Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจัดประชุม AIPH 2025 มุ่งสู่เมืองสีเขียว

เชียงรายจัดงาน AIPH Green City Conference 2025 มุ่งสู่เมืองสีเขียวและอนาคตยั่งยืน

เชียงราย, 12 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าสู่การเป็นเมืองสีเขียว จัดงาน AIPH Green City Conference 2025: Nature, Culture, and City Life เพื่อผลักดันแนวทางพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนผ่านธรรมชาติและนวัตกรรม โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-14 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท

เปิดเวทีระดับโลก ถกแนวทางการพัฒนาเมืองสีเขียว

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 08.45 น. นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งเป็นเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมพื้นที่สีเขียวในเมือง ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยบุคคลสำคัญ ได้แก่

  • นางวิลาวัณย์ ใคร่ครวญ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร
  • Mr. Leonardo Capitanio ประธานสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH)
  • Mr. Tim Briercliffe เลขาธิการ AIPH
  • ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.วันชัย ศิริชนะ
  • คุณชัชวาลย์ พริ้งพวงแก้ว
  • และสมาชิก AIPH จากหลายประเทศ

เชียงรายกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและแนวทางแก้ไข

ในพิธีเปิดงาน นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ กล่าวถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เชียงรายกำลังเผชิญ โดยเน้นย้ำว่าการผสาน ภูมิปัญญาท้องถิ่น เข้ากับ เทคโนโลยีสมัยใหม่ จะช่วยพัฒนาเมืองให้เติบโตอย่างสมดุลกับธรรมชาติ

แนวทางพัฒนาเมืองสีเขียวของเชียงราย

เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน เชียงรายมุ่งเน้นนโยบายสำคัญ ได้แก่

  • การใช้เทคโนโลยีสีเขียว เพื่อลดมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
  • การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ลดขยะ และพัฒนาการรีไซเคิล
  • การเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและช่วยลดอุณหภูมิเมือง
  • การใช้พลังงานทดแทน ส่งเสริมโซลาร์เซลล์และพลังงานลม
  • การปรับปรุงคุณภาพอากาศ ลดปัญหาหมอกควันจากการเผาไหม้

เชียงรายเป็นเจ้าภาพประชุม AIPH Spring Meeting 2025 & Green City Conference 2025

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) ร่วมกับ จังหวัดเชียงราย, กรมวิชาการเกษตร, และสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย ได้นำเสนอเชียงรายเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลก AIPH Spring Meeting 2025 & Green City Conference 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH)

ประเทศไทยกับบทบาทด้านความยั่งยืนระดับสากล

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงบทบาทของประเทศไทยในเวทีนานาชาติด้าน การพัฒนาเมืองสีเขียว และ ความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ของ สสปน. ที่เน้นอุตสาหกรรม MICE ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การเป็นเจ้าภาพจัดงาน Green City Conference 2025 ไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเชียงรายและประเทศไทย แต่ยังเป็นโอกาสในการแสดงศักยภาพด้านการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับ เมืองสีเขียว และแนวทางการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนในระดับโลก

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Green City Conference 2025

1. AIPH Green City Conference 2025 คืออะไร?

เป็นงานประชุมระดับนานาชาติที่จัดขึ้นโดยสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH) เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาเมืองสีเขียว

2. งานนี้จัดขึ้นที่ไหนและเมื่อไหร่?

จัดขึ้นที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท ระหว่างวันที่ 9-14 กุมภาพันธ์ 2568

3. การพัฒนาเมืองสีเขียวมีประโยชน์อย่างไร?

ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศ ลดอุณหภูมิเมือง เพิ่มพื้นที่สีเขียว และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

4. ใครเข้าร่วมประชุมบ้าง?

มีผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก รวมถึงองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและผู้แทนจากภาครัฐและเอกชน

5. งานนี้ส่งผลต่อเชียงรายอย่างไร?

ช่วยให้เชียงรายเป็นต้นแบบเมืองสีเขียว กระตุ้นเศรษฐกิจ และยกระดับบทบาทของไทยในเวทีนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายสืบสานประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ด อัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำกก

เทศบาลนครเชียงรายจัดพิธีอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำกก สืบสานประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ดในวันมาฆบูชา

เชียงราย,12 กุมภาพันธ์ 2568 เชียงรายจัดพิธีอัญเชิญพระอุปคุต ขึ้นจากแม่น้ำกก  เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่เทศบาล และประชาชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย ได้ร่วมกันประกอบพิธีอัญเชิญ “พระอุปคุต” ขึ้นจากแม่น้ำกก บริเวณสวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เพื่อสืบสานประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่มีมาแต่โบราณ

พิธีดังกล่าวได้รับเกียรติจาก พระครูโสภณ ศิลปาคม เจ้าอาวาสวัดมิ่งเมือง และเจ้าคณะตำบลเวียงเขต 1 จังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมทั้ง นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี โดยการอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำกกครั้งนี้ เป็นไปตามความเชื่อของชาวล้านนาว่า พระอุปคุตเป็นพระอรหันต์ที่มีอิทธิฤทธิ์ สามารถบันดาลโชคลาภและความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้ที่ศรัทธา

พิธีแห่พระอุปคุตและการตักบาตรเป็งปุ๊ด

หลังจากพระอุปคุตได้รับการอัญเชิญขึ้นจากน้ำแล้ว ได้มีการประดิษฐานบน ราชรถบุษบก และเคลื่อนขบวนแห่ไปยังวัดมิ่งเมือง ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีสำคัญในคืน “ตักบาตรเป็งปุ๊ด” ที่ตรงกับวันมาฆบูชาในปีนี้

ช่วงเวลา 00.01 น. เช้าวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 พระสงฆ์เริ่มออกบิณฑบาตจากหน้าวัดมิ่งเมือง ตามถนนบรรพปราการ ผ่าน วงเวียนหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ ไปจนถึงสี่แยกประตูสลี รวมระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี และมีประชาชนรวมถึงนักท่องเที่ยวจำนวนมากร่วมทำบุญตักบาตรด้วยความศรัทธา

ในพิธีนี้ นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ก็ได้เข้าร่วม พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากการประชุม AIPH Spring Meeting & Green City Conference 2025 ซึ่งเป็นงานประชุมระดับนานาชาติ ที่มีตัวแทนจากกว่า 40 ประเทศเข้าร่วม

ความหมายของวันเป็งปุ๊ดในล้านนา

“ตักบาตรเป็งปุ๊ด” หรือ “ตักบาตรเที่ยงคืน” เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณในภาคเหนือของไทย โดยมีความเชื่อว่า วันขึ้น 15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ เป็นวันที่พระอุปคุตซึ่งจำพรรษาอยู่ใต้ทะเลจะขึ้นมาโปรดสัตว์ หากผู้ใดได้ใส่บาตรในวันดังกล่าวจะได้รับอานิสงส์แรง เสริมโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง และความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

ประชาชนชาวล้านนาเชื่อกันว่า พระอุปคุตมักจะ แปลงกายเป็นสามเณรน้อย หรือพระภิกษุเพื่อออกมารับบิณฑบาต ดังนั้นเมื่อถึงวันเป็งปุ๊ด ชาวบ้านจึงมักจะตื่นมาทำบุญตั้งแต่เที่ยงคืน ถือเป็นพิธีที่มีความศักดิ์สิทธิ์และหาชมได้ยาก

ประชาชนร่วมงานตักบาตรเป็งปุ๊ดคึกคัก

พิธี ตักบาตรเป็งปุ๊ด ในปีนี้มีพุทธศาสนิกชนจากทั่วเชียงราย รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยตลอดระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร มีประชาชนนำข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม และของถวายพระมาร่วมตักบาตรกันอย่างคึกคัก

พิธีดังกล่าวยังได้รับความสนใจจากผู้ที่มาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ซึ่งนอกจากจะเป็นการร่วมทำบุญตามความเชื่อของชาวล้านนาแล้ว ยังเป็นโอกาสดีในการสัมผัสวัฒนธรรมล้านนาและศิลปะประเพณีอันทรงคุณค่า

ประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ดเป็นมรดกทางวัฒนธรรม

ประเพณี ตักบาตรเป็งปุ๊ด ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของภาคเหนือ ที่ยังคงได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในแต่ละปีจะมีวันเป็งปุ๊ดเพียง 1 หรือ 2 ครั้ง เท่านั้น ทำให้เป็นโอกาสพิเศษสำหรับพุทธศาสนิกชนที่ต้องการเสริมสิริมงคลแก่ชีวิต

การอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากน้ำและพิธีตักบาตรเที่ยงคืน นอกจากจะเป็นการสืบทอดความเชื่อดั้งเดิมของชาวล้านนาแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงถึงความสามัคคีของชุมชน และการธำรงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมอันดีงามของไทย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ด

1. ประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ดมีขึ้นกี่ครั้งต่อปี?

ปกติแล้ววันเป็งปุ๊ดจะเกิดขึ้นเพียง 1-2 ครั้งต่อปี ขึ้นอยู่กับว่าปีไหนวันเพ็ญ 15 ค่ำตรงกับวันพุธ

2. ตักบาตรเป็งปุ๊ดแตกต่างจากการตักบาตรทั่วไปอย่างไร?

พิธีนี้เป็นการตักบาตรในเวลาเที่ยงคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เชื่อว่าพระอุปคุตจะขึ้นมาจากใต้ทะเลเพื่อโปรดสัตว์ ทำให้ถือเป็นพิธีที่มีความศักดิ์สิทธิ์และพิเศษกว่าการตักบาตรในช่วงเช้าทั่วไป

3. ทำไมต้องอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำ?

ตามความเชื่อของชาวล้านนา พระอุปคุตจำพรรษาอยู่ใต้สะดือทะเล และจะขึ้นมาจากน้ำเพื่อมอบโชคลาภและความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ศรัทธา

4. ใครสามารถเข้าร่วมพิธีตักบาตรเป็งปุ๊ดได้บ้าง?

ทุกคนสามารถเข้าร่วมพิธีได้ ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธหรือนักท่องเที่ยวที่สนใจเรียนรู้วัฒนธรรมล้านนา

5. ของที่นิยมใช้ตักบาตรเป็งปุ๊ดมีอะไรบ้าง?

ของที่นิยมใช้ตักบาตร ได้แก่ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม และของถวายพระ เช่น ธูปเทียนดอกไม้ ซึ่งถือเป็นการทำบุญเพื่อเสริมสิริมงคล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยปลดล็อกเซ็นเซอร์เทศกาลหนังฉายได้เสรี

ปลดล็อกกฎหมายภาพยนตร์ เทศกาลหนังนานาชาติฉายได้โดยไม่ต้องเซ็นเซอร์

กรุงเทพฯม,12 กุมภาพันธ์ 2568  –การปฏิรูปกฎหมายภาพยนตร์ไทยก้าวหน้าไปอีกขั้น หลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศให้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศสามารถฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่ต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ ถือเป็นการเปิดเสรีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ครั้งสำคัญของประเทศ

การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์

สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA) ร่วมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมและคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ได้ผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย จนนำไปสู่การออกประกาศปลดล็อกภายใต้ ประกาศคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ เรื่อง เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศตามมาตรา 27(4) พ.ศ. 2568” ซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568

ตามประกาศฉบับนี้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศในไทยที่ได้รับการรับรอง สามารถฉายภาพยนตร์ได้โดย ไม่ต้องผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาต จากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติอีกต่อไป ซึ่งช่วยลดภาระให้กับผู้จัดงานและทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เปลี่ยนแปลงกระบวนการขออนุมัติเทศกาลภาพยนตร์

ตามกฎใหม่ ผู้จัดงานที่ต้องการให้เทศกาลของตนได้รับการรับรองเป็นเทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศ สามารถ ยื่นคำขอต่อกรมส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างน้อย 15 วันก่อนจัดงาน แทนที่จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 60 วันล่วงหน้าตามระเบียบเดิม

การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้การจัดเทศกาลมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและสามารถรองรับการเข้าร่วมของเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกที่ต้องการนำเสนอภาพยนตร์ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

ความพยายามในการปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมาย

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 มกราคม 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ได้กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2566 ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัย ให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

กฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552 ซึ่งใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ถูกพิจารณาว่าควรปรับปรุงให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันประชาชนสามารถรับชมภาพยนตร์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ นอกเหนือจากโรงภาพยนตร์ อีกทั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์ผลงาน

การขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม

การปลดล็อกเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสะท้อนถึงการขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็น ศูนย์กลางด้านภาพยนตร์” ที่สำคัญของโลก

นายปานปรีย์ กล่าวว่า การแก้ไขครั้งนี้เป็นไปตาม แนวทางของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และ การเพิ่มขีดความสามารถของภาพยนตร์ไทยในเวทีโลก

การลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียม

คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติยังได้อนุมัติให้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) พิจารณาปรับลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่

  • ลดค่าธรรมเนียมตรวจพิจารณาสื่อโฆษณา
  • ลดค่าออกใบแทนใบอนุญาต
  • ลดการเรียกสำเนาบัตรประชาชนและเอกสารประกอบ
  • ยกเลิกข้อกำหนดการแจ้งเปลี่ยนกรรมการผู้จัดการและผู้มีอำนาจลงนาม
  • เพิ่มช่องทางการยื่นขออนุญาตแบบอิเล็กทรอนิกส์

การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยเพิ่มจาก 6 คณะเป็น 10 คณะ แบ่งเป็น

  • คณะพิจารณาภาพยนตร์ 8 คณะ
  • คณะพิจารณาวีดิทัศน์ 2 คณะ

นอกจากนี้ยังมีการปรับสัดส่วนคณะกรรมการให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้น โดยเพิ่มตัวแทนจากภาคเอกชน 3 คน และภาครัฐ 2 คน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการตรวจพิจารณา และให้เอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการกำหนดแนวทางของอุตสาหกรรม

มาตรการสนับสนุนผู้กำกับและโรงภาพยนตร์

ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับข้อเสนอของ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ซึ่งต้องการให้มีการกำหนดรอบฉายที่เป็นธรรมสำหรับภาพยนตร์ไทย คณะกรรมการฯ จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมไปหารือกับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม และนำเสนอต่อที่ประชุมในครั้งถัดไป

อนาคตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

การปลดล็อกครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้เทศกาลภาพยนตร์สามารถจัดฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านการตรวจสอบจากภาครัฐ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไปสู่ระดับนานาชาติ ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการสร้างสรรค์และเสรีภาพทางศิลปะ ที่มีมาตรฐานระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : THACCA-Thailand Creative Culture Agency

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กองบัญชาการตำรวจสั่งย้ายข้าราชการเอี่ยวบ่อนชายแดนเมียนมา

ผบ.ตร. สั่งช่วยราชการนายพลตำรวจ 2 นาย เซ่นปมเชื่อมโยงธุรกิจผิดกฎหมายชายแดน

กรุงเทพฯ, วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ปมร้อน! นายพลตำรวจพัวพันธุรกิจสีเทา-ค้ามนุษย์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 63/2568 และ 64/2568 ให้ข้าราชการตำรวจระดับนายพล 2 นาย ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

พล.ต.ต. เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ

คำสั่งที่ 63/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ว่า พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนคาสิโน รวมถึงเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีดังกล่าว และเพื่อความโปร่งใสจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือประการใด เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้างซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าการกระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

พล.ต.ต. สัมฤทธิ์ เอมกมล

คำสั่งที่ 64/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนประเทศเมียนมาร์ อีกทั้งมีการลักลอบข้ามชายแดนช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก กรณีดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของสถานีตำรวจภูธรแม่สอด สถานีตำรวจภูธรแม่ระมาดและสถานีตำรวจภูธรพบพระ จังหวัดตาก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล

เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีที่เป็นสงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดวินัยหรืออาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบกับระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

การรักษาราชการแทน

ในส่วนของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.วีรพรรษ อมรมุนีพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตากอีกหนึ่งหน้าที่

คำสั่งมีผลบังคับใช้ทันที

คำสั่งทั้งสองฉบับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ความโปร่งใสและการตรวจสอบ

การดำเนินการในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรักษาความโปร่งใสและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กกต.สั่ง ‘เชียงราย’ เลือกตั้งใหม่ หลังเจอลงคะแนนซ้ำ 2 หน่วย

กกต. สั่งเลือกตั้งใหม่ 22 หน่วยใน 11 จังหวัด หลังพบความคลาดเคลื่อนของบัตรลงคะแนน

กรุงเทพฯ, วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568  – สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้มีการออกเสียงลงคะแนนใหม่ใน 22 หน่วยเลือกตั้ง กระจายอยู่ใน 11 จังหวัด หลังตรวจพบ จำนวนบัตรลงคะแนนไม่ตรงกับผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และนายก อบจ. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568

ซึ่งเชียงรายจะเลือกตั้งใหม่ “เฉพาะแค่ 2 หน่วย” นี้เท่านั้น เลือกตั้ง
1. อำเภอเมืองเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 หน่วยเลือกตั้งที่ 31 ออกเสียงลงคะแนนใหม่ทั้ง ส.อบจ. และ นายก อบจ.
2.อำเภอเมืองเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 5 หน่วยเลือกตั้งที่ 49 ออกเสียงลงคะแนนใหม่เฉพาะ ส.อบจ.
 

เหตุผลและกระบวนการตรวจสอบของ กกต.

กกต. แจ้งว่าคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งได้รายงานปัญหาดังกล่าว ตามมาตรา 105 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หลังจากที่ตรวจสอบแล้วพบว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งไม่ตรงกับยอดผู้มาใช้สิทธิ แม้จะดำเนินการตรวจสอบซ้ำแล้ว แต่ยังคงมีข้อคลาดเคลื่อน จึงมีมติให้มีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยที่มีปัญหา

รายชื่อ 22 หน่วยเลือกตั้งที่ต้องเลือกตั้งใหม่

การเลือกตั้งใหม่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้:

กลุ่มที่ 1: เลือกตั้งใหม่ทั้งนายก อบจ. และสมาชิกสภา อบจ.

  • สุพรรณบุรี: อ.บางปลาม้า ต.กฤษณา เขต 3 หน่วยเลือกตั้ง 2
  • เชียงราย: อ.เมืองเชียงราย ต.รอบเวียง เขต 5 หน่วยเลือกตั้ง 31

กลุ่มที่ 2: เลือกตั้งใหม่เฉพาะนายก อบจ.

  • พิจิตร: อ.เมืองพิจิตร ต.ไผ่ขวาง เขต 2 หน่วยเลือกตั้ง 2
  • ลำปาง: อ.เมืองปาน ต.ทุ่งกว๋าว เขต 1 หน่วยเลือกตั้ง 7
  • สุพรรณบุรี: อ.เมืองสุพรรณบุรี ต.รั้วใหญ่ เขต 1 หน่วยเลือกตั้ง 33
  • สุพรรณบุรี: อ.เมืองสุพรรณบุรี ต.ดอนกำยาน เขต 2 หน่วยเลือกตั้ง 9

กลุ่มที่ 3: เลือกตั้งใหม่เฉพาะสมาชิกสภา อบจ.

  • พิจิตร: อ.ตะพานหิน ต.ทับหมัน เขต 3 หน่วยเลือกตั้ง 7
  • เชียงราย: อ.เมืองเชียงราย ต.รอบเวียง เขต 5 หน่วยเลือกตั้ง 49
  • ระยอง: อ.เมืองระยอง ต.เทศบาลนครระยอง เขต 5 หน่วยเลือกตั้ง 2
  • ระยอง: อ.เมืองระยอง ต.เทศบาลนครระยอง เขต 6 หน่วยเลือกตั้ง 9
  • ระยอง: อ.บ้านฉาง ต.พลา เขต 1 หน่วยเลือกตั้ง 2
  • ระยอง: อ.นิคมพัฒนา ต.มาบข่า เขต 1 หน่วยเลือกตั้ง 6
  • นครนายก: อ.ปากพลี ต.บางปลากลาง เขต 2 หน่วยเลือกตั้ง 4
  • ฉะเชิงเทรา: อ.บ้านโพธิ์ ต.ดอนทราย เขต 1 หน่วยเลือกตั้ง 2
  • ชลบุรี: อ.เมืองชลบุรี ต.อ่างศิลา เขต 7 หน่วยเลือกตั้ง 3
  • ชลบุรี: อ.เมืองชลบุรี ต.แสนสุข เขต 7 หน่วยเลือกตั้ง 40
  • สมุทรสาคร: อ.กระทุ่มแบน ต.อ้อมน้อย เขต 3 หน่วยเลือกตั้ง 13
  • นนทบุรี: อ.บางใหญ่ ต.เสาธงหิน เขต 5 หน่วยเลือกตั้ง 6
  • นนทบุรี: อ.บางบัวทอง ต.บางรักใหญ่ เขต 1 หน่วยเลือกตั้ง 3
  • ปัตตานี: อ.เมืองปัตตานี ต.บานา เขต 4 หน่วยเลือกตั้ง 11
  • สุพรรณบุรี: อ.เมืองสุพรรณบุรี ต.ดอนตาล เขต 3 หน่วยเลือกตั้ง 1
  • สุพรรณบุรี: อ.เมืองสุพรรณบุรี ต.บ้านโพธิ์ เขต 4 หน่วยเลือกตั้ง 7

มาตรการและข้อควรระวังในการเลือกตั้งใหม่

กกต. ขอให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งใน 22 หน่วยเลือกตั้งดังกล่าว ออกมาใช้สิทธิ์อีกครั้งในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 โดยขอให้ทุกฝ่าย ปฏิบัติตามกฎหมายเลือกตั้งอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใส

ทั้งนี้ กกต. ยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการเฝ้าระวังการทุจริตเลือกตั้งอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสการซื้อสิทธิ์ขายเสียงผ่าน สายด่วน กกต. 1444 หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

Categories
WORLD PULSE

มิติใหม่สื่ออาเซียน ไทย-ลาว ร่วมมือพัฒนาศักยภาพ

กรมประชาสัมพันธ์ผนึกกำลังสมาคมนักข่าวไทย-ลาว เสริมศักยภาพสื่อมวลชนรับมือยุคดิจิทัล

กรุงเทพมหานคร,10 กุมภาพันธ์ 2568 –  กรมประชาสัมพันธ์ โดยสถาบันการประชาสัมพันธ์ ร่วมมือกับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าวแห่ง สปป. ลาว จัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับสื่อมวลชนจาก สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 10 – 21 กุมภาพันธ์ 2568 ณ กรุงเทพมหานคร

พิธีเปิดและการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU)

พิธีเปิดจัดขึ้นในวันนี้ โดยมีนายคเชนทร์ กรรณิกา นางสาวอรัญญา เกตุแก้ว รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมด้วยนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ นายสะหวันคอน ราชมนตรี ประธานสมาคมนักข่าวแห่ง สปป.ลาว และคณะกรรมการสมาคมฯ เข้าร่วมเป็นเกียรติ

ในโอกาสนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าวแห่ง สปป. ลาว ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจฯ ที่ปรับปรุงให้สอดรับกับยุคสมัยมากขึ้น โดยจะเพิ่มการป้องกันแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (Fake news) การรับมือกับข่าวสารในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาภัยจากการหลอกลวงทางออนไลน์ และเพิ่มกิจกรรมพัฒนาศักยภาพและทักษะของบุคลากรสื่อ

วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม

การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มุ่งสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างภาคสื่อมวลชนไทยและ สปป. ลาว อีกทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสนับสนุนการทำงานด้านข่าวระหว่างกัน โดยตัวแทนสื่อมวลชนทั้ง 7 คน มาจากหน่วยสื่อชั้นนำทั้งสื่อหลักและสื่อออนไลน์ทั่วประเทศลาว จะเข้ารับการฝึกอบรมและฝึกงานในหน่วยสื่อชั้นนำของไทย รวมทั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)

เนื้อหาของการฝึกอบรมที่ครอบคลุมและทันสมัย

การฝึกอบรมครั้งนี้ครอบคลุมเนื้อหาที่หลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนในยุคปัจจุบัน อาทิ

  • หลักการพื้นฐานและจริยธรรมของสื่อมวลชน: เน้นย้ำความสำคัญของความถูกต้อง แม่นยำ เป็นกลาง และเป็นธรรมในการนำเสนอข่าวสาร
  • การผลิตข่าวคุณภาพในยุคดิจิทัล: สอนเทคนิคการเขียนข่าว การถ่ายภาพ การตัดต่อวิดีโอ และการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเผยแพร่ข่าวสาร
  • การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ๆ ในการสื่อสาร: แนะนำการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มต่างๆ ในการผลิตและเผยแพร่ข่าวสารอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การตรวจสอบข่าวสารและต่อต้านข่าวปลอม: สอนทักษะการตรวจสอบข่าวสารจากแหล่งต่างๆ และการแยกแยะข่าวจริงออกจากข่าวปลอม
  • การรับมือกับภัยคุกคามทางออนไลน์: สอนแนวทางการป้องกันตนเองจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ การถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์ และการหลอกลวงทางออนไลน์
  • การมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม: ส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีบทบาทในการสะท้อนปัญหาและนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาของสังคม

ความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างสื่อมวลชนไทย-ลาว

การจัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออันดีระหว่างสื่อมวลชนไทยและ สปป. ลาว ในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและยกระดับมาตรฐานของวงการสื่อมวลชนในภูมิภาค

ความคาดหวังและผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ผู้จัดงานคาดหวังว่า สื่อมวลชนลาวที่เข้าร่วมการฝึกอบรมในครั้งนี้ จะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาการทำงานของตนเอง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการสื่อมวลชนของ สปป. ลาว ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกที่ 37 เข้มงวดป้องกันไฟป่า-หมอกควันในพื้นที่

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดชุดลาดตระเวนและประชาสัมพันธ์งดเผา ป้องกันปัญหาหมอกควันในเชียงราย

เชียงราย,10 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังชุดปฏิบัติการลาดตระเวน 3 ชุด ลงพื้นที่ในอำเภอแม่จันและอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องปรามการเผาป่า และประชาสัมพันธ์มาตรการงดเผาในที่โล่งของจังหวัดเชียงราย พร้อมให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5

การลาดตระเวนและประชาสัมพันธ์เชิงรุก

ชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทั้ง 3 ชุด ได้กระจายกำลังลงพื้นที่ในหมู่ที่ 13 และ 15 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน และหมู่ที่ 1 ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการลาดตระเวนในพื้นที่ป่า และพื้นที่เกษตรกรรมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการลักลอบเผาป่า นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้พบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของไฟป่าและหมอกควัน รวมถึงประชาสัมพันธ์มาตรการงดเผาในที่โล่งของจังหวัดเชียงราย

มาตรการงดเผาในที่โล่งของจังหวัดเชียงราย

จังหวัดเชียงรายได้ประกาศมาตรการงดเผาในที่โล่ง เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ประจำปี 2568 โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ตั้งแต่บัดนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2568: ห้ามเผาในที่โล่ง ยกเว้นกรณีที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อควบคุมปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยง
  • ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568: ห้ามเผาในที่โล่งทุกกรณีโดยเด็ดขาด

ความมุ่งมั่นของมณฑลทหารบกที่ 37 ในการแก้ไขปัญหาหมอกควัน

มณฑลทหารบกที่ 37 ยังคงเดินหน้าลาดตระเวนและสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันลดปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศในพื้นที่ โดย พล.ต. [ชื่อและยศ] ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ได้กล่าวว่า “ปัญหาหมอกควันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย กองทัพบกจึงมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มที่”

ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 37 เห็นว่า การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน จะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนทุกคน จึงขอความร่วมมือประชาชนในการงดเผาในที่โล่ง และแจ้งเบาะแสการลักลอบเผาป่าให้กับเจ้าหน้าที่

อนาคตของการแก้ไขปัญหาหมอกควันในเชียงราย

มณฑลทหารบกที่ 37 เชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะทำให้ปัญหาหมอกควันในจังหวัดเชียงรายลดลง และประชาชนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกหนุนพัฒนาการศึกษา สัมมนาผู้บริหารโรงเรียนในเครือข่าย

เสริมสร้างศักยภาพผู้บริหารโรงเรียนกองทัพบก: มุ่งเน้นการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน

กรุงเทพมหานคร,เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 – พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 และผู้จัดการโรงเรียนในเครือข่ายกองทัพบกอุปถัมภ์ พร้อมด้วย ดร.ธาราทิพย์ วงษ์บรรณะ ผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชูทิศพายัพ และนางพิกุล ไชยยศ ผู้อำนวยการโรงเรียนในเครือข่ายกองทัพบกอุปถัมภ์ ได้ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาโครงการเสริมสร้างพัฒนาศักยภาพผู้บริหารโรงเรียนสายสามัญที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของกองทัพบก

การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้น ณ โรงแรมเลอบัว โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารโรงเรียนให้มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ

พิธีเปิดและการบรรยายพิเศษ

พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพัฒนาการศึกษาว่า “การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ การเสริมสร้างศักยภาพของผู้บริหารโรงเรียนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้โรงเรียนสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของสังคม”

นอกจากนี้ ดร.ธาราทิพย์ วงษ์บรรณะ ยังได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล” โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการและการเรียนการสอน

การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ

ในช่วงบ่ายของวันแรก ผู้เข้าร่วมการสัมมนาได้แบ่งกลุ่มเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโรงเรียน เช่น การวางแผนกลยุทธ์ การบริหารงานบุคคล การบริหารงบประมาณ และการพัฒนาหลักสูตร

วันที่สองของการสัมมนา

ในวันที่สองของการสัมมนา ผู้เข้าร่วมได้นำเสนอผลการปฏิบัติงานของกลุ่มและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา

ความคาดหวังและผลลัพธ์

ผู้จัดงานคาดหวังว่า ผู้บริหารโรงเรียนที่เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ จะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาโรงเรียนของตนเองให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

นางพิกุล ไชยยศ กล่าวว่า “การสัมมนาครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้บริหารโรงเรียนที่จะได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และนำความรู้ที่ได้รับไปปรับปรุงการบริหารจัดการโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

การสนับสนุนจากกองทัพบก

กองทัพบกให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษามาโดยตลอด และได้ให้การสนับสนุนโรงเรียนในเครือข่ายกองทัพบกอุปถัมภ์อย่างต่อเนื่อง การจัดสัมมนาในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองทัพบกในการพัฒนาการศึกษาของชาติ

อนาคตของการศึกษาไทย

การสัมมนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาการศึกษาของไทยให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน การเสริมสร้างศักยภาพของผู้บริหารโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้โรงเรียนสามารถผลิตนักเรียนที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายคุมเข้ม ไฟป่า-หมอกควัน ปิดอุทยานถ้ำหลวง เว้นโซนนันทนาการ

เชียงรายประกาศปิดพื้นที่อุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน คุมเข้มหมอกควันไฟป่า

เชียงราย, วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568  – อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ออกประกาศห้ามเข้าไปในพื้นที่ ยกเว้นโซนนันทนาการ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2568 ครอบคลุม ตำบลโป่งผา, ตำบลโป่งงาม, ตำบลเวียงพางคำ และตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกันผลกระทบจาก ไฟป่า หมอกควัน PM2.5 และการลักลอบเผาป่า ตามนโยบาย 92 วัน ปลอดการเผาในพื้นที่เชียงราย

มาตรการคุมเข้มพื้นที่อุทยาน ป้องกันไฟป่า

อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ) ดำเนินมาตรการเข้มงวดเพื่อ ป้องกันการบุกรุกและเผาทำลายป่า โดยมีข้อกำหนดสำคัญ ดังนี้:

  1. ห้ามเข้าพื้นที่อุทยาน ยกเว้นโซนนันทนาการ (แหล่งท่องเที่ยวถ้ำหลวงและขุนน้ำนางนอน)
  2. กรณีจำเป็นต้องเข้าพื้นที่ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่อุทยาน
  3. ห้ามเผาในเขตอุทยานโดยเด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 4-20 ปี ปรับ 400,000 – 2,000,000 บาท ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562
  4. ห้ามเผาในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 2-15 ปี ปรับ 20,000 – 150,000 บาท ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
  5. ห้ามเผาขยะและกิ่งไม้ใบไม้ในพื้นที่ชุมชนและเกษตรกรรม ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาท ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535

เชียงรายเดินหน้ามาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา” คุมเข้มไฟป่า

การประกาศปิดพื้นที่เป็นไปตาม นโยบายควบคุมการเผาในที่โล่งทุกชนิด ของจังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกัน หมอกควันและฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีจาก การเผาป่าเพื่อบุกรุกพื้นที่, การล่าสัตว์ และการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เกษตร รวมถึง ควันข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน

เจ้าหน้าที่และเครือข่ายอาสาสมัครดับไฟป่า ได้รับอนุญาตให้ เข้าปฏิบัติการควบคุมไฟป่าในพื้นที่อุทยานได้โดยไม่ต้องขออนุญาตล่วงหน้า แต่ต้องประสานงานกับเจ้าหน้าที่อุทยานโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2568

ประชาชนที่พบเห็น การลักลอบเผาป่า สามารถแจ้งสายด่วน 1362 กรมอุทยานแห่งชาติ หรือ 191 ตำรวจท้องที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการโดยทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เตรียมการ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัด AIPH 2025 หนุนเมืองสีเขียว สร้างความยั่งยืน

เชียงรายเปิดงาน “Welcome Reception” ต้อนรับ AIPH Spring Meeting 2025

เชียงราย,วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน Welcome Reception ต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม AIPH Spring Meeting & Green City Conference 2025อุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อำเภอเมืองเชียงราย โดยการประชุมระดับนานาชาตินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริมการพัฒนาเมืองสีเขียว และ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน สำหรับชุมชนเมืองทั่วโลก

เชียงรายเจ้าภาพการประชุมนานาชาติ AIPH Spring Meeting & Green City Conference 2025

สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH) พิจารณาให้ จังหวัดเชียงรายเป็นเจ้าภาพ การประชุมนานาชาติ AIPH Spring Meeting & Green City Conference 2025 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 14 กุมภาพันธ์ 2568โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยมีการประชุมเชิงปฏิบัติการและการศึกษาดูงานในพื้นที่ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสมาชิกทั่วโลกได้ แลกเปลี่ยนแนวทางพัฒนาเมืองสีเขียว ซึ่งจะช่วยให้เมือง ธุรกิจ และประชาชนสามารถเติบโตร่วมกันอย่างสมดุล

การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. จังหวัดเชียงราย กรมวิชาการเกษตร และสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย ซึ่งเสนอให้ เชียงราย เป็นตัวแทนประเทศไทยในการจัดงานระดับนานาชาติครั้งนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อแสดงถึง ศักยภาพของเชียงรายและประเทศไทยในการพัฒนาเมืองสีเขียว ตามแนวทาง Green City และตอกย้ำบทบาทของไทยในเวทีนานาชาติด้าน ความยั่งยืนและการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

Green City: แนวทางพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

AIPH Spring Meeting 2025 มีความสำคัญในการสนับสนุนนโยบาย Green City ซึ่งเน้นการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ของ สสปน. ที่ให้ความสำคัญกับ เศรษฐกิจสีเขียวและอุตสาหกรรมไมซ์ที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม

การประชุมนี้ยังถือเป็น ก้าวสำคัญ (Milestone) ในการเตรียมความพร้อมของภาคเกษตรกรรมไทย ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพจัดงาน มหกรรมพืชสวนโลกในอนาคต ได้แก่:

  • มหกรรมพืชสวนโลกอุดรธานี พ.ศ. 2569 (Udon Thani Expo 2026)
  • มหกรรมพืชสวนโลกนครราชสีมา พ.ศ. 2572 (Korat Expo 2029)

เชียงรายพร้อมต้อนรับผู้แทนจากทั่วโลก

กิจกรรมในงานต้อนรับครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการทั้งภาครัฐและเอกชน ให้การต้อนรับ ผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศสมาชิกของ AIPH รวมถึง กรมวิชาการเกษตร จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดอุดรธานี

การประชุม AIPH Spring Meeting & Green City Conference 2025 ที่เชียงรายครั้งนี้ ถือเป็น โอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการพัฒนาเมืองสีเขียว ที่ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังช่วยให้ เชียงรายกลายเป็นศูนย์กลางด้านความยั่งยืนระดับนานาชาติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News