
  • เจรจาการค้าด้วยความรอบคอบ
  • สนับสนุนการวิจัยสินค้าสำหรับสังคมสูงวัย

เชียงรายต้องปรับตัวอย่างไรในยุคตลาดหมูเสรี

คำถามสำคัญ หากแรงกดดันจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เชียงรายซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนและจุดยุทธศาสตร์การค้าหมู จะต้องวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และสร้างความอยู่รอดให้กับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่
สถานการณ์นี้จึงเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของทั้งผู้ประกอบการและรัฐ หากไม่เตรียมพร้อม ปัญหาอาจลุกลามเป็นวิกฤตระดับชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
  • กรมปศุสัตว์
  • รายงานข่าวตลาดการค้าชายแดนจังหวัดเชียงราย ปี 2567-2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

BLINKS ทั่วโลก “JUMP” สุดตัว! BLACKPINK ปล่อยเพลงใหม่ สร้างปรากฏการณ์ K-Pop

BLINKS ทั่วโลก “JUMP” กระโดดสุดตัว! BLACKPINK คัมแบ็กกระหึ่มวงการ ปล่อย MV เพลงใหม่ล่าสุด “JUMP” สะเทือนโซเชียล พร้อมคอนเซปต์ซูเปอร์ฮีโร่สุดปัง

การรอคอยที่สิ้นสุดลง BLACKPINK คัมแบ็ก “JUMP” สร้างปรากฏการณ์ใหม่ K-Pop

เกาหลีใต้, 11 กรกฎาคม 2568 – นับเป็นการกลับมาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการเพลงเกาหลีและแฟนคลับทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 BLACKPINK ได้ฤกษ์ปล่อย MV ซิงเกิลใหม่ “JUMP” อย่างเป็นทางการในเวลา 13:00 น. ตามเวลาเกาหลีใต้ (11:00 น. ตามเวลาประเทศไทย) ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของสี่สาว เจนนี่, จีซู, โรเซ่ และลิซ่า หลังห่างหายจากการทำงานเพลงกลุ่มเกือบ 2 ปีเต็ม

หลังจาก BLACKPINK ประสบความสำเร็จกับผลงานเดี่ยวและการทัวร์ระดับโลก “DEADLINE World Tour” ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่เมืองโกยาง ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งสี่จึงรวมตัวกันปล่อยผลงานเพลงใหม่ “JUMP” เพื่อยืนยันพลังของวงในฐานะ “ราชินี K-Pop” ที่ยังคงทรงอิทธิพลอย่างต่อเนื่อง โดยทันทีที่ปล่อย MV เพลง “JUMP” กระแสความนิยมก็ปะทุขึ้นในโลกโซเชียลทันที #BLACKPINK_JUMP และ #JUMP_MV ขึ้นเทรนด์โลกในหลายประเทศ ยอดวิวทะลุหลักล้านภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ความล้ำของ MV “JUMP”: 4 ซูเปอร์ฮีโร่หญิงที่แฟนคลับรอคอย

หนึ่งในจุดเด่นของการคัมแบ็กครั้งนี้ คือการเลือกคอนเซปต์ซูเปอร์ฮีโร่ ที่พลิกโฉม BLACKPINK ให้กลายเป็นผู้พิทักษ์เมืองจำลอง พร้อมพลังพิเศษและคาแรกเตอร์สุดเท่ โดดเด่นด้วยงานกราฟิกขั้นสูง การจัดองค์ประกอบภาพที่ล้ำสมัย เทคนิคสปีดแรมป์และมุมกล้องแบบภาพยนตร์ สร้างความรู้สึกเหมือนกำลังชมภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูด

ทีเซอร์จาก YG Entertainment ที่ปล่อยมาก่อนหน้านี้ ช่วยกระตุ้นความคาดหวังอย่างล้นหลาม ในตัว MV ฉบับเต็ม แฟน ๆ ได้เห็น BLACKPINK ในลุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยพลัง สวยสง่าในชุดคอนเซปต์สุดไฮแฟชั่น มีเสน่ห์เฉพาะตัวในแต่ละเฟรม กระทั่งผู้ชมจำนวนไม่น้อยออกปากชมว่านี่คือ MV ที่มี “คุณภาพระดับเวิลด์คลาส” ของแท้

อย่างไรก็ดี ในกระแสความตื่นเต้น ยังมีเสียงวิจารณ์ถึง “ความ AI-ish” หรือความรู้สึกเหมือนใช้เทคโนโลยี AI ในงานภาพบางส่วน ขณะเดียวกัน ชุดคอนเซปต์ก็มีทั้งเสียงชมว่านำสมัยและเสียงติว่าค่อนข้าง “เซฟ” และ “ไม่หวือหวาพอ” เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของการคัมแบ็ก แต่โดยรวม MV “JUMP” ยังคงได้รับคำชมว่าสวย ทรงพลัง และสมกับมาตรฐาน BLACKPINK

แรงสะเทือนโซเชียล BLINKS ส่งเสียงทั่วโลก ดันยอดวิว-เทรนด์ติดอันดับ

ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังปล่อย MV “JUMP” ยอดวิวบน YouTube ก็พุ่งทะลุหลัก 10 ล้านวิวรวดเร็ว แฟนคลับ BLINKS จากทุกมุมโลกต่างพร้อมใจกัน “กระโดด” กับสาว ๆ ทั้งแห่คอมเมนต์ ชื่นชม ไลก์ แชร์ MV กันอย่างคึกคัก สร้างพลังไวรัลที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ

เสียงจากแฟนคลับและนักวิเคราะห์ต่างประเทศสะท้อนความตื่นเต้น เช่น

  • @BLINK_Forever23: “MV เพลง ‘JUMP’ คือที่สุด! คอนเซปต์ซูเปอร์ฮีโร่คือฝันที่เป็นจริง ลิซ่าเท่ เจนนี่แพง จีซู-โรเซ่สวยโดดเด่น นี่แหละ BLACKPINK ตัวจริง”
  • @KpopAddict: “ชอบความแปลกใหม่ รู้สึกเหมือนได้ดูอะไรที่ไม่เคยเห็นใน K-Pop มาก่อน!”
  • @MusicAnalyst: “JUMP ตอกย้ำบัลลังก์ราชินี K-Pop ของ BLACKPINK แม้บางช่วงอาจยังไม่สุด แต่ภาพรวมคือการคัมแบ็กที่ประสบความสำเร็จมาก”
  • Dave Mayers (YouTube Reaction): “นี่มันบ้าดีเดือด! คิดว่าคือ AI แต่พอเห็นพลังและเคมีของพวกเธอแล้ว โคตรจริง!”

เบื้องหลังความสำเร็จทีมโปรดิวซ์ระดับโลก สร้างสรรค์ซาวด์ใหม่ที่ทรงพลัง

เบื้องหลังเพลง “JUMP” คือทีมโปรดิวเซอร์ระดับโลก นำโดย Diplo, TEDDY, 24, Zikai, Claudia Valentina, Jumpa, Malachiii และ Jesse Bluu ที่ร่วมมือกันออกแบบซาวด์ Hardstyle ผสานความเป็นเอกลักษณ์ของ BLACKPINK เอาไว้อย่างลงตัว ดนตรีหนักแน่น เต็มพลัง โชว์ตัวตนของสมาชิกแต่ละคนได้ชัดเจน โดยเฉพาะจังหวะที่ปลุกเร้าอะดรีนาลีนให้แฟน ๆ ทั่วโลก “กระโดด” ไปพร้อมกัน

กลยุทธ์ “DEADLINE World Tour” ช่วยปูทางสร้างปรากฏการณ์

การนำเพลง “JUMP” เปิดตัวครั้งแรกบนเวที DEADLINE World Tour ที่เมืองโกยาง กลายเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างกระแสความตื่นเต้นได้อย่างชาญฉลาด แฟน ๆ ที่ได้ชมโชว์สดพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงพลังบนเวที และยิ่งตอกย้ำความคาดหวังถึงอัลบั้มเต็มในอนาคต หลังจากนี้ BLACKPINK ยังมีตารางแสดงที่ SoFi Stadium, ลอสแอนเจลิส (12-13 ก.ค.) ก่อนจะเดินสายทัวร์ทั่วโลกอย่างยิ่งใหญ่

BLACKPINK ยืนยันบัลลังก์ K-Pop ทั่วโลก – ความสำเร็จที่ยังไม่สิ้นสุด

การคัมแบ็กของ BLACKPINK ด้วย “JUMP” ยืนยันชัดเจนว่า “พลังของ BLACKPINK” ยังครองใจแฟนเพลงทั่วโลก แม้จะมีเสียงวิจารณ์บางส่วนเกี่ยวกับคอนเซปต์และโปรดักชั่น แต่เสียงตอบรับส่วนใหญ่กลับชื่นชมในความกล้าแหวกแนว ทุ่มทุนสร้าง และคุณภาพของสมาชิกแต่ละคน

ความสำเร็จของ “JUMP” ไม่เพียงช่วยตอกย้ำสถานะของ BLACKPINK ในวงการ K-Pop เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของ YG Entertainment ในการขับเคลื่อนวงสู่เวทีโลกอีกครั้ง การปล่อยซิงเกิลใหม่ท่ามกลางการแข่งขันในวงการ K-Pop ที่เข้มข้น คือเครื่องพิสูจน์ว่าพลังของแฟนคลับและกลยุทธ์ดิจิทัลยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จของ BLACKPINK อย่างแท้จริง

ทิศทางอนาคต BLACKPINK in your area! สู่บทต่อไปที่ใหญ่ยิ่งกว่า

ด้วยกระแสตอบรับที่ล้นหลามและความคาดหวังต่ออัลบั้มเต็มใหม่ในปีนี้ BLACKPINK ยังคงเป็น “ตัวแม่” แห่งวงการ K-Pop และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินหญิงทั่วโลกจับตามอง การคัมแบ็กของพวกเธอครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการปล่อยเพลงใหม่เท่านั้น แต่คือการส่งสัญญาณถึงความยิ่งใหญ่และพลังของ “BLACKPINK in your area” ที่ยังคงไม่เสื่อมคลาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • YG Entertainment
  • InkiStyle
  • Pantip
  • Vinyl Me, Please
  • Korea JoongAng Daily
  • CP24
  • Melodic Mag
  • Consequence
  • Times Now
  • MGR Online
  • Pinterest
  • YouTube (Dave Mayers Reaction)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SPORT

มวยไทยผงาด! บรรจุในกีฬาทหารโลก 2027 สหรัฐฯ เปิดประตูสู่โอลิมปิก?

มวยไทยผงาด! บรรจุในกีฬาทหารโลก 2027 สหรัฐอเมริกา เปิดประตูสู่โอลิมปิก?

กรุงเทพฯ, 10 กรกฎาคม 2568 – ประวัติศาสตร์หน้าใหม่: มวยไทยก้าวสู่เวทีกีฬาทหารโลก จุดเริ่มต้นความหวัง “โอลิมปิก” วงการกีฬามวยไทยและวงการกีฬาไทยต่างปลื้มใจ หลังจากได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า “มวยไทย” จะถูกบรรจุเป็นชนิดกีฬาหลักในศึกกีฬาทหารโลก (CISM World Military Games 2027) ที่จะจัดขึ้น ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2027 นับเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่ทำให้ศิลปะป้องกันตัวประจำชาติไทยได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติ และมีความหวังใหม่ในการผลักดันสู่เป้าหมายสูงสุด คือมหกรรมกีฬาโอลิมปิกในอนาคต

เปิดฉาก “1st CISM Military Muaythai Challenge” ก้าวแรกสู่เวทีโลก

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ พารากอนฮอลล์ สยามพารากอน ได้จัดพิธีเปิดการแข่งขัน “มวยไทยทหารโลก ครั้งที่ 1” (1st CISM Military Muaythai Challenge) อย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความภาคภูมิใจ ได้รับเกียรติจาก ดร.สุทิน คลังแสง นายกสมาคมส่งเสริมกีฬาทหาร (ประเทศไทย) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยผู้แทนจากกองทัพไทย, ผู้บริหารจากภาครัฐและเอกชน ตลอดจนตัวแทนสหพันธ์กีฬาทหารโลก (CISM) และผู้ชมที่ให้ความสนใจร่วมงานจำนวนมาก

พิธีเปิดเริ่มต้นด้วยขบวนพาเหรดนักกีฬาจาก 11 ประเทศ พร้อมธงชาติและธงองค์กรต่าง ๆ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ร่วมงาน ตามด้วยโชว์ศิลปะมวยไทย ที่ถ่ายทอดพลัง ความงาม และเอกลักษณ์ของศิลปะแม่ไม้มวยไทยอย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะแมตช์พิเศษสาธิตระหว่าง “ดำดอทคอม” บัวขาว บัญชาเมฆ ปะทะ ซุปเปอร์บอน สิงห์มาวิน ที่โชว์ทักษะอันเป็นเอกลักษณ์ของมวยไทยจนได้รับเสียงปรบมือดังกึกก้องในฮอลล์

ผลักดันโดยทุกภาคส่วน พลังร่วมมือสู่ความสำเร็จ

เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้คือความร่วมมืออันแข็งแกร่งของทุกภาคส่วนในประเทศ ตั้งแต่กองบัญชาการกองทัพไทย, สมาคมส่งเสริมกีฬาทหาร (ประเทศไทย), สมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย, สหพันธ์สมาคมมวยไทยนานาชาติ (IFMA) ตลอดจนหน่วยงานสนับสนุนภาครัฐและเอกชนชั้นนำ อาทิ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งต่างร่วมมือกันผลักดันมวยไทยให้ยืนหนึ่งบนเวทีโลก

มวยไทยซอฟต์พาวเวอร์ทรงพลังและมรดกทางวัฒนธรรม

ดร.สุทิน คลังแสง นายกสมาคมส่งเสริมกีฬาทหาร (ประเทศไทย) กล่าวในพิธีเปิดว่า “มวยไทยคือซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงคุณค่าของชาติ เราเห็นศักยภาพและเอกลักษณ์ที่พร้อมส่งต่อสู่ระดับโลก การได้รับยืนยันว่ามวยไทยจะถูกบรรจุในกีฬาทหารโลกปี 2027 เป็นอีกก้าวใหญ่และอาจเป็นจุดเริ่มต้นสู่โอลิมปิกในอนาคต” ขณะที่นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านกีฬา เน้นย้ำถึงความสำคัญของเหตุการณ์นี้ว่า “นี่คือจุดเริ่มต้นของการผลักดันมวยไทยไปสู่ระดับสากล เรามุ่งมั่นสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ”

การแข่งขันที่เข้มข้นจาก 11 ชาติ สู่มาตรฐานใหม่ของวงการมวยไทย

การแข่งขัน 1st CISM Military Muaythai Challenge มีนักกีฬาจาก 11 ประเทศ ได้แก่ ศรีลังกา, อุซเบกิสถาน, เบลเยียม, ปาเลสไตน์, ตุรกี, ซาอุดีอาระเบีย, โปแลนด์, คาซัคสถาน, อิหร่าน, บาห์เรน และประเทศไทย โดยมีนักกีฬาทหารไทยเข้าร่วม 15 รุ่น แบ่งเป็นชาย 10 รุ่น หญิง 5 รุ่น การแข่งขันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 กรกฎาคม 2568 ที่พารากอนฮอลล์ เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรี เพื่อส่งกำลังใจและร่วมบันทึกประวัติศาสตร์บทใหม่ของมวยไทย

ก้าวสำคัญสู่เวทีโอลิมปิก – จุดเปลี่ยนวงการกีฬาไทย

การที่มวยไทยได้รับการบรรจุในกีฬาทหารโลก 2027 ไม่เพียงสะท้อนถึงการยอมรับในระดับสากล แต่ยังถือเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับภาพลักษณ์และมาตรฐานของมวยไทยในฐานะ “กีฬา” ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ศิลปะป้องกันตัวพื้นบ้าน

  • ยกระดับภาพลักษณ์และมาตรฐาน: เมื่อเวทีแข่งขันใหญ่ระดับโลกต่างเห็นศักยภาพของมวยไทย ช่วยยืนยันว่าไทยมีระบบกติกาและการจัดการที่เทียบเท่ามาตรฐานสากล
  • ขยายเครือข่าย-สร้างความร่วมมือ: การรวมตัวของนักกีฬาจากนานาชาติช่วยเปิดโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พัฒนามาตรฐานและความรู้ให้ทันโลก
  • ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์-กระตุ้นเศรษฐกิจ: ความนิยมมวยไทยส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและวัฒนธรรม เป็นสินทรัพย์ซอฟต์พาวเวอร์ที่ต่อยอดความสำเร็จของไทยสู่เวทีโลก
  • ปูทางสู่โอลิมปิก: แม้จะเป็นก้าวแรกแต่การได้รับการยอมรับในกีฬาทหารโลก ทำให้มวยไทยเข้าใกล้เป้าหมายสูงสุด นั่นคือการบรรจุเป็นกีฬาในมหกรรมโอลิมปิก

กติกา-บุคลากร-ระบบนิเวศ

แม้จะก้าวหน้า แต่ไทยยังต้องเผชิญโจทย์สำคัญ ได้แก่ การปรับปรุงกติกาให้เป็นสากล การพัฒนาโค้ชและนักกีฬาให้เท่าทันคู่แข่งต่างประเทศ และการสร้างระบบนิเวศสนับสนุนกีฬามวยไทยทั้งในและต่างประเทศอย่างแข็งแรง ตามวิสัยทัศน์ของคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ

ก้าวยิ่งใหญ่ของมวยไทย – จาก “ศิลปะพื้นบ้าน” สู่ “เวทีกีฬาระดับโลก”

การได้รับบรรจุในกีฬาทหารโลก 2027 คือชัยชนะที่แสดงถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการผลักดัน “มวยไทย” ให้ยืนหยัดอย่างสง่างามบนเวทีโลก เส้นทางสู่โอลิมปิกอาจยังอีกยาวไกล แต่ชัยชนะในวันนี้คือก้าวสำคัญของวัฒนธรรมและซอฟต์พาวเวอร์ไทย ที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงในสายตาชาวโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลจากงานแถลงข่าวพิธีเปิด 1st CISM Military Muaythai Challenge, พารากอนฮอลล์ สยามพารากอน, 10 กรกฎาคม 2568
  • คำกล่าวของ ดร.สุทิน คลังแสง นายกสมาคมส่งเสริมกีฬาทหาร (ประเทศไทย)
  • คำกล่าวของ นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านกีฬา
  • สหพันธ์กีฬาทหารโลก (CISM)
  • สมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

วิกฤตรายได้ท่องเที่ยว! เมืองรองดึงคนได้ แต่ค่าใช้จ่ายต่ำ เชียงรายต้องเร่งสร้างมูลค่า

ท่องเที่ยวในประเทศครึ่งปีแรก 2568 โตชะลอตัว คนไทยเมินเมืองหลัก แห่เที่ยวเมืองรอง เชียงรายเนื้อหอม แต่รายได้ยังไม่ปัง!

สถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวในประเทศ โตแต่ชะลอตัว เหตุปัจจัยลบหลายด้าน

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยระบุว่าการท่องเที่ยวในประเทศยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจำนวนการเดินทาง 101 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และสร้างรายได้รวม 574,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% (YoY) อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเติบโตเริ่มแผ่วลงกว่าที่คาดไว้ และยังคงเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวในบางพื้นที่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของคนไทยที่นิยมเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกัน กำลังซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่มยังคงอ่อนแอจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น

เมืองหลักซบเซา เมืองรองรับอานิสงส์แต่รายได้ยังห่าง

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า หลายจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ กระบี่ อยุธยา และจันทบุรี กลับมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยลดลงในครึ่งปีแรก 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนแรงฉุดจากปัจจัยภายนอกทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นและรายได้ของผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้เมืองหลักไม่สามารถรักษาฐานลูกค้าภายในประเทศได้เหมือนเดิม

ขณะเดียวกัน “เมืองรอง” หรือจังหวัดท่องเที่ยวรอง อาทิ เชียงราย สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และอุบลราชธานี กลับได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเชียงรายที่กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับคนไทยที่ต้องการหลีกหนีความแออัดและแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ

ตลาดท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง ยังโตแต่โตช้าลง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าการเดินทางในประเทศครึ่งปีหลังจะเติบโตเพียง 1.4% (YoY) แม้มีมาตรการส่งเสริมจากรัฐ เช่น โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่รัฐบาลสนับสนุนค่าโรงแรมและคูปองดิจิทัล แต่ผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว และปัจจัยการเมือง ยังคงฉุดกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในวงกว้าง

เที่ยวต่างประเทศฮิต แพ็กเกจคุ้มค่า – “วีซ่าฟรี” ดึงคนไทยออกนอก

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเติบโตของท่องเที่ยวในประเทศชะลอตัว คือแนวโน้มที่คนไทยนิยมเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น สืบเนื่องจากมาตรการวีซ่าฟรีของหลายประเทศและกลยุทธ์ของบริษัทนำเที่ยวที่เสนอแพ็กเกจราคาถูกและคุ้มค่า ตัวอย่างเช่น ทริปเกาหลีใต้ 4 วัน 2 คืน ราคาเฉลี่ยเพียง 6,000 บาท หรือเวียดนาม 7,000 บาท ซึ่งมีราคาดึงดูดใจเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายการเที่ยวในประเทศที่สูงขึ้นทุกปี

เชียงรายขึ้นแท่นเมืองรองยอดนิยม แต่รายได้ยังน้อยกว่าเมืองหลัก

แนวโน้มใหม่ของตลาดท่องเที่ยวไทย คือการเที่ยว “เมืองรอง” ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเชียงรายที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่นักท่องเที่ยวไทย สาเหตุสำคัญคือความต้องการหลีกเลี่ยงความแออัดในเมืองหลัก การค้นหาสถานที่เที่ยวใหม่ ๆ และการรีวิวผ่านโซเชียลมีเดียที่ช่วยผลักดันกระแส

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนคนไทยเที่ยวเมืองรองปีนี้จะอยู่ที่ 41.4% เพิ่มจาก 41.3% ใน 5 เดือนแรก และเติบโตขึ้นถึง 32.3% เทียบกับก่อนโควิด-19 หลายจังหวัดเมืองรองมีนักท่องเที่ยวเกิน 2 ล้านคน อาทิ เชียงราย สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และอุบลราชธานี ตัวเลขนี้สูงกว่าเมืองหลักบางแห่ง เช่น สงขลา หรือพังงา

อย่างไรก็ตาม รายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองยังน้อยกว่าเมืองหลักมาก โดยรายได้จากเมืองรองอยู่ที่ 28% ของรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะที่เมืองหลักคิดเป็น 72% ของรายได้ทั้งหมด

ค่าใช้จ่ายต่อทริปต่ำกว่าก่อนโควิด พฤติกรรมเปลี่ยน “ไปเช้า-เย็นกลับ”

แม้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเมืองรองจะสูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อครั้งยังไม่ฟื้นตัวเท่าช่วงก่อนโควิด-19 ข้อมูลคาดว่าการใช้จ่ายในประเทศตลอดปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท เติบโต 2% ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 4,100 บาท/คน/ครั้ง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2562 อย่างมีนัยสำคัญ

สาเหตุหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจชะลอตัว พฤติกรรมการท่องเที่ยวแบบ “ไปเช้า-เย็นกลับ” ที่เพิ่มขึ้นจนคิดเป็น 51% ของการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในเมืองรองก็ต่ำกว่ามาก เฉลี่ย 2,800 บาท/คน/ครั้ง เมื่อเทียบกับเมืองหลักที่ 5,000 บาท/คน/ครั้ง ค่าที่พักในเมืองรอง เช่น เชียงราย เฉลี่ย 1,850 บาทต่อคืน ต่ำกว่ากรุงเทพฯ หรือภูเก็ตที่ 3,500 บาทต่อคืน ขณะที่ค่าอาหารและของที่ระลึกก็ถูกกว่า

โอกาสและความท้าทาย เมืองรองดึงคนได้ แต่รายได้ต้องเร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม

สถานการณ์นี้สะท้อนทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะเมืองรองอย่างเชียงรายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถสร้างรายได้ต่อหัวได้เท่าเมืองหลัก

ความท้าทายสำคัญคือการออกแบบแคมเปญและประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคนไทย พร้อมกับส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่นมากขึ้น ทั้งจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวใหม่ การยกระดับที่พัก อาหาร การบริการ และการส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น ควบคู่กับมาตรการของรัฐที่ช่วยจูงใจให้คนไทย “อยู่เที่ยว” เมืองรองนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น

เชียงรายกับเส้นทางการท่องเที่ยวไทยใหม่

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทย เมืองรองอย่างเชียงรายยิ่งกลายเป็นจุดหมายที่ได้รับความสนใจสูง แต่ยังต้องเน้นพัฒนา “มูลค่า” ไม่ใช่แค่ “จำนวน” เพื่อเปลี่ยนการเติบโตเชิงปริมาณให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของพื้นที่อย่างยั่งยืน การสร้างกิจกรรมพิเศษ เทศกาล วัฒนธรรมท้องถิ่น และแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ จะเป็นหัวใจของกลยุทธ์ในอนาคตของ “เมืองรอง” เพื่อให้สมดุลทั้งจำนวนและรายได้ที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2568
  • ข้อมูลจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสื่อเศรษฐกิจไทย
  • หลงฮักเขาแคมป์ปิ้ง ภูชี้ฟ้า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทยสูญเสียตลาดจีน! เวียดนามผงาด เหตุเงินบาทแข็ง-ความปลอดภัย-เศรษฐกิจจีน

นักท่องเที่ยวจีนเมินไทย แห่ไปเวียดนาม วิกฤต “ปีทอง” การท่องเที่ยวไทยที่ต้องเร่งปรับตัว

วิกฤตใหม่ไทยสูญเสียตำแหน่งเจ้าตลาดท่องเที่ยวจีนในภูมิภาค

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – ในอดีตประเทศไทยเคยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน แต่วันนี้ภูมิทัศน์การท่องเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเผยว่า ในครึ่งแรกของปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยลดลงเหลือ 16 ล้านคน ลดลง 4.2% จากปีที่ผ่านมา ที่น่าตกใจคือ สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเคยสูงถึง 28% ในปี 2562 และ 19% ในปี 2567 ลดเหลือไม่ถึง 14% ในปีนี้

ขณะที่เวียดนามกลับผงาดขึ้นเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 78% ในไตรมาสแรกปี 2568 แซงหน้าไทยด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นกว่า 200,000 คน ทะลุเป้าหมายในเวลาอันสั้น ดานังและญาจางคือหัวเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุด จากรีสอร์ตหรูไปจนถึงชายหาดที่เงียบสงบ

ปัจจัยฉุดรั้งประเทศไทยเงินบาทแข็ง-ความปลอดภัย-เศรษฐกิจจีน

สาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดความสนใจประเทศไทยมีหลายปัจจัย ทั้งการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินหยวนซึ่งลดความน่าสนใจในด้านราคาสินค้าและบริการ ในทางกลับกัน เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดองของเวียดนามและรูเปียห์ของอินโดนีเซีย ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกว่าได้ “ความคุ้มค่า” มากกว่าในสองประเทศนี้

อีกปัจจัยสำคัญคือปัญหาด้านความปลอดภัย ภาพยนตร์และข่าวในสื่อจีน เช่น “No More Bets” ที่นำเสนอเรื่องราวการหลอกลวงในภูมิภาคนี้ การกราดยิงในห้างสยามพารากอน เหตุการณ์แผ่นดินไหว และกรณีลักลอบค้ามนุษย์ ล้วนแต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของประเทศไทยในสายตาชาวจีน

นอกจากนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ซบเซาทำให้นักท่องเที่ยวจีนต้องรัดเข็มขัด งบประมาณการเดินทางลดลง 23% จากปีที่แล้ว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์ที่ “สดใหม่” และ “ราคาประหยัด” มากกว่าการเดินทางแบบเดิม

ยุทธศาสตร์ใหม่ “คุณภาพมากกว่าปริมาณ” ทางรอดหรือเพียงความหวัง?

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ประกาศปรับกลยุทธ์จาก “เน้นจำนวนนักท่องเที่ยว” เป็น “เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ” โดยพยายามดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง และเน้นเจาะตลาดใหม่ ๆ เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และการท่องเที่ยวรูปแบบเฉพาะทาง เช่น กีฬา งานเทศกาล และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่าการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามบิน รถไฟความเร็วสูง ระบบวีซ่าดิจิทัล แม้จะเอื้อต่อกลุ่มพรีเมียม แต่ยังไม่มีหลักประกันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะทดแทนการหายไปของตลาดจีนที่สำคัญได้

ตลาดจีนยังสำคัญไทยไม่สามารถละเลยได้

แม้การปรับกลยุทธ์จะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นตรงกันว่า ไทยยังไม่สามารถละเลยตลาดจีนซึ่งเคยสร้างรายได้สูงสุดแก่ประเทศ ในปี 2568 นักท่องเที่ยวจีนมาไทยไม่ถึง 2 ล้านคน ลดลงเกือบ 1 ใน 3 จากปี 2567 และลดฮวบจาก 11.1 ล้านคนในปี 2562

ททท. ยังเดินหน้าทำตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการร่วมมือกับ Baidu ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำแคมเปญ “สวัสดี หนีห่าว” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและกระตุ้นให้ชาวจีนกลับมาเที่ยวไทย แต่ผลลัพธ์ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่เคยตั้งไว้

นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่เจาะ “ใจ” คือทางรอด

รศ.ดร.กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ไม่ต้องการประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบแพ็กเกจ พวกเขาแสวงหา “ประสบการณ์แท้จริง” (authentic experiences) ที่เชื่อมโยงกับท้องถิ่น มีส่วนร่วมกับชุมชน และให้ความสำคัญกับคอนเทนต์โซเชียลมีเดีย ไทยควรผลักดัน “ท่องเที่ยวชุมชน” อย่างจริงจัง ให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมทั้งในแง่ประสบการณ์และการกระจายรายได้

นอกจากนี้ คุณภาพในสายตานักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ไม่ใช่เพียงความหรูหรา แต่หมายถึงบริการที่ใส่ใจ ความสะดวกสบาย และความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่สินค้า “แมส” ที่หาได้จากทุกประเทศ

สงครามท่องเที่ยวในอาเซียนเวียดนาม-มาเลเซียรุกหนัก ไทยต้อง “ล็อกประตูหลัง”

ขณะนี้อาเซียนกลายเป็นสมรภูมิแข่งขันที่เข้มข้น เวียดนามและมาเลเซียเร่งปลดล็อกมาตรการวีซ่า ขยายเส้นทางบินตรง เปิดบริการรถไฟและพัฒนาคอนเทนต์การท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ขณะที่ไทยยังต้องแข่งขันทั้งเรื่องความปลอดภัย ราคา และประสบการณ์ใหม่ ๆ

นายแกรี โบเวอร์แมน นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกล่าวเตือนว่า ประเทศไทยต้องทำงานหนักขึ้น ต้อง “ล็อกประตูหลัง” หมายถึงการสร้างความภักดีและประสบการณ์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจีนอยากกลับมาเยือนซ้ำ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยความท้าทายใหญ่ที่รอวันพลิกฟื้น

การหายไปของตลาดจีนส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ททท. ต้องปรับลดเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวเหลือ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 ขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังมีสัดส่วนถึง 12% ของ GDP ไทย นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังเตือนว่า หากไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยวโดยไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ความเสี่ยงจะสูงขึ้นในระยะยาว

ไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ไม่ใช่แค่พึ่งจำนวนนักท่องเที่ยว แต่มุ่งสร้างคุณค่าและประสบการณ์ที่ยั่งยืน เพื่อทวงคืนความเป็น “ไข่มุกแห่งเอเชีย” ในใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

“อวดเมือง 2568” เจาะกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power เชียงรายสู้ต่อ

เปิดม่าน “อวดเมือง 2568”  เจาะลึกกลยุทธ์ 3 จังหวัดอีสานผงาดเวที Soft Power พร้อมถอดบทเรียน “เชียงราย” สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กรุงเทพมหานคร, 10 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักของงาน SPLASH – Soft Power Forum 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กิจกรรมไฮไลต์ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามคือการนำเสนอ City Showcase ในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ซึ่งเฟ้นหา 2 จังหวัดต้นแบบที่จะได้รับการยกระดับเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” จากผู้เข้าร่วม 51 จังหวัดทั่วประเทศ และในรอบ 12 จังหวัดสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ กาญจนบุรี, ขอนแก่น, จันทบุรี, เชียงราย, นครราชสีมา, พิษณุโลก, เพชรบุรี, แพร่, เลย, ศรีสะเกษ, สุโขทัย และอุบลราชธานี มี 3 จังหวัดจากภาคอีสานอย่าง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ที่สามารถตีตั๋วเข้าสู่รอบสุดท้ายได้อย่างน่าจับตา ขณะที่เชียงราย แม้จะไม่ได้ไปต่อในรอบนี้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและแนวทางในการพัฒนาตนเองอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความท้าทายด้านทรัพยากรน้ำที่จังหวัดต้องเผชิญ

การที่ 3 จังหวัดอีสานอย่างขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ สามารถก้าวเข้าสู่รอบสุดท้ายของโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความบันเทิงหรือเทศกาลดนตรีเท่านั้น หากแต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในการนำ Soft Power มาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองในมิติที่หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นให้ดียิ่งขึ้น

ถอดรหัสความสำเร็จของ 3 จังหวัดอีสาน เมื่อ Soft Power สร้างมูลค่าที่จับต้องได้

การวิเคราะห์โครงการของทั้ง 3 จังหวัดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่เฉียบคมในการนำเสนออัตลักษณ์ท้องถิ่น ผสมผสานกับแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อสร้างความน่าสนใจและโอกาสในการลงทุนอย่างยั่งยืน

  1. ขอนแก่น “เทศกาลม่วน เมื่อผืนไหมขับร้อง และหัวใจเต้นไปกับจังหวะหมอลำ”

ขอนแก่นนำเสนอ “เทศกาลม่วน” ที่ถักทออัตลักษณ์สองสายเข้าด้วยกันอย่างลงตัว คือ “ม่วนไหม” ที่ยกระดับผ้าไหมมัดหมี่จากผืนผ้าสู่ภาษาแห่งอีสานและนวัตกรรม และ “ม่วนหมอลำ” ที่ขับขานเรื่องราวชีวิตผ่านเสียงดนตรีและบทกลอน สิ่งที่ทำให้ขอนแก่นโดดเด่นคือการมองไปข้างหน้าด้วยแนวคิด MICE และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน โดยเน้นกระบวนการทอผ้าแบบลดขยะ (Zero-Waste Weaving) เทศกาลไร้กระดาษ (Paperless Festival) และการร่วมสร้างจากชุมชนอย่างแท้จริง

ผศ.ดร.ดลฤทัย โกวรรธนะกุล ผู้อำนวยการโครงการ กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราไม่ได้แค่แสดงวัฒนธรรม แต่เรากำลังออกแบบอนาคตของมัน” นี่คือหัวใจสำคัญที่คณะกรรมการมองเห็น ขอนแก่นไม่ได้หยุดอยู่แค่การอนุรักษ์ แต่ต่อยอดด้วยนวัตกรรม มีเวิร์กช็อปสำหรับคนรุ่นใหม่ในการแปลงลายผ้าท้องถิ่นเป็นดิจิทัล ดีไซเนอร์รุ่นใหม่สร้างแฟชั่นจากไหมพื้นบ้าน และวงหมอลำร่วมสมัยเตรียมออกสู่เวทีนานาชาติ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ครบวงจร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความสนุกสนาน แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน การนำเสนอที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมเข้ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ทำให้ขอนแก่นมีศักยภาพที่จะเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริง

  1. นครราชสีมา “K-BATTLE International HIPHOP Festival” เทศกาลที่จะอวดเมืองโคราชให้โลกรู้ ด้วยการเต้น เสียงดนตรี และศิลปะ

โคราชเลือกหยิบยกวัฒนธรรมฮิปฮอปที่หยั่งรากลึกในพื้นที่มานานกว่าสิบปี มายกระดับเป็นเทศกาลระดับนานาชาติ “K-BATTLE International HIPHOP Festival” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของผู้คนที่สนใจศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย ทั้งการเต้น ดนตรี กราฟฟิตี้ และสตรีทอาร์ต สิ่งที่น่าสนใจคือการเชื่อมโยง Soft Power นี้เข้ากับปรากฏการณ์ระดับโลก เช่น MILLI บนเวที Coachella หรือ LISA กับมิวสิกวิดีโอที่เยาวราช

เทศกาลนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงความบันเทิง แต่ตั้งใจที่จะสร้างและผลักดันบุคลากรที่มีศักยภาพในการเป็นตัวแทน Soft Power ไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านดนตรี ศิลปะ และวัฒนธรรม มีกิจกรรมที่เสริมสร้างแรงบันดาลใจแก่เยาวชน ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อป งานดีไซน์ ไปจนถึงการแข่งขันในศิลปะหลากหลายแขนง การผนึกกำลังกันของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างแรงดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกด้วยความสุขและความสนุกในศิลปะที่เป็นสากล แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็น Destination ระดับโลกที่น่าลงทุน น่าเที่ยว และน่าอยู่ การนำเสนอที่จับกระแสความนิยมของคนรุ่นใหม่และมีแผนการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทำให้โคราชมีจุดแข็งที่ชัดเจนในการดึงดูดการลงทุนและสร้างภาพลักษณ์เมืองที่ทันสมัย

  1. ศรีสะเกษ “Sound of Sisaket: ซาวสีเกด” มากกว่าเทศกาลดนตรี เพราะที่นี่ทุกท่วงทำนองคือพลัง

ศรีสะเกษนำเสนอ “Sound Of Siaket” ซึ่งไม่ใช่แค่เทศกาลดนตรี แต่เป็นเทศกาลประจำเมืองที่รวบรวมความหลากหลายของท่วงทำนอง ทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย ความโดดเด่นอยู่ที่ไอเดียการเปลี่ยนย่านเมืองเก่าให้กลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ มีเวทีร้อง เต้น เล่นดนตรี สนามประลองความยิ่งใหญ่ของวงโยธวาทิตระดับโลก โดยมีหมุดหมายในการเข้าสู่เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก

สิ่งที่ทำให้ “ซาวสีเกด” แตกต่างคือการที่ทุกตรอก ซอก ซอย บ้านเก่า หรือแม้แต่ธุรกิจคาเฟ่ และร้านอาหารในย่าน ยังกลายเป็นสตูดิโอมีชีวิต อัดแน่นด้วยกิจกรรม อาทิ เวิร์กช็อป เสวนา พื้นที่แสดงผลงานของคนในพื้นที่ การรวมพลังสร้างสรรค์จากหลากหลายกลุ่มคน ตั้งแต่ผู้บริหารท้องถิ่น ศิลปิน ครูอาจารย์ ไปจนถึงชาวบ้านทุกวัยที่ร่วมมือร่วมใจกันสร้างบทบาท แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง เทศกาลนี้ไม่ได้มีดีแค่ “เรื่องเที่ยว” แต่เป็นงานที่ชวนทุกคนมาร่วมสร้างเมืองน่าลงทุน น่าอยู่ และน่าภาคภูมิใจไปด้วยกัน การที่ศรีสะเกษมีเป้าหมายชัดเจนในการเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรีของยูเนสโก และมีการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วนในท้องถิ่น ทำให้โครงการมีความแข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ระยะยาว

จากการวิเคราะห์ทั้งสามจังหวัด จะเห็นได้ว่า แม้หัวข้อหลักจะเป็นเรื่องของ “ดนตรี” หรือ “เทศกาล” แต่เนื้อหาและเป้าหมายของแต่ละโครงการล้วนเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การยกระดับคุณภาพชีวิต การสร้างโอกาสในการลงทุน และการดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว ไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิงฉาบฉวยอย่างที่บางคนอาจเข้าใจผิด

เมื่อความท้าทายกลายเป็นโอกาสด้วยพลังแห่งความร่วมมือ

สำหรับจังหวัดเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในโครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ด้วยเทศกาล “Chiang Rai BREW Festival” แต่การเดินทางมาได้ไกลถึงรอบ 12 จังหวัดสุดท้าย ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความพยายามและการทำการบ้านอย่างหนักของทีมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจังหวัดต้องประสบกับปัญหาด้านน้ำ ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญ

“Chiang Rai BREW Festival” นำเสนอจุดแข็งของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งชาและกาแฟคุณภาพระดับโลก ที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศักยภาพทางเศรษฐกิจ ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน กำลังผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพจาก 3 มหาวิทยาลัยเลื่องชื่อ และทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย เทศกาลนี้ออกแบบมาเพื่อต่อยอดมูลค่าของชาและกาแฟจากผลผลิตท้องถิ่น สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเชื่อมโยงเส้นทางจากแหล่งผลิตถึงปลายน้ำผ่านกิจกรรมตลอดปี เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่และเปิดโอกาสในการลงทุนบนเส้นทางชา-กาแฟ

สิ่งที่เชียงรายเน้นย้ำคือการไม่เพียงมุ่งเน้นด้านการบริโภค แต่ขยายไปสู่การจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการท้องถิ่น นักวิชาการ นักเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กับนักลงทุนรุ่นใหม่ เพื่อการยกระดับ Local Business to International Business และการสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมภาคเกษตร ภาคการท่องเที่ยว การพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม Specialty ที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืน เทศกาลนี้สะท้อนพลังของทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา และประชาชน ที่มาร่วมกันออกแบบอนาคตของเมืองด้วยเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังผ่านเครื่องดื่มอัตลักษณ์ของเมือง

แม้ปัญหาด้านน้ำจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมชา-กาแฟของเชียงรายได้ แต่การที่ทีมงานยังคงมุ่งมั่นนำเสนอศักยภาพของจังหวัดผ่านเทศกาลนี้ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในแก่นแท้ของ Soft Power นั่นคือการสร้างมูลค่าจากสิ่งที่มีอยู่ และการสร้างความร่วมมือเพื่อก้าวข้ามความท้าทาย

จุดวิเคราะห์ผลลัพธ์ของ การที่เชียงรายสามารถมาได้ไกลขนาดนี้ แม้จะมีปัญหาเรื่องน้ำ แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของจังหวัดในด้าน Soft Power และเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นมีสูงมาก และปัญหาเรื่องน้ำไม่ได้บั่นทอนความพยายามของทีมงาน การที่จังหวัดไม่ผ่านเข้ารอบ ไม่ได้หมายความว่าโครงการนี้ล้มเหลว แต่เป็นโอกาสให้เชียงรายได้กลับมาทบทวนและปรับปรุงแผนงานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผนึกกำลังกันทั้งจังหวัดเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน และนำจุดแข็งด้านชา-กาแฟมาเป็นหัวหอกในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อไป

การร่วมมือกันทั้งจังหวัดกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของเชียงราย

แนวคิดที่ว่า “เชียงรายต่อให้ไม่เข้ารอบแต่เราสามารถทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” เป็นประเด็นที่สำคัญและเป็นไปได้จริง ปัญหาด้านน้ำในเชียงรายเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างบูรณาการ การนำเสนอ “Chiang Rai BREW Festival” เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการแสดงศักยภาพ แต่การจะก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น

  • ภาครัฐ: กำหนดนโยบายและแผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
  • ภาคเอกชน: ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับชา-กาแฟ
  • ภาคการศึกษา: วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ชา-กาแฟที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการบริหารจัดการน้ำและพัฒนาคุณภาพสินค้า
  • ภาคประชาชนและชุมชน: มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำ และร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนจากชา-กาแฟ

การที่เชียงรายมี “Chiang Rai BREW Festival” เป็นธงนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากฐานทุนทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นสัญญาณที่ดีว่าจังหวัดมีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อด้วยตัวเอง การเรียนรู้จากประสบการณ์ในโครงการ “อวดเมือง 2568” จะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่ช่วยให้เชียงรายสามารถพัฒนาแผนงานให้มีความแข็งแกร่งและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสาน Soft Power เข้ากับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งหากทำได้สำเร็จ เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างแท้จริง

สรุปและก้าวต่อไป

โครงการ “อวดเมือง 2568 The Pitching” ได้เปิดโอกาสให้จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศได้นำเสนอศักยภาพและ Soft Power ของตนเอง ขอนแก่น นครราชสีมา และศรีสะเกษ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาต่อยอดเป็นเทศกาลและกิจกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแค่ความบันเทิง แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของเมือง

สำหรับเชียงราย แม้จะไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่การเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้พร้อมกับความท้าทายด้านสถานการณ์น้ำ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพอันมหาศาล การที่จังหวัดสามารถ “ทำเองได้โดยต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด” คือบทสรุปที่สำคัญที่สุด การใช้ Soft Power อย่างชาและกาแฟเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการบริหารจัดการน้ำ จะทำให้เชียงรายก้าวขึ้นเป็นเมืองที่ “น่าลงทุน น่าอยู่ น่าเที่ยว” ได้อย่างแท้จริงในอนาคตอันใกล้ เทศกาลนี้ไม่ใช่แค่กิจกรรมเฉพาะฤดูกาล แต่มีเป้าหมายในการยกระดับ SME และเศรษฐกิจท้องถิ่น เชื่อมโยงสายการผลิต–โลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–วัฒนธรรม โดยมีมหาวิทยาลัย 3 แห่งรองรับองค์ความรู้ พร้อมทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แม้ในปีนี้จังหวัดจะประสบปัญหาด้านน้ำ แต่ทีมงานได้ลงมือทำการบ้านกันอย่างหนัก สามารถขับเคลื่อนงานร่วมกับทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)

  • สมาคมส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA)

  • งาน SPLASH – Soft Power Forum 2025

  • ข้อมูลสรุปโครงการอวดเมือง 2568 The Pitching

  • Facebook : Narumon Namsom Nilmanon

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ คืนชีพในป่าเชียงราย! พืชหายากโผล่หลังเงียบหายศตวรรษ

การกลับมาของ ‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ Heterostemma brownii พืชหายากโผล่กลางป่าเชียงราย หลังเงียบหายกว่าศตวรรษ – จุดเปลี่ยนเร่งอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ

เรื่องเล่าบนผืนป่าลึกปรากฏการณ์ฟื้นคืนของพืชลึกลับที่หลายคนคิดว่าสาบสูญ

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – กว่าร้อยปีที่โลกพฤกษศาสตร์จารึกชื่อ “Heterostemma brownii” หรือ ‘ดาวทะเลแห่งป่าดิบ’ ไว้บนรายชื่อสิ่งมีชีวิตหายากอย่างเงียบงัน จนกระทั่งในปี 2562 ความหวังใหม่ก็ถือกำเนิดอีกครั้งจากการค้นพบของ ดร.วรนาถ ธรรมรงค์ นักอนุกรมวิธานพืช สำนักวิจัยและอนุรักษ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (QSBG) และทีมงาน ซึ่งออกสำรวจผืนป่าดิบชื้นในจังหวัดเชียงราย ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นว่าธรรมชาติยังคงมีความลับซุกซ่อนอยู่

“มันเหมือนเราค้นพบขุมทรัพย์ที่คิดว่าสาบสูญไปแล้ว” ดร.วรนาถกล่าวถึงความรู้สึกขณะเผชิญกับดาวทะเลแห่งป่าดิบครั้งแรก พืชชนิดนี้ในอดีตมีรายงานเฉพาะในไต้หวัน จีน และเวียดนาม โดยมีการค้นพบครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) การพบ H. brownii ในไทยครั้งนี้จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยและประเทศลาวเป็นครั้งแรก

ภาพถ่ายและข้อมูลเชิงลึกจากการค้นพบครั้งนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Thai Forest Bulletin (Botany) ปี 2563 และเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดย QSBG ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อ 10 กรกฎาคม 2568 จุดประกายความสนใจในแวดวงวิทยาศาสตร์และกลุ่มอนุรักษ์ทั่วประเทศทันที

เสน่ห์แห่ง “ดาวทะเล” บนม่านมอสป่าดิบ

‘Heterostemma brownii’ จัดอยู่ในวงศ์ดอกรัก (Apocynaceae) เป็นไม้เลื้อยเนื้ออ่อนที่พบเฉพาะในป่าดิบชื้นระดับความสูง 500-1,100 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ลักษณะดอกมีความโดดเด่น กลีบดอกสีเหลืองสดใส 5 แฉกแต้มจุดประแดง และกระบังรอบสีแดงเข้ม 5 แฉกกลางดอก คล้ายดาวทะเลกลางป่ามืด ยิ่งเมื่ออวดโฉมท่ามกลางฤดูฝนในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม พื้นที่ป่าดิบจึงงดงามราวเทพนิยาย

แม้จะค้นพบดอกอันสมบูรณ์ แต่นักวิจัยยังไม่พบผลหรือเมล็ดของ H. brownii จากตัวอย่างที่เก็บรวบรวม นี่คือช่องว่างทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็นต้องเร่งศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเข้าใจวงจรชีวิต กระบวนการสืบพันธุ์ และเงื่อนไขที่เอื้อต่อการกระจายพันธุ์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญต่อการวางแผนอนุรักษ์ระยะยาว

ความเปราะบางและการไม่ถูกประเมินสถานะ เงื่อนปมของการอนุรักษ์

  1. brownii นับเป็นพืชหายากอย่างแท้จริง และยังไม่มีการประเมินสถานะความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการในบัญชีแดงของ IUCN สาเหตุหลักคือข้อมูลที่ยังไม่เพียงพอและการปรากฏตัวอย่างจำกัดตลอดศตวรรษที่ผ่านมา

“การไม่มีสถานะอนุรักษ์ทำให้พืชชนิดนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงต่อภัยคุกคามโดยตรงและอ้อม” ดร.วรนาถกล่าว โดยภัยที่น่ากังวล ได้แก่

  • การสูญเสียถิ่นที่อยู่: การขยายพื้นที่เกษตรกรรม ตัดไม้ผิดกฎหมาย และอุตสาหกรรมที่รุกรานพื้นที่ป่า
  • การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ: ทำให้อุณหภูมิและปริมาณฝนผันผวนจนระบบนิเวศที่อ่อนไหวอย่าง H. brownii ปรับตัวไม่ทัน
  • มลพิษและชนิดพันธุ์ต่างถิ่น: เคมีเกษตรและการบุกรุกของพืชต่างถิ่นส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของป่าและพันธุ์ไม้หายาก
  • การโจรกรรมชีวภาพ: การลักลอบนำพันธุ์พืชหายากไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

ภัยเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการบูรณาการอนุรักษ์ H. brownii เข้ากับยุทธศาสตร์การปกป้องป่าดิบโดยรวม

ต้นแบบความมุ่งมั่นในงานอนุรักษ์ไทย

องค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ (QSBG) จังหวัดเชียงใหม่ ดำรงบทบาทศูนย์กลางของการวิจัยและอนุรักษ์พืชหายากในไทย QSBG ไม่เพียงเก็บรวบรวมพืชพันธุ์ไว้ในสวนและพิพิธภัณฑ์พืชเท่านั้น แต่ยังเน้นงานอนุกรมวิธานและโครงการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อปิดช่องว่างความรู้และขยายผลสู่นโยบายอนุรักษ์ระดับประเทศ

ความสำเร็จในการค้นพบ H. brownii อีกครั้ง ตอกย้ำถึงศักยภาพของทีมวิจัย QSBG และเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น Singapore Botanic Gardens และนักวิทยาศาสตร์จากลาวที่ร่วมศึกษาเส้นทางการกระจายพันธุ์ของพืชชนิดนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ก้าวต่อไปเพื่อ “ดาวทะเลแห่งป่าดิบ”

  1. ประเมินสถานะอนุรักษ์อย่างเป็นทางการ: เร่งสำรวจข้อมูลเพื่อจัดอันดับในบัญชีแดงของ IUCN อาจพิจารณาสถานะ “ข้อมูลไม่เพียงพอ” เพื่อกระตุ้นการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง
  2. วิจัยเชิงลึกทางชีววิทยา: สำรวจวงจรชีวิต กระบวนการสืบพันธุ์ และความต้องการด้านนิเวศวิทยาเพื่อเตรียมแผนฟื้นฟูทั้งในธรรมชาติและนอกพื้นที่
  3. ปกป้องถิ่นที่อยู่: ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า และผลักดันมาตรการคุ้มครองเฉพาะบริเวณที่พบ H. brownii
  4. สร้างเครือข่ายภูมิภาค: ขยายความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์จากจีน ลาว ไต้หวัน เวียดนาม เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด
  5. รณรงค์ให้ความรู้ชุมชน: ถ่ายทอดคุณค่าและความสำคัญของระบบนิเวศป่าดิบและ H. brownii สู่เยาวชนและชาวบ้าน สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยั่งยืน ควบคู่กับการอนุรักษ์

 “ดาวทะเลแห่งป่าดิบ” – จากตำนานสู่ความหวังใหม่ของป่าไทย

การค้นพบ Heterostemma brownii Hayata อีกครั้งในประเทศไทย คือตัวอย่างที่ชี้ชัดว่าธรรมชาติยังมีเรื่องราวซ่อนเร้นอีกมากมาย และความหลากหลายทางชีวภาพยังมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตมนุษย์

การดำเนินนโยบายอนุรักษ์ที่เข้มข้นและต่อเนื่อง คือหนทางเดียวที่จะรักษาพืชพันธุ์ล้ำค่านี้ไว้ให้เป็นสมบัติของป่าฝนไทยสืบไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เพจสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
  • ดร.วรนาถ ธรรมรงค์ | สำนักวิจัยและอนุรักษ์ QSBG
  • Thammarong, W., Raksa-chat, S., & Rodda, M. (2020). Thai Forest Bulletin (Botany), 48(2), 114–117.
  • IUCN Red List: International Union for Conservation of Nature’s Red List
  • The Plant List (2013) | http://www.theplantlist.org/
  • IPNI (International Plant Names Index)
  • Global Biodiversity Information Facility (GBIF)
  • คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News