Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คลังเตรียมขายหวยเกษียณ เพิ่มรางวัลพิเศษน่าลุ้น

คลังเสนอ “หวยเกษียณ” คาดเริ่มขายไตรมาสแรกปีหน้า เพิ่มรางวัลพิเศษและออกแบบสลากตามจังหวัด

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาการออกสลากออมทรัพย์เพื่อการเกษียณ หรือที่เรียกว่า “หวยเกษียณ” ในเดือนพฤศจิกายนนี้ คาดว่าหากได้รับอนุมัติจากครม. และผ่านกระบวนการของสภาผู้แทนราษฎร จะสามารถเริ่มจำหน่ายได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยเป้าหมายของโครงการนี้คือการสร้างทางเลือกใหม่ในการออมสำหรับผู้สูงอายุ

การออกแบบสลากเพื่อความน่าสนใจและรางวัลพิเศษ

นายเผ่าภูมิอธิบายว่า หวยเกษียณจะมาในรูปแบบสลากขูดดิจิทัล โดยมีราคาจำหน่ายใบละ 50 บาท และแต่ละบุคคลสามารถซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน หวยเกษียณจะออกรางวัลทุกวันศุกร์ โดยมีการออกแบบสลากให้มีความพิเศษด้วยการใช้ชื่อจังหวัดและสีเป็นสัญลักษณ์ในการลุ้นรางวัล เช่น รางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท จะมีจำนวน 5 รางวัล และจะใช้ชื่อจังหวัดและวงกลมสีต่าง ๆ เพื่อระบุรางวัล ส่วนรางวัลที่ 2 มูลค่า 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล จะใช้ชื่ออำเภอและวงกลมสีเป็นสัญลักษณ์

การออกรางวัลจะเป็นไปอย่างน่าตื่นเต้น โดยในแต่ละวันศุกร์ เวลา 17.00 น. จะมีการจับลูกบอลขึ้นมา 3 ลูก โดยลูกที่ 1 จะเป็นชื่อจังหวัด ลูกที่ 2 เป็นชื่ออำเภอ และลูกที่ 3 เป็นสี ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อสลากสามารถลุ้นได้อย่างตื่นเต้น และหากรางวัลออกไม่ครบ จะมีการทบเงินรางวัลในงวดถัดไปเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในการลุ้น

ปรับปรุง พ.ร.บ. กอช. ขยายอายุผู้มีสิทธิ์ซื้อสลากเพื่อการเกษียณ

โครงการนี้จะมีการปรับปรุงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กอช. เพื่อขยายอายุผู้มีสิทธิ์ซื้อสลากเกษียณ จากเดิมที่กำหนดอายุระหว่าง 15-60 ปี ให้เป็นผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ถือบัญชีต้องถือไว้ต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีจึงจะสามารถถอนเงินออกมาได้ หากผู้ถือสลากเสียชีวิต เงินดังกล่าวจะตกเป็นมรดกให้กับทายาทหรือผู้ได้รับประโยชน์ที่ระบุไว้

รางวัลพิเศษ มอบความสุขเพิ่มเติมให้ประชาชน

นอกจากรางวัลหลักแล้ว หวยเกษียณยังมีรางวัลพิเศษเพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชน โดยจะมอบของขวัญ เช่น บัตรเติมน้ำมัน กาแฟ หรือบัตรตั๋วเครื่องบิน ให้แก่ผู้ถูกรางวัล โดยนายเผ่าภูมิกล่าวว่าการเพิ่มของขวัญพิเศษนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการส่งเสริมให้ประชาชนสนใจการออมผ่านหวยเกษียณมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ททท. เปิดตัวแคมเปญแอ่วเหนือคนละครึ่ง กระตุ้นการท่องเที่ยว

ททท. ผนึกกำลังพันธมิตรจัดงาน “เหนือพร้อม…เที่ยว” พร้อม Kick Off แคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง” กระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนือ

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้จัดงาน “เหนือพร้อม…เที่ยว” ที่อุทยานไร่แม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อประกาศศักยภาพความพร้อมของภาคเหนือในด้านการท่องเที่ยว พร้อมมอบความช่วยเหลือและฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อีกทั้งเปิดตัวแคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง” ซึ่งจะเริ่มต้นให้บริการนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เพื่อต้อนรับฤดูท่องเที่ยวปลายปี 2567 หวังเพิ่มรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าสู่ภาคเหนือ

ฟื้นฟูการท่องเที่ยวภาคเหนือหลังน้ำท่วม เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยว

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวว่า อุทกภัยที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเดินทางเข้าพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวที่เสียหาย แต่ปัจจุบันสถานการณ์กลับสู่ปกติแล้ว ทั้งแหล่งท่องเที่ยวและสถานประกอบการท่องเที่ยวใน 17 จังหวัดภาคเหนือ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วง High Season นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคเหนือมีอากาศหนาวเย็นและทัศนียภาพสวยงามดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสความงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมล้านนา

งาน “เหนือพร้อม…เที่ยว” รวมผู้ประกอบการและสื่อมวลชนทั่วประเทศ

ในวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2567 ททท. ได้เชิญผู้ประกอบการและสื่อมวลชนจากทั่วประเทศมากกว่า 200 คน มาร่วมอัปเดตสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวภาคเหนือ โดยมีการจัดเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการท่องเที่ยวภาคเหนือและผู้ที่สนใจ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น พิธีสืบชะตาหลวงล้านนาเพื่อความเป็นสิริมงคล และกิจกรรม CSR ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของภาคเหนือในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว

แคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง” สนับสนุนการท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น

แคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง” จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 โดย ททท. ได้ร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภาคเหนือ 17 จังหวัด มอบส่วนลด 50% ของการใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการในโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และกิจกรรมอื่น ๆ รวมถึงร้านของที่ระลึก โดยจะจำกัดส่วนลดไม่เกิน 400 บาทต่อคนต่อสิทธิ์ และมีทั้งหมด 10,000 สิทธิ์

นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่าน QR code ที่โรงแรมหรือสถานประกอบการที่เข้าร่วม โดยเมื่อสมัครรับสิทธิ์แล้ว จะได้รับ SMS ยืนยันการเข้าร่วมแคมเปญ และสามารถใช้สิทธิ์ได้ภายใน 3 วัน นักท่องเที่ยวสามารถใช้สิทธิ์โดยสแกน QR code ที่สถานประกอบการที่เข้าร่วม ซึ่งสังเกตได้จากป้ายโลโก้แคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง”

เทศกาลและกิจกรรมสุดพิเศษที่รอคอยนักท่องเที่ยวปลายปีนี้

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความพร้อมของจังหวัดเชียงรายในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยมีการเตรียมหลากหลายกิจกรรมและเทศกาลที่น่าสนใจ เช่น งานประเพณีลอยกระทงยี่เป็งนครเชียงราย กิจกรรม Mae Salong Trail งานมหกรรมดอกไม้อาเซียน งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม และงานเคาท์ดาวน์เชียงราย 2025 เพื่อสร้างสีสันให้กับฤดูท่องเที่ยวของภาคเหนือและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในจังหวัด

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ “แอ่วเหนือ…คนละครึ่ง”

นักท่องเที่ยวสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ผ่าน QR code ที่โรงแรมและสถานประกอบการที่เข้าร่วมในภาคเหนือ และใช้สิทธิ์ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 หรือเมื่อครบจำนวนสิทธิ์ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญและสถานประกอบการที่ร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.แอ่วเหนือคนละครึ่ง.com หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center โทร. 1672

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : www.แอ่วเหนือคนละครึ่ง.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ร่วมลอยกระทงแบบล้านนาที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ

โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เชิญร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทงสไตล์ล้านนา “Loy Krathong Wonder” ท่ามกลางบรรยากาศงดงามใจกลางสามเหลี่ยมทองคำ

โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย ขอเชิญนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์ของประเพณีลอยกระทงแบบล้านนา ในงานเทศกาล “Loy Krathong Wonder” ที่จัดขึ้นเพื่อสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีไทยอันทรงคุณค่า ซึ่งในปีนี้จะมีการแสดงและกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ให้คุณดื่มด่ำกับบรรยากาศล้านนาและธรรมชาติอันงดงามริมแม่น้ำรวก

บรรยากาศแบบล้านนาและการแสดงพื้นเมืองที่น่าประทับใจ

ในค่ำคืนของงาน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่หลากหลาย เช่น ดนตรีพื้นบ้าน การฟ้อนรำ ฟ้อนดาบ และการตีกลองสะบัดชัย ที่จะเพิ่มความสนุกสนานและประทับใจในทุกช่วงเวลา การแสดงเหล่านี้เป็นการสะท้อนเอกลักษณ์และความงดงามของประเพณีล้านนา ซึ่งได้รับการสืบทอดมาตั้งแต่อดีต

กิจกรรมสืบสานประเพณีลอยกระทงและการประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติ

นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมประดิษฐ์กระทงจากวัสดุธรรมชาติด้วยตนเอง พร้อมนำกระทงไปลอยที่ริมแม่น้ำรวก ถือเป็นโอกาสในการสืบสานประเพณีลอยกระทงแบบดั้งเดิม รวมถึงการปล่อยโคมไฟยี่เป็งที่ทำให้ค่ำคืนนี้สว่างไสวด้วยแสงไฟ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างบรรยากาศอันน่าตื่นตาตื่นใจและเต็มไปด้วยความหมายของการขอบคุณและการขอพรจากธรรมชาติ

เพลิดเพลินกับกาดล้านนาและสินค้าในชุมชน

นอกจากกิจกรรมลอยกระทงแล้ว ยังมีการจำลองบรรยากาศของกาดล้านนา ซึ่งเป็นตลาดท้องถิ่นที่นำเสนอสินค้าพื้นเมือง งานศิลปะ งานคราฟต์จากชุมชน และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่หลากหลายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ สามารถสัมผัสถึงความเป็นเอกลักษณ์และคุณค่าของงานหัตถกรรมที่ทำขึ้นด้วยใจจากชุมชน

อิ่มอร่อยกับมื้อค่ำแบบบุฟเฟ่ต์อาหารไทยและนานาชาติ ริมแม่น้ำ

ในส่วนของอาหาร ทางโรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ เตรียมสถานีอาหารไทย อาหารเหนือ และอาหารนานาชาติในรูปแบบบุฟเฟ่ต์สุดพิเศษ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกอิ่มอร่อยกันอย่างเต็มที่ในบรรยากาศมื้อค่ำที่แสนอบอุ่นริมแม่น้ำ ตั้งแต่เวลา 18.30 น. ถึง 21.30 น. ในราคา 2,400++ บาทต่อท่าน สำหรับเด็กอายุ 4-12 ปี ราคา 1,200++ บาทต่อท่าน

รายละเอียดการเข้าร่วมงาน Loy Krathong Wonder ที่อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ

กิจกรรม “Loy Krathong Wonder” จะจัดขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ถึง 21.30 น. ที่โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท เชียงราย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่โทร. 053-784-084

ร่วมดื่มด่ำกับความงดงามของประเพณีลอยกระทงแบบล้านนา สัมผัสบรรยากาศมื้อค่ำริมแม่น้ำที่ร่มรื่น ท่ามกลางทัศนียภาพของสามเหลี่ยมทองคำและธรรมชาติอันงดงาม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

UN เตือนโลกรับมือภาวะโลกร้อนยังไม่พอ

โลกยังห่างไกลจากการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเหมาะสม – UN

องค์การสหประชาชาติระบุว่าความพยายามทั่วโลกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นยังห่างไกลจากความสำเร็จ ข้อมูลใหม่เผยให้เห็นว่าก๊าซเรือนกระจกกำลังสะสมในชั้นบรรยากาศในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แผนการลดการปล่อยคาร์บอนที่มีอยู่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีผลกระทบที่สำคัญในการลดมลพิษภายในปี 2030 ส่งผลให้ความพยายามในการรักษาอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้อยู่ในสภาวะที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

อัตราการสะสมก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

รายงานใหม่จากองค์การสหประชาชาติชี้ว่า ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศได้เพิ่มขึ้นกว่า 11% ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2023 ซึ่งมีการสะสมในระดับที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาใด ๆ ในอดีต นักวิจัยยังแสดงความกังวลว่าป่ากำลังสูญเสียความสามารถในการดูดซับคาร์บอน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นในระดับที่เป็นประวัติการณ์

แผนการลดคาร์บอนของประเทศต่าง ๆ ยังไม่เพียงพอ

องค์กร UN Climate Change หน่วยงานของสหประชาชาติที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหานี้ ได้วิเคราะห์แผนการลดการปล่อยคาร์บอนที่ได้รับจากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก ซึ่งแผนเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยคาร์บอนจะลดลงเพียง 2.6% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งห่างไกลจากการลดลงที่จำเป็น 43% ภายในสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อให้โลกสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ไซมอน สตีล เลขาธิการบริหารของ UN Climate Change กล่าวถึงรายงานนี้ว่า “ผลการวิจัยในรายงานนี้น่าตกใจแต่ก็ไม่เกินความคาดหมาย แผนการด้านภูมิอากาศของประเทศต่าง ๆ ในปัจจุบันยังไม่ถึงระดับที่เพียงพอในการหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ที่จะทำลายเศรษฐกิจและสร้างความเสียหายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก”

ความคาดหวังในแผนใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น

องค์การสหประชาชาติคาดหวังว่าประเทศต่าง ๆ จะนำเสนอแผนใหม่ที่มีความเข้มข้นมากขึ้นภายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ซึ่งการหารือเพื่อเพิ่มความมุ่งมั่นในความพยายามเหล่านี้จะเป็นประเด็นสำคัญเมื่อผู้นำโลกมาร่วมประชุมในงานการประชุมสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 29 (COP29) ที่จะจัดขึ้นในอาเซอร์ไบจานในเดือนหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การสหประชาชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENTERTAINMENT

“HYBE ขอโทษหลังเอกสารลับหลุดวิจารณ์ศิลปิน K-pop

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 Billboard รายงานว่า “อีแจซัง”ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ HYBE ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษสาธารณชนภายหลังจากที่มีการรั่วไหลของเอกสารภายในบริษัท “รายงานอุตสาหกรรมเพลงรายสัปดาห์” ที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรม K-pop รวมถึงศิลปินรุ่นเยาว์บางรายในเชิงลบ โดยส่วนหนึ่งของเอกสารนี้ได้ถูกเปิดเผยในระหว่างการพิจารณาคดีของคณะกรรมการวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยวของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา

ในเอกสารรายงานดังกล่าวซึ่งมีความยาวประมาณ 18,000 หน้า นายมินฮยองแบ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต เปิดเผยว่ารายงานนี้มีการกล่าวถึงศิลปินรุ่นเยาว์หลายคน รวมถึงผู้เยาว์ โดยมีการแสดงความคิดเห็นที่รุนแรง เช่น “พวกเขาเปิดตัวในช่วงที่ยังไม่โดดเด่นมากนัก” และ “น่าแปลกใจที่ไม่มีใครน่ารักเลย” ซึ่งคำพูดเหล่านี้สร้างความไม่พอใจในหมู่แฟนคลับและศิลปินหลายคน

หลังจากเหตุการณ์การรั่วไหลนี้ “อีแจซัง” ได้ออกจดหมายขอโทษผ่านทางเว็บไซต์ของ HYBE โดยกล่าวว่า “ผมขอโทษศิลปิน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรม และแฟน ๆ ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของเอกสารนี้” และอธิบายว่าเอกสารดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรวบรวมความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับแนวโน้มและปัญหาต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม โดยเน้นว่าเอกสารนี้ถูกแชร์ให้กับผู้นำจำนวนจำกัดเท่านั้นเพื่อวิเคราะห์ตลาดและความรู้สึกของแฟน ๆ อย่างไรก็ตาม นายอีแจซังยอมรับว่าการมีเนื้อหาเชิงลบที่เจาะจงตัวศิลปินนั้น “ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง” และตนรับผิดชอบต่อความผิดพลาดทั้งหมดในฐานะผู้บริหาร

นอกจากนี้ HYBE ยังได้เริ่มติดต่อขอโทษต่อหน่วยงานและศิลปินแต่ละคนที่ถูกกล่าวถึงในเอกสาร เพื่อให้ความเคารพและเยียวยาจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ โดย“อีแจซัง”กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมรู้สึกเสียใจและขอโทษศิลปินในเครือ HYBE Music Group ทุกคนที่ถูกวิจารณ์อันเนื่องมาจากบริษัท” และให้คำมั่นว่าจะสร้างแนวทางใหม่และเสริมสร้างการควบคุมภายในเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก

นอกจากนี้ “อีแจซัง” ยังให้คำมั่นว่า HYBE จะยุติการสร้างเอกสารที่มีลักษณะวิจารณ์เช่นนี้ และบริษัทจะทบทวนอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของศิลปิน รวมถึงให้ความเคารพต่อแฟน ๆ โดยมีเป้าหมายในการปฏิรูปภายในเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม K-pop อย่างยั่งยืนและให้เกิดการพัฒนาในเชิงบวก

“อีแจซัง” สรุปคำขอโทษโดยให้คำมั่นว่า “ในฐานะผู้แทนของบริษัท ผมจะสะท้อนตนเองและทบทวนข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างละเอียด รวมถึงจะให้ความสำคัญกับสิทธิของศิลปินและเคารพต่อแฟน ๆ” พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อมีส่วนร่วมในพัฒนาอุตสาหกรรม K-pop ให้มีทิศทางที่ดีขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Billboard 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยครองอันดับหนึ่งประเทศที่ใช้ ‘มอเตอร์ไซค์’ มากที่สุดในโลก

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 เว็บไซต์ WorldAtlas ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ สังคมวิทยา ประชากรศาสตร์ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การเมือง และการเดินทางที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1994 ได้เผยรายงานที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้มอเตอร์ไซค์ในแต่ละประเทศทั่วโลก โดยรายงานระบุว่า ประเทศไทยครองอันดับหนึ่งในด้านจำนวนครัวเรือนที่มีการครอบครองมอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลก โดยมีถึง 87% ของครัวเรือนในไทยที่มีมอเตอร์ไซค์ใช้งาน ซึ่งหมายถึงกว่า 15 ล้านครัวเรือนในประเทศที่ครอบครองมอเตอร์ไซค์ ทำให้ประเทศไทยมีอัตราการครอบครองมอเตอร์ไซค์ต่อครัวเรือนสูงที่สุดในโลก

ประเทศไทยแซงหน้าเวียดนามในสัดส่วนการครอบครองมอเตอร์ไซค์

ในขณะที่หลายคนอาจเข้าใจว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีการใช้งานมอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลก เนื่องจากสามารถพบเห็นมอเตอร์ไซค์จำนวนมากได้ตามท้องถนน โดยเฉพาะในนครโฮจิมินห์ รายงานล่าสุดจาก Pew Research Centre ระบุว่าประเทศไทยได้แซงหน้าเวียดนามไปเพียงเล็กน้อย โดยสัดส่วนครัวเรือนที่ครอบครองมอเตอร์ไซค์ในไทยอยู่ที่ 87% ขณะที่เวียดนามมีอยู่ 86% ส่งผลให้ประเทศไทยขึ้นแท่นอันดับหนึ่งของโลกในด้านจำนวนผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ต่อครัวเรือน

10 อันดับประเทศที่มีมอเตอร์ไซค์ต่อครัวเรือนมากที่สุดในโลก

  1. ไทย – 87% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์
  2. เวียดนาม – 86% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์
  3. อินโดนีเซีย – 85% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์
  4. มาเลเซีย – 83% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์
  5. จีน – 60% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์
  6. อินเดีย – 47% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์
  7. ปากีสถาน – 43% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์
  8. ไนจีเรีย – 35% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์
  9. ฟิลิปปินส์ – 32% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์
  10. บราซิล – 29% ของครัวเรือนมีมอเตอร์ไซค์

ความต้องการมอเตอร์ไซค์ในไทยสูง สาเหตุและผลกระทบจากการจราจร

รายงานยังระบุอีกว่า ความต้องการใช้มอเตอร์ไซค์ในประเทศไทยมีสูง เนื่องจากสภาพการจราจรที่หนาแน่นและสภาพถนนที่ท้าทาย ทำให้การเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์กลายเป็นวิธีการเดินทางที่สะดวกและคล่องตัว อย่างไรก็ตาม การใช้งานมอเตอร์ไซค์ในไทยกลับกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นจำนวนมาก จากข้อมูลของเว็บไซต์ Bike Republic ระบุว่าประเทศไทยมีสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับมอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลก โดยกว่า 74% ของอุบัติเหตุบนท้องถนนมีมอเตอร์ไซค์เป็นส่วนหนึ่ง

การสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บของผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ในไทย

การใช้งานมอเตอร์ไซค์อย่างแพร่หลายในไทยส่งผลให้ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงที่สุดเช่นกัน โดยข้อมูลจาก Thai Safety Collaboration (Thai RSC) ระบุว่า ในปี 2567 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในไทยถึง 2,601 ราย โดย 79% ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ใช้มอเตอร์ไซค์เท่านั้น และในเดือนมกราคมปีนี้ มีชาวต่างชาติเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในไทยถึง 75 ราย

จากข้อมูลเหล่านี้ทำให้เห็นว่าการใช้มอเตอร์ไซค์ในไทยมีทั้งข้อดีในการช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางในเมืองที่มีการจราจรคับคั่ง แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายในการเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : WorldAtlas

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เทรนด์การใช้จ่ายใหม่ คนรุ่นใหม่ไทยเน้นประสบการณ์มากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย

รายงานแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวไทยในปี 2567

แนวโน้มการใช้จ่ายสิ่งของจำเป็นเพิ่มขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้เปิดเผยรายงานผลการศึกษาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอาเซียน (ASEAN Consumer Sentiment Study – ACSS) ประจำปี 2024 โดยพบว่า ผู้บริโภคชาวไทยกว่า 42% ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในสิ่งของจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z (52%) และ Gen Y (47%) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มีผู้หญิงเป็นกลุ่มหลักที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น

การตอบสนองต่อความกังวลด้านอัตราเงินเฟ้อ

จากการศึกษาพบว่า อัตราเงินเฟ้อเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคกังวลมากที่สุด โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามถึง 64% ระบุว่านี่คือปัญหาหลัก ขณะที่อีก 60% ชี้ให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และ 58% แสดงความกังวลต่อการออมที่ลดลง ทำให้ผู้บริโภคเริ่มลดค่าใช้จ่ายสินค้าที่ไม่จำเป็น โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 51% ระบุว่าได้ลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้

การลงทุนเพื่อประสบการณ์ – เทรนด์ใหม่ในหมู่ผู้บริโภค

แม้จะมีภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์มากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งการใช้จ่ายในด้านประสบการณ์มีมากกว่า 40% โดยเน้นที่การเดินทาง การรับประทานอาหารในร้านอาหารชั้นนำ การเข้าร่วมคอนเสิร์ต และอีเวนต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่ใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์มากถึง 56% และ Gen Y ที่ 45%

การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มสูงขึ้นในต่างประเทศ

ตามข้อมูลจากวีซ่า ประเทศไทย พบว่า การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพื่อประสบการณ์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหมวดการรับประทานอาหาร การเดินทาง และการเข้าร่วมงานบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งมีการเติบโตสูงสุดถึง 57% การเดินทางระหว่างประเทศยังคงเป็นแนวโน้มที่สำคัญในการใช้จ่าย โดยผู้บริโภคชาวไทยกว่า 58% ระบุว่าได้เดินทางไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียน เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม

คนรุ่นใหม่กับการบริหารการเงินเพื่ออนาคตที่มั่นคง

ถึงแม้จะมีแนวโน้มการใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์เพิ่มขึ้น แต่ผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุน โดยมีถึง 57% ที่ระบุว่ามีเงินสำรองฉุกเฉินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายสามเดือน ขณะเดียวกัน บัญชีเงินฝากของกลุ่ม Gen Z เพิ่มขึ้นถึง 52% และ Gen Y เพิ่มขึ้น 27% นอกจากนี้ การลงทุนในต่างประเทศโดยคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้น 10% โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นถึง 14%

การวางแผนมรดกและการออมเพื่อเกษียณอายุ

ในแง่ของการวางแผนมรดกและการออมเพื่อเกษียณ พบว่าผู้บริโภคชาวไทยมีความรู้ด้านการเกษียณอายุอย่างเพียงพอ โดยกว่า 9 ใน 10 คนได้เริ่มวางแผนการเกษียณอายุแล้ว และ 41% ได้ระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ขณะที่อีก 25% ยังไม่ได้เริ่มวางแผนมรดกใด ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดสะพานใหม่ อบจ.เชียงราย เพิ่มสะดวกปลอดภัยเพื่อชาวสันกลาง

อบจ.เชียงราย เปิดสะพานใหม่เพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้ทำพิธีเปิดสะพานสายทางหน้าวัดหัวฝาย ที่ตำบลสันกลาง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยมีนายอลงกรณ์ ดีน้อย นายก อบต.สันกลาง และนายศรีวรรณ วงศ์จินา กำนันตำบลสันกลาง รวมถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมพิธีเปิดสะพานในครั้งนี้

สะพานที่สร้างขึ้นใหม่ เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย

การก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กนี้ได้รับการสนับสนุนจากงบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2567 จำนวน 855,000 บาท เพื่อให้ประชาชนในตำบลสันกลาง หมู่ที่ 9 บ้านหัวฝาย และพื้นที่ใกล้เคียงสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในเส้นทางที่เชื่อมต่อกับวัดหัวฝาย ซึ่งเป็นจุดสำคัญทางศาสนาและชุมชน

พิธีเปิดสะพานและกิจกรรมเสริมสร้างสิริมงคล

ในวันเปิดสะพานนี้ มีการจัดพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ประชาชนและผู้เข้าร่วมงาน พระครูปิยวรรณพิพัฒน์ เจ้าอาวาสวัดหัวฝาย และประธานมูลนิธิปิยวรรณพิพัฒน์เพื่อสังคม ได้กล่าวถึงความสำคัญของสะพานเส้นนี้ว่าเป็นเส้นทางสัญจรที่ใช้ทั้งในชีวิตประจำวันของประชาชนและในการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาของผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

สะพานใหม่ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้ชาวตำบลสันกลาง

การก่อสร้างสะพานนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สะพานที่ชำรุดหรือไม่ปลอดภัย เป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

Amex เผยคนไทยนิยมโซเชียลมีเดีย ใช้ค้นหาอาหารและแบรนด์เนม

“Amex เผยโซเชียลมีเดียครองใจคนไทย ใช้ค้นหาร้านดัง-เลือกซื้อแบรนด์เนม”

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 American Express (อเมริกัน เอ็กซ์เพรส) ได้เปิดเผยผลสำรวจเรื่องแนวโน้มการท่องเที่ยว การรับประทานอาหาร และไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งพบว่าชาวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z มีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) เพื่อการค้นหาร้านอาหารและตัดสินใจซื้อสินค้าลักเซอรี่ต่าง ๆ สูงขึ้น โดยพบว่า 85% ของผู้ตอบแบบสำรวจใช้โซเชียลมีเดียเพื่อค้นหาร้านอาหารใหม่ ๆ และ 67% ใช้ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าลักเซอรี่ นับเป็นช่องทางการค้นหาข้อมูลที่มีอิทธิพลอันดับหนึ่งในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย

ในส่วนของช่องทางอื่นที่คนไทยนิยมใช้ในการค้นหาข้อมูล 3 อันดับแรกนอกเหนือจากโซเชียลมีเดีย คือ การบอกต่อ (46%) และรีวิวออนไลน์ (43%) ขณะเดียวกันการเลือกซื้อสินค้าลักเซอรี่ คนไทยมักจะเลือกอ้างอิงคำแนะนำจากคนในครอบครัว (41%) และโฆษณาจากสื่อต่าง ๆ (38%)

การทานอาหารนอกบ้านและสิทธิพิเศษส่งเสริมการตัดสินใจ 

จากการสำรวจพบว่าคนไทยยังคงนิยมการรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นอย่างมาก โดย 73% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่ามักไปรับประทานอาหารนอกบ้านอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยเฉพาะในกลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z นอกจากนี้ เกือบ 8 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามมักไปรับประทานอาหารกับครอบครัว โดยเทคนิคที่นิยมใช้มากที่สุดคือการไปรับประทานอาหารในช่วงเวลาที่คนไม่เยอะ (45%) เพื่อเพิ่มโอกาสในการจองโต๊ะได้ง่ายขึ้น สำหรับกลุ่มลูกค้าของอเมริกัน เอ็กซ์เพรส การจองร้านอาหารผ่าน Concierge ของบัตรเครดิตก็เป็นที่นิยมในกลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z

นอกจากนี้ 8 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามยังให้ความสนใจสิทธิพิเศษในการเลือกร้านอาหาร ทำให้หลายคนมองหาร้านที่มีโปรโมชั่นพิเศษเพื่อตัดสินใจเลือก ซึ่งตรงกับนโยบายของอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ที่มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบัตรหลากหลาย อาทิ เครดิตเงินคืนสำหรับการรับประทานอาหารมูลค่า 14,000 บาท และโปรโมชั่น “1 for 1” สำหรับ Sunday Brunch ที่โรงแรมชั้นนำในกรุงเทพฯ

พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าลักเซอรี่

จากผลสำรวจพบว่า ชาวไทยให้ความสำคัญกับคุณภาพและฝีมือการผลิต (86%) รองลงมาคือค่านิยมของแบรนด์ที่ตรงกับค่านิยมส่วนบุคคล (80%) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยที่เลือกซื้อสินค้าลักเซอรี่คำนึงถึงคุณภาพที่ยั่งยืนมากกว่าราคาถูก โดยมีแนวโน้มที่จะเลือกแบรนด์ที่มีคุณภาพสูง เช่น รองเท้าและกระเป๋าถือในกลุ่มผู้หญิง และนาฬิกาในกลุ่มผู้ชาย สำหรับผู้ถือบัตร American Express ยังได้รับสิทธิพิเศษเช่น การเข้าถึงสินค้าคอลเลกชันใหม่ก่อนใคร รวมถึงข้อเสนอพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำที่มีการร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลก

นายพร้อม สิริสันต์ ผู้จัดการใหญ่ American Express ประเทศไทย กล่าวว่า “บริษัทต้องการมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารนอกบ้านที่มีคุณภาพให้กับคนไทยโดยการร่วมมือกับร้านอาหารชั้นนำหลายแห่งและแสวงหาพาร์ตเนอร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง”

สถิติผู้ตอบแบบสอบถามและแนวโน้มการซื้อสินค้าพรีเมียม

การสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 2-16 พฤษภาคม 2567 โดยบริษัท Kantar โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 363 คน ซึ่งเป็นชาวไทยที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 140,000 บาท ขึ้นไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : American Express (อเมริกัน เอ็กซ์เพรส)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ไฟไหม้โกดังลำไยเชียงราย หวั่นผลกระทบสุขภาพ

 

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงในโกดังเก็บลำไย อบแห้งใน ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เมื่อเวลา 07.00 น. โดยนายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ได้รับแจ้งเหตุจาก อบต.ท่าก๊อ ว่าโกดังเก็บสินค้าของโรงงานอบลำไยในพื้นที่หมู่ 10 เกิดเพลิงไหม้หนัก เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งรถดับเพลิงเข้าดับไฟทันที พร้อมเสริมกำลังรถจากหน่วยงานท้องถิ่นใกล้เคียงรวมกว่า 20 คัน

การดับเพลิงเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากโกดังมีสินค้าจำนวนมากและมีโครงเหล็กเรียงซ้อนสูงทำให้เพลิงลุกลามรวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลานานกว่า 9 ชั่วโมงในการควบคุมเพลิง หน่วยงานท้องถิ่นยังได้เตือนประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงให้ระวังการสูดดมควันไฟที่พวยพุ่งตลอดเวลา เนื่องจากมีผลต่อสุขภาพ

นอกจากนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายได้จัดหน่วยงานลงพื้นที่เพื่อติดตามสุขภาพของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาทางเดินหายใจ นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย แนะนำให้ประชาชนงดกิจกรรมกลางแจ้งและสวมหน้ากากอนามัยหากต้องออกไปนอกอาคาร

การเกิดไฟไหม้ครั้งนี้ส่งผลให้เกิดควันไฟกระจายทั่วบริเวณ และต้องใช้รถแบคโฮเพื่อเข้าช่วยเคลื่อนย้ายโครงเหล็กออกจากจุดที่ยังมีเชื้อเพลิง ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะประสานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อประเมินสถานการณ์และหามาตรการระยะยาวในการป้องกันเหตุในอนาคต

มาตรการป้องกันสุขภาพสำหรับประชาชน

  • หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงที่มีควันไฟ และสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 หากจำเป็นต้องออกนอกอาคาร
  • ตรวจสอบสุขภาพของตนเองและครอบครัว หากพบอาการผิดปกติ เช่น หายใจลำบากหรือแน่นหน้าอก ให้ไปพบแพทย์ทันที

เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการควบคุมอย่างต่อเนื่อง และหน่วยงานท้องถิ่นได้วางมาตรการฟื้นฟูสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News