Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

MFU Coffee Fest 2025 ยกระดับกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน

มฟล. จัดงาน MFU Coffee Fest 2025 ดันอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงเกษตร-ธุรกิจ-นวัตกรรม

เชียงราย, 22 มีนาคม 2568 – มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยส่วนจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม สถาบันวิจัยและนวัตกรรม จัดงาน “MFU Coffee Fest 2025” อย่างคึกคัก ณ โรงแรมแสนโฮเทล จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมการแปรรูปกาแฟอะราบิกาและยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานราชการและภาคเอกชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-23 มีนาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชกาแฟอะราบิกาผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิชาการ นวัตกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมการแปรรูปกาแฟในระดับชุมชนให้มีศักยภาพในระดับประเทศและสากล

ภาคเหนือ: หัวใจของกาแฟอะราบิกาไทย

จากข้อมูลของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งครอบคลุมจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่เพาะปลูกกาแฟอะราบิกาที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีผลผลิตกาแฟอะราบิการวมประมาณ 9,000 ตัน และกว่า 3,000 ตันมาจากกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือตอนบนนี้

นายชรินทร์กล่าวว่า “การพัฒนากาแฟไทยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย เกษตรกร และภาคธุรกิจ โดยการใช้องค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาจะช่วยยกระดับคุณภาพกาแฟให้ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

กิจกรรมวิชาการเข้มข้น เสริมทักษะผู้ประกอบการ-นักวิจัย

ภายในงาน MFU Coffee Fest 2025 มีกิจกรรมทางวิชาการที่หลากหลาย เช่น การประชุมวิชาการเรื่อง “ทิศทางการวิจัยกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน” การเสวนาในหัวข้อสำคัญ เช่น การจัดการสวนกาแฟภายใต้ภาวะโลกร้อน การใช้วัสดุเหลือใช้จากกระบวนการแปรรูป และการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากกาแฟเพื่อเพิ่มมูลค่า

อีกทั้งยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้มีส่วนร่วม เช่น การผสมน้ำหอมจากกลิ่นกาแฟ การทำเทียนหอม และบอดี้ออยล์จากสารสกัดกาแฟ รวมถึงคราฟต์โซดาจากเปลือกเชอร์รี่กาแฟ ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดการใช้วัตถุดิบอย่างครบวงจร ลดของเสีย เพิ่มมูลค่าอย่างสร้างสรรค์

เวทีแข่งขันสร้างความตื่นตัว “MFU ท้าชงชวนดริป”

สำหรับผู้ชื่นชอบการชงกาแฟ งานนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษอย่างการแข่งขันดริปกาแฟ “MFU ท้าชงชวนดริป 2025” ที่เปิดโอกาสให้นักชงกาแฟทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพได้ประชันฝีมือและสร้างชื่อเสียง พร้อมกับกิจกรรม Sensory Test และ Cupping Lab ที่เปิดให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์วิเคราะห์รสชาติและกลิ่นของกาแฟสายพันธุ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด

Coffee Connect เวทีจับคู่ธุรกิจเชื่อมโยงตลาด-เกษตรกร

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานคือกิจกรรม Coffee Connect ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการกาแฟ โกโก้ และชา ได้พบปะ เจรจาธุรกิจ และสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากต่างประเทศ โดยเน้นการสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์และการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่ตลาดสากล

ตลอดสองวันของการจัดงาน มีผู้ประกอบการกว่า 40 รายจากทั่วประเทศมาออกร้านแสดงสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกาแฟคั่วบด เมล็ดกาแฟสด ผลิตภัณฑ์แปรรูป รวมถึงอุปกรณ์การชงกาแฟและสินค้าจากวัตถุดิบท้องถิ่นในภาคเหนือ

มุมมองจากทั้งสองฝ่าย: โอกาส-ความท้าทายของกาแฟไทย

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเวทีให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการกาแฟได้แสดงศักยภาพของตน ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าและการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อก้าวสู่ตลาดที่มีการแข่งขันสูง อีกทั้งการส่งเสริมให้ปลูกกาแฟใต้ร่มเงาไม้ยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดการเผาป่า และเป็นเกษตรกรรมเชิงอนุรักษ์ที่ยั่งยืน

ในอีกด้านหนึ่ง นักวิชาการบางรายมีความเห็นว่า แม้การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยจะช่วยสร้างนวัตกรรม แต่เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากยังขาดเครื่องมือและทุนในการเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าว อีกทั้งตลาดกาแฟในประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาราคาผันผวน และความท้าทายในการเจาะตลาดต่างประเทศ ซึ่งต้องการมาตรฐานและคุณภาพระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ผลผลิตกาแฟอะราบิกาทั่วประเทศ ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 9,000 ตัน
    (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2567)
  • พื้นที่เพาะปลูกกาแฟภาคเหนือตอนบน 2 คิดเป็นสัดส่วนกว่า 35% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั้งประเทศ
    (ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร, 2567)
  • แนวโน้มการบริโภคกาแฟในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 5-7% ต่อปี
    (ที่มา: ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, 2567)
  • การปลูกกาแฟใต้ร่มไม้สามารถช่วยลดการเผาป่าได้ถึง 60% และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ปลูก
    (ที่มา: สำนักวิจัยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมป่าไม้, 2566)
  • ประเทศไทยมีผู้ประกอบการกาแฟรายย่อยกว่า 10,000 ราย ทั่วประเทศ
    (ที่มา: สมาคมกาแฟพิเศษไทย, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • สำนักวิจัยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมป่าไม้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายยกระดับ รพ.สต. มีทันตกรรม-ช่วยผู้พิการ

อบจ.เชียงราย เดินหน้ายกระดับ รพ.สต.บุญเรือง มอบยูนิตทันตกรรม พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและผู้พิการในพื้นที่

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย เดินหน้านำนโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ (โฮงยาใกล้บ้าน Plus)” ลงสู่การปฏิบัติจริง ด้วยการส่งมอบยูนิตบริการทันตกรรมให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บุญเรือง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พร้อมลงพื้นที่ให้กำลังใจผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะกึ่งเฉียบพลัน ภายใต้โครงการปรับสภาพบ้านเพื่อผู้มีภาวะพึ่งพิง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

พิธีส่งมอบจัดขึ้นเมื่อเวลา 16.00 น. โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย ร่วมกันแสดงความยินดีและมอบกำลังใจแก่ผู้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว

ยูนิตทำฟัน “ใกล้บ้าน” เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ คือการส่งมอบยูนิตทันตกรรมให้แก่ รพ.สต.บุญเรือง ซึ่งถือเป็นหน่วยบริการแห่งแรกของจังหวัดเชียงรายที่มีทันตแพทย์จากโรงพยาบาลประจำอำเภอหมุนเวียนให้บริการทันตกรรมแบบครบวงจร ได้แก่ การตรวจฟัน อุด ขูดหินปูน ถอนฟัน ไปจนถึงการใส่ฟันปลอม

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ เปิดเผยว่า “เรามุ่งหวังให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมได้ใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไกล ลดภาระค่าใช้จ่าย และยังช่วยส่งเสริมสุขภาพช่องปากซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว”

โครงการปรับสภาพบ้าน สร้างความเท่าเทียมในการดำรงชีวิต

นอกเหนือจากบริการด้านทันตกรรมแล้ว อบจ.เชียงราย ยังร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ตำบลบุญเรือง อาทิ เทศบาลตำบลบุญเรือง กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการ รพ.สต. และเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพฯ ลงพื้นที่มอบบ้านที่ปรับสภาพแล้วให้แก่ผู้มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งรวมถึงผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะกึ่งเฉียบพลัน

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้บุคคลเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น ผ่านการจัดสภาพแวดล้อมในที่อยู่อาศัย เช่น การติดตั้งราวจับ ทางลาด ห้องน้ำปลอดภัย รวมถึงการมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ เช่น เตียงนอนที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย

ความร่วมมือของทุกภาคส่วน คือหัวใจของความสำเร็จ

นางวาสนา ลำเปิงมี สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 2 อำเภอเชียงของ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความสำเร็จของโครงการในวันนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และชุมชนที่ร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง”

โครงการนี้ไม่เพียงมุ่งหวังให้เกิดการปรับปรุงเชิงกายภาพเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนในการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงอย่างยั่งยืน

สะท้อนนโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” ในทางปฏิบัติ

นโยบาย “โฮงยาใกล้บ้าน Plus” เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญของ อบจ.เชียงราย ที่ต้องการยกระดับ รพ.สต. ให้กลายเป็นศูนย์สุขภาพชุมชนที่มีความพร้อมในการให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง และครอบคลุมทั้งมิติทางการแพทย์ พยาบาล ทันตกรรม และการฟื้นฟูสมรรถภาพ

ในอนาคต อบจ.เชียงรายมีแผนขยายบริการรูปแบบเดียวกันนี้ไปยัง รพ.สต. แห่งอื่นทั่วจังหวัด โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่กับการฝึกอบรมบุคลากรให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนในแต่ละพื้นที่

ทัศนะจากทั้งสองฝ่าย: มิติที่แตกต่างแต่ร่วมสร้างสรรค์

ฝ่ายสนับสนุนโครงการ เห็นว่าแนวทางของ อบจ.เชียงราย เป็นแบบอย่างที่ดีของการกระจายบริการสาธารณสุขอย่างเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพ และสร้างมาตรฐานชีวิตที่ดีให้แก่ผู้เปราะบางในสังคม

อีกมุมหนึ่งของการวิพากษ์ มีข้อเสนอว่าการดำเนินโครงการลักษณะนี้ควรมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพยากรที่ลงไปในพื้นที่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บางความเห็นยังตั้งข้อสังเกตว่าควรมีการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ และรายงานความคืบหน้าสู่สาธารณะเพื่อสร้างความโปร่งใส

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนประชากรในพื้นที่ตำบลบุญเรือง อำเภอเชียงของ ปี 2567 มีประมาณ 8,540 คน โดยมีผู้สูงอายุร้อยละ 20.3% และผู้พิการที่ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานรัฐมากกว่า 215 คน
    (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเชียงของ, 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีจำนวน รพ.สต. ทั้งหมด 192 แห่ง โดยมีเพียง 8 แห่ง ที่มีทันตแพทย์ประจำแบบหมุนเวียน
    (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • ในปีงบประมาณ 2566 กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย สนับสนุนการปรับปรุงบ้านสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงไปแล้ว 78 ครัวเรือน และคาดว่าในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 120 ครัวเรือน
    (ที่มา: กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย, 2567)
  • จากผลสำรวจปี 2566 พบว่า ผู้สูงอายุในพื้นที่เชียงรายที่มีปัญหาด้านการเข้าถึงบริการทันตกรรม ร้อยละ 64.7%
    (ที่มา: ศูนย์วิจัยสุขภาพชุมชนภาคเหนือ, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเชียงของ
  • ศูนย์วิจัยสุขภาพชุมชนภาคเหนือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ศิลปะต้านฝุ่นเชียงราย สร้างหุ่นไล่กา สื่อผลกระทบเผาป่า

เชียงรายเปิดตัว “ศิลป์ ล่องกอง” รวมศิลปิน 18 อำเภอ ร่วมสร้างงานประติมากรรมร่วมสมัย สะท้อนปัญหาหมอกควันและไฟป่า

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย กลุ่มศิลปินจากทั้ง 18 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมมือกันจัดแสดงผลงานภายใต้ชื่อ “ศิลป์ ล่องกอง” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและผลกระทบของปัญหาไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือ ผ่านประติมากรรมร่วมสมัย “หุ่นไล่กายักษ์” (Giant Puppet) อันทรงพลังทางศิลปะและความหมาย

กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม โดยโครงการ “ศิลป์ ล่องกอง” ได้รับรางวัลดีเด่นจากการประกวดข้อเสนอโครงการเพื่อพัฒนาเมืองแห่งศิลปะ ปี 2568 และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาศักยภาพชุมชนสู่การเป็นเมืองแห่งศิลปะประจำปี พ.ศ. 2568

หุ่นไล่กายักษ์ สื่อสร้างสรรค์จากรากวัฒนธรรมสู่สังคมร่วมสมัย

ผลงานหุ่นไล่กายักษ์ทั้ง 18 ชิ้น ถูกออกแบบและสร้างสรรค์โดยศิลปินในแต่ละอำเภอ โดยนำองค์ความรู้และศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นผสมผสานกับการออกแบบร่วมสมัย เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของชุมชน พร้อมกับส่งสารสังคมในประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาหมอกควัน PM2.5 และไฟป่าที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

การจัดแสดงเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเมษายน 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาวิกฤตของการเฝ้าระวังปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และพื้นที่โดยรอบของภาคเหนือ

ศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อม ก้าวใหม่ของเชียงรายสู่เมืองศิลปะระดับประเทศ

ภายในงาน ยังมีการจัดกิจกรรม Art Workshop ภายใต้ชื่อ “หน้ากากแห่งสายลม” ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมเรียนรู้และสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยตนเอง พร้อมทั้งกิจกรรมเสวนา “วงคุย มุมคิด ฟังเสียงไฟ คุยเรื่องฝุ่น” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญและศิลปินท้องถิ่นมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ

นางเกษร กำเนิดเพ็ชร รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารสังคมอย่างสร้างสรรค์ โดยอาศัยพลังจากศิลปินท้องถิ่นเพื่อสะท้อนปัญหาที่ประชาชนต้องเผชิญอย่างใกล้ชิดในชีวิตประจำวัน

การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น จุดประกายจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม

ผลงานทั้งหมดได้รับความร่วมมือจากชุมชนในแต่ละอำเภอ ซึ่งได้ให้ข้อมูล วัสดุท้องถิ่น และร่วมแสดงความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผลงานศิลปะเหล่านี้ไม่เพียงแต่สื่อสารในเชิงสัญลักษณ์ หากยังสะท้อนถึงจิตวิญญาณของผู้คนในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

นายกสมาคมขัวศิลปะ ในฐานะผู้สนับสนุนพื้นที่จัดงาน ระบุว่า การใช้หุ่นไล่กา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องพืชผลจากศัตรูพืชในอดีต มาแปลงเป็น “หุ่นไล่กายักษ์” สื่อถึงการเฝ้าระวังและต่อต้าน “ยักษ์ใหญ่” ที่เป็นปัญหาในยุคใหม่อย่างหมอกควัน PM2.5 และการลักลอบเผาป่า ถือเป็นการตีความใหม่ของสัญลักษณ์แบบมีพลัง

ถนนหอศิลป์ กลายเป็นแกลเลอรีกลางแจ้งของศิลปะเพื่อสังคม

หนึ่งในจุดเด่นของโครงการ “ศิลป์ ล่องกอง” คือการนำผลงานหุ่นไล่กายักษ์จำนวน 18 ชิ้น จัดแสดงในพื้นที่สาธารณะตลอดแนวถนนหอศิลป์ ซึ่งไม่เพียงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชื่นชมงานศิลปะ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และตั้งคำถามถึงบทบาทของศิลปะในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

มุมมองที่แตกต่าง: ศิลปะกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ฝ่ายสนับสนุน มองว่าการจัดงาน “ศิลป์ ล่องกอง” เป็นการใช้พลังของศิลปะท้องถิ่นในการสร้างจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรังอย่างหมอกควันและการเผาป่า ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรณรงค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยเครื่องมือทางวัฒนธรรมเพื่อสื่อสารกับประชาชนในระดับรากหญ้า

อีกมุมหนึ่ง มีความเห็นว่าศิลปะเพียงอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับกลไกเศรษฐกิจและความยากจนที่ผลักดันให้ชาวบ้านบางส่วนต้องพึ่งพาการเผาป่าเพื่อเกษตรกรรม การลงทุนในงานศิลปะจึงอาจไม่คุ้มค่าหากขาดนโยบายที่ชัดเจนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • พื้นที่ป่าในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากการเผาในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน ปี 2566 รวมกว่า 15,000 ไร่ (สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย, 2566)
  • ค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในอำเภอแม่จัน ช่วงต้นเดือนเมษายน ปี 2567 พุ่งสูงกว่า 165 µg/m³ (กรมควบคุมมลพิษ, 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีศิลปินที่ขึ้นทะเบียนกับสมาคมขัวศิลปะมากกว่า 300 คน จากทั้ง 18 อำเภอ (สมาคมขัวศิลปะ, 2567)
  • โครงการพัฒนาเมืองศิลปะภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยในปีงบประมาณ 2568 ได้รับการสนับสนุนกว่า 120 ล้านบาท ทั่วประเทศ (สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย, 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไทย-จีนกระชับสัมพันธ์ เร่งแก้ปัญหาน้ำโขงชายแดนเชียงราย

รมว.ทรัพยากรน้ำจีนเยือนเชียงราย กระชับความร่วมมือบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – นายหลี่ กั๋วอิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ เดินทางเยือนจังหวัดเชียงราย เพื่อลงพื้นที่ศึกษาและติดตามความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำชายแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง – แม่น้ำรวก – แม่น้ำสาย พร้อมหารือแนวทางพัฒนาโครงการป้องกันอุทกภัยและแล้ง ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation: MLC)

ในการนี้ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้การต้อนรับอย่างเป็นทางการ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมต้อนรับและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ชายแดนตอนบนของประเทศไทย

เชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีน พัฒนาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

การลงพื้นที่ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับจีนในด้านการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งครอบคลุมทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเทคโนโลยี และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้จัดสรร “กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (MLC Special Fund)” เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เสนอโดยประเทศสมาชิกในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย

สถานีตรวจวัดน้ำเชียงแสน จุดยุทธศาสตร์สำคัญของความร่วมมือ

นายหลี่ กั๋วอิง และคณะได้ลงพื้นที่สถานีตรวจวัดน้ำเชียงแสน ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยสถานีดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบระดับน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ใช้สำหรับการวางแผนป้องกันอุทกภัย และภัยแล้งของทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ระหว่างไทยและจีน มีส่วนสำคัญในการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า

ลุ่มน้ำรวก-แม่น้ำสาย ปัญหาน้ำท่วม-แล้ง สร้างผลกระทบต่อประชาชน

แม่น้ำรวกและแม่น้ำสาย เป็นแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศคดเคี้ยวผ่านที่ราบลุ่มและเขาสูง ทำให้ในฤดูฝนมักเกิดน้ำหลากรุนแรง ส่งผลให้น้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรมและเขตชุมชนทั้งสองฝั่งประเทศ ส่วนฤดูแล้งกลับประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง

ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยได้ดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับฝ่ายจีนและเมียนมา เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำข้ามพรมแดน ทั้งในด้านการแจ้งเตือนภัยและการวางระบบโครงสร้างพื้นฐาน

ไทย-จีน-เมียนมา ร่วมผลักดันโครงการเสริมสร้างการปรับตัวของชุมชนเมือง

หนึ่งในโครงการสำคัญที่กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลจีน คือ “โครงการเสริมสร้างการปรับตัวของชุมชนเมืองต่อภาวะอุทกภัยภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า การประเมินความต้องการของชุมชน การพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจ และการอบรมเพื่อเสริมศักยภาพชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วม 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย เมียนมา และจีน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในระดับภูมิภาค

ลงพื้นที่ศึกษาผลกระทบอุทกภัยในแม่สาย – ท่าขี้เหล็ก

ก่อนหน้านี้ ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2567 คณะผู้แทนจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และผู้แทนจากจีน ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์และประเมินความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น รวมถึงสำรวจโครงสร้างพื้นฐานในจุดเสี่ยง เช่น สถานีสูบน้ำ สะพานข้ามแม่น้ำ และตลาดท้องถิ่น

ภาพรวมของการสำรวจและประชุมหารือในครั้งนั้น นำไปสู่ข้อเสนอเบื้องต้นเพื่อวางแผนติดตั้งสถานีตรวจวัดข้อมูลอุตุ – อุทกวิทยาในบริเวณต้นน้ำสาย – รวก ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ระบบแจ้งเตือนภัยในพื้นที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แสดงความเห็นสองด้านต่อความร่วมมือดังกล่าว

ฝ่ายสนับสนุนความร่วมมือไทย-จีน มองว่าการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำ จะช่วยยกระดับความสามารถของชุมชนไทยในการตั้งรับภัยพิบัติ และเป็นโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่ยังขาดการพัฒนาอย่างทั่วถึง

ฝ่ายที่มีความกังวล บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคีที่มีจีนเป็นผู้นำ อาจมีอิทธิพลต่อทิศทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภูมิภาคมากเกินไป และอาจกระทบต่ออธิปไตยด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว หากไม่มีการกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนในการแบ่งปันข้อมูลและประโยชน์ร่วมกัน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปี 2567 รวมกว่า 9,200 ไร่ (ข้อมูลจาก สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, 2567)
  • จำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละ 13,000 คน (สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย, 2567)
  • จำนวนสถานีตรวจวัดน้ำในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยที่เชื่อมโยงระบบกับจีน ปัจจุบันมี 12 แห่ง (กรมทรัพยากรน้ำ, 2568)
  • กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง (MLC Special Fund) จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการร่วมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี (สำนักงานความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • คณะกรรมการกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (MLC Secretariat)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อินฟลูฯ-ขายออนไลน์ สรรพากรเตือน ยื่นภาษี ก่อนโดนปรับหนัก

กรมสรรพากรเร่งย้ำประชาชนยื่นภาษีภายในกำหนดปี 2568 – อินฟลูเอนเซอร์-อีคอมเมิร์ซเป้าหมายหลัก

กรุงเทพฯ, 22 มีนาคม 2568 – กรมสรรพากรแจ้งเตือนประชาชนทุกกลุ่มอาชีพให้เร่งยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2567 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยผู้ที่ยื่นผ่านระบบออนไลน์ เช่น D-MyTax หรือ e-Filing จะสามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2568 พร้อมระบุว่า กลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ อีคอมเมิร์ซ และผู้ค้าขายออนไลน์ เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องได้รับการติดตามอย่างเข้มข้น หลังพบว่าเป็นกลุ่มที่หลีกเลี่ยงการยื่นภาษีสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ยอดการยื่นแบบภาษีเพิ่มขึ้น แต่ยังมีผู้เลี่ยงภาษีจำนวนมาก

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า รายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือเป็นรายได้อันดับที่สามของกรมสรรพากร โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาทต่อปี ข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 13 มีนาคม 2568 มีการยื่นแบบภาษีแล้วกว่า 7.4 ล้านแบบ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 13 โดยมีการขอคืนภาษีกว่า 3.5 ล้านแบบ คิดเป็นร้อยละ 46.9 ของจำนวนแบบที่ยื่นเข้ามาทั้งหมด และกรมฯ ได้คืนภาษีไปแล้วกว่า 82%

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่น่าห่วงคือกลุ่มที่มีรายได้แต่ไม่เคยยื่นภาษีเลย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มผู้ทำงานอิสระ และกลุ่มที่มีรายได้จากช่องทางดิจิทัล เช่น ขายของออนไลน์ ทำคอนเทนต์ รีวิวสินค้า หรืออินฟลูเอนเซอร์

อินฟลูเอนเซอร์ไม่ยื่นภาษี เสี่ยงถูกตรวจย้อนหลัง

อธิบดีกรมสรรพากรยืนยันว่า มีการติดตามการเสียภาษีของกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ ผ่านการวิเคราะห์จากข้อมูลในโซเชียลมีเดีย และพบว่าหลายรายไม่มีประวัติการยื่นภาษีย้อนหลังถึง 3-4 ปี ทั้งที่มีรายได้เข้าข่ายต้องเสียภาษี ซึ่งกรมฯ มีอำนาจตรวจสอบย้อนหลังได้ 2 ปี และขยายได้ถึง 5 ปี หากพบว่าไม่ยื่นแบบโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะต้องเสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ ซึ่งบางรายจากภาษีแค่ 10,000 บาท อาจต้องจ่ายถึง 50,000 บาท

แนวทางยื่นภาษีของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์และผู้ขายออนไลน์

กรมสรรพากรได้กำหนดแนวทางชัดเจนในการยื่นภาษีสำหรับกลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ดังนี้

  1. รายได้จากค่าจ้างทั่วไป ต้องยื่นแบบภาษีเหมือนพนักงานประจำ
  2. รายได้ที่มีต้นทุน เช่น รีวิวสินค้า สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง
  3. รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
  4. รายได้ที่ได้รับในรูปแบบสินค้า ต้องประเมินมูลค่าเทียบเท่าเงินสดและยื่นเป็นรายได้เช่นเดียวกับเงินสด

ทั้งนี้ อินฟลูเอนเซอร์ยังต้องยื่นภาษีกลางปี และสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามรายการที่กำหนดกว่า 20 รายการ โดยมีสำนักงานสรรพากรพื้นที่ และช่องทางออนไลน์ให้คำแนะนำตลอดการยื่นแบบ

กรณีตัวอย่าง “เซฟ กระทะฮ้าง” จุดกระแสดราม่าภาษีบนโซเชียล

กรณี “เซฟ กระทะฮ้าง” หรือ นายสมบูรณ์ วรรณวงศ์ อดีตเชฟโรงแรมที่ผันตัวมาเป็นครีเอเตอร์ดิจิทัล โพสต์ตัดพ้อผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับภาษีที่ต้องจ่ายเกือบ 2 แสนบาท ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นการเลี่ยงภาษีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวออกมายืนยันว่าจะจ่ายแน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบกระบวนการที่ชัดเจน

เรื่องนี้กลายเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่ทำอาชีพอิสระ หรือมีรายได้จากโลกออนไลน์ว่า แม้จะไม่มีรายได้ประจำ แต่เมื่อมีรายได้เข้าข่ายเกณฑ์ ก็ควรต้องยื่นแบบเสียภาษีอย่างถูกต้อง

ทัศนะจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายกรมสรรพากร ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งเล่นงานกลุ่มใดเป็นพิเศษ แต่ต้องดูแลความเป็นธรรมและสร้างระบบรายได้ของประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำว่าการไม่ยื่นภาษีหรือหลบเลี่ยง อาจทำให้ต้องเผชิญกับค่าปรับจำนวนมากในอนาคต

ฝ่ายประชาชนและผู้เสียภาษี บางส่วนมีความกังวลว่าหากเข้าระบบแล้วจะถูกเรียกเก็บย้อนหลัง จึงเลือกไม่ยื่นแบบภาษี ขณะเดียวกันบางรายยังขาดความรู้ในการยื่นแบบภาษี ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

บทลงโทษสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตาม

อธิบดีกรมสรรพากรชี้แจงว่า ผู้ไม่ยื่นแบบภาษีภายในกำหนด หรือไม่ชำระภาษี จะถูกปรับไม่เกิน 2,000 บาท และต้องชำระเงินเพิ่มอัตรา 1.5% ต่อเดือน หากพบว่ามีเจตนาหลบเลี่ยงภาษี อาจถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากแจ้งข้อมูลเท็จ อาจถูกจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 200,000 บาท

สถานการณ์ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในปี 2568

ปี 2568 เป็นปีที่มีแนวโน้มการเติบโตของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์อย่างก้าวกระโดด โดยข้อมูลจาก MI GROUP คาดการณ์ว่าจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทยอาจแตะ 3 ล้านราย จากปี 2567 ที่มีประมาณ 2 ล้านราย เติบโตจากกลุ่ม Micro และ Nano Influencer ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก

ในแง่เศรษฐกิจ สื่อดิจิทัลเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าเม็ดเงินโฆษณาในปี 2568 จะอยู่ที่ 92,048 ล้านบาท โดยเฉพาะโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะมีมูลค่าแตะ 2,360 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยปีละ 10.24% จนถึงปี 2572 ตามข้อมูลจาก Statista

ความเห็นจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ

นายภวัต เรืองเดชวรชัย จาก MI GROUP ระบุว่า อินฟลูเอนเซอร์จะยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำตลาด โดยเฉพาะกลุ่ม Micro และ Nano ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้สูงในงบประมาณจำกัด ขณะที่นายศิวัตม์ วิลาสศักดานนท์ จาก AnyMind Group เผยว่า อินฟลูเอนเซอร์ไทยเข้าสู่ยุคใหม่ที่เน้นความเรียลและเข้าถึงผู้บริโภคได้จริง พร้อมระบุว่าผู้ใช้จริงและนักขายออนไลน์จะเป็นกลุ่มหลักในอนาคตของอุตสาหกรรมนี้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ยอดการยื่นภาษีถึงวันที่ 13 มีนาคม 2568: 7.4 ล้านแบบ (กรมสรรพากร, 2568)
  • อัตราขอคืนภาษี: 46.9% หรือ 3.5 ล้านแบบ (กรมสรรพากร, 2568)
  • จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทย (คาดการณ์ปี 2568): 3 ล้านคน (MI GROUP, 2568)
  • มูลค่าตลาดโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์ปี 2567: 2,360 ล้านบาท (Statista, 2567)
  • การซื้อสินค้าออนไลน์รายสัปดาห์ของคนไทย: 66.9% (DataReportal, 2567)
  • อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทย: 89.5% (สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลฯ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมสรรพากร
  • สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP)
  • บริษัท AnyMind Group ประเทศไทย
  • Statista
  • สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)
  • DataReportal
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ปิงปองเชียงรายเดือด! แถลงการณ์ฟ้องคนปล่อยข่าวเท็จ

เชียงรายแจงข้อเท็จจริง ปมร้องเรียนสมาคมกีฬาเทเบิลเทนนิสไม่โปร่งใส

คำแถลงจากฝ่ายเทเบิลเทนนิสเชียงราย กรณีถูกกล่าวหาว่าทุจริต

เชียงใหม่, 22 มีนาคม 2568 – ฝ่ายเทเบิลเทนนิสสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีถูกกล่าวหาว่าดำเนินงานไม่โปร่งใส โดยเฉพาะเรื่องเบี้ยเลี้ยงและค่าเดินทางของนักกีฬาในการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติภาค 5 “ลำปางเกมส์”

ยืนยันความโปร่งใส ใช้งบโปร่งใสพร้อมเอกสารตรวจสอบได้

ฝ่ายเทเบิลเทนนิสฯ ได้เน้นว่ามีการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายไว้ครบถ้วน พร้อมตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน โดยใช้งบประมาณร่วมจากสมาคมกีฬาและผู้สนับสนุนหลักของฝ่าย มีการจัดหารถตู้รับ-ส่งนักกีฬา พักโรงแรมที่เหมาะสม และมอบชุดการแข่งขันอย่างครบถ้วนเพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่เยาวชนตัวแทนจังหวัดเชียงราย

เสียงขอบคุณจากนักกีฬาและผู้ปกครอง

ในการดำเนินการครั้งนี้ ได้รับคำชื่นชมจากทั้งนักกีฬาและผู้ปกครองเกี่ยวกับการดูแลอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านความปลอดภัย การเดินทาง อาหารการกิน และการประสานงานต่างๆ ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจและการบริหารจัดการที่ดีของฝ่ายเทเบิลเทนนิสสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย

ร้องเรียนไม่มีหลักฐาน ฝ่ายสมาคมยืนยันพร้อมตรวจสอบ

ฝ่ายเทเบิลเทนนิสฯ เผยว่า ได้รับหนังสือร้องเรียนกล่าวหาว่ามีการบริหารเบี้ยเลี้ยงไม่โปร่งใส ซึ่งทางสมาคมกีฬาจังหวัดเชียงรายได้พยายามติดต่อผู้ร้องเรียนเพื่อขอหลักฐานยืนยันถึงสองครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับแต่อย่างใด จึงถือว่าเป็นการร้องเรียนโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน อาจเข้าข่ายใส่ร้ายชื่อเสียง

เตรียมดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ร้องเรียน

เพื่อรักษาชื่อเสียงขององค์กร ทางฝ่ายเทเบิลเทนนิสฯ ขอดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ร้องเรียน รวมถึงจะใช้มาตรการตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ หากพบการเผยแพร่ข้อความเท็จในสื่อโซเชียลมีเดีย พร้อมย้ำว่าการกระทำดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของการกีฬาจังหวัดเชียงรายโดยรวม

แถลงในที่ประชุมใหญ่สมาคมกีฬาเชียงราย

การแถลงข้อมูลในครั้งนี้ ยังได้มีการนำเสนอในวาระประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ของสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีผู้แทนจากหลายฝ่ายเข้าร่วมรับฟังและให้ความเห็นเพิ่มเติม

จุดยืนของฝ่ายเทเบิลเทนนิสเชียงรายต่อกรณีนี้

น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ประธานฝ่ายเทเบิลเทนนิสฯ เน้นย้ำถึงหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินงาน พร้อมเปิดรับการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่ให้ใช้การร้องเรียนเท็จเพื่อทำลายชื่อเสียงองค์กร

แนวทางต่อไป: เปิดเผยข้อมูล – สื่อสารชัดเจน – รับฟังด้วยเหตุผล

ฝ่ายเทเบิลเทนนิสสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย จะยังคงเน้นการสื่อสารอย่างโปร่งใส จัดเก็บเอกสารให้ตรวจสอบได้ และรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย โดยขอให้ทุกคนใช้ช่องทางร้องเรียนด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช้ความรู้สึกหรืออคติส่วนตัว เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อวงการกีฬาเยาวชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากรายงานของสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย ปี 2566 พบว่า ร้อยละ 92 ของสมาคมกีฬาในระดับจังหวัด มีการบริหารแบบโปร่งใสและมีการตรวจสอบได้
  • ศูนย์วิจัยด้านกีฬาแห่งชาติ (2567) ระบุว่า การร้องเรียนเกี่ยวกับงบประมาณในกีฬาระดับจังหวัดมีอัตราน้อยกว่า 5% ต่อปี
  • สำนักงานพัฒนากีฬาจังหวัดเชียงราย รายงานในปี 2566 ว่าการแข่งขันเยาวชนในระดับจังหวัดได้รับเสียงตอบรับด้านบวกจากผู้ปกครองมากถึง 89.7%

ความคิดเห็นทั้งสองฝ่าย: มุมมองที่ต่างแต่ร่วมอยู่ในระบบเดียวกัน

ฝ่ายเทเบิลเทนนิสสมาคมกีฬาเชียงราย: ยืนยันความบริสุทธิ์และพร้อมตรวจสอบทุกขั้นตอน ด้วยเอกสารและหลักฐานชัดเจน เชื่อว่าการกล่าวหานี้เกิดจากความเข้าใจผิดหรือเจตนาแอบแฝง

ผู้ร้องเรียน (ไม่เปิดเผยชื่อ): อาจมีความกังวลต่อความโปร่งใสของการใช้งบประมาณในกิจกรรมกีฬา ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อให้เกิดการตรวจสอบเชิงระบบ แต่การไม่มีหลักฐานชัดเจนอาจเป็นปัญหาต่อกระบวนการยุติธรรมในสังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย
  • ฝ่ายเทเบิลเทนนิสสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย
  • ศูนย์วิจัยด้านกีฬาแห่งชาติ
  • สำนักงานพัฒนากีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ผลตรวจ ‘แม่น้ำกก’ อ.แม่อาย เบื้องต้นอยู่ในเกณฑ์ดี

ผลตรวจคุณภาพน้ำเบื้องต้นแม่น้ำกกเผยอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องรอผลวิเคราะห์สารปนเปื้อนจากเหมืองทอง

เชียงใหม่, 20 มีนาคม 2568 – เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก บริเวณตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำ หลังจากที่ชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนถึงความผิดปกติของแม่น้ำกกที่มีสีขุ่นข้นและเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นในภาคสนามพบว่าคุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดีตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดิน แต่ยังต้องรอผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่ามีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักที่อาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำหรือไม่

การลงพื้นที่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่น รวมถึงผู้นำชุมชน ได้เรียกร้องให้หน่วยงานราชการเข้ามาตรวจสอบ เนื่องจากแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลมาจากเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เข้าสู่เขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีลักษณะขุ่นมัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 โดยชาวบ้านเริ่มมีความกังวลถึงความปลอดภัยในการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค รวมถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและการท่องเที่ยวในพื้นที่

การตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลเบื้องต้น

เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดหลัก ได้แก่

  1. จุดที่ 1: บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ฐานริมกก หมู่ที่ 3 ตำบลท่าตอน
  2. จุดที่ 2: สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน เชื่อมระหว่างหมู่ 5 ตำบลท่าตอน และหมู่ 14 หย่อมบ้านป๊อกป่ายาง ตำบลแม่นาวาง
  3. จุดที่ 3: บริเวณหมู่ 12 บ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน

การตรวจสอบในภาคสนามมุ่งเน้นไปที่พารามิเตอร์พื้นฐานตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงค่าออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen: DO) และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ผลการตรวจพบว่า

  • ค่าออกซิเจนละลายน้ำ (DO): อยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนถึงความสามารถในการรองรับสิ่งมีชีวิตในน้ำที่ยังอยู่ในระดับปกติ
  • ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH): อยู่ในช่วง 7-9 ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมตามมาตรฐาน และไม่พบความเป็นกรดหรือด่างที่อาจส่งผลกระทบต่อการสัมผัสหรือการใช้งาน
  • ค่าการนำไฟฟ้า (Electrical Conductivity): ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างจุดตรวจทั้ง 3 แห่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าในเบื้องต้นยังไม่มีจุดใดที่มีการปนเปื้อนในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่า การตรวจสอบในภาคสนามเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสรุปได้ว่าน้ำในแม่น้ำกกมีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักหรือไม่ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพที่พบ เช่น ความขุ่นของน้ำ อาจเกิดจากตะกอนธรรมชาติหรือสารปนเปื้อนจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ตัวอย่างน้ำที่เก็บจากทั้ง 3 จุดได้ถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษ เพื่อวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนเพิ่มเติม โดยเฉพาะโลหะหนัก เช่น ปรอท (Mercury) และสารไซยาไนด์ (Cyanide) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการทำเหมืองทอง

ความกังวลของชุมชนและบริบทของปัญหา

นางธีระพันธุ์ กันธิยาใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านร่มไท หมู่ที่ 14 ตำบลท่าตอน เปิดเผยว่า ชาวบ้านในพื้นที่มีความตื่นตระหนกตั้งแต่สังเกตเห็นสีของน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนไปเป็นสีขุ่น ซึ่งในช่วงแรกเชื่อว่าเป็นผลจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ที่พัดพาตะกอนดินโคลนลงมา อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหลายเดือน สภาพน้ำยังไม่กลับมาใสเหมือนเดิม ทำให้เกิดความสงสัยว่าอาจมีสาเหตุอื่น โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานว่าที่บ้านฮุง เขตปกครองพิเศษที่ 2 สหรัฐว้า รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 36 กิโลเมตร มีการอนุญาตให้กลุ่มทุนจีนดำเนินการทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองทองคำมากกว่า 23 บริษัท

“เดิมทีชาวบ้านใช้แม่น้ำกกเพื่อการอุปโภคบริโภค อาบน้ำ ล้างจาน หรือแม้แต่จับปลามากิน แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าใช้น้ำจากแม่น้ำแล้ว เพราะกลัวว่ามีสารเคมีปนเปื้อน” นางธีระพันธุ์กล่าว พร้อมระบุว่าปลาในแม่น้ำลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านที่พึ่งพาแหล่งน้ำแห่งนี้

ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นหนึ่งในจุดเด่นของตำบลท่าตอนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมธรรมชาติและล่องเรือ แต่เมื่อน้ำเปลี่ยนสีและมีข่าวลือถึงมลพิษ ทำให้ชาวบ้านเกรงว่านักท่องเที่ยวจะลดลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ได้มอบหมายให้ปลัดอำเภอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่อาย, กองบังคับการควบคุมทหารพราน, และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ได้นั่งเรือจากบ้านแก่งทราย หมู่ที่ 14 ไปยังจุดรอยต่อชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อตรวจสอบแหล่งน้ำต้นทางที่อาจได้รับผลกระทบจากเหมืองทอง

การวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15-30 วัน โดยจะเน้นตรวจหาโลหะหนัก เช่น ปรอท, สารหนู (Arsenic), และตะกั่ว (Lead) รวมถึงสารไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่มักใช้ในกระบวนการสกัดทองคำ หากพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน จะมีการประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอในเขตเมียนมา

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและการรอผลวิเคราะห์

หากผลการวิเคราะห์ยืนยันว่ามีสารปนเปื้อนจากเหมืองทองจริง อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงระบบนิเวศของแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงในที่สุด การปนเปื้อนของไซยาไนด์และโลหะหนักสามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ปลา และเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้ ขณะเดียวกัน ความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวอาจทำให้รายได้ของชุมชนลดลงอย่างมาก

ในทางกลับกัน หากผลการตรวจไม่พบสารปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตราย ชาวบ้านอาจกลับมาไว้วางใจและใช้น้ำจากแม่น้ำกกได้ตามปกติ แต่ก็ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกิจกรรมเหมืองทองในเขตต้นน้ำยังคงดำเนินการอยู่อย่างไม่หยุดนิ่ง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลที่ผ่านมาเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองทองต่อแหล่งน้ำ:

  • ปี 2566: รายงานจากกรมทรัพยากรน้ำระบุว่า แหล่งน้ำผิวดินในประเทศไทยกว่า 30% ได้รับผลกระทบจากมลพิษ โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เขตชายแดนที่มีกิจกรรมเหมืองแร่จากประเทศเพื่อนบ้าน (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ)
  • ปี 2565: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การปนเปื้อนของไซยาไนด์ในน้ำดื่มที่เกิน 0.07 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันต่อร่างกาย เช่น อาการคลื่นไส้และหายใจลำบาก (ที่มา: WHO Drinking Water Guidelines)
  • ปี 2567: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่รายงานว่า ปลาในแม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายลดลง 70% จากภาวะน้ำขุ่นในช่วงน้ำท่วมใหญ่ (ที่มา: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่)

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของชาวบ้านและผู้ที่กังวลถึงผลกระทบจากเหมืองทอง การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำกกเป็นสัญญาณที่น่ากลัว การที่น้ำขุ่นต่อเนื่องหลายเดือนและมีรายงานการทำเหมืองในเขตต้นน้ำ ทำให้เกิดความสงสัยว่าสารเคมีอาจรั่วไหลลงสู่แม่น้ำ ซึ่งหากเป็นจริงจะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและวิถีชีวิต การเรียกร้องให้ตรวจสอบและแก้ไขอย่างเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพื่อปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ในทางกลับกัน การทำเหมืองทองในเขตเมียนมาถือเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นในรัฐฉาน หากไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามลพิษมาจากเหมือง การกล่าวหาอาจสร้างความตึงเครียดระหว่างประเทศโดยไม่จำเป็น ผลการตรวจในภาคสนามที่ระบุว่าน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี อาจบ่งชี้ว่าความขุ่นเกิดจากตะกอนธรรมชาติมากกว่าสารเคมี ซึ่งต้องรอผลวิเคราะห์ที่แน่นอนเพื่อตัดสิน

ทั้งสองฝั่งมีเหตุผลที่น่าเห็นใจ การรอผลการตรวจอย่างละเอียดจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นกลางและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม โดยไม่รีบด่วนตัดสินจากอารมณ์หรือข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์

การติดตามผลการวิเคราะห์ในครั้งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา และสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในพื้นที่ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไทม์ไลน์ระบุเงินช่วย ‘ค่าล้างโคลน’ “เชียงราย” รับเงินก่อน 10 เม.ย. นี้

จังหวัดเชียงรายเร่งจัดสรรเงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ปี 2568

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 292,147,249 บาท แบ่งเป็นเงินช่วยเหลือสำหรับอำเภอแม่สาย จำนวน 134,776,273 บาท และอำเภอเมืองเชียงราย จำนวน 157,770,976 บาท การจัดสรรครั้งนี้เกิดขึ้นตามคำสั่งด่วนจากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ ชร 0021/ว 749 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

การจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการดำรงชีพตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 รวมถึงค่าใช้จ่ายในการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุบริเวณที่อยู่อาศัยของผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของบ้าน โดยกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท เงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ข้อ 8 (8) และข้อ 8 วรรคสอง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้น

ความเป็นมาของการจัดสรรเงินช่วยเหลือ

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนของปี 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อน้ำท่วมเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ลุ่มน้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำโขงและแม่น้ำสายอื่น ๆ ที่ไหลผ่านจังหวัด ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น ถนน ระบบระบายน้ำ และสถานที่ราชการบางแห่งด้วย อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงรายได้ยื่นขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากจังหวัดเชียงราย ตามหนังสือด่วนที่สุดจากอำเภอแม่สาย ที่ ชร 1018.3/1105 และ ชร 1018.3/1106 รวมถึงจากอำเภอเมืองเชียงราย ที่ ชร 0118.3/1460 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อนำไปใช้ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน

จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่ามีครัวเรือนจำนวนมากในทั้งสองอำเภอที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งดินโคลนและซากวัสดุที่ถูกน้ำพัดพามาได้สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยเหตุนี้ จังหวัดเชียงรายจึงได้เร่งดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายอำเภอทั้งสองอำเภอดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด

รายละเอียดการจัดสรรและขั้นตอนการเบิกจ่าย

ตามหนังสือที่ส่งถึงนายอำเภอแม่สายและนายอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายได้กำหนดให้มีการจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินทดรองราชการ เช่น ใบสำคัญรับเงินและรายงานการใช้จ่าย ไปยังสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับเงินจากคลังจังหวัด เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายได้อย่างโปร่งใส นอกจากนี้ ยังขอให้ทั้งสองอำเภอรายงานผลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวกลับมาที่จังหวัด เพื่อประเมินผลกระทบและความครอบคลุมของการช่วยเหลือ

วงเงินที่จัดสรรทั้งหมด 292,147,249 บาท ถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉิน โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้ตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 ซึ่งครอบคลุมหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ (ข้อ 5.1.4 ถึง 5.1.16) และการอนุมัติการปฏิบัติที่นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ในกรณีจำเป็น โดยเฉพาะการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนในพื้นที่เผชิญอยู่

แผนการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ

เพื่อให้การช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว จังหวัดเชียงรายได้กำหนดกรอบระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 13 วันทำการ (ไม่รวมวันหยุดราชการ) ดังนี้

  • 20 มีนาคม 2568: ประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัดเชียงราย (กชภจ.) เพื่อพิจารณาแผนการช่วยเหลือ
  • 21 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายอนุมัติการจัดสรรเงินให้อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย
  • 22-24 มีนาคม 2568: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เสนอขออนุมัติเงินยืมจากคลังจังหวัด
  • 24-25 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเงินยืมให้ทั้งสองอำเภอ
  • 26-27 มีนาคม 2568: ปภ.จ.เชียงรายดำเนินการเบิกเงินและโอนให้อำเภอ
  • 27-28 มีนาคม 2568: อำเภอรับเงินยืมจากจังหวัด
  • 29 มีนาคม – 10 เมษายน 2568: อำเภอเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือให้ผู้ประสบภัยตามรายชื่อที่ได้รับการสำรวจและอนุมัติ

กรอบระยะเวลานี้แสดงถึงความพยายามของจังหวัดในการเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ประชาชนได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม หากความเสียหายในพื้นที่มีมูลค่าเกินกว่าวงเงินที่จัดสรร อำเภอสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากจังหวัดได้ตามความจำเป็น

ความสำคัญของการช่วยเหลือครั้งนี้

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากจังหวัดนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากในช่วงฤดูฝน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาทสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุ ถือเป็นมาตรการที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของผู้ประสบภัย ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยโคลนและสิ่งสกปรกหลังน้ำลด

นอกจากนี้ การจัดสรรเงินทดรองราชการยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ตามที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง ซึ่งกำหนดให้การช่วยเหลือต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมและให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง

บริบทของน้ำท่วมในประเทศไทยและจังหวัดเชียงราย

น้ำท่วมเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำซากในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปี เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่อ 65 จังหวัด และสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 1.43 ล้านล้านบาท ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้มีการออกพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ (พ.ศ. 2561-2580) เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว

สำหรับจังหวัดเชียงราย อุทกภัยในปี 2567 ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา และมักเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงที่เอ่อล้น รวมถึงอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของจังหวัด การที่ทั้งสองอำเภอนี้ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนมาก แสดงถึงความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้น และความจำเป็นในการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน

การบริหารจัดการงบประมาณน้ำท่วมในอดีต

หากย้อนดูงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำท่วมในประเทศไทย จะพบว่ารัฐบาลได้จัดสรรเงินจำนวนมหาศาลเพื่อรับมือกับภัยพิบัตินี้ ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูลครบถ้วน งบประมาณทั้งหมดของประเทศอยู่ที่ 3.185 ล้านล้านบาท โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมรวม 53,377.55 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 1.68% ของงบประมาณทั้งหมด งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น เขื่อนป้องกันตลิ่ง (19,821.42 ล้านบาท) ระบบระบายน้ำและประตูระบายน้ำ (6,899.69 ล้านบาท) และฝายต่าง ๆ (5,441.61 ล้านบาท) ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังมีงบกลางที่ถูกนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉิน โดยในช่วงปี 2560-2566 มีการอนุมัติงบกลางเพื่อน้ำท่วมรวม 97,832.80 ล้านบาท โดยปี 2566 เป็นปีที่มีการเบิกจ่ายสูงเป็นอันดับ 3 ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน (8,171.60 ล้านบาท) การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (6,258.54 ล้านบาท) และการฟื้นฟูถนนที่เสียหาย (3,786.55 ล้านบาท) การจัดสรรเงินทดรองราชการในครั้งนี้จึงสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเน้นทั้งการป้องกันและการเยียวยา

ความท้าทายและข้อกังวล

ถึงแม้ว่าการจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้จะเป็นการตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทันท่วงที แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นคือความล่าช้าในกระบวนการเบิกจ่าย ซึ่งอาจเกิดจากขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารหรือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แม้ว่าจะมีการกำหนดกรอบระยะเวลา 13 วันทำการ แต่หากเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การขาดแคลนบุคลากรหรือความล่าช้าในการสำรวจผู้ประสบภัย อาจทำให้เงินถึงมือประชาชนช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

อีกประเด็นหนึ่งคือความเพียงพอของวงเงินช่วยเหลือ เงินครัวเรือนละ 10,000 บาทอาจเพียงพอสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุในบางครัวเรือน แต่สำหรับบ้านที่มีความเสียหายหนักหรือมีพื้นที่กว้างขวาง อาจไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูทั้งหมด ผู้ประสบภัยบางรายอาจต้องใช้เงินส่วนตัวเพิ่มเติม ซึ่งอาจสร้างภาระให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของผู้สนับสนุนการจัดสรรเงินทดรองราชการ การดำเนินการครั้งนี้แสดงถึงความรับผิดชอบของรัฐบาลในการดูแลประชาชนในยามวิกฤต การกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท และการจัดสรรเงินเกือบ 300 ล้านบาทให้สองอำเภอที่ได้รับผลกระทบหนัก เป็นหลักฐานถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ การกำหนดกรอบระยะเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจนยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงต่อการทุจริต ผู้ที่เห็นด้วยอาจมองว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฟื้นฟู และหากวงเงินไม่เพียงพอ อำเภอยังสามารถขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมได้ ซึ่งแสดงถึงความยืดหยุ่นของระบบ

ในทางกลับกัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์อาจมองว่าการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว เงิน 10,000 บาทต่อครัวเรือนอาจดูเหมือนเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และการที่ต้องรอถึงวันที่ 29 มีนาคมถึง 10 เมษายน 2568 กว่าผู้ประสบภัยจะได้รับเงิน อาจช้าเกินไปสำหรับบางครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือทันที นอกจากนี้ การที่งบประมาณส่วนใหญ่ในอดีตถูกใช้ไปกับการก่อสร้างมากกว่าการพัฒนาระบบเตือนภัยหรือการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อาจทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายการจัดการน้ำท่วมโดยรวมของรัฐบาล

ทั้งสองมุมมองมีเหตุผลในตัวเอง การช่วยเหลือฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็นและควรได้รับการชื่นชมในแง่ของความรวดเร็วในการตอบสนอง แต่การป้องกันภัยพิบัติในอนาคตและการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การสร้างสมดุลระหว่างการเยียวยาระยะสั้นและการลงทุนระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่จังหวัดเชียงรายและรัฐบาลต้องพิจารณาต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.) และสำนักงบประมาณ:

  • ปี 2567: อุทกภัยในประเทศไทยระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม – 2 กันยายน 2567 ส่งผลให้มีพื้นที่น้ำท่วมรวม 1,231,323 ไร่ ครอบคลุม 11 จังหวัด และมีผู้ได้รับผลกระทบ 241,875 ครัวเรือน (ที่มา: ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วม, GISTDA)
  • ปี 2566: งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมทั้งหมด 53,377.55 ล้านบาท โดยงบก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งสูงสุดที่ 19,821.42 ล้านบาท คิดเป็น 37.13% ของงบน้ำท่วมทั้งหมด (ที่มา: รายงานงบประมาณลงพื้นที่จังหวัด ปีงบประมาณ 2566, สำนักงบประมาณ)
  • ปี 2554: มหาอุทกภัยสร้างความเสียหายมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท พื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย 11,798,241 ไร่ และกระทบประชาชนกว่า 13 ล้านคน (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)

สถิติเหล่านี้สะท้อนถึงความรุนแรงและความถี่ของปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย รวมถึงความพยายามของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้รับการรวบรวมและวิเคราะห์โดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น GISTDA และสำนักงบประมาณ

การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย แต่ยังคงต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าความช่วยเหลือจะถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างทั่วถึงและทันเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย)
  • สำนักงบประมาณ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • Rocket Media Lab
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเร่งช่วย พายุถล่ม 300 หลัง ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัยตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน หลังพายุฤดูร้อนถล่มเสียหายกว่า 300 ครัวเรือน

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และนายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้นำคณะผู้แทนจากหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานด้านการบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยม ติดตามสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

โดยมีการเดินทางไปยังอาคารอเนกประสงค์ประจำหมู่บ้าน หมู่ที่ 17 บ้านแม่แก้วพัฒนา ซึ่งเป็นจุดรวบรวมข้อมูลและศูนย์ประสานการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นให้แก่ครัวเรือนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุพายุฤดูร้อนในครั้งนี้

บ้านเรือนเสียหายกว่า 300 ครัวเรือนในตำบลแม่อ้อ

จากรายงานขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ พบว่าผลกระทบจากพายุฤดูร้อนซึ่งมีลมกระโชกแรงในช่วงค่ำวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ตำบลแม่อ้อได้รับความเสียหายอย่างหนัก รวมจำนวนกว่า 300 ครัวเรือน กระจายอยู่ในหลายหมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตบ้านแม่แก้วพัฒนา บ้านใหม่สามัคคี และบ้านใหม่ห้วยทราย ซึ่งมีบ้านเรือนที่หลังคาถูกลมพัดปลิว ไม้กระเบื้องและอุปกรณ์ภายในบ้านได้รับความเสียหาย บางหลังเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้

ขณะเดียวกันยังมีรายงานความเสียหายด้านสาธารณูปโภค เช่น สายไฟฟ้าหลุดขาด เสาไฟฟ้าหักโค่น ถนนบางเส้นมีต้นไม้ล้มขวางทางจราจร รวมถึงมีโรงเรือนเกษตรและแปลงเพาะปลูกที่ถูกกระแสลมทำลายจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานภาครัฐเร่งสำรวจและฟื้นฟูความเสียหายอย่างเร่งด่วน

ในเบื้องต้น หน่วยงานท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ ได้ประสานกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เพื่อเร่งจัดส่งกำลังพลและเครื่องมือเข้าเคลียร์พื้นที่ซากปรักหักพัง และจัดหาที่พักชั่วคราวให้กับครัวเรือนที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ พร้อมเร่งประเมินความเสียหายรายครัวเรือนเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบของทางราชการ

ขณะเดียวกันเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และเครือข่ายภาคประชาชน ได้ลงพื้นที่นำถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม แจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยโดยตรง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

ผู้ว่าฯ ย้ำความห่วงใย พร้อมสั่งการให้ช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและรวดเร็ว

ในการพบปะประชาชน นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวให้กำลังใจชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย พร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุมโดยไม่ตกหล่น

“เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่เราต้องร่วมกันฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการทำงานที่โปร่งใส ทันต่อสถานการณ์ และเข้าถึงประชาชนในทุกครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยติดเตียง และผู้พิการ” นายชรินทร์กล่าว

ภัยพิบัติกับแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในเขตภาคเหนือ

จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่าช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี คือช่วงฤดูเปลี่ยนผ่าน ซึ่งมักเกิดพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความเสี่ยงสูงจากกระแสลมร้อนและกระแสลมเย็นปะทะกัน ส่งผลให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้

กรณีตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศอย่างฉับพลันในช่วงต้นปี 2568 โดยเหตุวาตภัยครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี หลังจากเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งทำให้บ้านเรือนเสียหายกว่า 250 หลังคาเรือน

ความคิดเห็นจาก 2 มุมมอง: บทบาทรัฐและความเข้มแข็งของชุมชน

ฝ่ายสนับสนุนภาครัฐ มองว่า การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการแสดงความห่วงใยต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยอมรับว่าในภาวะวิกฤต รัฐมีบทบาทสำคัญในการระดมสรรพกำลังและงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันเวลา ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยในระดับหนึ่ง

ขณะที่ฝ่ายวิจารณ์ ชี้ให้เห็นว่าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังคงเผชิญปัญหาการสำรวจที่ล่าช้า การขาดแคลนเครื่องมือหนักและบุคลากรในพื้นที่ และบางรายที่ยังตกหล่นจากการได้รับความช่วยเหลือในระยะเริ่มต้น จึงเสนอให้มีการวางระบบสำรองฉุกเฉินแบบถาวร เช่น การจัดตั้งคลังยังชีพในแต่ละตำบล การฝึกอบรมอาสาสมัครให้สามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

เสียงสะท้อนจากทั้งสองฝ่ายชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้าง “ความพร้อมเชิงระบบ” ทั้งในเชิงโครงสร้าง การสื่อสาร และกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐกับชุมชน เพื่อให้การจัดการภัยพิบัติในอนาคตมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยในตำบลแม่อ้อ ครั้งล่าสุด (มีนาคม 2568): กว่า 300 ครัวเรือน
    ที่มา: องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, รายงานสถานการณ์ ณ วันที่ 20 มีนาคม 2568
  • เหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในอำเภอพาน ปี 2566 มีบ้านเรือนเสียหายรวม 251 ครัวเรือน
    ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย), รายงานภัยพิบัติประจำปี 2566
  • ช่วงเวลาที่เกิดพายุฤดูร้อนในประเทศไทยส่วนใหญ่: เดือนมีนาคม–เมษายน ของทุกปี
    ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา, รายงานแนวโน้มสภาพอากาศประจำปี 2567
  • จังหวัดเชียงรายมีครัวเรือนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงวาตภัยกว่า 12,000 ครัวเรือน
    ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, ฐานข้อมูลแผนที่ภัยพิบัติแห่งชาติ พ.ศ. 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย,สำนักงานจังหวัดเชียงราย, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 ครบรอบ 107 ปี จัดพิธีศักการะ เสริมสิริมงคล

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาหน่วย ครบรอบ 107 ปี สะท้อนบทบาทสำคัญของกองทัพบกในพื้นที่ภาคเหนือ

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดพิธีสักการะและพิธีทางศาสนาอย่างสมเกียรติ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วย และรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันทรงเกียรติของการก่อตั้งหน่วย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 107 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 22 มีนาคม 2568 โดยได้จัดพิธีล่วงหน้าในวันที่ 21 มีนาคม 2568 ณ พื้นที่ต่าง ๆ ภายในและโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย โดยมี พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยบุคคลสำคัญจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

พิธีในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงคุณงามความดีของเหล่าทหารกล้าที่ได้อุทิศตนรับใช้ชาติ รวมถึงการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยและกำลังพลในสังกัด สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกองทัพกับประชาชนในพื้นที่

พิธีกรรมสำคัญตามลำดับเวลาสะท้อนรากฐานทางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์

พิธีในช่วงเช้าของวันที่ 21 มีนาคม 2568 ประกอบด้วยลำดับพิธีกรรมที่มีความหมายลึกซึ้งทางวัฒนธรรมและจิตใจ ดังนี้

  • เวลา 07.09 น. พิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ดอยเจดีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของทหารและชาวเชียงราย
  • เวลา 08.00 น. พิธีบวงสรวง พ่อขุนเม็งรายมหาราช ณ พระตำหนักพ่อขุนเม็งรายฯ เพื่อแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงราย
  • เวลา 08.29 น. พิธีบวงสรวง พระญามังรายมหาราช ณ หน้า บก.มทบ.37 เพื่อรำลึกถึงผู้นำผู้สร้างความมั่นคงให้แก่ดินแดนล้านนา
  • เวลา 10.09 น. พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน และเจริญพระพุทธมนต์ ณ อาคารอเนกประสงค์ มทบ.37 โดยมี พล.ท.ศุภอักษร สังประกุล เป็นประธานในพิธีทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียสละชีวิตในการปกป้องแผ่นดินไทย

พิธีเหล่านี้สะท้อนถึงความเคารพต่อคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของสถาบันทหารบกในการดำรงความมั่นคงทั้งทางกายภาพและทางจิตใจแก่สังคม

การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน

พิธีดังกล่าวได้รับเกียรติจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 ผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน อดีตผู้บังคับบัญชา หน่วยทหารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย สมาคมสื่อมวลชน และตัวแทนชุมชนโดยรอบค่ายเม็งรายมหาราช เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ มทบ.37 ในฐานะองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่เคารพจากประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง

การรวมตัวของผู้แทนจากหลายภาคส่วนในพิธีแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างกองทัพบกกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งนับเป็นรากฐานที่มั่นคงของระบบความมั่นคงในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชายแดนและภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านความมั่นคง และการพัฒนาประเทศ

บทบาทของ มทบ.37 ในการสร้างความมั่นคงและสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่น

มณฑลทหารบกที่ 37 ถือเป็นหนึ่งในหน่วยทหารสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีเขตรับผิดชอบหลักอยู่ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ

ภารกิจของ มทบ.37 ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการป้องกันประเทศ หากแต่รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤต การสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุข การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ และการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น การปลูกป่า สร้างฝายชะลอน้ำ การสนับสนุนการศึกษาผ่านโครงการจิตอาสา รวมถึงการร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ความเห็นเชิงกลาง: ความเชื่อมั่นและความคาดหวัง

ฝ่ายที่สนับสนุน บทบาทของ มทบ.37 มองว่ากองทัพบกโดยเฉพาะในระดับภูมิภาคมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพ ความสงบ และการพัฒนาท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีความเปราะบางทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ กองทัพสามารถเข้าไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงมีทรัพยากรบุคคลที่มีวินัยและสามารถปฏิบัติงานภายใต้สถานการณ์วิกฤตได้ดี

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่มีข้อกังวล ก็ได้แสดงความเห็นว่าบางกรณีการดำเนินงานของกองทัพอาจทับซ้อนกับหน้าที่ของหน่วยงานพลเรือน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาท้องถิ่น หรือโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้กองทัพเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานของกองทัพเป็นไปตามความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง

ความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการถ่วงดุลอำนาจ การมีส่วนร่วม และการตรวจสอบซึ่งเป็นหลักธรรมาภิบาลที่ควรนำมาใช้ในการบริหารงานของทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรด้านความมั่นคงด้วย

สถิติและข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • มณฑลทหารบกที่ 37 จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2461 และในปี พ.ศ. 2568 มีอายุครบรอบ 107 ปี
    ที่มา: กองทัพบกไทย, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก, รายงานประวัติการสถาปนาหน่วย
  • จังหวัดเชียงรายมีแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านรวมระยะทางกว่า 283 กิโลเมตร
    ที่มา: กรมแผนที่ทหาร, รายงานเขตแดนประเทศไทย พ.ศ. 2566
  • กำลังพลในสังกัด มทบ.37 ณ ปีงบประมาณ 2567 มีประมาณ 1,200 นาย
    ที่มา: กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, รายงานสถานะกำลังพลประจำปี พ.ศ. 2567
  • โครงการจิตอาสาของ มทบ.37 ที่ดำเนินการต่อเนื่องในปี 2567 มีมากกว่า 50 โครงการครอบคลุม 9 อำเภอในเชียงราย
    ที่มา: ฝ่ายกิจการพลเรือน มทบ.37, รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37), กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3, กรมแผนที่ทหาร, สำนักประวัติศาสตร์กองทัพบก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News