Categories
ECONOMY

คลังศึกษาแผนปรับ VAT 15% หวังลดเหลื่อมล้ำ-เพิ่มรายได้รัฐ

คลังเร่งศึกษาปฏิรูปภาษี ปรับ VAT 15% หนุนลดเหลื่อมล้ำ-เพิ่มขีดความสามารถ

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 15% โดยย้ำว่าเป็นเพียงแนวคิดและอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเพื่อดูความเหมาะสมในภาพรวมและแนวโน้มโลก พร้อมย้ำว่า การตัดสินใจใดๆ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและผลประโยชน์ส่วนรวม

ในระหว่างการประชุม Sustainability Forum 2025: Synergizing for Driving Business เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา นายพิชัยได้กล่าวในหัวข้อ “Financial Policies for Sustainable Economy” โดยเผยถึงแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษี 3 ประเภท ได้แก่

  1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล: ศึกษาการปรับลดจาก 20% เป็น 15% เพื่อให้สอดคล้องกับ Global Minimum Tax (GMT)
  2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: ศึกษาการปรับลดจาก 35% เหลือ 15% เพื่อดึงดูดแรงงานคุณภาพเข้ามาทำงานในประเทศไทย
  3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ไทยเก็บภาษีในอัตรา 7% ซึ่งต่ำกว่าอัตราทั่วโลกที่อยู่ระหว่าง 15-25%

นายพิชัยกล่าวว่า การปรับภาษีมูลค่าเพิ่มอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยและคนจน โดยการเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นจะช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐเพื่อนำไปพัฒนาโครงการสาธารณะ เช่น สาธารณสุข การศึกษา และการสนับสนุนธุรกิจให้มีต้นทุนต่ำลง

กระแสต่อต้านและมุมมองนายกรัฐมนตรี

ในประเด็นที่ประชาชนกังวลว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอาจเพิ่มความเดือดร้อน นายพิชัยยอมรับว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว พร้อมรับฟังความคิดเห็นรอบด้าน ขณะที่นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “เข้าใจ” ถึงความกังวลของประชาชน

เหตุผลการปรับโครงสร้างภาษี

นายพิชัยกล่าวว่า การจัดเก็บรายได้ในอัตราสูงจะช่วยให้รัฐมีงบประมาณมากขึ้นเพื่อนำไปจัดสรรให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การสนับสนุนด้านสุขภาพ การศึกษา และที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจในประเทศ

“การเก็บภาษีต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงวันไหน” นายพิชัยกล่าวปิดท้าย

ที่มาของแนวคิดและแผนการศึกษา

แผนการศึกษานี้ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยคณะรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสียของการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีนี้ รวมถึงสร้างการรับรู้ในสังคมเพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนระบบภาษีในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
NEWS UPDATE

อสังหาฯ ไทยรับมือสังคมสูงวัย เน้นที่อยู่อาศัยตอบโจทย์

การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทยปี 2567

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 รายงานข่าวจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลสำรวจเกี่ยวกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยระบุว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจาก 6.8% ในปี 2537 เป็น 20% ในปี 2567 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.89% อย่างไรก็ตาม การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน

สถานการณ์การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ

ปี 2567 พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุทั้งหมด 916 โครงการ แบ่งเป็นเนอร์สซิ่งโฮม 832 โครงการ และที่อยู่อาศัยทั่วไป 84 โครงการ โดยพื้นที่ที่มีโครงการมากที่สุดอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 516 โครงการ นอกจากนี้ อัตราการเข้าพักในเนอร์สซิ่งโฮมเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 70.91% โดยจังหวัดชลบุรีมีอัตราการเข้าพักสูงสุดที่ 76.95% ตามมาด้วยนครราชสีมา 73.71% และเชียงใหม่ 73.07%

ในส่วนของที่อยู่อาศัย อัตราการเข้าพักในจังหวัดสมุทรปราการอยู่ที่ 70.91% และกรุงเทพฯ อยู่ที่ 75.64% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตเมืองและศูนย์กลางเศรษฐกิจ

ราคาค่าเช่าและการเข้าถึงบริการ

ผลสำรวจระบุว่าค่าเช่าเนอร์สซิ่งโฮมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มภาครัฐและมูลนิธิอยู่ในช่วง 15,001-20,000 บาท ขณะที่กลุ่มเอกชนมีค่าเช่าสูงถึง 30,001-50,000 บาท ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยของภาครัฐมีค่าเช่าเฉลี่ยต่ำกว่า 10,000 บาท โดยกลุ่มเอกชนมีค่าเช่าที่นิยมอยู่ในช่วง 30,001-50,000 บาท

รายได้และการพัฒนากลไกสนับสนุน

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากบุตร 35.7% รองลงมาคือรายได้จากการทำงาน เบี้ยยังชีพ และบำนาญ ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนากลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เช่น สินเชื่อเพื่อที่พักอาศัยแบบเช่าระยะยาว การซื้อสิทธิ์การอยู่อาศัย และโครงการขายหรือเช่าในราคาที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มรายได้ปานกลางถึงต่ำ

มุมมองอนาคต

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้พัฒนาสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยผลักดันการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน

ข่าวดังกล่าวสะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยเน้นการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและความต้องการที่หลากหลายของประชากรกลุ่มนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS TRAVEL

อนันตรา เชียงราย เปิดตัวต้นคริสต์มาสน้องโต ผสานศิลปะรักษ์โลก

อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชียงราย ร่วมกับดอยตุง สร้างสรรค์ต้นคริสต์มาส “น้องโต” รักษ์โลก ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ได้จับมือกับโครงการพัฒนาดอยตุง เปิดตัวต้นคริสต์มาสสุดสร้างสรรค์ในชื่อ “น้องโต” ประติมากรรมรักษ์โลกที่ผสานความเชื่อท้องถิ่นและวัฒนธรรมคริสต์มาส ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี โดยต้นคริสต์มาสดังกล่าวได้แรงบันดาลใจจาก “น้องโต” สัตว์มงคลในตำนานของชาวไทใหญ่ ที่มีศีรษะคล้ายกวางและลำตัวเหมือนสิงโต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและความเป็นสิริมงคล

ต้นคริสต์มาส “น้องโต” มีความสูงกว่า 6 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณโถงล็อบบี้ของโรงแรม ภายใต้แนวคิดรักษ์โลกที่เน้นการใช้วัสดุเหลือใช้จากโครงการพัฒนาดอยตุง เช่น เศษผ้าที่เหลือจากการทอผ้า และวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิต โดยทีมออกแบบได้นำเศษผ้ามาผูกติดกับโครงสร้างทีละชิ้นด้วยมือทั้งหมด รวมถึงเย็บเป็นเครื่องประดับตกแต่ง เช่น ลูกบอลกลมและกล่องของขวัญ เพิ่มสีสันและความสวยงาม

เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการรีไซเคิล พื้นโดยรอบต้นคริสต์มาสได้ตกแต่งด้วยเศษกิ่งไม้และใบไม้แห้งที่เก็บรวบรวมจากป่าในบริเวณใกล้เคียง สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นธรรมชาติ ช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับพื้นที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนโรงแรมในช่วงเทศกาล

นายสมชาย วัฒนธรรม ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรม กล่าวว่า “น้องโต” ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความมุ่งมั่นของโรงแรมในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านการสร้างสรรค์ผลงานที่ใช้วัสดุรีไซเคิล ตอกย้ำแนวคิดความยั่งยืนที่เรายึดมั่นเสมอมา”

นักท่องเที่ยวสามารถร่วมสัมผัสบรรยากาศเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ในสไตล์รักษ์โลก พร้อมเพลิดเพลินกับกิจกรรมและแพ็คเกจพิเศษที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพักได้ที่โทร. 053-784-084

นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมท้องถิ่นและนานาชาติได้อย่างลงตัว พร้อมส่งต่อความสุขและแรงบันดาลใจให้กับผู้มาเยือนในเทศกาลแห่งความสุขนี้.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

บก.ปอศ.บุก 46 จุด ขยายผลเครือข่ายฟอกเงิน 442 บริษัท

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายฟอกเงิน 46 จุดทั่วประเทศ คุม 442 บริษัท เอี่ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดปฏิบัติการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 46 จุดทั่วประเทศ ดำเนินคดีกับนิติบุคคล 442 บริษัท และผู้ต้องหากว่า 1,000 ราย โดยในจำนวนนี้เป็นชาวจีนกว่า 250 ราย ซึ่งร่วมกันจดทะเบียนบริษัทเพื่ออำพรางการประกอบธุรกิจและฟอกเงิน รวมถึงรับโอนเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมออนไลน์

พฤติการณ์การกระทำความผิด

จากการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดใน 2 ลักษณะ คือ

  1. การจดทะเบียนบริษัทโดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee): ชาวต่างชาติว่าจ้างบริษัทบัญชีให้จดทะเบียนนิติบุคคล โดยมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการตามข้อกำหนดของกฎหมาย เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหาร โดยมีทุนจดทะเบียนรวมกว่า 891 ล้านบาท
  2. การจดทะเบียนบริษัทม้า: จดทะเบียนบริษัทเพื่อเปิดบัญชีธนาคารสำหรับรับโอนเงินที่ได้จากการฉ้อโกงและฟอกเงิน โดยบัญชีเหล่านี้สามารถทำธุรกรรมได้ไม่จำกัดวงเงิน และไม่ต้องผ่านกระบวนการยืนยันตัวตน (KYC)

พื้นที่เป้าหมายการตรวจค้น

  1. สำนักงานบัญชีและนอมินี: ตรวจค้น 23 จุดทั่วประเทศ พบบริษัท 244 แห่ง และเอกสารการถือครองอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 254 ล้านบาท
  2. ร้านค้าและโกดังสินค้า: ตรวจค้นในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และสมุทรสาคร พบสินค้าหลายแสนรายการจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าผิดกฎหมาย
  3. บริษัทแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ดิจิทัล: ตรวจพบธุรกิจที่ใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของ แต่ดำเนินการโดยชาวจีนและลักลอบเปิดกิจการอย่างผิดกฎหมาย

มูลค่าความเสียหายและพฤติกรรมที่พบ

จากการตรวจค้นครั้งนี้ พบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท รวมถึงบัญชีธนาคาร 314 บัญชี ซึ่งมีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาเข้าข่ายการกระทำความผิดจำนวนมาก

บทลงโทษและมาตรการต่อเนื่อง

บก.ปอศ. ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงผู้สนับสนุน เช่น เจ้าหน้าที่บัญชีและทนายความที่รับรองเอกสารเท็จ และได้แจ้งให้สภาทนายความและสภาวิชาชีพบัญชีพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ การตรวจค้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและฟอกเงินอย่างเป็นระบบ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37 จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 15.30 น. ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน (ศอ.จอส.) มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567

โดยมี พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้อำนวยการ ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37 เป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.ธาราทิพย์ วงษ์บรรณะ ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา มทบ.37 นำกำลังพลจิตอาสาพระราชทานจาก มทบ.37, โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช, หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร (นฝ.นศท.) มทบ.37, ผศ.ช.ร., คณะครู และนักเรียนจากโรงเรียนอนุบาลกองทัพบกอุปถัมภ์บริบูรณ์ธนวัฒน์ ร่วมกันดำเนินกิจกรรม ณ ศูนย์การเรียนรู้โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช

น้อมนำศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

กิจกรรมในครั้งนี้น้อมนำ ศาสตร์พระราชา และหลักการ เกษตรทฤษฎีใหม่ มาใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่การเกษตร โดยจัดทำ แปลงนาสาธิต สำหรับให้ความรู้แก่กำลังพล นักเรียน ส่วนราชการ และประชาชนทั่วไป ภายใต้แนวคิด “เรียนรู้จากผืนนา ในศาสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”

ในกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” ผู้ร่วมงานได้ร่วมกันปลูกข้าวในแปลงนาสาธิตที่จัดเตรียมไว้ เพื่อสานต่อความตั้งใจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเกษตรกรรมและความพอเพียง

สร้างความร่วมมือหลากหลายภาคส่วน

กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน ครูและนักเรียน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ โดยเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาเกษตรกรรม

สืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9

พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน กล่าวในพิธีว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นการสืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมุ่งมั่นพัฒนาประเทศบนพื้นฐานของความพอเพียงและการพึ่งพาตนเอง พร้อมทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังเห็นถึงความสำคัญของการเกษตร

กิจกรรมดังกล่าวยังมุ่งหวังให้ผู้ร่วมงานทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของการทำการเกษตรและการพึ่งพาตนเอง และพร้อมที่จะน้อมนำแนวทางที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนและประเทศชาติ

ทั้งนี้ ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37 ขอเชิญชวนประชาชนและผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ ณ ศูนย์การเรียนรู้โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช เพื่อร่วมกันน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและสานต่อพระราชปณิธานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FOOD

Bus Cafe คาเฟ่สร้างโอกาสในเรือนจำกลางเชียงราย

“เรือนจำกลางเชียงราย เปิดตัว ‘Bus Cafe’ คาเฟ่สร้างโอกาสผู้ต้องขัง”

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เรือนจำกลางเชียงราย โดย นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย เปิดตัว “Bus Cafe” โครงการส่วนขยายของร้าน “หับเผยคาเฟ่ by กลางเชียงราย” ที่ตั้งอยู่บนรถบัสปลดระวางอายุการใช้งานกว่า 20 ปี พร้อมตกแต่งใหม่ทั้งหมดเพื่อสร้างบรรยากาศสำหรับการนั่งจิบกาแฟ ชมผลงานศิลปะ และเพลิดเพลินกับเมนูอาหารและเครื่องดื่ม

ภายใน Bus Cafe นอกจากจะมีพื้นที่นั่งพักผ่อนแล้ว ยังจัดแสดงผลงานภาพวาดและงานปักผ้าจากฝีมือผู้ต้องขัง เพื่อสร้างความเข้าใจและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับผู้ต้องขัง โดยนายพัศพงศ์ได้โชว์การดริปกาแฟให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับชม พร้อมนำเสนอเมนูเด่น เช่น ชาเลือดมังกร กาแฟสดจากยอดดอย และเบเกอรี่มาตรฐาน Clean Food Good Taste

โครงการเพื่อฟื้นฟูผู้ต้องขังและสังคม

นายพัศพงศ์ กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการว่า Bus Cafe เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมวิชาชีพเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขังใกล้พ้นโทษ ให้มีทักษะสำหรับการกลับคืนสู่สังคมและสามารถพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้แสดงฝีมือและสร้างรายได้ในระหว่างการฟื้นฟู นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่เชื่อมโยงให้ประชาชนได้สนับสนุนและให้กำลังใจผู้ต้องขัง

จาก “หับเผยคาเฟ่” สู่ “Bus Cafe”

“หับเผยคาเฟ่ by กลางเชียงราย” ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ ด้วยบรรยากาศร่มรื่นใต้ร่มเงาไม้ฉำฉา โครงการ “Bus Cafe” นี้จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จ ด้วยการนำรถบัสที่ปลดระวางมาปรับปรุงเป็นพื้นที่ฝึกอบรมและให้บริการ โดยเน้นที่คุณภาพสินค้าและบริการ

สร้างทักษะใหม่และความหวัง

Bus Cafe ไม่ได้เป็นเพียงคาเฟ่สำหรับการพักผ่อน แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้พัฒนาทักษะและสร้างโอกาสในชีวิตใหม่ โครงการนี้เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีส่วนร่วมในการผลิตสินค้าและบริการ โดยฝึกฝนฝีมือผ่านการทำอาหาร เครื่องดื่ม และงานศิลปะที่แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์

ชุมชนมีส่วนร่วม

ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนถือเป็นหัวใจสำคัญในการฟื้นฟูผู้ต้องขัง Bus Cafe เป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถมาเยี่ยมเยือน ชิมกาแฟ และสนับสนุนผลงานศิลปะของผู้ต้องขังได้

เชิญร่วมสัมผัสประสบการณ์

เรือนจำกลางเชียงราย ขอเชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม “Bus Cafe” เพื่อชิมกาแฟคุณภาพจากยอดดอย เพลิดเพลินกับผลงานศิลปะ และร่วมสนับสนุนการพัฒนาทักษะผู้ต้องขังเพื่อก้าวสู่ชีวิตใหม่

โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเรือนจำกลางเชียงรายในการพัฒนาผู้ต้องขังให้สามารถกลับคืนสู่สังคมอย่างมีศักยภาพ สร้างความเข้าใจในสังคม และช่วยฟื้นฟูจิตใจให้ผู้ต้องขังพร้อมเผชิญอนาคตด้วยความหวังและกำลังใจใหม่.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายนำร่องคนไทยห่างไกล NCDs รุกนโยบายสุขภาพ

“กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายคนไทยห่างไกล NCDs เริ่มที่เชียงราย”

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ สนามสิงห์ เชียงรายสเตเดียม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรมขับเคลื่อนนโยบาย “คนไทยห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)” โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 1,200 คน เข้าร่วมงาน รวมถึงผู้เข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์อีกกว่า 15,000 คน

เป้าหมายลดโรค NCDs ด้วยการนับคาร์บ

นายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า นโยบายดังกล่าวมุ่งเป้าลดจำนวนผู้ป่วยโรค NCDs รายใหม่ เช่น เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคไตเรื้อรัง รวมถึงลดความรุนแรงในผู้ป่วยรายเก่า ผ่านการส่งเสริมให้ประชาชนปรับพฤติกรรมสุขภาพ โดยเน้นการบริโภคอาหารแบบ นับคาร์บ (Carbohydrate Counting) และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก อสม. หมอคนที่ 1 เป็นกลไกสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นการดำเนินงานในระดับจังหวัดครั้งแรก หลังจากได้ขับเคลื่อนนโยบายในระดับเขตสุขภาพครบทั้ง 12 เขตแล้ว

ผลการดำเนินงานในเชียงราย

จังหวัดเชียงรายมี อสม. ทั้งหมด 25,113 คน โดยในจำนวนนี้สามารถนับคาร์บได้ถึง 20,524 คน คิดเป็นร้อยละ 81.22 และมีประชาชนที่ได้รับการสอนนับคาร์บแล้วจำนวน 102,871 คน รวมทั้งจังหวัดมีผู้ที่สามารถนับคาร์บได้ทั้งหมด 123,395 คน

กิจกรรมในวันนี้มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และพัฒนาศักยภาพของ อสม. เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและควบคุมการเกิดโรค NCDs ซึ่งจะช่วยให้ชาวเชียงราย โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานกว่า 75,000 คน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงกว่า 180,000 คน สามารถลดการใช้ยา งดยาบางตัว หรือหยุดยา และเข้าสู่ระยะโรคสงบได้

“การปรับพฤติกรรมสุขภาพเช่นนี้ นอกจากจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว รวมถึงลดงบประมาณด้านสุขภาพของประเทศ” นายสมศักดิ์กล่าว

กิจกรรมสร้างความตระหนักรู้

ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน นายสมศักดิ์ได้เดินทางไปที่ วัดหัวฝาย อำเภอพาน เพื่อให้ความรู้เรื่องการนับคาร์บแก่ อสม., ชมรมผู้สูงอายุ, และผู้นำชุมชนกว่า 2,000 คน

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการยกระดับความรู้ด้านสุขภาพให้กับประชาชน พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้คนในชุมชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิต เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

บทสรุป

นโยบาย “คนไทยห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)” ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นการดำเนินงานเชิงรุกที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้ในระดับชุมชน การพัฒนาศักยภาพ อสม. ไปจนถึงการสนับสนุนให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงจากโรค NCDs ทั้งนี้ การริเริ่มในจังหวัดเชียงรายจะเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ต้มยำกุ้งขึ้นทะเบียนยูเนสโก มรดกวัฒนธรรมโลกปี 2567

ยูเนสโกขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติปี 2567

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 ของ ยูเนสโก ณ นครอซุนซิออน สาธารณรัฐปารากวัย มีมติรับรองให้ “ต้มยำกุ้ง” อาหารชื่อดังของไทย ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ต่อจาก โขน, นวดไทย, โนรา, และสงกรานต์

ภูมิปัญญาไทยที่สะท้อนวิถีชีวิต

รมว.วธ. ระบุว่า “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2554 ในสาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล โดยต้มยำกุ้งสะท้อนถึงวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวไทยในชุมชนเกษตรกรรม โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น กุ้ง, ข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด, มะนาว, และพริก มาปรุงรสแบบจัดจ้าน

Soft Power ไทยบนเวทีโลก

ปัจจุบัน ต้มยำกุ้งได้รับความนิยมทั่วโลก และเป็นตัวอย่างของ Soft Power ด้านอาหารที่กระทรวงวัฒนธรรมให้การสนับสนุน โดยจะมีการส่งเสริมเมนูต้มยำกุ้งให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการท่องเที่ยว เมนูสำคัญในงานประชุมระดับนานาชาติ และเป็นเมนูที่ต้องลองเมื่อมาเยือนประเทศไทย

รมว.วธ. ยังกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมเตรียมขับเคลื่อนเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม โดยใช้ต้มยำกุ้งเป็นตัวเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์, ละคร, เกม และรายการโทรทัศน์ รวมถึงร่วมมือกับธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม และภัตตาคาร เพื่อจัดแคมเปญส่งเสริมยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง

กิจกรรมฉลองความสำเร็จ

เนื่องในโอกาสที่ “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการขึ้นทะเบียน กระทรวงวัฒนธรรมจัดงาน “ฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ” ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2567 ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ภายในงานจะมี:

  • พิธีเปิดงานโดย รมว.วธ.
  • การสาธิตทำต้มยำกุ้งโดยเชฟชื่อดัง เช่น เชฟไอซ์ ศุภักษร และ เชฟตุ๊กตา
  • แฟชั่นโชว์ชุด “เคบายา” และนิทรรศการอาหารเปอรานากัน
  • การแสดงทางวัฒนธรรม และการชิมต้มยำกุ้งฟรี

เคบายา: มรดกอีกหนึ่งรายการที่รอรับรอง

นอกจากนี้ ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 19.30 – 22.30 น. ตามเวลาไทย ชาวไทยยังมีโอกาสลุ้นอีกหนึ่งรายการมรดกวัฒนธรรมคือ “เคบายา” ที่เสนอขอขึ้นทะเบียนร่วม 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, บรูไน, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย

การผลักดันต่อยอด

การได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกฯ ของ “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นการส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจจากรากฐานวัฒนธรรมในทุกมิติ โดยกระทรวงวัฒนธรรมมุ่งผลักดันให้เกิดการรับรู้ถึงคุณค่าอันลึกซึ้งของเมนูต้มยำกุ้ง และใช้เป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อสร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สุริยะเปิดถนนใหม่เชื่อมโครงการหลวง หนุนเศรษฐกิจชุมชน

“สุริยะ” เปิดโครงการพัฒนาถนนเชื่อมโครงการหลวง อำนวยความสะดวกประชาชนและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนในพื้นที่โครงการหลวง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวง บรรเทาความเดือดร้อนด้านการเดินทาง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน

โครงการที่สำเร็จล่าสุดคือถนนสาย แยก ทล.118 – บ้านทุ่งยาว (ช่วงที่ 1) อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยโป่ง และ อุทยานแห่งชาติขุนแจ

รายละเอียดโครงการ

โครงการดังกล่าวมีระยะทางรวม 19.800 กิโลเมตร และใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 84.090 ล้านบาท โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ช่วง:

  1. ช่วงที่ 1: อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้
  2. ช่วงที่ 2: อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติขุนแจ ซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

เส้นทางดังกล่าวเริ่มต้นจากทางหลวงหมายเลข 118 (กม. 76+100) ผ่านจุดสำคัญหลายแห่ง เช่น อ่างเก็บน้ำดอยงู, บ้านทุ่งยาว, บ้านห้วยทราย, บ้านปางมะกาด, บ้านห้วยคุณพระ, และ บ้านขุนลาว ก่อนจะกลับมาบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 118 อีกครั้งที่ กม. 54+100

รูปแบบการก่อสร้าง

  • ผิวจราจรแอสฟัลต์คอนกรีต กว้าง 5 เมตร
  • ผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร
  • ก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 แห่ง
  • ติดตั้งระบบระบายน้ำ เครื่องหมายจราจร และอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย

สำหรับถนนสาย แยก ทล.118 – บ้านทุ่งยาว (ช่วงที่ 2) ซึ่งมีระยะทาง 16.875 กิโลเมตร ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งานเมื่อปลายปี 2566

วัตถุประสงค์และประโยชน์ของโครงการ

นายสุริยะ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวถือเป็นการสนับสนุนงานโครงการหลวงอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายสำคัญในการ:

  1. สนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน
    • ช่วยให้การเดินทางในพื้นที่โครงการหลวงสะดวกและปลอดภัย
    • ลดอุปสรรคในการเดินทางเข้าไปปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และประชาชน
  2. ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน
    • สนับสนุนการขนส่งผลผลิตทางการเกษตร เช่น ผัก, ผลไม้เมืองหนาว, ใบชา, และเมล็ดกาแฟ
    • ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่
  3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
    • พัฒนาพื้นที่รอบ อุทยานแห่งชาติขุนแจ ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยว
    • ยกระดับมาตรฐานเส้นทางให้เหมาะกับการเดินทางทุกฤดูกาล

เสียงสะท้อนจากกรมทางหลวงชนบท

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า โครงการนี้เป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อยกระดับเส้นทางคมนาคมในพื้นที่ห่างไกล ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างยั่งยืน

บทสรุป

โครงการพัฒนาถนนสายแยก ทล.118 – บ้านทุ่งยาว ไม่เพียงแต่สนับสนุนงานของมูลนิธิโครงการหลวง แต่ยังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติขุนแจ นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของกระทรวงคมนาคมที่ได้มีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนในพื้นที่.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงชนบท (ทช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ส่งออกข้าวไทยพุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี แตะ 10 ล้านตัน

“พาณิชย์” เผยส่งออกข้าวปี 2567 แตะ 10 ล้านตัน มูลค่ากว่า 6 พันล้านดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 5 ปี

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขส่งออกข้าวของไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม – พฤศจิกายน) พบว่ามีการส่งออกข้าวปริมาณรวม 9.27 ล้านตัน และคาดว่าตัวเลขทั้งปีจะสูงถึง 10 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าส่งออกประมาณ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 216,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 5 ปี

ประเภทข้าวที่ส่งออกและการเติบโต

การส่งออกข้าวในปีนี้มีการเติบโตในทุกประเภท โดยประเภทข้าวที่ส่งออกมากที่สุด ได้แก่:

  1. ข้าวขาว: ปริมาณ 5.18 ล้านตัน
  2. ข้าวหอมมะลิไทย: ปริมาณ 1.37 ล้านตัน
  3. ข้าวนึ่ง: ปริมาณ 1.01 ล้านตัน
  4. ข้าวหอมไทย: ปริมาณ 0.54 ล้านตัน
  5. ข้าวเหนียว: ปริมาณ 0.23 ล้านตัน
  6. ข้าวกล้อง: ปริมาณ 0.02 ล้านตัน

ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การส่งออกข้าวของไทยในปีนี้ได้รับผลดีจากราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 10 เดือนแรกเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา เช่น:

  • ข้าวหอมมะลิไทย: ราคาเพิ่มขึ้น 7.59%
  • ข้าวหอมปทุมธานี: ราคาเพิ่มขึ้น 24.6%
  • ข้าวขาว: ราคาเพิ่มขึ้น 11.67%
  • ข้าวนึ่ง: ราคาเพิ่มขึ้น 10.89%
  • ข้าวเหนียว: ราคาเพิ่มขึ้น 0.62%

ตลาดส่งออกที่สำคัญ

ไทยส่งออกข้าวไปยังตลาดสำคัญทั่วโลก โดยประเทศที่นำเข้าข้าวไทยในปริมาณสูงสุด ได้แก่:

  1. อินโดนีเซีย: ปริมาณ 1.12 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6%
  2. อิรัก: ปริมาณ 0.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 23%
  3. แอฟริกาใต้: ปริมาณ 0.72 ล้านตัน ลดลง 12%
  4. สหรัฐอเมริกา: ปริมาณ 0.70 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 21%
  5. ฟิลิปปินส์: ปริมาณ 0.49 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 250%

ปัจจัยสนับสนุนการส่งออก

ความสำเร็จในการส่งออกข้าวของไทยในปีนี้เกิดจากหลายปัจจัย:

  • ความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น: เพื่อรองรับเทศกาลคริสต์มาส, ปีใหม่, และตรุษจีน
  • ผลผลิตข้าวที่เพียงพอ: ไทยสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดข้าวโลกได้อย่างต่อเนื่อง
  • ศักยภาพในการส่งมอบสินค้า: การส่งมอบข้าวให้ผู้นำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แผนรับมือปี 2568

กรมการค้าต่างประเทศเตรียมแผนกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่ค้าหลัก พร้อมเสริมความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก เช่น การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และส่งเสริมคุณภาพข้าวเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในตลาดสากล

บทสรุป

ปี 2567 ถือเป็นปีทองของการส่งออกข้าวไทย ด้วยปริมาณที่คาดว่าจะถึง 10 ล้านตัน และมูลค่ากว่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ การเติบโตครั้งนี้ไม่เพียงช่วยสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่ยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของไทยในฐานะผู้ส่งออกข้าวอันดับต้นๆ ของโลก.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News