Categories
FEATURED NEWS

ไขความลับธุรกิจสำเร็จ 3 ผู้นำ พร้อมเข้าสู่ความท้าทายในโลกธุรกิจ

3 Keys to Success in Challenging Business และโอกาสในการศึกษาปริญญาโทที่ PIM

เปิดประตูสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ กับ 3 ผู้นำแห่งวงการ

งานเสวนา “3 Keys to Success in Challenging Business ไขความลับสู่วิธีสร้างความสำเร็จของธุรกิจ” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 ณ CP ALL Academy สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ นักบริหาร และผู้ที่ต้องการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจเป็นอย่างมาก งานนี้ได้เชิญ 3 ผู้นำธุรกิจระดับแนวหน้า มาถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดสำคัญที่ช่วยสร้างความสำเร็จท่ามกลางความท้าทายของโลกธุรกิจยุคใหม่

ประสบการณ์จริงจาก 3 ผู้นำองค์กรธุรกิจ

  1. คุณรังสรรค์ พรมประสิทธิ์ CEO บริษัท Queue (Thailand) Co.,Ltd.

จาก Software House สู่ Startup ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด คุณรังสรรค์เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ QueQ แอปพลิเคชันจองคิวที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ปลดล็อกปัญหาการรอคิวนานในร้านอาหาร โรงพยาบาล และสถานที่สำคัญต่าง ๆ พร้อมเผยความแตกต่างระหว่าง Startup และ SME ที่ช่วยให้ธุรกิจขยายตัวได้เร็วและยั่งยืน

  1. คุณจักรพันธ์ ศรีจันทร์ทัพ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ฮับไวเซอร์ จำกัด

Digital Participation & Business Opportunity คือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล คุณจักรพันธ์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเลือกใช้แพลตฟอร์มและช่องทางการสื่อสารให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างการมีส่วนร่วมที่แท้จริง

  1. คุณวิชชุพันธ์ จันทร์มณี AVP Human Resource Management บริษัท เพนส์ มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด

Learning & Development คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง คุณวิชชุพันธ์แชร์แนวทาง การจัดวางระบบการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรบุคคล ตั้งแต่ระดับพนักงานไปจนถึงผู้บริหาร เพื่อสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งและพร้อมเผชิญความท้าทายในอนาคต

 

PIM – โอกาสแห่งการเรียนรู้เพื่ออนาคตที่มั่นคง

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) เปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการบริหารธุรกิจด้วยหลักสูตรปริญญาโทที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ ได้แก่:

  1. MBA PIM – นวัตกรรมธุรกิจและการจัดการ 3 Tracks
  • Transform Your Business – เน้นกลยุทธ์ทางธุรกิจในทุกประเภท
  • MBA Vitality Boost – วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำ
  • MBA Consulting Design – เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหาร
  1. MBA-POS – การบริหารคนและกลยุทธ์องค์การ
  • เน้น Project-Based Learning และ Current Business Issues
  • เชื่อมโยงทฤษฎีสู่การแก้ปัญหาธุรกิจจริง
  • มีเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจกว่า 2,000 องค์กร พร้อมโอกาสศึกษาดูงานระดับโลก
  1. MCA – นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต ด้านนวัตกรรมการสื่อสาร
  • สร้างนักสื่อสารที่มีจริยธรรมและตอบโจทย์ธุรกิจ
  • เรียนรู้ผ่าน Work-based Researching
  • ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

โอกาสพิเศษ! รับทุนการศึกษาสูงสุด 30,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาต่อปริญญาโทกับ PIM ภายในงานนี้มีการเปิดบ้านแนะนำหลักสูตรพร้อมโอกาสรับทุนการศึกษาสูงสุดถึง 30,000 บาท เพื่อสนับสนุนผู้ที่ต้องการพัฒนาตัวเองและต่อยอดธุรกิจให้เติบโตไปอีกระดับ

หากคุณกำลังมองหาโอกาสทางการศึกษาที่จะช่วยยกระดับศักยภาพทางธุรกิจ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) คือคำตอบของคุณ สมัครและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pim.ac.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผบ.ทสส.ลุยแม่สาย คุมเข้มชายแดน ไทย-เมียนมา

ผบ.ทสส. ลงพื้นที่เชียงราย ติดตามสถานการณ์ความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา-ลาว

เชียงราย, 15 มีนาคม 2568 – พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน (ศอ.ปชด.) พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา-ลาว พร้อมร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมร่วมเพื่อขับเคลื่อนมาตรการความมั่นคง

การประชุมในครั้งนี้มี นายชริน ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย / ผู้อำนวยการศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัดเชียงราย (ศส.ชท.จว.ช.ร.) เป็นผู้กล่าวต้อนรับ โดยมี พลโท กิตติพงศ์ ชื่นใจชน แม่ทัพน้อยที่ 3 / รองผู้อำนวยการ ศส.ชท.ทภ.3 และ พลตรี กิดากร จันทรา ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง เข้าร่วมประชุม ในที่ประชุมมีการนำเสนอประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงในพื้นที่ อาทิ:

  • ข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดเชียงราย
  • การปฏิบัติตามนโยบาย Seal Stop Safe และมาตรการ 3 ตัด
  • สถานการณ์การลักลอบเข้าเมืองและการค้ามนุษย์
  • แนวทางการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ชายแดน

ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานการณ์ชายแดน

ภายหลังการประชุม ผบ.ทสส. และคณะได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดยุทธศาสตร์สำคัญในอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นด่านหน้าสำหรับการควบคุมความมั่นคงชายแดน โดยมีจุดตรวจเยี่ยมหลัก ได้แก่:

  1. สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 – ตรวจสอบช่องทางสัญจร จุดตัดการจ่ายไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต รวมถึงสังเกตการณ์โครงการรื้อถอนเพื่อสร้างแนวป้องกันตลิ่ง
  2. ตลาดสายลมจอย – ตรวจสอบพื้นที่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแนวชายแดน และสำรวจพื้นที่ฟื้นฟูจากเหตุอุทกภัยที่ผ่านมา
  3. สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 – ตรวจสอบกระบวนการตรวจสินค้าผ่านแดน เช่น น้ำมัน อุปกรณ์สื่อสาร และอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า

มาตรการเข้มข้นในการรักษาความมั่นคงชายแดน

พลเอก ทรงวิทย์ เน้นย้ำว่า หน่วยงานทุกภาคส่วนต้องปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดภายใต้กรอบกฎหมาย โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคง ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน เพื่อป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ และยาเสพติด ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพของประเทศ

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมองว่า การลงพื้นที่ของ ผบ.ทสส. แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของกองทัพในการดูแลความปลอดภัยชายแดน การเสริมสร้างเสถียรภาพในพื้นที่ และการป้องกันภัยคุกคามที่อาจส่งผลต่อประเทศ ขณะที่ฝ่ายกังวลมองว่าการเข้มงวดด้านความมั่นคงอาจส่งผลกระทบต่อภาคการค้าและเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่พึ่งพาการค้าชายแดน

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • การค้าชายแดนไทย-เมียนมา – มูลค่าการค้าระหว่างไทยและเมียนมาผ่านด่านแม่สายในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 25,000 ล้านบาท (ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์)
  • สถิติการลักลอบข้ามแดน – ปี 2567 มีผู้ลักลอบเข้าเมืองบริเวณชายแดนภาคเหนือกว่า 15,000 ราย (ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
  • แนวทางการพัฒนาเขตชายแดน – รัฐบาลมีแผนลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่แม่สายมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)

สรุป

การลงพื้นที่ของ ผบ.ทสส. ครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามในการรักษาความมั่นคงของประเทศในพื้นที่ชายแดน พร้อมทั้งส่งเสริมการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ความเข้มงวดด้านความมั่นคงอาจต้องมีการพิจารณาแนวทางที่สมดุล เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ปี๋ใหม่เมืองม่วนใจ๋ ททท.จัดงาน เมษาฯ นี้

ททท.ภาคเหนือจัดเต็ม! มหาสงกรานต์ & ปีใหม่เมือง 2568 คาดเงินสะพัดกว่า 30,000 ล้านบาท

เชียงราย, 15 มีนาคม 2568 – การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภาคเหนือ เตรียมจัดงาน มหาสงกรานต์ & ปีใหม่เมือง 2568 อย่างยิ่งใหญ่ตลอดเดือนเมษายน คาดดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 5 ล้านคน/ครั้ง/เดือน กระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือให้คึกคัก พร้อมร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก

เทศกาลสงกรานต์ภาคเหนือ 2568 คึกคักทั่ว 17 จังหวัด

นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ ททท. เปิดเผยว่า เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยกิจกรรมสำคัญจะจัดขึ้นใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่

 

1.จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

2.จังหวัดลำปาง วัดพระธาตุลําปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง

3.จังหวัดลำพูน วัดสันป่ายางหลวง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน

4.จังหวัดแม่ฮ่องสอน วัดจองคำ วัดจองกลาง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

5.จังหวัดเชียงราย วัดกลางเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

6.จังหวัดพะเยา วัดศรีโคมคำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา

7.จังหวัดแพร่ วัดพระบาทมิ่งเมือง วรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดแพร่

8.จังหวัดอุตรดิตถ์ วัดกลางธรรมสาคร (วัดกลาง) อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์

9.จังหวัดน่าน วัดสวนตาล อำเภอเมือง จังหวัดน่าน

10.จังหวัดพิษณุโลก วัดราชบูรณะ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

11.จังหวัดเพชรบูรณ์ วัดไตรภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์

12.จังหวัดสุโขทัย วัดตระพังทอง อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย

13.จังหวัดกำแพงเพชร ศาลหลักเมืองกำแพงเพชร อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร

14.จังหวัดตาก วัดดอนแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดตาก

15.จังหวัดนครสวรรค์ วัดวรนาถบรรพต พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

16.จังหวัดพิจิตร วัดท่าหลวง พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร

17.จังหวัดอุทัยธานี วัดจันทารามา(วัดท่าซุง) อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี

 

ทั้งนี้ กิจกรรมจะเน้นไปที่การสืบสานวัฒนธรรมไทยแบบดั้งเดิม เช่น ทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ และก่อเจดีย์ทราย ควบคู่ไปกับความสนุกสนานของการเล่นน้ำสงกรานต์ในพื้นที่เมืองหลักและเมืองรองทั่วภาคเหนือ

รัฐบาลหนุนสงกรานต์ไทยสู่ระดับโลก

รัฐบาลไทยได้ออกนโยบายสนับสนุนสงกรานต์ให้เป็นเดือนแห่งการท่องเที่ยวของประเทศ เพื่อกระจายการเดินทางท่องเที่ยวตลอดเดือนเมษายน ลดความแออัดในช่วงวันหยุดยาว และส่งเสริมเมืองรองให้ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน มหาสงกรานต์ในประเทศไทย” เป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ยิ่งช่วยเพิ่มแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าร่วมงานมากขึ้น

นางสงกรานต์ปี 2568 และโหราศาสตร์สงกรานต์

ปีนี้ นางทุงสะเทวี เป็นนางสงกรานต์ ประจำปีมะเส็ง ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารคือผลมะเดื่อ และเสด็จมาเหนือหลังครุฑ โดยวันมหาสงกรานต์ตรงกับ วันจันทร์ที่ 14 เมษายน 2568 เวลา 4:30 น. ตามจันทรคติ

แนวทางการกระจายรายได้สู่ชุมชน

ททท.ภาคเหนือได้กำหนดแนวทางการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง โดยมีแผนประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อและการรณรงค์ “ชวนหมู่แอ่วบ้าน” เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวตลอดเดือนเมษายน ไม่กระจุกตัวเฉพาะในช่วงวันที่ 12-16 เมษายนเท่านั้น

สรุปสถิติและคาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

  • นักท่องเที่ยวในภาคเหนือ: คาดการณ์ 5 ล้านคน/ครั้ง/เดือน
  • เงินสะพัดจากการท่องเที่ยว: ประมาณ 30,000 ล้านบาท
  • จุดจัดกิจกรรมหลัก: 17 จังหวัดภาคเหนือ
  • มหาสงกรานต์ได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก

มหาสงกรานต์ & ปีใหม่เมือง 2568 ถือเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไป โดยนักท่องเที่ยวสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ ททท.ภูมิภาคภาคเหนือ “Go North Thailand” เพื่อรับข้อมูลข่าวสารและอัปเดตตารางกิจกรรมล่าสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

‘อนุทิน’ สั่งรับพายุ เตือนผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด

รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 2568 ทั่วประเทศ กำชับช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน

กระทรวงมหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และเร่งฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

ประเทศไทย, 15 มีนาคม 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 2568 ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม โดยกำหนดมาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สถิติความเสียหายจากพายุฤดูร้อนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากข้อมูลของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) พบว่า ในช่วงปี 2565 – 2567 มีผู้เสียชีวิตจากพายุฤดูร้อนรวม 44 ราย บ้านเรือนเสียหาย 217,639 หลัง และมีประชาชนได้รับผลกระทบมากถึง 210,186 ครัวเรือน

“พายุฤดูร้อนเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปี ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร แม้ว่าจะไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ แต่รัฐบาลสามารถ เตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสียหายและดูแลประชาชนให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว” นางสาวไตรศุลีกล่าว

มาตรการเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 2568

  1. การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน
  • ติดตาม พยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา อย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนประชาชนผ่านทุกช่องทางที่มีประสิทธิภาพ
  • กำชับให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน ประสานงานและเผยแพร่แนวทางปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย เช่น การป้องกันฟ้าผ่าและวิธีขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ
  1. การตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างและพื้นที่เสี่ยงภัย
  • ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของ อาคาร สิ่งก่อสร้าง ป้ายโฆษณา และต้นไม้ขนาดใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพังถล่ม
  • จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องมือให้พร้อมปฏิบัติงาน เช่น เครื่องจักรกลสาธารณภัย ไฟฉาย เรือท้องแบน และอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน
  1. มาตรการช่วยเหลือหลังพายุสงบ
  • สำรวจความเสียหาย ของบ้านเรือนประชาชน และดำเนินการซ่อมแซมโดยเร็ว
  • เร่งคืนสภาพโครงสร้างพื้นฐาน ที่ได้รับผลกระทบ เช่น ระบบไฟฟ้า ถนน และสะพาน โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำรวจความเสียหาย และให้การช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

แนวทางปฏิบัติกรณีเกิดพายุฤดูร้อน

เมื่อเกิดพายุฤดูร้อนขึ้นในพื้นที่ใด ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที ดังนี้:

  1. หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ให้หน่วยแพทย์และเจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าช่วยเหลือทันที พร้อมเร่งเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาล
  2. กรณีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ให้กำหนดพื้นที่รับผิดชอบแต่ละหน่วยงาน และส่งทีมปฏิบัติการเข้าไปซ่อมแซมโดยเร็ว
  3. หากโครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหาย ให้ประสาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กรมทางหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไข
  4. กรณีผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ให้หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ร่วมมือกันสำรวจความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

ความคิดเห็นจากนักวิชาการและประชาชน

ศาสตราจารย์ ดร.วรพจน์ อินทรฉัตร นักวิชาการด้านอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า “การแจ้งเตือนล่วงหน้าและการเตรียมพร้อมในระดับชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ซึ่งภาครัฐควรเน้นการ ใช้เทคโนโลยี AI และข้อมูลจากดาวเทียม เพื่อพยากรณ์ล่วงหน้าที่แม่นยำขึ้น”

ขณะที่ นายสุพจน์ วัฒนาชัย เกษตรกรจากจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า “ที่ผ่านมา เกษตรกรได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยครั้ง หลายพื้นที่ยังขาดการช่วยเหลือที่รวดเร็ว แม้มีมาตรการจากรัฐ แต่ก็ต้องเร่งปรับปรุงขั้นตอนการเยียวยาให้เข้าถึงประชาชนโดยตรงมากขึ้น”

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในประเทศไทย

  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากพายุฤดูร้อน (2565 – 2567): 44 ราย
  • จำนวนบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย: 217,639 หลัง
  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ: 210,186 ครัวเรือน
  • ช่วงเวลาที่พายุฤดูร้อนเกิดขึ้นบ่อย: มีนาคม – พฤษภาคม
  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในรอบ 3 ปี: ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ

สรุป:

  • รัฐบาลไทยโดยกระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดมาตรการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และช่วยเหลือประชาชนในช่วงพายุฤดูร้อน 2568
  • มาตรการหลัก ได้แก่ การแจ้งเตือนล่วงหน้า, ตรวจสอบสิ่งปลูกสร้าง, จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็ว
  • นักวิชาการแนะนำให้พัฒนาเทคโนโลยีการพยากรณ์ ขณะที่ประชาชนเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งปรับปรุงกระบวนการเยียวยาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย / กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ / กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปราบมิจฉาชีพ บัญชีม้านิติบุคคล ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้มงวด

ธปท. เร่งปราบบัญชีม้านิติบุคคล จับมือหน่วยงานรัฐป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน

มาตรการเข้มงวด ป้องกันการใช้บัญชีนิติบุคคลในอาชญากรรมออนไลน์

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการยกระดับมาตรการจัดการ บัญชีม้านิติบุคคล หลังพบแนวโน้มมิจฉาชีพใช้ช่องทางนี้เป็นเครื่องมือก่ออาชญากรรมทางการเงินมากขึ้น โดยมีการบังคับใช้มาตรการเข้มงวด ทั้งการคัดกรองนิติบุคคลที่มีความเสี่ยง การติดตามพฤติกรรมทางการเงิน และการเพิ่มโทษแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า

นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงินของ ธปท. ระบุว่า หน่วยงานกำกับดูแลการเงินได้ดำเนินมาตรการหลายประการ เช่น การพัฒนา Central Fraud Registry (CFR) สำหรับแลกเปลี่ยนเส้นทางเงินและสนับสนุนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การออก พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มอำนาจให้สถาบันการเงินสามารถระงับบัญชีม้าได้อย่างรวดเร็ว และการปรับมาตรการตรวจสอบบัญชีม้านิติบุคคลให้เข้มงวดขึ้น

“มาตรการเหล่านี้ช่วยให้การเปิดบัญชีม้าทำได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันพบว่ามิจฉาชีพปรับเปลี่ยนไปใช้ บัญชีนิติบุคคล ในการหลอกลวงมากขึ้น จึงต้องมีการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดกับภาคธุรกิจเช่นเดียวกับที่ทำกับบัญชีบุคคล” นางรุ่งกล่าว

แนวทางป้องกันบัญชีม้านิติบุคคล

  1. ตรวจสอบนิติบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง
  • สถาบันการเงินจะเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณานิติบุคคลที่ขอเปิดบัญชี โดยเฉพาะกรณีที่กรรมการหรือหุ้นส่วนมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  • หากพบว่านิติบุคคลมีความเสี่ยงสูง สถาบันการเงินสามารถ ระงับบัญชี และ จำกัดการใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ทันที
  1. ปรับปรุงกระบวนการจดทะเบียนนิติบุคคล
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ได้ออกคำสั่ง สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง ที่ 3/2567 ซึ่งกำหนดให้กรรมการหรือหุ้นส่วนผู้จัดการที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชี HR-03 ของ ปปง. ต้อง แสดงตนต่อหน้านายทะเบียนก่อนการรับจดทะเบียน
  • นิติบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นบัญชีม้าจะถูก แจ้งต่อศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) เพื่อขยายผลและติดตามการกระทำความผิด
  1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ
  • ธปท. ได้ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (บช.สอท.), ปปง., กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ AOC เพื่อรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลนิติบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย
  • ข้อมูลบัญชีนิติบุคคลจะถูกนำเข้าสู่ Central Fraud Registry (CFR) เพื่อช่วยให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสามารถดำเนินการปราบปรามได้อย่างรวดเร็ว

การดำเนินคดีและสถิติที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพมีแนวโน้มใช้ บัญชีนิติบุคคล ในการหลอกลวงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะใน กลุ่มบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมผิดกฎหมาย

จากการสืบสวนพบว่า บัญชีนิติบุคคลสามารถโอนเงินได้ครั้งละจำนวนมาก โดยไม่ต้องใช้การสแกนใบหน้า ทำให้กลายเป็นช่องทางหลักของเครือข่ายมิจฉาชีพ ขณะที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังพิจารณากำหนดนิยามบัญชีม้านิติบุคคล HR-03-1 และ HR-03-2 เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าและอาชญากรรมทางการเงิน

  • บัญชีม้าในระบบธนาคารที่ถูกระงับ: 1.4 แสนราย รวม 1.92 ล้านบัญชี
  • บัญชีม้านิติบุคคลที่ถูกตรวจสอบโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า: มากกว่า 7.8 หมื่นราย
  • คดีอาชญากรรมทางออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า (2565 – ปัจจุบัน): ประมาณ 8 แสนบัญชี มูลค่าความเสียหาย 7-8 หมื่นล้านบาท
  • การตรวจค้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า (ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา): 23 จุดทั่วประเทศ พบ บริษัทต้องสงสัย 190 บริษัท มูลค่าความเสียหาย 800 ล้านบาท เงินหมุนเวียน 5,000 ล้านบาท

ข้อคิดเห็นจากนักวิชาการและภาคธุรกิจ

นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการ ปปง. กล่าวว่าการจัดการบัญชีม้านิติบุคคลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถแยกแยะระหว่าง นิติบุคคลที่ทำธุรกิจจริง กับ นิติบุคคลที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อกระทำความผิด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่สุจริต

นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงกำลังเร่งดำเนินการ ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการเงิน และปรับปรุงกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่าน ศูนย์ปฏิบัติการ AOC เพื่อให้สามารถป้องกันอาชญากรรมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุป:

  • ธปท. และหน่วยงานภาครัฐร่วมมือกันปราบปราม บัญชีม้านิติบุคคล อย่างจริงจัง
  • มาตรการใหม่เน้น การตรวจสอบนิติบุคคลที่มีความเสี่ยง, ควบคุมการเปิดบัญชี, และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานรัฐ
  • สถิติแสดงให้เห็นว่าบัญชีม้านิติบุคคลกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีมาตรการเข้มงวดกับบัญชีบุคคลธรรมดาแล้วก็ตาม
  • ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รัฐบาลใช้ เทคโนโลยี AI และข้อมูลจากหลายแหล่ง เพื่อยกระดับการตรวจสอบและดำเนินคดีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย / กรมพัฒนาธุรกิจการค้า / สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน / กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ยังเจอบุหรี่ไฟฟ้าเกลื่อนเมือง แม้รัฐสั่งกวาดล้าง เข้มงวด 30 วัน

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน คุมเข้มสถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา

ประกาศมาตรการเข้มงวด พร้อมลงโทษทันทีหากพบครูหรือบุคลากรเกี่ยวข้อง

ประเทศไทย, 15 มีนาคม 2568 – รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินหน้าจัดการปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนอย่างจริงจัง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เห็นผลภายใน 30 วัน พร้อมติดตาม แผนปฏิบัติการ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว เพื่อควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 เพื่อยกระดับมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน โดยมาตรการที่กำหนดไว้มีดังนี้:

  1. สร้างความตระหนักรู้ ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้บริหารทุกระดับ ผ่านกิจกรรม สื่อประชาสัมพันธ์ และการบรรจุเนื้อหาในหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า
  2. กำหนดเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้า ในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน ให้มีเครื่องหมายชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า
  3. เข้มงวดในการตรวจสอบ โดยผู้บริหารและผู้บังคับบัญชาต้องสอดส่องและป้องกันไม่ให้นักเรียน นักศึกษา หรือบุคลากรมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการสูบ การจำหน่าย หรือการมีไว้ในครอบครอง
  4. ดำเนินการทางวินัยทันที หากพบว่าครูหรือบุคลากรทางการศึกษามีส่วนเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า

เสริมมาตรการเชิงรุก ขยายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ

มาตรการของกระทรวงศึกษาธิการยังสอดคล้องกับประกาศของ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งห้าม นำเข้าและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าในราชอาณาจักรไทย ตาม พระราชบัญญัติศุลกากร และ พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ นอกจากนี้ยังมีการกำหนดให้ สถานที่สาธารณะและยานพาหนะ เป็นเขตปลอดบุหรี่โดยเด็ดขาด

ข้อมูลจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 12 มีนาคม 2568 สามารถจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าได้แล้ว 1,078 คดี ผู้ต้องหา 1,104 คน และยึดของกลางได้กว่า 900,444 ชิ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 118.95 ล้านบาท

มุมมองจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย

นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้า แต่ในทางปฏิบัติกลับยังพบว่ามีการใช้และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแพร่หลายอย่างมาก

“หากกฎหมายมีผลบังคับใช้จริง เราจะไม่เห็นบุหรี่ไฟฟ้าในท้องตลาด ไม่มีการขาย ไม่มีการนำเข้า ไม่มีการสูบในที่สาธารณะ แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม” นพ.เอกภพกล่าว

เขาตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหานี้อาจไม่ได้เกิดจาก การไม่บังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นเพราะ กฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอาจไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง ซึ่งเป็นประเด็นที่คณะกรรมาธิการศึกษามาเป็นเวลากว่าหนึ่งปี และพบว่าจำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ นพ.เอกภพ ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวทางควบคุมยาสูบของประเทศไทยว่า การเน้นแค่การกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด โดยเสนอให้ภาครัฐพิจารณานโยบายที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น

  • ลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศจากปัจจุบัน 9-10 ล้านคน
  • ป้องกันเยาวชนจากการเริ่มต้นสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้า
  • ดูแลชาวไร่ยาสูบและการส่งออกยาสูบไทย
  • เพิ่มการกำกับดูแลตลาดบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าที่ลักลอบนำเข้า

ข้อท้าทายของการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าใน 30 วัน

แม้รัฐบาลจะประกาศดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้น และมีการแถลงข่าวจับกุมเกือบทุกวัน แต่ยังมีคำถามว่า หากครบ 30 วันแล้ว บุหรี่ไฟฟ้าจะหมดไปจากประเทศไทยจริงหรือไม่?

นพ.เอกภพ ตั้งข้อสังเกตว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าถูกกฎหมายในหลายประเทศ และมีการส่งออกจากจีนมาไทยหลายพันล้านบาทต่อปี ดังนั้น การดำเนินนโยบายเพียงการกวาดล้างโดยไม่มีแผนรองรับระยะยาว อาจไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

  • จำนวนคดีเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าที่ดำเนินการจับกุม 1,078 คดี (26 ก.พ. – 12 มี.ค. 2568)
  • จำนวนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม 1,104 คน
  • ของกลางที่ยึดได้ 900,444 ชิ้น
  • มูลค่าของกลางที่ยึด 118.95 ล้านบาท
  • จำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทย ประมาณ 9-10 ล้านคน
  • มูลค่าการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าแบบลักลอบเข้าสู่ประเทศไทย หลายพันล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี /กระทรวงศึกษาธิการ/ กระทรวงพาณิชย์ / กระทรวงสาธารณสุข / คณะกรรมาธิการศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ไฟป่า ‘พะเยา’ วิกฤต เผาไข่นกยูง ล่าสัตว์ต้นเหตุ จุดความร้อนพุ่ง

ไฟป่าเวียงลอวิกฤติ พื้นที่ป่าพะเยาเสียหายหนัก นกยูงไทยสูญเสียแหล่งขยายพันธุ์

เจ้าหน้าที่เร่งควบคุมสถานการณ์ไฟป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ

พะเยา,15 มีนาคม 2568 – เหตุการณ์ ไฟป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ จังหวัดพะเยา ยังคงสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าจากหลายหน่วยงานระดมกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่ยังคงพบ จุดความร้อน (Hotspot) มากกว่า 40 จุด ในพื้นที่ โดยเฉพาะใน อำเภอปง เชียงม่วน และจุน ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่อนุรักษ์สำคัญของภาคเหนือ

นายฉกาจ เทพทองปัน หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าพะเยา รายงานว่า เจ้าหน้าที่จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าปฏิบัติการดับไฟป่าตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2568 โดยดำเนินการลาดตระเวนและพักแรมในป่า เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์และเร่งดับไฟ

จากจำนวน 23 จุดความร้อน ขณะนี้สามารถควบคุมได้แล้ว 18 จุด เหลืออีก 5 จุด ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติการ โดยคาดว่าจะสามารถดับไฟได้ทั้งหมดภายในวันนี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังคงพบไข่นกยูงไทยที่ถูกไฟไหม้ สะท้อนถึงผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบนิเวศในพื้นที่

ไฟป่าพะเยายังรุนแรง จุดความร้อนสะสมสูงสุดของภาคเหนือ

สาเหตุหลักมาจากการล่าสัตว์และหาของป่า

นางลักษวรรณ พวงไม้มิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า สาเหตุหลักของไฟป่าที่เกิดขึ้นในจังหวัดพะเยา มาจากการลักลอบจุดไฟเพื่อล่าสัตว์ และหาของป่า ส่งผลให้พื้นที่ป่าถูกทำลายอย่างต่อเนื่องและกระทบต่อสัตว์ป่าหลายชนิด โดยเฉพาะ นกยูงไทย ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง

จังหวัดพะเยาได้ประกาศ ปิดป่าทุกพื้นที่ เพื่อควบคุมสถานการณ์ พร้อมดำเนินมาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด หากพบผู้กระทำผิดจะถูกดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น

มาตรการเร่งด่วนในการควบคุมไฟป่า

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยาได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่า โดยมีการตั้ง ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ณ ศาลากลางจังหวัดพะเยา และสั่งการให้ ทุกอำเภอเร่งดับไฟและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

ในอำเภอเชียงม่วน ได้สั่งการให้ ผู้นำชุมชนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ยม ดำเนินการดับไฟป่าบริเวณ ป่าบ้านบ่อต้นสัก หมู่ 10 ตำบลบ้านมาง อย่างไรก็ตาม การควบคุมไฟเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากพื้นที่เกิดไฟป่าเป็นภูเขาสูงชันและมีลมพัดแรง

ล่าสุด ช่วงบ่ายของวันนี้ จังหวัดพะเยายังคงพบ จุดความร้อน 25 จุด โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเวียงลอ, อุทยานแห่งชาติดอยภูนาง และป่าสงวนแห่งชาติในอำเภอปง

มาตรการป้องกันและแนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่าในระยะยาว

แนวทางปฏิบัติของหน่วยงานรัฐ

  1. บูรณาการหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน – ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายปกครอง อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อส.) เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ผู้นำชุมชน กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ร่วมปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและควบคุมไฟป่า
  2. ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังในจุดเสี่ยง – ให้หน่วยเผชิญเหตุเร่งดำเนินการดับไฟให้สนิท และเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไฟปะทุซ้ำ
  3. เข้มงวดมาตรการด้านกฎหมาย – กำชับให้ทุกอำเภอ ดำเนินการตรวจสอบและลงโทษผู้ที่ลักลอบจุดไฟป่าหรือกระทำผิดกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไฟป่าในพะเยา

  • จำนวนจุดความร้อนที่พบในจังหวัดพะเยา 40 จุด (สูงสุดในภาคเหนือ)
  • จุดความร้อนสะสมตั้งแต่ต้นปี 1,253 จุด
  • อำเภอที่พบจุดความร้อนมากที่สุด:
    • อำเภอปง 17 จุด
    • อำเภอเชียงม่วน 8 จุด
    • อำเภอจุน 7 จุด
  • หน่วยงานที่เข้าร่วมภารกิจดับไฟป่าทั้งหมด 90 นาย
  • พื้นที่ไฟป่าที่เกิดจากการลักลอบล่าสัตว์และหาของป่า มากกว่า 60% ของพื้นที่ทั้งหมด
  • จำนวนจุดความร้อนใน 17 จังหวัดภาคเหนือ 113 จุด โดย พะเยาสูงสุด 40 จุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา / สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดพะเยา/ กองทัพภาคที่ 3 / ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

“เวียดนาม” ปั้นคนเก่ง เรียนอังกฤษ 100% ปี 2035

เวียดนามตั้งเป้าใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง 100% ภายในปี 2035

กระทรวงศึกษาธิการเวียดนามเดินหน้าพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียน

ฮานอย, เวียดนาม 15 มีนาคม 2568 – กระทรวงศึกษาธิการและการฝึกอบรมของเวียดนาม (MoET) ประกาศเป้าหมายให้ วิชาศึกษาทั่วไป’ (GenEd) ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง 100% ภายในปี 2035 พร้อมวางแนวทางพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอนตั้งแต่ปี 2025-2035 โดยมีแผนยุทธศาสตร์ขยายวิสัยทัศน์ถึงปี 2045

แผนการดังกล่าวมีเป้าหมายให้ภาษาอังกฤษถูกนำมาใช้ในโรงเรียนทุกแห่งที่ใช้ภาษาเวียดนามเป็นภาษาหลัก โดยภาษาจะถูกใช้สื่อสารอย่างแพร่หลายทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน และการวิจัย พร้อมกำหนดระดับการเรียนภาษาอังกฤษเป็น 6 ระดับ เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนภาษาอังกฤษในระดับที่เหมาะสม

เป้าหมายหลักของโครงการ

ระดับก่อนวัยเรียน

  • ภายในปี 2035 โรงเรียนอนุบาลทุกแห่งจะต้องจัดสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองให้กับเด็กอายุ 3-5 ปี ให้ครอบคลุม 100%
  • ภายในปี 2045 ภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่สองในทุกระดับการศึกษา รวมถึงสถานศึกษาระดับอนุบาลและเนอสเซอรี่

ระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษา – มัธยมศึกษา)

  • ภายในปี 2035 นักเรียนทุกคนจะเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรระดับ 1, 2 และ 3
  • ภายในปี 2045 โรงเรียนทุกแห่งจะสอนภาษาอังกฤษระดับ 4, 5 และ 6 เพื่อเสริมสร้างทักษะที่สูงขึ้น

ระดับมหาวิทยาลัยและอาชีวศึกษา

  • ทุกมหาวิทยาลัยจะต้องเปิดสอนภาษาอังกฤษระดับ 4, 5 และ 6 ในฐานะภาษาที่สอง
  • สถาบันอาชีวศึกษาอย่างน้อย 50% จะต้องเปิดสอนวิชาอื่นๆ หรือบางส่วนของหลักสูตรเป็นภาษาอังกฤษ

แนวทางพัฒนาการศึกษาและระบบสนับสนุนครู

กระทรวงศึกษาธิการเวียดนามยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากร โดยมีแผน:

  • ปรับปรุงกรอบการเรียนการสอนและพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษ
  • ฝึกอบรมและพัฒนาครูภาษาอังกฤษให้เพียงพอต่อความต้องการ
  • จัดหา ตำราเรียน สื่อการเรียนรู้ และเทคโนโลยีสนับสนุน เพื่อช่วยพัฒนาการเรียนการสอน
  • ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดช่องว่างทางการศึกษาและเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา

ฝั่มหง็อกตวง รองรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของระบบการศึกษาเวียดนาม โดยภาษาอังกฤษจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ประเทศสามารถบูรณาการสู่เศรษฐกิจโลกได้ง่ายขึ้น”

รองศาสตราจารย์ เหงียนวันเตรา รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยการศึกษาแห่งชาติฮานอย เสริมว่า โครงการนี้ต้องกำหนดบทบาทและแนวทางของระบบอุดมศึกษาให้ชัดเจน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาศาสตร์ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาครูและระบบการเรียนรู้”

ด้าน ดร.เหงียนทันห์บิ่ญ จากมหาวิทยาลัยการศึกษานครโฮจิมินห์ ได้เน้นย้ำว่า โครงการนี้ควรให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมในการเข้าถึงของนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล และลดความเหลื่อมล้ำในคุณสมบัติของครูทั่วประเทศ”

แผนปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

กระทรวงศึกษาธิการเวียดนามได้ดำเนินการทดสอบโครงการนำร่องในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนบางแห่งแล้ว พร้อมจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและภาคส่วนต่างๆ ในการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง

ในระยะยาว รัฐบาลวางแผน ขยายความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างการฝึกอบรมครูและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการจัดตั้งพันธมิตรด้านการศึกษาและวิจัยกับสถาบันการศึกษาชั้นนำระดับโลก

ข้อท้าทายที่ต้องเผชิญ

แม้ว่าแผนยุทธศาสตร์นี้จะได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย แต่ยังมีประเด็นที่ต้องแก้ไข ได้แก่:

  • การขาดแคลนครูที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
  • ความแตกต่างของโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาในแต่ละภูมิภาค ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ
  • ความต้องการงบประมาณสูง สำหรับการพัฒนาเนื้อหาหลักสูตร การฝึกอบรมครู และการจัดหาทรัพยากรทางการศึกษา

สถิติที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

  • จำนวนโรงเรียนที่วางแผนให้สอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองภายในปี 2035: 100% ของโรงเรียนภาคบังคับ
  • เป้าหมายครอบคลุมเด็กอายุ 3-5 ปีที่เรียนภาษาอังกฤษในระดับอนุบาล: 100% ภายในปี 2035
  • เป้าหมายครูที่ต้องได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อสอนภาษาอังกฤษ: มากกว่า 500,000 คน
  • สัดส่วนสถาบันอาชีวศึกษาที่ต้องเปิดสอนหลักสูตรเป็นภาษาอังกฤษ: อย่างน้อย 50% ภายในปี 2045
  • งบประมาณที่คาดการณ์สำหรับแผนพัฒนาภาษาอังกฤษในระบบการศึกษา: มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงศึกษาธิการและการฝึกอบรมเวียดนาม (MoET)/ มหาวิทยาลัยการศึกษาแห่งชาติฮานอย/ มหาวิทยาลัยการศึกษานครโฮจิมินห์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรอเยียวยาผู้นำฝ่ายค้าน ทวงเงินรัฐ

เชียงรายเร่งรับมือน้ำท่วมปี 2568 ฝ่ายค้านลงพื้นที่ติดตามแผนฟื้นฟู-ทวงเงินเยียวยาประชาชน

ติดตามแผนรับมืออุทกภัยและฟื้นฟูพื้นที่ชายแดน

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมด้วย นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์, นางสาวจุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม, นายฐากูร ยะแสง, นางสาวสิริลภัส กองตระการ, นายเจษฎา ดนตรีเสนาะ, นายปารมี ไวจงเจริญ, และนายกรุณพล เทียนสุวรรณ ลงพื้นที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามแผนรับมือน้ำท่วมปี 2568 และแนวทางการฟื้นฟูพื้นที่หลังเหตุการณ์อุทกภัยใหญ่ในปี 2567

แผนป้องกันน้ำท่วมแม่สายและแนวทางขุดลอกลุ่มน้ำ

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย รายงานต่อคณะผู้แทนเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ โดยระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซากมาจาก ลำน้ำตื้นเขิน, สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำชายแดน และปริมาณฝนที่ตกหนักเกินค่าเฉลี่ย ทำให้ต้องมีการขุดลอกลำน้ำสายและลำน้ำรวกอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือไทย-เมียนมาในการขุดลอกลำน้ำสาย

ปัจจุบัน ฝ่ายเมียนมา ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแผ่นดินไปแล้ว 20 จุด ส่วนไทยรื้อถอนไปแล้ว 7 จุด และอยู่ระหว่างรอการอนุมัติงบประมาณขุดลอกแม่น้ำสายจากรัฐบาลเมียนมา คาดว่าจะได้รับอนุมัติในเดือนเมษายน 2568 ขณะที่ ฝ่ายไทย ได้จัดสรรงบประมาณ 70 ล้านบาท สำหรับขุดลอกลำน้ำรวก ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการขออนุมัติจากสำนักงบประมาณ

ปัญหาเหมืองแร่และผลกระทบต่ออุทกภัย

นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย ชี้ว่า การทำเหมืองแร่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลำน้ำตื้นเขิน เนื่องจากการขุดเหมืองส่งผลให้ตะกอนดินไหลลงสู่ลำน้ำ และทำให้ต้องมีการขุดลอกแม่น้ำทุกปีเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม หากไม่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ปัญหาน้ำท่วมก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาการเยียวยาผู้ประสบภัย: เงินยังไม่ถึงมือประชาชน

นางสาวจุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม สส. เชียงราย พรรคประชาชน ตั้งคำถามเกี่ยวกับ เงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งยังคงล่าช้าอยู่ในกระบวนการของรัฐบาล โดยงบประมาณการฟื้นฟูที่ เทศบาลและอำเภอเชียงรายเสนอจำนวน 134 ล้านบาท ต้องรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งทำให้การจ่ายเงินช่วยเหลือล่าช้าและประชาชนเดือดร้อน

ขณะเดียวกัน เกษตรกรในพื้นที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 197 ล้านบาท สำหรับการฟื้นฟูพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ขาดระบบเตือนภัยลำน้ำกกและแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่าระบบเตือนภัยในพื้นที่ ยังไม่ครอบคลุม โดยแม่น้ำกกมีต้นน้ำมาจากเมียนมาและไหลผ่านเมืองเชียงราย ซึ่งปัจจุบันใช้ สถานีวัดระดับน้ำโทรมาตรเพียง 2 แห่ง ได้แก่ที่ อำเภอเมืองเชียงราย และบ้านท่าตอน ซึ่งยังไม่เพียงพอในการคาดการณ์และแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม

ทาง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ได้วางแผน ติดตั้งสถานีวัดระดับน้ำเพิ่มเติม 4 จุด และอยู่ระหว่างขออนุมัติงบประมาณเพื่อเสริมสร้างระบบเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แผนขุดลอกลำน้ำและพัฒนาโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม

กรมชลประทานเชียงราย รายงานว่า ได้มีการศึกษาแนวทางระบายน้ำ 2 แนวทาง เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ ได้แก่:

  1. แนวทางที่ 1 ขุดลอกแม่น้ำกกและทำทางระบายน้ำอ้อมสนามบิน ลงสู่แม่น้ำกกตอนปลาย
  2. แนวทางที่ 2 ขุดลอกแม่น้ำกกให้ไหลผ่านฝั่งขวาของเมืองเชียงรายไปยังถนนบายพาส เพื่อลดความเสี่ยงของการท่วมตัวเมือง

นอกจากนี้ อำเภอแม่สาย มีแผนขุดลอกลำน้ำความยาว 2,800 เมตร ร่วมกับกรมการทหารช่างและรัฐบาลเมียนมา เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนเข้าฤดูฝน

ความท้าทายในการแก้ปัญหา: มีแผนแต่ขาดงบประมาณ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า จังหวัดมีแผนรับมืออุทกภัยอย่างชัดเจนในทุกพื้นที่ แต่ปัญหาหลักคือ ขาดงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้โครงการสำคัญหลายโครงการไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทางด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่าปัญหาสำคัญคือระบบการจัดสรรงบประมาณที่ รวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาลกลาง ซึ่งทำให้กระบวนการอนุมัติล่าช้า พรรคประชาชนจึงเสนอให้มีการกระจายอำนาจการบริหารงบประมาณไปยังจังหวัดมากขึ้น เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและทันท่วงที

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในเชียงรายปี 2567: มากกว่า 35,000 ครัวเรือน
  • งบประมาณที่ต้องการใช้ในการฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย: 134 ล้านบาท
  • จำนวนครัวเรือนที่รอรับเงินเยียวยา 9,000 บาทต่อครัวเรือน: 35,000 ครัวเรือน
  • แผนขุดลอกแม่น้ำกกและลำน้ำสายที่ต้องใช้ภายในปี 2568: กว่า 3,500 เมตร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย / กรมชลประทาน / สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พอ.สว.เชียงราย แพทย์เคลื่อนที่ เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง

เชียงรายออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ดูแลประชาชนพื้นที่ห่างไกล พร้อมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียง

ให้บริการทางการแพทย์ทั่วถึงแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายดำเนินโครงการ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 11 ประจำปี 2568 เพื่อนำบริการทางการแพทย์ไปสู่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียงและครอบครัวที่มีฐานะยากจน ณ โรงเรียนบ้านห้วยน้ำเย็น หมู่ที่ 11 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม โดยมี นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายณรงค์ ลือชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และ นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลด้านสุขภาพอย่างใกล้ชิด

มอบถุงยังชีพและสนับสนุนสวัสดิการแก่ครอบครัวรายได้น้อย

ภายในงานมีการมอบ ถุงยังชีพจากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และ แม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยประกอบด้วย ข้าวสารจากวัดห้วยปลากั้ง ผ้าห่มกันหนาวจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และพันธุ์ปลาจากสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ ยังมีการมอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ยังได้ร่วมประชุมเสวนากับ นายอำเภอแม่สรวย หัวหน้าส่วนราชการ และผู้นำท้องที่ เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน โดยมีการวางแผนสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ

ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีเปิดกิจกรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายและคณะทำงาน ได้เดินทางไป เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุจำนวน 5 ราย ในพื้นที่บ้านห้วยน้ำเย็น ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย เพื่อรับฟังปัญหาและให้การสนับสนุนสวัสดิการที่จำเป็น เช่น การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ การดูแลด้านโภชนาการ และการส่งเสริมสุขภาพ

บ้านห้วยน้ำเย็น หมู่ที่ 11 ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 75 กิโลเมตร และห่างจากที่ว่าการอำเภอเวียงป่าเป้าประมาณ 30 กิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างทั่วไป ซึ่งทำให้การเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาชนในพื้นที่

ส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและป้องกันโรค

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการ ส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ทุรกันดาร และเป็นการปฏิบัติตามพระปณิธานของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ต้องการให้ประชาชนทุกคนสามารถได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ทางจังหวัดเชียงรายยังได้เน้นย้ำถึง มาตรการควบคุมการเผาในที่โล่ง ซึ่งมีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 รวม 92 วัน เพื่อควบคุมระดับฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนประชาชนที่ได้รับบริการจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 11: มากกว่า 500 คน
  • จำนวนผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุที่ได้รับการเยี่ยมบ้าน: 5 ราย
  • ระยะทางจากตัวเมืองเชียงรายถึงบ้านห้วยน้ำเย็น: 75 กิโลเมตร
  • อัตราผู้สูงอายุในตำบลวาวีที่ต้องการการดูแลสุขภาพระยะยาว: ประมาณ 20% ของประชากรในพื้นที่
  • ระยะเวลาห้ามเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ: 92 วัน (1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย / องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE