Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘เชียงราย’ ปี 67 เที่ยวสุดคุ้ม “ชาวต่างชาติ” พักนานเฉลี่ย 5.74 คืน

เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทย สร้างรายได้ท่องเที่ยวกว่า 38,493 ล้านบาทในปี 2567

เชียงราย, 9 มีนาคม 2568 – รายงานข้อมูลจาก TAT Intelligence Center และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศมาเลเซีย ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐอเมริกา และอิตาลี ซึ่งเลือกพักในเชียงรายโดยเฉลี่ย 5.74 คืน ส่งผลให้จังหวัดมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 38,493 ล้านบาท ในปี 2567

เชียงราย: จุดหมายปลายทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เชียงรายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจาก มาเลเซีย (12.67%) ฝรั่งเศส (11.69%) สเปน (8.93%) สหรัฐอเมริกา (6.65%) และอิตาลี (5.62%) ที่เลือกเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งในด้านของธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และความเงียบสงบที่เป็นเอกลักษณ์

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงรายมีระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 5.74 คืน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ (5.56 คืน) และ ลำปาง (4.32 คืน)

 

พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567 ได้ศึกษาค่าเฉลี่ยจำนวนคืนที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนพำนักในจังหวัดต่างๆ โดยมีข้อมูลจาก TAT Intelligence Center พบว่า กรุงเทพมหานคร มีค่าเฉลี่ยพัก 5.52 คืน โดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักมาจาก จีน (23.29%) อินเดีย (6.33%) เกาหลีใต้ (6.04%) มาเลเซีย (4.99%) และเวียดนาม (4.26%)

ในขณะที่ จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ มีค่าเฉลี่ยการพำนักดังนี้:

  1. ชลบุรี – ค่าเฉลี่ย 6.34 คืน (จีน 26.13%, อินเดีย 13.58%, รัสเซีย 13.38%, เกาหลีใต้ 5.65%, เวียดนาม 4.34%)
  2. ภูเก็ต – ค่าเฉลี่ย 5.72 คืน (จีน 22.59%, อินเดีย 9.08%, รัสเซีย 5.86%, สหราชอาณาจักร 4.71%, สหรัฐฯ 4.62%)
  3. กระบี่ – ค่าเฉลี่ย 3.11 คืน (จีน 13.59%, อินเดีย 10.16%, มาเลเซีย 7.79%, สหราชอาณาจักร 7.1%, ฝรั่งเศส 5.99%)
  4. สงขลา – ค่าเฉลี่ย 5.05 คืน (มาเลเซีย 94.34%, สิงคโปร์ 2.33%, อินโดนีเซีย 1.38%, จีน 0.5%, ลาว 0.14%)
  5. เชียงใหม่ – ค่าเฉลี่ย 5.56 คืน (จีน 13.59%, สหราชอาณาจักร 8.02%, สหรัฐฯ 8.00%, ฝรั่งเศส 6.88%, มาเลเซีย 6.62%)
  6. สุราษฎร์ธานี – ค่าเฉลี่ย 7.14 คืน (เยอรมนี 14.31%, สหราชอาณาจักร 11.35%, ฝรั่งเศส 8.8%, อิสราเอล 6.79%, ออสเตรเลีย 5.1%)
  7. พังงา – ค่าเฉลี่ย 2.70 คืน (จีน 13.19%, มาเลเซีย 10.6%, เยอรมนี 9.33%, ฝรั่งเศส 6.93%, เกาหลีใต้ 5.43%)
  8. เชียงราย – ค่าเฉลี่ย 5.74 คืน (มาเลเซีย 12.67%, ฝรั่งเศส 11.69%, สเปน 8.93%, สหรัฐฯ 6.65%, อิตาลี 5.62%)
  9. ประจวบคีรีขันธ์ – ค่าเฉลี่ย 6.11 คืน (สหราชอาณาจักร 9.2%, รัสเซีย 7.63%, ไต้หวัน 6.76%, จีน 6.15%, เยอรมนี 5.8%)

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายเป็นที่นิยม

  1. ธรรมชาติและวัฒนธรรม
    • เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศสวยงาม โดดเด่นด้วยภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพระตำหนักดอยตุง ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
  2. การเดินทางสะดวกขึ้น
    • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีเที่ยวบินตรงจากหลายประเทศ เช่น จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น
  3. แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงอนุรักษ์
    • มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ อาทิ สปา ธรรมชาติบำบัด และโยคะ รวมถึงแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

สถิติท่องเที่ยวประเทศไทย ปี 2567

รายงานจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.27% จากปี 2566 สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.67 ล้านล้านบาท

10 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดในปี 2567

  1. จีน 6,733,162 คน
  2. มาเลเซีย 4,952,078 คน
  3. อินเดีย 2,129,149 คน
  4. เกาหลีใต้ 1,868,945 คน
  5. รัสเซีย 1,745,327 คน
  6. ลาว 1,124,202 คน
  7. ไต้หวัน 1,089,910 คน
  8. ญี่ปุ่น 1,050,904 คน
  9. สหรัฐอเมริกา 1,030,733 คน
  10. สิงคโปร์ 1,009,640 คน

ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% จากปีก่อน สร้างรายได้ 950,000 ล้านบาท

เชียงราย: หนึ่งในจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด

เชียงรายเป็น หนึ่งใน 5 จังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 5 ด้วยรายได้ 38,493 ล้านบาท รองจาก กรุงเทพฯ (173,181 ล้านบาท) ชลบุรี (103,987 ล้านบาท) เชียงใหม่ (60,783 ล้านบาท) และประจวบคีรีขันธ์ (43,066 ล้านบาท)

ในส่วนของตลาดนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% เทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ 950,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.03%

5 อันดับจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปมากที่สุด:

  1. กรุงเทพมหานคร – 30.80 ล้านคน
  2. ชลบุรี – 15.51 ล้านคน
  3. กาญจนบุรี – 14.70 ล้านคน
  4. ประจวบคีรีขันธ์ – 10.83 ล้านคน
  5. เพชรบุรี – 10.72 ล้านคน

ข้อคิดเห็นและมุมมองที่แตกต่าง

จากข้อมูลที่ได้รวบรวมมา มีข้อคิดเห็นจากสองมุมมองที่เกี่ยวกับสถานการณ์การท่องเที่ยวในเชียงราย ได้แก่:

  1. มุมมองเชิงบวก:
  • เชียงรายกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ
  • การเดินทางที่สะดวกขึ้นช่วยเพิ่มศักยภาพของจังหวัดให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ
  • รายได้จากการท่องเที่ยวสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และสร้างอาชีพให้กับประชาชน
  1. มุมมองเชิงกังวล:
  • การเติบโตของนักท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากไม่มีมาตรการจัดการที่ดี
  • เชียงรายยังคงเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศจากไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดในสายตานักท่องเที่ยว
  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น

ภาพรวของเชียงราย

เชียงรายยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปและเอเชียที่เลือกเข้าพักเฉลี่ย 5.74 คืน ซึ่งสูงกว่าหลายจังหวัดในภาคเหนือ ข้อมูลจากปี 2567 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ก็ต้องมีการพัฒนามาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวในระยะยาว

สรุปภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

เมื่อรวมรายได้จากทั้งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวในประเทศ ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2.62 ล้านล้านบาท ในปี 2567 แม้ว่าจะยังต่ำกว่าเป้าหมายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ตั้งไว้ 3 ล้านล้านบาท แต่ถือเป็นแนวโน้มเชิงบวกที่แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19

ในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนและการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองจะเป็นกุญแจสำคัญ ในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / TAT Intelligence Center / โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

“นักฉุกเฉินการแพทย์” ขาดแคลน! ม.พะเยา เป็นที่เดียวของภาคเหนือที่เปิดสอน

นักฉุกเฉินการแพทย์ฮีโร่! 10 สถาบันร่วมมือ ผลิต 15,000 คน

พะเยา, 8 มีนาคม 2568 – ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ต้องใช้การช่วยชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของ “นักฉุกเฉินการแพทย์” ซึ่งเป็นอาชีพที่ขาดแคลนและมีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตคนในยามวิกฤต]

อาชีพนักฉุกเฉินการแพทย์: เสาหลักของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน

ข้อมูลเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 นักฉุกเฉินการแพทย์เป็นอาชีพที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยมากนัก แต่เป็นอาชีพที่ขาดแคลนและจำเป็นอย่างยิ่งต่อสังคม โดยเฉพาะในภาคเหนือซึ่งมีสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนในระดับปริญญาเพียงแห่งเดียว คือ มหาวิทยาลัยพะเยา ประเทศไทยได้เริ่มมีการจัดการศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ในระดับปริญญามาแล้วประมาณ 13 ปี ปัจจุบันมีผู้สำเร็จการศึกษาสาขาฉุกเฉินการแพทย์เพียง 674 คน โดยสามารถผลิตบัณฑิตใหม่ได้เพียงปีละ 180-200 คน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ

ความร่วมมือเพื่อพัฒนาอาชีพฉุกเฉินการแพทย์

มหาวิทยาลัยพะเยา โดยอธิการบดี รองศาสตราจารย์ ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ ร่วมเป็นหนึ่งใน 10 สถาบันที่ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่ายเพื่อผลิตบัณฑิตฉุกเฉินการแพทย์ โดยมีเป้าหมายผลิตบุคลากรให้ได้ 15,000 คนในระยะเวลา 10 ปี จากที่เคยผลิตได้เพียงปีละ 200 คน งานลงนามดังกล่าวได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และศาสตราจารย์ นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นสักขีพยาน ร่วมกับตัวแทนสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ

10 สถาบันที่เข้าร่วมประกอบด้วย:

  1. สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
  2. มหาวิทยาลัยมหิดล
  3. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  4. มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
  5. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  6. มหาวิทยาลัยพะเยา
  7. มหาวิทยาลัยบูรพา
  8. มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
  9. สถาบันพระบรมราชชนก
  10. วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

บทบาทและความสำคัญของนักฉุกเฉินการแพทย์

นักฉุกเฉินการแพทย์ หรือ Paramedic เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานนอกโรงพยาบาล โดยมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินตั้งแต่จุดเกิดเหตุจนถึงโรงพยาบาล พวกเขาจะต้องสามารถให้การช่วยชีวิตขั้นสูง เช่น การช่วยหายใจ การกู้ชีพ การจัดการภาวะฉุกเฉินด้านหัวใจ และการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น กู้ภัย หน่วยดับเพลิง และตำรวจ เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

โอกาสทางอาชีพของนักฉุกเฉินการแพทย์

เมื่อสำเร็จการศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ นักศึกษาจะมีโอกาสทำงานในหลากหลายสถานที่ ได้แก่:

  • หน่วยแพทย์ฉุกเฉินของโรงพยาบาล
  • ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการฉุกเฉิน (EMS Dispatch Center)
  • หน่วยกู้ชีพและกู้ภัย
  • หน่วยสนับสนุนทางการแพทย์ในองค์กรต่างๆ เช่น ท่าอากาศยาน และสถานประกอบการขนาดใหญ่

โครงสร้างการศึกษาและการฝึกอบรม

การศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ใช้ระยะเวลา 4 ปี โดยนักศึกษาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ:

  • กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา
  • การกู้ชีพและช่วยชีวิตขั้นสูง (Advanced Life Support – ALS)
  • การใช้เครื่องมือแพทย์ฉุกเฉิน เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ และอุปกรณ์ช่วยหายใจ
  • การปฏิบัติการภาคสนามและการฝึกภาคปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง

ความท้าทายและแนวทางพัฒนาอาชีพนักฉุกเฉินการแพทย์ในอนาคต

แม้ว่าประเทศไทยจะมีการพัฒนาด้านการแพทย์ฉุกเฉินมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องแก้ไข เช่น:

  • การขาดแคลนบุคลากร เนื่องจากอัตราการผลิตบัณฑิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ
  • การกระจายตัวของบุคลากร โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ยังขาดแคลนหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉิน
  • ความจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้บุคลากรมีความสามารถในการปฏิบัติงานในระดับสากลได้

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนักฉุกเฉินการแพทย์ที่ได้รับใบประกอบวิชาชีพเพียง 674 คน ขณะที่มีหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ ทำให้มีอัตราบุคลากรไม่เพียงพออย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล

นอกจากนี้ จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าในปี 2567 มีการเรียกใช้บริการฉุกเฉินทางการแพทย์กว่า 2 ล้านครั้งต่อปี โดยอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสาเหตุหลักที่ต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉินสูงสุด

ข้อสรุป

อาชีพนักฉุกเฉินการแพทย์เป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างมากในระบบสาธารณสุขของประเทศไทย เนื่องจากเป็นแนวหน้าในการช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินในสถานการณ์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีอัตราการขาดแคลนบุคลากรสูง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาด้านฉุกเฉินการแพทย์ให้มากขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีคุณภาพและครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยพะเยา / admissionpremium 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ไขข้อข้องใจ เหตุผลที่สายการบินเปิดบินเฉพาะฤดูกาล

เข้าใจระบบการจัดสรรเวลาการบินและผลกระทบต่อผู้โดยสาร

ประเทศไทย, 7 มีนาคม 2568 – อุตสาหกรรมการบินเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตารางบินซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองช่วงหลัก ได้แก่ ตารางบินฤดูร้อน และ ตารางบินฤดูหนาว ซึ่งมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการเส้นทางบินและการใช้ทรัพยากรของสายการบิน รวมถึงการรองรับความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร

หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุใดบางเส้นทางบินจึงเปิดให้บริการเฉพาะในบางช่วงของปี และบางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าสายการบินมีการยกเลิกเที่ยวบิน ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนตาม ฤดูกาลการบิน” (Season) ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดย สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association – IATA) และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)

ฤดูกาลการบินคืออะไร?

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ได้กำหนดคำว่า ฤดูกาลการบิน” (Season) ไว้ในระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเวลาการเข้าออกสนามบินของอากาศยาน โดยกำหนดให้แบ่งตารางบินออกเป็นสองช่วง คือ:

  • ตารางบินฤดูร้อน (Summer Schedule – S): เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ไปจนถึงวันเสาร์สุดท้ายของเดือนตุลาคม มีระยะเวลาประมาณ 30 สัปดาห์
  • ตารางบินฤดูหนาว (Winter Schedule – W): เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ไปจนถึงวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมีนาคมของปีถัดไป มีระยะเวลาประมาณ 22 สัปดาห์

เช่น W24/25 หมายถึง ตารางบินฤดูหนาวของปี 2024 จนถึงต้นปี 2025

เหตุผลที่สายการบินปรับตารางบินตามฤดูกาล

  1. ความต้องการเดินทางเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้สายการบินเปิดทำการบินเฉพาะบางช่วง คือ อุปสงค์ของผู้โดยสารที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ตัวอย่างเช่น:

  • ฤดูหนาว: นักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกามักเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อหลีกหนีอากาศหนาว ทำให้มีเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น
  • ฤดูร้อน: การเดินทางในภูมิภาคเอเชียมีความคึกคักขึ้น เช่น การเดินทางในประเทศและภูมิภาคอาเซียน
  1. ข้อจำกัดของสนามบินและการจัดสรรเวลาการบิน (Slot Coordination)

สายการบินไม่สามารถกำหนดตารางบินเองได้โดยอิสระ แต่ต้องได้รับการจัดสรรเวลาบินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย สนามบินถูกแบ่งเป็น 3 ระดับ ตามข้อกำหนดของ IATA:

  • ระดับ 1 (Non-Coordinated): สนามบินที่ไม่มีข้อจำกัดด้านความจุ
  • ระดับ 2 (Facilitated): สนามบินที่มีโอกาสเกิดความคับคั่งบางช่วง เช่น สนามบินเชียงรายและหาดใหญ่
  • ระดับ 3 (Coordinated): สนามบินที่มีข้อจำกัดด้านโครงสร้างและต้องมีการจัดสรรเวลาบิน เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่
  1. ปัจจัยด้านสภาพอากาศและเส้นทางบิน
  • ทิศทางลมและสภาพอากาศมีผลต่อการทำการบิน เช่น ฤดูหนาวในบางประเทศอาจมีหิมะตกหนัก ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือระงับเที่ยวบินชั่วคราว
  • เวลาออมแสง (Daylight Saving Time – DST) ทำให้ต้องปรับตารางบินให้สอดคล้องกับเวลาท้องถิ่นของประเทศปลายทาง

ตารางบินฤดูหนาว 2024/2025 (W24/25) และแนวโน้มของอุตสาหกรรมการบิน

จากข้อมูลของ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่า:

  • คาดว่าจะมีเที่ยวบินเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 427,994 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 124% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
  • ในจำนวนนี้ มี 370,239 เที่ยวบิน ที่ดำเนินการใน 6 สนามบินหลักของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
  • เส้นทางบินยอดนิยม ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย สิงคโปร์ และฮ่องกง

การเปลี่ยนแปลงของผู้โดยสารในตารางบินฤดูร้อน 2025 (S25)

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ AOT คาดการณ์ว่าในช่วงตารางบินฤดูร้อน 2025 (S25) จะมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปี 2024

  • ผู้โดยสารในประเทศ: เพิ่มจาก 24 ล้านคนเป็น 32 ล้านคน
  • ผู้โดยสารระหว่างประเทศ: เพิ่มจาก 42 ล้านคนเป็น 55 ล้านคน
  • จำนวนเที่ยวบินคาดการณ์: เพิ่มขึ้นจาก 419,520 เที่ยวบินในปี 2024 เป็น 533,037 เที่ยวบินในปี 2025

ผลกระทบต่อผู้โดยสาร

การแบ่งฤดูกาลการบินส่งผลกระทบต่อการเดินทางของผู้โดยสาร ดังนี้:

  1. การจองตั๋วเครื่องบินและตารางบิน
  • สายการบินมักเปิดให้จองตั๋วล่วงหน้า 1-2 ฤดูกาลการบิน (6-12 เดือน) ทำให้ผู้โดยสารสามารถวางแผนเดินทางได้ง่ายขึ้น
  • บางสายการบินต้นทุนต่ำอาจเปิดตารางบินล่วงหน้า 3-4 ฤดูกาลการบิน ทำให้สามารถ จองตั๋วข้ามปีได้
  1. การเปลี่ยนแปลงของตารางบิน
  • เมื่อเปลี่ยนฤดูกาลการบิน อาจมีการ เพิ่ม ลด หรือเปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน
  • เส้นทางบินใหม่มักถูกเปิดตัวในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล และมักมี โปรโมชั่นราคาพิเศษ
  1. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการยกเลิกเที่ยวบิน
  • หลายคนเข้าใจผิดว่าสายการบิน ยกเลิกเส้นทางบิน แต่แท้จริงแล้ว เป็นการเปิดให้บริการตามฤดูกาลการบิน
  • เส้นทางบางเส้นทาง เช่น เที่ยวบินเช่าเหมาลำสำหรับนักท่องเที่ยว มักถูกกำหนดให้มีเฉพาะบางช่วงของปี

สรุป

ตารางบินฤดูหนาวและฤดูร้อนถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้สายการบิน สามารถบริหารจัดการเส้นทางบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ สอดคล้องกับความต้องการเดินทางของผู้โดยสารในแต่ละช่วง การเข้าใจหลักการของฤดูกาลการบินจะช่วยให้ผู้โดยสารสามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างเหมาะสม ลดความสับสนเกี่ยวกับการเปิด-ปิดเส้นทางบิน และสามารถเลือกช่วงเวลาการเดินทางที่คุ้มค่าที่สุดได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : wingtips

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายพ่นละอองน้ำ ดักฝุ่นหลังน้ำท่วม สู้ PM2.5

เทศบาลนครเชียงรายเร่งสร้างละอองน้ำลดฝุ่น PM2.5 และฟื้นฟูหลังอุทกภัย

มาตรการเร่งด่วนเพื่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในเขตเทศบาล

เชียงราย, 7 มีนาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และ นายธเนศ โกมลธง รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยข้าราชการ เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภาคีเครือข่าย และโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค นำโดย นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ได้ร่วมกันดำเนินมาตรการ พ่นละอองน้ำในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมหลังอุทกภัยที่เพิ่งผ่านพ้นไป

แนวทางปฏิบัติและพื้นที่ดำเนินการ

มาตรการพ่นละอองน้ำของเทศบาลนครเชียงรายครอบคลุมพื้นที่ที่มีปัญหาฝุ่นละอองและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยในช่วงเช้าได้มีการ ล้างถนนและดูดโคลนเลน ตามถนนสายหลักในเขตเมืองเชียงราย จากนั้นได้ดำเนินการพ่นละอองน้ำในจุดสำคัญ ได้แก่:

  • ถนนสิงหไคล (หน้ารพ.โอเวอร์บรุ๊ค)
  • บริเวณอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช
  • สวนตุงและโคมนครเชียงราย

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายพื้นที่การพ่นละอองน้ำไปยังจุดที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น และจุดที่มีค่าฝุ่นละออง PM2.5 สูง เพื่อให้มาตรการนี้สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ของโครงการพ่นละอองน้ำ

นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค กล่าวว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนโดยตรง เพราะฝุ่น PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจ อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นอกจากประโยชน์ด้านสุขภาพแล้ว มาตรการพ่นละอองน้ำยังช่วย บรรเทาความร้อนในช่วงฤดูร้อน ทำให้ประชาชนรู้สึกสบายขึ้น และช่วยลดอุณหภูมิในเขตเมืองเชียงราย ซึ่งได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน

การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า: ถังน้ำจากภารกิจช่วยเหลืออุทกภัย

หนึ่งในแนวทางที่เทศบาลนครเชียงรายนำมาใช้คือการ ปรับใช้ถังน้ำขนาดใหญ่ที่เคยนำไปช่วยเหลือประชาชนในช่วงประสบอุทกภัย โดยนำกลับมาบรรจุน้ำสะอาดเพื่อใช้ในการพ่นละอองน้ำ ซึ่งช่วยลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงาน

สถิติและข้อมูลเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพ

จากรายงานของ กรมควบคุมมลพิษ พบว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงสุดในภาคเหนือ โดยในช่วงเดือนมีนาคม ค่าฝุ่น PM2.5 มีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 80 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

จากสถิติของ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ระบุว่า จำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นกว่า 35% ในช่วงเดือนที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

เสียงสะท้อนจากประชาชนต่อมาตรการพ่นละอองน้ำ

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ: ชาวเชียงรายหลายคนเห็นด้วยกับมาตรการพ่นละอองน้ำ โดยให้ความเห็นว่าเป็นแนวทางที่สามารถช่วยลดฝุ่นได้ในระยะสั้น และช่วยให้สภาพอากาศดีขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้สัญจรและชุมชนหนาแน่น

นายสมพงษ์ ชาวเชียงราย ให้ความเห็นว่า พ่นละอองน้ำช่วยให้หายใจโล่งขึ้น ลดฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ รู้สึกดีขึ้นเวลาขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านจุดที่มีการพ่นน้ำ”

ฝ่ายที่มีข้อกังวล: บางกลุ่มมองว่ามาตรการพ่นละอองน้ำเป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราวและไม่สามารถแก้ไขต้นเหตุของปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้อย่างถาวร โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันจากการเผาป่าและการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศหลักของภาคเหนือ

นางสาวปรียานุช นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การพ่นละอองน้ำช่วยลดฝุ่นได้ชั่วคราว แต่ต้นเหตุของปัญหามาจากการเผาป่าและการเผาเศษวัสดุการเกษตร หากไม่แก้ไขที่ต้นตอ ปัญหาฝุ่น PM2.5 ก็จะกลับมาเหมือนเดิม”

แนวทางเพิ่มเติมในการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5

นักวิชาการและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมเสนอว่า ควรมี มาตรการควบคุมการเผาในที่โล่ง และ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีลดควันในการเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ การติดตั้ง เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ในพื้นที่สาธารณะ และ การใช้รถบรรทุกน้ำฉีดพ่นถนนในพื้นที่ที่มีฝุ่นสะสมสูง ก็เป็นอีกทางเลือกที่ควรได้รับการพิจารณา

สรุป

มาตรการพ่นละอองน้ำของเทศบาลนครเชียงรายถือเป็นแนวทางเร่งด่วนที่สามารถช่วย ลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ ได้ในระยะสั้น และช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมหลังอุทกภัย อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของมาตรการดังกล่าว และความจำเป็นในการจัดการต้นตอของปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างแนวทางที่สามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“อ.แม่สรวย” ติดไฟ 133 ต้น อบต.ป่าแดด แก้ปัญหาจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ

อบต.ป่าแดด เดินหน้าติดตั้งไฟส่องสว่าง 133 ต้น เพิ่มความปลอดภัยบนถนนสายแม่สรวย-ฝาง

ลดอุบัติเหตุ เพิ่มแสงสว่างให้ชุมชน คาดแล้วเสร็จเมษายน 2568

เชียงราย, 7 มีนาคม 2568 – นายชัยธวัช สิทธิสม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลป่าแดด ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างสาธารณะ บนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 109 สายแม่สรวย-ฝาง จังหวัดเชียงราย โดยมีการดำเนินงานติดตั้งเสาไฟฟ้าส่องสว่างจำนวน 133 ต้น เริ่มต้นจากหมู่ที่ 1 บ้านดงน้ำใส ไปจนถึงบริเวณใกล้เขื่อนแม่ตาช้าง คาดว่าการติดตั้งจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2568

ปัญหาความมืดและอุบัติเหตุบ่อยครั้งเป็นเหตุผลหลักในการดำเนินโครงการ

เส้นทางดังกล่าวเป็นทางหลวงสายหลักที่เชื่อมต่อระหว่างอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย และอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งผ่านหลายหมู่บ้าน ได้แก่ บ้านห้วยอ้อ (หมู่ 1), บ้านสันโค้ง (หมู่ 16), บ้านทุ่งรวงทอง (หมู่ 15), และบ้านใหม่เจริญ (หมู่ 14) โดยมีจุดเชื่อมต่อทางเข้าหมู่บ้านหลายแห่ง อีกทั้งรถยนต์ที่สัญจรผ่านมีความเร็วสูง แต่กลับไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างในช่วงเวลากลางคืน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

องค์การบริหารส่วนตำบลป่าแดดได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว และได้ทำเรื่องขอความอนุเคราะห์จาก แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2567 เพื่อให้ดำเนินการติดตั้งไฟส่องสว่าง ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ดำเนินโครงการ และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการติดตั้ง

เส้นทางแม่สรวย-ฝาง: ถนนสายหลักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 109 สายแม่สรวย-ฝาง มีระยะทาง 61.133 กิโลเมตร เป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่าง อำเภอฝาง อำเภอแม่อาย และอำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ ไปยัง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เดิมเส้นทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ที่เริ่มต้นจากบ้านป่าสัก อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ผ่าน อำเภอแม่ลาว อำเภอแม่สรวย และไปบรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 107 ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

ในปี 2513 ได้มีการสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1019 (แม่สรวย-เวียงป่าเป้า-ดอยสะเก็ด) ซึ่งส่งผลให้ช่วง บ้านป่าสัก-แม่สรวย ถูกปรับรวมเข้ากับเส้นทางดังกล่าว และภายหลังในปี 2537 ได้กำหนดให้เป็นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 118 ปัจจุบันถนนสายแม่สรวย-ฝางจึงเหลือเฉพาะเส้นทางจาก แม่สรวยไปฝางเท่านั้น

เส้นทางที่เคยรับเสด็จในอดีต

ถนนเส้นนี้ยังมีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ เนื่องจากเมื่อปี 2501 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ถิ่นทุรกันดารภาคเหนือ และได้เสด็จผ่านถนนเส้นนี้ซึ่งขณะนั้นเพิ่งตัดใหม่ ทำให้เส้นทางนี้เป็นที่จดจำในฐานะเส้นทางพระราชดำเนินอีกสายหนึ่งของประเทศไทย

สรุป

โครงการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างสาธารณะบนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 109 สายแม่สรวย-ฝาง ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน โดยได้รับการสนับสนุนจาก อบต.ป่าแดด และแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดอุบัติเหตุและเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

แม้ว่าจะได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังคงมีข้อเสนอให้มีมาตรการเพิ่มเติม เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและป้ายแจ้งเตือน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน เดือนเมษายน 2568 และจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยส่งเสริมความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนตำบลป่าแดด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ชมกัปตัน ‘จักรี’ ฝนหลวงกล้าหาญ ปลดกระเช้าช่วย ฮ. ดับไฟป่าลำพูน

วินาทีชีวิต! กัปตันจักรีตัดสินใจเฉียบขาด ปลดกระเช้าตักน้ำกู้ภัย ฮ. ฝนหลวง

การตัดสินใจในเสี้ยววินาทีเพื่อรักษาความปลอดภัยและปฏิบัติภารกิจดับไฟป่า

ลำพูน, 7 มีนาคม 2568 – กัปตันจักรี ผู้บังคับอากาศยาน Bell 407 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากตัดสินใจปลดกระเช้าตักน้ำกลางอากาศเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจทำให้เฮลิคอปเตอร์ตกน้ำ ขณะทำภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน

เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่เฮลิคอปเตอร์ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กำลังตักน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สาร ตำบลศรีบัวบาน อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เพื่อนำไปดับไฟป่าที่กำลังลุกลามในเขตพื้นที่ป่าไม้ของจังหวัดลำพูน แต่ระหว่างที่เครื่องกำลังยกตัวขึ้น ปรากฏว่ากระเช้าตักน้ำได้ไปติดกับอวนดักปลาของชาวบ้าน ทำให้เครื่องไม่สามารถยกตัวขึ้นได้ตามปกติ

ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน กัปตันจักรีจึงตัดสินใจปลดสายเคเบิลของกระเช้าตักน้ำออกจากตัวเฮลิคอปเตอร์ทันที เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจทำให้เครื่องเสียการทรงตัวและตกลงไปในน้ำ ซึ่งการตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนี้ช่วยป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้

แผนการกู้คืนกระเช้าตักน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สาร

ภายหลังจากเฮลิคอปเตอร์สามารถยกตัวขึ้นได้อย่างปลอดภัย ทางหน่วยกู้ภัยและนักประดาน้ำจาก หน่วยกู้ภัยภาค 5 กู้ภัยเพชรเกษม กู้ภัยอมรินทร์ใต้ ลำพูน และทีมเทวฤทธิ์ ได้รับการประสานให้งมค้นหากระเช้าตักน้ำที่จมอยู่ในอ่างเก็บน้ำแม่สาร ซึ่งมีความลึกประมาณ 10 เมตร การค้นหาดำเนินไปอย่างระมัดระวังจนกระทั่งสามารถนำกระเช้าตักน้ำขึ้นมาได้สำเร็จ

เสียงชื่นชมและความสำคัญของภารกิจดับไฟป่า

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดับไฟป่าและการปฏิบัติภารกิจทางอากาศ เนื่องจากนักบินที่ทำภารกิจเหล่านี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน พื้นที่ปฏิบัติการที่เป็นภูเขาสูง และความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกวินาที

กัปตันจักรี ได้แสดงให้เห็นถึง ความกล้าหาญและสติปัญญาในการตัดสินใจที่แม่นยำ เพื่อรักษาความปลอดภัยของตนเอง ทีมงาน และอากาศยาน รวมถึงป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนและทรัพย์สินในพื้นที่

ไฟป่าในลำพูน: สถานการณ์และความเสียหาย

ปัญหาไฟป่าในจังหวัดลำพูน โดยเฉพาะในเขตอำเภอแม่ทา เป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชน จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่า ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ลำพูนเพิ่มขึ้นเกินค่ามาตรฐานในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นผลมาจากการเผาป่าและการลุกลามของไฟป่า

จากสถิติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในปี 2567 พบว่า ไฟป่าในภาคเหนือมีพื้นที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 1.2 ล้านไร่ และมีจุดความร้อน (Hotspot) มากกว่า 10,000 จุด โดยเฉพาะในจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติอยู่เป็นจำนวนมาก

การสนับสนุนจากภาครัฐและแนวทางแก้ไขปัญหาไฟป่า

รัฐบาลไทยได้ประกาศมาตรการเร่งด่วนในการควบคุมไฟป่า โดยมีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและโดรนในการเฝ้าระวัง รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อลดการเผาป่า นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ให้สามารถดำเนินภารกิจดับไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ประชาชนและอาสาสมัครในพื้นที่ยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันไฟป่า โดยการแจ้งเตือนจุดเกิดเหตุไฟป่า และร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการดับไฟ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะลุกลามไปยังพื้นที่ใกล้เคียง

มุมมองของประชาชนต่อภารกิจเสี่ยงอันตรายของนักบิน

ประชาชนทั่วไปต่างแสดงความชื่นชมและให้กำลังใจทีมงานกรมฝนหลวงและการบินเกษตร รวมถึงหน่วยดับไฟป่าที่ทำงานอย่างหนักเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและความปลอดภัยของชุมชน

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับ ความเสี่ยงของนักบินและเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน ที่ต้องปฏิบัติภารกิจในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย บางฝ่ายเสนอให้มีการปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย และเพิ่มงบประมาณในการจัดหาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อสนับสนุนภารกิจเหล่านี้ เช่น การใช้เครื่องบินดับเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือการใช้ระบบเติมน้ำอัตโนมัติที่ลดความเสี่ยงของนักบิน

สรุป

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกัปตันจักรีและเฮลิคอปเตอร์ Bell 407 สะท้อนให้เห็นถึง ความเสียสละและความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าภารกิจดับไฟป่าจะเต็มไปด้วยความท้าทายและอันตราย แต่ก็เป็นหน้าที่สำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

จากกรณีนี้ ยังเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับ ความสำคัญของการเตรียมความพร้อมและมาตรการความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจทางอากาศ ซึ่งควรได้รับการพัฒนาและสนับสนุนให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับปัญหาไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แองเจิลเชียงรายคืนสนามบิน ต้อนรับนักท่องเที่ยว หลังดราม่าหนัก

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายต้อนรับ “Angel Of Chiang Rai” อย่างเป็นทางการ

ฟื้นคืนแลนด์มาร์กศิลปะเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม

[ประเทศไทย, 7 มีนาคม 2568] – ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จัดกิจกรรมต้อนรับ “Angel Of Chiang Rai” ณ อาคารผู้โดยสาร โดยมี นางแสงเดือน อ้องแสนคำ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ด้านสนับสนุนธุรกิจ) และ ดร.สิทธิปัฐพ์ มงคลอภิบาลกุล รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ด้านปฏิบัติการและบำรุงรักษา) ร่วมมอบของที่ระลึกตราสัญลักษณ์ AOT ให้แก่ผู้โดยสาร พร้อมกิจกรรมถ่ายภาพร่วมกับผลงานศิลปะอันโดดเด่นนี้

“Angel Of Chiang Rai” เป็นผลงานของ อาจารย์ไกรวุฒิ ดอนจักร ศิลปินจากสมาคมขัวศิลปะเชียงราย ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจจากการรวม 10 ชาติพันธุ์ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประติมากรรมนี้เคยถูกจัดแสดงที่ด่านพรมแดนไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 ก่อนที่จะถูกย้ายไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย (CCAM) และได้รับการบูรณะซ่อมแซมก่อนที่จะกลับมาตั้ง ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงรายในเดือนมีนาคม 2568

กระแสดราม่าจากอดีตสู่ปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ ประติมากรรม “Angel Of Chiang Rai” เคยตกเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ หลังเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ทำให้ชาวบ้านบางส่วนเชื่อมโยงเหตุการณ์น้ำท่วมกับการติดตั้งรูปปั้นดังกล่าว ณ ด่านพรมแดนไทย-เมียนมาแห่งที่ 1 โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า แม้น้ำจะท่วมสูง แต่รูปปั้นกลับไม่ได้รับความเสียหาย ส่งผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป

ในขณะเดียวกัน อาจารย์ไกรวุฒิ ดอนจักร ศิลปินเจ้าของผลงาน ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ศิลปะไม่มีอำนาจในการก่อภัยพิบัติ” และขอให้ผู้ที่เชื่อมโยงงานศิลปะกับภัยธรรมชาติ ใช้เหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการอธิบายมากกว่าความเชื่อส่วนบุคคล นอกจากนี้ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ยังได้ออกมาปกป้องงานศิลปะดังกล่าว โดยกล่าวว่า เป็นเรื่องไร้สาระที่จะโทษรูปปั้นว่าเป็นต้นเหตุของน้ำท่วม” และเสนอให้ย้ายรูปปั้นไปยังพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงรายเพื่อป้องกันกระแสต่อต้านที่อาจเกิดขึ้น

“Angel Of Chiang Rai” กับบทบาทใหม่ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย

การนำ “Angel Of Chiang Rai” กลับมาติดตั้งที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงการคืนแลนด์มาร์กศิลปะให้กับจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาคุณภาพการให้บริการผู้โดยสารของท่าอากาศยาน โดยมุ่งเน้นการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตรต่อผู้เดินทาง รวมถึงการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

ทั้งนี้ การนำงานศิลปะกลับมาติดตั้งยังสอดคล้องกับแนวทางขององค์การยูเนสโก ที่ประกาศให้เชียงรายเป็น เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ” (City of Design) ซึ่งเป็นโอกาสในการต่อยอดด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัด

ความคิดเห็นของประชาชนต่อ “Angel Of Chiang Rai”

แม้ว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับรูปปั้นในอดีต แต่ปัจจุบัน “Angel Of Chiang Rai” ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้โดยสารที่เดินทางมายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย หลายคนเห็นว่างานศิลปะชิ้นนี้เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในเชียงราย และสมควรได้รับการอนุรักษ์และเผยแพร่ในฐานะส่วนหนึ่งของมรดกศิลปะร่วมสมัย

อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการนำรูปปั้นกลับมาติดตั้ง โดยให้เหตุผลว่าความเชื่อทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ควรเคารพ และหากประชาชนบางส่วนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับฮวงจุ้ยหรืออาถรรพ์ ก็ควรหาสถานที่ที่เหมาะสมมากกว่าสำหรับการจัดแสดง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับศิลปะและการท่องเที่ยวในเชียงราย

จากข้อมูลของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่า เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม โดยในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนจังหวัดเชียงรายกว่า 2.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 15% นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเชียงราย (CCAM) มีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นกว่า 30% หลังจากมีการจัดแสดงผลงานศิลปะที่หลากหลาย รวมถึงการนำ “Angel Of Chiang Rai” กลับมาติดตั้งอีกครั้ง

นักวิชาการด้านศิลปะและวัฒนธรรมให้ความเห็นว่า การใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงรายที่มีความโดดเด่นด้านศิลปะร่วมสมัยและวัฒนธรรมชาติพันธุ์ หากมีการบริหารจัดการและประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม อาจทำให้เชียงรายก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางศิลปะระดับนานาชาติได้ในอนาคต

บทสรุป

การกลับมาของ “Angel Of Chiang Rai” ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไม่เพียงแต่เป็นการคืนแลนด์มาร์กให้กับจังหวัด แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการพัฒนาเมืองผ่านศิลปะ อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เคยเป็นกระแสดราม่าในอดีตสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางความเชื่อในสังคมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรได้รับการพูดคุยและทำความเข้าใจร่วมกัน

ในขณะที่เชียงรายยังคงเดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางในการสร้างการรับรู้และเชื่อมโยงกับนักท่องเที่ยวอาจเป็นแนวทางที่ช่วยให้เมืองนี้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport – CEI

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลปิดเว็บพนัน 8 หมื่นเคส 5 เดือน จับ “มินนี่” ซ้ำ

รัฐบาลเร่งปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ปิดเว็บผิดกฎหมายกว่า 80,000 รายการ ใน 5 เดือน

มาตรการเข้ม! ปิดเว็บพนัน หลอกลวง และเนื้อหาผิดกฎหมาย ป้องกันภัยไซเบอร์

ประเทศไทย, 7 มีนาคม 2568 – รัฐบาลไทยเดินหน้ามาตรการเข้มข้นในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) รายงานว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 – กุมภาพันธ์ 2568 ได้ดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายแล้วกว่า 80,000 รายการ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 1.5 เท่า ถือเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันประชาชนจากภัยไซเบอร์

ผลการดำเนินงานและประเภทของเนื้อหาที่ถูกปิดกั้น

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ เปิดเผยว่า การดำเนินการนี้เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โดยเน้นตัดวงจรการก่ออาชญากรรมผ่านโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ผิดกฎหมาย ผลการปิดกั้นระหว่างเดือนตุลาคม 2567 – กุมภาพันธ์ 2568 มีดังนี้:

  • เว็บพนันออนไลน์ จำนวน 31,832 รายการ เพิ่มขึ้น 1.3 เท่า จากปีก่อน
  • เนื้อหาหลอกลวงออนไลน์ จำนวน 21,939 รายการ ลดลงจากปีก่อน 0.87 เท่า
  • เนื้อหาผิดกฎหมายอื่น ๆ จำนวน 26,898 รายการ เพิ่มขึ้นถึง 6.5 เท่า

นางสาวศศิกานต์ ระบุว่า การดำเนินการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐในการเฝ้าระวังและกำจัดภัยไซเบอร์อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเดินหน้าปราบปรามและปิดกั้นเนื้อหาผิดกฎหมายต่อไป เพื่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน

ปฏิบัติการจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ “มินนี่” สะท้อนปัญหาการฟอกเงิน

นอกจากมาตรการปิดกั้นเว็บผิดกฎหมาย รัฐบาลยังดำเนินการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันและการฟอกเงิน เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. เข้าจับกุม น.ส.ธันยนันท์ หรือ “มินนี่” พร้อมพวก รวม 10 ราย ฐานเปิดเว็บพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย 7 เว็บไซต์ ที่มีเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาท

ผู้ต้องหาถูกตั้งข้อหาจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ สมคบฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน โดยพบว่า 7 รายในเครือข่ายเป็นผู้บริหารที่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อน แต่กลับมากระทำผิดซ้ำ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบว่าเครือข่ายดังกล่าวใช้เทคนิคเปลี่ยนชื่อโดเมน เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และยังมีการถอนเงินจากบัญชีพนันออนไลน์ขณะผู้ต้องหาไปรายงานตัวที่ศาลในคดีเดิม

ย้อนรอยเครือข่ายพนันออนไลน์ “มินนี่” จากปี 2566 สู่การจับกุมซ้ำในปี 2568

เจ้าหน้าที่พบว่า “มินนี่” เคยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2566 ในข้อหาจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์และฟอกเงิน โดยพบของกลางจำนวนมาก รวมถึงสมุดบัญชีธนาคารกว่า 100 รายการ เงินสด 920,000 บาท โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ที่ใช้ดำเนินการเว็บพนัน นอกจากนี้ ยังพบเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 100 ล้านบาท แม้ถูกจับกุมและได้รับการประกันตัว แต่เธอกลับมาเปิดเว็บพนันใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อโดเมนและย้ายฐานข้อมูลลูกค้า เพื่อให้การดำเนินการไม่สะดุด

เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่าเครือข่ายของเธอมีการดำเนินการผ่าน 7 เว็บไซต์ ใช้บัญชีม้าและแอดมินที่คอยดูแลระบบการเงิน โดยมีเงินหมุนเวียนภายในกลุ่มผู้ต้องหากว่า 200 ล้านบาท และยังพบพฤติกรรมการใช้กลยุทธ์ซับซ้อนเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่

บทลงโทษและแนวทางแก้ไขปัญหาเว็บพนันออนไลน์

รัฐบาลไทยตระหนักถึงปัญหาการแพร่ระบาดของเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม การจับกุมและปิดกั้นเว็บพนันถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ควรมีการเพิ่มโทษและมาตรการปราบปรามที่เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันการกลับมากระทำผิดซ้ำ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีในการติดตามและระบุตัวผู้กระทำผิด

สถิติการดำเนินคดีและแนวโน้มอาชญากรรมออนไลน์ในประเทศไทย

จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในปี 2567 มีการจับกุมคดีพนันออนไลน์กว่า 15,000 คดี และมีมูลค่าความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินมากกว่า 500,000 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มปี 2568 คาดว่าจำนวนคดีจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีของกลุ่มอาชญากรมีความซับซ้อนขึ้น

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรบูรณาการความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ เพื่อช่วยติดตามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติและเพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านความปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการพัฒนากฎหมายให้สามารถปิดกั้นและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยสรุป รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างเข้มข้น ทั้งการปิดกั้นเว็บผิดกฎหมายและการจับกุมผู้กระทำผิด แม้ว่าจะมีความท้าทายในด้านเทคนิคและกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย แต่แนวทางที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในขณะนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องประชาชนและสร้างความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ให้กับสังคมไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เมียวดีส่งต่างด้าว “จีนเทา” คืนปักกิ่ง ไทยรับช่วงต่อ

กองกำลัง BGF เตรียมส่งชาวต่างด้าวกว่า 7,000 คน กลับประเทศ ผ่านไทย

จีนเตรียมรับพลเมืองกลับประเทศ ไทยประสานการส่งตัวผ่านแม่สอด

เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง, 7 มีนาคม 2568 – ความคืบหน้ากรณีที่กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ของเมียนมา เตรียมส่งตัวชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง จำนวนกว่า 7,000 คน ให้กับประเทศไทย หลังจากไม่สามารถดูแลบุคคลเหล่านี้ได้ ขณะนี้ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมรับตัว โดยรอเพียงคำสั่งอย่างเป็นทางการจากหน่วยเหนือ

ขั้นตอนการส่งตัวชาวต่างชาติผ่านประเทศไทย

พันโทหน่าย มอซอ โฆษกกองกำลัง BGF เปิดเผยว่า ได้ตรวจเยี่ยมชาวต่างชาติที่อยู่ภายในศูนย์บัญชาการรักษาความปลอดภัย BGF เมืองเมียวดี ซึ่งตรงข้ามกับบ้านริมเมย อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยการส่งตัวบุคคลเหล่านี้จะเริ่มขึ้นตามกำหนดการดังนี้:

  • 6 มีนาคม 2568 จำนวน 456 คน
  • 7 มีนาคม 2568 จำนวน 456 คน
  • 8 มีนาคม 2568 จำนวน 456 คน
  • 9 มีนาคม 2568 จำนวน 71 คน

ทั้งนี้ หากสถานทูตของแต่ละประเทศมีการประสานงานเข้ามา การส่งตัวกลับประเทศต้นทางจะดำเนินการทันที โดยเฉพาะทางการจีน ซึ่งได้เตรียมเครื่องบินรับพลเมืองของตนเองกลับประเทศผ่านท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด

ไทยเตรียมความพร้อมรับตัวชาวจีน 1,439 คน ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2

จังหวัดตากและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมในการรับตัวชาวจีนจำนวน 1,439 คน จากเมืองเมียวดีมายังอำเภอแม่สอด โดยจะเดินทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 บ้านวังตะเคียนใต้ หมู่ 7 ตำบลท่าสายลวด เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนและเจ้าหน้าที่สถานทูตจะใช้รถบัสรับตัวบุคคลเหล่านี้จากเมียวดีและนำส่งไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่สอด ตั้งแต่วันที่ 6-9 มีนาคม 2568

การตรวจสอบและกระบวนการทางกฎหมายของไทย

ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้กำหนดแนวทางดำเนินการกับชาวต่างชาติที่ถูกส่งตัวกลับ โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  1. การรับตัวบุคคลจากเมืองเมียวดี – รถบัสเช่าเหมาลำจากจีนเดินทางผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 โดยมีเจ้าหน้าที่สถานทูตและตำรวจจีนติดตาม พร้อมออกบัตรหมายเลขให้ตรงกับบัญชีรายชื่อ
  2. การดำเนินการของหน่วยงานไทย – กองกำลังเฉพาะกิจราชมนูดูแลความปลอดภัยของบุคคลที่ถูกส่งตัว (จัดเจ้าหน้าที่ 1 นายต่อบุคคลต่างชาติ 1 คน) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งปฏิเสธการเข้าเมือง เนื่องจากเป็นบุคคลต้องห้ามเข้าราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (7) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และแจ้งคำสั่งให้ออกจากราชอาณาจักรตามแบบ ตม. 35
  3. การบันทึกข้อมูลและส่งตัวกลับประเทศ – เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะเก็บอัตลักษณ์บุคคลเพื่อดำเนินการบันทึกลงระบบแบล็กลิสต์ (Blacklist) ของ สตม. และจัดเตรียมกระบวนการส่งตัวกลับประเทศ โดยบุคคลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังสนามบินแม่สอด และเดินทางออกจากประเทศไทยโดยทันที

การคืนทรัพย์สินและการช่วยเหลือชาวต่างชาติ

พันโทหน่าย มอซอ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ทางกองกำลัง BGF ได้คืนโทรศัพท์มือถือให้แก่ชาวต่างชาติที่สามารถแสดงตนเป็นเจ้าของ โดยมีการตรวจสอบผ่านล่ามที่สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ นอกจากนี้ ยังมีการสอบถามถึงกรณีที่มีการทำร้ายร่างกายบุคคลเหล่านี้ พบว่าหลายคนได้รับบาดเจ็บจากพนักงานรักษาความปลอดภัยของกลุ่มบริษัทที่ว่าจ้างให้ดูแลพวกเขา ซึ่งทาง BGF กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด

สถิติและแนวโน้มการส่งตัวชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

ตามรายงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในปี 2567 มีชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถูกส่งกลับประเทศต้นทางผ่านประเทศไทยมากกว่า 10,000 คน โดยส่วนใหญ่มาจากจีน เมียนมา และกัมพูชา ขณะที่ในปี 2568 คาดว่าจำนวนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเข้มข้นขึ้น

ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การส่งตัวบุคคลเหล่านี้กลับประเทศเป็นแนวทางที่ดีในการลดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับมาตรการดูแลสิทธิมนุษยชนของผู้ถูกส่งตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่องค์กรสิทธิมนุษยชนในระดับสากลติดตามอย่างใกล้ชิด

โดยสรุป การประสานความร่วมมือระหว่างไทย จีน และเมียนมา ในการส่งตัวชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์กลับประเทศ นับเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมอาชญากรรมข้ามชาติ และสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังและพัฒนากลไกที่สามารถรักษาสิทธิมนุษยชนของบุคคลเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ศธ.เข้ม! ฟันวินัยครูยุ่งบุหรี่ไฟฟ้า สร้างโรงเรียนปลอดภัย

ศธ. เดินหน้ายกระดับมาตรการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา

ประกาศใช้มาตรการเข้มงวด ป้องกันและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา

เชียงราย, 6 มีนาคม 2568 – พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศใช้มาตรการเข้มงวดในการป้องกันและปราบปรามการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา โดยระบุว่า ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าและยาเสพติดเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและพฤติกรรมของนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม การเรียน และอนาคตของเยาวชนไทย กระทรวงศึกษาธิการจึงได้วางแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะสั้น

มาตรการในระยะสั้นมุ่งเน้นการป้องกันและลดการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนและนักศึกษา โดยดำเนินการดังนี้:

  • กำหนดเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา
  • สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • บูรณาการการเรียนการสอนเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า
  • ปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียนให้รัดกุมขึ้น
  • ประชาสัมพันธ์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการรับรู้
  • พัฒนาบุคลากรให้สามารถป้องกันและให้คำแนะนำเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าได้
  • ร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกในการควบคุมและเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

มาตรการระยะกลางเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายเยาวชน

ในระยะกลาง กระทรวงศึกษาธิการจะขยายผลแนวทางป้องกันและเฝ้าระวัง โดยใช้เทคนิค “เพื่อนเตือนเพื่อน” ผ่านกิจกรรมของสภานักเรียน พร้อมกับสร้างแกนนำเยาวชนในการต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีการ:

  • ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อจัดสัมมนาและกิจกรรมรณรงค์
  • ปรับปรุงหลักสูตรอบรมบุคลากรให้มีเนื้อหาครอบคลุมการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้า
  • บูรณาการมาตรการร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว

มาตรการระยะยาวเพื่อปลูกฝังพฤติกรรมเยาวชน

มาตรการในระยะยาวจะเน้นการปลูกฝังความเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งด้านกฎหมายและสุขภาพ รวมถึง:

  • เสริมบทบาทของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤติในการเฝ้าระวัง
  • ให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและชุมชนเกี่ยวกับผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้า
  • ปรับปรุงกฎหมายให้ข้าราชการมีอำนาจในการตรวจค้นและทำลายบุหรี่ไฟฟ้า
  • คาดโทษทางวินัยบุคลากรทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า

บทลงโทษสำหรับบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า

เพื่อให้บุคลากรในสังกัดเป็นแบบอย่างที่ดี กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดบทลงโทษทางวินัยสำหรับผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า โดยย้ำว่า ข้าราชการครูและบุคลากรทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นักเรียน

สถิติการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนไทย

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2567 พบว่า จำนวนเยาวชนไทยที่เคยทดลองใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนสูงถึง 15% ของกลุ่มอายุ 15-24 ปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีเพียง 12% นอกจากนี้ การสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอุดมศึกษามีแนวโน้มใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่

จากข้อมูลข้างต้น ทำให้กระทรวงศึกษาธิการต้องดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา ซึ่งนอกจากจะเป็นการปกป้องสุขภาพของเยาวชนแล้ว ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเหมาะสมต่อการเรียนรู้ในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงศึกษาธิการ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News