Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบเงินกองทุนกว่า 1.9 ล้านบาท

เชียงรายเร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบเงินกองทุนกว่า 1.9 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ณ ห้องประชุมสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานฝ่ายพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยและดินถล่มที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

มอบเงินช่วยเหลือกว่า 1.9 ล้านบาท

ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติการช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ประสบภัยใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่สาย อำเภอแม่ฟ้าหลวง และอำเภอเวียงแก่น โดยมอบเงินจากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จำนวนทั้งสิ้น 1,940,000 บาท เพื่อนำไปใช้ในการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะบ้านที่ได้รับความเสียหายทั้งหลัง ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 43 หลังคาเรือน

ความช่วยเหลือครอบคลุมทุกพื้นที่

จังหวัดเชียงรายได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง โดยได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพิจารณาและจัดสรรเงินกองทุนให้แก่ผู้ที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน โดยมีการพิจารณาจากหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรม เพื่อให้การช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยอย่างตรงจุดและทั่วถึง

ขอบคุณผู้บริจาคทุกท่าน

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ทำให้มีเงินทุนเพียงพอในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ โดยยอดบริจาค ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,245,716.42 บาท และหลังจากการพิจารณาในครั้งนี้ ยังคงเหลือเงินในกองทุนอีก 1,305,716.42 บาท ซึ่งจะนำไปใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะต่อไป

ร่วมสร้างกำลังใจให้ผู้ประสบภัย

แม้ว่าเหตุการณ์อุทกภัยจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ผลกระทบยังคงอยู่ จังหวัดเชียงรายจึงขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันส่งกำลังใจและให้การสนับสนุนผู้ประสบภัย เพื่อให้พวกเขาสามารถฟื้นฟูชีวิตและกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปลดล็อกตัวเงินตัวทอง-นกแอ่น สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ

ปลดล็อก “ตัวเงินตัวทอง-นกแอ่น” เพื่อเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคต

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประกาศนโยบายปลดล็อกเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์เพื่อเศรษฐกิจ โดยเน้นไปที่ตัวเงินตัวทองและนกแอ่น ซึ่งได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากสัตว์เหล่านี้ได้อย่างถูกกฎหมายและมีมาตรการป้องกันการลักลอบจำหน่าย

ปรับปรุงกฎหมายเพื่อความยั่งยืน

คณะกรรมการได้เห็นชอบให้มีการจัดทำกฎหมายลำดับรองตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า รวม 12 ฉบับ เพื่อกำหนดแนวทางให้ผู้ประกอบการสามารถเลี้ยงสัตว์คุ้มครอง เช่น ตัวเงินตัวทอง ได้เพื่อเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ ในขณะเดียวกันก็มีการกำหนดข้อบังคับด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการเลี้ยงสัตว์เหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชน

นโยบายการเลี้ยงตัวเงินตัวทอง

การประชุมคณะกรรมการได้เห็นชอบให้ตัวเงินตัวทองเป็นสัตว์ที่สามารถเลี้ยงเพื่อวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจได้ โดยปัจจุบันมีความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสามารถเลี้ยงเป็นสัตว์สวยงามและมีศักยภาพในการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งมาตรการนี้เป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจและลดการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย

ความสำคัญของการเลี้ยงนกแอ่นกินรัง

นอกจากตัวเงินตัวทองแล้ว นกแอ่นกินรังและนกแอ่นรังดำก็ได้รับการบรรจุในนโยบายดังกล่าว โดยอนุญาตให้เก็บรังนกแอ่นเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นับเป็นการตอบสนองความต้องการของตลาดที่มีรังนกแอ่นเป็นที่ต้องการสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและโภชนาการ

สร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์

นโยบายใหม่จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนี้ ไม่ได้เพียงแค่เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติกับการอนุรักษ์สัตว์ป่าในระยะยาว การออกกฎหมายใหม่ทั้ง 12 ฉบับนี้เป็นการป้องกันการลักลอบใช้ทรัพยากรธรรมชาติและยังช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนโดยไม่กระทบต่อระบบนิเวศ

ข้อบังคับเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครอง

การเลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครองจะต้องมีการขออนุญาตและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย อีกทั้งยังกำหนดอัตราเรียกเก็บค่าบริการและค่าใช้จ่ายสำหรับการขออนุญาต เพื่อควบคุมการใช้งานและให้เป็นไปตามมาตรฐานของกฎหมาย

ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

การเปิดโอกาสให้เลี้ยงสัตว์เหล่านี้ได้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ รวมถึงการส่งออกผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าเหล่านี้ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ให้กับชุมชน

ก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันว่าจะติดตามผลกระทบของนโยบายนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่าคุ้มครองจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนานี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกับการส่งเสริมเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาให้ความเห็นชอบกฎหมายลำดับรองประกอบ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมประมง รวม 12 ฉบับ เช่น

  • ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าที่เพาะพันธุ์ได้ พ.ศ. ….
  • เรื่องกำหนดชนิดสัตว์ป่าคุ้มครองที่อนุญาตให้เก็บ ทำอันตราย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งรังได้ พ.ศ. ….
  • ร่างระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้เก็บ ทำอันตราย หรือมีไว้ครอบครอง ซึ่งรังของสัตว์ป่าคุ้มครองที่มิใช่สัตว์น้ำ พ.ศ. ….
  • ร่างระเบียบฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าเสียหายหรือค่าชดเชยในพื้นที่ควบคุมเพื่อการจัดการสัตว์ป่า พ.ศ. ….
  • ร่างระเบียบฯ ว่าด้วยการกำหนดอัตราเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ค่าบริการ หรือค่าตอบแทน และราคาสัตว์ป่า พ.ศ. ….
  • ร่างระเบียบฯ ว่าด้วยการขึ้นทะเบียนสถานที่ที่จัดไว้สำหรับใช้เลี้ยงดู ดูแล รักษาสัตว์ป่า พ.ศ. ….
  • ร่างระเบียบฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการคำนวณมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พ.ศ. ….
  • ร่างระเบียบฯ ว่าด้วยการเรียกเก็บและยกเว้นค่าบริการหรือค่าตอบแทน และอัตราค่าบริการหรือค่าตอบแทน ในการให้บริการและอำนวยความสะดวกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า (ฉบับที่..) พ.ศ. ….

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม-ประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

‘ซานตาครูซ’ แบนบุหรี่ไส้กรอง หวังลดมลพิษสิ่งแวดล้อม

‘ซานตาครูซ’ ประกาศห้ามขายบุหรี่แบบมีไส้กรองครั้งแรกในสหรัฐฯ มุ่งลดมลพิษเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 มีรายงานจาก Environment+Energy Leader ว่าซานตาครูซ (Santa Cruz County) ในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศแบนการขายบุหรี่ที่มีไส้กรอง โดยถือเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในสหรัฐฯ เพื่อลดมลพิษที่เกิดจากบุหรี่ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน การแบนนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับดูแลของเทศมณฑลซานตาครูซ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2567 ทำให้เทศมณฑลซานตาครูซกลายเป็นเขตอำนาจศาลแรกในประเทศที่ใช้กฎหมายห้ามนี้อย่างเป็นทางการ

การเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

การแบนบุหรี่แบบมีไส้กรองที่ซานตาครูซ เมืองในแคลิฟอร์เนีย รัฐในประเทศสหรัฐฯ
นี้มุ่งหวังที่จะลดมลพิษทางทะเลและขยะสาธารณะที่เกิดจากก้นบุหรี่ ซึ่งส่วนประกอบของไส้กรองบุหรี่นั้นมักประกอบด้วยไมโครพลาสติกที่มีสารเคมีอันตราย ก้นบุหรี่ถือเป็นขยะที่พบบ่อยที่สุดบนชายหาดและในทางน้ำทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดปัญหามลพิษมากมาย

ข้อมูลจากองค์กร Ocean Conservancy เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 โครงการ International Coastal Cleanup สามารถเก็บก้นบุหรี่ได้มากถึง 63 ล้านชิ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนียเพียงแห่งเดียวพบว่ามีก้นบุหรี่ที่เก็บได้ถึง 8.5 ล้านชิ้น กลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่น Save Our Shores ยังได้เก็บข้อมูลที่น่ากังวลโดยพบว่ามีก้นบุหรี่กว่า 400,000 ชิ้นที่ถูกเก็บขึ้นมาจากชายหาดและพื้นที่สาธารณะในซานตาครูซภายในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้สื่อถึงความมุ่งมั่นของเทศมณฑลในการปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลและลดมลพิษในระดับท้องถิ่นอย่างจริงจัง

การทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาค

การดำเนินการห้ามขายบุหรี่ที่มีไส้กรองในซานตาครูซนี้ได้ใช้วิธีการร่วมมือ โดยกำหนดให้เมืองที่อยู่ในเขตเทศมณฑลซานตาครูซอย่างน้อย 2 ใน 4 เมืองต้องดำเนินกฎหมายที่คล้ายคลึงกัน เพื่อให้เกิดการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งและบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อม การใช้แนวทางนี้ยังช่วยให้เกิดความสอดคล้องกับนโยบายระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายมีความครอบคลุมและเพิ่มประสิทธิภาพในการลดมลพิษจากบุหรี่อย่างแท้จริง

นโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้นทั่วสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่นในรัฐฟลอริดาซึ่งได้ออกกฎหมายในปี พ.ศ. 2565 อนุญาตให้แต่ละเมืองบังคับใช้การห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่ชายหาดและสวนสาธารณะ ซึ่งผลักดันให้มณฑลและเทศบาลมากกว่า 50 แห่งนำแนวทางนี้ไปปรับใช้ นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหามลพิษในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

กฎหมายซานตาครูซต้นแบบการลดมลพิษเพื่อสิ่งแวดล้อม

การแบนบุหรี่แบบมีไส้กรองในเทศมณฑลซานตาครูซมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นต้นแบบสำหรับการออกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากบุหรี่ที่แหล่งกำเนิด ขณะที่ยังคงให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชน กฎหมายนี้ชี้ให้เห็นถึงการจัดการมลพิษอย่างมีประสิทธิภาพและสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน

ด้วยแนวทางและการดำเนินการเชิงบวกนี้ การห้ามขายบุหรี่แบบมีไส้กรองของซานตาครูซอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้หลายพื้นที่ในสหรัฐฯ หันมาใช้มาตรการที่คล้ายคลึงกันเพื่อส่งเสริมสุขภาพและปกป้องสิ่งแวดล้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : environment energy leader

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายเชิญเที่ยวภูชี้ฟ้า สัมผัสหนาว ชมหมอกสวย

รองปลัดมหาดไทยชวนเที่ยวภูชี้ฟ้า สัมผัสอากาศหนาว ชมทะเลหมอก จังหวัดเชียงราย

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทยและรักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวจังหวัดเชียงราย เพื่อสัมผัสกับอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะที่ “ภูชี้ฟ้า” แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต่างเดินทางมาชมทะเลหมอกในยามเช้า และความงดงามของพระอาทิตย์ขึ้น

ภูชี้ฟ้า: จุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามที่สุดในเชียงราย

ภูชี้ฟ้า ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาดอยผาหม่น ความสูงเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 1,628 เมตร ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหน้าผาทอดยาวชี้ขึ้นฟ้าทางฝั่งประเทศลาว จึงได้ชื่อว่า “ภูชี้ฟ้า” จากภูชี้ฟ้า นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นหมู่บ้านเชียงตองของประเทศลาว ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มีทิวทัศน์สวยงามยิ่งนัก

จุดชมวิวที่นิยม


นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดภู หรือเลือกหยุดที่ลานกว้างซึ่งอยู่ก่อนถึงยอดเขา ทั้งสองจุดนี้จะให้มุมมองที่งดงามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะยามเช้าตรู่ที่ทะเลหมอกก่อตัวขึ้นพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ ของพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้า

ฤดูหนาวนี้พิเศษกว่าที่ผ่านมา

ปีนี้ธรรมชาติที่ภูชี้ฟ้าได้ฟื้นตัวจากเหตุการณ์ไฟป่าที่เคยเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ตอนนี้นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสความเขียวขจีของทุ่งหญ้าและวิวทิวทัศน์ที่กลับมาสวยงาม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่

การเดินทางไปยังภูชี้ฟ้า

นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปภูชี้ฟ้าได้ทั้งการใช้รถส่วนตัวและรถสาธารณะ โดยการเดินทางด้วยรถส่วนตัวสามารถใช้แอปพลิเคชันนำทาง GPS เพื่อนำทางไปถึงจุดจอดรถ จากนั้นสามารถต่อรถสองแถวขึ้นภูได้

แผนที่ : https://maps.app.goo.gl/NFgN2Ah8p3myZkk46 

การเดินทางด้วยรถสาธารณะมี 2 วิธี

  1. รถโดยสารสายเชียงราย-เทิง-เชียงของ ลงที่อำเภอเทิง และต่อรถสองแถวที่มีให้บริการรอบเดียวในเวลา 14.00 น. ค่ารถโดยสารอยู่ที่ประมาณ 33 บาทและค่าโดยสารรถสองแถวเพิ่มอีก 70 บาท
  2. รถตู้จากเชียงรายไปภูชี้ฟ้า ค่าโดยสารอยู่ที่ 150 บาท มีบริการ 2 รอบ คือเวลา 07.15 น. และ 13.00 น. สำหรับขากลับมีรอบเวลา 09.00 น. และ 15.00 น. ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

สถานที่ท่องเที่ยวอื่นในจังหวัดเชียงราย

นอกจากภูชี้ฟ้าแล้ว จังหวัดเชียงรายยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น ดอยแม่สลอง ดอยผาตั้ง และวัดร่องขุ่น ซึ่งแต่ละที่ล้วนมีความงดงามเฉพาะตัว และเส้นทางการคมนาคมสะดวกสบาย เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศเมืองเหนือในฤดูหนาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไปรษณีย์ไทยปรับค่าบริการใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 2568

ไปรษณีย์ไทยเตรียมปรับค่าบริการใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 2568 เพื่อรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ไปรษณีย์ไทยเตรียมปรับอัตราค่าบริการไปรษณียภัณฑ์พื้นฐานใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการดำเนินงานระยะที่ 2 หลังจากการปรับขึ้นค่าบริการครั้งแรกเมื่อปี 2565 เนื่องจากไปรษณีย์ไทยไม่ได้ปรับอัตราค่าบริการมานานกว่า 18 ปี โดยการปรับอัตราค่าบริการในครั้งนี้เป็นไปตามกฎกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

รายละเอียดอัตราค่าบริการใหม่

สำหรับอัตราค่าบริการที่ปรับขึ้นใหม่ในปี 2568 นี้ ครอบคลุมบริการหลายประเภท ได้แก่

  • จดหมายประเภทซอง
  • จดหมายประเภทหีบห่อ
  • จดหมายประเภทซองลงทะเบียน
  • จดหมายประเภทหีบห่อลงทะเบียน
  • ของตีพิมพ์
  • ไปรษณียบัตร
  • พัสดุไปรษณีย์

โดยในพิกัดแรกของจดหมายที่มีน้ำหนักไม่เกิน 10 กรัม จะมีราคาอยู่ที่ 5 บาท ส่วนบริการ EMS ในประเทศและบริการอื่น ๆ ของไปรษณีย์ไทยจะยังคงคิดค่าบริการในอัตราเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกใช้บริการอีโคโพสต์ ซึ่งเป็นบริการส่งแบบประหยัดและสามารถตรวจสอบสถานะได้ แทนการส่งจดหมายลงทะเบียน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายแต่ยังสามารถติดตามสถานะการจัดส่งได้

พัฒนาบริการรองรับภาคประชาชนและธุรกิจ

ดร.ดนันท์ ระบุว่า ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญกับการรองรับผู้ใช้บริการทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจเป็นหลัก โดยได้พัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกในการจัดการด้านเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร และเตรียมยกระดับบริการที่ช่วยให้สามารถส่งเอกสารและจดหมายในรูปแบบดิจิทัล เช่น บริการ Prompt Post ที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนการส่งจดหมายจากรูปแบบ Physical เป็น Digital นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำอัตราค่าบริการราคาพิเศษสำหรับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ฝากส่งเอกสารและจดหมายในปริมาณมากเพื่อให้บริการในราคาที่คุ้มค่าและประหยัดยิ่งขึ้น

โปรโมชันพิเศษสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์

เพื่อส่งเสริมการใช้งานในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ไปรษณีย์ไทยยังได้จัดโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ค้าที่ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม LINE Shopping ซึ่งเป็นการเสริมสร้างช่องทางการขนส่งที่สะดวกสบายและคุ้มค่าสำหรับผู้ประกอบการออนไลน์ ที่ต้องการลดต้นทุนในการส่งสินค้าถึงลูกค้า

การปรับขึ้นอัตราค่าบริการไปรษณียภัณฑ์ครั้งนี้แสดงถึงความพยายามของไปรษณีย์ไทยในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการที่เปลี่ยนแปลงไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ไปรษณีย์ไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ศปช. ย้ำข่าวน้ำท่วมแม่สายซ้ำไม่จริง เตือนเฝ้าระวังฝนใต้

ศปช.ย้ำข่าวลือ “ฝนหนักต้นน้ำแม่สายอาจท่วมซ้ำ” ไม่จริง ยืนยันสภาพอากาศแห้งแล้ว

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปช.) ย้ำว่า ข่าวลือเรื่องฝนหนักต้นน้ำแม่สายจะทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำในพื้นที่นั้นไม่เป็นความจริง แม้ว่าจะมีฝนตกบ้างตามสภาพอากาศที่แปรปรวน แต่เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวและปริมาณน้ำในลำน้ำต่าง ๆ อยู่ในระดับต่ำ จึงไม่ส่งผลกระทบหนัก นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนอากาศแปรปรวนในประเทศไทยตอนบนไปจนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน โดยในภาคเหนืออาจมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส พร้อมเตือนประชาชนในพื้นที่ดูแลสุขภาพและระวังอัคคีภัยที่อาจเกิดจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง

ข่าวลือฝนตกหนักที่แม่สาย ยืนยันไม่มีผลกระทบน้ำท่วมซ้ำ

ข่าวลือที่ว่าลมฝ่ายตะวันตกจะทำให้เกิดฝนตกหนักในต้นน้ำของอำเภอแม่สาย และอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำรอยนั้น กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า แม้ในช่วงนี้จะยังคงได้รับอิทธิพลจากลมตะวันตกอยู่บ้าง แต่มีลมตะวันออกเฉียงเหนือเข้ามาปกคลุม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดฝนหนักถึงขั้นน้ำท่วม การทดสอบแบบจำลองสภาพอากาศพบว่าโอกาสที่จะเกิดฝนตกหนักนั้นน้อยมากและไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในลุ่มน้ำต้นน้ำแม่สาย

ฝนตกหนักในภาคใต้ เฝ้าระวังดินถล่มและน้ำป่าใน 13 จังหวัด

ขณะที่สถานการณ์ในภาคใต้ยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักในหลายพื้นที่ เช่น จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และอื่น ๆ รวม 13 จังหวัด โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่พร้อมติดตั้งป้ายเตือนประชาชนที่สัญจรในเส้นทางที่มีความเสี่ยง

แผนช่วยเหลือและโอนเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำ ศปช. ระบุว่า การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำหนดโอนเงินเยียวยาผ่านระบบพร้อมเพย์ในวันพุธที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมกว่า 3 หมื่นครัวเรือน รวมเป็นเงินช่วยเหลือที่ได้รับอนุมัติแล้ว 1,695,653,000 บาท

เตรียมรับมือภัยแล้งตั้งแต่เนิ่นๆ รัฐบาลเร่งแผนการจัดการน้ำ

ในด้านการรับมือกับภัยแล้ง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อวางแผนการเตรียมพร้อมรับมือฤดูแล้งปี 2567/68 ในจังหวัดนครราชสีมา โดยรัฐบาลได้วาง 8 มาตรการเพื่อเฝ้าระวังและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อาทิ การสำรวจแหล่งน้ำสำรอง การจัดการน้ำในอ่างลำตะคอง และการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการใช้น้ำอย่างมีคุณค่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจับมือ 9 อปท. ฟื้นฟูเมืองหลังน้ำท่วม ยกระดับคุณภาพชีวิต

เชียงราย จับมือ 9 อปท. พัฒนาเมือง ฟื้นฟูหลังน้ำท่วมเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชน

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 จังหวัดเชียงรายร่วมกับเทศบาลนครเชียงรายและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 9 แห่ง ในเขตอำเภอเมืองเชียงราย ร่วมประชุมหารือพัฒนาเมืองเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ณ ห้องประชุมดาวน์ทาวน์ สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 1 จังหวัดเชียงราย โดยมีนายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ และนายดำรงค์ศักดิ์ ยอดทองดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมประชุมและเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาเมือง

ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเมืองเชียงราย ยกระดับคุณภาพชีวิต

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายหลักในการร่วมมือกันพัฒนาเมืองให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน โดยเฉพาะการพัฒนาสวนสาธารณะริมแม่น้ำกก ซึ่งครอบคลุมระยะทางยาวกว่า 20 กิโลเมตร การพัฒนาพื้นที่ริมน้ำกกจะทำให้เกิดสถานที่ออกกำลังกายและพักผ่อนสำหรับประชาชนทุกเพศทุกวัย พร้อมทั้งส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างเทศบาลนครเชียงรายและ 9 อปท. ในครั้งนี้ เป็นการเตรียมการพัฒนาเมืองให้มีการจัดการขยะมูลฝอย การปรับปรุงภูมิทัศน์ที่สวยงาม การส่งเสริมอาชีพ การจัดการศึกษา และการป้องกันน้ำท่วม โดยมีเป้าหมายให้เชียงรายเป็นเมืองน่าอยู่และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวในอนาคต

การฟื้นฟูเมืองเชียงรายหลังน้ำท่วมและแผนการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต

นายวันชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากน้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบใน 52 ชุมชนของเชียงราย การฟื้นฟูเมืองหลังน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญที่เทศบาลนครเชียงรายให้ความสำคัญ โดยมีการวางแผนระยะยาวในการจัดการน้ำและการป้องกันน้ำท่วมจากแม่น้ำกก นอกจากนี้ยังมีการเตรียมแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจและการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจในชุมชนฟื้นตัวและเจริญเติบโตไปพร้อมกัน

ลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาเมืองระหว่างเทศบาลนครเชียงรายและ 9 อปท.

ในการประชุมครั้งนี้ นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือการพัฒนาเมือง โดยมีเทศบาลนครเชียงรายเป็นผู้นำ พร้อมด้วยเทศบาลตำบลบ้านดู่ เทศบาลตำบลแม่ยาว เทศบาลตำบลสันทราย เทศบาลตำบลท่าสาย เทศบาลตำบลป่าอ้อดอนชัย เทศบาลตำบลดอยฮาง องค์การบริหารส่วนตำบลแม่กรณ์ องค์การบริหารส่วนตำบลรอบเวียง และองค์การบริหารส่วนตำบลริมกก ความร่วมมือนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตอำเภอเมืองเชียงราย และสร้างเชียงรายให้เป็นเมืองที่พร้อมตอบสนองความต้องการของประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ต่างชาติลงทุนในไทย 9 เดือน พุ่ง 1.3 แสนล้าน

9 เดือนแรกปี 67 ต่างชาติลงทุนในไทยกว่า 1.3 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นยังคงอันดับหนึ่ง

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 134,805 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าการลงทุนต่างชาติทั้งหมด

การลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในปี 2567

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า ในปี 2567 จำนวนการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 โดยมีนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตจำนวน 636 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 493 ราย ส่วนการลงทุนที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50,792 ล้านบาท หรือ 60%

ในขณะเดียวกัน การจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนต่างชาติในปีนี้มีแนวโน้มลดลง โดยในปี 2567 มีการจ้างงานคนไทยจำนวน 2,505 ตำแหน่ง ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีจำนวนการจ้างงานถึง 5,703 ตำแหน่ง

5 อันดับประเทศที่ลงทุนสูงสุดในไทย

นักลงทุนต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น มีจำนวน 157 ราย คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท
  2. สิงคโปร์ มีจำนวน 96 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 12,222 ล้านบาท
  3. จีน มีจำนวน 89 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 11,981 ล้านบาท
  4. สหรัฐอเมริกา มีจำนวน 86 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 4,147 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง มีจำนวน 46 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 14,116 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้น

ในปี 2567 นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพิ่มขึ้นถึง 109% จากปีก่อน โดยในปีนี้มีนักลงทุนต่างชาติใน EEC จำนวน 207 ราย คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 39,830 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม ออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ซ่อมแซมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาซอฟต์แวร์

นักลงทุนใน EEC ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดยังคงเป็นญี่ปุ่นด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 13,191 ล้านบาท ตามด้วยจีนที่ลงทุน 7,227 ล้านบาท และฮ่องกงที่ลงทุน 5,219 ล้านบาท

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ดึงดูดนักลงทุนจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ของไทยยังคงเป็นจุดสนใจสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยมูลค่าการลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์มอยู่ที่ 11,721 ล้านบาท และซอฟต์แวร์ 16,675 ล้านบาท โดยนักลงทุนชั้นนำในธุรกิจนี้มาจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

แนวโน้มและเป้าหมายการลงทุนของประเทศไทยในอนาคต

การลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและสิทธิประโยชน์ที่ประเทศไทยมอบให้แก่นักลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ และภาคอุตสาหกรรมที่พร้อมรองรับการลงทุน รัฐบาลมีเป้าหมายในการขยายตลาดการลงทุนใหม่ รักษาตลาดเดิม และกระตุ้นการลงทุนในประเทศให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทยทุ่ม 3 พันล้าน ขยายสนามบินรองรับนักท่องเที่ย

AOT นำระบบ Biometric เพิ่มความสะดวกให้ผู้โดยสาร พร้อมแผนขยายสนามบินรองรับการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ได้เริ่มใช้ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System) ที่ใช้เทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อระบุตัวตนผู้โดยสาร โดยระบบนี้ช่วยให้ผู้โดยสารไม่ต้องใช้พาสปอร์ตและบัตรขึ้นเครื่องจากจุดตรวจสัมภาระจนถึงประตูขึ้นเครื่อง ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลารอคิวและเพิ่มความสะดวกในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ภูเก็ต และหาดใหญ่

แผนการใช้งานระบบ Biometric รองรับผู้โดยสารในประเทศและระหว่างประเทศ

ในระยะแรก ระบบ Biometric จะพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายในประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 โดยผู้โดยสารจะสามารถลงทะเบียนยินยอมใช้ข้อมูลทางชีวภาพในการระบุตัวตนเพื่อเข้าสู่ระบบการระบุข้อมูลได้ตั้งแต่เคาน์เตอร์เช็คอิน ซึ่ง AOT คาดว่าการใช้ระบบ Biometric จะช่วยให้ผู้โดยสารประหยัดเวลารอคิวและมีเวลาเพียงพอสำหรับการเลือกซื้อสินค้าปลอดภาษี รับประทานอาหาร หรือพักผ่อนในสนามบิน

ในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ระบบนี้จะเริ่มให้บริการแก่ผู้โดยสารระหว่างประเทศ ซึ่งจะสามารถใช้งานระบบ Facial Recognition ในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งได้ครบทุกส่วน

รายงานจาก Nikkei โดย Kosuke Inoue เปิดเผยว่า ไทยกำลังวางแผนขยายสนามบิน 6 แห่งด้วยงบประมาณเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 97,000 ล้านบาท เพื่อตอบสนองการเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคต ภายในปี 2575 ไทยคาดหวังให้สนามบินทั้ง 6 แห่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 246.5 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันที่รองรับได้เพียง 116 ล้านคน

การขยายรันเวย์และการใช้ระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ในสนามบิน

ในส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในไทย ได้เริ่มเปิดใช้รันเวย์ที่สามเมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนเที่ยวบินขึ้น-ลงจากเดิม 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมงเป็น 94 เที่ยวบิน ซึ่งจะช่วยให้ระบบขนส่งทางอากาศสามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ทาง AOT หรือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการขยายสนามบิน ยังวางแผนติดตั้งระบบจดจำใบหน้าในสนามบินทั้ง 6 แห่ง โดยผู้โดยสารสามารถลงทะเบียนข้อมูลชีวภาพที่เคาน์เตอร์เช็คอิน ทำให้สามารถผ่านด่านต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้พาสปอร์ตหรือบัตรขึ้นเครื่องตั้งแต่จุดตรวจสัมภาระไปจนถึงประตูขึ้นเครื่อง

รายได้ที่ฟื้นตัวของ AOT หนุนการขยายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

AOT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย มีรายได้รวมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากการฟื้นตัวของการเดินทางทางอากาศในปีงบประมาณ 2566 โดยรายได้เพิ่มขึ้น 170% มาอยู่ที่ 48.4 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังการระบาดของ COVID-19 การขยายสนามบินครั้งนี้เป็นหนึ่งในแผนการพัฒนาที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งคิดเป็นเกือบ 20% ของ GDP ของไทย การท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากการระบาดของ COVID-19 และเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ไทยได้เตรียมยกเว้นวีซ่าให้กับประเทศและภูมิภาคเพิ่มเติม เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ความท้าทายและความเสี่ยงของการขยายสนามบินและสถานการณ์การเมืองในประเทศ

แม้ว่าแผนการขยายสนามบินจะสอดคล้องกับเป้าหมายทางการท่องเที่ยวของรัฐบาล แต่อย่างไรก็ตาม มีความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนที่อาจเกินความจำเป็น เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงมกราคมถึงกันยายนปีนี้ยังคงอยู่ที่ประมาณ 80% ของจำนวนก่อนเกิดการระบาดในปี 2562 นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยยังเป็นอีกปัจจัยที่อาจส่งผลต่อโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว

ประเทศไทยมีประวัติการยกเลิกหรือเลื่อนโครงการโครงสร้างพื้นฐานเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาล ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งปลดนายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ก็เผชิญกับคดีทางกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : asia.nikkei.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดรับสมัครแรงงานไทยไปอิสราเอล โอกาสดีรายได้สูง

 

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2567 ได้เปิดการรับสมัครรอบที่ 2 สำหรับแรงงานไทยที่สนใจไปทำงานในประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับชาวเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงที่ต้องการงานที่มีรายได้ดีในต่างประเทศ ครั้งนี้ นายจ้างชาวอิสราเอลได้เดินทางมายังจังหวัดเชียงรายเพื่อทำการสัมภาษณ์และทดสอบฝีมือของแรงงานไทยโดยตรง

การรับสมัครงานในครั้งนี้จัดขึ้นโดยบริษัทจัดหางานวิ ดรากอน จำกัด ซึ่งได้รับโควต้าจากกรมแรงงานให้จัดส่งแรงงานกว่า 2,000 คนไปทำงานในอิสราเอลตามกฎหมาย โดยแรงงานที่เปิดรับสมัครจะต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด คือ เพศชาย อายุระหว่าง 25-45 ปี และมีความเชี่ยวชาญในสายงานช่าง เช่น ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างฉาบปูน กระเบื้อง รวมถึงพนักงานขับรถบรรทุกหนักและรถแบคโฮ ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ ณ อาคารไม้ที่ตั้งอยู่ทางเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่พร้อมให้คำแนะนำอย่างครบถ้วนทั้งหมายเลขโทรศัพท์ ไลน์ และเว็บไซต์เพื่อความสะดวกของผู้สมัคร

สถานการณ์สู้รบในอิสราเอล-เลบานอนยังคงน่ากังวล

อย่างไรก็ตาม ความสนใจในการไปทำงานในอิสราเอลยังคงมีอยู่แม้ว่าสถานการณ์ในภูมิภาคนี้จะไม่สงบ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X เพื่อแจ้งข่าวเกี่ยวกับคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบบริเวณชายแดนระหว่างอิสราเอลและเลบานอน โดยมีผู้เสียชีวิตถึง 4 รายและบาดเจ็บ 1 ราย จากเหตุยิงจรวดบริเวณเมืองเมตูลาใกล้ชายแดนอิสราเอล-เลบานอน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้ยิงจรวดโจมตีเข้าไปในพื้นที่ภาคเหนือของอิสราเอล ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 7 รายในพื้นที่นิคมเกษตรกรรมใกล้เมืองเมตูลาและเมืองไฮฟา

รายงานล่าสุดระบุว่า ผู้เสียชีวิต 4 คนที่เป็นคนไทยมีรายชื่อดังนี้ (1) นายอรรคพล วรรณไสย จังหวัดอุดรธานี (2) นายประหยัด พิลาศรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ (3) นายธนา ติจันทึก จังหวัดนครราชสีมา และ (4) นายกวีศักดิ์ ปาปะนัง จังหวัดนครราชสีมา ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคือ นายฉัตรชัย ศิลป์ประเสริฐ จังหวัดชัยภูมิ

แรงงานไทยในอิสราเอลยังเป็นที่ต้องการสูง

แม้ว่าจะมีสถานการณ์ความขัดแย้งอยู่ในพื้นที่นี้ แรงงานไทยยังคงได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของนายจ้างในอิสราเอลสูง นาย Marius Savescu วิศวกรหัวหน้าของ Stone Group Company เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีแรงงานไทยในอิสราเอลประมาณ 20,000 คน และในปีนี้ทางอิสราเอลต้องการแรงงานไทยเพิ่มเติมอีกประมาณ 3,000-4,000 คน เนื่องจากแรงงานไทยมีฝีมือ ขยัน และอดทน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ตอบสนองความต้องการของนายจ้างในภาคการก่อสร้าง

นอกจากนี้ นาย Marius ยังเสริมว่าในปี 2568 อาจมีความต้องการแรงงานไทยเพิ่มขึ้นอีก 10,000 คน โดยเขายืนยันว่าแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานจะได้รับการดูแลอย่างดี มีที่พักและการรักษาพยาบาลฟรี รวมถึงมีรายได้เสริมเพิ่มเติมนอกจากเงินเดือนปกติ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับแรงงานไทยที่ต้องการพัฒนาชีวิตของตนเองและครอบครัว

แรงบันดาลใจจากศิลปินตลกที่ส่งแรงใจให้แรงงานไทย

ด้าน “น้ากล้วย เชิญยิ้ม” ศิลปินตลกชื่อดัง ได้ส่งกำลังใจให้แรงงานชาวเชียงรายที่มาร่วมสมัครงานในครั้งนี้ โดยกล่าวว่าเขาเห็นด้วยกับการส่งเสริมให้แรงงานไทยมีโอกาสทำงานในต่างประเทศที่ถูกกฎหมายและได้รับค่าตอบแทนที่ดี ซึ่งจะช่วยให้พี่น้องแรงงานมีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตได้ แม้ว่าการรับสมัครงานไปอิสราเอลจะเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่ก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากชาวเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงในภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Somkoul Rasee

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News