Categories
AROUND CHIANG RAI

เหล่ากาชาดเชียงรายเสริมการอ่านเขียนพัฒนานักเรียนพื้นที่ห่างไกล

เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายขยายผลโครงการอาสาสมัครการศึกษา ช่วยสอนเสริมพัฒนาทักษะการอ่านเขียน

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายดำเนินโครงการขยายผลระบบอาสาสมัครการศึกษาช่วยสอนเสริม (อศม.) เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้และดูแลสุขอนามัยของนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล โดยมีการเริ่มต้นกิจกรรมที่โรงเรียนเทศบาล 1 วัดพรหมวิหาร อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

เวลา 10.20 น. นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้นางกรรณิการ์ ไชยวงค์ และนางฐิตารีย์ ดวงแก้ว ครูอาสาสมัครการศึกษาช่วยสอนเสริม (อศม.) ประจำกิ่งกาชาดอำเภอแม่สาย จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ณ โรงเรียนเทศบาล 1 วัดพรหมวิหาร การดำเนินกิจกรรมเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักและสร้างปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย พร้อมทั้งสอนทักษะการอ่านออกเขียนได้และการดูแลสุขอนามัยพื้นฐาน โดยครูผู้สอนเน้นความเข้าใจที่เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน

โครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมและพัฒนาทักษะการพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยของเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งมักประสบปัญหาการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการดูแลสุขภาพ

นอกจากนี้ ในวันเดียวกัน นางสาวกาญจนีย์ ช่างปั้น เหรัญญิกกิ่งกาชาดอำเภอเชียงแสน ได้มอบหมายให้ครูอาสาสมัครการศึกษาช่วยสอนเสริม (อศม.) จำนวน 2 ท่าน เข้าพบผู้บริหารและคณะครูของโรงเรียนเทศบาล 1 (เวียงเชียงแสน) ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อวางแผนการจัดการเรียนการสอนเสริมให้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย

กิจกรรมดังกล่าวยังครอบคลุมการสอนเรื่องการดูแลสุขอนามัย เช่น การล้างมือให้สะอาด การป้องกันโรคติดต่อ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติ

โครงการขยายผลระบบอาสาสมัครการศึกษา ช่วยสอนเสริม (อศม.) ของเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายนี้ ถือเป็นความร่วมมือระหว่างอาสาสมัคร ผู้บริหารสถานศึกษา และชุมชนในพื้นที่ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกแก่เยาวชนในพื้นที่ห่างไกล และช่วยเติมเต็มความเท่าเทียมด้านการศึกษาในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายมีแผนที่จะขยายกิจกรรมดังกล่าวไปยังโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลอื่น ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของนักเรียนและเสริมสร้างศักยภาพที่พร้อมเติบโตในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
SOCIETY & POLITICS

จุฬาฯ ร่วม World Economic Forum เปิดวิสัยทัศน์แรงงานโลก 2573

จุฬาฯ เผยวิสัยทัศน์ Future of Jobs 2025 ชี้ทักษะแห่งอนาคต เตรียมพร้อมคนไทยสู่การแข่งขันระดับโลก

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ World Economic Forum เปิดตัวรายงาน “The Future of Jobs 2025” เพื่อเสนอแนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในปี 2568-2573 โดย ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงถึงผลสำรวจและข้อแนะนำที่สำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานไทย รายงานนี้อ้างอิงการสำรวจจาก 1,000 บริษัทใน 22 อุตสาหกรรม และพนักงานกว่า 14 ล้านคนใน 55 ประเทศทั่วโลก โดยสรุปข้อมูลสำคัญดังนี้

การเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน:

  1. ตำแหน่งงานใหม่ 170 ล้านตำแหน่งจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
  2. 92 ล้านตำแหน่งงานจะหายไปเนื่องจากระบบอัตโนมัติและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
  3. การจ้างงานจะเติบโตสุทธิ 7% หรือประมาณ 78 ล้านตำแหน่งทั่วโลก

ปัจจัยเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานปี 2573:

  1. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: AI หุ่นยนต์ และนวัตกรรมพลังงาน
  2. การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม: ความต้องการพลังงานหมุนเวียนและวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม
  3. ความผันผวนทางเศรษฐกิจ: ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
  4. การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร: ผู้สูงอายุในประเทศรายได้สูงและแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ
  5. การแบ่งแยกทางเศรษฐกิจ: ข้อจำกัดทางการค้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

ทักษะที่สำคัญแห่งอนาคต:

  • ในประเทศไทย: ทักษะ AI และ Big Data, การคิดเชิงวิเคราะห์, การคิดสร้างสรรค์, ความปลอดภัยทางข้อมูล
  • ระดับโลก: ทักษะการใช้งานเทคโนโลยี, ความคิดสร้างสรรค์, AI และความปลอดภัยทางข้อมูล

กลยุทธ์ 5 ประการ สร้างมนุษย์แห่งอนาคต (Future Human):

  1. Holistic Skill Change: ยกระดับการ Upskill ครบทุกมิติ
  2. Future-Ready Organization: สร้างระบบพัฒนาทักษะในองค์กร
  3. Human Replacement: ใช้ระบบ Automation ทดแทนงานซ้ำซาก
  4. Enhancing Dynamic Work Role: ส่งเสริมบทบาทงานที่ปรับเปลี่ยนได้
  5. Integration of New Technology: ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อสร้างนวัตกรรม

เป้าหมาย The University of AI:

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งเป้าสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยแห่ง AI” พร้อมสร้างคนพันธุ์ใหม่ (Future Human) ที่มีทั้ง AI (Artificial Intelligence) และ II (Instinctual Intelligence) หรือปัญญาสัญชาตญาณ ที่ไม่เพียงเก่งด้านเทคโนโลยี แต่ยังมีหัวใจที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม เพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคมและโลกในอนาคต

ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ กล่าวสรุปว่า การเตรียมความพร้อมด้านทักษะแห่งอนาคตจะช่วยยกระดับขีดความสามารถของแรงงานไทย และสร้างความมั่นคงในเศรษฐกิจและสังคมระยะยาว พร้อมสร้างโอกาสให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในเวทีโลกในยุคดิจิทัลนี้.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : World Economic Forum 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

‘นักเรียนจีน’ เลือก ‘ประเทศไทย’ จุดหมายใหม่แห่งการศึกษาอาเซียน

แนวโน้มการศึกษานักเรียนจีนในอาเซียน: ไทยคือจุดหมายปลายทางยอดนิยม

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ฐานเศรษฐกิจ รายงานว่า นักเรียนและนักศึกษาชาวจีนจำนวนมากหันมาเลือกศึกษาต่อในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่จับต้องได้ วัฒนธรรมที่ใกล้ชิด และโอกาสในตลาดงานที่สดใสในอนาคต

การเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาโลก: อาเซียนกลายเป็นตัวเลือกใหม่

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางการเมือง วิกฤตเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศตะวันตก ได้ทำให้นักเรียนจีนเปลี่ยนจุดหมายปลายทางในการศึกษา โดยภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ได้กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

จากข้อมูลของ AP News พบว่าครอบครัวชาวจีนที่ต้องการหนีจากระบบการศึกษาที่แข่งขันสูงในจีน ได้มองหาทางเลือกใหม่ในไทย โดยในปี 2565 มีนักศึกษาจีนในไทยมากถึง 21,419 คน เพิ่มขึ้นถึง 130% เมื่อเทียบกับ 9,329 คน ในปี 2555 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากระบบการศึกษาที่เปิดกว้าง ค่าเล่าเรียนที่ต่ำกว่า และขั้นตอนการดำเนินการด้านวีซ่าที่ไม่ซับซ้อน

เหตุผลที่อาเซียนเป็นตัวเลือกสำคัญ

  1. ค่าใช้จ่ายที่เข้าถึงได้
    การเรียนระดับปริญญาโทในไทยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 700,000 บาทสำหรับสองปี ซึ่งต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในสหรัฐฯ หรือยุโรปที่อยู่ในช่วง 200,000-350,000 หยวนต่อปี
  2. วัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ที่ใกล้ชิด
    การศึกษาระดับอุดมศึกษาในอาเซียนลดความกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในจีน อีกทั้งนักศึกษาจีนยังรู้สึกถึงความใกล้ชิดทางวัฒนธรรม
  3. กระบวนการด้านวีซ่าที่ง่าย
    การดำเนินการด้านเอกสารในประเทศอาเซียนสะดวกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศตะวันตก

ตัวเลือกยอดนิยมในอาเซียน

นอกจากประเทศไทยแล้ว มาเลเซียและสิงคโปร์ก็ได้รับความสนใจเช่นกัน โดยในไตรมาสที่สองของปี 2566 มาเลเซียมีนักเรียนจีนสมัครเรียนเพิ่มขึ้นถึง 4,700 คน หรือ 18% จากปีก่อนหน้า ส่วนสิงคโปร์มีนักศึกษาต่างชาติกว่า 73,200 คน โดยครึ่งหนึ่งเป็นนักศึกษาจีน

ค่าใช้จ่ายและปัจจัยสำคัญ

ค่าเล่าเรียนที่จับต้องได้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคอาเซียนเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยค่าใช้จ่ายสำหรับปริญญาโทในประเทศไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150,000 หยวน หรือประมาณ 700,000 บาท สำหรับระยะเวลา 2 ปี ซึ่งต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในสหรัฐฯ ที่เฉลี่ยระหว่าง 200,000-350,000 หยวนต่อปี นอกจากนี้ ความคุ้นเคยทางวัฒนธรรมและความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ยังช่วยดึงดูดนักเรียนจีน

ข้อจำกัดและความกังวล

แม้จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาในภูมิภาคนี้ โดยนักเรียนจีนบางส่วนมองว่าปริญญาจากประเทศในอาเซียนยัง “ไม่แข็งแกร่ง” เทียบเท่ามหาวิทยาลัยในตะวันตก อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเรียนจำนวนมาก การได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมใหม่และการเปิดโลกทัศน์เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า

ความร่วมมือด้านการศึกษา: จีนและอาเซียน

ปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการแลกเปลี่ยนประชาชนระหว่างจีนและอาเซียน โดยมีจำนวนผู้เรียนจีนในอาเซียนและนักเรียนอาเซียนในจีนรวมกว่า 175,000 คน ในปี 2566 ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าความร่วมมือด้านการศึกษาไม่เพียงสร้างโอกาสให้กับนักเรียน แต่ยังส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างจีนและอาเซียนในระยะยาว

สรุปแนวโน้มที่เปลี่ยนไป

แม้อาเซียนจะยังไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกของนักเรียนจีนทุกคน แต่แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการศึกษาโลก และเปิดโอกาสให้อาเซียนก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการศึกษาระดับนานาชาติในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ฐานเศรษฐกิจ / apnews / sixthtone

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ทำไม ‘น้ำฟ้า ธมลวรรณ’ ถึงลงมาสู่ การสมัคร ส.อบจ. ที่ อ.เวียงชัย

การเลือกตั้ง ‘ส.อบจ.เชียงราย’ และ ‘นายก อบจ.เชียงราย’ ที่จะมีขึ้น

คณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเชียงราย (กกต.) เปิดเผยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) เชียงราย สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ระหว่างเวลา 08.00 – 17.00 น. ณ หน่วยเลือกตั้งในพื้นที่

ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย

การเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย มีผู้สมัครทั้งสิ้น 3 ราย โดยแต่ละราย ได้คงได้มีการนำเสนอนโยบายและวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงรายในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข การศึกษา และการท่องเที่ยว

  • เบอร์ 1 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์
  • เบอร์ 2 นางสลักจฤฏดิ์ ติยะไพรัช
  • เบอร์ 3 นางสาวจิราพร หมื่นไชยวงศ์

ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ. เชียงราย

สำหรับการเลือกตั้งสมาชิก ส.อบจ. เชียงรายในปีนี้ มีผู้สมัครทั้งสิ้น 103 ราย จาก 36 เขตทั่วทั้งจังหวัดเชียงราย โดยผู้สมัครทุกคนต่างแสดงความพร้อมและความตั้งใจในการรับใช้ประชาชนในพื้นที่

บทสัมภาษณ์: หนทางเข้าสู่ น้ำฟ้า ธมลวรรณ ผู้สมัคร ส.อบจ. เชียงราย ในอำเภอเวียงชัย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ดำเนินการสัมภาษณ์ผู้สมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (ส.อบจ.) เพื่อสะท้อนมุมมองและนโยบายจากผู้สมัครที่ตั้งใจอาสาเข้ามาเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนในครั้งนี้ หลังการติดต่อผู้สมัครหลายราย ซึ่งส่วนใหญ่ติดภารกิจ ทำให้ทางทีมข่าวได้รับการตอบรับจากหนึ่งในผู้สมัครคือ น้ำฟ้า ธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ ผู้สมัครรุ่นใหม่จากอำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นและแนวคิดในการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์

บทบาทสำคัญของ ส.อบจ. ในการพัฒนาชุมชน

สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) มีหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลฝ่ายบริหาร รวมถึงการเสนอร่างข้อบัญญัติเกี่ยวกับงบประมาณและแผนพัฒนา เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนในพื้นที่ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเชียงราย

ช่วยแนะนำตัวเองและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในท้องถิ่น

“สวัสดีค่ะ น้ำฟ้า ธมลวรรณ ปัญญาพฤกษ์ หรือฟ้าค่ะ อายุ 25 ปี จบการศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ค่ะ พื้นฐานครอบครัวของฟ้าทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ฟ้าจึงมีโอกาสทำงานเกี่ยวกับงานท้องถิ่นร่วมกับ อบจ. เทศบาล และ อปท. บ่อยครั้ง ได้สัมผัสกับปัญหาชุมชน เช่น ถนน อ่างเก็บน้ำ และอื่น ๆ นอกจากนี้ยังเคยดูแลธุรกิจแฟรนไชส์ขนส่งพัสดุ และบริหารงานท่าทรายให้ครอบครัว ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้ฟ้าเข้าใจปัญหาและความต้องการของท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง”

แล้วอะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ท่านตัดสินใจลงสมัครสมาชิก ส.อบจ. เชียงราย?

“ฟ้ามองว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย การตัดสินใจลงสมัครครั้งนี้เริ่มต้นหลังจากน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ เราได้ช่วยเหลือพี่น้องในหลายอำเภอ ฟ้ารู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาสช่วยเหลือได้มากกว่านี้ เราก็อยากทำ ฟ้าอยากเป็นกระบอกเสียงของคนรุ่นใหม่ที่สามารถเข้าถึงปัญหาของทุกกลุ่มวัย และช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชน”

มองว่าประสบการณ์หรือคุณสมบัติอะไรที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้

“ฟ้ามีประสบการณ์ทำงานในท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่จริง เข้าใจปัญหาและวิธีแก้ไข ฟ้าคิดว่าเด็กรุ่นใหม่อย่างฟ้าสามารถนำมุมมองและพลังใหม่ ๆ มาช่วยพัฒนาชุมชนได้ และฟ้าพร้อมทำงานอย่างเต็มที่เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของอำเภอเวียงชัย”

บทบาทของครอบครัวหรือชุมชนที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการลงสมัครครั้งนี้บ้าง

“ครอบครัวฟ้าสนับสนุนการช่วยเหลือชุมชนมาโดยตลอด ท่านสอนเสมอว่าการทำอะไรด้วยใจสำคัญที่สุด ฟ้าได้นำแนวคิดนี้มาใช้และต้องการเปลี่ยนจากการช่วยเหลือเป็นการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน”

หากครั้งนี้ประชาชนส่วนใหญ่เลือกมีแผนงานสำคัญอะไรที่อยากผลักดันในพื้นที่ตัวเอง

“โครงการ ‘ของดีแต่ละตำบล’ คือสิ่งที่ฟ้ากำลังทำอยู่ ฟ้าต้องการโปรโมตสินค้าชุมชนและสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอเวียงชัยให้เป็นที่รู้จัก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ฟ้ายังมีแผนสนับสนุนกลุ่มเยาวชนและสตรีร่วมกับผู้สมัครนายก อบจ. คุณนก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในชุมชน”

มุมมองปัญหาหลักในพื้นที่คืออะไร และมีแนวทางแก้ไขอย่างไร

“ปัญหาหลักในเวียงชัยมีหลายมิติ เช่น น้ำประปา เศรษฐกิจ หรือปัญหาชุมชนเฉพาะจุด ฟ้าจะลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็น หาทางแก้ไขร่วมกับชาวบ้าน และดำเนินการให้รวดเร็วที่สุดเพื่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม”

แล้วถ้าพูดถึงนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นหรือการพัฒนาชุมชนในเชียงรายอย่างไร

“ฟ้าจะสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ส่งเสริมการขายออนไลน์ และสร้างโอกาสให้คนในชุมชนมีงานทำ สร้างรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมของเวียงชัย”

มีวิธีการรับฟังและตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่อย่างไร

“ฟ้าจะลงพื้นที่ให้มากที่สุด และใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางรับฟังปัญหา พร้อมทำงานร่วมกับทีมงานเพื่อตอบสนองข้อร้องเรียนอย่างรวดเร็ว”

ดรัณภพ อินตาพรหม ผู้สมัคร ส.อบจ.เวียงชัย พรรคเพื่อไทย โปรไฟล์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งที่โดดเด่น

ประวัติการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน
ดรัณภพ อินตาพรหม มีพื้นฐานด้านการศึกษาและประสบการณ์ทำงานที่หลากหลาย

  • ปริญญาโท MBA บริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด (Stamford International University)
  • ปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (Rajamangala University of Technology Lanna)

ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา

  1. ดำรงตำแหน่ง เลขานุการประจำตัว ส.ส.เชียงราย เขต 2
  2. ผู้ชำนาญการประจำตัว ส.ส.เชียงราย เขต 2 และเขต 4
  3. เป็นคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) ที่สถานีตำรวจภูธรเวียงชัย
  4. คณะกรรมการสงเคราะห์เด็กและเยาวชน
  5. ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัยในรัฐสภา
  6. อดีตวิศวกรปฏิบัติงานที่การท่าเรือแห่งประเทศไทย
  7. เป็นเจ้าของกิจการ ห้องเย็นซูริค เชียงราย

นโยบายและเป้าหมายการทำงาน

ดรัณภพมุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่อำเภอเวียงชัยให้มีความก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และสาธารณสุข พร้อมรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ และนำไปสู่การแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ

จุดยืนทางการเมือง

ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.อบจ. พรรคเพื่อไทย ดรัณภพเป็นหนึ่งในผู้สมัครที่มีความตั้งใจจริงให้กับชุมชน โดยเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทยในเขตเวียงชัย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 36 เขตของจังหวัดเชียงราย ด้วยโปรไฟล์ที่โดดเด่นและประสบการณ์ที่หลากหลาย คาดว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

วันเลือกตั้งและสิทธิของประชาชน

การเลือกตั้งครั้งนี้จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ หน่วยเลือกตั้งที่ผู้มีสิทธิมีรายชื่ออยู่ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขอเชิญชวนประชาชนชาวเชียงรายที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และเตรียมเอกสารที่จำเป็น เช่น บัตรประชาชน หรือหลักฐานแสดงตนอื่น ๆ ที่ทางราชการออกให้

ความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการกำหนดอนาคตของจังหวัดเชียงราย โดยทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้า พร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชนในพื้นที่

ประชาชนชาวเชียงรายอย่าลืม!

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 มาใช้สิทธิของท่านในการเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางอนาคตของจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ทักษิณชี้ผลโพล “อาจคลาดเคลื่อน” หลังปราศรัยเชียงใหม่-เชียงราย

ศูนย์นิด้าโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน “ทักษิณปราศรัยเชียงใหม่ เชียงราย ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งหรือไม่?”

เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “ทักษิณปราศรัยเชียงใหม่ เชียงราย…แล้วเราควรตัดสินใจอย่างไร” ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 7-10 มกราคม 2568 จากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,803 คน ครอบคลุมทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้

การตัดสินใจเลือกตั้งในเชียงใหม่

ผลสำรวจพบว่า สำหรับการปราศรัยของนายทักษิณ ชินวัตร เพื่อสนับสนุนผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พรรคเพื่อไทยในเชียงใหม่ ประชาชนร้อยละ 37.11 ระบุว่าไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เพราะจะไม่เลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ขณะที่ร้อยละ 23.24 ระบุว่าส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทย

ส่วนร้อยละ 17.06 ระบุว่าไม่ส่งผลเพราะจะเลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว ร้อยละ 13.59 ยังไม่ตัดสินใจ และร้อยละ 9.00 ระบุว่าส่งผลต่อการตัดสินใจไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

ด้านผลต่อการเลือกตั้ง ส.ส. เชียงใหม่ในอนาคต พบว่าร้อยละ 30.37 ระบุว่าไม่ส่งผลเลย รองลงมาร้อยละ 28.87 ระบุว่าส่งผลมาก และร้อยละ 24.74 ระบุว่าค่อนข้างส่งผล

การตัดสินใจเลือกตั้งในเชียงราย

ในเชียงราย ประชาชนร้อยละ 33.01 ระบุว่าการปราศรัยของนายทักษิณไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เพราะจะไม่เลือกพรรคเพื่อไทย รองลงมาร้อยละ 26.09 ระบุว่าส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 17.12 ระบุว่าไม่ส่งผลเพราะจะเลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว

ส่วนร้อยละ 14.54 ยังไม่ตัดสินใจ และร้อยละ 9.24 ระบุว่าส่งผลต่อการตัดสินใจไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามถึงผลกระทบต่อการเลือกตั้ง ส.ส. เชียงรายในอนาคต ร้อยละ 36.96 ระบุว่าไม่ส่งผลเลย ขณะที่ร้อยละ 25.95 ระบุว่าส่งผลมาก

ลักษณะทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม

สำหรับเชียงใหม่ ตัวอย่างร้อยละ 47.05 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.95 เป็นเพศหญิง ส่วนใหญ่มีอายุ 46-59 ปี (ร้อยละ 23.43) และอายุ 60 ปีขึ้นไป (ร้อยละ 29.52)

ในเชียงราย ตัวอย่างร้อยละ 47.96 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.04 เป็นเพศหญิง โดยกลุ่มอายุ 46-59 ปี คิดเป็นร้อยละ 25.41 และอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 29.07

ทักษิณชี้ผลโพล “อาจคลาดเคลื่อน”

นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงผลโพลดังกล่าวว่า “อ่อ มั่ว” พร้อมตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของผลสำรวจ เขาเปรียบเทียบกับโพลในอดีตที่มักสะท้อนผลตรงข้าม

ศูนย์นิด้าโพลระบุว่าผลการสำรวจครั้งนี้สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนที่หลากหลาย และอาจบ่งชี้ถึงทิศทางการตัดสินใจของประชาชนในอนาคต โดยเฉพาะการเลือกตั้งระดับชาติ

บทสรุป

ผลการสำรวจจากนิด้าโพลสะท้อนถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการปราศรัยของทักษิณ ชินวัตร ที่มีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งอาจมีผลต่อการเลือกตั้งในอนาคต การสำรวจนี้เป็นการเปิดเวทีให้เห็นถึงความคิดของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ที่มีความสำคัญทางการเมืองอย่างมาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

พระสิงห์ทรงชัยเหนือสยาม พุทธศิลป์ร่วมสมัยสู่สายตาโลก

พิธีพุทธาภิเษก “พระสิงห์ทรงชัยเหนือสยาม” และ “เมตไตรยกาล” งานพุทธศิลป์ร่วมสมัย เชียงราย

เชียงราย – เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 วัดพระสิงห์ พระอารามหลวง จังหวัดเชียงราย ได้จัดพิธีพุทธาภิเษกผลงานพุทธศิลป์ร่วมสมัย “พระสิงห์ทรงชัยเหนือสยาม” และ “เมตไตรยกาล” ซึ่งออกแบบโดย ดร.จีรวุฒิ บุญช่วยนำผล ศิลปินผู้มีเอกลักษณ์ด้านการสร้างสรรค์พุทธศิลป์ร่วมสมัย และ อ.อโณทัย บุษราคำวิสิฐ ผู้กำกับงานออกแบบ โดยมีประชาชนร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก

พิธีพุทธาภิเษกในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 30 ปีที่วัดพระสิงห์ได้รับพระราชทานเป็นพระอารามหลวง โดยมีการจัดสร้างผลงานพุทธศิลป์ในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่

  • พระกริ่งคล้องคอ ขนาด 4 ซม. และพระบูชาขนาด 3 นิ้วและ 5 นิ้ว
  • เหรียญหล่อพุทธศิลป์ ขนาด 5 ซม.
  • พระบูชาพุทธศิลป์เต็มรูปแบบ ขนาดสูง 6 นิ้ว และ 15 นิ้ว

ผลงานทั้งหมดได้รับการออกแบบอย่างประณีตด้วยเทคโนโลยี 3D Sculpture ที่ผสานแนวคิดลายไทยและความร่วมสมัย สร้างสรรค์โดยทีมงานคุณภาพ นำโดย อาจารย์คิว (Jeerawut Boonchuaynampon) และทีมงานจากโรงหล่อระลึก

พุทธศิลป์ที่สะท้อนเอกลักษณ์และความทุ่มเทของศิลปิน

ดร.จีรวุฒิ บุญช่วยนำผล ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน กล่าวถึงกระบวนการสร้างสรรค์ว่า งานทุกชิ้นได้รับการทุ่มเทอย่างเต็มที่และพัฒนาด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ซึ่งช่วยเพิ่มมิติด้านความกว้าง ยาว และลึกในผลงาน นับเป็นการประยุกต์ศิลป์ที่ยกระดับศิลปะไทยไปอีกขั้น

“ทุกชิ้นงานของผมคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผมใช้ทั้งฝีมือและพลังสร้างผลงานให้ดีที่สุด ไม่ใช่เพียงเพื่อสะท้อนความงามทางศิลปะเท่านั้น แต่เพื่อส่งต่อคุณค่าทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ” ศิลปินกล่าว

ความสำคัญของการสร้างผลงานพุทธศิลป์ในยุคดิจิทัล

ศิลปินและทีมงานยังเผยว่าการสร้างผลงานด้วยเทคโนโลยี 3D Sculpture ช่วยให้ผลงานสามารถถ่ายทอดรายละเอียดและความงดงามของลวดลายไทยได้อย่างสมจริง ทั้งยังสะท้อนความร่วมสมัยที่สามารถเชื่อมโยงศิลปะไทยกับนานาชาติ

“ผลงานพุทธศิลป์ร่วมสมัยเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทย แต่ยังเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าใจและเข้าถึงความงามของพุทธศิลป์ไทยได้ง่ายขึ้น” ดร.จีรวุฒิ กล่าว

งานศิลป์ที่เป็นมากกว่าความงาม

ภายในพิธีประชาชนยังได้ชมผลงานสร้างชื่อของศิลปินในอดีต รวมถึงผลงานใหม่ ๆ ที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์และคุณค่า งานแต่ละชิ้นเต็มไปด้วยความหมายและสะท้อนความอุตสาหะของผู้สร้าง

นอกจากนี้ พุทธศิลป์ร่วมสมัยที่จัดแสดงในครั้งนี้ยังผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและความเป็นสากลได้อย่างลงตัว สื่อถึงการปรับตัวของศิลปะไทยในยุคใหม่ที่ยังคงรักษารากเหง้าวัฒนธรรมอันล้ำค่า

จุดหมายสู่อนาคตของพุทธศิลป์ไทย

พิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันศิลปะไทยสู่ระดับสากล พร้อมทั้งเชิดชูคุณค่าของพุทธศิลป์ที่ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังสะท้อนจิตวิญญาณแห่งความศรัทธาและวัฒนธรรมไทยที่ล้ำค่า

งานพุทธศิลป์ “พระสิงห์ทรงชัยเหนือสยาม” และ “เมตไตรยกาล” ไม่เพียงแต่เป็นผลงานทางศิลปะ แต่ยังเป็นเครื่องหมายแห่งความศรัทธาและความงดงามที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

วิ่งในสายหมอก เชียงราย 2025 ท่ามกลาง 11 องศา

เชียงรายจัดวิ่งในสายหมอก Nakhon Chiangrai Run 2025 นักวิ่ง 999 คน ร่วมสัมผัสอากาศ 11 องศา

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2568 สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรม Nakhon Chiangrai Run 2025 ภายใต้แนวคิด “ในม่านหมอก ดอกไม้ สายน้ำและขุนเขา” ณ สวนตุงและโคม เทศบาลนครเชียงราย โดยมีนักวิ่งเข้าร่วมจำนวน 999 คน จากหลากหลายจังหวัด รวมถึงชาวต่างประเทศ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นที่อุณหภูมิ 11 องศาเซลเซียส เส้นทางวิ่งเชื่อมโยงสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติ ตั้งแต่ หอนาฬิกานครเชียงราย อนุสาวรีย์พญามังราย และสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย

วัตถุประสงค์และความสำคัญของงาน

การจัดกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการออกกำลังกาย กระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยสอดคล้องกับนโยบายผลักดันเชียงรายให้เป็น เมืองแห่งกีฬา (Sports City) ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งร่วมผลักดันกิจกรรมกีฬาในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง

ประเภทการแข่งขันและผลรางวัล

รางวัลประเภท Overall   วิ่งระยะทาง 10.5 กม. ประเภทชาย

อันดับที่ 1  เงินรางวัล 3,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ

อันดับที่ 2 เงินรางวัล 2,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ อันดับที่ 3  เงินรางวัล 1,500 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ

ประเภทหญิง อันดับที่ 1 เงินรางวัล 3,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ อันดับที่ 2 เงินรางวัล 2,000 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ อันดับที่ 3 เงินรางวัล 1,500 บาท พร้อมถ้วยเกียรติยศ

รางวัลประเภทกลุ่มอายุ สำหรับระยะทาง 10.5 กม.  ประเภทชาย หญิง รับถ้วยรางวัลอันดับ 1-5  และ เงินรางวัลอันดับ 1-3  1,000/800/500  บาท

ส่วนผู้ได้รับ รางวัลประเภท Overall   (วิ่ง ระยะทาง 10.5 กม.) ประเภทชาย

1 นายมงคล แก้วตา  จากชมรมหนองอ้อท้อไม่เป็น  ทำเวลาได้ 35.53 นาที

2 นายชยพล บุญอุปละ ทำเวลาได้ 36.37 นาที

3 นายวงศ์บวร ผัสดี  จาก Yongwai ทำเวลาได้ 37.10 นาที

ส่วนผู้ได้รับ รางวัลประเภท Overall   (วิ่ง ระยะทาง 10.5 กม.) ประเภทชาย

1นางสาว มนัสนันท์ ขำพิทักษ์  ทำเวลาได้  43.30 นาที

2 นางสาว ปนัดดา งามสม จาก CK track Club ทำเวลาได้ 44.20  นาที

3 นางสาว อารีย์ ธรรมรส ทำเวลาได้ 47.37 นาที

นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกภาคส่วน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดงานที่ส่งเสริมทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศและนานาชาติ

บรรยากาศและไฮไลต์งาน

นักวิ่งได้สัมผัสอากาศหนาวเย็น พร้อมชมความงดงามของดอกไม้เมืองหนาว ณ จุดจัดงานเชียงรายดอกไม้งามปีที่ 21 ที่สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย นอกจากนี้ การวิ่งผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ ยังสร้างความประทับใจให้กับนักวิ่ง โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่ร่วมงาน

สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงรายมีแผนจัดกิจกรรมกีฬาอีกหลากหลายรูปแบบในอนาคต เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รองนายกฯ ตรวจชายแดนเชียงราย คุมเข้มยาเสพติด-ค้ามนุษย์

รองนายกฯ ตรวจเยี่ยมหน่วยเรือโขง ย้ำแก้ปัญหายาเสพติด-ค้ามนุษย์เชิงรุก

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ไตรศักดิ์ อินทรรัสมี เลขานุการ รมว.กลาโหม และ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) ที่สถานีเรือเชียงของ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติด ค้ามนุษย์ และอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นวาระเร่งด่วนที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี

ตรวจเยี่ยมและวางแผนแก้ปัญหาชายแดน

ภายหลังรับฟังการบรรยายสรุป รองนายกฯ และคณะได้ขึ้นเรือตรวจการณ์เพื่อสำรวจภูมิประเทศและเยี่ยมชมสถานีเรือเชียงแสน ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำถึงบ้านหาดบ้าย รวมระยะทาง 39 กิโลเมตร และสถานีเรือเชียงของที่รับผิดชอบตั้งแต่บ้านหาดบ้ายถึงแก่งผาได รวมระยะทาง 57 กิโลเมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวครอบคลุม 34 หมู่บ้านใน 8 ตำบลของ 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น รวมระยะทางตามลำน้ำโขงทั้งหมด 96 กิโลเมตร

ผลการปฏิบัติการในรอบ 3 เดือน

ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2567 หน่วยงาน นรข. สามารถตรวจยึดยาเสพติดได้กว่า 15 ล้านเม็ด เฮโรอีน 56 กิโลกรัม และไอซ์ 135 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท รวมถึงการตรวจยึดของกลางอื่น ๆ เช่น รถยนต์ บุหรี่ต่างประเทศ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท และจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายได้ 30 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวลาวและจีน

แนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมชายแดน

รองนายกฯ ระบุว่าการปฏิบัติการเชิงรุกจะเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและสกัดกั้นในพื้นที่ชายแดน โดยมีแผนดำเนินงานแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ

  1. แนวชายแดน: สนธิกำลังระหว่างกองกำลังป้องกันชายแดน ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และหน่วยทหารในพื้นที่
  2. พื้นที่ตอนใน: ประสานงานระหว่างตำรวจ นายอำเภอ ฝ่ายปกครอง และฝ่ายความมั่นคง โดยตั้งจุดตรวจและชุดปฏิบัติการลงพื้นที่

โครงการดังกล่าวจะเริ่ม Kick Off ในวันที่ 30 มกราคม 2568 โดยมีการตั้งเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน และจะประเมินผลทุก 6 เดือน เพื่อสร้างความมั่นคงและลดปัญหายาเสพติดในระยะยาว

เป้าหมายปี 2568

รองนายกฯ ย้ำว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาจะมุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามเชิงรุก พร้อมสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงในพื้นที่ โดยเฉพาะการลดบทบาทของผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อให้ประเทศไทยปลอดจากปัญหานี้ในปี 2568

กิจกรรมในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและยกระดับความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

ซีรีส์วายดันสื่อบันเทิงไทย สู่ตลาดโลก มูลค่าทะลุ 4,900 ล้านบาท

SCB EIC ชี้ “ซีรีส์วาย” ดันธุรกิจบันเทิงไทยสู่ตลาดโลก มูลค่าทะลุ 4,900 ล้านบาทในปี 2025

10 มกราคม 2568 – SCB EIC รายงานแนวโน้มการเติบโตของ ซีรีส์วาย ซึ่งกลายเป็นกระแสที่มาแรงทั้งในไทยและระดับโลก ความนิยมนี้ส่งผลให้ซีรีส์วายเป็นธุรกิจสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงไทย โดยคาดว่ามูลค่าตลาดซีรีส์วายจะเพิ่มขึ้นจาก 0.7% ในปี 2019 เป็น 3.9% ของมูลค่าการผลิตสื่อบันเทิงไทยในปี 2025 หรือเติบโตราว 17% ต่อปี

 

ซีรีส์วาย: ธุรกิจใหม่ของ Soft Power ไทย

ซีรีส์วาย เป็นประเภทของซีรีส์ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์เพศเดียวกัน เช่น Boy Love (ชายรักชาย) และ Girl Love (หญิงรักหญิง) โดยต้นกำเนิดของคำว่า “วาย” มาจากการ์ตูนญี่ปุ่นยาโออิ (YAOI) และยูริ (YURI) ความนิยมนี้ได้ถูกต่อยอดสู่ซีรีส์และภาพยนตร์ ซึ่งปัจจุบันมีซีรีส์วายของไทยมากกว่า 340 เรื่อง

ปัจจัยที่ส่งเสริมความสำเร็จของซีรีส์วาย ได้แก่

  1. ความเปิดกว้างของวัฒนธรรมไทย: ไทยยอมรับความหลากหลายทางเพศ ทำให้ซีรีส์วายสะท้อนความสัมพันธ์อย่างเปิดเผย
  2. คุณภาพการผลิต: ผู้ผลิตไทยสร้างสรรค์เนื้อเรื่องและเทคนิคการถ่ายทำที่แปลกใหม่และน่าสนใจ
  3. สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม: การเติบโตของบริการ OTT ช่วยให้ซีรีส์วายเข้าถึงผู้ชมทั่วโลก

มูลค่าตลาดซีรีส์วายพุ่งทะลุ 4,900 ล้านบาท

SCB EIC คาดการณ์ว่า ซีรีส์วายไทยจะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 4,900 ล้านบาทในปี 2025 โดยไทยถือเป็นผู้นำตลาดซีรีส์วายในเอเชีย ด้วยสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของซีรีส์วายที่ออกอากาศในภูมิภาค

 

ธุรกิจที่เติบโตตามกระแสซีรีส์วาย

  1. ธุรกิจหนังสือ: นิยายวายต้นฉบับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากการดัดแปลงเป็นซีรีส์
  2. ธุรกิจ MICE: แฟนมีต คอนเสิร์ต และงานเปิดตัวซีรีส์สร้างรายได้ให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
  3. ธุรกิจโฆษณา: นักแสดงวายกลายเป็น Influencer และ Presenter สินค้า
  4. ธุรกิจท่องเที่ยว: แฟนคลับต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์และเข้าร่วมกิจกรรมในไทย

 

โอกาสและความท้าทายในอนาคต

ซีรีส์วายไทยยังมีศักยภาพขยายตลาดไปยังอเมริกาใต้และยุโรป ผู้ผลิตต้องปรับตัวด้วยการเพิ่มคำบรรยายภาษาต่างๆ และร่วมมือกับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก นอกจากนี้ ภาครัฐ ควรสนับสนุนผ่านมาตรการต่างๆ เช่น

  1. การลดหย่อนภาษีและสนับสนุนทุนการผลิต
  2. การส่งเสริมให้ซีรีส์วายเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ
  3. การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตไทยและต่างประเทศ

 

Soft Power ไทยกับการเติบโตของซีรีส์วาย

ซีรีส์วายไม่เพียงแต่เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงไทย แต่ยังเป็น Soft Power ที่นำวัฒนธรรมไทยไปสู่เวทีโลก ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและการสนับสนุนเชิงนโยบายจะช่วยให้ซีรีส์วายไทยก้าวไกลในตลาดโลกอย่างยั่งยืน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : SCB EIC

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

คนต่างชาติแห่ซื้อคอนโดไทย โอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น 3.1%

คนต่างชาติซื้อคอนโดในไทย 9 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.1% มูลค่ารวม 51,458 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด หรือคอนโดมิเนียม ของคนต่างชาติทั่วประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) พบว่า มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ 11,036 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีมูลค่ารวม 51,458 ล้านบาท ลดลง 1.5%

โอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่า

ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 การโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวน 3,756 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.6% และมีมูลค่ารวม 18,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% ซึ่งแสดงถึงความสนใจที่ยังคงมีจากคนต่างชาติในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย

กรุงเทพฯ-ชลบุรี ครองสัดส่วนสูงสุด

จังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. กรุงเทพมหานคร: มีจำนวนหน่วย 4,269 หน่วย คิดเป็น 38.7% มูลค่า 30,528 ล้านบาท
  2. ชลบุรี: มีจำนวนหน่วย 3,976 หน่วย คิดเป็น 36% มูลค่า 11,021 ล้านบาท
  3. ภูเก็ต
  4. เชียงใหม่
  5. สมุทรปราการ

เมื่อรวมสัดส่วนของกรุงเทพฯ และชลบุรี จะคิดเป็น 74.7% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด และ 80.7% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติทั่วประเทศ

ผู้ซื้อสัญชาติเมียนมาและอินเดียโดดเด่น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมสัญชาติเมียนมามีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นถึง 202.6% ขณะที่ผู้ซื้อสัญชาติอินเดียมีมูลค่าการโอนต่อหน่วยมากที่สุด โดยเฉลี่ย 6.3 ล้านบาท ต่อหน่วย และขนาดห้องเฉลี่ย 76.5 ตารางเมตร

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติในไทย

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติในไทยยังคงได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น กรุงเทพฯ และชลบุรี ซึ่งมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์แสดงถึงศักยภาพของตลาดในระดับนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News