Categories
CULTURE

คนไทยจำวันสำคัญ พุทธศาสนาได้แค่ไหน?

นิด้าโพลเผย คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้ความหมายวันสำคัญทางพุทธศาสนา

สำรวจการรับรู้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในกลุ่มคนไทย

ประเทศไทย,12 พฤษภาคม 2568 – ข้อมูลศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจในหัวข้อ “จำวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ไหม” โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนชาวไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และนับถือศาสนาพุทธ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 2-5 พฤษภาคม 2568 ครอบคลุมทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้จากทั่วประเทศ โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 97.0

ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบความสำคัญวันมาฆบูชา

จากผลสำรวจพบว่า เมื่อสอบถามประชาชนถึงการรับรู้ถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่มีประวัติศาสตร์และความหมายสำคัญในพุทธศาสนา พบว่ามีประชาชนเพียงร้อยละ 40.38 ที่ตอบว่าทราบถึงความสำคัญ ขณะที่อีกร้อยละ 59.62 ระบุว่า ไม่ทราบถึงที่มาและความสำคัญของวันนี้แต่อย่างใด ซึ่งสะท้อนถึงการขาดความตระหนักรู้ในระดับประชาชนทั่วไปที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก

วันวิสาขบูชายังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เมื่อสำรวจในหัวข้อของวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญที่ระลึกถึงการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ถือเป็นวันสำคัญระดับสากลที่ได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ ผลสำรวจปรากฏว่า มีประชาชนร้อยละ 47.94 ระบุว่าทราบความหมายของวันวิสาขบูชา ในขณะที่ร้อยละ 52.06 ตอบว่าไม่ทราบ สะท้อนให้เห็นว่า แม้วันวิสาขบูชาจะมีความสำคัญและได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจถึงแก่นแท้ของวันดังกล่าวได้

วันอาสาฬหบูชา ประชาชนรับรู้น้อยที่สุด

ด้านวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาและเกิดพระสงฆ์รูปแรกในพุทธศาสนา กลับพบว่า ประชาชนมีการรับรู้ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับวันสำคัญอื่น ๆ มีประชาชนเพียงร้อยละ 26.87 เท่านั้นที่ตอบว่าทราบ ขณะที่ร้อยละ 73.13 ไม่ทราบถึงที่มาและความสำคัญของวันนี้เลย ถือว่าเป็นประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสนใจอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญมากขึ้น

ประชาชนรู้จักวันเข้าพรรษามากที่สุด

ในทางตรงกันข้าม เมื่อสำรวจเกี่ยวกับวันเข้าพรรษา ผลสำรวจพบว่า มีประชาชนสูงถึงร้อยละ 77.94 ตอบว่าทราบถึงความสำคัญของวันเข้าพรรษา ซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่ชาวพุทธส่วนใหญ่มีกิจกรรมที่ชัดเจน เช่น การถวายเทียนพรรษา และพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่มีเพียงร้อยละ 22.06 เท่านั้นที่ตอบว่าไม่ทราบ จึงแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการเผยแพร่และสืบทอดประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันเข้าพรรษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวันสำคัญอื่นๆ

การทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยังไม่โดดเด่น

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการส่งเสริมและอนุรักษ์พุทธศาสนาในประเทศไทย ผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 43.12 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจกับผลงานของสำนักงาน รองลงมาร้อยละ 29.85 ตอบว่าไม่ค่อยพอใจ ขณะที่ร้อยละ 15.73 ตอบว่าพอใจมาก และร้อยละ 11.30 ตอบว่าไม่พอใจเลย

วิเคราะห์สถานการณ์และแนวทางแก้ไข

ผลสำรวจที่ออกมาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการขาดความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน ซึ่งมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากอดีต การที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบที่มาและความสำคัญของวันสำคัญทางศาสนา ส่งผลให้วัฒนธรรมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเสื่อมถอยลง และอาจส่งผลกระทบต่อคุณค่าทางจริยธรรมและคุณธรรมในสังคมไทยได้ในระยะยาว

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกระทรวงวัฒนธรรม ควรร่วมมือกันจัดกิจกรรมเผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับวันสำคัญทางศาสนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านช่องทางที่เข้าถึงประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น สื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และสถานศึกษา เพื่อสร้างการรับรู้ที่กว้างขวางและลึกซึ้งมากขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า ประเทศไทยมีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธประมาณ 93% ของประชากรทั้งประเทศ แต่กลับมีประชากรที่สามารถอธิบายความหมายวันสำคัญทางพุทธศาสนาอย่างถูกต้องและชัดเจนน้อยกว่า 50% โดยเฉลี่ย ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาด้านการสื่อสารและการให้ความรู้ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ (ที่มา: รายงานสำรวจทางสังคมและวัฒนธรรม สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) 
  • ายงานสำรวจทางสังคมและวัฒนธรรม สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENVIRONMENT

สหรัฐฯ สร้างฟาร์มยั่งยืน เลี้ยงแกะใต้โซลาร์เซลล์

การผสานพลังงานแสงอาทิตย์และการเลี้ยงแกะ นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในสหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา, 12 พฤษภาคม 2568 – ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน สหรัฐอเมริกากำลังก้าวไปข้างหน้าด้วยแนวคิดที่แปลกใหม่และน่าทึ่ง: การผสมผสานระหว่างการเลี้ยงแกะและฟาร์มโซลาร์เซลล์ หรือที่เรียกว่า Agrivoltaics สองสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีวันมาบรรจบกันได้ กลับกลายเป็นพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบ ช่วยแก้ไขปัญหาการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม พร้อมทั้งส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาดและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในเวลาเดียวกัน

ความท้าทายของการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาเผชิญกับการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมอย่างต่อเนื่อง ตามรายงานของ American Farmland Trust ระหว่างปี 2001 ถึง 2016 สหรัฐสูญเสียพื้นที่เกษตรและทุ่งเลี้ยงสัตว์ไปเฉลี่ยวันละ 2,000 เอเคอร์ หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป คาดว่าภายในปี 2040 สหรัฐจะสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมที่มีขนาดเทียบเท่ารัฐเซาท์แคโรไลนา การสูญเสียที่ดินเกษตรที่มีคุณภาพสูงนี้ไม่เพียงแต่คุกคามความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นและความยั่งยืนของระบบนิเวศ

หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการสูญเสียที่ดินเกษตรคือการขยายตัวของฟาร์มโซลาร์เซลล์ ซึ่งกลายเป็นทางเลือกหลักในการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์มักใช้พื้นที่เกษตรกรรมที่มีศักยภาพสูง สร้างความขัดแย้งระหว่างการผลิตพลังงานและการรักษาความมั่นคงทางอาหาร คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น: เราจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างอาหารและพลังงานสะอาดหรือไม่?

คำตอบคือไม่จำเป็น ด้วยแนวคิด Agrivoltaics ซึ่งเป็นการใช้ที่ดินแบบผสมผสานเพื่อการเกษตรและการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในเวลาเดียวกัน แนวคิดนี้กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการที่ดินในสหรัฐอเมริกา และ แกะ ได้กลายเป็นตัวเอกที่ไม่คาดคิดในเรื่องราวนี้

Agrivoltaics และบทบาทของแกะในฟาร์มโซลาร์

Agrivoltaics คือการรวมกันของคำว่า agriculture (เกษตรกรรม) และ photovoltaics (พลังงานแสงอาทิตย์) ซึ่งหมายถึงการใช้ที่ดินเดียวกันเพื่อผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่ไปกับกิจกรรมทางการเกษตร เช่น การปลูกพืช การเลี้ยงปศุสัตว์ หรือการเลี้ยงผึ้ง แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างการใช้ที่ดิน แต่ยังสร้างประโยชน์ร่วมกันให้กับทั้งเกษตรกรและผู้ผลิตพลังงาน

หนึ่งในรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Agrivoltaics คือการเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์เซลล์ หรือที่เรียกว่า solar grazing การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จำเป็นต้องมีการควบคุมพืชพรรณรอบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าสูงเกินไปจนบดบังแผง ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้า การตัดหญ้าแบบดั้งเดิมต้องใช้เชื้อเพลิง แรงงาน และอุปกรณ์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งยังก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

การนำแกะเข้ามาเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์เซลล์จึงเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและประหยัดต้นทุน แกะสามารถกินหญ้าและวัชพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้เครื่องจักรหรือสารเคมีกำจัดวัชพืช งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Applied Animal Behaviour Science ปี 2022 ระบุว่า แกะที่เลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ใช้เวลากินหญ้ามากกว่าแกะที่เลี้ยงในพื้นที่โล่ง เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์ให้ร่มเงา ช่วยลดความเครียดจากความร้อนและส่งเสริมสุขภาพของแกะให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพดิน การเคลื่อนที่ของแกะช่วยเหยียบย่ำวัสดุพืชเก่าๆ ลงสู่พื้นดิน ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนสารอาหารและเพิ่มปริมาณคาร์บอนในดิน SolarPower Europe รายงานว่า ดินที่เลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับดินทั่วไป และมีความชื้นในดินสูงขึ้น 20-30% ซึ่งช่วยลดการพังทลายของดินและส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ของที่ดิน

ตัวอย่างความสำเร็จจากเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการ

เจอาร์ โฮเวิร์ด เกษตรกรผู้เลี้ยงแกะในรัฐเท็กซัส เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จจาก solar grazing ในปี 2021 เขาเริ่มต้นด้วยการนำแกะของเขาไปเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ขนาดเล็กเพื่อควบคุมวัชพืช จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย ปัจจุบัน โฮเวิร์ดได้ก่อตั้งบริษัท Texas Solar Sheep ซึ่งมีฝูงแกะกว่า 8,000 ตัว และพนักงาน 24 คน ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีลูกค้ามากเกินกว่าที่จะรับไหว และเขาคาดว่าจะเพิ่มพนักงานอีก 20 คนภายในสิ้นปีนี้

โฮเวิร์ดให้สัมภาษณ์กับ The Independent ว่า “การเติบโตของธุรกิจนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก มันเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับฉันและครอบครัว” ความสำเร็จของเขาไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษาให้กับฟาร์มโซลาร์ แต่ยังเพิ่มรายได้จากการขายเนื้อและขนแกะ ซึ่งเป็นผลจากการที่แกะมีสุขภาพดีขึ้นจากการเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

การขยายตัวของ Agrivoltaics ในสหรัฐอเมริกา

ปัจจุบัน การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคมิดเวสต์และตะวันออก ตามข้อมูลจาก American Solar Grazing Association มีแกะประมาณ 80,000 ตัวเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์กว่า 500 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 40,000 เฮกตาร์ใน 27 รัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา

นอกจากการเลี้ยงแกะแล้ว Agrivoltaics ยังครอบคลุมถึงการปลูกพืชและการเลี้ยงผึ้งในฟาร์มโซลาร์ ตัวอย่างโครงการที่โดดเด่น ได้แก่:

  • Elizabethtown College, เพนซิลเวเนีย: ฟาร์มโซลาร์ของวิทยาลัยผลิตไฟฟ้าได้ 20% ของความต้องการทั้งหมด โดยใช้พื้นดินที่มีพืชคลุมดินที่เป็นมิตรต่อผึ้งและนก รวมถึงมีรังผึ้งเพื่อการศึกษาและวิจัย
  • Grafton Solar, แมสซาชูเซตส์: ฟาร์มโซลาร์ชุมชนแห่งนี้ปลูกผักกาดหอมและสควอชระหว่างแถวของแผงโซลาร์ และมีวัวเลี้ยงในบางส่วนของพื้นที่ นักวิจัยจาก UMass Amherst กำลังศึกษาผลกระทบของแผงโซลาร์ต่อผลผลิตทางการเกษตร
  • Jack’s Solar Garden, โคโลราโด: โครงการนี้ติดตั้งแผงโซลาร์สูง 2 เมตรเพื่อให้สามารถปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้าน Agrivoltaics สำหรับชุมชน
  • Oregon Agrivoltaic Research Facility, โอเรกอน: ตั้งอยู่ที่ Oregon State University โครงการนี้มุ่งเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น ลาเวนเดอร์และสมุนไพรพิเศษ ใต้แผงโซลาร์ เพื่อศึกษาผลกระทบของร่มเงาต่อผลผลิตและสุขภาพดิน

การแก้ไขปัญหาด้วยความยั่งยืน

การพัฒนา Agrivoltaics ในสหรัฐอเมริกาไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนในมิติต่างๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและสารเคมีในการบำรุงรักษา ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในขณะเดียวกัน เกษตรกรได้รับรายได้เพิ่มเติมจากการให้บริการ solar grazing และการขายผลิตภัณฑ์จากแกะ

สำหรับชุมชนท้องถิ่น Agrivoltaics ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียที่ดินเกษตร โดยแสดงให้เห็นว่าพลังงานสะอาดและการเกษตรสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน โครงการเหล่านี้ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกร ผู้เลี้ยงผึ้ง และชุมชนในท้องถิ่น ผ่านการจ้างงานและการพัฒนาทักษะใหม่ๆ

โอกาสและความท้าทาย

Agrivoltaics มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการที่ดินในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในบริบทที่ความต้องการพลังงานสะอาดและอาหารเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การขยายแนวคิดนี้ให้ครอบคลุมในวงกว้างยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  1. ต้นทุนการก่อสร้าง: การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของฟาร์มโซลาร์ เช่น การยกแผงให้สูงขึ้นหรือเพิ่มระยะห่างระหว่างแถวเพื่อให้เหมาะสมกับการเกษตร อาจเพิ่มต้นทุนการก่อสร้างถึง 10% ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีและการออกแบบที่ประหยัดต้นทุนจะเป็นกุญแจสำคัญ
  2. การเข้าถึงน้ำ: ในพื้นที่ที่มีสภาพแห้งแล้ง เช่น ภาคตะวันตกของสหรัฐ การจัดหาน้ำสำหรับปศุสัตว์และการชลประทานอาจเป็นอุปสรรค การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  3. การเลือกพืชที่เหมาะสม: ร่มเงาจากแผงโซลาร์อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิด การเลือกพืชที่ทนต่อร่มเงา เช่น ผักใบเขียวหรือสมุนไพร จะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร
  4. ความเสียหายต่ออุปกรณ์: การอนุญาตให้เกษตรกรใช้เครื่องจักรในฟาร์มโซลาร์อาจเสี่ยงต่อความเสียหายของแผงโซลาร์หรือโครงสร้าง การวางแผนและการจัดการที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงนี้
  5. สุขภาพดิน: การก่อสร้างฟาร์มโซลาร์อาจทำให้ดินอัดแน่นหรือสูญเสียหน้าดิน การใช้เทคนิคการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกพืชคลุมดิน จะช่วยรักษาคุณภาพดิน

ถึงกระนั้น โอกาสที่ Agrivoltaics นำมานั้นมีมากกว่าความท้าทาย การวิจัยจาก National Renewable Energy Laboratory (NREL) และโครงการ InSPIRE แสดงให้เห็นว่า Agrivoltaics สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรในบางกรณี เช่น การปลูกพืชที่ได้รับประโยชน์จากร่มเงา หรือการเลี้ยงแกะที่มีสุขภาพดีขึ้น นอกจากนี้ การสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผึ้งและแมลงผสมเกสรในฟาร์มโซลาร์ยังช่วยเพิ่มผลผลิตของพืชในพื้นที่ใกล้เคียง

ตัวอย่างจากต่างประเทศและอนาคตของ Agrivoltaics

ในขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังพัฒนา Agrivoltaics อย่างรวดเร็ว ประเทศในยุโรป เช่น สเปน อิตาลี และฝรั่งเศส ได้นำแนวคิดนี้ไปใช้มานานหลายปี ตัวอย่างเช่น บริษัท Iberdrola ในโปรตุเกสใช้แกะ 300 ตัวในการบำรุงรักษาพื้นที่ฟาร์มโซลาร์ เพื่อลดความเสี่ยงจากไฟป่าและส่งเสริมความยั่งยืน ในสหราชอาณาจักร โครงการฟาร์มโซลาร์ขนาด 1 กิกะวัตต์ในนอตติงแฮมเชอร์คาดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการตัดหญ้าได้ถึง 5 ล้านปอนด์ตลอดอายุ 40 ปี ด้วยการใช้แกะ 9,000 ตัว

ในอนาคต Agrivoltaics มีศักยภาพในการขยายไปสู่การเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น กระต่ายหรือหมู รวมถึงการปลูกพืชที่หลากหลายมากขึ้น การทดลองในปัจจุบัน เช่น การปลูกข้าวโพด มันฝรั่ง หรือมะเขือเทศ ใต้แผงโซลาร์ กำลังแสดงผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ การสนับสนุนจากรัฐบาลในรูปแบบเงินอุดหนุนหรือนโยบายส่งเสริมจะช่วยเร่งการนำ Agrivoltaics ไปใช้ในวงกว้าง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม:
    • สหรัฐสูญเสียพื้นที่เกษตรและทุ่งเลี้ยงสัตว์ 2,000 เอเคอร์ต่อวัน ระหว่างปี 2001-2016
    • คาดการณ์สูญเสียพื้นที่เทียบเท่ารัฐเซาท์แคโรไลนาภายในปี 2040
    • ที่มา: American Farmland Trust
  2. การเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์:
    • แกะ 80,000 ตัวเลี้ยงในฟาร์มโซลาร์ 500 แห่ง ครอบคลุม 40,000 เฮกตาร์ใน 27 รัฐ
    • เพิ่มขึ้น 10 เท่าใน 2 ปี
    • ที่มา: American Solar Grazing Association
  3. ผลกระทบต่อดิน:
    • ดินในฟาร์มโซลาร์ที่เลี้ยงแกะกักเก็บคาร์บอนได้มากขึ้น 80%
    • ความชื้นในดินเพิ่มขึ้น 20-30%
    • ที่มา: SolarPower Europe
  4. ผลตอบแทนทางการเงิน:
    • เกษตรกรสามารถสร้างรายได้ 300-500 ดอลลาร์ต่อเอเคอร์ต่อปีจากการให้บริการ solar grazing
    • ที่มา: Cornell University
  5. ประชากรแกะในสหรัฐ:
    • ปัจจุบันมีแกะประมาณ 5 ล้านตัว ลดลงจาก 50 ล้านตัวในปี 1947
    • ที่มา: The Independent

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • American Farmland Trust: รายงานการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรม, 2001-2016
  • American Solar Grazing Association: ข้อมูลการเลี้ยงแกะในฟาร์มโซลาร์, 2025
  • SolarPower Europe: รายงานผลกระทบของ solar grazing ต่อดินและระบบนิเวศ
  • Cornell University: การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินจาก solar grazing
  • Applied Animal Behaviour Science: การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินหญ้าของแกะในฟาร์มโซลาร์, 2022
  • The Independent: บทสัมภาษณ์เจอาร์ โฮเวิร์ด, 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เวียดนามแซงไทย! ชิงเจ้าการบิน เจ้าการเกษตร ไทยจะตามทันไหม?

การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไทยเผชิญความท้าทายจากเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตร

เวียดนาม, 12 พฤษภาคม 2568 – การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมาสะท้อนถึงความท้าทายที่กำลังเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ซึ่งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกมิติของเศรษฐกิจ ด้วยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ขยายตัวเพียง 1.9% ในปี 2566 ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการพัฒนาที่ชะลอตัว ขณะที่เวียดนามก้าวขึ้นเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการบิน การท่องเที่ยว และการเกษตร

เศรษฐกิจไทยในมุมมองภูมิภาค

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยเป็นหนึ่งในผู้นำทางเศรษฐกิจของอาเซียน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่ต่อเนื่องและการขาดวิสัยทัศน์ระยะยาวทำให้การพัฒนาในหลายภาคส่วนเริ่มชะลอตัว ข้อมูลจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า การเติบโตของจีดีพีไทยในปี 2566 ที่ 1.9% นั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่อยู่ราว 4.2% สะท้อนถึงความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ในทางตรงกันข้าม เวียดนามแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยนโยบายของรัฐบาลที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมหลัก เช่น การผลิต การท่องเที่ยว และการเกษตร การสนับสนุนจากรัฐบาลเวียดนามที่มีความต่อเนื่องช่วยให้ภาคเอกชนสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งมีสายการบินเวียตเจ็ทเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น

การบินและการท่องเที่ยว – เวียตเจ็ทขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนาม

นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนาม โดยเฉพาะในภาคการบินและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจีดีพี สายการบินเวียตเจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินราคาประหยัดชั้นนำของเวียดนาม ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายเครือข่ายการบินทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งสร้างรายได้เสริมจากธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo) และการให้บริการภาคพื้น

จากงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เวียตเจ็ทรายงานรายได้รวม 17.952 ล้านล้านดอง (ประมาณ 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และกำไรก่อนหักภาษี 836,000 ล้านดอง (ประมาณ 32.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รายได้เสริมจากบริการต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนถึง 35% ของรายได้รวม สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจที่หลากหลาย

เวียตเจ็ทยังขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 ได้เปิดเส้นทางใหม่เชื่อมโยงกรุงฮานอยและโฮจิมินห์ ซิตี กับเมืองสำคัญในจีน (ปักกิ่งและกวางโจว) และอินเดีย (เบงกาลูรูและไฮเดอราบาด) รวมถึงวางแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังนิวซีแลนด์ (โฮจิมินห์ ซิตี – โอ๊คแลนด์) ภายในปลายปี 2568 ปัจจุบัน เวียตเจ็ทให้บริการ 137 เส้นทางทั่วโลก โดยมีเส้นทางระหว่างประเทศ 97 เส้นทาง และภายในประเทศ 40 เส้นทาง

นอกจากนี้ เวียตเจ็ทยังลงทุนในฝูงบินที่ทันสมัย โดยเพิ่มเครื่องบินใหม่ 2 ลำในไตรมาสแรกของปี 2568 ทำให้มีเครื่องบินทั้งสิ้น 106 ลำ ซึ่งเป็นหนึ่งในฝูงบินที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค ด้วยอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 87% และความน่าเชื่อถือทางเทคนิคสูงถึง 99.72% เวียตเจ็ทจึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

การขนส่งสินค้าทางอากาศ จุดแข็งของเวียตเจ็ท

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เวียตเจ็ทแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัว โดยมุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางอากาศเพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากการเดินทางของผู้โดยสาร การขนส่งแบบ Cargo in Cabin และการโหลดสินค้าใต้ท้องเครื่องบินช่วยให้เวียตเจ็ทรักษาผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงวิกฤต บริษัทลูกอย่างสายการบินไทยเวียตเจ็ทยังได้รับการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งเห็นได้จากโครงการต่างๆ เช่น “ลิ้นจี่บินได้” “ลำไยบินได้” และ “สับปะรดบินได้” ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รวมถึงโครงการ “ทะเลบินได้” และ “กุ้งบินได้” จากภูเก็ต

ความสามารถในการขนส่งสินค้าเกษตรทางอากาศของเวียตเจ็ทและไทยเวียตเจ็ทแสดงถึงความเข้าใจในความต้องการของตลาดและการตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เวียดนามสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเกษตร เวียดนามแซงหน้าด้วยตัวเลขการส่งออก

นอกเหนือจากภาคการบิน อุตสาหกรรมเกษตรของเวียดนามยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้สามารถแซงหน้าประเทศไทยในแง่ของมูลค่าการส่งออก ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม (MARD) ระบุว่า ในปี 2567 มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนามคาดว่าจะสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากรวมการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมง มูลค่ารวมจะสูงถึง 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.7% จากปี 2566

ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2567 อยู่ที่ 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่ก็ถูกเวียดนามแซงหน้าไปเล็กน้อย สินค้าเกษตรหลักของเวียดนาม เช่น ผลไม้ ข้าว กาแฟ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตลาดส่งออก

ไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร

การแข่งขันระหว่างไทยและเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตรสะท้อนถึงความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาที่ชะลอตัวและนโยบายที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามการเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับเวียดนาม ซึ่งมีนโยบายที่ต่อเนื่องและชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีจุดแข็งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและบุคลากรที่มีศักยภาพ การลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย การเรียนรู้จากความสำเร็จของเวียดนาม เช่น การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของเวียตเจ็ท และการสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตรอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันและแข่งขันในเวทีโลกได้

โอกาสและความท้าทาย

การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนามแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนโยบายที่ต่อเนื่องและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ในขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร การขาดความชัดเจนในนโยบายและการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งทำให้เสียโอกาสในการแข่งขัน การลงทุนในเทคโนโลยี เช่น การใช้ระบบดิจิทัลในการจัดการซัพพลายเชนเกษตร และการพัฒนาฝูงบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย

นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างไทยและเวียดนาม จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศ การแข่งขันที่สร้างสรรค์จะเป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายพัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การเติบโตของจีดีพี:
    • ประเทศไทย: 1.9% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
    • เวียดนาม: 5.0% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
  2. มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร:
    • เวียดนาม: 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม)
    • ประเทศไทย: 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย)
  3. ผลการดำเนินงานของเวียตเจ็ท:
    • รายได้รวมไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 17.952 ล้านล้านดอง (690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
    • กำไรก่อนหักภาษี: 836,000 ล้านดอง (32.1 ล้าน初心
  4. จำนวนผู้โดยสารของเวียตเจ็ท:
    • ไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 6.87 ล้านคน (ที่มา: รายงานผลประกอบการของเวียตเจ็ท)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารโลก: รายงานการเติบโตของจีดีพีในอาเซียน ปี 2566
  • กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของสายการบินเวียตเจ็ท
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

ร้านกาแฟ “ต่างประเทศ” เริ่ม No WiFi แล้วที่ ‘เชียงราย’ มีเริ่มหรือยัง

ร้านกาแฟอเมริกันทยอยเลิก WiFi หวังจำกัดลูกค้านั่งทำงานนาน กระตุ้นรายได้-ชุมชนสัมพันธ์

กระแสทำงานนอกบ้าน สร้างปัญหาร้านกาแฟ

สหรัฐอเมริกา, 12 พฤษภาคม 2568 – จากรายงานล่าสุดของ Axios สำนักข่าวในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ปัจจุบันร้านกาแฟหลายแห่งในสหรัฐฯ เริ่มยกเลิกการให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย (WiFi) และจำกัดการใช้งานแล็ปท็อปภายในร้าน เพื่อแก้ปัญหาลูกค้าที่ใช้พื้นที่นั่งทำงานทางไกล (remote work) เป็นเวลานาน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อยอดขายและบรรยากาศภายในร้านกาแฟเป็นอย่างมาก

ในช่วงที่ผ่านมา ร้านกาแฟจำนวนมากได้กลายเป็นพื้นที่ที่ลูกค้านำแล็ปท็อปมานั่งทำงานหรือประชุมออนไลน์ผ่าน Zoom เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ซึ่งแม้จะเพิ่มจำนวนลูกค้าในร้านแต่กลับส่งผลกระทบทางลบต่อรายได้ของร้านกาแฟ เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้มักซื้อกาแฟหรือสินค้าจำนวนน้อย และยังใช้พื้นที่เป็นเวลานาน ทำให้ร้านกาแฟเสียโอกาสในการต้อนรับลูกค้าใหม่และสูญเสียรายได้ที่ควรได้

Starbucks และร้านดังปรับนโยบายใหม่

ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้คือ ร้านกาแฟ Starbucks ที่ก่อนหน้านี้มีนโยบายเปิดให้ลูกค้าใช้บริการฟรี แต่ล่าสุด Starbucks ปรับนโยบายใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2568 ให้ลูกค้าต้องซื้อสินค้าก่อนจึงจะสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและห้องน้ำในร้านได้ เพื่อป้องกันลูกค้านั่งนานเกินควรและลดปัญหาความแออัด

ขณะที่ร้านกาแฟ Devoción ในมหานครนิวยอร์ก เริ่มใช้นโยบายใหม่ จำกัดการใช้งาน WiFi ของลูกค้าเหลือเพียง 2 ชั่วโมงต่อคน ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยลูกค้าต้องใช้แอปพลิเคชันในการขอรหัสเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต ส่วนในวันเสาร์-อาทิตย์ ทางร้านยกเลิกบริการอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง

นาย Lanny Grossman ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Devoción กล่าวกับ Axios ว่า “เราต้องการให้มีความเป็นธรรมต่อลูกค้าทุกคน การปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งนั่งเป็นเวลานานเหมือนเป็นสำนักงานส่วนตัวนั้น ไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจและชุมชนของเรา เราต้องการสร้างความเท่าเทียมในการใช้พื้นที่”

ร้าน Alba ในเมืองดีทรอยต์ยกเลิก WiFi ตั้งแต่ต้น

ร้านกาแฟ Alba ที่เปิดตัวในเมืองดีทรอยต์เมื่อปี 2566 ก็เป็นอีกร้านที่ใช้นโยบายเด็ดขาด ไม่ให้บริการ WiFi ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะต้องการส่งเสริมให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงมากกว่าอยู่หน้าจอ

David Valdez เจ้าของร้าน Alba ระบุว่า “เป้าหมายของเราคือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าผ่านการสนทนา ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากทุกคนยังคงติดอยู่กับหน้าจอ แต่เราก็ยังพบลูกค้าบางส่วนที่นำแล็ปท็อปเข้ามาใช้งานอินเทอร์เน็ตจากร้านใกล้เคียงหรือใช้ hotspot ของตนเอง”

ปัญหาบีบร้านกาแฟต้องยอมตามลูกค้า

อย่างไรก็ตาม บางร้านถูกลูกค้าบังคับจนต้องกลับมาเปิด WiFi อีกครั้ง ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ Elle ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่เริ่มต้นไม่มี WiFi แต่หลังจากเกิดกระแสทำงานทางไกลเพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าเข้ามาร้องเรียนผ่านการรีวิวบน Google เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ร้านต้องกลับมาเปิด WiFi อีกครั้ง แต่จำกัดเวลาใช้งานเพียงวันจันทร์-พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00–15.00 น. และกำหนดเวลาใช้งานเพียง 1 ชั่วโมงครึ่งต่อคน

นาย Nick Pimentel เจ้าของร้าน Elle เปิดเผยว่า เหตุผลสำคัญคือร้านไม่สามารถรองรับลูกค้าที่นั่งทำงานนานหลายชั่วโมงได้ เพราะมีลูกค้ากลุ่มอื่นที่ต้องการเข้ามาใช้บริการทานอาหารและเครื่องดื่ม แต่ไม่มีพื้นที่เพียงพอ ร้านจึงจำเป็นต้องหาวิธีการควบคุมเวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเข้มงวดมากขึ้น

สถานการณ์เศรษฐกิจส่งผลต่อการใช้งานร้านกาแฟ

นอกจากนี้ สถานการณ์การเลิกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มจำนวนลูกค้ากลุ่มผู้ที่กำลังหางานใหม่ เข้ามาใช้งานร้านกาแฟ Elle อย่างชัดเจน โดย Pimentel ระบุว่า ลูกค้ากว่า 80% ในบางวัน ใช้ร้านเป็นพื้นที่ทำงานและสัมภาษณ์งานผ่าน Zoom ซึ่งสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและการทำงานในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างไรก็ดี เจ้าของร้านยังพบข้อดีที่น่าสนใจ คือ กลุ่มลูกค้าบางส่วนเริ่มหันกลับมาสนใจการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงผ่านการพูดคุยกันแบบตัวต่อตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้าน Elle ต้องการส่งเสริมมาโดยตลอด

บทวิเคราะห์ อนาคตร้านกาแฟในยุค Remote Work

การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้สะท้อนถึงปัญหาที่ร้านกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญ และเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัว เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสร้างรายได้และการรักษาบรรยากาศที่ดีภายในร้านในยุคที่การทำงานนอกสถานที่กลายเป็นเรื่องปกติ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากการสำรวจของ Pew Research Center ในปี 2567 พบว่า 35% ของชาวอเมริกันยังคงทำงานแบบ Remote Work อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวัน สูงกว่าอัตราก่อนช่วงโควิด-19 ที่มีเพียง 7% (ที่มา: Pew Research Center, 2024)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : axios

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

โล่งใจ! สัตวแพทย์ยืนยัน กินหมูสุก ปลอดภัย แอนแทรกซ์

กินสุกเพื่อสุขภาพ: ปลอดภัยจากเชื้อโรค อร่อยไม่เปลี่ยน

ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเนื้อหมู

ในช่วงหน้าร้อนปี 2568 ความกังวลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ เช่น โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) และโรคไข้หูดับ ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการเลือกบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ รองเลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ชี้แจงว่า โรคแอนแทรกซ์ ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย Bacillus anthracis ไม่พบในหมู แต่พบในสัตว์กินพืช เช่น วัว ควาย แพะ และแกะ เนื้อหมูจึงปลอดภัยสำหรับการบริโภคหากปรุงสุกอย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตาม การบริโภคเนื้อหมูดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ลาบดิบหรือก้อย อาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากเชื้อ Streptococcus suis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับ อันอาจทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สูญเสียการได้ยิน หรือถึงขั้นเสียชีวิต การเลือกบริโภคเนื้อหมูที่ปรุงสุกจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและจำเป็น

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภคเนื้อหมู

เนื้อหมูเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเป็นที่นิยมในเมนูอาหารไทย เช่น ลาบ ก้อย และหมูกระทะ แต่การบริโภคแบบดิบหรือปรุงไม่สุกอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis ซึ่งพบในหมูที่ป่วยและสามารถแพร่สู่มนุษย์ผ่านการบริโภคหรือการสัมผัสเนื้อดิบ นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ระบุว่า การปรุงเนื้อหมูให้สุกที่อุณหภูมิอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในความสะอาดและคุณภาพของเนื้อหมู

แนวทางการป้องกันเพื่อความปลอดภัย

เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและรักษาสุขภาพที่ดี สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแนะนำแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้:

  1. ปรุงเนื้อหมูให้สุกทั่วถึง ใช้ความร้อนอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis และป้องกันโรคไข้หูดับ
  2. เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ซื้อเนื้อหมูจากร้านค้าหรือตลาดที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย หลีกเลี่ยงเนื้อที่มีกลิ่นหรือสีผิดปกติ
  3. ป้องกันการปนเปื้อน สวมถุงมือเมื่อสัมผัสเนื้อดิบ ล้างมือและอุปกรณ์ให้สะอาด และแยกเขียงสำหรับเนื้อดิบและสุก
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่วย ในพื้นที่ที่มีประวัติการระบาดของโรค ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสซากสัตว์หรือสัตว์ที่สงสัยว่าติดเชื้อ
  5. รีบพบแพทย์เมื่อมีอาการ หากมีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือสูญเสียการได้ยินหลังบริโภคหรือสัมผัสเนื้อดิบ ควรรีบไปโรงพยาบาลและแจ้งประวัติความเสี่ยง

ความอร่อยที่ปลอดภัยด้วยการกินสุก

การเปลี่ยนเมนูดิบมาเป็นเมนูสุกไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของรสชาติไว้ได้อย่างครบถ้วน เมนูอย่างลาบคั่ว ก้อยย่าง หรือหมูย่าง สามารถนำเสนอรสชาติที่เข้มข้นและหอมกรุ่นโดยไม่ต้องพึ่งความดิบ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเชิญชวนทุกคนลองปรับเปลี่ยนวิธีการปรุงอาหาร โดยไม่ห้ามการบริโภคเมนูดิบ แต่เน้นย้ำให้ลดการบริโภคแบบดิบและหันมาสร้างสรรค์เมนูสุกที่ทั้งปลอดภัยและน่ารับประทาน การปรุงสุกไม่เพียงปกป้องสุขภาพ แต่ยังเป็นการรักษาความสุขในการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง

กินสุกไม่ใช่เรื่องยาก รสชาติยังคงน่าจดจำ

การเลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกไม่ใช่เรื่องซับซ้อนและไม่ทำให้สูญเสียรสชาติที่คุ้นเคย แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ส่งเสริมให้ทุกคนหันมาปรุงเมนูโปรดให้สุก เช่น ลาบคั่วที่หอมด้วยเครื่องเทศ ก้อยย่างที่สุกกำลังดี หรือหมูกระทะที่ย่างจนฉ่ำ การกินสุกไม่ได้หมายถึงการห้ามบริโภคเมนูดิบอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการเชิญชวนให้ลดความเสี่ยงด้วยการปรุงอาหารให้สุกเพื่อสุขภาพที่ดี ในช่วงหน้าร้อนนี้ มาร่วมกันเปลี่ยนความอร่อยให้เป็นความสุขที่ปลอดภัยด้วยการเลือกกินสุก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและความมั่นใจในทุกมื้ออาหาร

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
CULTURE

หลอนปนฮา! “ผีขนลำปาง” หนึ่งเดียวในงานบุญแปดเป็ง

ขบวนผีขนลำปาง สืบสานประเพณีแปดเป็ง แจ้ซ้อน นักท่องเที่ยวแห่ชมคึกคัก

ประเพณีแปดเป็ง แจ้ซ้อน หนึ่งเดียวในลำปาง

ลำปาง, 11 พฤษภาคม 2568 – ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา หรือที่ชาวล้านนาเรียกว่า “วันแปดเป็ง” ณ วัดศรีหลวงแจ้ซ้อน ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง ได้จัดงานประเพณีสำคัญประจำปี “สรงน้ำพระธาตุ ยกช่อฟ้า แปดเป็ง บุญบอกไฟ และขบวนผีขน” ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาวแจ้ซ้อน ที่สืบทอดวัฒนธรรมอันเก่าแก่มายาวนานกว่า 400 ปี จนกลายเป็นหนึ่งในประเพณีที่ได้รับความนิยมและความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ

พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ สรงน้ำพระธาตุแจ้ซ้อน

ตั้งแต่เช้าตรู่ บรรยากาศภายในวัดศรีหลวงแจ้ซ้อนเต็มไปด้วยศรัทธาของประชาชนชาวลำปางและจังหวัดใกล้เคียง ที่พร้อมใจกันแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองมาร่วมพิธีกรรมสรงน้ำพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเสริมสิริมงคลในชีวิต และอุทิศบุญกุศลแด่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ โดยพิธีนี้ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนแปด (เหนือ) ตามปฏิทินล้านนา

ภายในงานมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พิธีบูชายกช่อฟ้าของพระอุโบสถ และพิธีจุดบั้งไฟหรือบุญบอกไฟ เพื่อถวายแด่ฟ้าดินและขอให้ฝนตกตามฤดูกาล ซึ่งเป็นความเชื่อที่ชาวล้านนาสืบทอดต่อกันมาช้านาน

ขบวนผีขน ไฮไลต์สำคัญสร้างสีสันในงาน

สิ่งที่ถือเป็นไฮไลต์ของงาน และได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก คือ “ขบวนผีขน” หรือ “ผีโขน” ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่ชาวแจ้ซ้อนภาคภูมิใจ โดยขบวนผีขนเริ่มต้นจากบริเวณวัดและเคลื่อนขบวนผ่านหมู่บ้าน สร้างความตื่นตาตื่นใจและเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก

ผีขนของชาวแจ้ซ้อนมีลักษณะเฉพาะตัว โดยผู้ร่วมขบวนจะแต่งกายด้วยชุดที่ทำจากเศษจีวรพระเก่าและวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ รวมถึงเศษผ้าที่หาได้ตามท้องถิ่น ส่วนศีรษะผีขนจะทำจากตะกร้าสานไม้ไผ่ ห่อด้วยฝอยมะพร้าวและจีวรพระที่เก่าจนไม่สามารถใช้ได้แล้ว จากนั้นจะตกแต่งด้วยสีสันและรายละเอียดบนใบหน้าให้ดูน่ากลัวและขนลุก อีกทั้งยังมีการนำเส้นผมจริงหรือเส้นผมของผู้ที่เสียชีวิตแล้วมาติดไว้บนหัวผีขน สร้างความน่ากลัวสมจริง

ความเชื่อและการสืบทอดพิธีกรรมผีขน

ตามความเชื่อของชาวแจ้ซ้อน การเล่นผีขนนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เชื่อกันว่า หากผู้ใดในชาติปัจจุบันหน้าตาไม่ดี ไร้คนรัก หากได้มีโอกาสร่วมเล่นผีขนแล้ว ในชาติหน้าจะเกิดมาหน้าตาดี มีคนรักและชื่นชอบ

ในอดีต ก่อนจะเริ่มขบวน ผู้เล่นจะต้องนำชุดผีขนไปทำพิธีอัญเชิญวิญญาณในป่าช้า โดยมีการเตรียมหมาก 1 คำ พลู 1 ใบ กล้วย 1 ลูก และข้าว 1 ปั้น เพื่อให้ดวงวิญญาณผู้ตายเข้ามาสิงในชุดผีขน จากนั้นเมื่อได้ยินเสียงฆ้องกลอง ดวงวิญญาณที่เข้ามาในชุดผีขนจะเริ่มออกมาร่ายรำและหลอกล้อกับผู้ชมสร้างความสนุกสนานในขบวนแห่

เมื่อการเล่นเสร็จสิ้น ผู้เล่นจะต้องนำชุดผีขนไปแขวนทิ้งไว้ในป่าช้า และทำพิธีชำระร่างกายด้วยน้ำขมิ้นส้มป่อย เพื่อชำระสิ่งไม่ดีออกจากร่างกายตามความเชื่อโบราณ

การอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านสู่ยุคปัจจุบัน

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ประเพณีแปดเป็งและขบวนผีขนนั้นได้รับการอนุรักษ์และสืบทอดอย่างจริงจังจากรุ่นสู่รุ่นกว่า 400 ปี ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นอัตลักษณ์สำคัญทางวัฒนธรรมที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่จังหวัดลำปางเป็นจำนวนมากในแต่ละปี อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดลำปางอย่างยั่งยืน

บทวิเคราะห์และความสำคัญทางเศรษฐกิจ

ประเพณีดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการสืบทอดความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและการท่องเที่ยวในจังหวัดลำปางได้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ส่งผลให้มีการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจภายในชุมชนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะร้านค้า โรงแรม และร้านอาหารในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาจังหวัดต่อไปในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจากสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดลำปาง ปี 2567 ระบุว่า งานประเพณีแปดเป็งและขบวนผีขน มีนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานกว่า 15,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 20% และสร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชนกว่า 12 ล้านบาท (ที่มา: รายงานสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดลำปาง ประจำปี 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รายงานสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดลำปาง ประจำปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วัดขัวแคร่จัดตักบาตรใหญ่ เนื่องในวันวิสาขบูชา 2568

วัดขัวแคร่ จ.เชียงราย จัดพิธีทำบุญตักบาตรวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนร่วมแน่นวัด

จัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ พุทธศาสนิกชนเชียงรายร่วมใจตักบาตรวันวิสาขบูชา

เชียงราย,11 พฤษภาคม 2568 – เวลา 06.30 น. ณ วัดขัวแคร่ ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย วัดขัวแคร่ได้ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และคณะศรัทธาประชาชน จัดกิจกรรมสำคัญเนื่องในวันวิสาขบูชา ประจำปีพุทธศักราช 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนชาวเชียงราย ได้มีส่วนร่วมในการทำบุญตักบาตร น้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย อันประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

กิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นอย่างสมเกียรติ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ และประชาชนชาวเชียงรายที่มีจิตศรัทธาเข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบ เรียบง่าย และเป็นระเบียบเรียบร้อยตามแบบแผนประเพณีทางพุทธศาสนา

พิธีเปิดกิจกรรมอย่างเป็นทางการโดยพระอธิการเสกสรร สุทธสนโธ

ภายในงานมี พระอธิการเสกสรร สุทธสนโธ เจ้าอาวาสวัดขัวแคร่ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรจากวัดต่างๆ ในเขตอำเภอเมืองเชียงราย รวมจำนวนกว่า 50 รูป ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง และฟังธรรมเทศนา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีการประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา ตามหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน

สำนักงานวัฒนธรรมเชียงรายร่วมกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม

สำหรับในส่วนของหน่วยงานราชการที่เข้าร่วมพิธี นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วย นางพรทิวา ขันธมาลา นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงบุคลากรของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายอีกหลายท่าน เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง โดยเน้นย้ำว่ากิจกรรมครั้งนี้เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของสำนักงานวัฒนธรรม ที่ต้องการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีทางพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่ชาวเชียงรายสืบไป

ประชาชนร่วมพิธีด้วยจิตศรัทธาแน่นวัด

ในการจัดกิจกรรมวันวิสาขบูชาในปีนี้ พบว่าประชาชนได้เดินทางมาร่วมพิธีอย่างคับคั่งตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งผู้สูงอายุ วัยรุ่น และเด็กนักเรียน ต่างมาร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม และร่วมกิจกรรมเวียนเทียน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพุทธศาสนาในพื้นที่เชียงราย ที่สามารถเชื่อมโยงทุกเพศทุกวัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างเหนียวแน่น

ทั้งนี้ พระอธิการเสกสรร สุทธสนโธ เจ้าอาวาสวัดขัวแคร่ ยังได้ให้โอวาทแก่พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงาน โดยเน้นย้ำให้ทุกคนนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการรักษาศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการดำรงชีวิตให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขและสงบสุข

กิจกรรมสำคัญทางพระพุทธศาสนา และบทบาทของสังคมเชียงราย

วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดยมีความสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันเดียวกัน พุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและหลักธรรมคำสอนของพระองค์ ซึ่งในจังหวัดเชียงราย ได้จัดกิจกรรมขึ้นทุกปี และพบว่าประชาชนมีแนวโน้มเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาเพิ่มขึ้นทุกปี สะท้อนถึงความสำเร็จในการส่งเสริมและอนุรักษ์ศาสนาและวัฒนธรรมในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

บทวิเคราะห์และจุดที่น่าสังเกต

จากกิจกรรมครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของวัดและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ในการสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมในระดับบุคคลแล้ว ยังส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีและความเข้มแข็งในชุมชนท้องถิ่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบทบาทของเยาวชนรุ่นใหม่ที่เข้ามามีส่วนร่วมในพิธีอย่างกระตือรือร้น เป็นสัญญาณที่ดีในการส่งต่อประเพณีและคุณค่าทางวัฒนธรรมแก่คนรุ่นต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้องในการเข้าร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนา

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า ประชาชนชาวไทยเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-10% โดยเฉพาะกิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา มีผู้เข้าร่วมทั่วประเทศกว่า 12 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงานสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567

  • อัมพิกา จิณะเสน

  • นายอภิชาต กันธิยะเขียว

  • นางวนิดาพร ธิวงศ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“นายกวันชัย” ชนะ “ดร.แซน” นั่งเก้าอี้นายกเทศมนตรีนครเชียงราย อีกสมัย

วันชัย” คว้าชัยขาดลอยนั่งนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมยกทีม สท. ทั้ง 4 เขต

บรรยากาศเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงรายคึกคัก ประชาชนตื่นตัว

เชียงราย, 11 พฤษภาคม 2568 – ได้จัดให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงราย โดยตั้งแต่ช่วงเช้าบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก ประชาชนต่างทยอยเดินทางมาใช้สิทธิที่หน่วยเลือกตั้งทั้ง 87 หน่วย ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 เขตเลือกตั้งในเขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 60,000 คน

ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีการแข่งขันอย่างเข้มข้นระหว่างผู้สมัคร 2 ราย คือ นายวันชัย จงสุทธานามณี ผู้สมัครอิสระ “ทีมวันชัย” อดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงรายหลายสมัย และนายศราวุธ สุตะวงค์ ผู้สมัครจากพรรคประชาชน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีการลงพื้นที่หาเสียงและประชาสัมพันธ์นโยบายของตนเองอย่างจริงจังต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมา

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ติดตามใกล้ชิด

ในระหว่างการเลือกตั้ง นายจรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ออกตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ ในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเรียบร้อย พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานประจำหน่วยเลือกตั้งทุกคน ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดได้แสดงความพอใจต่อความเรียบร้อยของหน่วยเลือกตั้งที่ได้ตรวจเยี่ยมทั้งหมด

กกต.เชียงรายระบุไม่มีปัญหาร้ายแรง

ด้านพันจ่าเอกอัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลนครเชียงราย เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งทั้ง 87 หน่วย ได้รับการอบรมและจัดเตรียมการมาอย่างดีเยี่ยม ทำให้การดำเนินงานในวันเลือกตั้งเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างการลงคะแนนเสียง

ขณะเดียวกัน นายชูชาติ สุขสงวน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัดเชียงราย ระบุเพิ่มเติมว่า ยังไม่พบปัญหาอุปสรรคที่ร้ายแรงในการจัดการเลือกตั้ง มีเพียงปัญหาเล็กน้อย เช่น มีผู้สมัครถูกถอนชื่อออก 1 ราย ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น เนื่องจากขาดคุณสมบัติด้านสัญชาติ และมีผู้สมัครเสียชีวิตก่อนเลือกตั้ง 3 ราย ส่วนเรื่องร้องเรียนมีเพียงไม่กี่กรณี ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกล่าวหาเรื่องการให้เงินประชาชนก่อนครบวาระดำรงตำแหน่งเดิม โดย กกต.เชียงรายจะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

วันชัย” ชนะท่วมท้น คะแนนทิ้งห่างชัดเจน

หลังจากปิดหีบบัตรเลือกตั้งในเวลา 17.00 น. ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการจากกว่า 100% ของจำนวนหน่วยเลือกตั้งทั้งหมด ปรากฏว่า นายวันชัย จงสุทธานามณี หมายเลข 2 จาก “ทีมวันชัย” ได้รับคะแนนสูงถึง 17,243 คะแนน เอาชนะนายศราวุธ สุตะวงค์ หมายเลข 1 จากพรรคประชาชน ซึ่งได้คะแนนประมาณ 12,362 คะแนน ทำให้คะแนนห่างกันอย่างชัดเจน

นอกจากนายวันชัยจะได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงรายอีกสมัยแล้ว ทีมผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงราย (สท.) จาก “ทีมวันชัย” ยังสามารถกวาดที่นั่งได้ครบทุกเขตเลือกตั้งทั้ง 4 เขตด้วยคะแนนที่นำโด่งเหนือคู่แข่งอย่างชัดเจน

ประชาชนมั่นใจในผลงานชัดเจน

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวหลังทราบผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการว่า ขอขอบคุณประชาชนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจตนและทีมงานอีกครั้ง โดยพร้อมเดินหน้านโยบายที่เคยสัญญาไว้ โดยเฉพาะด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองเชียงราย การส่งเสริมการท่องเที่ยว การยกระดับการศึกษา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนครเชียงรายให้ดีขึ้นต่อไป

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า ชัยชนะครั้งนี้สะท้อนถึงผลงานที่เป็นรูปธรรมของนายวันชัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งด้านการพัฒนาเมืองอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการบริหารจัดการปัญหาภัยพิบัติ โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนยังคงมั่นใจและเลือกสนับสนุนเขากลับมาอีกครั้ง

วิเคราะห์การเลือกตั้งนครเชียงราย

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า นายวันชัยยังคงครองใจชาวนครเชียงรายได้เป็นอย่างดี แม้ผู้ท้าชิงจะมีฐานเสียงที่ไม่ธรรมดา แต่นโยบายและผลงานที่จับต้องได้ของนายวันชัยยังคงเหนือกว่า และสะท้อนถึงการเมืองท้องถิ่นเชียงรายที่ยังยึดติดกับผลงานที่ประชาชนสามารถประเมินผลได้ชัดเจน มากกว่ากระแสการเมืองในระดับประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงราย

ข้อมูลจากสำนักงาน กกต.จังหวัดเชียงราย ระบุว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อปี 2564 มีประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 71.52 จากจำนวนผู้มีสิทธิทั้งหมด ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ (ที่มา: รายงานสรุปผลการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต.จังหวัดเชียงราย ปี 2564) และคาดการณ์ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจมีสัดส่วนการออกมาใช้สิทธิไม่ต่ำกว่าครั้งที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงานสรุปผลการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต.จังหวัดเชียงราย ปี 2564
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงราย ตรวจเลือกตั้ง! กกต.สอบเงินซื้อเสียง

ผู้ว่าฯเชียงรายตรวจเข้มหน่วยเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงราย ยืนยันโปร่งใสและเป็นธรรม

เชียงรายจัดเลือกตั้งเทศบาลนครครั้งใหญ่

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 บรรยากาศการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลทั่วประเทศ รวมถึงเทศบาลนครเชียงราย เต็มไปด้วยความคึกคัก ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันอย่างต่อเนยื่องตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในพื้นที่เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งถือเป็นเทศบาลขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงราย มีงบประมาณในการบริหารจัดการแต่ละสมัยสูงถึงกว่า 4,800 ล้านบาท ทำให้การเลือกตั้งในครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางการพัฒนาจังหวัดเชียงรายในอนาคต

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายจรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เดินทางออกตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้งหลายแห่งในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเทศบาลนครเชียงรายแบ่งออกเป็น 4 เขตเลือกตั้ง ประกอบด้วยหน่วยเลือกตั้งทั้งสิ้น 87 หน่วย

ผู้ว่าฯเชียงรายย้ำเป้าหมาย เลือกตั้งโปร่งใส

นายจรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การออกตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้งครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน และแสดงถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดในการสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกหน่วยได้รับการอบรมเตรียมความพร้อมล่วงหน้าอย่างเข้มข้น ทำให้สามารถดำเนินการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ ในระหว่างการจัดการเลือกตั้ง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังได้กล่าวขอบคุณประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิอย่างคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าความร่วมมือจากประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้ง จะเป็นพลังสำคัญที่ทำให้ได้ตัวแทนที่มีคุณภาพ และนำไปสู่การบริหารงานท้องถิ่นที่ดีในอนาคต

เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยพร้อมเต็มที่ ประชาชนทยอยใช้สิทธิตลอดวัน

พันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลนครเชียงราย เปิดเผยว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ มีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย โดยคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งทั้ง 87 หน่วย มีการจัดการอย่างเป็นระบบ หลังจากเปิดหีบบัตรในเวลา 08.00 น. ประชาชนได้ทยอยเข้ามาใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน จนถึงเวลาปิดหีบบัตรในเวลา 17.00 น. ซึ่งภาพรวมของการจัดการถือว่ามีความเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

กกต.เชียงรายชี้แจงร้องเรียนน้อยมาก

ทางด้าน นายชูชาติ สุขสงวน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่พบปัญหาร้ายแรงหรืออุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้ง เนื่องจากมีการเตรียมความพร้อมทั้งการอบรมเจ้าหน้าที่ การจัดเตรียมหีบบัตร และอุปกรณ์ต่างๆ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ มีเพียงบางเหตุการณ์เล็กน้อยเท่านั้นที่เกิดขึ้น เช่น มีผู้สมัครนายกเทศมนตรีที่ถูกถอนชื่อออกจำนวน 1 รายในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น เนื่องจากขาดคุณสมบัติที่ไม่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และมีผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาลเสียชีวิตก่อนวันเลือกตั้งจำนวน 3 ราย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ได้รับความสนใจและมีการร้องเรียนเข้ามาบ้าง คือข้อกล่าวหาเรื่องการให้เงินประชาชนก่อนที่จะครบวาระดำรงตำแหน่งเดิมของผู้สมัครบางราย ซึ่งขณะนี้ กกต.จังหวัดเชียงรายกำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริง และยืนยันว่าจะดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียดและเป็นธรรมที่สุด เพื่อให้การเลือกตั้งในครั้งนี้สะอาด ปราศจากการทุจริต และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

วิเคราะห์การเลือกตั้งและแนวโน้มอนาคต

จากสถานการณ์การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นอีกครั้งที่จังหวัดเชียงรายสามารถจัดการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาและเตรียมพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายที่เป็นพื้นที่สำคัญของจังหวัด ซึ่งการแข่งขันระหว่างผู้สมัครมีความสูสีอย่างชัดเจน ทำให้ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่งต่อทิศทางการบริหารจัดการในอนาคตของเชียงราย

ทั้งนี้ การที่มีปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้เงินของผู้สมัคร ถึงแม้จะยังไม่รุนแรงหรือแพร่หลาย แต่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อสร้างมาตรฐานที่ดีและยกระดับการเมืองท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นของประชาชนมากยิ่งขึ้นในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องในการเลือกตั้ง

จากสถิติการเลือกตั้งท้องถิ่นในปีที่ผ่านมา (2564) พบว่า จังหวัดเชียงรายมีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถึงร้อยละ 71.52 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ร้อยละ 67.85 และมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการซื้อเสียงหรือใช้เงินอย่างผิดกฎหมายรวม 23 เรื่อง โดยดำเนินการจนถึงขั้นศาลแล้วจำนวน 8 เรื่อง (ที่มา: รายงานสรุปผลการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต.ประจำปี 2564)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คืบหน้า! รื้ออาคารริมน้ำสาย สร้างกำแพง ขุดลอก ไทย-เมียนมา

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำสาย: ความคืบหน้าการรื้อถอนและก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

เชียงราย, 10 พฤษภาคม 2568 – ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะบริเวณแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนสำคัญระหว่างอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย และจังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียนมา ได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อชุมชนริมแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ส่งผลให้ทั้งสองประเทศตกลงร่วมกันดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันภัยพิบัติในอนาคต การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ รวมถึงการขุดลอกแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ได้กลายเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการให้ทันก่อนฤดูฝนปี 2568

ความท้าทายจากน้ำท่วมและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ

แม่น้ำสาย ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา เป็นทั้งเส้นชีวิตและภัยคุกคามต่อชุมชนในอำเภอแม่สายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก ในช่วงฤดูฝน แม่น้ำสายมักเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่อยู่อาศัยและย่านการค้า สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและการดำรงชีวิตของประชาชน เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดการสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการไหลของน้ำและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

เพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ ประเทศไทยและเมียนมาได้ตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2568 เพื่อดำเนินโครงการขุดลอกแม่น้ำและก่อสร้างพนังกั้นน้ำตลอดแนวที่เคยเกิดน้ำท่วม โดยกำหนดกรอบเวลาการดำเนินงานระหว่างวันที่ 15 เมษายนถึง 20 มิถุนายน 2568 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือการที่เจ้าของอาคารหลายแห่งริมแม่น้ำสายในฝั่งไทยปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการรื้อถอน ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารจากกรมการทหารช่างไม่สามารถเข้าปรับพื้นที่เพื่อตอกเสาเข็มและวางพนังกั้นน้ำได้ตามแผน

ความคืบหน้าในการรื้อถอนและก่อสร้าง

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ทีมงานนำโดยนายสิทธิศักดิ์ อินใจคำ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง และนายปวเรศ ปัญญายงค์ ปลัดอำเภอกลุ่มงานความมั่นคง จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กรมที่ดิน กรมป่าไม้ และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำสาย การประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อเจ้าของอาคารแห่งหนึ่งในหมู่ 7 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย ได้ยินยอมให้รื้อถอนบางส่วนของอาคารเพื่อเป็นการนำร่อง ช่วยให้ลำน้ำสายกว้างขึ้นและเอื้อต่อการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

ผลจากการประชุม เจ้าหน้าที่ได้จัดทำ “บันทึกแสดงความยินยอมให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง” เพื่อบันทึกความยินยอมของเจ้าของอาคาร โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้เจรจากับเจ้าของอาคาร 14 รายบริเวณฝั่งซ้ายของสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 ซึ่งข้ามแม่น้ำสาย โดยสามารถเจรจาสำเร็จกับ 11 ราย และส่งจดหมายแจ้งเตือนถึง 3 รายที่เหลือ หลังพบว่าอาคารเหล่านี้ตั้งอยู่บนที่ดินของกรมธนารักษ์ ซึ่งได้ยกเลิกสัญญาเช่าเดิมและดำเนินการรื้อถอนเพื่อเริ่มก่อสร้าง

ความคืบหน้าในการก่อสร้างพนังกั้นน้ำฝั่งไทยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 20% ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้ 0.18% เจ้าหน้าที่กรมการทหารช่างได้ปรับพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำและเริ่มตอกเสาเข็ม โดยเสาเข็มแต่ละต้นห่างกันประมาณ 1 เมตร ลึกลงในดิน 4 เมตร และสูงเหนือพื้นดิน 3 เมตร ครอบคลุมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร การดำเนินงานนี้มุ่งเน้นที่การสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวกึ่งถาวรเพื่อป้องกันน้ำท่วมในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

ในส่วนของการรื้อถอน หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นคือการรื้อถอนอาคารที่ใช้เป็นโกดังเก็บรถในซอยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยเก่า ตลาดสายลมจอย อำเภอแม่สาย ซึ่งตั้งอยู่ติดลำน้ำสาย การรื้อถอนนี้ดำเนินการโดยทีมทหารช่างและได้รับความร่วมมือจากเจ้าของอาคาร ช่วยคืนพื้นที่ให้กับลำน้ำและสนับสนุนการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

ความท้าทายจากฝั่งเมียนมาและการขุดลอกแม่น้ำ

ในขณะที่ฝั่งไทยมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด การดำเนินงานในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะการขุดลอกแม่น้ำสายในพื้นที่รับผิดชอบระยะทาง 12.8 กิโลเมตร ยังไม่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม จากการประสานงานล่าสุดระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก ทางการเมียนมาได้ยืนยันว่าจะดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อความร่วมมือข้ามพรมแดน

สำหรับการขุดลอกแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายไทย กรมการทหารช่างและกองทัพภาคที่ 3 ได้แบ่งหน้าที่กันขุดลอกในระยะทางรวม 32 กิโลเมตร โดยกองทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบ 14 กิโลเมตร และกรมการทหารช่างรับผิดชอบ 18 กิโลเมตร ปัจจุบันการขุดลอกมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณ 9% ซึ่งเร็วกว่าแผนงาน 0.51% ดินที่ขุดได้ถูกนำขึ้นมาฝั่งไทยเพื่อใช้ในการปรับพื้นที่และสนับสนุนการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ

การตรวจติดตามและการวิเคราะห์

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้แทนจากนายอำเภอแม่สาย กรมการทหารช่าง และเทศบาลตำบลแม่สาย ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างแนวป้องกันตลิ่งชั่วคราวกึ่งถาวรบริเวณลำน้ำสาย ตั้งแต่ตลาดสายลมจอยถึงหัวฝาย การตรวจครั้งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินงานให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝน รวมถึงการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง

การวิเคราะห์สถานการณ์ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเจ้าของอาคารริมน้ำ การที่เจ้าของอาคารบางรายเริ่มให้ความร่วมมือถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ความล่าช้าในฝั่งเมียนมาอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการป้องกันน้ำท่วมในภาพรวม นอกจากนี้ การเร่งดำเนินการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและขุดลอกแม่น้ำให้ทันก่อนฤดูฝนจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของความพยายามนี้

จุดแข็งของโครงการคือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในฝั่งไทย ซึ่งรวมถึงฝ่ายปกครอง ทหาร และหน่วยงานท้องถิ่น ที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การจัดการกับสิ่งปลูกสร้างที่เหลือและการรับประกันว่าฝั่งเมียนมาจะดำเนินการตามที่สัญญาไว้ การใช้เทคโนโลยีและการวางแผนอย่างรอบคอบ เช่น การตอกเสาเข็มที่ออกแบบมาเพื่อความแข็งแรงและความยั่งยืน แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถต้านทานภัยพิบัติในอนาคตได้

มุ่งสู่อนาคตที่ปลอดภัยจากน้ำท่วม

ความคืบหน้าในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและการก่อสร้างพนังกั้นน้ำในฝั่งไทย รวมถึงการขุดลอกแม่น้ำรวก ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำสาย การตอกเสาเข็มต้นแรกเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการปกป้องชุมชนจากภัยพิบัติในอนาคต การที่เจ้าของอาคารเริ่มให้ความร่วมมือมากขึ้นและการประสานงานข้ามพรมแดนที่เริ่มเห็นผล บ่งชี้ถึงศักยภาพของโครงการนี้ในการสร้างความมั่นคงให้กับพื้นที่ชายแดน

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้ในระยะยาวจะต้องอาศัยความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากทั้งสองประเทศ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การที่ฝั่งเมียนมารับปากว่าจะดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จตามกำหนดเป็นความหวังสำหรับความสำเร็จของโครงการนี้ แต่ความท้าทายในด้านการเมืองและการบริหารภายในเมียนมาอาจเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา

ในอนาคต การสร้างพนังกั้นน้ำที่สมบูรณ์และการขุดลอกแม่น้ำสายให้ครอบคลุมทั้งสองฝั่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำไม่เพียงแต่คืนพื้นที่ให้กับธรรมชาติ แต่ยังเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของการจัดการทรัพยากรอย่างรับผิดชอบเพื่อประโยชน์ของชุมชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  1. ความคืบหน้าการก่อสร้างพนังกั้นน้ำฝั่งไทย:
    • ความคืบหน้า: 20% (เร็วกว่าแผนงาน 0.18%)
    • ระยะทาง: 3 กิโลเมตร
    • รายละเอียดเสาเข็ม: ห่างกัน 1 เมตร ลึก 4 เมตร สูงเหนือพื้นดิน 3 เมตร
    • แหล่งที่มา: รายงานจากกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  2. การขุดลอกแม่น้ำรวก (ฝั่งไทย):
    • ความคืบหน้า: 9% (เร็วกว่าแผนงาน 0.51%)
    • ระยะทางรวม: 32 กิโลเมตร (กองทัพภาคที่ 3: 14 กิโลเมตร, กรมการทหารช่าง: 18 กิโลเมตร)
    • แหล่งที่มา: รายงานจากกองทัพภาคที่ 3 และกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  3. การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง:
    • เจรจากับเจ้าของอาคาร: 14 ราย (สำเร็จ 11 ราย, ส่งจดหมาย 3 ราย)
    • ตัวอย่าง: การรื้อถอนโกดังเก็บรถในซอยก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยเก่า ตลาดสายลมจอย
    • แหล่งที่มา: รายงานจากอำเภอแม่สาย, 10 พฤษภาคม 2568
  4. ความรับผิดชอบฝั่งเมียนมา:
    • ระยะทางขุดลอก: 12.8 กิโลเมตร (ยังไม่เริ่มดำเนินการ)
    • แหล่งที่มา: รายงานการประสานงานระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก, 10 พฤษภาคม 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานจากกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  •  รายงานจากกองทัพภาคที่ 3 และกรมการทหารช่าง, 10 พฤษภาคม 2568
  •  รายงานจากอำเภอแม่สาย, 10 พฤษภาคม 2568
  •  รายงานการประสานงานระหว่างจังหวัดเชียงรายและจังหวัดท่าขี้เหล็ก, 10 พฤษภาคม 2568
  • สมบัติ คำลือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE