Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ดีเอสไอ เผย ‘ไชน่า เรลเวย์’ คว้างานรัฐ พบ 1 ใน 29 โครงการที่ ‘เชียงราย’

ดีเอสไอเผย 29 โครงการรัฐ “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” รับงาน 2.7 หมื่นล้าน เชียงรายร่วมตรวจสอบ

เชียงราย, 4 เมษายน 2568 – กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เปิดเผยรายชื่อ 29 โครงการภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งดำเนินการในรูปแบบกิจการร่วมค้า และได้รับงานก่อสร้างจากหน่วยงานรัฐรวมมูลค่ากว่า 27,803 ล้านบาท โดยหนึ่งในโครงการที่อยู่ในความสนใจคืออาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและได้รับการตรวจสอบหลังเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เพื่อยืนยันความปลอดภัยของโครงสร้าง

การแถลงของดีเอสไอและที่มาของคดี

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยพันตำรวจโท ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้แถลงผลการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 เกี่ยวกับกรณีการประกอบธุรกิจของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเข้าข่ายการใช้ “นอมินี” ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 คดีนี้เริ่มต้นจากเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ความสูง 30 ชั้น ย่านจตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งบริษัทดังกล่าวเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง พังถล่มจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก

ดีเอสไอได้ขยายผลการสืบสวนไปยังการประมูลงานภาครัฐของบริษัทนี้ พบว่า ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ได้ร่วมมือกับเอกชนในรูปแบบ “กิจการร่วมค้า” อย่างน้อย 11 ราย และคว้างานก่อสร้างจากหน่วยงานรัฐรวม 29 โครงการทั่วประเทศ ด้วยวงเงินงบประมาณรวม 27,803,128,433.13 บาท และเงินตามสัญญารวม 22,773,856,494.83 บาท โครงการเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่การก่อสร้างอาคารพักอาศัย ระบบสาธารณูปโภค ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา

รายชื่อโครงการที่เกี่ยวข้อง

รายชื่อ 29 โครงการที่ดีเอสไอเปิดเผย มีดังนี้:

  1. อาคารพักอาศัยสูง 32 ชั้น ชุมชนดินแดง การเคหะแห่งชาติ กรุงเทพฯ (807 ล้านบาท)
  2. ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาสุขภาพผู้สูงอายุ โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ (563 ล้านบาท)
  3. เปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นใต้ดิน ถนนอรุณอมรินทร์-บรมราชชนนี การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพฯ (1,261 ล้านบาท)
  4. อาคารที่ทำการสถานีตำรวจ สน.สุทธิสาร กรุงเทพฯ (139 ล้านบาท)
  5. อาคารบ้านพักส่วนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพฯ (231 ล้านบาท)
  6. อาคารที่ทำการศาลแรงงานกลาง กรุงเทพฯ (467 ล้านบาท)
  7. ระบบรวบรวมน้ำเสียริมคลองแสนแสบ กรุงเทพฯ (541 ล้านบาท)
  8. วางท่อประปา การประปานครหลวง กรุงเทพฯ (347 ล้านบาท)
  9. อาคารศาลแพ่งและศาลอาญามีนบุรี กรุงเทพฯ (782 ล้านบาท)
  10. หอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต (129 ล้านบาท)
  11. ทาวน์โฮมสองชั้น โครงการเคหะชุมชน จังหวัดภูเก็ต (343 ล้านบาท)
  12. อาคารการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดภูเก็ต (210 ล้านบาท)
  13. อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 9 จังหวัดสงขลา (386 ล้านบาท)
  14. อาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ โรงพยาบาลสงขลา (424 ล้านบาท)
  15. อาคารที่พักผู้โดยสาร ท่าอากาศยานนราธิวาส (639 ล้านบาท)
  16. งานป้องกันน้ำท่วมคลองประปา จังหวัดปทุมธานี (194 ล้านบาท)
  17. ระบบป้องกันน้ำท่วมสถานีสูบน้ำดิบสำแล จังหวัดปทุมธานี (372 ล้านบาท)
  18. สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จังหวัดนนทบุรี (716 ล้านบาท)
  19. อาคารคลังพัสดุ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ กรุงเทพฯ (146 ล้านบาท)
  20. อาคารกองบังคับการ กรมพลาธิการทหารเรือ กรุงเทพฯ (179 ล้านบาท)
  21. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ กรุงเทพฯ (2,136 ล้านบาท)
  22. อาคารเรียนโรงเรียนวัดอัมรินทราราม กรุงเทพฯ (160 ล้านบาท)
  23. อาคารสถาบันวิชาการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัดนครปฐม (606 ล้านบาท)
  24. อาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย (468 ล้านบาท)
  25. ศูนย์ราชการจังหวัดแพร่ (540 ล้านบาท)
  26. การกีฬาแห่งประเทศไทย (608 ล้านบาท)
    27-28. แขวงทางหลวงชนบทสุพรรณบุรี (10.7 ล้านบาท และ 9.9 ล้านบาท)
  27. รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา (9,348 ล้านบาท)

โครงการในเชียงรายและการตรวจสอบหลังแผ่นดินไหว

หนึ่งในโครงการที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดเชียงราย คือการก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) วงเงิน 468 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการโดย “กิจการร่วมค้า ทีพีซี” อันประกอบด้วยบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด การประมูลโครงการนี้ใช้วิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 โดยกิจการร่วมค้า ทีพีซี เสนอราคาต่ำสุดและชนะการประมูล

หลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลกระทบถึงเชียงรายและกรุงเทพฯ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้นำทีมผู้บริหาร วิศวกรโยธา และเจ้าหน้าที่ส่วนอาคารสถานที่ เข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารทั่วทั้งมหาวิทยาลัย รวมถึงอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 29-30 มีนาคม 2568 ผลการตรวจสอบเบื้องต้นระบุว่า ไม่พบความเสียหายใด ๆ จากเหตุแผ่นดินไหว โดยมหาวิทยาลัยยืนยันว่า อาคารทุกหลังได้รับการออกแบบให้ทนต่อแรงสั่นสะเทือนตามมาตรฐาน และมีการควบคุมการก่อสร้างอย่างเข้มงวด

ความคืบหน้าการก่อสร้างและการควบคุมคุณภาพ

ปัจจุบัน การก่อสร้างอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์ของ มฟล. มีความคืบหน้าโดยรวมร้อยละ 46 โดยงานโครงสร้างหลักแล้วเสร็จทั้งหมด และกำลังดำเนินการในส่วนงานสถาปัตยกรรมและงานภายนอก อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ล่าช้ากว่าแผนเดิม เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อการจัดหาวัสดุและแรงงาน

มหาวิทยาลัยระบุว่า วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็ก ได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก. และผ่านการทดสอบจากหน่วยงานที่ได้รับการขึ้นทะเบียน รวมถึงมีการตรวจสอบคุณภาพวัสดุโดยหน่วยงานทดสอบอิสระ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างมีความแข็งแรงตามข้อกำหนด การก่อสร้างอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทวิศวกรรมที่แยกจากกรณีอาคาร สตง. และมีการประชุมติดตามความคืบหน้าร่วมกับผู้รับเหมาทุกสัปดาห์ เพื่อให้งานเป็นไปตามแบบและมาตรฐาน

เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย มหาวิทยาลัยได้ประสานผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานกลาง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง เข้าตรวจสอบโครงสร้างเพิ่มเติมหลังเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งผลการตรวจสอบขั้นสุดท้ายจะมีการรายงานในภายหลัง

กลยุทธ์ธุรกิจของไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10

จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ พบว่า ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ใช้โมเดล “กิจการร่วมค้า” ร่วมกับเอกชนไทยอย่างน้อย 8 ราย เพื่อเข้าประมูลงานภาครัฐ โดยเริ่มจากงานรับเหมาก่อสร้าง ก่อนขยายไปสู่การวางระบบสาธารณูปโภค เช่น สายไฟฟ้าใต้ดินและท่อประปา ระหว่างปีงบประมาณ 2562-2568 บริษัทนี้เป็นคู่สัญญารัฐอย่างน้อย 18 สัญญา รวมวงเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมโครงการอื่น ๆ ที่ดีเอสไอระบุ พบว่าได้งานถึง 29 โครงการ

ในกรณีอาคารหอพักบุคลากรทางการแพทย์เชียงราย บริษัทได้ร่วมมือกับไทยพารากอน คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2532 มีทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท และมีผู้ถือหุ้นหลักเป็นคนไทยและจีน อย่างไรก็ตาม งบการเงินล่าสุดปี 2565 แสดงผลขาดทุนสุทธิ 24.79 ล้านบาท ซึ่งอาจสะท้อนถึงความท้าทายในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

 

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนโครงการก่อสร้างภาครัฐในเชียงราย: จากข้อมูลของสำนักงานจังหวัดเชียงราย ในช่วงปี 2565-2567 มีโครงการก่อสร้างที่ได้รับงบประมาณจากภาครัฐในจังหวัดเชียงรายรวม 142 โครงการ วงเงินรวม 15,873 ล้านบาท (ที่มา: รายงานงบประมาณจังหวัดเชียงราย, 2567)
  2. เหตุแผ่นดินไหวในภาคเหนือ: กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ในรอบ 10 ปี (2558-2567) ภาคเหนือเผชิญเหตุแผ่นดินไหวที่มีผลกระทบถึงโครงสร้างอาคารรวม 12 ครั้ง โดยครั้งรุนแรงที่สุดเกิดเมื่อปี 2557 ขนาด 6.3 ริกเตอร์ (ที่มา: รายงานธรณีพิบัติภัย, กรมอุตุนิยมวิทยา, 2567)
  3. มูลค่างานรับเหมาก่อสร้างของบริษัทต่างชาติในไทย: สภาวิศวกรระบุว่า ในปี 2566 บริษัทต่างชาติได้รับงานก่อสร้างจากภาครัฐไทยรวมมูลค่ากว่า 85,000 ล้านบาท คิดเป็น 22% ของงานทั้งหมด (ที่มา: รายงานประจำปีสภาวิศวกร, 2566)

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การเปิดเผยข้อมูลของดีเอสไอจุดประกายความเห็นสองฝั่งในสังคม ฝ่ายหนึ่งมองว่า การที่ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 คว้างานรัฐจำนวนมาก โดยเฉพาะในเชียงราย เป็นโอกาสในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น การที่ มฟล. ตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของอาคารหลังแผ่นดินไหว แสดงถึงความรับผิดชอบต่อคุณภาพงาน ซึ่งอาจพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ทุกโครงการของบริษัทนี้มีปัญหา

ในทางกลับกัน อีกฝ่ายกังวลว่า การใช้โมเดล “นอมินี” และการชนะประมูลด้วยราคาต่ำสุดอาจนำไปสู่การลดคุณภาพงาน เพื่อประหยัดต้นทุน เหตุการณ์ที่ สตง. เป็นตัวอย่างที่ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงความโปร่งใสและมาตรฐานการก่อสร้างของบริษัทนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างเชียงราย

จากมุมมองที่เป็นกลาง การสืบสวนของดีเอสไอเป็นขั้นตอนสำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายและคุณภาพงาน ซึ่งจะช่วยคลายข้อสงสัยของประชาชนได้ ขณะที่การยืนยันของ มฟล. ถึงความปลอดภัยของโครงการในเชียงราย ก็เป็นหลักฐานที่ควรพิจารณา การหาข้อสรุปต้องรอผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยไม่ตัดสินล่วงหน้าจากกรณีใดกรณีหนึ่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
  • เว็บไซต์จัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (www.gprocurement.go.th)
  • ฐานข้อมูล ACT Ai (www.actai.co)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (ข้อมูลฐานข้อมูลผู้ถือหุ้น)
  • สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
  • พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
  • พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ตึก สตง. ถล่ม ACT ชี้พิรุธ ชนะประมูลแต่ทำไมไร้ชื่อ

ACT เรียกร้องรัฐเร่งปฏิรูปความโปร่งใส หลังพบข้อพิรุธประมูลก่อสร้างอาคาร สตง. ที่พังถล่มจากแผ่นดินไหว

เชียงราย, 4 เมษายน 2568 – องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT นำโดยนายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กร ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อความไม่ชอบมาพากลในโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หลังเกิดเหตุอาคารถล่มจากแรงแผ่นดินไหวในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐและความเชื่อมั่นของประชาชนเป็นอย่างมาก

ข้อพิรุธสำคัญที่ ACT เปิดเผยต่อสื่อมวลชน คือ การตรวจสอบข้อมูลจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) พบว่า บริษัท ITD-EREC ซึ่งปรากฏชื่อเป็นผู้ชนะการประมูลในโครงการก่อสร้างอาคาร สตง. ไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ยื่นเสนอราคาหรือรายชื่อบริษัทที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติและเทคนิคในระบบ แต่กลับมีชื่อในประกาศผลผู้ชนะอย่างเป็นทางการ

ข้อสงสัยต่อระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

นายมานะระบุว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล อย่างไรก็ตาม รัฐจำเป็นต้องชี้แจงต่อสาธารณะโดยเร็ว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความสูญเสียของภาครัฐ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

ทั้งนี้ ยังมีข้อสังเกตต่อระบบเว็บไซต์ e-GP ซึ่งเป็นช่องทางหลักของการเปิดเผยข้อมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ว่ายังคงมีความซับซ้อน ข้อมูลไม่ครบถ้วน และยากต่อการเข้าถึงสำหรับประชาชนทั่วไป

ACT Ai ระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงการตรวจสอบสาธารณะ

ACT ยังได้นำเสนอระบบ ACT Ai หรือ “ระบบฐานข้อมูลจับโกงจัดซื้อจัดจ้าง” ซึ่งพัฒนาโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อรวบรวมข้อมูลกว่า 42 ล้านโครงการจัดซื้อจัดจ้าง และข้อมูลผู้ค้า 1.5 ล้านราย โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐกับนิติบุคคลในรูปแบบที่สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ได้

ที่ผ่านมา ระบบ ACT Ai มีบทบาทในการสนับสนุนภาคประชาชนและสื่อมวลชนให้สามารถสืบค้นข้อมูลในหลายกรณี เช่น คดีกำนันนก, กรณีเสาไฟกินรี, โครงการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์สาธารณะ เช่น เครื่องกรองน้ำและโซล่าเซลล์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงโครงการที่ถูกปล่อยทิ้งร้างหลังงบประมาณถูกเบิกจ่าย

ข้อเสนอ 3 มาตรการปฏิรูปความโปร่งใส

เพื่อแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ นายมานะ ได้เสนอแนวทางปฏิรูปกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ผ่าน 3 มาตรการหลักดังนี้

  1. กำหนดมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล – รัฐและผู้รับเหมาต้องเปิดเผยข้อมูลโครงการให้ชัดเจน ครบถ้วน ตรวจสอบได้ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย พร้อมเปิดเผยทันทีเมื่อต้องการใช้ข้อมูล
  2. บังคับใช้ข้อตกลงคุณธรรมในทุกโครงการ – ให้นำหลักการข้อตกลงคุณธรรมที่มีมาตรฐานสากลมาใช้กับทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง หรือโครงการพิเศษ เช่น โครงการ PPP และ EEC โดยไม่ยกเว้น
  3. เพิ่มจำนวนโครงการที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงคุณธรรม – โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจคที่ใช้เงินภาษีจำนวนมาก และมีผลกระทบต่อประชาชน ควรมีหน่วยงานอิสระเข้าร่วมสังเกตการณ์ตลอดทุกขั้นตอน

ปัญหาเชิงโครงสร้างและข้อจำกัดในข้อตกลงคุณธรรม

แม้ว่าข้อตกลงคุณธรรมจะสามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้แล้วกว่า 77,000 ล้านบาท แต่ยังคงมีข้อจำกัดสำคัญ ได้แก่

  • โครงการที่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมมีขนาดเล็กลงจากเดิมมาก โดยจากเดิมที่ครอบคลุมโครงการรวมมูลค่า 4-5 แสนล้านบาทต่อปี ปัจจุบันเหลือเพียง 50,000 ล้านบาท
  • หน่วยงานเจ้าของโครงการบางแห่งเลือกถอนตัวจากการเข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม หรือหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูล ด้วยการตีความกฎหมายเฉพาะ
  • โครงการ PPP และ EEC ใช้ข้อตกลงคุณธรรมในเวอร์ชันที่ตนเองกำหนด โดยไม่มีการกำกับจากหน่วยงานกลาง ทำให้ไม่สอดคล้องกับหลักสากล

เสียงสะท้อนจากสังคม ความเห็นสองด้านต่อมาตรการตรวจสอบ

ฝ่ายสนับสนุนการปฏิรูป เห็นว่า มาตรการที่ ACT เสนอมีความชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถนำไปใช้ได้ทันทีหากรัฐมีเจตจำนงทางการเมืองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะระบบฐานข้อมูล ACT Ai ซึ่งมีศักยภาพเป็นเครื่องมือทางสาธารณะที่ทรงพลังในการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างทั่วประเทศ

ฝ่ายที่มีข้อกังวล ชี้ว่าการเปิดเผยข้อมูลมากเกินไปโดยไม่ควบคุมอาจส่งผลให้เกิดการตีความผิด หรือกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้ผู้บริหารโครงการทำงานอย่างระมัดระวังจนขาดประสิทธิภาพ และอาจทำให้กระบวนการพัฒนาล่าช้า

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน คือหลักสำคัญที่ต้องมีในทุกโครงการที่ใช้เงินภาษีประชาชน

ข้อเท็จจริงและสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่บันทึกในระบบ ACT Ai: มากกว่า 42,000,000 โครงการ
  • จำนวนผู้ค้าหรือนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบ: มากกว่า 1,500,000 ราย
  • มูลค่างบประมาณที่ข้อตกลงคุณธรรมช่วยประหยัดได้: 77,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก ACT ณ ปี 2567)
  • มูลค่าโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยรวมในแต่ละปี (เฉลี่ย): 4.5-5 แสนล้านบาท
  • จำนวนโครงการที่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมในปีล่าสุด: ไม่ถึง 50,000 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) – www.anticorruption.in.th
  • เว็บไซต์โครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) – www.gprocurement.go.th
  • ระบบ ACT Ai – www.actai.co
  • รายงานประจำปี 2567 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
  • รายงานติดตามการใช้งบประมาณรัฐ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

น้องเบียร์ – พัดชา – ไอซ์ วง Belebt รร.อบจ.เชียงราย ขึ้นร้องเพลงกับ BODYSLAM

“BODYSLAM POWER OF THE B-SIDE CONCERT” จุดประกายฝัน สานพลังดนตรีเยาวชน ร่วมเวทีระดับชาติ

เชียงราย, 4 เมษายน 2568 – ในอีกไม่กี่อึดใจ คอเพลงร็อกทั่วประเทศเตรียมสัมผัสประสบการณ์ทางดนตรีครั้งยิ่งใหญ่ กับคอนเสิร์ต “BODYSLAM POWER OF THE B-SIDE CONCERT ความฝันกับจักรวาล With The Orchestra” จัดโดย King Power Thai Power พลังคนไทย ซึ่งในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการแสดงดนตรีสุดอลังการจากวงดนตรีร็อกระดับตำนานอย่าง Bodyslam เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดเวทีแห่งโอกาสให้กับเยาวชนไทยจากเวทีการประกวด THE POWER BAND 2024 SEASON 4 ได้ร่วมสร้างสีสันบนเวทีจริงเคียงข้างศิลปินมืออาชีพ

คอนเสิร์ตครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4–6 เมษายน 2568 ณ One Bangkok Forum กรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายเพื่อระดมทุนสนับสนุน “โครงการก้าวเพื่อน้อง ปีที่ 5” ซึ่งเป็นโครงการที่ส่งเสริมการศึกษาของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ

เยาวชนเชียงรายร่วมเวทีคอนเสิร์ตระดับประเทศ

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของคอนเสิร์ตครั้งนี้คือการปรากฏตัวของ 4 เยาวชนมากความสามารถจากเวที THE POWER BAND ซึ่งได้รับเลือกให้ร่วมแสดงสดเคียงข้าง Bodyslam ได้แก่

  • น้องคุณ – นรภัทร อภัยจิตต์ มือกีตาร์จากวง New Cluster Band
  • 3 นักร้องนำหญิงจากวง Belebt ได้แก่
    • น้องเบียร์ – นิตยา ยอดสิงห์
    • น้องพัดชา – พัดชา มหาวงศ์
    • น้องไอซ์ – อัญชิสา สมศรี

ทั้งสามคนเป็นนักเรียนจาก โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นสถาบันที่ให้การสนับสนุนเต็มที่ในกิจกรรมด้านดนตรี โดยมี ครูเพียว (เจริญศักดิ์ กันสม) เป็นผู้ควบคุมและฝึกซ้อมอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาเตรียมความพร้อม

วง Belebt เสียงประสานและทีมเวิร์กสู่รางวัล Outstanding Player

วง Belebt เป็นวงดนตรีประเภท String Combo ที่สร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการ THE POWER BAND 2024 ด้วยเสียงร้องหลักที่ชัดเจน โดดเด่น ประสานเสียงกลมกลืน และทีมเวิร์กที่แข็งแกร่ง จนสามารถคว้ารางวัล Outstanding Player รุ่นมัธยมศึกษา มาครองได้สำเร็จ

ในเวทีคอนเสิร์ต Bodyslam พวกเธอได้รับเกียรติให้ขึ้นแสดงร่วมกับวงดนตรีระดับประเทศอย่างมืออาชีพ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าและหาได้ยากสำหรับเยาวชนในวัยมัธยมศึกษา

เบื้องหลังแห่งความสำเร็จ การสนับสนุนจากโรงเรียนและครอบครัว

เบียร์ พัดชา และไอซ์ ต่างเติบโตมาในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่ส่งเสริมให้พวกเธอได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายมีนโยบายส่งเสริมกิจกรรมพิเศษนอกห้องเรียนอย่างจริงจัง ทั้งในด้านดนตรี กีฬา และศิลปะ ส่งผลให้เด็ก ๆ ได้ฝึกฝน พัฒนาทักษะ และลงสนามแข่งขันในหลายเวที ทั้งแพ้และชนะ กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่สั่งสมจนถึงปัจจุบัน

โครงการ “ก้าวเพื่อน้อง ปีที่ 5” และบทบาทของ King Power Thai Power

คอนเสิร์ตครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นเวทีดนตรีสำหรับแฟนเพลงเท่านั้น หากแต่มีเป้าหมายเพื่อการกุศล ภายใต้ โครงการ “ก้าวเพื่อน้อง” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แล้ว โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดหาทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียน และสาธารณูปโภคให้กับเด็กในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ

King Power Thai Power พลังคนไทย คือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของทั้งโครงการ “ก้าวเพื่อน้อง” และการประกวด THE POWER BAND ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสและการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชนทุกภูมิภาค

ความคิดเห็นจากสังคม เสียงสะท้อนสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า โครงการนี้เป็น “ตัวอย่างของการสร้างแรงบันดาลใจ” ที่ผสมผสานดนตรี การกุศล และเยาวชนเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไม่เพียงส่งเสริมให้เด็กกล้าฝัน แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของวงการดนตรีไทยที่มีจิตสาธารณะและห่วงใยสังคม

ฝ่ายที่มีข้อสังเกต เสนอว่าการผลักดันเยาวชนเข้าสู่เวทีขนาดใหญ่ อาจต้องมีระบบการดูแลทางจิตวิทยาเพิ่มเติม เช่น การเตรียมความพร้อมด้านภาวะความกดดันและการคาดหวังจากสังคม เพื่อป้องกันผลกระทบในระยะยาว พร้อมแนะให้มีระบบติดตามหลังจบเวที เพื่อพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง

แม้มุมมองจะแตกต่าง แต่ทุกฝ่ายต่างเห็นตรงกันว่าการมอบเวทีที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ให้เยาวชนได้แสดงออก ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สังคมไทยควรให้ความสำคัญ

ตัวเลขและสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนผู้ชมคอนเสิร์ต Bodyslam Power of The B-Side Concert ปี 2567: ประมาณ 18,000 คน
  • จำนวนเยาวชนเข้าร่วมโครงการ THE POWER BAND 2024: 1,238 วง จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ
  • จำนวนทุนการศึกษาที่มอบให้ผ่านโครงการ “ก้าวเพื่อน้อง ปีที่ 4” (2567): 10,000 ทุน รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท
  • จำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมจาก King Power Thai Power ตั้งแต่ปี 2561 – 2567: มากกว่า 2,300 โรงเรียน
  • สถิติการเข้าชมคอนเทนต์โซเชียลมีเดียของโครงการ THE POWER BAND 2024: มากกว่า 12 ล้านวิว (Facebook/YouTube รวมกัน)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • King Power Thai Power (www.kingpowerthaipower.com)

  • เพจ THE POWER BAND Official

  • สำนักงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

  • สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

  • สถิติจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ คอนเสิร์ต Bodyslam ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ท่องเที่ยวสะดุด สงกรานต์ปีนี้ ต่างชาติลดจองโรงแรมร่วง

สมาคมโรงแรมไทยเผยสงกรานต์ 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติลด 6.8 แสนคน ยอดจองห้องพักทรุด 25%

ประเทศไทย, 3 เมษายน 2568 – สมาคมโรงแรมไทยเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในช่วงวันที่ 11–17 เมษายน 2568 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปี 2567 หรือคิดเป็นตัวเลขลดลงกว่า 689,282 คน สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ท้าทายของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปีนี้

ยอดจองห้องพักลดลงทั่วประเทศ ยกเว้นภูเก็ตและเชียงราย

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยผลการสำรวจจากโรงแรมสมาชิกใน 7 จังหวัดหลักที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี รวมทั้งหมด 52 แห่ง พบว่า จำนวนยอดจองห้องพักโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 32,244 ห้อง ลดลงจากปี 2567 ที่มียอดจอง 42,761 ห้อง หรือคิดเป็นร้อยละ 24.68

ยอดจองห้องพักในแต่ละจังหวัด

  • กรุงเทพมหานคร: โรงแรม 22 แห่ง มียอดจอง 13,371 ห้อง ลดลง 31.57% จากปีก่อน
  • กระบี่: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 1,063 ห้อง ลดลง 3.68%
  • ชลบุรี: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,208 ห้อง ลดลงถึง 67.14%
  • เชียงใหม่: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,414 ห้อง ลดลง 10.92%
  • สุราษฎร์ธานี: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 552 ห้อง ลดลง 18.58%

ในขณะที่มีเพียงสองจังหวัดเท่านั้นที่มียอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น คือ

  • เชียงราย: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 77 ห้อง เพิ่มขึ้น 102.63% จาก 38 ห้องในปี 2567
  • ภูเก็ต: โรงแรม 11 แห่ง มียอดจอง 12,600 ห้อง เพิ่มขึ้น 4.87% จาก 12,015 ห้องในปี 2567

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเกือบ 7 แสนคนในเดือนเมษายน

จากสถิติของสมาคมฯ คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตลอดทั้งเดือนเมษายน 2568 จะลดลงจากปี 2567 ประมาณ 25% หรือคิดเป็น 689,282 คน เหลือเพียง 2,067,846 คน จากจำนวน 2,757,128 คนในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจโรงแรมและบริการในหลายพื้นที่

กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักยังคงเป็นเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

การสำรวจของสมาคมโรงแรมไทยยังระบุว่า นักท่องเที่ยว 3 กลุ่มหลักที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่

  1. นักท่องเที่ยวจากเอเชีย
  2. นักท่องเที่ยวจากยุโรป
  3. นักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ลดลงในปีนี้อาจสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เน้นการเลือกจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ หรือได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ

สมาคมโรงแรมไทยเรียกร้องรัฐเร่งกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ

นายเทียนประสิทธิ์ ระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้แตกต่างจากช่วงสงกรานต์ในปี 2566 และ 2567 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งเปิดประเทศหลังการระบาดของโควิด-19 และนักท่องเที่ยวมีความตื่นตัวสูง ส่งผลให้ยอดจองห้องพักพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สงกรานต์ปีนี้ไม่คึกคักเหมือนที่ผ่านมา รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายและเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยว” นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว

ภาพสะท้อนในจังหวัดเชียงราย: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

แม้ในภาพรวมตัวเลขจะลดลง แต่จังหวัดเชียงรายกลับเป็นหนึ่งในสองจังหวัดที่มีตัวเลขการจองห้องพักเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้ว สะท้อนถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้เชียงรายพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

ความเห็นจากสองมุม: มองต่างแต่ร่วมทางได้

ฝ่ายสนับสนุนการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ มองว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งและการลดภาษีธุรกิจท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ลดภาระผู้ประกอบการโรงแรมและภัตตาคาร และรักษาการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ฝ่ายระมัดระวังงบประมาณรัฐ เห็นว่าการอัดฉีดงบประมาณจำนวนมากในช่วงเวลาที่รายได้ภาครัฐลดลง อาจไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม ควรมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ระยะยาว เช่น พัฒนาคุณภาพบริการ เพิ่มความปลอดภัย และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวมากกว่าเพียงแค่กระตุ้นตัวเลขในช่วงเทศกาล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2567: 2,757,128 คน
  • คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2568: 2,067,846 คน (ลดลง 25%)
  • ยอดจองห้องพักรวมใน 7 จังหวัด: 32,244 ห้อง (ลดลงจาก 42,761 ห้องในปี 2567)
  • จังหวัดที่ยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น: เชียงราย (เพิ่ม 102.63%), ภูเก็ต (เพิ่ม 4.87%)
  • จังหวัดที่ยอดจองลดลงมากที่สุด: ชลบุรี (ลดลง 67.14%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมโรงแรมไทย (THA)
  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • รายงานการท่องเที่ยวเดือนมีนาคม 2568, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ฅนพาน” โชว์ศิลป์! นิทรรศการใจกลางเซ็นทรัลเชียงราย

เชียงรายเปิดนิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” สะท้อนพลังศิลปะท้องถิ่นสู่เวทีสาธารณะ

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 – กลุ่มศิลปินพานร่วมกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย เปิดนิทรรศการศิลปะ “ความในใจ ของ ฅนพาน” (PHAN ARTIST Art Exhibition) อย่างเป็นทางการ ณ Central Art Gallery ชั้น G โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานศิลปะจากศิลปินในอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย พร้อมเชิญชวนประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้สนใจร่วมสัมผัสพลังความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินท้องถิ่น ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน ถึง 3 พฤษภาคม 2568

เปิดงานอย่างเป็นทางการโดยวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

พิธีเปิดนิทรรศการจัดขึ้นในวันที่ 3 เมษายน 2568 โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหารจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ได้แก่ นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย และนายพิชิต สิทธิวงศ์ ผู้อำนวยการ Central Art Gallery ร่วมให้การต้อนรับ

ภายในงานยังมีศิลปินชื่อดังร่วมจัดแสดงผลงานในฐานะศิลปินรับเชิญ ได้แก่ สุวิทย์ ใจป้อม, กำธร สีฟ้า และทนงศักดิ์ ปากหวาน ร่วมด้วยศิลปินกลุ่มพานจำนวน 19 ท่าน ที่นำเสนอผลงานรวมทั้งหมด 69 ชิ้น สะท้อนความหลากหลายทางแนวคิดและเทคนิคการสร้างสรรค์

กลุ่มศิลปินพาน: พลังสร้างสรรค์จากชุมชนสู่ศิลปะเมือง

กลุ่มศิลปินพานได้รวมตัวกันจากความตั้งใจของศิลปินในอำเภอพาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศิลปินกระจายตัวอยู่เป็นจำนวนมาก ภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์งานศิลป์ เพื่อยกระดับอัตลักษณ์ท้องถิ่น” โดยเน้นการแสดงออกถึงรากเหง้าวัฒนธรรม วิถีชีวิต และมุมมองของคนในพื้นที่ผ่านงานจิตรกรรม ประติมากรรม และศิลปะร่วมสมัย

หนึ่งในสมาชิกกลุ่มศิลปินพาน กล่าวว่า “พวกเราต้องการให้พื้นที่ศิลปะในเชียงรายเปิดกว้าง ไม่เฉพาะแค่ศิลปินชื่อดังระดับประเทศเท่านั้น แต่ศิลปินท้องถิ่นก็มีสิทธิ์แสดงออกและมีเวทีเพื่อพูดความในใจของตนเองผ่านผลงานศิลป์”

เชียงราย: เมืองศิลปะที่เติบโตจากรากฐานวัฒนธรรม

จังหวัดเชียงรายได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองศิลปะ” มาโดยตลอด โดยมีศิลปินจำนวนมากอาศัยอยู่ในจังหวัดและมีชื่อเสียงระดับประเทศ อาทิ อ.ถวัลย์ ดัชนี, อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ และศิลปินร่วมสมัยอีกมากมาย ทำให้พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และการสนับสนุนทางศิลปวัฒนธรรม

การจัดนิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” ครั้งนี้ จึงนับเป็นอีกก้าวสำคัญของการส่งเสริมให้ศิลปะกระจายตัวจากเมืองสู่ชนบท และเปิดโอกาสให้ศิลปินหน้าใหม่ได้แสดงศักยภาพต่อสายตาสาธารณะชน

สนับสนุนโดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย: พื้นที่แห่งโอกาส

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ในฐานะเจ้าภาพจัดงาน ได้จัดพื้นที่ Central Art Gallery ให้เป็นเวทีแสดงผลงานศิลปะจากท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับสังคมเมือง ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมวัฒนธรรมของจังหวัด

นายพิชิต สิทธิวงศ์ ผู้อำนวยการ Central Art Gallery กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับกลุ่มศิลปินพานเข้าสู่นิทรรศการในครั้งนี้ เพราะนี่คือศิลปะที่มีชีวิต สะท้อนความเป็นตัวตนของชาวพานได้อย่างแท้จริง”

เปิดประตูให้คนทั่วไปเข้าถึงศิลปะ

นิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตลอดช่วงเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่อาจไม่คุ้นเคยกับโลกศิลปะ ได้สัมผัสงานศิลป์คุณภาพใกล้ชิด และเรียนรู้ความหลากหลายของมุมมองที่แฝงอยู่ในผลงานแต่ละชิ้น

หนึ่งในผู้เข้าชมงานให้ความเห็นว่า “ผลงานแต่ละชิ้นบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างลึกซึ้ง แม้ไม่ใช่คนพานก็สามารถเข้าใจและสัมผัสความรู้สึกที่ศิลปินต้องการถ่ายทอดได้”

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย: มุมมองที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์

ฝ่ายสนับสนุน นิทรรศการเห็นว่าเป็นการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินท้องถิ่นได้มีเวที และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในจังหวัด อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนหันมาสนใจศิลปะมากขึ้น

ฝ่ายที่มีข้อกังวล บางส่วนแสดงความเห็นว่านิทรรศการควรมีแนวทางส่งเสริมการขายผลงาน หรือจัดอบรมศิลปะควบคู่เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องทางเศรษฐกิจแก่ศิลปินท้องถิ่นในระยะยาว มิใช่แค่การจัดแสดงเพียงครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า การเปิดพื้นที่ศิลปะควรดำเนินต่อไป และมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับความต้องการของศิลปินและประชาชน

บทสรุป

นิทรรศการ “ความในใจ ของ ฅนพาน” นับเป็นอีกหนึ่งหลักฐานของความเข้มแข็งของศิลปะท้องถิ่นที่กำลังเติบโตในจังหวัดเชียงราย แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ศิลปิน และชุมชน ในการขับเคลื่อนศิลปวัฒนธรรมสู่ประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับจังหวัด และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับที่จับต้องได้ ซึ่งจะส่งผลต่อความยั่งยืนในระยะยาวของภาคศิลปะในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนศิลปินในจังหวัดเชียงราย: มากกว่า 1,200 คน (ข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, 2566)
  • มูลค่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในภาคเหนือ: กว่า 3,500 ล้านบาท/ปี (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์, 2566)
  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าชมงานนิทรรศการศิลปะในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ปี 2566: กว่า 85,000 คน (ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เซ็นทรัลเชียงราย)
  • จำนวนศิลปินในอำเภอพานที่ร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานรัฐและเอกชนในรอบ 5 ปี: 178 คน (ข้อมูลจากกลุ่มศิลปินพาน, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)
  • ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย
  • กลุ่มศิลปินพาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สนามบินเชียงราย รวดเร็วบริการ มุ่งหน้าเตรียมพร้อมสำหรับฤดูฝน

พัฒนา “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” สู่สนามบินกะทัดรัดและสะดวกสบาย

มุ่งสู่สนามบินยุคใหม่: Compact and Convenient Airport

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 – นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยแผนพัฒนาเชิงรุกของท่าอากาศยานฯ โดยมุ่งเน้นสู่การเป็น “สนามบินกะทัดรัดและสะดวกสบาย” (Compact and Convenient Airport) เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้โดยสารทั้งในด้านความเร็ว ความปลอดภัย และความพึงพอใจสูงสุด

ยกระดับประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ

หนึ่งในแผนสำคัญคือการนำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition มาใช้ในกระบวนการระบุตัวตน ช่วยลดระยะเวลาในการตรวจสอบ เพิ่มความคล่องตัว และลดความแออัดภายในสนามบินอย่างเห็นได้ชัด

บริการครบครัน สะดวกสบายทุกการเดินทาง

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น จุดชาร์จแบตเตอรี่, ฟรี Wi-Fi, มุมพักผ่อนและพื้นที่ทำงาน (Work Station) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้โดยสารในยุคดิจิทัล

การจัดการน้ำท่วม: ความพร้อมรับมือภัยธรรมชาติ

ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง ท่าอากาศยานฯ ได้วางแผนล่วงหน้าในการขุดลอกคลองรอบพื้นที่เขตการบินอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ลดความเสี่ยงน้ำท่วมสนามบิน โดยการดำเนินการนี้ได้เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำงานโดยไม่มีฝนตกเป็นอุปสรรค

คลองระบายน้ำ: เส้นเลือดหลักของการป้องกัน

เมื่อการขุดลอกเสร็จสิ้น ระบบระบายน้ำรอบสนามบินจะสามารถรองรับปริมาณน้ำจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุม ซึ่งมีโอกาสเกิดน้ำหลากหรืออุทกภัยสูง

จากภาพแสดงให้เห็นว่า ถนนด้านขวาทำหน้าที่เสมือน “เขื่อน” ป้องกันน้ำ ขณะที่คลองด้านซ้ายมีหน้าที่ระบายน้ำออกจากพื้นที่ หากทั้งสองระบบทำงานอย่างสมบูรณ์ จะสามารถป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าสู่เขตการบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทเรียนจากเหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา

จากเหตุการณ์น้ำหลากครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติ ระบบระบายน้ำที่เตรียมล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน ปีเดียวกัน ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำทะลักเข้าสู่เขตการบิน แม้ระดับน้ำแม่น้ำกกจะพุ่งสูงสุดก็ตาม

แม้บ้านพักพนักงานจะได้รับผลกระทบบางส่วน แต่เขตการบินกลับปลอดภัย และยังมีแผนสำรองพร้อมรองรับ เช่น การนำน้ำเข้าสู่ทะเลสาบ 200 ไร่ ด้านทิศใต้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ในครั้งนั้น แสดงถึงความพร้อมและความยืดหยุ่นของระบบอย่างชัดเจน

บริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ

นาวาอากาศตรีสมชนก เน้นย้ำว่า Risk Management เป็นหัวใจสำคัญในการรับมือภัยธรรมชาติ ตั้งแต่การประเมินสถานการณ์ การเตรียมแผนล่วงหน้า การประเมินความเสี่ยง (Worst Case Scenario) ตลอดจนการสื่อสารกับชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันว่า สนามบินตั้งอยู่ในพื้นที่สูง มีระบบระบายน้ำดี จึงไม่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่ผ่านมา

แนวทางพัฒนาอย่างยั่งยืนและใส่ใจชุมชน

การขุดลอกคลองไม่ได้เป็นเพียงการป้องกันน้ำท่วม แต่ยังเป็นหนึ่งในแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความร่วมมือกับชุมชน

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้ความสำคัญกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันระหว่างสนามบินกับชุมชนโดยรอบ

บทสรุปและมุมมองอย่างเป็นกลาง

การพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ไม่เพียงยกระดับสนามบินให้ทันสมัย แต่ยังสะท้อนถึงการบริหารจัดการเชิงรุกที่มุ่งมั่นเพื่อความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การปรับปรุงสนามบินทั้งด้านโครงสร้างและระบบต่าง ๆ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ฝ่ายห่วงใยสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นว่า ควรมีการติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขุดลอกคลองซึ่งอาจกระทบต่อระบบนิเวศในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ปี 2567: กว่า 1.3 ล้านคน (ที่มา: กรมท่าอากาศยาน)
  • ความสามารถในการระบายน้ำสูงสุดของระบบรอบสนามบิน: ประมาณ 5,000 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง
  • ระดับน้ำสูงสุดจากแม่น้ำกกเมื่อ 11 ก.ย. 2567: เพิ่มขึ้นจากค่าปกติกว่า 2.3 เมตร (ข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมท่าอากาศยาน, www.airports.go.th
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มติที่ประชุมปิดล่องแพ 30 เมษาฯ แม่สรวยน้ำน้อย แต่นั่งซุ้มต่อได้

ประกาศปิดล่องแพแม่สรวย 30 เม.ย. 68 – เพื่อสำรองน้ำเกษตร ชี้จำเป็นตามมติคณะกรรมการฯ ร่วมมือบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 — ตามที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ได้ประกาศ ยุติการล่องแพเปียกในอ่างเก็บน้ำแม่สรวยภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 เนื่องจากระดับน้ำในเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง และจำเป็นต้องเก็บกักน้ำไว้เพื่อการเกษตรในฤดูแล้ง ภายใต้นโยบายการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน โดยเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และองค์กรผู้ใช้น้ำ

การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นตามมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ภายใต้กรอบ ข้อตกลงความร่วมมือบริหารจัดการชลประทานแบบมีส่วนร่วม (MOU for JMC) ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบกิจการแพเปียก และตัวแทนเกษตรกรผู้ใช้น้ำเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

จำเป็นต้องสำรองน้ำ – ล่องแพได้ถึง 30 เม.ย. ก่อนลดปริมาณการปล่อยน้ำเหลือเพียง 1Q

นายวรวิทย์ สุวรรณจักร หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้มีการปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สรวยอยู่ที่ 5–6 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (Q) เพื่อให้สามารถล่องแพได้อย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยจะสิ้นสุดกิจกรรมล่องแพในวันที่ 30 เมษายน 2568 หลังจากนั้นจะลดการปล่อยน้ำเหลือเพียง 1Q เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง

ถึงแม้จะมีคำถามจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ว่า หากมีฝนตกหรือพายุฤดูร้อนในเดือนเมษายนจะสามารถขยายเวลาได้หรือไม่ ทางชลประทานยังไม่ได้รับรายงานพยากรณ์อากาศที่ชัดเจนจากกรมอุตุนิยมวิทยา จึงยังคงยึดตามมติที่ประชุมไว้ก่อน

ยังเปิดให้นั่งซุ้มริมเขื่อน ชิมอาหารท้องถิ่นได้ถึง 15 พ.ค.

แม้ว่าจะไม่สามารถล่องแพได้หลังวันที่ 30 เมษายน แต่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อนุญาตให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ยังคงเปิดบริการ “ซุ้มริมน้ำ” สำหรับรับประทานอาหารและพักผ่อนริมอ่างเก็บน้ำต่อได้ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวชมในช่วงปลายฤดูร้อน

ข้อตกลง MOU for JMC – โมเดลบริหารน้ำโดยชุมชนมีส่วนร่วม

การดำเนินการครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของกรมชลประทาน ที่ส่งเสริมรูปแบบการบริหารจัดการน้ำ Participatory Irrigation Management (PIM) โดยให้เกษตรกร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานปกครอง และผู้ใช้น้ำ มีส่วนร่วมในการกำหนดแผนบริหารและจัดสรรน้ำผ่าน คณะกรรมการจัดการชลประทาน (JMC)

พื้นที่ในลุ่มน้ำแม่ลาวตอนที่ 2 ประกอบด้วย

  • อ่างเก็บน้ำแม่สรวย
  • ฝายเจ้าวรการบัญชา
  • ฝายถ้ำวอก
  • ฝายสมบัติ

โดยแต่ละแห่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับเกษตรกรในอำเภอแม่สรวยและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งต้องอาศัยการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงฤดูแล้งของปี 2567/68 นี้

เสียงสะท้อนจากภาคเกษตรและการท่องเที่ยว

ฝ่ายเกษตรกรผู้ใช้น้ำ ระบุว่า เห็นด้วยกับมาตรการเก็บกักน้ำ เนื่องจากพื้นที่การเกษตรหลายแห่งในลุ่มน้ำแม่ลาว กำลังเข้าสู่ฤดูแล้ง และปริมาณน้ำในเขื่อนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่ผ่านมา หากไม่มีการบริหารน้ำอย่างเป็นระบบ จะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ข้าวนา และพืชผักสวนครัว ซึ่งเป็นรายได้หลักของชุมชน

ในขณะที่ผู้ประกอบการล่องแพและร้านอาหารริมเขื่อน ได้แสดงความกังวลว่า การปิดให้บริการล่องแพก่อนฤดูท่องเที่ยวจะสิ้นสุด ส่งผลกระทบต่อรายได้และแรงงานในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ถือเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญของแม่สรวย

ข้อมูลสถานการณ์น้ำล่าสุดในภาคเหนือ

จากรายงานของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และกรมชลประทาน ประจำวันที่ 3 เมษายน 2568 พบว่า

  • อ่างเก็บน้ำแม่สรวยมี ปริมาณน้ำในอ่าง : 47.704 (65.350%) ของความจุ  73.000 ล้าน ลบ.ม.
  • คาดการณ์ว่าในช่วงเดือนเมษายนจะไม่มีฝนตกชุก
  • ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำแม่ลาวรวมลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 15%
  • ความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้นกว่า 10% เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
  • พื้นที่การเกษตรในอำเภอแม่สรวยและแม่ลาวกว่า 6,200 ไร่ ต้องพึ่งพาน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สรวยเป็นหลัก

(ที่มา: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, กรมชลประทาน, รายงานสถานการณ์น้ำประเทศไทย ประจำเดือนเมษายน 2568)

แนวทางและข้อเสนอแนะต่อการจัดการน้ำแบบสมดุล

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการปิดล่องแพ เห็นว่าเป็นการดำเนินการที่จำเป็นและสมเหตุสมผล ภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของแนวทาง PIM ซึ่งเป็นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารทรัพยากรสาธารณะอย่างยั่งยืน

อีกมุมหนึ่ง ของผู้ประกอบการท่องเที่ยวเสนอว่า รัฐควรมีมาตรการเยียวยา หรือจัดกิจกรรมท่องเที่ยวทางเลือกในพื้นที่แทน เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป พร้อมทั้งเสนอให้ปรับเปลี่ยนกำหนดการเปิด–ปิดล่องแพตามสถานการณ์น้ำจริงรายสัปดาห์ โดยใช้เทคโนโลยีพยากรณ์น้ำมาเป็นตัวกำหนด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เทิง 113 ปี สืบสานภูมิปัญญา “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า”

อำเภอเทิงจัดยิ่งใหญ่ “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ครั้งที่ 1 ฉลอง 113 ปีแห่งการก่อตั้ง พร้อมสืบสานภูมิปัญญาลุ่มน้ำลาว หงาว อิง

เชียงราย, 2 เมษายน 2568 — อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย จัดงานสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ลุ่มน้ำลาว หงาว อิง ครั้งที่ 1 อย่างยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 113 ปี แห่งการก่อตั้งอำเภอเทิง โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชนร่วมมือกันจัดกิจกรรมอันเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรม เพื่อน้อมรำลึกถึงรากเหง้าอัตลักษณ์ของชาวเมืองเทิงและพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์

พิธีเปิดสมเกียรติ – รวมพลังประชาชนสืบสานรากเหง้าเมืองเทิง

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ณ ที่ว่าการอำเภอเทิง (หลังเก่า) ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ พร้อมด้วย นายเอนก ปันทะยม นายอำเภอเทิง หน่วยงานราชการ สภาวัฒนธรรม พุทธสมาคม ชมรมผู้สูงอายุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

งานในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของการจัด “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งภูมิปัญญา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชุมชนริมลุ่มน้ำลาว หงาว และอิง ที่หล่อหลอมให้เกิดความเข้มแข็งและความภาคภูมิใจในถิ่นฐานของตน

กิจกรรมหลากหลาย สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนาแท้

ภายในงานได้มีการจัดกิจกรรมที่สะท้อนถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรมของเมืองเทิง อาทิ

  • พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และสืบชะตาเมืองเทิง เพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองของชุมชน
  • พิธีทำบุญถวายผ้าป่า 10 ตำบล เพื่อความสามัคคีและการรวมพลังของท้องถิ่น
  • เขียนชื่อบนผ้าห่มพระธาตุจอมจ้อ อันเป็นพุทธบูชาสำคัญของชาวเมืองเทิง
  • บูชาชะตา ฮอมบุญขันตั้งสืบชะตา ตามประเพณีล้านนาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
  • มอบเกียรติบัตรผู้สูงอายุดีเด่นระดับหมู่บ้าน เพื่อยกย่องคุณค่าของผู้สูงวัยในสังคม
  • นิทรรศการศิลปวัฒนธรรม และของดีแต่ละตำบล
  • นิทรรศการผลงานศิลปินท้องถิ่น
  • การแสดงพื้นบ้าน 10 ตำบล ภายใต้แนวคิด “เมืองเทิงมีดีอยู่ตี้ 10 ตำบล”
  • ขันโตก “ฮอมบุญ” อาหารพื้นบ้าน 100 โตก ที่แสดงออกถึงการแบ่งปันและความเป็นหนึ่งเดียวของชุมชน

เป้าหมายเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์

หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของการจัดงาน “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” คือการระดมทุนเพื่อ ปรับปรุงอาคารที่ว่าการอำเภอเทิง (หลังเก่า) ให้กลายเป็น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเทิง ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ และจุดหมายด้านวัฒนธรรมของนักท่องเที่ยว ทั้งในระดับจังหวัดและภูมิภาค

เสียงสะท้อนจากชุมชน – เสียงจากสองมุมมอง

ฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะผู้นำชุมชนและภาควัฒนธรรมท้องถิ่น เห็นว่าการจัดกิจกรรมนี้เป็นการ “สร้างรากฐานทางวัฒนธรรม” ที่มั่นคงและยั่งยืน ถือเป็นแบบอย่างให้กับพื้นที่อื่น ๆ ในการนำทุนวัฒนธรรมมาพัฒนาเป็นทุนทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว

อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งรวมถึงกลุ่มนักพัฒนาในพื้นที่ แสดงความเห็นว่า แม้กิจกรรมจะดี แต่ควรมีการติดตามและประเมินผลเชิงประจักษ์ เช่น จำนวนผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ รายได้ที่เกิดจากกิจกรรมวัฒนธรรม หรือความต่อเนื่องของโครงการ เพื่อให้การลงทุนในด้านนี้ตอบโจทย์ด้านสังคมและเศรษฐกิจจริง

สถิติเกี่ยวกับการพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่น

จากรายงานของ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ปี 2566 และข้อมูลจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม พบว่า:

  • จังหวัดเชียงรายมี หมู่บ้านวัฒนธรรมกว่า 160 แห่ง
  • มีโครงการอนุรักษ์วัฒนธรรมเชิงพื้นที่มากกว่า 80 โครงการต่อปี
  • อำเภอเทิงมีแหล่งวัฒนธรรมที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 15 แห่ง และแหล่งภูมิปัญญาท้องถิ่นกว่า 30 รายการ
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเชียงรายจัดสรรงบส่งเสริมวัฒนธรรมเฉลี่ย 12 ล้านบาท/ปี
  • โครงการแปลงศูนย์ราชการเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

(ที่มา: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, สำนักงานสถิติแห่งชาติ)

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

  • ควรจัดให้มี “ฐานข้อมูลกลาง” ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละตำบล
  • ขยายผลกิจกรรม “ข่วงผญ๋า” ไปยังโรงเรียน เพื่อปลูกฝังความภาคภูมิใจตั้งแต่ระดับเยาวชน
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชน ในการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์
  • พัฒนาช่องทางสื่อสารสมัยใหม่ เช่น Virtual Museum และ QR Code สำหรับนิทรรศการ
  • ประเมินผลกิจกรรมวัฒนธรรมด้วยเครื่องมือที่สามารถวัดผลด้านเศรษฐกิจและสังคมได้

สรุปภาพรวมอย่างเป็นกลาง

งาน “ข่วงผญ๋า ห้าก้อนเส้า” ครั้งที่ 1 นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการรื้อฟื้นและสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์วัฒนธรรม พร้อมทั้งพัฒนาอาคารประวัติศาสตร์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ร่วมสมัย

ในมุมหนึ่ง ประชาชนต่างภาคภูมิใจและยินดีที่ชุมชนได้มีเวทีแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตน ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง เสนอให้มีกลไกตรวจสอบ ประเมินผล และต่อยอดโครงการให้ยั่งยืนในระยะยาว

การพัฒนาวัฒนธรรมจึงควรเป็น “งานร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดชอบ” ของทุกภาคส่วน เพื่อให้คุณค่าแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่นมิได้หยุดอยู่เพียงในงานเฉลิมฉลอง แต่ยังคงสืบทอดเป็นมรดกให้คนรุ่นหลังต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ต่อชีวิต! บริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะ ถวายความจงรักภักดี

กาชาดจังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ครบ 70 พรรษา

เชียงราย, 2 เมษายน 2568 — เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 70 พรรษา ของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อำเภอเมืองเชียงราย

โดยกิจกรรมจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย สมพระเกียรติ มีประชาชน ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา และจิตอาสา เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด

พิธีเปิดอย่างสมพระเกียรติ ผนึกพลังภาครัฐ-ประชาชน

เวลา 09.00 น. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ เดินทางเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนผู้ร่วมบริจาคโลหิต และหน่วยบริการจาก โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สำนักงานเหล่ากาชาดเชียงราย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำเปิดกิจกรรม พร้อมด้วยรองนายกเหล่ากาชาด เจ้าหน้าที่ และสมาชิกจากหลายภาคส่วน อาทิ หน่วยงานการศึกษา ภาคเอกชน และกลุ่มอาสาสมัครต่าง ๆ

บรรยากาศภายในงานอบอวลด้วยน้ำใจและความเสียสละ โดยเปิดรับบริจาคตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น. พร้อมทั้งมีการมอบของที่ระลึก ใบประกาศเกียรติคุณ และรางวัลพิเศษเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ร่วมบริจาค

เลือดคือชีวิต บริจาคหนึ่งครั้ง ช่วยได้มากกว่าสามชีวิต

การบริจาคโลหิตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดที่จะผลิตโลหิตทดแทนได้โดยสมบูรณ์ การบริจาคเพียงหนึ่งครั้ง สามารถนำไปแยกส่วนประกอบของเลือด ได้แก่

  • เกล็ดเลือด ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไข้เลือดออก
  • เม็ดเลือดแดง รักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ
  • พลาสมา ใช้รักษาผู้มีอาการช็อกจากการขาดน้ำ หรือภาวะเลือดออกมาก ตลอดจนสามารถนำไปผลิตเซรุ่มป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี และโรคพิษสุนัขบ้า

ด้วยเหตุนี้ การบริจาคเพียงครั้งเดียวสามารถ “ต่อชีวิต” ให้ผู้ป่วยได้ถึง 3 คน อย่างแท้จริง

การบริจาคดวงตาและอวัยวะคือการให้ที่ไม่สิ้นสุด

นอกจากโลหิตแล้ว ยังมีผู้ร่วมบริจาค ดวงตา และ อวัยวะ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ โดยการบริจาคอวัยวะ เช่น ไต หัวใจ ตับ ปอด หรือกระดูก สามารถช่วยรักษาชีวิตของผู้ป่วยเรื้อรังที่รอคอยความหวังจากการปลูกถ่าย

ในส่วนของดวงตา การบริจาคช่วยคืนแสงสว่างให้แก่ผู้พิการทางสายตา และช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง

เสียงสะท้อนจากผู้บริจาค

นายณัฐวุฒิ สุขสม นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง หนึ่งในผู้บริจาคโลหิตวันนี้ ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมมาบริจาคครั้งแรกครับ เพราะรู้ว่าการบริจาคสามารถช่วยชีวิตคนได้จริง และครั้งนี้ยิ่งมีความหมายมาก เพราะได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ด้วยครับ”

ขณะเดียวกัน นางจันทร์เพ็ญ อินทรีย์ อายุ 58 ปี แม่บ้านจากอำเภอแม่จัน กล่าวว่า “ดิฉันตั้งใจมาบริจาคทุกปีค่ะ โดยเฉพาะในวันสำคัญแบบนี้ รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการถวายความจงรักภักดี”

สถิติบริจาคโลหิตประเทศไทย ปี 2566

จากรายงานของ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย พบว่า:

  • ปี 2566 มีผู้บริจาคโลหิตทั่วประเทศรวม 1,748,002 ราย
  • สามารถผลิตโลหิตได้รวมกว่า 2.2 ล้านยูนิต
  • กรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ยังคงมีอัตราบริจาคสูงสุด
  • จังหวัดเชียงรายอยู่ในอันดับกลาง โดยมีผู้บริจาคเฉลี่ย 45,000 ยูนิตต่อปี
  • ปริมาณความต้องการโลหิตเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 6,500 ยูนิต/วัน
  • แต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ทำให้การบริจาคลดลงต่ำกว่าความต้องการถึง 30%

(ที่มา: ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย, รายงานปี 2566)

มุมมองสองด้านต่อการรณรงค์บริจาค

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การจัดกิจกรรมบริจาคในวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ช่วยเพิ่มความตระหนักรู้ และเชื่อมโยงความจงรักภักดีกับการให้เพื่อเพื่อนมนุษย์ เป็นวิธีรณรงค์ที่สร้างแรงจูงใจ และควรจัดต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งในระดับจังหวัด

อีกฝ่ายหนึ่ง เสนอว่า แม้กิจกรรมในวันสำคัญจะดี แต่ควรสร้างระบบบริจาคอย่างต่อเนื่อง เช่น ตั้งศูนย์เคลื่อนที่ในโรงเรียน สถานศึกษา หรือสถานที่ราชการ และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น พร้อมเสนอให้เพิ่มความรู้เรื่องการบริจาคในหลักสูตรสุขศึกษา

สรุปการให้ที่ไม่สิ้นสุดเพื่อมนุษยชาติ

กิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะในวันนี้ นับเป็นอีกหนึ่งการรวมพลังของชาวเชียงรายในการแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ในขณะเดียวกัน การบริจาคยังเป็นการ “ให้” ที่ทรงพลังที่สุด เพราะสามารถช่วยชีวิตผู้อื่นอย่างเป็นรูปธรรม และสะท้อนถึงหัวใจของความเป็นมนุษย์ที่มีต่อกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

กทม.สั่นสะเทือน! นักวิชาการจี้ปรับระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว

ราชดำเนินเสวนา “สังคายนาระบบเตือนภัย” จุดประกายการเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว เสนอยกระดับระบบ Cell Broadcast สู่ระบบแจ้งเตือนพิบัติภัยที่ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม

เชียงราย, 2 เมษายน 2568 – จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครและหลายพื้นที่ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 นำไปสู่การจัดเวที “ราชดำเนินเสวนา” ในหัวข้อ สังคายนาระบบเตือนภัย” โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เพื่อถอดบทเรียนและหาแนวทางพัฒนา “ระบบเตือนภัยพิบัติ” ให้ทันสมัย ครอบคลุม และสามารถใช้งานได้จริงในเวลาฉุกเฉิน

เวทีวิชาการ ชำแหละปัญหา เตือนภัยไทยยังไม่ทันเวลา

เวทีเสวนาครั้งนี้มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญหลายท่านร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น อาทิ

  • ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหว
  • รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์ภัยพิบัติ ม.รังสิต
  • รศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล.
  • นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค

เวทีชี้ให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยมีระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว แต่ยังขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกรณีแผ่นดินไหวที่เมียนมาส่งผลให้ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มในเวลาเพียง 7 นาทีหลังเกิดเหตุ แต่การแจ้งเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยามาถึงประชาชนล่าช้ากว่าครึ่งชั่วโมง ส่งผลให้ไม่มีเวลาเตรียมตัวหรืออพยพ

ระบบ Cell Broadcast คือความหวังใหม่ของการเตือนภัย

รศ.ดร.เสรี ย้ำว่า ประเทศไทยควรเร่งพัฒนา ระบบ Cell Broadcast ซึ่งสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนผ่านเสาสัญญาณโทรคมนาคมถึงโทรศัพท์มือถือในพื้นที่เสี่ยงได้ทันที ภายใน 1 นาที โดยไม่ต้องขออนุญาตหลายขั้นตอนหรือผ่านระบบ SMS ที่ล่าช้าและจำกัดจำนวนการส่ง

แม้รัฐบาลจะมีแผนเริ่มใช้งานระบบ Cell Broadcast ภายในเดือนกรกฎาคม 2568 แต่ในช่วงระหว่างนี้ต้องมีแนวทางสำรอง เช่น การแจ้งเตือนผ่านโซเชียลมีเดีย ทีวี วิทยุ และการส่ง SMS ทันที โดยไม่ต้องรอผ่าน กสทช.

3 รอยเลื่อนใหญ่ เสี่ยงแผ่นดินไหวกระทบไทย

ศ.ดร.เป็นหนึ่ง ระบุว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจาก 3 รอยเลื่อนหลัก ได้แก่

  1. รอยเลื่อนจังหวัดกาญจนบุรี – เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 และอาจรุนแรงถึง 7.5
  2. รอยเลื่อนสกาย – ผ่ากลางเมียนมา มีความเคลื่อนไหวสูง
  3. รอยเลื่อนอาระกัน – อาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด มากกว่า 8.5 ครั้งล่าสุดเมื่อ 260 ปีก่อน

ทั้งนี้ กทม. เป็นพื้นที่ที่มี แอ่งดินอ่อนขนาดใหญ่” ที่สามารถขยายแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ถึง 3-4 เท่า โดยเฉพาะอาคารสูงจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากโครงสร้างอาจเกิดการสั่นในจังหวะที่ขยายแรงสั่นสะเทือน

ข้อเสนอ: ตรวจสอบอาคารสูง – เสริมความแข็งแกร่งพื้นที่เสี่ยง

ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ตรวจสอบโครงสร้างอาคารเสี่ยงในกรุงเทพฯ และภาคเหนือ โดยเฉพาะโรงเรียนในเชียงราย ซึ่งอาจไม่ได้ออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวตั้งแต่ต้น ทั้งนี้การเสริมความแข็งแกร่งของอาคารเดิมใช้ค่าใช้จ่ายเพียง 10-20% ของการก่อสร้างใหม่ จึงควรจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม

ปัจจุบันมีการทดลองติดตั้งอุปกรณ์วัดแรงสั่นสะเทือนที่

  • โรงพยาบาลเชียงราย
  • โรงพยาบาลเชียงใหม่
  • โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง
  • และเตรียมติดตั้งที่โรงพยาบาลกลาง กรุงเทพมหานคร

อุปกรณ์นี้สามารถแจ้งเตือนสถานะความมั่นคงของอาคารภายใน 5 นาทีหลังเกิดเหตุ

ภาคประชาชน-สภาผู้บริโภค เรียกร้องโปร่งใสและเร่งติดตั้ง

นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องทำระบบให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยเฉพาะการใช้งบประมาณที่ระบุว่าใช้กองทุน USO จาก กสทช. กว่า 1,000 ล้านบาท จึงควรเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับรู้ และไม่ควรโยนภาระให้ประชาชนรับมือภัยพิบัติด้วยตนเอง

ประชาชนควรรู้วิธีปฏิบัติตัว แต่รัฐต้องจัดทำ ชุดความรู้ความเข้าใจ” อย่างเป็นระบบเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสอนเด็กๆ ให้รับมือภัยพิบัติตั้งแต่ระดับประถมศึกษา

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวในประเทศไทย

จากรายงานของ กรมทรัพยากรธรณี (2566) และ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระบุว่า

  • ประเทศไทยเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 3.0 ขึ้นไปมากกว่า 70 ครั้งต่อปี
  • กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ทางอ้อมมากที่สุด เนื่องจากสภาพชั้นดินอ่อน
  • เหตุแผ่นดินไหวที่เมียนมา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ส่งผลแรงสั่นสะเทือนระดับ 4–5 ในกรุงเทพฯ
  • อาคารสูงในกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ออกแบบตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ปี 2550 ยังคงมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 60

(ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, กรมอุตุนิยมวิทยา, ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ)

บทสรุป: ความเห็นอย่างเป็นกลางจากสองมุมมอง

ฝ่ายหนึ่ง สนับสนุนให้พัฒนาระบบ Cell Broadcast และติดตั้งอุปกรณ์วัดแรงสั่นสะเทือนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยง พร้อมเสนอให้รัฐเร่งจัดการโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มมาตรฐานการก่อสร้างอาคารเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน

อีกฝ่ายหนึ่ง แม้เห็นด้วยกับการพัฒนาระบบ แต่เสนอให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ให้ภาระทั้งหมดตกแก่ประชาชนโดยลำพัง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การเตือนภัยจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อประชาชนเข้าใจวิธีการปฏิบัติตัว และมีเครื่องมือที่เข้าถึงทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

ข้อเสนอแนะร่วม

  • ปรับระบบเตือนภัยให้เร็วกว่าเดิม โดยใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast
  • ตรวจสอบและเสริมความแข็งแกร่งของอาคารสูงและอาคารเรียนในเขตเสี่ยง
  • สร้างแผนฝึกอบรมการรับมือแผ่นดินไหวอย่างเป็นระบบ
  • สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดแนวทางเตือนภัย
  • เปิดเผยการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใสต่อสาธารณชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE