Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ยกระดับท้องถิ่นยุคดิจิทัล สู่อนาคตใหม่ที่ยั่งยืน

การสัมมนายกระดับท้องถิ่นสู่การเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ณ มร.ชร.

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการสัมมนาโครงการ “การยกระดับท้องถิ่นสู่การเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล (Digital Transformation)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการพัฒนาการให้บริการประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ

การสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมด้วยนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และ รศ.ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย ผู้บริหารระดับสูง สมาชิก อบต. และผู้เกี่ยวข้องจากทั่วประเทศเข้าร่วมงานกว่า 6,000 คน

ยุทธศาสตร์ดิจิทัลเพื่อยกระดับท้องถิ่น

รมช.มหาดไทย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลตาม ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของภาครัฐและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตัวอย่างการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่

  • การให้บริการ One Stop Service
  • ระบบ e-Payment
  • การลดการใช้เอกสาร
  • การจัดเก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์

เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความทันสมัยและเพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและเครือข่ายความร่วมมือ

รศ.ดร.วิระศักดิ์ ฮาดดา นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การสัมมนาครั้งนี้มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในท้องถิ่นให้เข้าใจหลักการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ Digital Transformation พร้อมส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการสาธารณะ และการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้บริหารและบุคลากรในท้องถิ่นทั่วประเทศที่จะได้แลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่ดี โดยเฉพาะการบริหารงานในยุคดิจิทัล ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริการและการพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เป้าหมายและผลลัพธ์ของการสัมมนา

การสัมมนาครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อ:

  1. เสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับนโยบายการกระจายอำนาจ
  2. พัฒนาศักยภาพในการบริหารจัดการบริการสาธารณะ
  3. เพิ่มความเข้มแข็งในเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
  4. ยกระดับท้องถิ่นให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล

รมช.มหาดไทยกล่าวปิดท้ายว่า การเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่เป็นโอกาสที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อผลักดันการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป

การสัมมนาครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในท้องถิ่น และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเปิด FAM Trip ชา-กาแฟ ดึงนักท่องเที่ยวสัมผัสเสน่ห์ท้องถิ่น

กิจกรรม FAM Trip เส้นทางชา กาแฟจากสวนสู่แก้ว ครั้งที่ 2

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม FAM Trip เส้นทางชา กาแฟ จากสวนสู่แก้ว ครั้งที่ 2 ในโครงการ Coffee or Tea ฮับชาหรือกาแฟดีจ้าว ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟในจังหวัดเชียงราย อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่ชุมชน ผู้ประกอบการร้านกาแฟ และร้านอาหารต่าง ๆ ในพื้นที่ โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ สื่อมวลชน เอเจนทัวร์ ผู้แทนจากส่วนราชการ และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง

จุดประสงค์การจัดงาน

กิจกรรม FAM Trip เส้นทางชา กาแฟครั้งนี้ มีเป้าหมายหลักในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวและสถานประกอบการของผู้ประกอบการชาและกาแฟในเชียงราย เพื่อสร้างการรับรู้ถึงคุณภาพของชาและกาแฟในจังหวัด และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับชาและกาแฟ รวมถึงเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในเส้นทางดอยแม่สลองสู่ตัวเมืองเชียงราย

เส้นทางกิจกรรม FAM Trip

กิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-12 ธันวาคม 2567 โดยเส้นทางการเดินทางมีไฮไลต์ที่น่าสนใจดังนี้:

  1. ไร่ชาฉุยฟง อ.แม่ฟ้าหลวง
    คณะได้เยี่ยมชมไร่ชาที่มีชื่อเสียงของเชียงราย พร้อมชิมผลิตภัณฑ์จากชาอันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้กระบวนการปลูก การดูแล และการแปรรูปชา เพื่อสร้างความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ของชุมชน

  2. ไร่กาแฟดอยผาหมี อ.แม่สาย
    คณะได้เยี่ยมชมไร่กาแฟบนดอยผาหมี ที่มีการผลิตกาแฟโดยใช้ภูมิปัญญาชุมชน เรียนรู้กระบวนการผลิตกาแฟตั้งแต่การปลูก เก็บเกี่ยว จนถึงการคั่ว และได้ลิ้มลองรสชาติกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่

  3. ร้านชาและกาแฟในอำเภอเมืองเชียงราย
    การเยี่ยมชมร้านค้าและชิมผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการในตัวเมืองเชียงราย เพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในพื้นที่

เชิญร่วมงาน Coffee or Tea ฮับชาหรือกาแฟดีจ้าว

ในโอกาสนี้ จังหวัดเชียงรายได้ประชาสัมพันธ์กิจกรรมใหญ่ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 4-5 มกราคม 2568สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ภายในงานจะมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น:

  • ชิมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชาและกาแฟจากหลากหลายแหล่ง
  • ชมภาพวาดศิลปะที่รังสรรค์โดยศิลปินในและนอกพื้นที่ เพื่อประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย
  • กิจกรรมเวิร์กชอปเกี่ยวกับการชงชาและกาแฟ รวมถึงเทคนิคการสร้างสรรค์เครื่องดื่มพิเศษ

การส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

กิจกรรม FAM Trip และงาน Coffee or Tea เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการท้องถิ่น พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ตลอดจนพัฒนาภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะแหล่งผลิตชาและกาแฟคุณภาพระดับประเทศ

งานดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในด้านการเป็นศูนย์กลางของชาและกาแฟที่มีคุณภาพสูง รวมถึงการเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างคุณค่าให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ธปท.เปิดโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ หนุนลูกหนี้รายย่อยและ SMEs

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 เปิดตัวโครงการช่วยหนี้รายย่อย คุณสู้ เราช่วย ทั้ง จ่ายตรง คงทรัพย์ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย และ จ่าย ปิด จบ ลดภาระหนี้ NPL ที่ยอดหนี้ไม่สูง ช่วยลูกหนี้ 1.9 ล้านราย 2.1 ล้านบัญชี จากหนี้ 8.9 แสนล้านบาท

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง ออกมาตรการชั่วคราวเพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs เฉพาะกลุ่ม ภายใต้ชื่อ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งในช่วงเริ่มต้น การช่วยเหลือจะครอบคลุมลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งประกอบด้วย 2 มาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์”

เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินหนี้ไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ โดยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและลดภาระดอกเบี้ย โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดเงินต้น

รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ

(1) ลดค่างวดเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลูกหนี้ชำระค่างวดขั้นต่ำที่ 50% 70% และ 90% ของค่างวดเดิม ในปีที่ 1 ปีที่ 2 และปีที่ 3 ตามลำดับ ซึ่งค่างวดทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น

(2) พักดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยดอกเบี้ยที่พักไว้จะได้รับยกเว้นทั้งหมด หากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขได้ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่อยู่ภายใต้มาตรการ

ทั้งนี้ ลูกหนี้สามารถชำระมากกว่าค่างวดขั้นต่ำที่กำหนดไว้ได้ เพื่อตัดเงินต้นเพิ่มและปิดจบหนี้ได้ไวขึ้น

คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้

(1) มีวงเงินสินเชื่อรวมต่อสถาบันการเงินไม่เกินที่กำหนด โดยพิจารณาแยกวงเงินตามประเภทสินเชื่อต่อสถาบันการเงิน ดังนี้

o สินเชื่อบ้าน / บ้านแลกเงิน วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท

o สินเชื่อเช่าซื้อ / จำนำทะเบียนรถยนต์ วงเงินไม่เกิน 8 แสนบาท

o สินเชื่อเช่าซื้อ / จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นบาท

o สินเชื่อธุรกิจ SMEs วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท

o กรณีสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต หากมีหนี้บ้านหรือรถที่เข้าเงื่อนไขข้างต้น สามารถพิจารณาเข้ามาตรการรวมหนี้ได้ ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่สถาบันการเงินรับได้ โดยวงเงินเมื่อรวมแล้วไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด

(2) เป็นสินเชื่อที่ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567

(3) มีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ 

(3.1) เป็นหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน 

(3.2) เป็นหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565

เงื่อนไขของการเข้าร่วมมาตรการ

(1) ลูกหนี้ไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนแรกที่เข้าร่วมมาตรการ ยกเว้นกรณีสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่จำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง เจ้าหนี้สามารถให้สินเชื่อเพิ่มเติมได้โดยจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามความเหมาะสม

(2) ลูกหนี้รับทราบว่า จะมีการรายงานข้อมูลต่อเครดิตบูโร (NCB) ถึงการเข้าร่วมมาตรการ

(3) หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระค่างวดขั้นต่ำได้ตามที่มาตรการกำหนด หรือไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่น ๆ ได้ เช่น ลูกหนี้ก่อหนี้ใหม่ก่อนระยะเวลา 12 เดือน ลูกหนี้จะต้องออกจากมาตรการและชำระดอกเบี้ยที่ได้รับการพักไว้ในระหว่างที่เข้ามาตรการ

(4) หากสัญญาสินเชื่อมีผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันต้องให้ความยินยอมในการเข้าร่วมมาตรการและลงนามในสัญญาค้ำประกันใหม่

มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” 

เป็นการช่วยลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อเปลี่ยนสถานะจากหนี้เสียเป็นปิดจบหนี้ และให้ลูกหนี้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้

 
 
รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ

ลูกหนี้จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน โดยลูกหนี้จะชำระหนี้บางส่วน เพื่อให้สามารถจ่ายและปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น

คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้

(1) ลูกหนี้บุคคลธรรมดา ที่มีสถานะค้างชำระเกินกว่า 90 วัน (NPL) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 

(2) มีภาระหนี้ต่อบัญชี ไม่เกิน 5,000 บาท โดยไม่จำกัดประเภทสินเชื่อ (สามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากกว่า 1 บัญชี)

ในระยะต่อไป ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่ม Non-Bank อื่น ๆ จะมีความช่วยเหลือออกมาเพิ่มเติม ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างไป เพื่อร่วมกันผลักดันให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้างและครอบคลุมลูกหนี้ได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการ ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” สามารถศึกษารายละเอียดของมาตรการและสมัครเข้าร่วมได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 เวลา 8.30 น. ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 23.59 น. ทั้งนี้ ลูกหนี้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ BOT contact center ของ ธปท. โทร 1213 หรือ call center ของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการและกดเบอร์ต่อ 99

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายลุย Big Cleaning Day เตรียมพร้อมมหกรรมไม้ดอก

อบจ.เชียงราย จัด Big Cleaning Day เตรียมพร้อมมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 เวลา 13.00 น. องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้จัดกิจกรรมทำความสะอาด Big Cleaning Day บริเวณโดยรอบสวนไม้งามริมน้ำกก ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมีหัวหน้าส่วนราชการและบุคลากรจากทุกสำนักและกองของ อบจ.เชียงราย เข้าร่วมทำความสะอาดอย่างพร้อมเพรียง

กิจกรรมครั้งนี้มีการเก็บกวาดใบไม้ ขยะ และสิ่งสกปรกต่างๆ พร้อมทั้งล้างทำความสะอาดบริเวณพื้นถนนรอบพื้นที่สวนไม้งามริมน้ำกก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดงาน มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2568 ณ สวนไม้งามริมน้ำกก อบจ.เชียงราย ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย และงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงรายโซนอำเภอแม่สาย ระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2568 ณ วัดถ้ำเสาหินพญานาค ตำบลโป่งงาม และบริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย-เมียนมา ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว Social Impact Tourism

นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวถึงการจัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงรายว่า งานดังกล่าวนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว ยังมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ภายใต้แนวคิด “Social Impact Tourism เที่ยวเชียงราย…ช่วยเชียงราย” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการส่งเสริมการท่องเที่ยวกับการช่วยพัฒนาท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย: ไฮไลต์ที่น่าสนใจ

งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงรายปีนี้จะมีการจัดแสดงความสวยงามของดอกไม้นานาพันธุ์ที่ตกแต่งอย่างประณีต พร้อมการจัดสวนแบบธีมที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเชียงรายและประเทศในอาเซียน กิจกรรมเด่นในงาน ได้แก่

  • การประกวดจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับ
  • นิทรรศการเกี่ยวกับพันธุ์ไม้หายาก
  • การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน
  • ตลาดนัดสินค้าเกษตรและงานฝีมือจากชุมชน
  • การแสดงดนตรีและกิจกรรมบันเทิงต่างๆ

ในส่วนของโซนอำเภอแม่สาย งานจะจัดขึ้นบริเวณวัดถ้ำเสาหินพญานาค ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่นด้านศิลปะและวัฒนธรรม รวมถึงบริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย-เมียนมา เพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน

เป้าหมายการพัฒนาและภาพลักษณ์จังหวัดเชียงราย

การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับจังหวัดเชียงรายในฐานะแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพ โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้เทียบเท่าสากล พร้อมส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

อบจ.เชียงราย เชื่อมั่นว่ามหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงรายจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมความน่าสนใจของเชียงราย และสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มาเยือน

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมหกรรมแห่งสีสันและความสวยงามของไม้ดอกได้ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2568 นี้ แล้วพบกันที่เชียงราย!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

กรรมการผู้จัดการหญิงญี่ปุ่นเพิ่ม 8.4% พร้อมเป้าหมาย Womenomics ปี 2030

กรรมการผู้จัดการหญิงในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสู่ 8.4% แต่ยังห่างไกลเป้าหมาย Womenomics

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า Teikoku Databank บริษัทวิจัยในญี่ปุ่น ได้เผยผลสำรวจบริษัทในประเทศกว่า 1.19 ล้านแห่ง พบว่า สัดส่วนของกรรมการผู้จัดการหญิงในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็น 8.4% ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจาก 4.5% ในปี 1990 โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนกรรมการผู้จัดการหญิงสูงสุดที่ 17.4% ตามด้วยธุรกิจบริการ 11.3% และธุรกิจค้าปลีก 11.1%

บทบาทของกรรมการผู้จัดการหญิงในบริษัทเล็กมีแนวโน้มสูงกว่า

จากการสำรวจพบว่า สัดส่วนกรรมการผู้จัดการหญิงในบริษัทขนาดเล็ก (มียอดขายต่ำกว่า 50 ล้านเยน) อยู่ที่ 11.9% ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ (ยอดขาย 10,000 ล้านเยนขึ้นไป) มีเพียง 2% โดย Tracy Gopal ผู้ก่อตั้ง Third Arrow Strategies ให้ความเห็นว่า “การเป็นผู้นำในบริษัทเล็กต่างจากบริษัทใหญ่ที่ต้องดึงดูดบุคลากรหญิงให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจำนวนผู้หญิงในองค์กรญี่ปุ่นจะลดลง”

การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมและนโยบาย Womenomics

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่ โดยผู้ชายมักมีบทบาทในการทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ขณะที่ผู้หญิงดูแลบ้านและลูก แต่จากปัญหาสังคมผู้สูงอายุและการขาดแคลนแรงงาน อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Shinzo Abe ได้ริเริ่มนโยบาย Womenomics ในปี 2013 เพื่อกระตุ้นให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น

เป้าหมาย Womenomics ในปี 2030

Womenomics มีเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางเพศ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2030 ญี่ปุ่นต้องมีสัดส่วนผู้หญิงในตำแหน่งผู้จัดการอย่างน้อย 30% จากข้อมูลล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2024 ผู้หญิงในตำแหน่งผู้จัดการมีสัดส่วนเพียง 10.9% แม้จะเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกที่ทะลุ 10% แต่ยังคงห่างไกลจากเป้าหมาย

มาตรการเพื่อผลักดันความเท่าเทียมทางเพศ

รัฐบาลญี่ปุ่นและบริษัทต่างๆ ได้ร่วมกันดำเนินมาตรการหลากหลาย เช่น

  • ปรับชั่วโมงการทำงานให้ยืดหยุ่น
  • สนับสนุนผู้หญิงที่มีลูกให้กลับมาทำงาน
  • ส่งเสริมให้ผู้ชายช่วยเลี้ยงดูบุตร
  • ยกเลิกการกำหนดเพศในใบสมัครงาน

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงต้องใช้เวลาและความพยายามร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเท่าเทียมในตลาดแรงงาน และทำให้ผู้หญิงมีบทบาทที่สำคัญในทุกระดับองค์กร

อ้างอิง

  • 8.4% of Japanese companies led by women in 2024
  • Female Managers in Japan Remain Few and Far Between

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Japantimes / The modern office: Japanese business practices have come a long way since the 1980s, when many books about working in the country were written. | GETTY IMAGES

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้สูงอายุแม่จัน สร้างสุขภาพอย่างยั่งยืน

อบจ.เชียงรายร่วมกิจกรรมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้สูงอายุ อ.แม่จัน พร้อมส่งเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมพบปะและให้กำลังใจผู้เข้าร่วมกิจกรรม “โครงการเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผู้สูงอายุ อำเภอแม่จัน (ช่วงผญ้า)” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้โครงการการกีฬาและนันทนาการประชาชนจังหวัดเชียงราย โดยมีนายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด และนายสมศักดิ์ พรมมณี ประธานชมรมผู้สูงอายุ อำเภอแม่จัน กล่าวรายงาน นอกจากนี้ ยังมีนายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น รองประธานสภา อบจ.เชียงราย นายชินกร ก๊อใจ และนางปาริชาติ จิระมณี สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่และท้องถิ่น ร่วมพิธีเปิดอย่างคับคั่ง

กิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพ เชื่อมความสัมพันธ์ชุมชน

โครงการนี้มุ่งเน้นส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ ผ่านการจัดกิจกรรมการออกกำลังกาย การนันทนาการ และเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้สูงอายุในอำเภอแม่จัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรผู้สูงอายุถึง 24.35% ของประชากรทั้งหมด โดยผู้สูงอายุส่วนใหญ่ประสบปัญหาสุขภาพ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่มักพบร่วมกัน การจัดกิจกรรมจึงช่วยสร้างเสริมสุขภาพทั้งกายและใจ อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและคนในชุมชน เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1 ล้านคน อำเภอแม่จันเองก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน โดยมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ต้องการการดูแลและส่งเสริมสุขภาพอย่างเหมาะสม กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและปัญหาด้านสุขภาพของผู้สูงอายุในพื้นที่

ภาคีเครือข่ายร่วมมือเสริมศักยภาพผู้สูงวัย

เพื่อให้การส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุในอำเภอแม่จันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินการต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐ องค์กรท้องถิ่น และเครือข่ายชุมชน การบูรณาการการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวไม่เพียงช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถมีส่วนร่วมและช่วยเหลือสังคมได้อย่างมีคุณค่า

สรุปภาพรวมและเป้าหมาย

กิจกรรมนี้นอกจากจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพกายและใจของผู้สูงอายุแล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน สร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อบจ.เชียงรายจึงมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในพื้นที่อย่างเหมาะสมและยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายร่วมมูลนิธิกาญจนบารมี คัดกรองมะเร็งเต้านมเคลื่อนที่

โครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมเคลื่อนที่ อ.เชียงของ: อบจ.เชียงรายร่วมสร้างสุขภาพสตรี

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ณ บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส อ.เชียงของ จ.เชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) เดินทางมาพบปะและให้กำลังใจผู้เข้าร่วมกิจกรรมตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม โดยมูลนิธิกาญจนบารมีในโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมเคลื่อนที่ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้บริการตรวจสุขภาพสตรีและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่อำเภอเชียงของและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก ภายในงานมีบูธกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง โดยมีบุคลากรจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในพื้นที่ร่วมเป็นวิทยากรให้คำแนะนำ พร้อมตอบคำถามเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเต้านม การสังเกตอาการผิดปกติ และการป้องกันโรคมะเร็งเต้านม

สถานการณ์มะเร็งเต้านมในระดับโลกและประเทศไทย

จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2020 พบว่ามะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในสตรีทั่วโลก โดยมีผู้ป่วยรายใหม่กว่า 2.3 ล้านคนต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึง 685,000 คนต่อปี นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และป่วยเป็นมะเร็งเต้านมรวม 7.8 ล้านคน

ในประเทศไทย มะเร็งเต้านมยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพของสตรี โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่ในช่วงก่อนวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคสูงขึ้น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายจึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้สตรีสามารถตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมด้วยตนเองอย่างถูกวิธี และเข้ารับการตรวจเอกซเรย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรก

โครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมเคลื่อนที่: การดูแลสุขภาพเชิงรุก

มูลนิธิกาญจนบารมีได้ริเริ่มโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมเคลื่อนที่ เพื่อนำบริการตรวจสุขภาพมาให้ถึงชุมชน โดยเน้นการตรวจเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) ที่ช่วยตรวจหาความผิดปกติในเต้านมได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันและรับมือกับโรคมะเร็งเต้านม

อบจ.เชียงรายร่วมสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยมอบหมายบุคลากรด้านสุขภาพในพื้นที่มาร่วมให้บริการและให้คำแนะนำแก่ประชาชน เพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม และกระตุ้นให้สตรีในพื้นที่หันมาใส่ใจสุขภาพเต้านมของตนเอง

ความสำคัญของการป้องกันและดูแลสุขภาพเต้านม

การตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอและการสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อบริเวณเต้านม การเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง หรืออาการเจ็บปวดผิดปกติ เป็นสิ่งที่ช่วยให้สตรีสามารถเข้ารับการรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต และเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาดได้มากขึ้น

เป้าหมายและความมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพประชาชน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวในโอกาสนี้ว่า การจัดกิจกรรมตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเคลื่อนที่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะสตรีที่เป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ โครงการนี้ยังช่วยลดอัตราการเกิดโรคและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ อบจ.เชียงรายจะยังคงสนับสนุนกิจกรรมด้านสุขภาพในชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและทั่วถึง พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น

การสร้างสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

กิจกรรมตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเคลื่อนที่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประชาชนได้รับการตรวจโรคและคำแนะนำด้านสุขภาพที่จำเป็น แต่ยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้ชุมชนมีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

งานนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก และถือเป็นก้าวสำคัญในการป้องกันโรคร้ายอย่างมะเร็งเต้านมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. หนุนเลี้ยงจิ้งหรีด สร้างรายได้เสริมมั่นคง

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. หนุนชาวบ้านพะเยาเลี้ยงจิ้งหรีด สร้างรายได้เสริม เลี้ยงง่าย เก็บผลผลิตไว

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้สนับสนุนการเลี้ยงจิ้งหรีดในพื้นที่บ้านปางถ้ำ หมู่ 9 ตำบลร่มเย็น อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เพื่อส่งเสริมอาชีพให้กับกลุ่มเปราะบางที่มีวิถีชีวิตที่ยากลำบาก

ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการเลี้ยงจิ้งหรีด

โครงการดังกล่าวเน้นเสริมศักยภาพในการสร้างอาชีพเพื่อบรรเทาความยากลำบากของครอบครัวในโครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ. โดยเล็งเห็นว่า การเลี้ยงจิ้งหรีด เป็นอาชีพที่เลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่น้อย และลงทุนน้อย แต่สามารถสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในผู้ร่วมโครงการ นางแดง ไชยวงค์ อายุ 49 ปี เปิดเผยว่า เธอได้เลี้ยงจิ้งหรีดมาแล้ว 3 รุ่น ใช้เวลาเลี้ยงเพียง 45 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตขายได้ในราคากิโลกรัมละ 200-250 บาท โดยสร้างรายได้เสริมให้ครอบครัวได้อย่างต่อเนื่อง

การพัฒนาและต่อยอดอาชีพในพื้นที่

นายณรงค์ ไข่ทา อายุ 62 ปี อีกหนึ่งผู้ร่วมโครงการในตำบลลอ อำเภอจุน เล่าถึงการพัฒนาเทคนิคการเลี้ยงจิ้งหรีด โดยเขาได้ศึกษาเรื่องการแยกไข่และการเลี้ยงในกรงที่มีพื้นที่เปิดโล่ง ทำให้จิ้งหรีดเจริญเติบโตเท่ากัน สามารถขายได้กรงละ 4-5 กิโลกรัม และโพสต์ขายผ่านโซเชียลมีเดียที่ขายหมดภายในเวลาอันสั้น

นายณรงค์ยังเสริมว่าในอนาคตเขามีแผนจะขยายพื้นที่เลี้ยงให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิต โดยคาดการณ์ว่ากรงขนาด 2×2 เมตร จะสามารถสร้างรายได้ต่อรอบการผลิตกรงละ 20,000-25,000 บาท

ต้นทุนต่ำ รายได้สูง

นางย้าย ศรีวิชัย อายุ 59 ปี ผู้ร่วมโครงการอีกคนหนึ่ง เปิดเผยว่าการเลี้ยงจิ้งหรีดช่วยลดต้นทุนอาหาร โดยใช้อาหารหัวร่วมกับพืชผักในพื้นที่ เช่น มะละกอสุก และผักไชยา ซึ่งลดต้นทุนได้มาก และยังสามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายเพียงแค่เก็บไข่จากพ่อแม่พันธุ์

นางย้ายยังกล่าวขอบคุณมูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. ที่เข้ามาสนับสนุนความรู้และเทคนิคการเลี้ยง ทำให้เธอสามารถพัฒนาการเลี้ยงจิ้งหรีดเป็นอาชีพเสริม และหวังว่าในอนาคตจะกลายเป็นอาชีพหลักที่มั่นคงของครอบครัว

ผลตอบรับดี เกิดแรงบันดาลใจในชุมชน

โครงการเลี้ยงจิ้งหรีดในจังหวัดพะเยาสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนในชุมชนอย่างมาก ด้วยต้นทุนการเลี้ยงที่ต่ำ และผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ไวภายใน 45 วัน การเลี้ยงจิ้งหรีดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการสร้างรายได้เสริมที่มั่นคง

โครงการนี้สะท้อนถึงแนวคิดในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนเปราะบาง โดยมุ่งเน้นการสร้างอาชีพที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน

มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนและพัฒนาทักษะอาชีพให้กับครอบครัวเด็กในโครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ. ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนที่ยังขาดโอกาสในสังคมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

‘ทราวิซโก’ เร่งคืนเงินลูกค้า คาดเสร็จสิ้น ก.พ. 68

ทราวิซโก ชี้แจงข้อเท็จจริง คืนเงินลูกค้า คาดเสร็จสิ้น ก.พ. 68

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 บริษัท ทราวิซโก อินโนเทค จำกัด จัดแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นการคืนเงินรีฟันด์ให้ลูกค้าที่ยังค้างอยู่ ณ ห้องประชุมอหัสกร ทีทีซี พาร์ค ทาวเวอร์ โดยมีการชี้แจง 4 ประเด็นสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและโปร่งใส พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาและคืนเงินที่เหลือให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568

4 ประเด็นสำคัญ

  1. ตัวเลขยอดเงินคงค้างและผู้ได้รับผลกระทบที่แท้จริง

บริษัทขอยืนยันว่าข้อมูลที่สื่อได้นำเสนอเกี่ยวกับมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาทนั้น คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก โดยตัวเลขที่แท้จริง ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2567 นั้น มีลูกค้าได้รับผลกระทบจำนวนทั้งสิ้น 760 ท่าน และยอดเงินรวม 32,493,188.64 บาท ทั้งนี้ในระหว่างช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน 2567 บริษัทได้ดำเนินการทยอยคืนเงินให้ลูกค้าไปแล้วเป็นจำนวน 415 ท่าน คิดเป็นเงินโดยประมาณทั้งสิ้น 20,266,358.14 หรือประมาณ 62.4 % และยังคงเหลืออีก 345 ท่าน คิดเป็นเงินโดยประมาณทั้งสิ้น 12,226,830.50 บาท หรือประมาณ 37.6% ของผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด ซึ่งตัวเลขดังกล่าวแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการรายงานข่าวก่อนหน้านี้

  1. บริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาการจองบัตรโดยสารเครื่องบินและการชำระเงินของสายการบินแห่งหนึ่ง

บริษัทขอชี้แจงว่า บริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นข่าวเกี่ยวกับการจองบัตรโดยสารเครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่ง ซึ่งในเนื้อข่าวรายงานว่ามีผู้เสียหายหลายแสนราย ทั้งนี้อาจมีกลุ่มบุคคลพยายามเชื่อมโยงบริษัทเข้ากับประเด็นดังกล่าวหรืออาจจะเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนของสื่อมวลชนบางสำนักซึ่งได้นำเสนอข่าวออกไปแล้วในลักษณะว่ามีความเกี่ยวข้องกัน บริษัทจึงขอยืนยันว่าข้อมูลนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

  1. การระงับการขายสินค้าและบริการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2567

ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2567 บริษัทได้ระงับการขายสินค้าและบริการทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เพื่อมุ่งแก้ไขปัญหาการคืนเงินให้ลูกค้าโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเปิดทำการตามปกติเพื่อให้คำปรึกษา แนะนำ ช่วยเหลือ รวมทั้งติดตามและรายงานสถานะการคืนเงินของลูกค้าแต่ละราย โดยผู้เกี่ยวข้องสามารถติดตามสถานะการคืนเงินได้ตามช่องทางออนไลน์ของบริษัท รวมถึงสามารถติดต่อบริษัทได้ในวันเวลาเปิดทำการตามปกติ

  1. ความคืบหน้าและแผนการคืนเงินส่วนที่เหลือ

ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้เร่งจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อวัตถุประสงค์ในการคืนเงินใหักับลูกค้าตามที่บริษัทได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567 แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากมีกระแสข่าวผ่านสื่อมวลชนอีกครั้งในวันที่ 2-3 ธันวาคม 2567 ที่นำเสนอข้อมูลตัวเลขความเสียหายที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของแหล่งทุนดังกล่าว ทำให้กำหนดการรับเงินทุนจากเดิมจะได้รับในวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ต้องมีการชะลอการให้เงินทุนไว้ชั่วคราว เพื่อให้บริษัทชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อแหล่งทุนดังกล่าวต่อไป อันส่งผลให้แผนที่บริษัทจะนำเงินมาคืนลูกค้าส่วนที่เหลือนั้นต้องล่าช้าออกไป

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • ผู้ที่ต้องการติดตามสถานะการคืนเงินสามารถตรวจสอบได้ที่ช่องทางออนไลน์ของบริษัท
  • บริษัทตั้งเป้าหมายคืนเงินให้ครบทุกกรณีภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568

บริษัทฯ ขอน้อมรับทุกคำติชมและมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาอย่างเต็มความสามารถเพื่อคืนความมั่นใจแก่ลูกค้าทุกท่าน.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ทราวิซโก อินโนเทค จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ACT เปิดโปง 10 คดีทุจริต อบจ. เสียหาย 377 ล้านบาท

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ เปิดข้อมูล 10 คดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง อบจ.

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยข้อมูล “10 ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง” ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่เกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2547-2567) ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงและความเสียหายต่อระบบงบประมาณท้องถิ่น รวมมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 377 ล้านบาท

สถิติคดีที่พบมากที่สุด

จากข้อมูลที่ ACT เปิดเผย พบว่าอดีตนายก อบจ. อุบลราชธานี มีคดีทุจริตสูงสุดถึง 42 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 114 ล้านบาท รองลงมาคือกรณีทุจริตโครงการขุดลอกลำน้ำใน อบจ. ลำปาง มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการจัดซื้อถุงยังชีพใน อบจ. ปทุมธานี และการจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายที่ อบจ. กำแพงเพชร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของกลโกงที่ใช้

ความเชื่อของประชาชนสวนทางกับความจริง

นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวถึงผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยปี 2567 ที่พบว่ากว่าร้อยละ 95 ของประชาชนเชื่อว่ามีการโกงงบประมาณในอบจ. จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สถิติจาก ป.ป.ช. กลับพบว่ามีคดีร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างในปี 2566 เพียง 827 เรื่อง แม้ว่าจะมีการร้องเรียนผ่านหน่วยงานอื่นๆ เช่น ป.ป.ท. และศูนย์ดำรงธรรม แต่คดีที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมีเพียงเล็กน้อย และมักใช้เวลานานในการดำเนินคดี

ตัวอย่างกลโกงที่พบในระบบ

  1. การฮั้วประมูล
  2. การให้บริษัทในเครือข่ายหรือคนในครอบครัวมารับงาน
  3. การทำเอกสารเท็จและปกปิดข้อมูล

โดยอดีตนายกอบจ. อุบลราชธานี กระทำทุจริตมากที่สุดถึง 42 คดี ขณะที่ อบจ.สงขลายังมีคดีทุจริตพัวพันอดีตนายก อบจ. มากกว่าจังหวัดใดในประเทศไทย

  1. ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง 42 คดี โดย อดีตนายก อบจ. อุบลราชธานี มูลค่าความเสียหาย 114 ล้านบาท
  2. ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ โดยอดีตนายก อบจ.ปทุมธานี มูลค่าความเสียหาย 3 ล้านบาท
  3. ทุจริตจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำ โดยอดีตนายก อบจ.ลำปาง มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
  4. ทุจริตเงินอุดหนุนสมาคมกีฬา โดยอดีตนายก อบจ. พิจิตร มูลค่าความเสียหายกว่า 15 ล้านบาท
  5. ทุจริตจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายและหนังสือเรียน โดยอดีตนายก อบจ.กำแพงเพชร มูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท
  6. ทุจริตจัดซื้อท่อระบายน้ำมิชอบ โดยอดีตนายก อบจ.พะเยา มูลค่าความเสียหาย 9.6 ล้านบาท
  7. ทุจริตทำถนน 6 โครงการ โดยอดีตนายก อบจ.นครราชสีมา มูลค่าความเสียหายกว่า 9 ล้านบาท
  8. ทุจริตเงินอุดหนุนวัด โดยอดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
  9. ทุจริต 5 กรณี โดยอดีตนายก อบจ.สงขลา มูลค่าความเสียหายเบื้องต้น 18.6 ล้านบาท
  10. ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ “แคร์เซ็ต” โดยอดีตนายก อบจ.ลำพูน มูลค่าความเสียหายเกือบ 6 ล้านบาท

ข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหา

นายมานะเสนอแนวทางแก้ไข โดยเน้นการจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วม (Participatory Budgeting) เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และกำหนดแผนการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ยังเสนอให้หน่วยงานรัฐ เช่น ปปง. และกรมสรรพากร ตรวจสอบเส้นทางการเงินและการเสียภาษีของผู้ที่เกี่ยวข้องในกลุ่มที่มีพฤติกรรมทุจริต

บทบาทของประชาชน

“ประชาชนต้องมีบทบาทสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของท้องถิ่น อย่าปล่อยให้การซื้อเสียงกลับมาทำลายระบบประชาธิปไตย” นายมานะกล่าว พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนร่วมกันตรวจสอบการใช้งบประมาณ และรายงานสิ่งผิดปกติในท้องถิ่น

ความสำคัญของการปรับปรุงระบบ

ACT ย้ำว่าการพิจารณาคดีคอร์รัปชันยังล่าช้าและมีบทลงโทษที่เบา จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบ รวมถึงการบูรณาการข้อมูลและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ เพื่อปิดช่องว่างที่นำไปสู่การทุจริต

ข้อสรุป

ข้อมูลที่ ACT เผยแพร่ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตในระดับท้องถิ่น แต่ยังสะท้อนถึงความจำเป็นในการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อสร้างความโปร่งใสและปกป้องผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว

ข้อมูลทุจริตองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)

  1. ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง 42 คดี ของอดีตนายก อบจ. อุบลราชธานี ผู้มีคดีทุจริตมากที่สุดในประเทศไทย

ปี 2566 นายพรชัย โควสุรัตน์ อดีตนายก อบจ.อุบลราชธานี 3 สมัยระหว่างปี 2547-58 กับพวกถูกร้องเรียนมากถึง 42 คดี ป.ป.ช.ชี้มูลไปแล้วหลายคดี มูลค่าความเสียหายรวมสูงถึง 114 ล้านบาท ทำให้นายพรชัยกลายเป็นนายก อบจ. ที่มีคดีทุจริตมากที่สุดในประเทศไทย หลายคดีถูกศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก รวมระยะเวลาจำคุกกว่า 30 ปี ปัจจุบันนายพรชัยอยู่ในสถานะหนีคดี

  1. ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ โดยอดีตนายก อบจ.ปทุมธานี

ปี 2554 เกิดอุทกภัยในจังหวัด ทำให้ อบจ.ปทุมธานีจัดซื้อถุงยังชีพ 2 ครั้ง รวม 6,000 ถุง มูลค่า 3 ล้านบาท เป็นเหตุให้ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายชาญ พวงเพ็ชร์ และพวกรวม 12 คน ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ เมื่อศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดี ส่งผลให้ นายชาญ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่แม้จะเพิ่งชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายก อบจ.ปทุมธานี ต่อมาปี 2567 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 6 ปี 18 เดือน  นอกจากนี้ นายชาญ ยังมีคดีจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายราคาแพงเกินจริงถึงกว่า 40 ล้านบาท ปัจจุบันเรื่องอยู่ระหว่างไต่สวนของ ป.ป.ช.

  1. ทุจริตจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำของ อบจ.ลำปาง

ช่วงปี 2549-2550 นางสุนี สมมี อดีตนายก อบจ.ลำปาง พร้อมพวก 9 คน ร่วมกันทุจริตโครงการจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำ ต่อมา ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เพราะพบว่ามีการ “จัดฉากตั้งบริษัทรับเหมา” เพื่อเข้าร่วมประมูลรับงานมากถึง 29 โครงการ มีการทำใบเสนอราคาเท็จ ยื่นเสนอราคาเท็จ และปลอมลายมือชื่อกรรมการเปิดซองสอบราคา เพื่อใช้เบิกจ่ายเงินงบประมาณ มีการจ่ายเงินทอน คิดเป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท แถมยังใช้สำนักงาน อบจ. ลำปางเป็นที่แบ่งเงินทุจริต ส่วนผู้รับเหมาที่ทำงานจริงรับเงินแค่ 60% ศาลพิพากษาจำคุกรวม 116 ปี แต่ให้คงจำคุกจริง 50 ปี นอกจากนี้ นางสุนียังถูกจำคุก 8 ปี จากคดีทุจริตจ้างเหมาถมดินอีก 7 โครงการ และมีคดีฐานยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ศาลฎีกาสั่งห้ามดำรงตำแหน่งการเมือง 5 ปี จําคุก 1 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1 ปี

  1. ทุจริตเงินอุดหนุนสมาคมกีฬา โดยอดีตนายก อบจ. พิจิตร

ปี 2565 นายชาติชาย เจียมศรีพงษ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ. พิจิตรกับพวก ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดจากการมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่สมาคมกีฬาจังหวัดพิจิตร ซึ่งตนดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ นั้นด้วย เมื่อสมาคมฯ มีหนังสือขอรับเงินสนับสนุนจาก อบจ. พิจิตรโดยไม่มีรายละเอียดค่าใช้จ่ายในโครงการประกอบการพิจารณา นายชาติชาย อนุมัติเบิกจ่ายเงินตลอด 3 ปี เป็นเงินรวม 15,654,115.12 บาท ซึ่งเงินก้อนนี้สมาคมกีฬาฯ ได้ส่งต่อให้แก่ทีมสโมสรฟุตบอลที่นายชาติชายเป็นที่ปรึกษาสโมสรฟุตบอลพิจิตรเอฟซี และผู้จัดการสนาม สโมสรฟุตบอล ทีทีเอ็ม เอฟซี พิจิตร ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้มีคำพิพากษาจำคุก 9 ปี 12 เดือน ปัจจุบันคดียังไม่สิ้นสุด จำเลยมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้

  1. ทุจริตจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายและหนังสือเรียน โดยอดีตนายก อบจ. กำแพงเพชร

ปี 2565 นายจุลพันธ์ ทับทิม อดีตนายก อบจ. กำแพงเพชร ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานทุจริตจัดซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกาย และศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 12 ปี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลยมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้ ต่อมา      ปี 2567 ก็ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีทุจริตจัดซื้อหนังสือและสื่อการเรียนการสอน 3 โครงการมูลค่ารวม 2 ล้านบาท ด้วยวิธีพิเศษ ฐานละเลยปฏิบัติหน้าที่อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง คดีนี้หมดอายุความแล้ว 

  1. ทุจริตจัดซื้อท่อระบายน้ำมิชอบ โดยอดีตนายก อบจ.พะเยา

ปี 2561 นายวรวิทย์ บุรณศิริ อดีตนายก อบจ. พะเยา ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดจากการจัดซื้อท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก งบประมาณ 241,800 บาท เพื่อนำไปใช้แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจังหวัด ต่อมาปี 2564 ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนายวรวิทย์ บุรณศิริ จำคุก 2 ปี และปรับ 40,000 บาท แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี  นอกจากนี้ นายวรวิทย์ยังถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพาราเพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกร 426,250 ต้น งบประมาณ 17,050,000 บาท ปัจจุบันคดีนี้อยู่ในชั้นศาลพิจารณา

  1. ทุจริตทำถนน 6 โครงการ โดยอดีตนายก อบจ.นครราชสีมา

ปี 2567 นายแพทย์สำเริง แหยงกระโทก อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา ถูก ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีทุจริตโครงการก่อสร้างถนนหลายโครงการ โดยศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 25 ปี ส่วนบริษัทผู้รับเหมา 3 รายถูกปรับรายละ 40,000 บาท  โดยกรรมการผู้มีอำนาจลงนามทุกรายโดนโทษจำคุก อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังสามารถอุทธรณ์ต่อได้ คดีนี้จึงยังไม่สิ้นสุด

  1. ทุจริตเงินอุดหนุนวัด โดยอดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ

ปี 2565 ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายก อบจ.สมุทรปราการ กับพวก ทุจริตการจัดสรรเงินอุดหนุนวัดในจังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างปี 2554-2556 รวม 68 โครงการ งบประมาณรวม 836,129,125 บาท โดยเงินเหล่านี้จะต้องนำไปใช้เพื่อบูรณะบำรุงวัด และเตาเผาศพ แต่กลับมีเงินทอนครึ่งหนึ่งของเงินอุดหนุนที่วัดเหล่านี้ควรจะได้ มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท โดย ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและทำส่งสำนวนให้กับอัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

  1. 5 คดีทุจริต โดยอดีตนายก อบจ. สงขลา

ระหว่างปี 2551-2552 นายนวพล บุญญามณี อดีตนายก อบจ.สงขลา กับพวก ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด เริ่มที่คดีแรก  ทุจริตโครงการส่งเสริมพัฒนาสุขภาพประชาชนโครงการตรวจสุขภาพผู้สูงอายุ ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ พร้อมชี้มูลความผิดเอกชนที่เป็นสถานพยาบาล ฐานร่วมกันสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการทุจริตต่อการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐด้วย ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล  คดีที่สอง  ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดการสมยอมกันเสนอราคาโครงการจัดซื้อกุ้งก้ามกราม 40 ล้านตัว งบประมาณ 10,000,000 บาท โดยเอื้อ

ประโยชน์แก่ผู้เสนอราคาบางราย คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษาจำคุก 7 ปี  คดีที่สาม ทุจริตการสำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท 30 เส้นทางวงเงินรวม 8,068,000 บาท ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ตัดสินจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา คดีที่สี่ คดีนำรถยนต์ราชการไปจำนำที่บ่อนการพนัน ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 18 ปี 24 เดือน คดีที่ห้า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโครงการจ้างสำรวจและออกแบบ ถนนลาดยางทางหลวงชนบทศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี

มีข้อสังเกตว่า จังหวัดสงขลายังมีคดีทุจริตพัวพันอดีตนายก อบจ. มากกว่าจังหวัดใดในประเทศไทย      เมื่อนับรวมอีก 2 ราย คือ นายนิพนธ์ บุญญามณี และนายอุทิศ ชูช่วย

  1. ทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพ “แคร์เซ็ต” โดยอดีตนายก อบจ.ลำพูน

ช่วงโควิดระบาดปี 2563 นายนิรันดร์ ด่านไพบูลย์ นายก อบจ. ลำพูนในขณะนั้น จัดซื้อชุดของใช้ประจำวันเพื่อแจกผู้สูงอายุ (Care Set) วงเงิน 16,343,000 บาท ต่อมา ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดตามกฎหมายอาญาและกฎหมายฮั้ว แล้วยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ จนมีคำพิพากษาในปี 2566 ให้จำคุกเจ้าของบริษัทที่เกี่ยวข้อง คนละ 2 ปี ปรับ 120,000 บาท ให้จำคุกรองปลัด อบจ. 3 ปี และร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 5,918,769.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ อบจ.ลำพูน ส่วน รองนายก อบจ. 2 คน ปลัด 1 คน และรองปลัด 1 คน  ศาลพิพากษา ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี  ปรับคนละ 100,000 บาท และให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำนวน 5,918,769.80 บาท พร้อมดอกเบี้ย สำหรับ นายก อบจ.ลำพูน ศาลพิพากษายกฟ้อง ปัจจุบัน ป.ป.ช. กำลังเตรียมการขออุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News